ผมได้แผ่นหนังสยองขวัญเรื่อง Unfriended มาจากร้านเช่าซีดีใกล้ๆ มหา’ลัย เพราะร้านเตรียมจะปิดตัว ดังนั้นเขาจึงขนมาขายแบบลดแล้วลดอีก อย่างเรื่องนี้แค่สิบบาทเอง ถ้าซื้อลูกชิ้นก็ได้แค่สองไม้ แต่ถ้าซื้อแผ่นหนังก็จะมีเก็บไว้จนกว่าจะพัง
ความจริงผมไม่ชอบดูหนังผีเท่าไหร่ ถ้านับที่ดูไปก็มีแค่ไม่กี่เรื่อง หนึ่ง ชัตเตอร์ฯ สอง พี่มาก เรื่องหลังอาจไม่จำเป็นต้องนับเพราะมันเป็นหนังคอมมิดี้ นั่นแหละ แค่อยากพูดให้ฟังว่าผมกับหนังผีเราไม่ค่อยถูกกันแค่นั้น
ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว ไอ้ถายังไม่กลับ ถ้าให้เดาก็คงไปเที่ยวกับบรรดาคนคุยในสต็อก แต่มันก็เข้าเรียนนะ เลิกเรียนถึงหายหัวไปตามสเต็ป ผมเองก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของมันนักหรอก ดังนั้นจึงไม่ได้ถามว่าจะไปไหนหรือทำอะไร
ผมกระโดดขึ้นเตียง ยกโต๊ะญี่ปุ่นขึ้นมาตั้งไว้พร้อมกับแล็บท็อปตัวโปรด ก่อนจะสอดแผ่นซีดีลงไป
แกร๊ก!
ประตูห้องถูกเปิดออก ผมเห็นร่างสูงผิวแทนเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน เลยถามด้วยความสงสัย
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“เบื่อว่ะ” มือหนาเหวี่ยงกระเป๋าลงกับเตียงลวกๆ พลางหันมามองหน้าผม
“ไปกับคนคุยนะ เบื่อด้วยเหรอ”
“แล้วรู้ได้ไงว่าไปกับคนคุย”
“ก็เดาเอาอ่ะ”
“อืม เขาชวนไปดูหนัง ช็อปปิ้ง แถมยังชอบเดินจับมือกูอีกต่างหาก ”
“ก็น่าจะมีความสุขดีไม่ใช่เหรอ”
“ตรงกันข้ามเลย เบื่อว่ะ ไม่ชอบรอใครนานๆ ยิ่งตอนเขาซื้อของแล้วลากกูให้ไปด้วยนะ กูแม่งอยากจะหายไปจากตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอด”
“ต่อไปก็หนีสิ”
“คิดว่าคงทำอย่างนั้น ฮ่าๆ” ผมเปล่าแนะนำทางผิดให้เพื่อนนะ แต่ในเมื่อไม่อยากทำทำไมเราต้องฝืนด้วยล่ะ หรือจะให้ง่ายก็มีอีกอย่างคือบอกไปตรงๆ บอกเพื่อทำร้ายจิตใจกันตอนนี้ดีกว่ามาเสียใจในวันข้างหน้า
ดูเป็นพระเอกสุดๆ
“แล้วนี่ทำอะไร”
“ดูหนัง”
“เรื่อง?”
“Unfriended”
“เกี่ยวกับห่าไรวะจืด เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน”
“แล้วไม่เสือกสักเรื่องได้มั้ยอ่ะ”
“ก็อยากดูด้วย” ผมหรี่ตามองเล็กน้อย วันนี้มาแปลกแฮะ
“หนังผี”
“หึ!” ไอ้สถาปัตย์ยักไหล่พลางทำหน้าเหมือนไม่ไหวกับเรื่องแนวนี้เต็มทน หรือจะเรียกอีกอย่างว่ากลัวก็คงไม่แปลก
“ดูด้วยกันมั้ยล่ะ” พอเห็นท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ผมเลยแกล้งชวนไปอย่างนั้น ใครจะอยากให้มันมานอนเบียดบนเตียงสามฟุตครึ่งแถมผ้าปูหอมกรุ่นของผมกันเล่า
“ดู!”
“ไม่ได้กลัวผีหรอกเหรอ”
“กลัว แต่พอมีมึงปุ๊บ กูว่าผีก็ไม่น่ากลัวแล้วล่ะ”
“สัด” ด่าไปก็เท่านั้นไม่เข้ากะโหลกมันหรอก ผมเหลือบตามองร่างสูงที่ก้าวขึ้นมาบนเตียง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวให้พอมีที่ว่างสำหรับเราสองคน ไอ้สถาปัตย์พิงหลังกับหัวเตียง ส่วนผมนอนหนุนหมอนสูงๆ เพื่อให้ดูหนังได้สบายขึ้น
“ถามจริง ทำไมมึงชอบดูหนังผี” ถามอะไรนักหนาเนี่ย คนจะดูหนัง แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี
“ไม่ได้ชอบดู แค่อยากดู”
“แล้วทำไมชอบฟัง Imagine Dragons”
“ก็เพลงมันสนุก มึงไม่ชอบฟังเหรอ”
“ไม่อ่ะ มึงลองฟัง Two Door กับ Arctic Monkeys ดูดิ รับรองติดใจ”
“เคยฟัง Two Door แล้ว ก็ชอบอยู่นะ แต่วงหลังฟังไม่รู้เรื่อง”
“แล้วทำไม...”
“เลิกถามได้แล้ว คนจะดูหนัง”
“โอเค มีของว่างระหว่างดูด้วยนะ” มือหนาเอื้อมมือไปหยิบซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในกระเป๋าขึ้นมา แล้วบดขยี้ด้วยมือก่อนแกะถุงออก
“อะไรเนี่ย”
“มาม่าดิบ กินมะ อร่อยนะเว้ย”
“ไม่กิน แล้วมึงก็ไม่ต้องกินจนติดนิสัยด้วย เดี๋ยวท้องอืด”
“กูหุ่นดี ไม่มีอืด”
“เดี๋ยวถีบ! วางซองมาม่าลงแล้วดูหนัง”
“โอเคคร้าบบบบ”
หนังดำเนินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความกล้าๆ กลัวๆ ของไอ้ถาที่เอาแต่บิดผ้าห่มจนยับยู่ ส่วนผมก็หวั่นใจเล็กน้อย บอกแล้วว่ากลัวผี แต่พอมีคนอยู่เป็นเพื่อนเลยทำให้สบายใจได้บ้าง
“ฮือ...ฮื้อ...ปัง!”
“อ๊าก!!!!!” ไอ้ผีโรคจิตชอบทำให้คนอื่นตกใจ ผมกับไอ้ถาร้องจนลั่นห้อง ทั้งซุกทั้งมุดเข้าไปในผ้าห่ม
“ไม่ดูแล้วได้มั้ยอ่ะ” ผมพูดเสียงติดสั่นเล็กน้อย คนผิวแทนเลยจ้องหน้ากลับพร้อมกับเอื้อมมือมาดึงแว่นสายตาออกจากหน้าของผม
“กลัวผีเหมือนกันก็ไม่บอก ไม่ดูก็ได้”
“แล้วถอดแว่นกูทำไมเนี่ย”
“ก็มึงบอกไม่ดูหนังไง”
“มันไม่ได้เกี่ยวกับแว่นนะ”
“เกี่ยวดิจืด ทำไมมึงน่ารักจังวะ”
“อะ...อะไรเนี่ย” ใบหน้าคมคายโน้มหน้าเข้ามาใกล้ หัวใจผมเต้นระส่ำแทบไม่เป็นจังหวะเพราะระลึกได้ว่าเรากำลังนอนบนเตียงเดียวกันอยู่
“น่ารัก น่ารัก มึงแม่งโคตรน่ารักเลย”
“นี่มึงกลัวจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วเหรอ ไอ้ถาอย่า! อื้ออออ” เสียงของผมขาดหายไป กลายเป็นการดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของร่างสูง ริมฝีปากของเราประกบกัน ก่อนลิ้นร้อนจะแทรกเข้ามาในโพรงปากของผมอย่างถือวิสาสะ ไล้เลียไปตามสบฟันและเกี่ยวกระหวัดจนแทบหายใจไม่ออก
มือหนาล้วงเข้าไปในชายเสื้อของผม ลูบไล้ไปบนผิวจนขนลุกซู่ ผมทำได้แค่ปัดป่ายและกระทืบเท้าลงกับฟูกนอน เพราะสู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหว
กระทั่งเสื้อของผมถูกถอดออกอย่างง่ายดาย ลมหายใจกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเมื่อริมฝีปากร้อนผละออกและเลื่อนลงมาขบเม้มบนซอกคอของผม มันเจ็บจี๊ดระคนเสียวซ่านจนเหมือนไม่ใช่ร่างกายของตัวเอง
ทั้งแปลก หวั่นไหว และกลัวในเวลาเดียวกัน
“ไอ้ถาปล่อย!”
“...”
“กูโกรธ...มึงจริงๆ นะ” มือหนาเลื่อนลงไปตรงขอบกางเกง ผมรีบรั้งเอาไว้สุดความสามารถก่อนจะเลยเถิดไปไกล คนตรงหน้าตอนนี้เหมือนไม่ใช่สถาปัตย์ที่ผมรู้จักเลย
“ไอ้ถา! กูเป็นเพื่อนมึงนะ!”
ร่างสูงชะงักนิ่ง
“มึงเห็นกูเป็นใคร กูไม่ใช่ตัวแทนของคนอื่นนะเว้ย”
“กู...ขอโทษ”
“ฮึก...”
“กูขอโทษนะจืด ขอโทษ”
“...”
“กูไม่ได้เห็นมึงเป็นตัวแทนใคร กูเห็นมึงที่เป็นมึง”
ผมไม่เคยร้องไห้เพราะเรื่องแบบนี้
และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้เพราะ...เพื่อน
ผมไม่คุยกับไอ้สถาปัตย์เกือบเดือนนับตั้งแต่วันนั้น หลายครั้งที่มันพยายามชวนคุย แต่ผมไม่คุยด้วย ดังนั้นทุกครั้งเวลากลับห้องแล้วต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ความอึดอัดจะประเดประดังเข้ามาเต็มที่ เราต่างคนต่างอยู่ ทำงานมุมใครมุมมัน ไอ้ถาเองก็ไม่ได้นั่งตัดงานอยู่ตรงพื้นแล้ว แต่เลือกทำงานบนเตียงแทน
เราไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน ผมยังคงกินข้าวคนเดียว ไปเรียนคนเดียว และกลับมาอยู่ที่ห้อง แม้จะมีใครอีกคนอยู่ด้วย แต่ความรู้สึกก็ไม่ต่างจากการอยู่คนเดียวนักหรอก วันนี้ก็เหมือนกัน
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูเข้าไปภายใน มันเป็นความเงียบเชียบที่ดูแปลกประหลาดสักหน่อย จำได้ว่าไอ้สถาปัตย์กลับมาก่อนแล้ว และพอถึงห้องมันก็จะเปิดเพลงของวง Two Door Cinema Club เพื่อทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดของเราทั้งสองคน เพียงแต่วันนี้...
ผมไม่สามารถอยู่เฉยได้ กระเป๋าเรียน หูฟัง และโทรศัพท์มือถือถูกวางไว้บนเตียง แต่แล้วความสงสัยก็จบลงเมื่อได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากด้านนอก ใช่! มันอาจจะแวะไปหาเพื่อนห้องอื่น
แม่ง! ผมคงหมกมุ่นเกินไปแล้วแน่ๆ ที่เอาแต่สนใจอีกฝ่าย แม้จะพยายามอย่างมากที่จะไม่สนใจก็ตาม ผมวางกระเป๋าไว้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ ตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ยังไม่ทันที่เท้าจะสัมผัสกับกระเบื้องอีกสี ผมก็ต้องเผชิญกับเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่า
“ไอ้ถา!!”
“...”
“ถาเป็นอะไร!” ทันทีที่เห็นร่างสูงนอนกองกับพื้นพร้อมกับเก้าอี้พลาสติก ผมก็รีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายออกมาอย่างยากลำบาก
“จะ...เจ็บ กูเจ็บแขนจืด”
“โอเค...โอเค มึงต้องไม่เป็นไร” คิดว่าคำปลอบใจนี้มีไว้ให้ผมมากกว่า เพราะนอกจากพามันออกมาจากห้องน้ำแล้วผมก็ทำอะไรไม่ถูกอีกเลย
“ยอมคุยกับกูแล้วเหรอ”
“มันใช่เรื่องมาหยิ่งมั้ยเล่า”
“รู้งี้ตกเก้าอี้แต่แรกก็ดี อึดอัดชะมัดเลยว่ะ”
“เลิกพูดได้แล้ว” ผมรีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม ค่อยๆ พาคนตัวสูงมานั่งตรงปลายเตียง
“...”
“เดี๋ยวกูเรียกเพื่อนมาช่วยนะ เจ็บมากมั้ย” เจ้าตัวพยักหน้า พลางกอบกุมแขนขวาเอาไว้ด้วย
“...”
“ร้องเพลงก่อน ถ้าร้องเพลงมึงจะไม่คิดอะไร” นับเป็นการแก้ปัญหาที่แย่มาก แต่ผมคิดว่าแขนขวาของไอ้สถาปัตย์คงหักไปแล้ว ดูจากรูปกระดูกที่ผิดรูปร่างอย่างเห็นได้ชัด
“โอเค กูจะร้องเพลง...”
ผมวิ่งผละออกมา ไม่ทันพ้นประตูห้องก็ได้ยินเสียงร้องสั่นๆ ของอีกฝ่ายไปด้วย
“So this is what you meant. When you said that you were spent…”
นี่คือเพลง It’s time ของ Imagine Dragons
เพลงของวงที่มันบอกว่าไม่ชอบและหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่ฟัง
ไม่ฟังแล้วร้องได้ด้วยเหรอ...
สถาปัตย์ตกเก้าอี้เพราะดัดจริตขึ้นไปซ่อมหลอดไฟเอง สรุปแม่งแขนข้างขวาหักต้องเข้าเฝือก 2 เดือน ขอบคุณโชคชะตาเพราะจูรี่ใกล้เข้ามาถึงแล้ว ที่พูดหมายถึงโปรเจ็กต์ใหญ่ประจำเทอมที่นิสิตสถาปัตย์ฯ ทุกคนต้องทำส่งต่างหาก งานตัดโมเดลต้องมา งานออกแบบก็ต้องเป็นรูปเป็นร่าง แต่แขนขวาที่ถนัดดันมาหักเนี่ยนะ!
ปิดประเด็นความตรากตรำที่พยายามไม่พูดกันมาถึงหนึ่งเดือน เพราะมีเรื่องให้ตรากตรำกว่า ความจริงที่นี่มีธรรมเนียม ใกล้ถึงจูรี่เมื่อไหร่รุ่นน้องจะไปช่วยรุ่นพี่ตัดโมฯ แต่คราวนี้ไม่ครับ เพราะเพื่อนและรุ่นพี่ต่างแห่กันมาช่วยไอ้สถาปัตย์จนเต็มลานกิจกรรมคณะ แม่งนี่มวลมหาประชาชนอะไรวะเนี่ย
จากงานเครียดกลายเป็นงานรื่นเริง บางทีการเป็นคนดังมันก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็เอางานมานั่งทำด้วย จะติดก็ตรงที่อุปกรณ์และวัสดุบางอย่างหมดซะก่อน งานเลยไม่คืบ
“เป็นไรจืด” เสียงทุ้มหันมาถามด้วยใบหน้านิ่งๆ มือขวาถือกระดาษและมือซ้ายถือกรรไกร โคตรของความพยายามเลยว่ะ
“กระดาษอาร์ตฯ หมด ไม้บัลซ่าก็ด้วย เออกาวอีก สรุปกูต้องออกไปข้างนอกนะ” ผมรีบพูดรวบรัด
“เดี๋ยวไปส่ง”
“มึงทำงานของมึงไปเถอะ ทิ้งให้คนอื่นตัดงานให้ เจ้าของไม่อยู่ได้ไง”
“เหอะน่า พี่ๆ เพื่อนๆ ครับ ผมขอออกไปซื้อของข้างนอกแป๊บนึง ใครหิวจดรายชื่ออาหารและน้ำมาได้เลย เดี๋ยวจัดหนักๆ มาให้” ฉลาดฉิบหาย เรื่องเจ้าเล่ห์ขอให้บอกมันเลย
“ข้าวไม่ต้อง ขอขนมเบาๆ ก็พอ”
“ครับผม”
“ถาให้เราไปเป็นเพื่อนมั้ย” หมวย เพื่อนร่วมเอกเสนอตัว
“ไม่เป็นไร เราว่าจะไปกับจืด ป่ะไอ้จืด รีบเลย เดี๋ยวเพื่อนหิว” ยังไม่ทันลุกขึ้นด้วยตัวเอง ผมก็ถูกมือหนาดึงรั้งให้ลุกขึ้นยืนและออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงร้านเครื่องเขียนที่ใหญ่ที่สุดใกล้มหา’ลัย
“มึงออกไปซื้อขนมอย่างอื่นก่อนก็ได้นะ กูเลือกนาน”
“ไม่เป็นไร จะรอ”
“แต่มึงไม่ชอบรอไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าเป็นมึง ให้รอทั้งวันยังได้เลย เลือกไปเหอะน่า”
“ตามใจ แล้วอย่าบ่นให้ฟังละกัน”
ผ่านไป 25 นาที...
อุปกรณ์สำหรับทำโมเดลเต็มไม้เต็มมือไปหมด แถมตะกร้ายังไม่สามารถใส่กระดาษแผ่นหนาที่ใหญ่เท่าฝาบ้านได้อีก
“ช่วยถือ” เหมือนเทพบุตรจุติมาเกิด โยนให้ถือหมดเลยดีมั้ย
“แขนหักอยู่อย่าทำเป็นเก่ง”
“มือซ้ายว่าง”
“เหรอ”
“หัวใจห้องล่างซ้ายก็ว่าง”
“แล้วห้องล่างขวาอ่ะของใคร”
“ไม่ใช่ของจืด แต่เป็นของปอ...”
หัวใจของผมเต้นตึกตัก ลืมไปเลยว่ากูชื่อปอ
“ละ...แล้วห้องบนซ้ายอ่ะ”
“บนซ้ายของจืด ส่วนบนขวาของปอ”
“...”
“แต่ไม่ว่าจะห้องไหนก็เป็นของมึง พอใจยัง”
“เออ พอใจแล้ว! จ่ายตังค์เลย”
“แหม เนียนให้ป๋าเลี้ยงเลยนะครับ”
“ยุ่ง”
ผมได้ยินเสียงหัวเราะไล่ตามหลังมาไม่ห่าง มันเป็นวิธีแก้เขินที่ใช้ได้ผลเลยทีเดียว ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้ถามันเคยเอามุกนี้ไปใช้กับใครที่ไหน ต่อให้มันเคยใช้กับคนเป็นร้อยคน ผมก็ยังรู้สึกเขินกับประโยคเมื่อกี้อยู่ดี
เราเคยคุยกันทุกวัน แล้วก็เคยมึนตึงใส่กันนับเดือน แต่พอได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง ผมกลับรู้สึกว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อมันยังเหมือนเดิม...
รู้สึกดีเหมือนเดิม
“จืดรอหน่อย อย่าเดินเร็วดิ” พอเดินออกมาจากร้านก็ทำตัวเหมือนเด็ก เฮ้ย มึงคนของประชาชนนะ ง้องแง้งเป็นแมงกระชอนไปได้
“ขายาวกว่าก็รีบก้าวหน่อยสิ”
“อย่าเพิ่งข้าม รอกูก่อน” ร่างสูงจ้ำอ้าวมาถึงตัวผมอย่างรวดเร็ว ในมือข้างหนึ่งถือกระดาษแข็งม้วนเท่าบ้านเอาไว้
“ไปยัง”
“โอเค” ปากบอกแบบนั้นแต่กลับเป็นฝ่ายคว้ามือของผมด้วยมือข้างที่เจ็บแล้วข้ามถนนไปพร้อมกัน
เรา...จับมือกัน
เผื่อใครยังจำไม่ได้ ไอ้สถาปัตย์ไม่ชอบให้คนจับมือ
พอเดินมาถึงรถ ผมก็ตั้งคำถามทันที
“จับมือกูทำไมวะ”
“รถมันเยอะ กลัวจืดโดนรถชน สงสารรถคนอื่นเขา”
“กวนตีน กูโตแล้วไม่ใช่เด็กสามขวบ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“แล้วเด็ก 18 ขวบอย่างมึงห่วงไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“งกให้ใครไม่ทราบ”
“ให้พ่อ ให้แม่ ให้แฟนในอนาคต”
“งั้นห่วงได้”
“อะไร”
“ห่วงได้ เพราะนี่แฟนในอนาคต”
“...!!!”
“พี่ถาแฟนน้องจืดยังไงครับ” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังมีหน้ายกมือขึ้นมาลูบหัวอีก
นี่สินะคาสโนว่าตัวพ่อ ผมนี่อึ้งไปเลยครับ
ช่วงเวลาการตัดโมเดลกินเวลาตั้งแต่ 3 ทุ่มจนตอนนี้เข้าสู่เที่ยงคืน บางส่วนแยกย้ายกันกลับ บางส่วนยังก้มหน้าก้มตาทำต่ออย่างขะมักเขม้น ไม่ใช่ทุกคนจะตัดของไอ้สถาปัตย์หรอก มีที่ตัดของตัวเองด้วยเพราะงานเดี่ยวยังไงก็ต้องส่ง สุดท้ายโมเดลของไอ้ถาเสน่ห์ล้ำคนของประชาชนจึงกลายเป็นลูกเมียน้อยไป
ผมมองร่างสูงที่ยังตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ มือข้างหนึ่งถือไม้บรรทัด ส่วนมืออีกข้างที่ไม่ถนัดกำลังใช้คัตเตอร์กรีดกระดาษอย่างตั้งใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความทุลักทุเลไม่น้อย
ด้วยทนมองเฉยๆ ไม่ไหว ผมเลยขยับเข้าไปนั่งใกล้กับมัน พร้อมกับช่วยตัดงานชิ้นอื่นๆ ของมันไปด้วย
“ไม่ต้องช่วยกู ทำของมึงต่อเถอะ”
“...” ผมไม่ตอบ นอกจากตัดต่อไปเรื่อยๆ
“โอเค ถ้าตัดของกูเสร็จ เดี๋ยวกูช่วยของมึงต่อนะ”
“เอาตัวเองให้รอดเถอะ”
“โหยนี่ใคร นี่สถาปัตย์นะครับ”
“เออ สร้างบ้านบ้านพัง สร้างตึกตึกทรุด”
“ขอบคุณนะ”
“-_-” เวลาด่าเหี้ยอะไรมันจะขอบคุณตลอด แถวบ้านเรียกกวนตีน
ตีสาม...
หลายชีวิตที่นอนตายตอนแรกถูกปลุกขึ้นมาเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง บางคนล้างหน้าล้างตา บางคนเปิดเพลงซะเสียงดังเพื่อเรียกพลังกลับมา แต่ผมกลับตรงกันข้าม ยิ่งดึกผมก็ยิ่งง่วงและเหมือนตาจะปิดอยู่รอมร่อ
“จืดวางคัตเตอร์เถอะ” สถาปัตย์พูดขึ้น โดยที่ผมรู้สึกว่ามันกำลังมองผมอยู่
“อีกนิดเดียว”
“ไม่เสร็จหรอก มันเหลืออีกเยอะ มานอนก่อน”
“อือออออ”
“ง่วงก็นอน ไม่ใช่ง่วงแล้วงอแง”
“ไม่มีหมอน จะเก็บของไปนอนที่ห้องก่อน”
“มานอนนี่มา” อีกฝ่ายตบตักตัวเองปุๆ
ไม่เอาหรอก...รุ่นพี่กับเพื่อนมองกันฉิบหายเลย แล้วตอนนี้ก็พากันตื่นหมดแล้วด้วย
“จะกลับไปนอนที่ห้อง”
“ค่อยกลับพร้อมกัน รอก่อน ตอนนี้อย่าดื้อ” ร่างของผมถูกรั้งเข้ามาใกล้คนตัวสูง ก่อนจะถูกกดหัวให้นอนลงบนตักของมันโดยไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง
“นอนซะ”
“แต่...”
“ชู่วววว ไม่ต้องไปสนใจ ง่วงก็นอน เสร็จแล้วจะได้กลับพร้อมกัน” เสื้อคลุมคณะตัวใหญ่ถูกหยิบขึ้นมาคลุมบนตัวผม จากนั้นผมจึงรีบหลับตาเพื่อหนีสายตาสงสัยของใครหลายๆ คน
ผมไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับสถาปัตย์อยู่ตรงไหน
แต่ผมสบายใจมากที่มีมันอยู่ใกล้ๆ
“จืดตื่น...”
“งือออ”
“จืดเก็บของเร็ว ตีห้าแล้ว กลับไปนอนที่ห้องกัน” ผมเกาหัวตัวเองไปมา ก่อนจะลุกขึ้นนั่งแบบงงๆ หลังคนตัวสูงเป็นอิสระจากการถูกผมครองตักแล้วก็หันไปเก็บอุปกรณ์ของตัวเอง ส่วนผมก็ตัดสินใจถอดแว่นออกเพราะนอนเยอะจนรู้สึกปวดตา
แกรบ!
“เฮ้ย โทษๆ กูเหยียบหอยทากอีกแล้วเหรอวะ”
“...!!” หอยทากพ่องดิ แว่นตากู!
ผมได้แต่นั่งอึ้ง จนกระทั่งเพื่อนที่ก่อเรื่องก้มลงมามองผมสลับกับแว่นตาที่แหลกละเอียด
“แว่นตาจืดเหรอ”
“อือ” ง่วงก็ง่วง แถมตายังมองไม่เห็นอีก บอกเลยว่าเซ็งมาก
“จืด...เฮ้ยจืด จริงดิ โอ้วววว จืดไม่ได้จืดนี่หว่า” และอีกสารพัดเสียงของใครหลายๆ คนก็ดังกระแทกกกหูไม่ขาดสาย
“มึงแม่งโคตรน่ารักเลยเว้ย ทำไมไม่ถอดแว่นวะ”
“กูไม่ให้ถอดเองแหละ มีปัญหาอะไรมั้ย” หัวของผมถูกเสื้อคลุมคณะคลุมเอาไว้อีกครั้ง ก่อนร่างสูงในม่านสายตาเลือนรางจะไล่เก็บอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว
“ไอ้ถา มึงหวงเพื่อนเหรอวะ”
“นั่นดิ มีรูมเมทน่ารักอยู่ในห้อง ถึงว่า แม่งไม่ยอมคบใครที่ไหนเลย”
“ใช่ๆ เรียนเสร็จรีบกลับห้อง ที่แท้...ฮั่นแน่!!”
“พวกมึงแม่งพูดมากน่ารำคาญ ป่ะจืด กลับ” ของทุกอย่างถูกรวบเอาไว้ในมือข้างซ้าย และโมเดลที่ต่อไปได้ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ก็ถูกยัดใส่มือ พร้อมกับแรงผลักจากคนตัวสูงที่สั่งให้ผมเดินไปข้างหน้า ท่ามกลางเสียงโห่แซวของเพื่อนๆ
“ไอ้ถา กูมองไม่เห็น” ผมบอกพลางก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูดูทางให้”
“แว่นกูพังแล้ว”
“พรุ่งนี้ไปตัดใหม่”
“แย่ว่ะ”
“ไม่ได้แย่ พรุ่งนี้จะมีคนพูดถึงแต่มึง”
“ทำไม”
“เพราะมึงน่ารัก”
“...”
“แล้วกูก็รักมึง”
หลังจบจูรี่ ชีวิตของเด็กสถาปัตย์ฯ ก็เป็นไทอีกครั้ง รุ่นพี่นัดฉลองที่ร้านเหล้าแถวๆ มหา’ลัย ไอ้สถาปัตย์เลยชวนผมไปด้วย ตอนนี้เองที่ผมเห็นว่ามันฮอตขนาดไหน เพราะไม่ว่าจะรุ่นพี่ เพื่อน หรือใครหลายๆ คนต่างมองมาที่มันเป็นจุดเดียว
บอกตรงๆ ว่าผมไม่ชอบ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นแค่เพื่อน
ดังนั้นผมจึงทำได้แค่นั่งหน้างออยู่ตรงโต๊ะเหล้า ขณะที่คนอื่นหัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง ผมเห็นด้วยนะว่าเมื่อกี้ไอ้ถาโดนดึงเข้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่ อยากโกรธแต่เพราะมันไม่ทันตั้งตัวเนื่องจากถูกจู่โจมระยะเผาขน ผมเลยทำได้แค่มองอย่างอึ้งๆ ตานี่โปนจนแทบจะทะลุเบ้าอยู่แล้ว
“จืดห้ามกินเหล้านะ” เสียงทุ้มเอ่ยเตือน หลังจากได้นั่งสงบสุขเหมือนคนอื่นเขาสักที
“กินไม่เป็นอยู่แล้ว”
“ใครยัดเยียดให้กินก็ต้องปฏิเสธ”
“รู้แล้ว...”
“จืดคนน่ารัก ชนแก้วด้วยกันโหน่ยยยยยย” พูดไม่ทันขาดคำมารผจญก็เข้ามาแทรก ผมพยายามยกมือปัดป้อง แต่ไอ้เพื่อนเวรนี่ก็พยายามยกแก้วเหล้าในมือขึ้นจ่อปากผมอยู่ได้
“ไม่เอา”
“เฮ้ยไอ้ปอนด์ จืดมันไม่กิน”
“ก็หัดกินดิ”
“กูมีเรื่องจะคุยกับมัน ขอตัวจืดก่อน” ข้อมือของผมถูกรั้งด้วยมือของไอ้สถาปัตย์ ทันทีที่เราลุกขึ้น ใครหลายๆ คนก็ถามขึ้นทันที
“ถาจะไปไหน”
“ขอคุยกับจืดหน่อย เดี๋ยวมานะ” พูดแค่นั้นก่อนเราจะปลีกวิเวกจากความวุ่นวายออกมาภายนอก แม่ง...ลานจอดรถเนี่ยนะ โชคดีที่ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง
“มีอะไรเหรอ”
“ตอนแรกว่าจะบอกตอนกลับหอ แต่คิดว่าบอกตอนนี้ดีกว่า” มือข้างที่ติดเฝือกยื่นของบางอย่างมาให้ ถ้าดูดีๆ แล้ว มันก็คือโมเดลบ้านขนาดจิ๋วมากนั่นเอง
“ให้เหรอ”
“อืม”
“ดูจะทำยากนะเนี่ย”
“โคตรๆ”
“อ่ะ ของแถมหลังซื้อบ้านจากโครงการ” ผมอยากหัวเราะลั่นแต่ก็ต้องทำนิ่งเข้าไว้ รับกระดาษใบหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนโบรชัวร์บ้านมา
ก้มลงอ่านตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษอย่างตั้งใจ ช้าๆ ทีละคำ...
กูชอบกินมาม่าดิบ แต่ก็ต้องเลิกกิน เพราะมึงบอกว่าท้องจะอืด
กูเป็นคนนอนตื่นโคตรสาย แต่ก็ต้องตื่นเช้าเพื่อแย่งห้องน้ำกับมึง
กูชอบทำงานบนพื้น แต่ต้องหัดนั่งบนโต๊ะเพราะอยากให้มึงสนใจ
กูไม่เคยสวดมนต์ก่อนนอน แต่พอมีมึง กูก็เริ่มสวดมนต์ทุกคืน
กูชอบสั่งกับข้าวมากินเอง แต่พอมีมึง กูกลับไม่คิดสั่งแล้วมาแย่งมึงกินเอา
กูแม่งโคตรจะกลัวผี แต่ก็ต้องดูหนังผีเพราะอยากนั่งข้างมึง
กูเป็นคนไม่ชอบรอใครนานๆ แต่กับมึงต่อให้รอทั้งวัน กูก็ไม่เคยบ่น
กูชอบคุยโทรศัพท์ตอนดึก แต่ก็ต้องเลิกคุย เพราะกลัวมึงนอนไม่หลับ
กูไม่ชอบเดินจับมือกับใคร แต่ชอบหาเรื่องข้ามถนนเพื่อจับมือกับมึง
ตอนคนอื่นป่วยกูก็แค่ซื้อยา แต่ตอนมึงป่วย กูเอาแต่เช็ดตัว
คนอื่นช่วยกูตัดโมเดลเพราะอยากให้กูสนใจ แต่มึงช่วยกูเพราะแค่อยากให้กูเลิกกังวล
เวลากูเครียดคนอื่นก็เอาแต่บอกว่าสู้ๆ ไม่หยุด แต่มึงไม่พูดอะไรเลย แค่นั่งอยู่กับกูจนถึงเช้า
คนอื่นชอบพูดแต่ข้อดีจนลืมข้อเสียของกู แต่มึงกลับพูดข้อเสียเพื่อให้กูปรับปรุงตัว
คนอื่นอยากให้กูเป็นคนที่ดีพอสำหรับเขา แต่มึงแค่อยากให้กูดีพอสำหรับทุกคน
คนอื่นพยายามเปลี่ยนกูให้เลิกเจ้าชู้ แต่แปลกที่มึงไม่เคยคิดเปลี่ยนอะไรเลย มันกลับทำให้กู...อยากเป็นคนที่ดีกว่านี้
กูไม่ได้ต้องการเปรียบเทียบมึงกับคนอื่น ก็แค่อยากให้รู้ว่ามึงไม่เหมือนใคร
และกูก็รู้สึกกับมึงแตกต่างจากคนอื่นด้วย
กูเคยตั้งคำถามอยู่ไม่กี่ข้อ อะไรที่ทำให้กูยอมเปลี่ยนทุกอย่างมากมายขนาดนี้
อะไรที่ทำให้กูเลือกทำสิ่งที่ไม่ชอบด้วยความเต็มใจ ถ้าไม่ใช่เพราะนั่นคือ...รัก
กูรักมึง
“มันอาจจะไม่ใช่คำสารภาพรักที่ดีเท่าไหร่ แต่กูรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ” ไอ้สถาปัตย์บอกกับผมที่ยังยืนอึ้งอยู่
“ถ้ามึงพูดขนาดนี้กูก็มีสิ่งหนึ่งที่กูตัดสินใจจะบอกมึงวันนี้เหมือนกัน” ผมพูดพลางล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นดินสอ 2B ให้กับอีกฝ่าย
“ความจริงเราเคยเจอกันก่อนหน้านี้นานแล้ว ถ้ามึงยังจำดินสอของตัวเองได้อยู่”
“จำได้ดิ ก็แท่งนี้กูตั้งใจทำตก”
“ฮะ”
“อืม ตั้งใจทำตกให้มึงเก็บ ตอนนั้นก็เห็นว่าน่ารักดี แถมยังสอบติดที่เดียวกันอีก โลกแม่งกลมเนาะ”
“แล้วทำไมไม่บอกกู”
“ไม่รู้ดิ อยากบอกวันนี้มั้ง แล้วมึงล่ะ มีอะไรจะบอกกูมั้ย”
“กูเหรอ...” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะจ้องหน้าคนตัวสูงเขม็ง
“...”
“ทั้งหมดที่กูทำกูมีเหตุผล...ที่กูไม่อยากให้มึงกินมาม่าดิบ เพราะกูห่วงมึง
ที่กูนอนตื่นเช้า เพราะจะได้เก็บห้องให้มึง
ที่กูชอบทำงานบนโต๊ะ เพราะไม่อยากให้มึงรำคาญ
ที่กูสวดมนต์และนั่งสมาธิ เพราะเวลานั้นกูจะได้นึกถึงมึง
ที่กูเอาแต่บ่นว่ามึงชอบแย่งข้าวกูกิน ความจริงกูโคตรเต็มใจ
ที่จริงกูก็กลัวผี แต่กูแค่อยากทำอะไรสักอย่างให้มึงสนใจ
ที่เห็นกูเลือกอะไรนานๆ ความจริงกูเลือกได้แล้ว แค่อยากยืดเวลาอยู่กับมึงออกไปอีกหน่อย
ที่กูต้องรีบเข้านอน ความจริงกูก็แค่ไม่อยากให้มึงคุยโทรศัพท์กับคนอื่น
ที่กูเอาแต่ทำหน้างอหงิก แต่ความจริงกูดีใจมากที่เราจับมือกัน
ที่จริงกูเกลียดยามากเลยไม่อยากป่วย แต่พอมีมึงกูกลับไม่อยากหาย
ที่กูไม่ยอมคุยกับมึงความจริงกูอยากโกรธ แต่กูก็โกรธไม่ลง
ที่กูช่วยมึงตัดโมเดลก็เหมือนกัน กูช่วยเพราะกูอยากช่วย กูทำเพราะนั่นเป็นมึง
ทุกอย่างที่เป็นมึงกูแคร์หมด และเพราะมึงอีกนั่นแหละกูถึงแน่ใจว่าความรู้สึกประหลาดนั้น มันเรียกว่ารัก
กูรักมึง...สถาปัตย์”
ผมเห็นรอยยิ้มแสนกว้างบนริมฝีปากได้รูป คนตัวสูงก้าวเข้ามาประชิด ก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมา ประโยคที่เป็นจุดเชื่อมต่อในความสัมพันธ์ของเรา เพราะถ้าเป็นการสร้างตึกมันก็คงเป็นช่วงที่เราต้องก่ออิฐและฉาบปูน หลังจากเราลงเสาเข็มของคำว่าเพื่อนแข็งแรงมากพอแล้ว
“ปอ...เป็นแฟนกับถานะ”
“กูเคยปฏิเสธมึงได้ด้วยเหรอ”
END