First Love
“ไปทำอะไรมากันต์ รู้ไหมทำไมเราถึงถูกเรียกเข้ามา” พี่จุ๋มถามผมขึ้น ผมยิ้มน้อยๆก่อนจะส่ายหน้า
“อ้าวคุณธนากร มีอะไรไหมคะ” หัวหน้าฝ่ายถามคนที่เดินย้อนกลับเข้ามา จะว่าไปเขาที่ผมรู้จักไม่ได้ชื่อธนากร หรือผมแค่ไม่รู้ว่าเขามีฝาแฝด
“มีอะไรกันครับ ผมอยากลองฟังด้วย”
เสี้ยววินาทีที่เราสบตากัน เขายักคิ้วให้ผม ผมแน่ใจแล้วว่านี่น่าจะเป็นตัวจริงผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาชื่อธนากร
“นี่น้องกันต์ค่ะ ที่ว่าจะให้เป็นเฮดโปรเจคใหม่”
ผมกำลังงงว่าพี่จุ๋มไม่ได้เรียกผมมาด่าเหรอ
ห้องสี่เหลี่ยมบนชั้น 11 มีคนสามคนที่กำลังนั่งคุยเรื่องโปรเจคใหม่อย่างออกรส พี่จุ๋มบอกว่าเห็นผมทำงานดี เลยอยากให้เข้ามาเป็นเฮดทำงานออนไลน์มาร์เก็ตติ้งสำหรับโปรเจคคอนโดใหม่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งถ้าผมทำโปรเจคนี้ได้จนจบผมจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นหัวหน้าทีมการตลาดออนไลน์ ผมที่กำลังตื่นเต้นกับงานชิ้นใหญ่เหลือบมองคนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆกันอยู่เป็นระยะ
เขานั่งจดเรื่องที่พี่จุ๋มเล่าแต่แค่พักเดียวก็ออกไปรับโทรศัพท์ พี่จุ๋มถึงได้ฤกษ์เปลี่ยนเรื่อง
“เรื่องหัวหน้าของกันต์พี่ไม่อยากฟังความข้างเดียวเลยเรียกกันต์มาหา”
“ครับพี่” ผมตอบรับ
“คือคุณออยเขาเป็นเพื่อนคุณธนากรสมัยเรียนที่ต่างประเทศ คงไว้ใจกันถึงยอมให้เข้ามาทำงานด้วย” และคงไว้ใจมากถึงยอมให้มาจับงานหัวหน้าเพราะแต่เดิมแผนกผมไม่ได้มีหัวหน้า แต่ก่อนทุกคนทำงานขึ้นตรงกับพี่จุ๋มคนเดียว
“คุณออยเองแกก็เคยทำงานบ.อสังหาอสังหาฯที่อังกฤษมาก่อน”
“อ่า ครับ”
“เขาบอกพี่ว่ากันต์ไม่ตามงานเลย”
“วันนั้นผมเข้าประชุมโปรเจคครับ แล้วเขามาขอให้ผมทำสรุปการประชุมทีมให้ ผมเลยบอกผมทำไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ผม”
พี่จุ๋มทำหน้าสงสัยอยู่หน่อย
“เขาทำแบบนั้นเหรอ”
“ครับ” ผมตอบรับก่อนจะพูดต่อ
“เขาบอกจะมาบอกพี่ ผมรีบเลยบอกคุณออยไปว่าก็แล้วแต่ ประมาณนี้มั้งครับ ผมก็ปากไม่ดี”
สาวใหญ่วัยเกือบสี่สิบถอนหายใจใส่ผม พี่จุ๋มแกเด็ดขาดแต่ก็มีเหตุผลพอ
“คุณออยเธอเข้ามาใหม่ อาจจะยังไม่รู้มั้งว่าหน้าที่ใครทำอะไร เดี๋ยวพี่ไปแจกแจงหน้าที่เก่าให้ในอีเมล ถ้าเขาอยากเปลี่ยนผังการทำงานในทีมด้วยค่อยมาประชุมกัน”
“อ่า ครับพี่”
ผมที่ได้ยินมาสักพักว่าฝั่งบริหารเปลี่ยนนู่นนี่เยอะแยะแต่ไม่คิดว่าตัวผมเองก็จะถูกเปลี่ยนไปทำหน้าที่ใหม่ด้วย
หลังจากคุยกับพี่จุ๋มเสร็จผมก็กลับมาเก็บของที่โต๊ะ วันนี้กะจะไปวิ่งที่สวนคลายเครียดสักชั่วโมง แล้วค่อยกลับบ้าน ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆก็มีคนมายืนอนู่ข้างหลัง
“ปกติกลับดึกแบบนี้เหรอ”
ผมตกใจจนเกือบจะหลุดด่าแต่พอเห็นว่าเป็นหลานเจ้าของบริษัทเลยค่อยๆตอบให้มีมารยาท
“ก็ ไม่ครับ”
“กันต์”
“ครับ” ผมขานรับ แต่เขาไม่พูดอะไรต่อ
“ถ้าเป็นเรื่องโปรเจค ผมจะพยายามครับ”
“กันต์” เขาเรียกผมอยู่นั่น แถมมองจนผมแทบจะพรุนไปทั้งตัวแต่ก็ยังไม่พูดอะไรสักที
“สวัสดีครับ”
ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่ผมชิงวิ่งออกจากห้องก่อนเพราะตอนนี้มีแค่ผมกับเขาสองคน เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย ที่จริงแล้วผมคิดว่าเขาจะทำเป็นไม่รู้จักกันเสียอีก
ถ้าเป็นเมื่อก่อนอะไรที่เป็นเรื่องของเขาผมคงคิดมาก นอนไม่หลับ กินอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมเดินจากตึกมาที่สวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลกัน ฝากกระเป๋า เริ่มวอร์มแล้วออกวิ่ง คิดไว้ว่าหลังจากนี้จะไปกินราดหน้าเจ้าโปรดแล้วก็นอนบนเตียงนุ่มๆ แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว
ตั้งแต่มาทำงานแล้วย้ายออกจากหอพักที่เดิม ผมถึงรู้ว่าห้องมันก็มีผลกับการนอนอยู่มากทีเดียว ผมย้ายมาเช่าคอนโดแถวๆที่ทำงานแบบเดินไปกลับได้ ผมหาได้ราคาไม่แพงนักเพราะให้ที่ทำงานช่วยดูให้
ตอนนี้ผมมีความสุขตามอัตภาพมนุษย์เงินเดือน แต่ที่ผมรู้สึกดีเพราะผมว่าผมเป็นคนที่มีสติมากขึ้น ในระหว่างที่พี่ปูบ่นผมทุกวันเรื่องที่ผมยอมให้คุณออยเสียดสีบ้าง บ่นเรื่องงานบ้าง ผมกลับรู้สึกว่าผมแค่ต้องทำงานตามหน้าที่ ถ้าเขาไม่พอใจก็ไม่ใช่เรื่องของผมที่จะต้องไปขอให้เขามาพอใจ
“พี่ปู ข้าวพี่เหรอ ขอบคุณครับ” ผมถามพี่ปูที่มักจะหิ้วข้าวหรือขนมมาฝากเป็นประจำ
“ไม่ใช่นะ” พี่ปูบอก
ผมขมวดคิ้วก่อนจะอ่านโน๊ตที่แปะไว้หน้ากล่องโฟม
--ผมไม่รู้ว่าคุณชอบอะไรหรือแพ้อะไรไหม ทานให้อร่อยนะ--
ผมมองข้าวกับไก่ย่างแล้วก็สลัดในกล่อง อร่อยก็เหี้ยแล้ว
“พี่ปูกินไหม” ผมหันไปถามคนที่กำลังชงกาแฟอยู่
“ไม่เอา เผื่อเป็นหัวหน้าวางยา”
“เออว่ะ”
“แคนทีนก็มี ทำไมต้องหิ้วอาหารเข้ามาในห้องคะ” เสียงสวรรค์ดังขึ้นเมื่อเห็นกล่องข้าวผม ปกติแล้วถ้าหิ้วข้าวมาเองแล้วไม่อยากไปแคนทีนก็กินในห้องทำงานได้ แต่คราวนี้เห็นทีจะไม่ได้แล้ว
“ขอโทษครับ” ผมบอกปัดไปเพื่อตัดรำคาญ
“เขาอะไรนักหนากับมึงวะ”
“ไม่รู้พี่”
วันนี้ผมอยู่ทำโอทีนิดหน่อยเพราะไม่อยากให้งานค้างไปอาทิตย์หน้าเยอะ เห็นว่าหัวหน้าใหม่ผมก็อยู่ดูยูทูปในช่วงเวลาโอทีเหมือนกันแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งเห็นใครบางคนมายืนอยู่ที่หน้าห้อง นอกจากหัวหน้าจะดูว่างงานแล้วท่าทางผู้บริหารที่นี่ก็คงจะว่างงานด้วย
“มีอะไรคะกันย์” หัวหน้าสาวสวยลุกขึ้นถามคนที่เดินเข้ามาในห้อง ผมมองตามหลังพี่ปูที่โบกมือลาแล้วเดินออกจากห้องไป
“ผมเข้ามาดู เห็นว่าแผนกคุณมีปัญหา”
“มีตัวปัญหาค่ะ” คุณออยว่าก่อนจะหันมามองผม แต่ก็ช่างเขาเถอะ ผมลุกขึ้นเก็บของแล้วยกมือไหว้ทุกคนแบบไม่มองหน้าใคร
“ผมกลับแล้ว สวัสดีครับ” ไม่อยากทำโอทีต่อแล้ว...ลาเลยแล้วกัน
“กันต์” คุณธนากรเรียกผมไว้ พร้อมกันนั้นพี่ๆในห้องที่ยังเหลืออยู่หลายคนก็หันมามองเพราะก็รู้ๆกันอยู่ว่าวันก่อนผมถูกเรียกไปห้องพี่จุ๋มเพราะมีเรื่อง หลายคนบอกให้ผมสู้บ้าง และอีกหลายคนมีแผนว่าจะลาออกเพราะไม่ชอบหัวหน้าใหม่ ผมที่ไม่รู้ต้องทำยังไงได้แต่ยิ้มรับ
“อ่า...ครับ”
“คุณ กินข้าวยัง”
“ข้าว” ผมนึกอยู่หน่อย ก่อนจะตอบ
“ไม่ได้กินครับ” ผมตอบก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง ที่ไม่กินเพราะหัวหน้าไม่ให้กินในห้อง พอเที่ยงผมก็ต้องรีบออกไปหาลูกค้า ข้าวกล่องนั้นก็ยังวางอยู่ที่เดิมจนเย็น ตอนนี้เลยทิ้งไปแล้วเพราะกลัวมันจะเสีย
เอาจริงๆผมก็เสียดายนะ...เพราะผมเห็นแก่ของฟรี
“เดี๋ยวกันต์” เขาแทรกตัวเข้ามาในลิฟต์ที่กำลังจะปิดก่อนจะคว้ามือผมไว้
“ปล่อยมือกู” ผมลืมตัว ลืมไปว่าเขาเป็นหลานเจ้าของบริษัท
“เอ่อ ปล่อยมือผมครับ” ผมว่าพร้อมกับค่อยๆดึงมือตัวเองออก เขายิ้มเพราะอะไรไม่รู้แต่ก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี
“เอ้ย!” ผมทั้งตะโกนทั้งหลบจากมือของเขาที่อยู่ๆก็ยกขึ้นมาโอบผมไว้
...ถีบหลานเจ้าของบริษัทนี่ผิดไหม….
“ปล่อยแล้ว” กันย์ว่าพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง เขาดูสนุกทั้งๆที่ผมขมวดคิ้วแน่น
“เป็นบ้าอะไรวะ” ผมบ่นพร้อมกับมองเลขบนหน้าจอที่บอกว่าใกล้ถึงชั้น 1 แล้ว
“เออ บ้า” เขามองหน้าผม
กันย์ในตอนนี้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เขาสวมเสื้อเชิ้ตขาวกับกางเกงสแล็คสีกรมท่า หน้าตาของเขาดูเปลี่ยนไปนิดหน่อย ผมที่เคยยาวเกือบประบ่าถูกตัดสั้นเป็นทรง ร่างกายเขาดูแข็งแรงถ้าเทียบกับเมื่อก่อน แต่นี่ลิฟต์จะเปิดแล้ว เรื่องของเขาก็ไม่ใช่เรื่องของผมแล้ว
“กราบลาครับ”
ผมออกวิ่งทันทีที่ลิฟต์เปิด พร้อมกับได้ยินเสียงหัวเราะไล่หลัง นี่ผมต้องวิ่งกลับบ้านไปอีกกี่วัน ทำไมรู้สึกชีวิตไม่ปลอดภัยเลยช่วงนี้
TBC.
________________________________