ตอนพิเศษ หวงรัก 2
พี่เมฆดูแปลกๆไปจงรักคิดว่าคนรักของเขามีพฤติกรรมแปลกไป ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็รู้สึกได้ถึงความผิดปรกติบางอย่าง เนื่องจากขณะที่กำลังอาบน้ำทำธุระก่อนไปทำงาน คนตัวเล็กก็สังเกตเห็นร่องรอยสีจางตรงต้นคอสองจุด ชายหนุ่มหน้าแดงวาบทันทีเมื่อลองส่องกระจกดูดีๆอีกครั้งแล้วพบว่ามันเป็นรอยจากการขบเม้มของคนหน้าดุไม่ผิดแน่
ตามปรกติเมฆาไม่เคยทิ้งรอยเอาไว้ให้เห็นชัดเลยสักครั้ง แม้ว่าคืนนั้นๆคนหน้าดุจะกอดเขาอย่างร้อนแรงแค่ไหน เพราะเจ้าตัวรู้ว่าจงรักจะอายหากตื่นขึ้นมาพบรอยพวกนั้นเกิดขึ้นในจุดที่คนอื่นสังเกตได้ แต่ทำไมเมื่อคืนนี้ถึงทำทิ้งเอาไว้กัน
จงรักรีบอาบน้ำให้เสร็จแล้วปัดภาพลามกเมื่อคืนทิ้ง พยายามคิดว่าพี่เมฆของเขาคงไม่ได้ตั้งใจ บางทีมันอาจจะมีเผลอไปบ้างกระมัง จากนั้นจึงเดินออกไปแต่งตัว
แต่ทว่าขณะที่กำลังยืนคิดอยู่หน้าตู้ลิ้นชักว่าจะใส่เสื้อตัวไหนดี มันถึงจะช่วยปกปิดอำพรางร่องรอยสีกุหลาบมิด จงรักก็รู้สึกถึงลมอุ่นร้อนที่ต้นคอด้านหลัง พอจะหันไปมองริมฝีปากหยุ่นนิ่มของคนก่อเรื่องก็ประทับบนผิวขาวบริเวณซอกคอ สัมผัสนั้นกดย้ำๆที่ผิวเพียงแผ่วเบา ถึงอย่างนั้นคนถูกกระทำก็รู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว
แม้หัวสมองจะมึนเผลอไปชั่วขณะ แต่พอระลึกได้ว่าคนร้ายกาจประทับจูบซ้ำๆอยู่ที่ตรงไหน จงรักก็ส่งเสียงขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนั้นจะเต็มไปด้วยความสั่นพร่าและเบาหวิว
“พ…พี่เมฆ ไหนเคยบอกว่าจะไม่ทำรอยไว้ไงครับ”
“พี่เคยพูดด้วยเหรอ” เสียงทุ้มตอบกลับชิดริมใบหู ก่อนส่งแขนสองข้างรวบกอดรอบเอวของคนตัวเล็กเอาไว้
“เคยสิครับ” จงรักเอี้ยวหน้ามาสบตาคนความจำเสื่อมชั่วขณะ แต่ก็ต้องหลบตาลงไปโดยเร็ว เพราะตาดุคู่นั้นมองมาต่างจากทุกที มันทำให้อดตัวสั่นนิดๆไม่ได้
ก็ทำเหมือนจ้องจะกินกันเข้าไปทั้งตัวอย่างนั้น…ใครจะไปจ้องกลับไหว จงรักได้แต่อุทธรณ์ในใจเท่านั้นเพราะไม่กล้าพูดออกไป ในช่วงที่ต่างคนต่างก็เงียบในหัวใจเต้นตูมตามเพราะเดาอารมณ์แปลกๆของอีกฝ่ายไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง เหมือนกับว่าคนตัวสูงเพิ่งคิดได้ว่าต้องตอบอะไรสักอย่าง เขาจึงพูดขึ้น
“เมื่อคืนพี่ลืมตัวน่ะก็เลยเผลอทำไป ยังไงก็ช่างมันเถอะเนอะ ไม่ได้น่าเกลียดหรอกแค่รอยบางๆ ดูๆไปก็สวยดี”
“พี่เมฆ…” จงรักครางออกมาเบาๆ ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ทำไมถึงพูดเรื่องน่าอายอย่างนั้นออกมากันนั้น
“ครับ” พอได้ยินเสียงทุ้มตอบ คนตัวเล็กจึงเลือกถามอย่างระมัดระวัง
“พี่เมฆเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่านี่ รักคิดว่าพี่เป็นอะไรล่ะ” อีกฝ่ายถามกลับยิ้มๆ
“ไม่รู้สิครับ…คือ…”
ขณะที่กำลังประมวลผลในสมอง พยายามหาเหตุผลว่าเมฆาเป็นอะไร หรือว่าตัวเองทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจหรือเปล่า มือปลาหมึกกับริมฝีปากอุ่นร้อนก็จู่โจมอีกครั้งจนสมาธิของจงรักแตกกระเจิง นึกหาคำตอบหรือข้อสันนิษฐานอะไรไม่ออกสักข้อเดียว
แต่จู่ๆเมฆาก็หยุดเคลื่อนไหวแล้วยอมปล่อยน้องให้เป็นอิสระ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ ทั้งรอยยิ้มและสายตาที่มองเห็นทำให้จงรักรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแกล้งให้หัวหมุนก็ไม่ปาน
“หึ…แต่งตัวเถอะ เดี๋ยวไม่ได้ไปทำงานกันพอดี” ว่าแล้วก็ผละไปอาบน้ำ ทิ้งให้จงรักยืนงงงวยอยู่นานกว่าจะแต่งตัวเสร็จ
แต่ทั้งหมดที่จงรักเจอมันยังไม่หมด เหมือนกับว่าเรื่องตอนเช้าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะตอนที่เมฆาไปส่งจงรักที่ทำงาน เจ้าตัวก็อิดออดอยู่เสียนานทั้งที่ทุกวันส่งแล้วก็แยกไปทำงานเลย แต่วันนี้ไม่รู้นึกอย่างไรถึงหอบเอาอาหารเช้ามาทานด้วยกันที่ร้าน
กระทั่งพนักงานคนแรกมาซึ่งก็คือนันท์มาถึง พี่เมฆของจงรักก็ยังไม่ยอมไป มิหนำซ้ำยังทำเรื่องให้จงรักได้อายเพิ่มขึ้นอีกเป็นหลายกระทง ทั้งที่แต่เดิมพวกเขาทั้งสองคนไม่ใช่คู่ที่จะแสดงความรักในที่สาธารณะนัก
“…” อยู่ๆคนหน้าดุอ้าปากค้างเอาไว้ พร้อมกับมองหน้าจงรัก
“ครับ?” จงรักมองอย่างไม่เข้าใจ แต่พอเมฆาชี้ไปที่จานข้าวของจงรักแล้วชี้มาที่ปากของตัวเอง จงรักก็เข้าใจทันที
พี่เมฆอยากให้จงรักป้อนให้ป้อนทั้งที่มีคนอื่นนั่งทานอาหารเช้าอยู่บนโต๊ะด้วย ให้ป้อนทั้งๆที่รู้ว่านันท์แอบลอบมองพวกเขาเป็นระยะ ถ้าเป็นปรกติก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ตอนอยู่บ้านจงรักก็เคยทำเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง แต่นี่มีคนอื่น จงรักอยากขีดเส้นใต้คำว่าคนอื่นสักสามเส้น เพราะรู้สึกอายเอามากๆ แต่พอมองคนหน้าดุที่ยังดื้อและอ้าปากให้เขาป้อนค้างอยู่อย่างนั้นไม่ยอมลดละ จงรักจึงยอมตักอาหารป้อนให้ท่ามกลางความรู้สึกกระดากอายอย่างที่สุด
เมื่อจงรักยอมทำตามคนได้ดั่งใจก็เคี้ยวไปยิ้มไป พาลทำให้จงรักยิ้มตามไปด้วย ใครจะว่าเขาหลงแฟนก็ช่าง แต่พี่เมฆของจงรักน่ารักขนาดนี้ ดังนั้นให้จงรักป้อนอีกกี่คำก็จะไม่บ่น ถึงจะต้องสู้ท่ามกลางสายตาของนันท์ และพี่ๆที่เพิ่งมาถึงอีกสองคน จงรักก็จะยอมสู้อายให้ตายกันไปข้าง
หลังผ่านมื้ออาหารเช้าสุดสวีทไปแล้วเมฆาก็ยอมไปทำงาน แต่จงรักนั้นแย่หน่อยเพราะต้องทนให้พี่มิ้นท์และพี่ขิมทั้งหยอกทั้งแซวตลอดวัน จนบางทีก็เกือบจะหนีโดยการมุดหัวลงไปแอบในแจกันดอกไม้ จะมีก็เพียงแค่นันท์คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ล้อเลียนอะไร จงรักจึงเกาะติดอยู่กับนันท์เสียส่วนใหญ่
ทว่าขณะที่จัดเรียงตู้เย็นใหม่หลังร้านเพื่อเตรียมรับดอกไม้อีกล็อตเข้ามา อยู่ๆนันท์ก็ถามบางอย่างขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“พี่จงรักครับ”
“หืม…ว่าไงครับ” จงรักส่งเสียงตอบก่อนเงยหน้าขึ้นมาจากลังใส่ดอกลิลลี่
“แพ้อะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่นี่ ทำไมเหรอครับ”
“ก็ที่คอเหมือนมีรอยปื้นๆคล้ายผื่นขึ้นน่ะครับ”
“อ๋อ นี่น่ะ…เอ่อ” กำลังจะตอบอย่างลืมตัวว่าไม่ใช่ผื่นแต่เป็นรอยรักที่ถูกฝากไว้เมื่อคืน จงรักก็ยั้งปากเอาไว้ทัน ทั้งยังขยับคอเสื้อบังด้วย
“…” ในทีที่เห็นแรกนันท์ก็ไม่แน่ใจ ทว่าตอนนี้ออกจะชัดเจนว่ามันคืออะไร
“ไม่ใช่ผื่นหรอก”
“พี่เมฆเหรอครับ”
“อ…อื้ม” จงรักเฉลยเสียงเบาด้วยความรู้สึกร้อนที่แก้มเจียนระเบิด นันท์จึงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนถามขึ้นอีกคำ
“พี่กับพี่เมฆคบกันมานานหรือยังครับ”
“พี่กับพี่เมฆเหรอ…”
“ขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัวครับ” อีกฝ่ายรีบขอโทษ
“ไม่เป็นไรๆ ถามได้” จงรักว่าอย่างไม่ถือสา ก่อนพูดต่อ “พี่คบกันมาปีกว่าแล้วล่ะ”
“เพิ่งปีกว่าเองเหรอครับ”
“อื้ม…เพิ่งปีกว่า”
“ดูพวกพี่รักแล้วก็เข้าใจกันดี ผมเห็นบางทีมองกันไปมาก็รู้เรื่องทั้งที่ไม่ได้พูดกันด้วยซ้ำ ผมก็เลยคิดว่าคบกันมานานแล้ว”
“ฮ่าๆ พวกพี่ดูไม่ค่อยคุยกันเหรอ พี่ว่าก็คุยเยอะแล้วนะ แต่ก่อนพี่เมฆเงียบกว่านี้ตั้งเยอะเลยล่ะ” นึกไปถึงเมื่อก่อนที่พวกเขาคบกันใหม่ๆ จงรักคิดว่าพี่เมฆคุยน้อยกว่านี้ตั้งเท่าหนึ่งหรือสองเห็นจะได้
“อืม..พี่เมฆเขาดูดุๆ ก็เหมาะกับบุคลิกที่ไม่ค่อยพูดอยู่เหมือนกัน แต่พี่จงรักคุยเก่งแล้วก็เฟรนด์ลี่นะครับ ไม่น่าเชื่อว่าจะคบกันได้” นันท์ว่าพลางทำสีหน้าแปลกๆ แต่จงรักไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่คัดดอกลิลลี่ในลังไม้
“นั่นสิ ตอนแรกพี่ก็ไม่คิดว่าจะได้คบกับเขาหรอก”
“แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วใช่ไหมครับ”
“อื้ม…ดีสิ”
“พี่จงรักเองก็มีความสุขดีใช่ไหม”
“มีมากจนไม่คิดว่าจะมากได้ขนาดนี้เลย” ตอบถึงตรงนี้จงรักจึงหันมายิ้มยืนยัน มันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความน่ารัก ดึงดูด เจิดจ้า ทั้งยังทำให้นันท์เชื่อจริงๆ ว่าจงรักเป็นคนหนึ่งที่มีความสุขที่สุดในโลก
“
ใกล้เสร็จหรือยังรัก” เสียงเข้มของใครอีกคนถามขึ้นเย็นๆ ทำเอาจงรักสะดุ้งสุดตัว
“พี่เมฆ! ทำไมวันนี้มาเร็วจังครับ” จงรักหันขวับกลับไปก็เจอคนหน้าดุยืนทำหน้าถมึงทึงรออยู่
“ไม่เร็วหรอก นี่ห้าโมงครึ่งแล้วนะ” เมฆาตอบ ทว่าดวงตาของเขามองไปที่ผู้ชายอีกคนในห้องอย่างเชือดเฉือน
“ตายล่ะ ห้าโมงครึ่งแล้วเหรอครับ อยู่ในนี้นานจนลืมเวลาไปเลย พี่เมฆนั่งรอข้างนอกก่อนนะครับ อีกเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไร พี่นั่งอยู่เป็นเพื่อนในนี้ดีกว่า” พูดจบ ยังไม่ทันที่จงรักจะทักท้วง คนตัวสูงก็เดินออกไปยกเก้าอี้เข้ามาในนั่งในห้องด้านหลังด้วยอีกคน
การทำงานหลังจากนั้นจึงทำให้จงรักรู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้องเย็นก็ไม่ปาน นันท์ไม่ยอมส่งเสียงคุยกับจงรักอีกเหมือนก่อนหน้า เมฆาเองก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน เอาแต่ปล่อยรังสีน่ากลัวๆออกมาเสียจนมือของจงรักสั่นไปหมดทุกครั้งที่เหลือบตามอง
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดดอกไม้ทั้งหมดก็ถูกจัดเรียงเรียบร้อย พนักงานทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ทั้งพี่มิ้นท์และพี่ขิม ส่วนนันท์นั้นขอติดรถไปลงป้ายรถเมล์ด้วย จงรักผู้ใจดีก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทางฝ่ายคนขับก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาไปตลอดทาง กระทั่งมองนันท์ลงจากรถไปยืนยิ้มหวานโบกมือให้จงรักที่ข้างถนนแล้ว เมฆาจึงเริ่มพูดด้วยเสียงเรียบๆ
“สนิทกันดีนะ”
“นันท์เป็นเด็กดีน่ะครับ ทำงานเก่งด้วย” จงรักหุบยิ้มแล้วหยุดโบกมือ ก่อนหันมาบอก
“เหรอ”
“พี่เมฆไม่หึงใช่ไหมครับ”
“…”
“รักไม่ได้คิดอะไรกับน้องนะครับ” จงรักรีบบอก จากประสบการณ์เมื่อคราวที่ไปเชียงใหม่ด้วยกันตอนสงกรานต์ ทำให้จงรักระลึกได้ว่า เมฆาเคยบอกว่าตัวเองขี้หึง และจงรักก็ได้ประจักษ์กับตัวมาแล้ว
“พี่เชื่อรัก”
“ขอบคุณครับ” จงรักถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“แต่พี่ไม่เชื่อนายคนนั้น”
“โธ่…พี่เมฆครับ น้องเขาไม่ได้คิดอะไรกับผมหรอกครับ”
“ใครจะรู้ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าเขามองเราจนตาเชื่อม”
“ตอนไหนกันครับ” จงรักประท้วง เพราะคำว่ามองจนตาเชื่อมนั่นมันออกจะเกินจริงไปสักหน่อย
“ตอนรักยิ้ม” เมฆาสูดลมหายใจครั้งหนึ่งก่อนพูดต่อ “
ทุกครั้ง”
“พี่เมฆรู้ได้ไงครับ”
“
เพราะพี่มองอยู่ไงล่ะ”
จงรักเงียบเสียงลงเพราะเถียงไม่ได้ เมื่อพี่เมฆยืนยันอย่างนั้นมันก็คงจะจริงอย่างที่เจ้าตัวว่า แต่จงรักแค่คิดว่านันท์อาจไม่ได้มองตัวเองเพราะความเสน่หาอะไรทำนองนั้นหรอก อย่างน้อยจงรักก็เชื่อแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่าเมฆาจะไม่ยอมเชื่อแบบเดียวกัน
“
ถ้าเขาจะมองก็ปล่อยเขาเถอะครับ เพราะยังไงผมก็รักพี่คนเดียว คนอื่นๆน่ะผมมองไม่เห็นหรอก”
“พี่รู้ พี่ขอโทษ” ได้ยินน้องพูดแบบนั้นเมฆาก็อ่อนลง เขารู้อยู่แล้วว่าจงรักมีแค่เขา แต่ไอ้นิสัยที่ชอบขี้หึงมันก็ไม่หาย บางทีมันอาจฝังลึกอยู่ในกมลสันดานของเขาไปแล้วกระมัง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ หึงบ้างก็น่ารักดีครับ ไม่ได้เห็นนานแล้วด้วย ฮ่าๆ”
“พี่ไม่ขำด้วยหรอกนะ”
“โอ๋ๆ ขำหน่อยนะครับ หรือจะอมยิ้มนิดๆก็ได้” ไม่ว่าเปล่า จงรักยังทำใจกล้าขยับตัวไปหอมแก้มของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าไฟแดงตรงหน้ายังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนสี
“ก็เราเป็นเสียอย่างนี้” ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่เมฆาก็หลุดยิ้มออกมาจริงๆ ก่อนจะลูบผมนิ่มเบาๆ
เพราะคนของเขาน่ารักแบบนี้ไง แล้วจะห้ามใจไม่ให้หึง ไม่ให้หวง เขาคงห้ามไม่ได้จริงๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ยิ่งนึกถึงงานที่ต้องทำในเร็ววันนี้เมฆาก็ยิ่งหนักใจ นี่ถ้าต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน เขาจะทำใจห่างจากคนรักได้อย่างไรกันนะ
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
มาแล้วค่าาาาา
พี่เมฆเขาเป็นคนชัดเจนค่ะ พอน้องถาม เขาก็บอกเลยว่าขี้หึงค่ะ
พี่แกประกาศมาตั้งแต่แรกแล้ว(ตอนพิเศษในเล่ม แฮ่ๆ)
มาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนคนขี้หึงเขาไม่อยู่ อุอิ
ขอบคุณที่ยังคิดถึงพี่เมฆกับจงรักนะคะ
ดีใจมากเลยอ่านกันเต็มเลย
จะรีบลงตอนต่อไปเร็วๆค่ะ
ส่วนเรื่องอื่นก็จะพยายามรีบลงด้วย
เจอกันตอนหน้านะคะ
ปล.ที่มีคนถามเกี่ยวกับเรื่องหนังสือ ตอนนี้ยังมีขายนะคะ จะมีไปลงงานหนังสือด้วย
ยังไงก็ลองไปอ่านรายละเอียดได้ในเพจนะคะ ^^