บทที่ ๒๘
ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ
“ค้อมเศียรสูงก้มกราบบรมเทพ
อัญเชิญเสพสิ่งทิพย์มิ่งสวรรค์
ประทานพรเยียวยารักษาพลัน
ชุบชีวันวิญญาณ์พากลับคืน”
สรรพเสียงคลับคล้ายคำกลอนอย่างหนึ่งอย่างใดสวดดังอึงอล พจน์ได้ยินแว่วสลับกับคำร้องของบิดา
“พจน์ ลูกเป็นไข้ ดื่มน้ำกินยาก่อน” เด็กหนุ่มเห็นใบหน้าภพดนัยสลัวรางขยับพยุงตน พร้อมป้อนยาและน้ำให้ ฉับพลันก็เลือนหายทดแทนด้วยกลุ่มหมอกสีขาว เสียงประกาศโองการดังชัดเจนอีกครั้ง
“พนมหัตถ์เหนือเกล้ามหาราช
องค์เทวาสเจ้าชีวิตลิขิตฝืน
มานพน้อยบุตรท่านถูกกินกลืน
ด้วยขัดขืนทุกข์โศกวิโยคภัย
จรดผากกระแทกพื้นองค์สุดสรวง
ทวิดวงนัยนาดุจแขไข
เพรียกวิญญาณขานนพภพผูกใจ
จุติในสรรพางค์ฤดีกาย”
สิ้นคำกลอน นาสิกของพจน์สัมผัสกลิ่นหอมสมุนไพรอบอวล เริ่มเห็นภาพพร่าพรางสู่ดวงตาแจ่มชัด เบื้องบนเป็นหลังคามุงจากต้องแสงไต้ไฟ ผนังโดยรอบเป็นไม้ไผ่สานขัดแตะ และบุคคลซึ่งกุมมือพจน์ไว้เคียงเตียงนอนคือ มาตะ พจน์พยายามหยัดกายโผเผยันตัวนั่งด้วยเรี่ยวแรงอ่อนเพลีย รู้สึกปวดศีรษะแต่ทุเลาลงมาก ลำคอแห้งผากดุจผุยผง
“น้องท่านประสงค์สิ่งใด จงแจ้งแก่ไอ้มาตะเถิด”
คำพูดสอดรับกับนัยน์ตาโศก พจน์สะบัดโยกตัวออกกลอกหน้าหนี ใจมาตะก็แปลบจุกเป็นทวี ภัทรพจน์ยอดชีวีมิเหลียวมอง ลองเอื้อมดึงภูษาคล้องอนงค์ เจ้าโฉมยงยกเท้าป้องจ้องตาสอง เม้มปากแน่นสุดกลั้นน้ำตานอง เห็นเพื่อนพ้องเคียงอยู่จึงอุ่นใจ โกสินทร์แลเวฬุหน้าใสชันเข่าอยู่อีกด้าน ส่วนพระมหาอุปราชสุริยะ แลนายกองกฤษณะต่างผุดลุกยืนขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าพจน์ฟื้นคืนสติ กฤษณะนายกองถลันเข้าประชิดติดเตียง
“อาการเจ้าเป็นเช่นไร โปรดแจ้งกล่าว สิ้นสติสมประดีอยู่ราวชั่วยาม จนข้าอดครั่นคร้ามกริ่งเกรงหวั่นใจมิได้” ใบหน้าดุจเดียวกับนิธิถามกลับพร้อมความห่วงหาอาทร
“โกสินทร์...ขอน้ำ”
เจ้าโกสินทร์จับจ้องภัทรพจน์ไม่วางตาอยู่ ครั้นถูกไหว้วานเป็นธุระเกินกว่าคาดคิดก็สะดุ้ง เหลียวหาคนโทแลจอกมาใส่ ขยับเอื้อมยื่นให้ภัทรพจน์ทันที เมื่อลำคอแห้งรับรสสายธารชำระล้างเสริมเรี่ยวแรงอยู่หลายจอก พละกำลังกายก็ค่อยยังชั่วกลับคืนได้ส่วนหนึ่ง ครั้นสำนึกว่าก่อนตัวจะสิ้นสติ ตนร่ำไห้จนกลั่นเป็นสายโลหิตก็ยกปลายนิ้วขึ้นแตะชิดขอบดวงตา แต่ไม่ปรากฏมีสีเลือดเหลืออยู่อีกแล้ว
“น้ำตาสายโลหิตมิเคยปรากฏว่าผู้ใดในพิภพจักประสบอาการขื่นขมเฉกนั้นมาก่อน นอกจากเมื่อห้าพันปีล่วงผ่าน ณ เชิงเขากินราบรรพตเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
น้ำเสียงชราดังพร้อมตัวผู้เฒ่าคนหนึ่ง หนวดเคราแลมุ่นมวยผมผุดสีขาวโพลน ผิวหนังคล้ำเหี่ยวแห้งตามวัย มิอาจคะเนอายุได้ พจน์ก็พนมมือไหว้ เฒ่าชราแต่งกายผ้าขาวมอซอ ดวงตาอันควรดำขลับกลับขาวซีดเช่นเดียวกับผมเครา มือขวาถือไม้ไผ่ตาปุ่มตาป่ำด้ามขนาดเหมาะมือ โดยใช้ไม้เท้าเคาะนำทางเป็นจังหวะก้าวเดิน
“ข้านี้ดวงตามืดบอดมานับแต่เมื่อย่างสู่วัยหนุ่ม” เฒ่าชราคลำทางมาจนถึงเตียงแคร่ที่พจน์นั่งอยู่แล้วทรุดลง เหม่อมองเบื้องทิศบานประตูกระท่อม “ด้วยอยู่ๆก็บังเกิดอุปมาดั่งแสงมหาสุริยาฉายฉับพลันสู่ดวงตาเมื่อครั้งเที่ยวผจญภัย นับแต่นั้นข้าก็มิเคยเห็นสิ่งอื่นใดอีกนอกจากความมืด นามอันผู้คนเรียกขาน คือ
เฒ่าวลาหก”
วลาหกผู้เฒ่าหันดวงตาสีขาวโพลนมาทิศทางที่พจน์จ้องมองอยู่ก็ให้รู้สึกสะดุ้งเฮือกขยับถอยไม่รู้ตัว
“ฮะๆๆ” เฒ่าตาบอดหัวร่องอหาย แล้วว่า “กิริยาท่านประหนึ่งมิเคยเห็นคนตาบอดมาก่อน คนประเภทนี้สูญเสียการมองเห็นตราบชั่วลมหายใจ จึ่งปรากฏให้หูนั้นใช้การได้ประหนึ่งต่างตา ด้วยวัยล่วงชราอันควรจักสดับยินสิ่งใดได้ยากนั้นกลับแจ่มชัดยิ่งกว่าสมัยกำดัด เพียงท่านขยับ ฤา หายใจเพียงนิด เฒ่าผู้นี้ก็รับรู้แลเห็นท่านได้ดุจมีดวงตาสมบูรณ์มิต่างกัน”
ผู้เฒ่าตาบอดคงแก้ไขพจน์จนฟื้นคืนสติ กิริยาท่าทางน่าเคารพนับถือ ทั้งพูดจาเป็นหลักการ จึงพนมมือไหว้ซ้ำ แล้วว่า
“คุณกรุณาช่วยชีวิตผมไว้ใช่ไหม”
“คนผู้ช่วยชีวีท่านหาใช่ข้าไม่ แต่เป็นหมู่คนเหล่านี้ต่างหากเล่า” เฒ่าวลาหกส่ายหน้าปฏิเสธ
พจน์ส่งรอยยิ้มให้กฤษณะ โกสินทร์ เวฬุ พระมหาอุปราชสุริยะ ยกเว้นไว้คนเดียวในที่นั้น
“ขอบใจพวกนายนะ”
มาตะเห็นอาการเมินเฉยของคู่สุดสวาทแล้วข่มใจขยับถอยห่างจากเตียง พลางก้มลงบ่มหน้าสลด
“ใบสาบเสือยุดห้ามเลือดมิให้ไหลจากนัยน์ตาเจ้าได้ก็จริง แต่สติอันหลุดลอยออกจากร่างนั้นพวกข้าสิ้นปัญญาจักเรียกกลับคืนได้ แหละได้ยินรองนายกองทหารลาดตะเวนนาม สิตางศุ์ กล่าวเป็นคำน่าเชื่อถือหนักแน่นว่า นอกชานเมืองมัทธวะอาชา มีหมอยาเลื่องชื่อผู้หนึ่งนอกจากเก่งกล้าด้านเครื่องรางของขลังแล้วยังมีกิตติศัพท์ด้านการเยียวยารักษา ก็แหละเส้นทางระหว่างเมืองเขตขันธ์สู่มัทธวะอาชาสั้นระยะกว่าหวนกลับกรุงนพรัตนบุรีเฉกเช่นนี้ อีกทั้งหากทอดเพลาปล่อยให้ยืดนานไปไม่รักษา ก็มิอาจรู้ชาตาว่าท่านจะฟื้นสติได้เมื่อไรจึงขับม้ามาสู่แหล่งสำนักไม่รอรี” เวฬุอธิบายเรื่องราวเป็นลำดับ
“มาตรแม้นชักช้ากว่านี้เพียงนิด วิญญาณประจำร่างคงหลุดพ้นมิหวนกลับ หากแต่ข้าสงสัยอยู่ประการหนึ่งเป็นข้อสะกิดใจในคำพวกท่านเหลือประมาณ ด้วยภูมิความรู้พอมีประดับปัญญาอยู่ อนึ่งระยะทางจากชานเมืองเขตขันธ์ลูกหลวงสู่มัทธวะอาชาพระยามหานครนี้ จำมิผิดห่างกันราว ๔๐ โยชน์
๑ ก็แหละฝีเท้าม้าชั้นดีเพียงไรก็สามารถอาจเอื้อมควบวิ่งได้ต่ำกว่า ๒๐ โยชน์ต่อชั่วยาม
๒เท่านั้น แลหมู่ท่านทั้งนี้คะเนแล้วประหนึ่งเหาะเหินเดินอากาศ ควบม้าจากเมืองเขตขันธ์ยังมิพ้นยามต้นดีก็ถึงที่หมายแล้วดั่งนี้ มิให้ยกว่าเหาะมาก็ยากจักปลงลงได้”
“เกรงจักมิต้องให้ผู้เฒ่าต้องมาเป็นกังวัล ฤา สงสัยในการนี้ ข้าจักขอกล่าวแถลงไขข้อข้องใจ” พระมหาอุปราชสุริยะตรัสสุรเสียงชัดเจน วลาหกผู้เฒ่าตะแคงหูผินสู่ทิศอาทิตยาธรอุปราช แลตั้งใจฟัง “ก็แหละเบื้องมหาพิภพนี้ท่านยังจักได้ยินนาม
จตุบทอาชา ฤา ไม่”
เพียงได้ยินเท่านั้นเฒ่าวลาหกตาบอดก็สะดุ้งเฮือกยืดกายตรง หันหน้าซ้ายขวาราวกับพยายามจะหาต้นเหตุอันก่อตระหนก ดวงตาขาวบอดเบิกโพลงซ้ำอีก
“ข้าเชี่ยวชาญตำราอัศวศาสตร์มิยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด อีกทั้งบูชาสัตว์ชนิดนี้ประหนึ่งนายเหนือบ่าว ด้วยเมืองมัทธวะอาชาเราเป็นแหล่งกำเนิดพันธุ์ม้าชั้นดี ทั้งม้าเทศ ม้าอาชาไนย ม้าอุปการ ล้วนส่งเข้าสังกัดกองทหารหลวงและกรมพิธีการมานักต่อนัก อีกทั้งค้าขายต่างอาณาจักรนำเงินเข้าท้องพระคลังเป็นที่โจษขาน ทุกเหย้าเรือนจึ่งเคารพสัตว์ชนิดนี้ประหนึ่งผู้มีคุณ พันธุ์ม้าชนิดใดในตำรามีหรือชาวเราจักไม่รู้ แหละพันธุ์
จตุบทอาชานั้น อยู่รั้งอันดับต้นของพันธุ์ม้าชั้นเลิศ ฝีเท้าเร็วปานสายลมกรด จึงเหมาะยศชนชั้นสูง สำหรับผู้สืบเชื้อสายสมมติเทพเท่านั้นที่จักควบทรงได้ ก็แหละท่านเอ่ยคำนี้ขึ้นมาบ่งชัดว่าเป็นข้อสำคัญ ฤา ในหมู่ท่านมี...”
กล่าวได้เพียงครึ่งเฒ่าวลาหกก็ทรุดกายลงพื้นประนมมือปลกๆ ยกขึ้นเหนือหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าทางทิศซึ่งพระมหาอุปราชประทับยืนอยู่ ปากก็สั่นอีกทั้งเนื้อตัวสั่นงันงกมิต่างกัน พจน์มองทางหางตาเห็นมาตะ โกสินทร์ แลเวฬุชักดาบออกจากฝักโดยพร้อมเพรียง สุริยะอุปราชเร่งยกมือห้ามปราม
“กระไรท่านผู้มีวัยสูงกว่ามาทำประหนึ่งลดทอนอายุหมู่ข้าเล่า” อุปราชหนุ่มแย้มพระโอษฐ์เข้าดึงรั้งให้วลาหกนั่งบนแคร่ตามเดิม “เราเพียงแต่เอ่ยนามพันธุ์ม้าเท่านั้น ท่านผู้เฒ่าก็คิดเห็นยืดยาวไกลนัก หมู่ข้านี้ล้วนเป็นแต่เพียงพ่อค้าวาณิชเที่ยวเร่รอนทำมาค้าขายเป็นชีวิตประจำวัน หากำไรจากการค้าประทังตัว หวังประสงค์ไม้จันทน์หอมนอกเขตแนวภูเขานพรัตนคีรีเป็นจุดหมายเดิม หว่างทางคนของข้าเกิดเจ็บป่วยด้วยอาการประหลาด แลได้ยินกิตติศัพท์ท่านมีคุณชุบคนให้ฟื้นมานักต่อนักจึ่งเร่งมาหา ก็แหละกิริยาท่านก้มกราบประหนึ่งหมายใจว่าในหมู่ข้าคนใดคนหนึ่งมีเชื้อสายสมมติเทพแล้วไซร้นั้นยังจะถูกอยู่หรือ”
วลาหกผู้เฒ่าแท้จริงในใจล่วงรู้คำตอบอยู่แล้วก็ให้รู้สึกอกหวั่นขวัญแขวน ตัวเป็นแต่เพียงสามัญชนแลทำการต้อนรับเชื้อพระวงศ์ไม่ได้เต็มกำลัง หวาดเกรงความผิดติดตัวอยู่ ซ้ำคนผู้หลั่งน้ำตาสายโลหิตมีลักษณะผิดประหลาดเหนือคนธรรมดาเป็นข้อสงสัย ครั้นมาสดับยินเสียงเจ้าหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวคำนุ่มนวลน่าเกรงขามบอกช่องเป็นนัยให้หลงลืมแลเพิกเฉยก็นิ่งฟังอยู่
“เรามาเหยียบชานเรือนท่านยามวิกาล ประสงค์ให้ท่านช่วยพยาบาลรักษาชีวิตคน แลบัดนี้คนในคณะค้าขายคืนสติดังเดิมเป็นคุณยิ่งแล้ว เวฬุ เจ้าจงนำถุงทองประมาณสิบชั่งมอบเป็นสินรางวัลในการนี้ด้วยเถิด” สุริยะอุปราชเบี่ยงบ่ายมิให้ฐานะองค์ถูกเปิดเผยโดยง่าย พยักพระพักตร์ให้เวฬุปฏิบัติตาม แลตรัสรวบรัดว่า “แลมีอีกสิ่งหนึ่งนั้น ข้าได้เป็นธุระนำของสำคัญมาฝากแก่ท่านพร้อมคำคารวการ เหตุมีคู่นายทหารพี่น้องนามสิตางศุ์และบุหลันฝากฝังมาพร้อมสร้อยเครื่องราง”
วลาหกผู้เฒ่าระงับอาการสั่น ลังเลรับสร้อยแล้วคลำด้วยนิ้วมือ ก็เห็นว่าเป็นของที่มาจากตนจริง
“คนคู่นี้นี่เล่าเป็นผู้ชี้ช่องให้หมู่ข้ามาหาคราวคับขัน ซ้ำยังบอกว่าท่านมีของขลังชนิดเดียวกัน ยินว่าศักดิ์สิทธิ์นัก หมู่ข้าจึงหวังความเมตตาอยากจักได้ไว้คุ้มภัยตนยามเดินทาง มิทราบว่าพ่อเฒ่ายังจะมีหลงเหลือบ้าง ฤา ไม่”
เมื่อสติแลปัญญาหวนกลับคืนดังเดิมแล้ว ความสงบอันเป็นวิสัยประจำกายตนจึงปรากฏดังเก่า แสร้งทำเป็นว่าหมู่คนเหล่านี้เป็นแต่เพียงพ่อค้าวาณิชธรรมดามิได้มีเชื้อสายสมมติเทพปลอมปนก็รู้สึกคลายใจ แลว่า
“การอันท่านประสงค์เครื่องรางมีชื่อคงผิดหวัง เพราะเหรียญ
เภตราวลาหก ปลุกเสกขึ้นเพียงครั้งเดียวเป็นครั้งสุดท้ายมีด้วยกันทั้งหมด ๙ ชิ้น แลบัดนี้เหรียญนั้นกระจัดกระจายสู่มือต่อมือ จากบิดาสู่บุตร จากพี่สู่น้อง จากญาติสู่ญาติ นานนับยี่สิบปีแล้ว เหรียญอันท่านได้มานี้จึ่งเป็นหนึ่งในเก้าของเหรียญทั้งหมด ข้ามิเห็นเป็นอื่นได้นอกจากคู่พี่น้องสิตางศุ์บุหลันผู้นั้นหวังสละให้มันเป็นเครื่องคุ้มภัยท่านหาเป็นอื่นไม่” วลาหกผู้เฒ่าค่อยๆยื่นเครื่องรางคืนลงบนพระหัตถ์ของพระมหาอุปราชา
พจน์ตวัดมองพินิจมาตะชั่วครู่ สายตาผสานกันมิเกินลมหายใจเข้าออก พจน์ก็ละจ้องเฒ่าเจ้าเรือน รู้สึกเจ็บลึกในห้วงหัวใจอีกครั้ง
“ขอบน้ำใจท่านมากที่แจงแถลงไข บัดนี้คนของเราฟื้นกำลังแล้วเห็นจะมิรบกวนผู้เฒ่าให้ล่วงเกินมัชฌิมยาม จำจะขอลา” อุปราชหนุ่มกระชับพระแสงทวนแน่น มาตะเงยหน้าขยับจะเข้าพยุงพจน์ แต่เจ้าหนุ่มมากโฉมรีบเกาะแขนเวฬุกับโกสินทร์ที่อยู่ใกล้กว่าแล้วยืนขึ้นโดยไม่ปรายตาแลดูอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“หาเป็นการรบกวนไม่” เฒ่าวลาหกผุดลุกยืนเช่นกัน “ท่านผู้นี้เพิ่งได้สติยังอ่อนกำลังมากนักเห็นควรนอนพักฟื้นสักชั่วยามหนึ่งก่อน ต่อรุ่งเช้าจึงค่อยออกเดินทาง หว่างนี้ข้าจัดเตรียมให้บุตรสาวหุงหาข้าวปลารับรองท่านอยู่มิให้ขาดตก ด้วยมีข้อใหญ่ใจความอย่างหนึ่งประสงค์จักมอบไว้เป็นความรู้”
“สิตางศุ์รองนายกองกำชับมาให้พวกข้าสอบถามเส้นทางเดินเหินออกนอกประตูช่องเขาสุวรรณคีรี ยินว่าท่านเคยร่อนเร่รักษาเยียวยาผู้คนในแถบนั้น ทั้งบัดนี้มีภัยอันตรายมืดทมิฬปกคลุมอยู่นอกด่าน เกรงจักไม่สะดวกในการเสาะหาไม้จันทน์มาค้าขาย” เวฬุล้วงถามโดยเร็วเมื่อนึกขึ้นได้ “หวังว่าท่านคงรู้ลู่ทางหลบหลีกหากเกิดเข้าตาร้ายไม่คาดคิด”
“ท่านทั้งหลายจงประทับนั่งลงก่อน” โกสินทร์ผ่อนแขนให้พจน์นั่งคืนดังเดิม ตอนนี้ใจตนเป็นปรกติดีแล้ว อาการเวียนหัวทุเลาลง หากนอนพักตามคำแนะของวลาหกผู้เฒ่าแล้วก็คงดีเช่นเดิม
“ดงไม้จันทน์หอมขึ้นหนาแน่นอยู่เบื้องหลังมหาเทวาลัยร้างแห่งหนึ่งตั้งอยู่ทิศตรงข้ามกับประตูช่องเขาสุวรรณคีรีห่างประมาณ ๑ โยชน์ ขั้นกลางคือป่าอาถรรพณ์อันตราย บัดนี้ขอบเขตลี้ลับนั้นเล่าลือว่า แม้แต่สรรพสัตว์ยามย่างกรายเข้าไปก็จักมิมีวันหวนคืนกลับมาเป็นข้อสงสัย หากท่านจะซอกซอนเข้าตัดไม้จันทน์หอม มีหนทางเดียวคือต้องผ่านนครไพรพนาวรรณและมหาเทวาลัยแห่งนั้น”
“เจ้าพูดประหนึ่งคิดอ่านให้เราฝ่าภัยมืดเดินดงเข้าไปตาย เหมาะควรอยู่หรือ” กฤษณะหลุดกิริยาสงบก็ฮึดฮัดตวาดอึ้งไปไม่ยั้งคิด
“ดูก่อน ท่านผู้ค้าขาย ด้วยแนวไพรพนากั้นขวางเป็นดั่งปราการชั้นแรก ซ้ำนอกเขตมหาเทวาลัยปรากฏเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ปกคลุมรกชัฎเป็นพืชน้ำนานาพรรณ ย่อมยากแก่การเดินผ่านเป็นกำแพงชั้นสอง หนทางครรลองอันข้ากล่าวจึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้น โดยย่างเข้าป่าอาถรรพณ์อย่างเงียบที่สุด โปรดอย่าโอ้เอ้เอ่ยทักในสิ่งไม่รู้แม้แต่คำเดียว จงตั้งจิตบริสุทธิ์อย่าหวั่นกลัว พ้นดงพฤกษาแล้ว จงหมายตารูปปั้นสิงหราชหน้าประตูมหาเทวาลัยเป็นหลักสำคัญ มีเป็นคู่เสมือนทวารบาลก่อนเข้าเขต ตรงฐานก่อศิลา จารึกอักขระโคลงสองบท แลบทท้ายมีข้อความหายไปหนึ่งคำของแต่ละบาท ท่านจงตรองด้วยสติปัญญาเถิดว่า คำเหล่านั้นคือสิ่งใด แล้วสิ่งนั้นจะเป็นกลไกเปิดเป็นช่องทางลับให้ท่านเล็ดลอดผ่านใต้มหาเทวาลัยไปผุด ณ ใจกลางดงไม้จันทน์หอมเป็นแน่แท้”
วลาหกผู้เฒ่ากล่าวเสริมเป็นลำดับชัดเจน
“แต่เหตุใดภัยมืดนั้นจึ่งบังเกิดสิงสู่ ณ เทวาลัยเทพจนเรามิอาจเดินผ่านได้โดยง่าย” อุปราชหนุ่มซักพระพักตร์ฉงน
“แหล่งที่แห่งนั้นเล่าลือว่า เมื่อหลายพันปีล่วงผ่านเป็นมหาสุสานฝังพระศพของมหากษัตริย์คนธรรพ์พระองค์หนึ่ง เหตุใดพระบรมศพกษัตริยาธิราชแห่งคนธรรพ์จึ่งถูกฝังอยู่นอกสุสานหลวงของมหาอาณาจักรอนันตาทมิฬนั้นสุดล่วงรู้ จวบกระทั่งเมื่อล่วงผ่านมามิถึงเดือนข่าวลือสะพัดไปทั่วว่า พระมหากษัตริย์คนธรรพ์พระองค์นั้นทรงพระนามว่า
พระเจ้าอนันตราช มหากษัตริย์ลำดับเก้าแห่งพระราชวงศ์คนธรรพ์” พจน์รวบมือกำแน่นขนลุกกราว ใจเต้นระทึกสุดหักห้าม “แลเงามืดจึ่งแผ่มาปกคลุมนับแต่นั้น หากท่านล่วงรู้หนังสือตำราประวัติศาสตร์แล้วไซร้จักมิสงสัยเลยว่า เหตุใดราชภัยจึงผุดขึ้นอยู่หน้าประตูราชอาณาจักรของชาวเรา” วลาหกเบิกตาโพลงขาวสะท้อนแสงไฟ
“ข้าอับจนปัญญานัก โปรดแถลงไขเถิด” โกสินทร์เฉลียวคิดชั่วครู่ก็มิเห็นคำตอบ วลาหกผู้ตาบอดทอดใจใหญ่ แลว่า
“กษัตริย์พระองค์นี้กล่าวขานกันว่าเป็นพระองค์สุดท้ายที่ได้ครอบครอง ไพลินนิลสี หนึ่งในมหานพมณีอย่างไรเล่า”
เด็กหนุ่มผู้เคยย้อนระลึกชาติลอบสังเกตมาตะ รูปหน้าอย่างเดียวกับพระเจ้าอนันตราชกำลังตั้งใจฟังอย่างแน่วแน่ โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า ถ้อยความทั้งนั้นกล่าวถึงอดีตชาติของตน
50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป______________________________
๑ โยชน์ : หน่วยวัดความยาวของไทยแต่โบราณ ๑ โยชน์ เท่ากับ ๔๐๐ เส้น หรือ ๑๖ กิโลเมตร
๒ ยาม : ส่วนของวัน วันหนึ่งมี ๘ ยาม ยามละ ๓ ชั่วโมง ในบาลีแบ่งกลางคืนเป็น ๓ ยาม ยามละ ๔ ชั่วโมง เรียก ปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม
______________________________
ช่วงพูดคุยตอบคำถามรอไม่นาน แต่อ่านแล้วยังค้างอยู่ดี มันยังไม่ได้ต่อตอนที่แล้วไง แค่ได้ความชาติก่อนมาอีกนิด
ใจเย็นๆครับ อย่างเพิ่งรีบร้อน ผมมาต่อให้สมใจแล้วครับ อาการค้างนี่ถือว่าเป็นความตั้งใจแกล้งของผู้เขียนเองแหละครับ อิอิ หวังว่าตอนล่าสุดนี่จะไม่เกิดอาการ 'ค้าง' อีกนะครับ
เศร้าไหมครับตอนที่ผ่านมา ผมนี่แทบเขียนต่อไม่ได้เลย
เพิ่มปมมาอีกแล้วนะครับคนแต่ง รู้สึกสองคนนี้ผูกพันธ์มากี่ชาติภพเนี้ย รู้สึกว่าพจน์ของเราจะเป็นตัวทำให้มาตะในแต่ละชาติต้องจบชีวิตนะ แทนที่จะเป็นตัวทำให้มีคุณ แต่เป็นโทษซะนี้ ล่าสุดก็น้ำตาเป็นสายเลือด โอ้ย ใจจะขาดตาม แต่เพลงเพราะมากแต่เศร้าสุดๆ แทนที่จะหวานเหมือนชื่อเพลง แฟนนิยายคนนี้ก็ยังติดตามเสมอนะครับ ว่างตอนไหนก็เข้ามาอ่าน คนแต่งชอบทิ้งปมไว่ท้ายตอนตลอดเลยอ่ะ มันคาใจมากเลยขอบอก
ครับ เป็นปมที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่จำทุกปมได้แน่ครับ จะมีปมไหนที่คลายไปแล้วก็ถือว่าหมดหน้าที่ผู้เขียน ส่วนปมไหนที่ค้างอยู่ก็ยังเป็นหน้าที่ของผู้เขียนต่อไปที่จะทยอยคลี่คลาย ถ้าถึงตอนนี้ก็สามชาติภพได้แล้วครับ คือ ภพปัจจุบันที่พจน์ข้ามพิภพไปเจอมาตะ หนึ่ง พระเจ้าอนันตราช(มาตะ)คู่กับพระเจ้าวัชรโกมล(พจน์) สอง และล่าสุดก็พระเจ้าพัชรพรรดิ(มาตะ)คู่กับพระเจ้ารพีกานต์(พจน์) สาม ครับ ให้ทายว่ามีอีกหรือเปล่า อิอิ ในอดีตชาติ พจน์จะเป็นสาเหตุให้มาตะตายหรือเปล่าเนี่ย ต้องมาคุยกันยาวครับ แต่เท่าที่เรื่องราวเล่าถึงถ้ามองจากมุมนั้นก็คงมีส่วน โดยเฉพาะภพชาติกินนร ส่วนภพชาติคนธรรพ์นั้น ต้องลองกลับไปอ่านดีๆครับ ว่าจะเป็นอย่างที่คุณกล่าวหาพจน์หรือเปล่า อิอิ เพลงคำหวานมีหลายเวอร์ชั่นมาก แล้วที่เป่าด้วยขลุยซึ่งนำมาประกอบตอนล่าสุดก็เศร้าสุดบรรยายจริงๆครับ ขอบคุณที่มี 'แฟนนิยาย' ติดตามเหนียวแน่นขนาดนี้ ทั้งติท้วงในข้อลืมหลง ทั้งชมเป็นแรงกำลังใจ ยินดีครับที่งานเขียนชิ้นนี้เหมาะใจกับคนอ่าน ขอบคุณครับ
อดีตชาติเศร้าสุดจะบรรยาย TT
เป็นตอนที่เขียนไปก็ไม่อยากให้ตัวละครต้องมาพบจุดจบแบบนี้เลย ขัดใจตัวเองสุดๆเลย ถ้าเลือกได้จะแต่งให้สมหวัง อ้าว ถ้างั้นก็คงไม่ต้องมีภพชาติมาตะพจน์ล่ะสิ แฮปปี้เอนดิ่งตั้งแต่ภพชาติกินนรแล้ว ฮ่าๆ ขำตัวเอง ดีใจที่ทำคุณเศร้า 'สุดบรรยาย' ได้นะครับ
มาตะ ช่างน่าขัดใจจริงๆ
ความจริงแล้ว เห็นมาตะโดนฉกจูบ ยังไม่เจ็บเท่าเห็นมาตะรั้งอีกฝ่ายไว้ เมื่ออีกฝ่ายเหมือนจะร้องไห้
ทิ้งให้อีกฝ่ายร้องไห้ก็ได้ มีประโยชน์อะไร ถ้าปลอบอีกฝ่าย แล้วคนรักของตัวเองกลับเป็นฝ่ายเสียน้ำตา
จริงครับ เห็นด้วยกับคุณอย่างยิ่ง เรื่องจูบอาจไม่ทันตั้งตัวเพราะไม่เต็มใจ แต่ยังดึงรั้งไว้นี่ปวดใจยิ่งกว่า ถ้าเป็นพจน์ก็คงเหมือนเจ็บซ้ำสอง แต่มาตะก็ต้องมีเหตุผลแหละที่ดึงรั้งไว้ การเป็นคนหล่อ แล้วก็คนดีไปด้วยเนี่ย มันน่าเหนื่อยใจจริงๆนะครับ ฮ่าๆ หวังว่าคุณจะชอบนิยายเรื่องนี้และติดตามไปเรื่อยๆจนจบนะครับ