Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]  (อ่าน 16245 ครั้ง)

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
อ้างถึง
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************



▥Business Districts Project▥

 
ลองจินตนาการให้ย่านธุรกิจสำคัญๆ ของกรุงเทพมหานครกลายเป็นชายหนุ่ม
ดีกรีของแต่ละคนจะใกล้เคียงกับคำว่า “ทำเลทอง” หรือเปล่านะ



- - Lost at Sathorn : หลงมาที่สาทร - - completed
I  II  III  IV  V  VI  VII  VIII
ตอนพิเศษ I  ตอนพิเศษ II

- - Thonglot My Love : ทองหล่อที่รัก - - completed
I  II  III  IV  V  VI  VII  VIII  IX
ตอนพิเศษ


____________________


ผลงานเรื่องอื่น

►เรื่องยาว ◄


►เรื่องสั้น ◄
That Guy completed





7/7/2019
febusapollo
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-09-2020 17:21:40 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Re: Business Districts : Lost at Sathorn I
«ตอบ #1 เมื่อ07-07-2019 23:56:43 »

Lost at Sathorn

หลงมาที่สาทร



กรกฎาคม 256X


เสียงเพลงที่เปิดดังอึกทึกครึกโครมไม่ได้เป็นอุปสรรคในการสนทนาระหว่างตฤณกับเพื่อนในกลุ่มเนื่องจากโต๊ะประจำที่ชอบมานั่งจะอยู่ที่ชั้นสองของร้าน ตฤณนึกขอบคุณเพื่อนทุกครั้งที่เวลาเลือกจองโต๊ะมักได้มุมดีๆ มากกว่าไปอัดกันเป็นหนอนที่ชั้นล่าง เป็นที่เข้าใจได้ว่าร้านเหล้าถนนข้าวสารยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ และเวลากรึ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตฤณก็ไม่ชอบที่จะต้องเบียดเสียดกับคนอื่นให้ถูกจับเนื้อลูบตัวโดยง่าย


“ไอ้ติน คนอื่นเขาต่อหลายแก้วแล้วทำไมของมึงไม่พ้นครึ่งแก้วสักทีวะ อย่าให้เสียของ”


“ก็นั่งเรื่อยๆ ไม่ได้หรือไงวะ ใครจะไปดกเอาๆ เหมือนมึง ไอ้โจ้”


เพื่อนที่ชื่อโจ้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากก่อนกระดกแก้วเครื่องดื่มในมือโชว์เมื่อตฤณพูดไม่ทันขาดคำ ใบหน้าชมพูระเรื่อกว่าเวลาปกติบ่งบอกว่าเพื่อนเขาเริ่มมีสัมปชัญญะน้อยลงทุกที แม้จะยังพอพูดจารู้เรื่อง


“โจ้ คนอื่นเขาก็ยั้งไว้ที่สองสามแก้วอยู่เปล่าวะ ต่อหลายแก้วน่ะมึงคนเดียว” เป็นเสียงเพื่อนอีกคนนามว่ากายที่ดูว่าเริ่มกรึ่มพอกันกับตฤณเพิ่มระดับเสียงให้ดังแข่งกับเพลงไปล้อโจ้ ส่วนคนที่พูดด้วยไม่สนใจ โยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะเพลงทั้งที่ในมือมีแก้วเหล้า


“เหมือนเก็บกดอะไรมา”


“เออ แม่ง เดี๋ยวกูต้องแบกมันกลับแน่เลยว่ะ”


ตฤณหันไปหัวร่อต่อกระซิกกับกายที่บ่นส่ายหน้าเอือมระอา ก่อนยกแก้วตัวเองขึ้นจิบอีกสักอึกไม่ให้เสียน้ำใจที่เพื่อนโจ้เลือกสั่งให้เขา ส่วนคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งเขาจำชื่อไม่ได้เพราะเพิ่งพบกันครั้งแรก เป็นเพื่อนของกายอีกที ที่จริงกายแนะนำให้รู้จักแล้วก่อนเดินเข้าร้านมา เพียงแต่พอน้ำเมาเข้าสู่กระแสเลือดบ้างก็พาลทำให้หลงลืมไปชั่วขณะ


เวลานี้เข็มสั้นนาฬิกาข้อมือเดินมาหยุดอยู่กึ่งกลางระหว่างเลขสิบกับเลขสิบเอ็ด นักร้องชื่อดังที่เจ้าของร้านจ้างมาร้องเล่นดนตรีสดยังคงทำหน้าที่ได้ดีไม่มีผิดเพี้ยนสักคีย์เพลง เป็นช่วงเวลาที่โจ้เพื่อนเขากลับมานั่งสงบดื่มแบบสบายๆ ได้สักครึ่งชั่วโมงแล้ว เพื่อนในกลุ่มที่เหลือโล่งใจมากเพราะกลัวมันเต้นแรงจนไม่ระวังตกราวกั้นชั้นสองลงไปคอหักเสียก่อน เหล้าในแก้วของตฤณหมดพอดีและเขาไม่คิดสั่งต่อ ที่มานั่งตรงนี้ได้เพราะเพื่อนลากมาล้วนๆ ไม่ได้อยากมาเอง ไอ้จะไม่มาเลยก็กลัวจะเสียเพื่อนฝูงไปเลยต้องแวะเวียนมาตามนัดเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ตัวเขาเองอยู่หอใกล้มหาวิทยาลัย ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ที่บ้านเลยไม่มีใครคอยเป็นห่วงมากนัก


ในร้านที่กำลังนั่งอยู่ถือว่ามีชื่อเสียงในย่านตรอกข้าวสารแห่งนี้ กำแพงทั้งร้านเป็นแบบอิฐสีส้มอิฐประดับด้วยกรอบรูปอยู่ทั่วไป ฝ้าขื่อที่ควรจะเป็นสี่เหลี่ยมธรรมดากลายเป็นอิฐก่อกันโค้งแบบครึ่งวงกลม ชุดโต๊ะเก้าอี้ในร้านเป็นไม้บ้าง ถังเบียร์ขนาดใหญ่บ้าง มีกระดูกหัวสัตว์ประดับประปรายและด้านในสุดเป็นเวทีสำหรับเล่นดนตรีสด แสงไฟสีส้มจากโคมห้อยสไตล์โมเดิร์นยิ่งขับให้ทั่วทั้งร้านดูมีประกายเร่าร้อนล่อตาล่อใจนักท่องราตรีเป็นที่สุด แต่ไม่ใช่กับตฤณ


ถ้าเป็นปกติตอนนี้ตฤณคงนั่งทำงานที่อาจารย์สั่งหรือไม่ก็อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนภายใต้หลอดไปสีขาวถนอมสายตาอยู่ที่โต๊ะในหอ ชีวิตนักศึกษาปีที่สามหนักกว่าสองปีแรกพอสมควร ดังนั้นจะปล่อยให้ดรอปลงไม่ได้ วันนี้เป็นเพียงการมาแวะเวียนแบบนานๆ ครั้ง


แต่อาจเป็นนานๆ ครั้งที่ดีกว่าทุกครั้ง เมื่อไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนตฤณสอดส่ายสายตาพร่ามัวไปทั่วทั้งชั้นล่างที่มีกลุ่มคนกำลังนั่งฟังนักร้องละลานตาไปหมด สะบัดศีรษะไล่อาการมึนแล้วเจอกับสายตาคู่หนึ่งที่โต๊ะห่างออกไปไม่ไกลจากกลุ่มของตัวเองที่ชั้นเดียวกัน


ตึกตัก


ตฤณกระพริบตาสามครั้งเพราะทั้งกลิ่นบุหรี่จางๆ กลิ่นเครื่องดื่มหลากหลายรูปแบบรวมทั้งแสงไฟสีส้มจัดกำลังทำร้ายดวงตาเขาจนแห้งเหนียว ดวงตาที่บังเอิญหันไปมองคงเป็นเพียงช่วงจังหวะสั้นๆ


“ติน ไอ้ติน”


“หืม อะไร” เพื่อนที่นั่งข้างกันสะกิดยุกยิกที่ไหล่ พอเขาขานรับในคอแต่ไม่หันไปมอง จากการสะกิดเปลี่ยนเป็นการชนไหล่แรงขึ้น


“ไอ้ตินมึง”


“อะไรของมึงไอ้กาย จะชนให้ตกระเบียงเลยหรือไง”


“โต๊ะนั้นเขามองมึงอ่ะ” กายทำเสียงเล็กเสียงน้อย “เห็นมองสักพักแล้ว ไม่ส่งยิ้มกลับให้เขาล่ะ เสียมารยาทจริง”


สิ้นเสียงเพื่อนเพียงเท่านั้นตฤณเงยหน้ามองอีกครั้งก็พบสายตาคู่ดังกล่าว หากไม่ใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์คงเป็นเรื่องจริงที่ตฤณเห็นว่าใครคนนั้นมีหน้าตาจัดอยู่ในระดับดี อาจไม่เท่ากายเพื่อนเขาที่เคยได้ตำแหน่งเดือนคณะเมื่อสองปีก่อนแต่มีแรงดึงดูดไม่น้อย อีกฝ่ายนั่งอยู่คนเดียวมองตรงมาทางนี้ สังเกตเพิ่มขึ้นอีกหน่อยตฤณเห็นการแต่งตัวที่ใส่เสื้อเชิร์ทกับกางเกงทำงาน คลายปมไทด์สีเข้มบนคอจนหลวม เดาว่าคงเป็นมนุษย์เงินเดือนจากบริษัทสักแห่งที่โตกว่าเขามานั่งดื่มคลายเครียด


ใครคนนั้นระบายยิ้มบางแล้วยกแก้วในมือจรดริมฝีปาก ตฤณส่งยิ้มกลับ คิดว่าเป็นรอยยิ้มที่ดูเมาที่สุดเท่าที่จะส่งให้คนอื่น


“ยังไงครับเพื่อนกู ถ้าไม่สนกูเสียบ”


“เสียบที่หน้ามึงสิไอ้กาย ด้วยมีดจากแฟนมึงแหละ” ตฤณท้วง อีกคนส่งเสียงหัวเราะชอบใจที่แหย่เขาสำเร็จ กายไม่ทำอย่างนั้นเขารู้ดี เนื่องจากตกลงปลงใจคบกับดาวประจำเอกที่เรียนด้วยกันได้ปีกว่าแล้ว และใครคนนั้นก็น่ารักมากเสียจนตฤณเองยังเคอะเขินบ่อยครั้งเวลาพบหน้ากัน


“เขาดูสนใจมึงนะ ไม่เข้าไปคุยด้วยหน่อยเหรอ”


“อืม...” ตฤณลากเสียงในคอพลางขบคิดความน่าจะเป็นอย่างคร่าวๆ เท่าที่สมองมึนๆ จะทำได้ “ไม่ดีกว่า ห้าทุ่มแล้ว กูกลับล่ะ”


“อ้าว แบบนี้ก็ได้เหรอวะเพื่อน รีบกลับตลอดเลยมึง เด็กอนามัย”


“กูง่วงแล้ว หอก็อยู่ไกลกว่าพวกมึง ผมไม่ใช่ชาวข้าวสารนะครับอย่าลืม” ตฤณหัวเราะแล้วสำรวจกระเป๋าสตางค์กับมือถือว่ายังอยู่ดี ควักเงินตามราคาเครื่องดื่มที่อยู่ในท้องยัดใส่มือเพื่อน “ฝากจ่ายด้วย ไปละ พาโจ้กลับดีๆ”


“เออๆ มึงแม่ง ทิ้งเพื่อนไม่ว่า ทิ้งของดีไปอีก” กายบ่นอุบอิบเสียดายแทนให้ได้ยิน แต่ตฤณไม่สนใจ “ให้ไปส่งไหม”


“ไม่เป็นไร ยังไหวอยู่”


พอย้ายร่างลงมาที่ชั้นล่างตฤณมองหาห้องน้ำเป็นสถานที่แรกก่อนประตูทางออก ของเหลวรสเฝื่อนเล่นงานเขาแล้วด้วยอาการเสียวหน่วงตรงท้องน้อย ตอนนั่งไม่รู้สึกอะไรแต่พอลุกขึ้นมันดันจู่โจมเข้ามา จะกลั้นไว้ไปเข้าที่หอซึ่งต้องรอเวลาออกไปอีกหลายสิบนาทีคงไม่ทัน ตฤณฝ่าคนกลุ่มหนึ่งเพื่อไปหาพนักงานสักคนของร้าน แล้วก็ได้คำตอบกลับมา กล่าวคำขอบคุณตามมารยาทพลางออกเดินไปตามทางแคบๆ ด้านหลังที่มีไฟสลัว ฟันขาวกัดลงที่แนวริมฝีปากล่างเมื่อน้ำที่ปากท่อเริ่มไหลมารวมกันมากกว่าเก่า อึดใจเดียวเขาก็เห็นประตูแห่งสวรรค์ของคนมีทุกข์ ตฤณปลดซิปกางเกงตั้งแต่สองเมตรก่อนถึงห้องน้ำด้วยซ้ำ พอถึงหน้าโถเขื่อนน้ำเสียก็พังครืนลง อาการปวดหนึบหายเป็นปลิดทิ้งเหลือไว้เพียงอาการตัวเบาโล่งสบาย


การล้างมือหลังทำธุระในห้องน้ำเป็นการรักษาสุขอนามัยที่ตฤณไม่เคยลืมทำ พอสัมผัสน้ำจากก๊อกเลยถือโอกาสวักน้ำล้างใบหน้าให้สร่างอาการมึน น้ำเย็นสดชื่นสาดเข้ามาได้สองครั้งตฤณได้ยินเสียงว่ามีลูกค้าของร้านเปิดประตูเข้ามาใหม่ เขาไม่ได้ใส่ใจมากนักแม้จะชอบบรรยากาศตอนอยู่คนเดียวเมื่อครู่มากกว่า


ตฤณหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำที่ปลายคาง เห็นชัดเต็มสองตาว่าร่างโปร่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นดูคุ้นมากเหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน


อ่อ สบตากันเมื่อสิบนาทีที่แล้วที่ชั้นสอง


พออยู่ใกล้กันในระยะที่มองเห็นรายละเอียดได้มากขึ้น บวกกับการที่ไม่มึนเท่าก่อนหน้านี้ ตฤณได้สบดวงตาคู่นั้นเต็มที่ภายใต้กรอบแว่นทรงกลมขนาดใหญ่แบบสมัยนิยม รูปกรามพอดีกรอบหน้า ดวงตาทั้งสองกลมเรียว โดยรวมแล้วดูเรียบง่ายทว่าเป็นผู้ชายรสนิยมคลาสสิคแบบที่หลายคนชอบ แม้เสื้อทำงานหลุดลุ่ยออกจากขอบกางเกงเหมือนไทด์ที่หลวมจนไม่เป็นทรงของการแต่งกายไปทำงาน ทรงผมสั้นหยักศกเล็กน้อยสีดำขลับเริ่มหลุดทรงจากเวอร์ชั่นก่อนหน้าของมันเท่าที่ตฤณพอจะนึกภาพออก แต่ตฤณยังมองว่าคนตรงหน้าดูสะอาดสะอ้าน อย่างน้อยก็สะอาดสำหรับคนที่เลิกงานมานั่งในสถานที่อโคจรแบบนี้


“ขอโทษนะครับ ขอล้างมือได้ไหม”


“อะ...เอ่อ ได้ครับ โทษทีครับ” นักศึกษาชั้นปีที่สามในชุดไปรเวทก้มหัวขอโทษขอโพยที่ไปยืนขวางอ่างล้างมืออ่างเดียวของห้องน้ำแล้วขยับออกมา ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำที่แก้มแก้เก้อ


ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรต่อ ไอร้อนกรุ่นจากร่างกายอีกคนเข้าปะทะกับร่างกายข้างหนึ่ง ตฤณเอนหลังหลบฉากไปเล็กน้อยทั้งที่ร่างกายส่วนล่างนิ่งไม่ไหวติง คนหน้าตาดีคนนั้นเอื้อมตัวมาดึงกระดาษเช็ดมือที่เครื่องด้านข้างเขาแบบไม่ทันตั้งตัว พอขยับออกไปกลับเหลือไว้เพียงกลิ่นอ่อนจางสักกลิ่นที่ตฤณนึกพึงใจ น่าจะเป็นน้ำยาปรับผ้านุ่มหรือน้ำยาอัดกลีบรีดเสื้อทำงานที่มีอานุภาพแรงอยู่ได้ทั้งวันจนเวลานี้ยังไม่จางไป นอกจากกลิ่นแล้วตฤณยังเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มมุมปากด้วย


“จะกลับแล้วเหรอครับ”


“ครับ คือ...เพื่อนลากมานั่งด้วยเฉยๆ ปกติผมมาไม่บ่อย”


ตฤณหัวเราะเสียงแห้งพอเป็นพิธี อีกฝ่ายก็เช่นกัน น่าแปลกที่เปล่งเสียงในลำคอแต่เขาได้ยินว่ามันใสชัดเจนดังเข้ามาในโสตประสาต เสียงหัวเราะเพราะเหมือนเสียงพูดเลยนะครับคุณคนแปลกหน้า


“เพื่อนก็แบบนี้แหละ ผมเองนานๆ มาทีเหมือนกัน” ดวงตาสีน้ำตาลส่องประกายวาววับมองมา ทว่าไม่น่ากลัวแบบจ้องเคลมเขาหรือทอดสะพานเรี่ยราดแบบที่เคยเจอ “ขอโทษนะครับ แต่ถามได้ไหมว่ามีแฟนหรือยัง คือเมื่อกี้เห็นมองมาทางผม แอบหวังนิดหน่อยว่าเราจะมีอะไรๆ ที่...คล้ายกัน”


“โสดครับ”


ตฤณได้ยินเสียงตัวเองแบบนั้น จำไม่ได้เหมือนกันว่าสมองสั่งให้ออกเสียงแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ตัวตอนที่ใบหน้าหล่อของคนที่มีร่างกายขนาดพอกันมีรอยยิ้มเปื้อนเป็นรอยใหญ่ เขาขยับแว่นสายตาเหมือนทำตัวไม่ถูก คนพูดตอบก็เงอะงะไม่ต่างกัน


ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แค่ปล่อยไหลลื่นไปตามน้ำ


“อ่า ครับ ขอบคุณครับ แต่เราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่าไม่รู้...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเขิน คนฟังเชื่ออย่างนั้น “คือผมหมายถึงถ้าเราต่างคนต่างมาไม่บ่อยอย่างที่คุณบอก แต่บอกกันตามตรงว่าคุณต้องตาผมน่ะ”


“ผม...” ตฤณเม้มปาก รู้สึกราวกับถูกดูดเข้าไปในวังวนบางอย่างที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นเงียบๆ “ตอนแรกผมเบลอๆ เลยคิดว่าตาฝาดน่ะครับ”


ตฤณแบ่งรับแบ่งสู้ พอจะเข้าใจอยู่ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ถึงเขาจะเป็นคนที่ไม่ได้คิดมาก ประกอบกับคนตรงหน้านั้นน่าประทับใจไม่น้อย นานครั้งจะพบเจอคนแบบนี้ แต่ตฤณคิดว่าควรรักษาระยะห่างไว้สักหน่อย เวลาสบตาเพียงสิบนาทีไม่มีสิ่งใดรับประกันให้เขาได้เลย


“มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่ผมจะเจอคุณอีก”


“ถ้าหลังสอบกลางภาคแล้วเพื่อนสามารถลากตัวผมมาได้สำเร็จ” คนตอบไหวไหล่ คนฟังมีสีหน้าประหลาดใจ “เอาจริงผมไม่ได้ชอบมานั่งหรอก”


“เราไปคุยข้างนอกกันไหมครับ” เขาเสนอ ตฤณตอบไปว่ากำลังจะกลับแล้ว คนที่ไม่รู้จักชื่อพยักหน้าเห็นด้วยว่าจะกลับแล้วเช่นกัน สุดท้ายจึงพากันฝ่าฝูงทะเลมนุษย์ออกมายืนหน้าร้านได้สำเร็จตอนห้าทุ่มสิบนาที ออกเดินไปเรื่อย หลีกหนีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านมาเดินกันตรงบริเวณที่คนน้อย


เมื่อคนน้อยลง ความรู้สึกบางอย่างกลับก่อตัวมากขึ้น ตฤณไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่อบอวลไปหมด


“เรียนที่...เหรอครับ”


“เปล่าครับ เรียนที่...อยู่ใกล้กัน” ตฤณตอบคำถามตอนที่เดินทอดน่องตากลมออกจากบาร์เมื่อครู่ นึกสงสัยเหมือนกันว่าอีกคนกลับทางเดียวกันหรือเปล่าถึงได้เดินตามออกมาด้วย หอของเขาไม่ได้อยู่แถวนี้ ต้องนั่งรถเมล์หรือแท็กซี่กลับ “จะกลับหอกับผมด้วยเหรอครับ ฮ่าๆ”


“ก็ถ้าคุณโอเคกับวันไนท์สแตนด์” เขาตอบทีเล่นทีจริงจนคนถามเหวอไปเล็กน้อย “ผมล้อเล่น ยี่สิบหรือยังน่ะเรา”


ตฤณสังเกตว่าอีกคนใช้สรรพนามเปลี่ยนไป แสดงว่าคนแปลกหน้าคนนี้รับรู้อายุได้จากการพูดไปเรื่อยของเขา “ยี่สิบแล้วสิครับ ก็เพิ่งเดินออกมาจากร้านเหล้าด้วยกัน”


“เออ จริงด้วย สงสัยกรึ่มมากไปหน่อย”


คนอายุมากกว่าเสยเส้นผมไปด้านบนท้าลมที่พัดผ่านไปเล็กน้อย ดันแว่นขึ้นจากสันจมูกให้เข้าไปที่รูปดั้งอย่างเดิม ตฤณมองอย่างเพลินตาจนถูกจับได้รีบหันกลับมามองทางตรงอย่างเดิม หลบฝรั่งสองคนที่เดินผ่านไปด้านหลัง ไฟตามร้านค้าและผับบาร์ละลานตาไปหมด


“สรุปว่าเราจะได้เจอกันอีกไหม”


“เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วเองนะครับ”


“ผมไม่ชำนาญเรื่องการหว่านล้อมด้วยคำพูดสวยหรู” เขาหัวเราะ ตฤณว่าแอลกอฮอล์คงยังไม่หมดไปจากเลือดในกายง่ายๆ จึงได้ยินว่ามันน่าฟัง “แต่ถ้าคุณไม่สะดวกไม่เป็นไร ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณ...”


“ตฤณครับ” ตฤณเผลอตอบไปก่อนสมองใคร่ครวญอีกแล้ว


วินครับ ชื่อเราคล้องกันด้วยเนอะ”


“อ่า...”


ช่วงเวลาแห่งการบอกลามาถึง การได้รู้ชื่อในวินาทีสุดท้ายนั้นทำเอาความรู้สึกเสียดายกระแทกใจตฤณอย่างแรง กลิ่นอบอวลของบางอย่างหายไปในอากาศ ถ้าไอ้กายอยู่ข้างเขาตอนนี้มันต้องตะโกนกรอกหูว่าเขาโง่เง่าแน่ๆ ที่ทำตัวแบบนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ ความสัมพันธ์จากร้านเหล้าไม่ใช่เรื่องน่ายินดี มันไม่ยั่งยืน และตัวเขาก็ไม่พร้อมกับความไม่มั่นคงแบบนี้ด้วย


สบตาสุดท้ายก่อนแยกทาง คุณวินยังคงดูสะอาดสะอ้านแบบชายหนุ่มนิสัยเรียบร้อยอย่างที่คำพูดแสดงออกมา แววตาในดวงตาสองชั้นทอประกายเหมือนตอนมองเขาในร้าน มันไม่รุนแรงแต่ยังคงทำให้รู้สึกวาบหวามได้ แรงกระตุ้นในกายที่รู้สึกไม่บ่อยนักกำลังตื่นตัว มันขับดันต่อต้านกับสำนึกในหัวของตฤณ และฤทธิ์จากน้ำเมาหนึ่งแก้วก็มีมากพอจะสนับสนุนให้แรงนั้นชนะ ตฤณคว้าเอาข้อมือของคนข้างกายที่กำลังจะเรียกรถแท็กซี่เอาไว้ แรงดึงดูดมหาศาลก่อตัวขึ้น ฉับพลันทุกอย่างของคนตรงหน้าเกิดดูล่อตาล่อใจน่าลิ้มลองขึ้นมา ตฤณรวบกอดเอวของคุณวินเข้ามาแล้วประทับริมฝีปากลงไปทันที

__________

talk  :a11:
เรื่องเก่ายังลงไม่หมดมาเปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว 55555

เรื่องนี้มีที่มาจากการที่เราบังเอิญเห็นคุณคนหนึ่งในทวิตเตอร์เขาทวีตลอยๆ
ทีแรกเราเข้าใจว่าเขาหมายถึงสัตว์เลี้ยง แบบว่าถ้ามันเป็นคนขึ้นมาคงจะ...อะไรอย่างนั้น(ด้วยความที่เมื่อก่อนมีเพจสัตว์ดังๆ ex:แมวอโศก) แต่เราไม่ใช่คนสนใจเพจสัตว์เลยไม่รู้จัก ก็เลยปิ๊งไอเดียนิยายขึ้นมาตีความไปอีกแบบว่าชื่อมันเหมือนสถานที่ทำธุรกิจ แต่ละย่านชื่อดัง ถ้ามันเป็นคนคงต้องมีลักษณะประมาณนี้ๆๆ เป็นผู้ชายแต่ละไทป์ตามลักษณะหลายอย่างแต่ละที่
กลายเป็นว่าพอกลับไปอ่านอีกที คุณคนนั้นหมายถึงชื่อสถานที่แบบที่เราคิดเองก็คือถ้าสถานที่นั้นเป็นคนจริงๆ ไม่มีหมาแมว  :z3:
เรากำลังหาจุดเชื่อมอะไรบางอย่างของแต่ละเรื่อง ดังนั้นตอนหนึ่งๆอาจไม่ยาว ยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ อาจจะไม่ได้ลงบ่อยทุกอาทิตย์ แต่จะพยายาม เอื้อออ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2019 15:34:22 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Re: Business Districts : Lost at Sathorn II [8/7/62]
«ตอบ #2 เมื่อ08-07-2019 14:10:10 »

Lost at Sathorn II
หลงมาที่สาทร



กว่าตฤณจะนึกโทษตัวเองที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง คุณวินก็มีปฏิกิริยาตอบโต้จูบนั้นเสียก่อนแล้ว กลับกลายเป็นว่าคนเริ่มเผลอปล่อยมือที่คว้าข้อมือนั้น ผลตอบแทนคือคุณวินใช้มือทั้งสองประคองกึ่งบังคับใบหน้าของตฤณให้ปรับองศาได้ถนัดถนี่ มือเขาคงใหญ่มากพอจึงจับใบหน้าเอาไว้ได้อยู่หมัด นิ้วบางนิ้วแนบอยู่กับหลังคอของเขาแล้วลูบแผ่วเบา ริมฝีปากนุ่มขยับบดเบียดแนบชิดเชื่องช้า ตฤณลอยตามน้ำไปแบบว่าง่าย ทิ้งท้ายด้วยการถูกขบเม้มหนักๆที่ริมฝีปากล่าง รู้ตัวอีกทีตฤณเห็นตัวเองกำชายเสื้อคุณวินเอาไว้แน่นจึงรีบผละออก


คุณวินลืมตาอ้อยอิ่งราวกับกำลังดื่มด่ำช่วงเวลานั้นให้นานที่สุด วินาทีอันตรายคือเมื่อยามลูกแก้วสีนิลสองลูกนั้นทอดมองกลับมาหาเขาอีกครั้งพร้อมกับที่เจ้าของใบหน้าเลียริมฝีปาก คุณวินดูเหมือนคนที่เพิ่งดื่มเครื่องดื่มที่ตัวเองกระหายจัดจนอิ่มเอม ส่วนตฤณพยายามรับมืออาการแสบคันที่ปากด้วยการดุนปลายลิ้นหลายครั้ง แต่มันไม่ช่วยอะไรสักนิด


“คะ...คือผม...”


“ครับ เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว” เสียงทุ้มใสล้อเลียนคำพูดก่อนหน้านี้ “โอเค ตอนนี้ผมลืมแล้วว่าคอนโดตัวเองอยู่ไหน คุณนี่นะ”


“คุณวินผมขอโทษ ขอโทษจริงๆครับ รอตรงนี้ก่อนเดี๋ยวผมเรียกรถให้”


คุณวินหัวเราะเขาแล้วโบกมือปฏิเสธ รอยยิ้มเอ็นดูปนขำขันทำให้ตฤณพึงระลึกว่าตัวเขากำลังเป็นเหมือนกระต่ายตื่นตูมอยู่หรือเปล่า ก็น่าตื่นอยู่หรอกเมื่อคิดถึงว่าไม่เคยสักครั้งที่ตฤณเมาแล้วเผลอไผลไปจูบใครเข้า โดยเฉพาะคนไม่รู้จัก


“คราวนี้ปฏิเสธยากแล้วนะว่าไม่อยากพบกันอีก”


“อ่า...ครับ รู้สึกเสียดายนิดหน่อย”


“อย่างนั้น...ห้องผมหรือห้องคุณ?”


“อะไร...นะครับ?” ตฤณเริ่มคิดตามไม่ทัน สงสัยเหลือเกินว่าทำไมเหล้าร้านนี้เพียงแก้วเดียวถึงมีฤทธิ์รุนแรงส่งผลกับสมองหลายอย่างจนขาดสติ ได้ยินอะไรห้องผมห้องคุณตฤณไม่เข้าใจ


“หมายถึงถ้าคืนนี้เราไปด้วยกันคุณจะว่ายังไง โอเคหรือเปล่า”


“ไปต่อที่ไหนนะครับ ห้อง...อ๋อ...อ๋อหมายถึง...” คนพูดตะกุกตะกักพยายามบีบท้ายทอยจากที่ตึงให้ผ่อนลงแล้วตบหนักๆสองสามครั้ง คุณวินยังไม่คลายรอยยิ้มเอ็นดูลงเลยสักวินาที


ไปต่อที่ห้องคือวันไนท์สแตนด์ แค่นี้ก็ไม่รู้เรื่องนะไอ้ติน


“คงจะเร็วเกินไป ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันครั้งหน้าก็ได้ครับ”


ตฤณไม่รู้ว่าคุณวินเป็นพ่อมดจอมเวทย์อะไรหรือเปล่า เวลาจะบอกลากันเหมือนเขาคนนั้นร่ายเวทมนตร์ผ่านทางคำพูดที่ทำให้เขารู้สึกถูกสะกดทุกครั้งไป ดวงตาที่เป็นดั่งมิติลี้ลับภายใต้กระจกใสชวนให้ค้นหานั้นหลอกล่อให้ติดกับจนหาทางออกไม่เจอ และนักศึกษาธรรมดาอย่างตฤณติดอยู่ในมิตินั้นทุกครั้งเมื่อสบตา


“ห้องผมรก”


ยังไม่ทันที่จะได้ตอบ รถแท็กซี่สีเขียวเหลืองแล่นเข้ามาจอดตามสัญญาณมือที่คนข้างกายโบกเรียก คุณวินจับข้อมือของเขาฉุดให้ขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังด้วยกัน


“ผมพักอยู่กลางเมือง ตอนนี้รถยังเยอะอยู่ ไปห้องคุณดีแล้วครับ” คุณวินเบาเสียงเป็นการกระซิบที่ข้างหู ตฤณเกร็งรับลมหายใจอุ่นที่รดเข้ามาเล็กน้อยแล้วบอกทางแก่คนขับแท็กซี่


คนอายุน้อยกว่าไม่กล้าสบตาคนที่นั่งอยู่ข้างกันที่นั่งเงียบ ตฤณรู้แต่ว่าตัวเองนั่งเกร็งมาตลอดสิบห้านาทีบนรถ หากหันไปหามิติลี้ลับคู่นั้นอีกคงมีเหงื่อซึมกันบ้าง พยายามคิดทบทวนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ตฤณพยายามแล้ว แต่ทำไมทุกสิ่งในหัวถึงดำมืดเหมือนทีวีถูกชักปลั๊กไฟให้ดับ




คุณวินต้องเป็นพ่อมดที่สามารถบิดเบือนมิติและเวลาได้จริงๆแน่ ตฤณไม่รู้เลยว่าตั้งแต่ก้าวขาขึ้นรถมาจนถึงตอนนี้ที่ยืนแตะคีย์การ์ดห้องด้วยอาการมือสั่น มันผ่านมาได้อย่างไร สบตากับคนที่เดินตามมาด้วยกันได้รับเพียงรอยยิ้มธรรมดา


ตอนอยู่ที่ร้านแค่มองแล้วส่งยิ้มให้ ไปๆมาๆทำไมมาจบลงที่ห้องเขา


“พรุ่งนี้คุณมีเรียนหรือเปล่า”


“มีตอนบ่ายครับ”


“ดีแล้ว ถ้าไปทางแถบโน้นเกรงว่าจะมาไม่ทัน รถมันติดมาก อีกอย่างผมไม่มีชุดนักศึกษาให้คุณเปลี่ยน”


“ไม่ต้องใส่ก็ได้ครับ ใส่เฉพาะเวลามีสอบ”


เจ้าของห้องมองดูคนมาใหม่ที่มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อพูดถึงการแต่งกายเวลาไปเรียน แต่ขณะเดียวกันก็ทำตัวตามสบาย นั่งลงที่โซฟากลางห้องพร้อมปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนเหมือนเคยมาที่นี่สักสิบครั้งได้


ว่าแต่ไอ้วันไนท์สแตนด์เนี่ยเวลาพามาที่ห้องแล้วเขาต้องทำอย่างไรกันต่อ


“คุณวิน...ทำงานที่ไหนเหรอครับ” ตฤณถามแบบกล้าๆกลัวๆตอนหยิบน้ำมาเสิร์ฟแขก ก่อนนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวอีกตัว


“ผมอยู่แถวสาทร กลางเมืองโน่น”


“มาไกลถึงตรงนี้แล้วพรุ่งนี้จะไปทำงานทันเหรอครับ”


ตฤณหมายความตามที่พูด ถ้าอยู่ย่านคนเมืองขนาดนั้นเวลาเข้างานตอนเช้ารถจะติดแหลกลาญ จากตรงนี้ไปคงต้องนั่งรถหลายต่อมากๆกว่าจะไปถึง คุณวินจะต้องกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาทำงานไม่ทันเวลาอย่างแน่นอน


“ผมหยุดงานสักวันบริษัทก็เดินหน้าต่อไปได้ครับ”


จริงของเขา พอคิดตามแล้วตฤณแอบก้มหน้ายิ้มอายที่ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง


“นี่ก็จะเข้าสู่วันใหม่แล้วนะ ดอกเบี้ยเดินทุกวินาทีรู้ไหมคุณตฤณ”


ภาษาของเขาเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหรือตฤณคิดไม่ทันจนฟังผิดก็ไม่ทราบ เมื่อกี้เริ่มจูบเองก่อนแท้ๆ ตอนนี้กลับต้องมานั่งขบกรามเกร็งตัวเขินอายที่จะทำอะไรอย่างนั้น


เงยหน้าขึ้นอีกทีเห็นคุณวินมองอยู่ก่อน ทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว


“อ่า อาบน้ำก่อนไหมครับ หรือว่าจะ...”


“ที่จริงเดี๋ยวก็ต้องอาบอีกรอบอยู่ดี ถ้าคุณไม่เคร่งครัดอะไรขนาดนั้นผมอยู่ตรงนี้เลยได้ โซฟา ระเบียง เตียงนอนได้หมด แต่ถ้ารักษาความสะอาดเป็นสำคัญ ผมยินดีไปอาบก่อนครับ”


อยู่ตรงนี้คงหมายถึงทำกันตรงนี้ที่โซฟารับแขก เขาพูดลื่นไหลไม่มีสะดุดลังเล ทำไมคนที่ดูสบายๆและเรียบร้อยอย่างคุณวินถึงได้พูดให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องง่ายไปหมดทุกอย่าง ตฤณว่าใครคนนี้อาจไม่ได้มีแค่ที่ตาเห็น


“ผมไม่ซีเรียสเหมือนกัน ห้องนอนอยู่ด้านโน้นครับ”


ตฤณเดินนำคนมาใหม่เข้ามาในส่วนของห้องนอน กำลังจะหันมาถามว่าเตียงนอนเล็กไปหรือเปล่าสำหรับผู้ชายร่างกายขนาดเท่ากันสองคน คุณวินจู่โจมเข้ามาก่อนแบบไม่ให้ทันตั้งตัวใดๆทั้งสิ้นจนตฤณลงไปนอนหงายรับน้ำหนักอยู่บนเตียงตัวเอง รสจูบเร่าร้อนกว่าตอนอยู่ที่ตรอกข้าวสาร ทั้งรุกไล่และตั้งรับการตอบกลับของตฤณอย่างไม่ยอมกัน ตฤณละเลียดปลายลิ้นจนอีกคนยอมเผยอปากให้เข้าไปตักตวงสิ่งที่ต้องการ คุณวินเองดูจะพึงพอใจไม่น้อยถึงได้งับดึงกินปากเขาไม่หยุดหย่อน


ทีอย่างนี้ล่ะรู้สึกได้ว่าเวลากำลังเดินเป็นวินาที คุณวินต้องจงใจปรับเวลาให้ช้าลงแน่ๆ


ตฤณผงกหัวขึ้นดึงรั้งเสื้อยืดตัวเองออกครั้งเดียวหลุดแล้วโยนไปมั่วซั่ว คุณวินที่นั่งคร่อมอยู่บนเอวของเขาถอดแว่นดึงเนกไทด์โยนตามไปแล้วเริ่มปลดกระดุมเสื้อทำงานออก เสียงน่าฟังของคุณวินที่ตฤณคิดมาตลอดยามนี้เปลี่ยนเป็นหอบหายใจตามแรงอารมณ์ หัวเราะเบาๆด้วยเสียงติดแหบเซ็กซี่ทั้งรอยยิ้มมุมปากแล้วโถมกายเข้ามาใหม่ บดขยี้จูบอีกครั้งและอีกครั้ง


เหมือนคุณวินตั้งใจเพ่งสมาธิกับกระดุมเสื้อ จึงไม่ทันระวังตอนที่ตฤณพลิกร่างกลับขึ้นมา สาบเสื้อสองข้างแหวกออกตามแรงเหวี่ยง เส้นผมหยักศกนิดๆของคนอายุมากกว่าคลี่ลงแนบกับเตียง ตฤณไล่สายตาพิจารณาตั้งแต่ตีนผมที่เปิดหน้าผากละเรื่อยมายังตา จมูก ริมฝีปากสีสด ลำคอ กระดูกไหปลาร้า และแผ่นอกที่ขยับขึ้นลง


คุณวินเป็นคนธรรมดาที่ซ่อนรูป และรูปโฉมภายในนั้นทำเอาหัวใจตฤณเต้นเร่าดังเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชน


คนเมาเละเทะแล้วปล้ำคนอื่นน่ะไม่มีอยู่จริงหรอก เมามากส่วนใหญ่หมดสติฟุบหลับกันทั้งนั้น หากมานั่งวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่ทำให้ขาดสติยับยั้งชั่งใจจริงๆตฤณว่าแค่แก้วสองแก้วคงมากพอให้เกิดความสัมพันธ์แบบนี้


“เดี๋ยวก่อน หยุดก่อนครับ”


คุณวินทักขึ้นตอนที่กางเกงของเราสองคนหลุดไปกองด้านล่างเตียงจนเหลือแค่ชั้นในคนละตัว ตฤณหยุดชะงักยังไม่ทันได้ถอดชิ้นน้อยสีขาวของคนตรงหน้าออกทั้งที่หลุดมาเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว


“มีอะไรหรือเปล่าครับ”


“คุณเป็นรุกเหรอ”


คราวนี้ตฤณขมวดคิ้ว จากที่นั่งเกยทับกันเปลี่ยนเป็นลงมาสัมผัสที่นอนเต็มก้น ประจันหน้ากับคนถามในท่าที่ต่างคนต่างเหยียดขามาข้างหน้าพาดกันและกันอยู่


“ครับ”


“เป็นเรื่องแล้วสิ” คุณวินหัวเราะ ก้มหน้าลงใช้หลังมือบังปากพอเป็นพิธี คนอายุน้อยกว่าเห็นกิริยาที่บ่ากว้างนั้นสั่นน้อยๆแล้วอดสงสัยไม่ได้ “ผมก็รุก”


“อ้าว...หมายความว่ายังไงครับ”


“ก็หมายความว่าผมทิ่มคนอื่นไง” แววตาที่เล็กลงกว่าตอนไม่ใส่แว่นหรี่จ้องมา ตฤณขนอ่อนลุกชันหลังได้ยินประโยคนั้น


“ผมไม่เคยต้องรับให้ใครเหมือนกันนะ”


นักศึกษาหนุ่มท้วงบ้าง อารมณ์ราคะลดวูบลงไปกว่าตอนแรก ตฤณเห็นคุณวินหลุบตาต่ำครุ่นคิดบางอย่าง หากได้ยินว่า ถ้าอย่างนั้นมารับให้ผมได้ไหม จากปากเขา ตฤณคงยอมจบเรื่องแล้วแยกไปใช้มือแก้ปัญหา ทว่าก็ไม่ได้ยินอะไรแบบที่คิด คุณวินถอนหายใจแล้วสบตาเขา


“ไม่ต้องสอดใส่ก็ได้ครับ ใช้แค่มือ โอเคไหม”


“...ครับ คุณวิน”


ปัญหาจบลงง่ายดายเพียงเท่านั้น คุณวินหยัดกายขึ้นสูงผลักเขาให้นอนราบลงพิงหมอนที่หัวเตียง ก้าวเข้ามาจนร่างกายชิดกันเพื่อประกบริมฝีปากเริ่มต้นกันใหม่ แต่คราวนี้มือใหญ่ๆที่ตฤณกะเกณฑ์ขนาดเอาเองในใจเริ่มทำงานของมันอย่างรู้หน้าที่ สัมผัสอุ่นลูบไล้ตามแนวความยาวเชื่องช้า แล้วถึงปรับจังหวะให้เร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ วิธีการปรนนิบัติของคุณวินไม่ได้มีลีลาอะไรมาก เป็นเพียงการช่วยแบบทั่วๆไป แต่รู้ใจดีเหลือเกินว่าตรงไหนควรเน้นตรงไหนควรผ่อนหรือตรงไหนควรใส่ใจเป็นพิเศษ ตฤณครางในลำคอเมื่อแรงขับที่เกิดจากฝีไม้ลายมือคนตรงหน้าก่อตัวรวมกันเป็นมวลก้อนใหญ่ขึ้น เจ้าของห้องหลับตาพริ้มเอื้อมมือปะป่ายไปบนตัวคนอายุมากกว่าแล้วบีบคลึงบั้นเอว สมองตื้อตันจากน้ำเมาเห็นเป็นภาพสีขาวจางๆไม่มีเรื่องอื่นเจอปน


คุณวินเปลี่ยนเป้าหมายลงมายังซอกคอ ใช้ฟันครูดที่ไหปลาร้าสวยโดยไม่ฝากฝังรอยใดๆ สลับเปลี่ยนมือข้างที่ว่างเข้าไปเล่นกับตฤณน้อยแล้วใช้อีกข้างถูไถยอดอกสีเข้มพร้อมกับลิ้นที่ตวัดรัวเร็วลงในตำแหน่งคู่กัน เมื่อเร่งจังหวะมือข้างใหม่ใช้เวลาไม่นานร่างของเด็กหนุ่มจึงเกร็งขึ้น หลักฐานความใคร่สีขุ่นฉีดล้นจนเต็มมือไปหมด มีบางส่วนกระเด็นขึ้นเปรอะที่ปลายคางของเขาด้วย คุณวินใช้ความพยายามอย่างมากที่จะอดกลั้นตัวเองไม่ให้เผลอเลื่อนนิ้วข้ามผ่านไปยังช่องทางด้านหลัง กลิ่นเหงื่อที่ผสมปนเปกับกลิ่นเครื่องดื่มอบอวลรบเร้าให้มันเกิดขึ้นแทบขาดใจ


หากไม่เคยรับให้ใครสักคน ตรงนั้นต้องคับแน่นมากแน่ๆ


คิดเรื่องลามกแล้วบางอย่างยังสามารถเพิ่มขนาดได้อีกโดยไม่ต้องแตะถูกมัน


“ไม่ได้เอาออกนานเหรอครับ ข้นเชียว”


ตฤณพยักหน้าเหนื่อยอ่อน โดนถามกันตามตรงจะว่าไม่เขินเลยก็ไม่ใช่ ได้แต่เก็บความรู้สึกร้อนวูบวาบนี้ไว้แล้วเรียกสติกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองบ้าง


“มาครับ ผมช่วย”


คุณวินดูจะชอบจูบมาก เมื่อถึงทีของตัวเองเลยดึงตฤณให้โผเข้าไปจูบเป็นอันดับแรก ทว่าเด็กหนุ่มแยกประสาทรับรู้ได้ดีจึงคลำหาร่างกายของอีกฝ่ายแล้วทำไปพร้อมๆกันได้ ตฤณไม่มีเทคนิคพิเศษมากมายไปกว่าคุณวิน เพียงแค่ระหว่างหลับตาลองจินตนาการว่าตอนทำกับตัวเองนั้นทำอย่างไร ความเร็วเท่าใด แล้วปล่อยร่างกายคิดแทนสมอง ไม่นานคุณวินก็ส่งเสียงครางพอใจออกมาให้ได้ยิน


“เร็วขึ้นอีกได้นะครับ” เสียงกระเส่าดังข้างใบหู ตฤณเห็นว่าร่างกายคุณวินเติบโตขึ้นเต็มที่จากขนาดเทียบกับฝ่ามือเลยพยายามรั้งไว้เล้าโลมอีกนิด แต่ลองเจ้าของมันเอ่ยปากแล้วมีหรือที่จะไม่สนอง เด็กหนุ่มหุบขนาดมือลงคาดเค้นแล้วเพิ่มความเร็วขึ้นตามที่ขอ ตะโบมจูบตวัดปลายลิ้นผ่อนแรงลมหายใจอย่างกระหาย ชั่วอึดใจคุณวินผละใบหน้าออกตฤณจึงได้เห็นใบหน้าอันสุขสมบิดเบี้ยวอย่างชัดเจน ช่วยรีดเค้นหยาดหยดออกจนหมดแล้วจูบปิดท้ายอีกรอบ


เพราะน้ำใคร่แทบไม่ได้หยดลงบนเตียง ดังนั้นตฤณเลยไม่ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ หลังเช็ดทำความสะอาดเบื้องต้นแล้วเจ้าของห้องไปหยิบหาเสื้อผ้า จัดแจงของใช้จำเป็นที่มีสำรองเอามารับรอง มาให้แขกร่วมห้อง เมื่อคุณวินใช้ห้องน้ำเสร็จในเวลาไม่นาน กลิ่นสบู่ที่ใช้เองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันดันหอมฟุ้งกว่าปกติหลายเท่า ร่างสูงโปร่งใส่เสื้อผ้าของเขาได้พอดี หมดธุระแล้วตฤณเองก็เข้าไปใช้ห้องน้ำบ้าง


นาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่งกว่า ตฤณตกลงพูดคุยกับคุณวินคร่าวๆเรื่องเสื้อผ้า เรื่องการจราจรแถวนี้ และเรื่องสัพเพเหระอย่างที่คนเพิ่งรู้จักกันพึงสนทนาแม้ตอนนี้ปิดไฟเรียบร้อยนอนหันหลังชนกันบนเตียง จะว่าไปพอมีคนตัวเท่าๆกันมาเพิ่มเตียงของตฤณก็ดูเล็กลงไปอีก


“คุณตฤณ”


“ครับ”


“...นอนเถอะครับ ผมไม่รบกวนแล้ว”


น้ำเสียงคุณวินที่เรียกครั้งแรกเหมือนมีเรื่องอยากจะคุยอีกสักหน่อย แต่ดันตัดจบแบบนี้ตฤณไม่กล้าเปิดประเด็นอีกรอบเมื่อนึกถึงว่าคนที่ทำงานมาทั้งวันแล้วยังท่องราตรีกลางคืนอีกคงอยากพักผ่อนสบายๆมากกว่า


“ฝันดีครับ คุณวิน”


ลองหลับตาลงแล้วตฤณจมดิ่งสู่ห้วงนิทราทันที

__________

ใครอยู่ตำแหน่งไหนลองทายกันดูก่อน :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2019 15:15:42 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Re: Business Districts : Lost at Sathorn II [8/7/62]
«ตอบ #3 เมื่อ09-07-2019 08:51:08 »

ตฤน ×  วิน ไหมคะ ไม่กล้าเดาเลยค่ะ 5555

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Re: Business Districts : Lost at Sathorn III [9/7/62]
«ตอบ #4 เมื่อ09-07-2019 15:51:53 »

Lost at Sathorn III
หลงมาที่สาทร



เช้านี้นาฬิกาไม่ได้ปลุกเพราะวันที่มีเรียนบ่ายตฤณอยากนอนให้เต็มอิ่ม ด้วยความที่ไม่ใช่คนนอนกินบ้านกินเมืองจนตะวันเคลื่อนมาตรงศีรษะ เลยไม่กังวลมากเท่าไหร่ และตอนนี้ตฤณก็ตื่นเต็มตาอยู่บนเตียง


เตียงที่มีเพียงตัวเองกับรอยยับสองรอย ไร้ร่างคนที่อยู่ด้วยกันเมื่อคืน


ไม่เคยมีวันไหนที่ร่วมรักกับคนที่รักแล้วตื่นขึ้นมาโดยไม่เจอหน้ากันรับรุ่งอรุณวันใหม่ ไม่เคยมีครั้งใดที่ตฤณจะหิ้วคนอื่นกลับมาจากผับบาร์เพื่อมาสร้างความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวยามตนเองครองสถานะโสด


การตื่นนอนยามเช้าหลังจากมีเซ็กซ์กับวันไนท์สแตนด์ครั้งแรก โดยไม่เห็นอีกคนนอนอยู่ข้างๆเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน เป็นครั้งแรกในครั้งแรกที่ตฤณรู้สึกแปลกประหลาด มันรู้สึกอ้างว้างแบบนี้นี่เอง รู้สึกไม่ทุกข์หากสุขไม่สุดแบบนี้นี่เอง เป็นสิ่งซับซ้อนราวกับอยู่ในมิติพิศวง


เรียกว่าเซ็กซ์เต็มปากยังไม่ได้เลย ถ้าจะให้ถูกต้องเรียกว่ายังอยู่ในขั้นสำเร็จความใคร่เท่านั้น


จะว่าไปคุณวินเป็นพ่อมดที่เก่งกาจมาตลอดคืนนั่นแหละ ทั้งสะกดจิตเขา ทั้งจับยืดและตัดฉับบิดเบือนเวลาชีวิตเขาอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นไปได้ว่าค่ำคืนอันยาวนานตั้งแต่ตรอกข้าวสารจนถึงห้องพัก คุณวินพาตฤณเดินทางผ่านมิติลี้ลับช่องทางนั้นมาด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวกับเหล้าที่ดื่มไปหนึ่งแก้ว


คิดแล้วต้องกดยิ้มไม่ให้มุมปากโค้งขึ้นไปมากกว่านี้ สร่างเมาแล้วความคิดเป็นเด็กๆควรหายไปด้วย ไม่ใช่ยังติดค้างอยู่ในหัวเหมือนที่ในนิราศภูเขาทองกล่าวไว้จนเป็นประโยคฮิตตลอดกาล ไม่เมาเหล้าแต่เรายังเมารัก


ตฤณไม่ได้รักคุณวินเสียหน่อย เราแทบไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ หรือมีใครบอกเอาไว้ว่าการสบตากันในบาร์เหล้านั้นสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปอีกได้จริง


อย่างน้อยตอนที่ตฤณยังไม่เห็นว่ามีใครบอก กระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆบนโต๊ะทำงานมันก็บอกเขาตอนที่เดินโงนเงินมาเจอเข้าโดยบังเอิญ


ชวินทร์ ตันจราพิทักษ์กุล
XXX สาทร
09x-xxxxxxx



เจ้าของห้องขยี้ตาปรับการมองเห็นอีกเล็กน้อย เลื่อนสายตาลงมาด้านล่างไม่ไกลกันยังมีอีกข้อความที่เขียนเอาไว้ด้วยลายมือเดียวกัน


ขอโทษที่ออกมาโดยไม่ปลุกนะครับ ไม่อยากรบกวน ขอบคุณสำหรับเมื่อคืน


ข้อความสั้นกระชับ เรียบง่าย หากทำให้เผยรอยยิ้มกว้างยามเช้า กระทั่งลายมือของคุณวินยังเป็นระเบียบอ่านง่ายเหมือนหน้าตาธรรมดาพิมพ์นิยมของเจ้าของมัน ตฤณวางกระดาษลงบนโต๊ะอย่างเดิมเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำไปเรียนในช่วงบ่าย ระหว่างชำระร่างกายในห้องน้ำที่ฝักบัวปล่อยสายน้ำเย็นฉ่ำรดกายก็ทบทวนตัวเลขสิบหลักที่มองสองครั้งจนจำได้ขึ้นใจ




“ติน ข้อนั้นมึงตอบอะไรวะ ที่มันมีคำว่า minutes อ่ะ กูกับไอ้โจ้จำได้ว่าตอนอยู่ในห้องมึงได้แปลข้อนั้นก่อนออกสอบ”


“...”


“ไอ้ติน!”


“หืม อะไรนะ” ตฤณได้ยินเสียงกายเพื่อนรักดังขึ้นฉุดกระชากให้กลับมาสู่โลกปัจจุบัน “ข้อไหนนะขออีกรอบ”


“กูถามว่าข้อที่มันมี keep minutes and waste hours มึงตอบว่าอะไร จำได้ว่าอาจารย์เคยให้มึงแปลตอนอยู่ในห้อง”


ตฤณครางรับในคอแล้วสลัดความคิดเก่าที่คั่งค้างอยู่ในสมองเมื่อครู่ออกไป ค่อยๆระลึกไปถึงเหตุการณ์ตอนอยู่ในห้องสอบที่เพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงชั่วโมง


“กูแปลไปว่า เมื่ออยู่ในห้องประชุม สิ่งที่พวกเราจะได้คือรายงานการประชุมและการเสียเวลาไปเป็นชั่วโมงๆ มันเป็น puns ไง”


“เออ ก็แค่นั้นแหละ กูลืมไอ้สัส ตอบมั่วไปเลย” โจ้พูดขึ้นแล้วโยนขนมเข้าปากไปอีกชิ้น ดูไม่ทุกข์ร้อนกับการเสียไปสามคะแนนเพราะความจำไม่ดี


“กูตอบถูกครับ ไม่เสียแรงที่ยืมชีทมันมาลอก” กายเกทับเพื่อนพร้อมทั้งยักคิ้วกวนอวัยวะเบื้องล่างมาให้ ไม่สนใจใครจะมองว่าที่ตอบถูกนั้นไม่ได้เป็นเพราะคิดคำตอบเอง “ว่าแต่มึงไอ้ติน ทำไมพักนี้เหม่อบ่อย ยานแม่ส่งสัญญาณมาหรือไงวะ”


“กูเหม่อบ่อยเหรอ”


“เออสิวะ กูเห็นทุกอย่างเลยที่มึงเป็นอยู่ช่วงนี้ ทั้งเหม่อ ทั้งถอนหายใจ หน้าสลดอย่างกับหมารอเจ้าของ ถามจริง เป็นอะไร”


ตฤณไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอย่างนั้นบ่อยจนเพื่อนสังเกตเห็น หลุบสายตาลงกับโต๊ะเรียบสีขาวพยายามนึกหาคำตอบ นึกได้อยู่คำเดียวว่า “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”


กายหลับตาลงเม้มปากเหมือนกำลังอดกลั้นไม่ให้ลุกขึ้นมาเขย่าคอเสื้อของเขาอยู่


“โอเค ไม่บอกไม่เป็นไร ถ้ามึงพร้อมค่อยพูดแล้วกัน”


“พวกมึงนี่แม่งเหมือนผัวเมียกันเลยว่ะ ติน ไอ้กายมันห่วงจนจะเป็นผัวมึงอีกคนละ กูก็เหมือนกัน มีไรมาระบายได้นะอย่างน้อยก็เพื่อนกัน”


“กายไม่ได้เป็นผัวกูหรอก เป็นผัวมึงมากกว่าโจ้ ไปกินเหล้ากี่ครั้งก็ลากมึงกลับตลอด ผัวทาสผู้ภักดี” ตฤณเปลี่ยนประเด็นอย่างแนบเนียน เพื่อนสองคนหันมองหน้ากันแล้วเบ้หน้าเหม็นเบื่อ ที่จริงถ้าเพื่อนเขาไม่ได้มีแฟนเป็นสาวสวยน่าอิจฉาคนนั้นตฤณจะคิดว่ากายกับโจ้เป็นมากกว่าเพื่อนกันแล้วนะ


“ละทำไมมันต้องเป็นผัวกู กูสิต้องเป็นผัวมัน”


“ได้ไงวะ อย่างมึงถึงจะเป็นผัวคนทั้งโลกแต่ยังไงกับกูคือเป็นได้แค่เมียเท่านั้นล่ะโว้ย”


กายและโจ้เป็นชายแท้ที่มองแค่หญิง ทั้งที่ในกลุ่มมีตัวเองคนเดียวที่สนใจในคนเพศเดียวกัน แต่สองคนนั้นไม่เคยทำให้เขารู้สึกแปลกแยก พูดคุยล้อเล่นให้เป็นเรื่องปกติ จนบางทีคำพูดคำจาผัวเมียทั้งหลายก็ชวนคนอื่นเข้าใจผิดไปหมด ทำให้สาวๆในคณะลือกันไปใหญ่ ตฤณเป็นแฟนโจ้บ้างล่ะ เป็นแฟนกายบ้างล่ะ หรือคู่กัดสองคนนั้นต่อหน้าทำเป็นทะเลาะกันแต่เบื้องหลังบนเตียงสุดเหวี่ยงถึงใจบ้างล่ะ


ตฤณส่ายหน้าระอาใจให้ประเด็นผัวเมียของเพื่อนสองคนแล้วกลับมาสนใจสรุปข้อสอบที่จะต้องทำในวิชาต่อไป


09x-xxxxxxx


อยู่ๆเลขสิบหลักนี้วนเวียนกลับเข้ามาในสมอง ทำเอาคนที่กำลังนั่งจำเนื้อหาชะงักไปวูบหนึ่ง


ไม่ต้องตอกย้ำกันขนาดนี้ก็ได้ว่ากำลังคิดถึงเจ้าของเบอร์


เคยนั่งคิดอยู่หลายนาทีว่าการทิ้งชื่อ เบอร์โทร และที่อยู่บริษัทแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร ตฤณไม่อยากหลอกตัวเองว่าคุณวินกำลังรอเขาให้ติดต่อกลับไป แต่ก็ไม่เห็นจะมีเหตุผลอื่นที่ดูสมเหตุสมผลกว่าในการที่เขาทำแบบนี้ รู้จักกันแค่แป๊บเดียว เห็นตัวตนกันแค่ครั้งเดียว ไม่ใช่ว่าพอแยกกันแล้วทุกอย่างจบลงอย่างนั้นหรือ


ถามตัวเองไปอย่างนั้นแหละ เพราะไม่เคยมีวันไหนที่ตฤณไม่นึกถึงคุณวินเลย




วันหนึ่งหลังเลิกเรียน นักศึกษาปีสามเกิดความรู้สึกอยากไปท่องกลางเมืองอย่างย่านสาทร


ตฤณเกิดในกรุงเทพมหานคร เป็นชาวกรุงเทพโดยกำเนิด บ้านเดิมอยู่ละแวกปิ่นเกล้า ดังนั้นโรงพยาบาลที่แม่ให้กำเนิดจึงเป็นโรงพยาบาลมีชื่อเสียงที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตฤณเลยคุ้นชินกับเส้นทางรอบๆบ้านเวลาไปไหนมาไหน


วันดีคืนดีครอบครัวย้ายบ้านไปอยู่แถบปริมณฑล ตฤณต้องทำความเข้าใจเส้นทางละแวกบ้านใหม่อีกครั้ง มีหลงลืมสภาพแวดล้อมจากบ้านเก่าไปบ้าง แต่อาศัยความเคยชินที่นั่งรถผ่านบ่อย กลายเป็นว่าเวลาเดินทางในเส้นทางที่ผ่านบ่อยๆตฤณจะไม่หลง ไม่ว่าจะเคยหรือไม่เคยแวะเวียนสถานที่ตรงนั้นก็ตาม


แต่ทั้งละแวกบ้านเก่าและบ้านใหม่ของตฤณไม่ได้ตั้งอยู่ในย่านกลางเมืองที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจราคาสูงอันดับต้นๆของประเทศ อีกทั้งมหาวิทยาลัยอยู่แค่แถวสนามหลวงไม่ต้องเข้าไปไกลถึงในเมือง หอพักก็เลือกหานอนได้ใกล้กัน ดังนั้นตฤณที่ไม่เคยไปเหยียบสักครั้งจึงเกิดความกังวลเล็กน้อย ว่าตัวเองที่ไปไกลสุดแค่ห้างสยามพารากอนจะไปสาทรได้อย่างไรโดยไม่หลงทาง


“กาย”


“ว่า”


“มึงเคยไปแถวสาทรป่ะ”


“สาทรคือตรงไหนก่อน”


คนถามขมวดคิ้ว ก่อนนึกขึ้นได้ว่าคนที่เขาเพิ่งถามนั้นบ้านอยู่บางเขน ไปไกลกว่าบ้านใหม่เขาแถมรถติดกว่ามากด้วย


“ตรงที่มีตึกร้างที่เคยออกข่าวดังๆไง ตึกนี้” ตฤณเปิดรูปในมือถือให้เพื่อนดูตอนที่กำลังค้นหาแผนที่เส้นทาง กายวาดนิ้วซูมรูปเข้าออกอยู่พักหนึ่งถึงส่งคืนให้เจ้าของ


“อ๋อ ไอ้ตึกนี้มันอยู่สาทรเหรอวะ ไม่เคยไปหรอก กูจะไปทำอะไรแถวตึกร้าง”


“มันไม่ได้มีแค่ตึกร้างอยู่ตรงนั้นอย่างเดียวเว้ย”


“แล้วมึงจะไปทำอะไรแถวนั้นล่ะ”


โดนถามสวนกลับมาแบบนี้เล่นเอาคนเริ่มประเด็นหุบปากฉับ ด้วยความที่เป็นคนลื่นไหลได้ง่ายและโอนอ่อนไปตามสถานการณ์ได้ไวกลัวพลั้งปากไปก่อนคิด ตฤณรีบเฟ้นหาคำตอบในหัวที่ดูจะเข้าท่าที่สุดเพื่อไม่ให้เพื่อนต้องสงสัย แต่นั่นก็ทำให้รอนานจนผิดสังเกต


“เอ่อ...”


“เอ่ออะไร มีของกินร้านดังหรือว่ายังไง”


“กูจะไป...ไปเดินเล่น แถวนั้นตึกสวยๆเยอะดี”


“เดินเล่น? มึงว่างมากเหรอวะ”


ทีแรกที่เพื่อนถามเสียงสูงตฤณคิดว่าคำตอบโคตรไม่เนียน ต้องถูกจับได้แน่ๆ แต่กลายเป็นว่ากายแค่ถามเขาแล้วแค่นหัวเราะก่อนจะส่ายหน้ากลับไปสนใจมือถือของเจ้าตัว คงจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติเพราะเมื่อก่อนตฤณเคยเล่าให้ฟังผ่านๆว่าชอบบรรยากาศกลางเมืองของกรุงเทพมาก ตฤณชอบตึกดีไซน์แปลกๆที่ตั้งสูงตระหง่านตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าจัดในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนในย่านความเจริญเหล่านั้นจะมีแสงไฟประดับประดา ถนนหนทางและห้างร้านสว่างไสวดูศิวิไลซ์ไปหมด


“ก็เครียดๆเลยว่าจะไปเดินเล่นผ่อนคลาย”


“ไปผ่อนคลายห้องกูดิ เล่นว่าวเพลินๆ”


“มึงเล่นไปคนเดียวเถอะ ห่า จ้องเคลมกูอยู่เรื่อย น่ากลัวขึ้นทุกวันนะมึง” ตฤณผลักหัวเพื่อนแรงๆจนเอนไปอีกทาง กายหัวเราะร่วน


“ทำตัวน่าแกล้งเองทำไมวะ กูว่าถ้ากูชอบผู้ชายนะมึงเสร็จกูคนแรกแล้วไอ้ติน”


“น้อยๆหน่อยครับ ผมไม่ใช่คนที่ต้องไปนอนใต้ร่างใคร ให้เกียรติความสูงร้อยเจ็ดสิบเก้ากูด้วย”


คนฟังไหวไหล่เบ้ปากเล็กน้อย “เตี้ยกว่ากูอยู่ดี ยังไงกูก็อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารเว้ย ไม่เคยได้ยินเหรอ ชายได้ชายคือยอดชาย”


ยอดหน้ามึงสิ ตฤณไม่ได้ตอบกลับคนที่ตบไหล่เขาอย่างผู้ชนะแต่กลับมาสนใจหาข้อมูลในมือถือต่อ และแล้วชื่อสถานที่ที่เขาหาก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ


ผ่านมาเป็นเดือนตฤณไม่เคยโทรหาหรือส่งข้อความถึงคุณวินสักครั้ง ไม่เคยคิดสนใจจะพิมพ์ชื่อในกูเกิ้ลว่าเขาเป็นใครหรือทำงานที่ไหน มัวแต่ยุ่งเรื่องการเรียนกับสอบกลางภาคที่เพิ่งผ่านไปไม่นานจนบางทีลืมไปแล้วว่ามีเรื่องราวคืนนั้นเกิดขึ้น ค่ำคืนที่ตฤณปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกครอบงำตัวตนมากกว่าการใช้เหตุผลจากสมอง ไม่ต้องคิดมากเวลาวางตัวหรือพูดคุยกับใครคนนั้นอย่างเวลาที่ทำเป็นปกติทุกวัน


แต่ต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยจากการเรียน เหนื่อยจนคิดถึงคุณวินมากกว่าเดิม คิดถึงวันละหลายๆเวลาเป็นการให้กำลังใจตัวเอง จนมาถึงวันนี้ที่ความอดทนปริ่มล้นขีดจำกัดที่มีอยู่เต็มทน


“กูคิดถึงเขาว่ะ”


ตฤณเปรยขึ้น แล้วก็เห็นว่าทำให้เพื่อนถึงกับปล่อยมือถือร่วงลงบนโต๊ะ


“เขาที่มึงว่าเนี่ยคนไหน คนล่าสุดหรือ...”


“คนที่เจอในร้านเหล้าวันนั้น ที่ข้าวสาร”


กายเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง แอบส่งสายตาล้อเลียนมาให้แต่ไม่พูดออกมาตามตรง ตฤณว่าเพื่อนคงไม่อยากทำให้เขารู้สึกแย่ล่ะมั้ง


“กูบอกแล้วว่าให้เข้าไปคุยๆ แต่มันผ่านมาเดือนกว่าแล้วนี่ ทำไมอยู่ๆมึงคิดถึงเขาล่ะ”


“กูคุยกับเขาแล้ว เจอกันตอนแวะเข้าห้องน้ำก่อนกลับหอ”


“อ้าว ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลยไอ้ติน ยังไงครับยังไง พูดมา ไม่ขอไอดงไอดีไลน์อะไรไว้บ้างหรือไง”


ได้ยินน้ำเสียงจริงจังปนซักไซ้แล้วน่ากลัวจะเผลอเล่าออกไปทั้งหมด ตฤณถอนหายใจ เรียบเรียงเหตุการณ์เป็นลำดับแล้วเล่าออกมา...บางส่วน


“ก็...คุยกันนิดเดียว ถามโน่นถามนี่ เดินออกไปปากซอยก็แยกกันกลับ กูบอกว่าเรียนอยู่ที่ไหนอะไรงี้ ส่วนของเขารู้แค่ว่าทำงานที่ไหน แล้วก็ได้เบอร์มา” ตฤณจะไม่ยอมบอกกายเด็ดขาดว่าความจริงคือไปถึงห้องด้วยกันและนอนร่วมเตียงกันมาแล้ว ถึงสายตาคู่คมจะนั่งจ้องจับผิดเขาอยู่ก็เถอะ


“ไม่โทรหาเขาล่ะ มานั่งบ่นคิดถึงทำไม”


“โทรไปก็รบกวนเวลางานเปล่า”


“เขาทำงานที่ไหนวะ ไปหาเลยดิกลัวไร”


“แถวๆสาทร”


“มีเบอร์ไม่โทร รู้ที่ทำงานก็ไม่ไปหา แล้วมานั่งทนเป็นหมาหงอยอยู่ได้ ไอ้ควาย ชื่อตินหรือชื่อตีน”


ตฤณนิ่วหน้าย่นจมูก แต่สมควรแล้วที่โดนเพื่อนด่าเพราะเขาไม่ทำอะไรเลยจริงๆนั่นแหละ


“อ่อ กูเข้าใจละ ที่ผ่านๆมาเพราะเรื่องนี่แน่เลย มึงใจลอยเหม่อคิดถึงแต่เขาใช่ไหมวะ”


ด้วยความที่กายมีบางสิ่งบางอย่างอันทำให้ต้องใจอ่อนยอมว่าง่ายทำตามไปเสียทุกเรื่อง ตฤณพยักหน้ารับสารภาพไปตามตรง


“ถ้างั้นแล้วแต่มึงเลย อยากนั่งเหี่ยวอยู่งี้ก็ตามใจ แต่ถ้าเป็นกูนะ กูจะทำตามที่หัวใจเรียกร้อง”


หัวใจเรียกร้อง คำพูดเชยแสนเชยจากเพื่อนเดือนคณะสุดที่รัก ฟังดูเลี่ยน แต่อีกนัยหนึ่งเป็นคำที่ง่ายและมีความหมายลึกซึ้งดี


ตอนนี้ตฤณเข้าใจแล้วว่าเวทมนตร์เรียบง่ายและลึกซึ้งของคุณวินทำให้ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น คุณวินไม่ใช่เขาวงกตในหนังเดอะเมซรันเนอร์หรือวงกตที่เดดาลัสสร้างไว้กักกันไมโนทอร์ แต่ตฤณไม่เคยหาทางออกเจอ จากวันนั้นถึงวันนี้




อยากเจออีก อยากเห็นหน้าอีกสักครั้ง ความอยากนั้นทำให้ตฤณมายืนอยู่บนชานชาลารถไฟฟ้าสายสีลมสถานีสุรศักดิ์ จากการยุส่งของกาย ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่ามีหลายครั้งที่ตฤณยอมทำอะไรจากคำพูดของมันแบบง่ายๆเพราะมันหล่อ


เพราะคำว่าหัวใจเรียกร้องจากปากเพื่อน ตฤณถึงกับรีบเสิร์ชหาข้อมูลที่อยู่ของสถานที่ที่คุณวินทิ้งเอาไว้ให้ จนดั้นด้นมาถึงตรงนี้ ที่ไหนก็ไม่รู้ มองทางซ้ายก็ตึก มองทางขวาก็ร้านอาหารใหญ่ดูแพง เสียงรถราบนถนนกับควันพิษสีเทายิ่งทำให้ตรงที่ยืนอยู่กลายเป็นสังคมคนเมืองถึงขีดสุด นี่เขามาทำอะไรอยู่ตรงนี้วะเนี่ย


ตฤณเสี่ยงดวงเดินไปทางซ้ายจนเกือบสุดถนนก็ต้องผิดหวัง แผนที่ในไอโฟนซึ่งดูว่าจะดีกว่ากูเกิ้ลแมพมากๆยังช่วยไม่ได้ ไหนบอกว่าตรงนี้ไปได้ไงล่ะ มันกลับหัวกลับหางไม่รู้ทิศรู้ทาง เดินกลับมายังจุดเดิมแล้วก้าวเท้าไปทางขวา หนักกว่าเก่าอีก สุดท้ายตระหนักได้ว่า ตฤณหลงทาง


หลงคนที่ทำงานอยู่ย่านสาทร แล้วยังมาหลงทางในสาทรจริงๆอีก เวรกรรม

__________

คุณวินค่าตัวแพง ตอนไม่มีเงินจ่ายเลยไม่ยอมออก 5555 ตฤณสู้ๆ :hao7:
เจอคำผิดหรือตรงไหนแปลกๆบอกได้เลยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2019 19:16:21 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Re: Business Districts : Lost at Sathorn IV [10/7/62]
«ตอบ #5 เมื่อ10-07-2019 10:27:19 »

Lost at Sathorn IV
หลงมาที่สาทร



มีปากต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าหลงทางให้ถามเอา พ่อของตฤณเคยพูดไว้แบบนั้นตอนที่ยังเด็ก จนโตแล้วยังได้ยินบ้างประปราย


ปกติเวลาไปไหนตฤณไม่ค่อยได้ถามทางเพราะอาศัยว่าลองไปด้วยตัวเองก่อน กับครั้งนี้ไม่เหมือนกัน สถานที่ก่อนๆเป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ที่นี่กลางเมือง ยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์นักศึกษาชั้นปีที่สามที่ไม่เคยมาจะพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ขอความช่วยเหลือ


แล้วจะถามใครดี เท่าที่มองคนผ่านไปผ่านมาไม่มีคนหน้าตาใจดีดูน่าพึ่งได้เลย


ไม่มีคนหน้าตาใจดีแต่ยังมีเทวดาใจดีอยู่บ้างที่บันดาลให้ตฤณเจอสิ่งที่กำลังมองหา พี่สุชาติทั้งเบอร์ธรรมดาและเบอร์เลขสวยนั่งรอลูกค้ากันอยู่ที่ท่ารถ ตฤณเดินปรี่เข้าไปหาพี่คนใส่เลขเสื้อเบอร์สิบสองที่โบกมือส่งสัญญาณให้เขาว่าจะไปหรือเปล่า ตฤณเลยโบกมือตอบว่าไปโดยยังไม่ได้อ้าปากออกเสียงสักแอะเดียว นึกในใจว่านี่มันภาษาที่สามของชาวคนเมืองขนานแท้ เขินๆเหมือนกัน


พี่วินมอเตอร์ไซค์ที่นี่ดูเชี่ยวชาญดี ตฤณบอกชื่อตึกให้ได้ยินก็ร้องอ๋อ ทำให้ลูกค้าที่ไม่รู้ทางอย่างเขารู้สึกอุ่นใจได้บ้าง พอก้าวขึ้นรถเรียบร้อยพี่สุชาติบิดออกไปไวทันใจเหลือเกิน เข้าตามตรอกออกตามซอย ถนนเล็กถนนใหญ่ไม่หวั่น ยังดีที่ตฤณเคยนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อไปสถานที่ใหญ่ๆในวันเร่งรีบจึงปรับตัวให้เข้ากับเข็มไมล์รถพี่ๆได้ ความเร็ววันนี้จึงนั่งไปแบบสบายๆไม่ต้องเกาะรถแน่นนัก ไม่หวาดเสียว


“ถึงแล้วครับ”


“ที่นี่เหรอครับตึกที่ผมบอก มันดูเหมือนโรงแรมเลยนะพี่” ตฤณหยีตาสู้กับแสงแดดยามเย็นพลางหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า

“นี่แหละถูกแล้ว ชื่อนี้แถวนี้ก็มีแต่ตรงนี้ครับ โรงแรมเขาออกจะดัง”


แต่ผมไม่ใช่คนแถวนี้ครับเลยไม่เคยได้ยิน ตฤณท้วงอยู่ในใจแล้วส่งเงินให้สี่สิบบาท ได้เงินแล้วพี่สุชาติเบอร์สิบสองก็บิดกลับไปยังท่ารถตามเดิม ส่วนคนเพิ่งเคยมาครั้งแรกเกาท้ายทอยด้วยความงงงวย หันไปเห็นร้านกาแฟในระยะไม่ไกล ตรงปากซอยที่เลี้ยวเข้ามาเมื่อครู่ก็เจอท่ารถพี่วินอีกท่าเหมือนกัน ดีล่ะ ถึงมาผิดจริงๆคงไม่เป็นไรแค่มีพี่วินเขาก็ไม่ต้องหลงทางแล้ว


ตฤณยังไม่กล้าเดินเข้าไปในสถานที่เป้าหมายโดยตรง ด้วยความที่มันดูอลังการไม่น้อย สิ่งก่อสร้างตรงหน้าใหญ่โตและมีถึงสองตึกราวกับว่ามันเป็นฝาแฝดของกันและกัน ป้ายด้านหน้าเป็นชื่อภาษาอังกฤษขนาดใหญ่ตรงกับชื่อที่คุณวินเขียนบอกไว้ ด้านข้างเป็นชื่อภาษาไทยขนาดเล็กกว่ามากเขียนนำหน้าด้วยคำว่าโรงแรมตามด้วยคำอ่านทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ


แล้วสรุปว่าคุณวินทำงานที่นี่หรือเปล่าล่ะ ตอนเขียนก็เขียนแค่ชื่อเฉยๆตามด้วยสาทร ถ้ามาผิดตฤณจะโทรไปต่อว่าจริงๆด้วย


เดินทางจากมหาวิทยาลัยเข้ามาถึงส่วนในเมืองใหญ่กินเวลาไปราวสองชั่วโมงถ้านับเวลากันตรงๆ อีกทั้งเมื่อกี้นั่งรับลมควันพิษซ้อนท้ายพี่วินจนคอแหบแห้งไปหมด ตฤณตัดสินใจว่าจะหาอะไรดับกระหายเสียก่อนในร้านกาแฟ ตอนนี้คนไม่เยอะมากอาจได้เร็วทันใจ


“พี่ครับ ตึกฝั่งตรงข้ามนี่คือโรงแรมเหรอ” ตฤณถามพี่พนักงานสาวท่าทางใจดีที่กำลังปั่นโกโก้ให้เขา


“ใช่ค่ะ เป็นโรงแรมที่เป็นตึกแฝด ค่าห้องแพงอยู่นะ คนพักส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง แต่ของเขาดีจริง”


“พี่เคยนอนแล้วเหรอครับ อันนี้ถามเฉยๆคือผมไม่เคยมา”


“เปล่าๆ หมายถึงเจ้าของโรงแรมอ่ะงานดี เดินมาซื้อกาแฟบ่อย” แล้วสาวเจ้าก็หัวเราะคิกคักจนคนฟังยังแอบยิ้มตาม มองคนทำเดินไปเดินมาครู่เดียวตฤณถึงได้เครื่องดื่มรสหวานกำลังดีมาดับกระหาย แลกเปลี่ยนเงินทอนกันเรียบร้อยก็ถึงเวลารวบรวมความกล้ามุ่งหน้าเข้าไปยังโรงแรมเป้าหมายในตอนห้าโมงกว่าๆ


เดินตรงเข้ามาปุ๊บตฤณเห็นห้องกระจกขนาดกลางก็รู้ทันทีว่าเป็นล็อบบี้หน้าโรงแรม ถึงมีขนาดไม่ใหญ่มากทว่ามีเก้าอี้รับรองหลายชุดโดยไม่ทำให้ห้องดูอึดอัด พื้นไม้เงาวับสีอ่อนตัดกับเคาท์เตอร์ไม้เนื้อดี ตฤณเห็นชาวต่างชาติอยู่เต็มไปหมด ทั้งที่นั่งคุยกันเองและที่กำลังติดต่อจองห้องพัก มีคนไทยบ้างแต่เป็นระดับที่แต่งกายดูดี ส่วนที่เหลือเป็นชาวเอเชียที่หน้าตาคล้ายคนไทยแต่พูดกันด้วยภาษาอื่น


หรือว่าคุณวินไม่ได้ทำงานแต่พักอยู่ที่นี่ แล้วถ้าเข้ามาถามหาพนักงานจะยอมบอกเขาตรงๆหรือหากรู้ว่าไม่ได้นัดกันมาก่อนล่วงหน้า ตฤณพอจะเข้าใจเรื่องความปลอดภัยของการปกปิดข้อมูลคนมาพักอาศัยอยู่หรอก


“ขอโทษนะครับ พอดีผมมาหาคนๆหนี่ง ไม่แน่ใจว่าเป็นพนักงานที่นี่หรือแค่มาพักที่นี่ ไม่ทราบว่าจะติดต่อได้ทางไหนบ้างครับ”


เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาเดินตรงเข้าไปถามเมื่อพนักงานตรงล็อบบี้คุยธุระกับครอบครัวแขกชาวต่างชาติเสร็จพอดี พนักงานต้อนรับในชุดฟอร์มของโรงแรมเดินมาหาเขา


“รบกวนแจ้งชื่อให้หน่อยนะคะ”


“ชื่อคุณชวินทร์ ตันจราพิทักษ์กุลครับ”


“สักครู่นะคะ”


ตฤณสะกดชื่อตามที่เขียนไว้ในกระดาษ พนักงานที่ดูว่าอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีกล่าวทวนก่อนเริ่มกดแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ซื้อเวลาให้ตฤณได้มองสำรวจพื้นที่อีกสักหน่อย


“ไม่มีแขกที่มาพักชื่อนี้เลยค่ะ ไม่ทราบว่าสะกดชื่อผิดหรือเปล่าคะ หรือว่าจำสาขาผิด โรงแรมเรามีสาขาอื่นด้วยค่ะในกรุงเทพ ราชดำริก็มี สยามก็มี”


“ไม่มีเลยเหรอครับ”


“ค่ะ ไม่มีเลยค่ะ”


ตฤณเริ่มใจเสีย หรือคุณวินหลอกเขา แต่ถ้าหลอกจะจงใจเขียนชื่อนามสกุลพร้อมเบอร์โทรมาขนาดนี้ทำไม หรือว่าอาจเคยอยู่แต่ตอนนี้ไม่ได้พักที่นี่แล้วเพราะตฤณปล่อยเวลาผ่านไปนับเดือน ความเป็นไปได้น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า


ทำไมถึงได้โง่เง่าอย่างนี้นะไอ้ติน!


“มีอะไรกันหรือเปล่า”


เสียงผู้หญิงอีกคนดังขึ้นเมื่อเดินมาสมทบ ตฤณเห็นเป็นผู้หญิงวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดฟอร์มของโรงแรมเช่นกันแต่ดูภูมิฐานกว่าพนักงานตรงหน้าเขามาก และพนักงานสองสามคนตรงนี้ก็ดูเกรงอกเกรงใจเธอคนนี้เป็นพิเศษ เป็นคนวัยทำงานที่ดูมีสง่าราศีจนนักศึกษาธรรมดาอย่างเขายังต้องนึกชมในใจ


“คือผมมาหาคนรู้จักน่ะครับ เขาบอกชื่อแล้วก็ให้ที่อยู่ว่าเป็นที่นี่ แต่พี่พนักงานบอกว่าไม่มีชื่ออยู่”


“ไม่มีจริงๆค่ะผู้จัดการ หนูคีย์ชื่อสองครั้งแล้วแต่ไม่ขึ้นข้อมูล” พนักงานคนนั้นบอก ตฤณไม่แปลกใจที่ว่าทำไมคนๆนี้ถึงดูเป็นที่เคารพของคนอื่นนัก


“ไหนคุณลองบอกชื่อมาอีกครั้งได้ไหมคะ ทางเราจะตรวจสอบให้ใหม่ ถ้าไม่มีค่อยไปถามหาที่สาขาอื่น”


ถึงน้ำเสียงฟังดูนุ่มนวลและใจเย็น ตฤณยังคงหัวใจเต้นตุบตับด้วยกลัวว่าผลจะออกมาเป็นอย่างเดิม


“ชื่อคุณชวินทร์ ตันจราพิทักษ์กุลครับ”


“เอ่อ...นามสกุลอะไรนะคะ”


“ตันจราพิทักษ์กุลครับ”


ตฤณนิ่งไปเมื่อเห็นคุณผู้จัดการขมวดคิ้วจนทำให้ใบหน้าดูดุ แต่คนที่ถูกตำหนิไม่ใช่ตฤณ เป็นพนักงานสาวคนนั้น


“เธอเพิ่งมาทำงานใหม่ใช่ไหมเนี่ย ถึงได้ไปหาชื่อในรายชื่อแขก”


คนถูกถามพยักหน้าทั้งที่ยังทำสีหน้าไม่ถูก พอผู้จัดการหันกลับมาตฤณเองยังเกือบสะดุ้ง ลิปสติกสีแดงเข้มนั่นมีพลังงานบางอย่างอยู่แน่ๆ


“ไม่ทราบว่าได้นัดไว้ล่วงหน้าหรือเปล่าคะ”


“เปล่าครับไม่ได้นัด แต่ถ้าเขาไม่สะดวกไม่เป็นไรนะครับ พอดีผมผ่านมาเฉยๆ เขาแค่ให้ที่อยู่เอาไว้เลยคิดว่าแวะมาวันธรรมดาได้”


“รอสักครู่นะคะ” คุณผู้จัดการว่าแบบนั้นแล้วเดินไปด้านหลังล็อบบี้ยกหูโทรศัพท์สายภายในของโรงแรม ตอนนี้คนที่ถ่อสังขารมาจากสนามหลวงค่อยเบาใจหน่อยว่าคุณวินคนที่เขาตามหานั้นมีตัวตนอยู่จริง อึดใจเดียวหญิงวัยกลางคนน่าเกรงขามก็เดินกลับมาหา แต่ตฤณเห็นว่าสายโทรศัพท์ภายในยังไม่ได้วางไป


“จะให้แจ้งว่าใครมาขอพบคะ”


“ผมชื่อตฤณครับ”


แล้วเธอก็เดินกลับไปใหม่ พยักหน้าสองสามทีจึงวางสายไป


“ดิฉันแจ้งให้แล้วค่ะ เดี๋ยวรบกวนคุณตฤณเดินไปที่ลิฟต์ด้านขวามือทางด้านโน้นนะคะแล้วกดไปที่ชั้นสิบหก ออกจากลิฟต์ไปจะมีพนักงานยืนรอรับอยู่ค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลารอนาน”


“ไม่เป็นไรครับ แค่ผมไม่ต้องไปตามหาที่สาขาอื่นก็ดีใจแล้ว ขอบคุณมากครับ” ตฤณยกมือไหว้ขอบคุณคนเป็นผู้ใหญ่กว่า ซึ่งเธอก็ยิ้มเอ็นดูยกมือรับไหว้แล้วเดินไปดูแลแขกชาวต่างชาติอีกกลุ่ม เขาเลยเดินไปตามทางที่ผู้จัดการว่าไว้เพื่อกดลิฟต์แล้วขึ้นไปหาคนที่ต้องการเจอ


ทำไปทำมาตฤณรู้สึกตัวเล็กอย่างไรชอบกล เสียวแปลบตามเนื้อตัวเหมือนเวลาครูกำลังจะสุ่มเลขที่ตอบคำถามสมัยมัธยม ตัวเลขดิจิตอลบนเครื่องแสดงผลเริ่มเพิ่มจากเลขเดียวเป็นสองหลัก คนที่ขึ้นลิฟต์มาคนเดียวเผลอขบกรามแน่น กลืนน้ำลายเหนียวลงคอลำบาก


คุณวินทำไมพักอยู่ชั้นบนสุดเลยนะ ชั้นบนสุดในโรงแรมกลางเมืองขนาดนี้ราคาห้องต้องแพงหูดับตับไหม้แน่นอน คนที่ภายนอกดูธรรมดาแบบนั้นจะมีกำลังจ่ายไหวหรือ แต่ก็อีกนั่นแหละ พ่อมดในคราบมักเกิ้ลแบบคุณเขาน่าจะมีอะไรที่ตฤณไม่รู้อีกเยอะ


เผลอแป๊บเดียวเสียงกริ่งดังขึ้นจนเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง คนแรกที่ได้เห็นหน้าค่าตาเป็นผู้หญิงสวยแต่งตัวเรียบร้อยคนหนึ่ง เดาว่าเป็นคนที่คุณผู้จัดการข้างล่างบอกไว้


“คุณตฤณหรือเปล่าคะ”


“ใช่ครับ”


“ไม่ทราบว่าได้นัดล่วงหน้าไว้หรือเปล่าคะ พอดีตอนนี้คุณชวินทร์กำลังประชุมอยู่ ถ้าเป็นนัดส่วนตัวหรือเป็นเรื่องเร่งด่วนดิฉันจะได้รีบไปแจ้งก่อน”


“มะ...ไม่ด่วนครับ ไม่ใช่เรื่องเร่งรีบ ผมไม่ได้นัดเอาไว้ก่อน แค่ผ่านมาก็แวะเข้ามาเฉยๆ” ตฤณรีบร้องห้ามคนที่พร้อมจะเดินออกไปทุกเมื่อแล้วพูดรัวเร็ว “รอได้ครับ”


“อย่างนั้นเชิญเข้าไปรอที่ห้องด้านในก่อนนะคะ อีกสิบนาทีประชุมถึงจะเลิก ถ้าคุณชวินทร์ประชุมเสร็จดิฉันจะบอกเขาว่าคุณมารอ”


“ขอบคุณมากนะครับ รบกวนแย่เลย” ตฤณถึงกับปาดเหงื่อบนขมับเมื่อพูดจบแล้วหญิงสาวพาเข้ามานั่งรอในห้องอีกห้อง

พนักงานที่นี่พูดจาสุภาพมากเสียจนเขากลายเป็นคนห่ามไปเลยเมื่อเดินเข้ามาตั้งแต่หน้าประตู ไม่เคยรู้มาก่อนว่างานโรงแรมจะทำงานประสานกันรวดเร็วเป็นระบบระเบียบขนาดนี้




ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย รู้แน่ชัดแล้วว่าคุณวินไม่ใช่แขก แขกที่มาพักไม่ต้องประชุม แสดงว่ามีตำแหน่งงานให้คนชื่อชวินทร์อยู่ในโรงแรมแห่งนี้ แต่ยิ่งคิดตฤณยิ่งไม่อยากรู้ เกิดกลัวขึ้นมาเสียเองว่าถ้าขุดลึกลงไปเรื่อยๆจะเจอเรื่องที่น่าตื่นเต้นระคนเหนื่อยใจกว่าที่เจอตอนนี้อีก


ถามตัวเองเป็นรอบที่ล้าน ว่ามาทำไมวะเนี่ย


ห้าโมงสามสิบนาที บรรยากาศกรุงเทพย่านสาทรด้านนอกกระจกเริ่มเข้าสู่เวลาโพล้เพล้ ท้องฟ้าสว่างน้อยลง ตึกและห้างร้านบางแห่งเปิดไฟขับไล่ความมืดก่อนแล้ว ตฤณที่นั่งรอมาสิบนาทีตามที่คนข้างนอกบอกให้รอเริ่มกลับมากังวลอีกครั้งเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะได้พบคนที่คิดถึงอยากเจอมาตลอดทั้งเดือน


“ขอโทษที่ต้องให้รอนานนะครับ มารอพบผม...”


ตฤณในชุดนักศึกษากำลังมองวิวด้านนอกหันกลับมาตามเสียงที่คุ้นเคย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าของเสียงน่าฟังหยุดพูดไปดื้อๆแล้วนิ่งงันไปก่อน แววตาน่ามองหลังเลนส์แว่นบางเฉียบมีราคาทั้งสองข้างไหวระริกไปชั่วขณะ ตฤณดูไม่ออกว่าคนตรงหน้ากำลังคิดหรือรู้สึกอะไร


“คุณตฤณ”


“คะ...ครับ คุณวิน”


ใจของเขาเต้นตึกตัก เสียงทุ้มใสเรียกชื่อของเขา พลังมันช่างมีผลกับก้อนเนื้อในอก รุนแรงเหมือนจะทำให้ระเบิดออกมาด้านนอกเดี๋ยวนั้น นี่หรือเปล่าที่มาของคำว่าหัวใจเรียกร้องที่กายพูดเมื่อตอนบ่าย

__________

การเดินทางของเจ้าตฤณ ตอนนี้จ่ายค่าตัวคุณวินไปห้าสิบบาทเลยออกมาแค่นี้ แต่ตอนหน้าจะมาเยอะแล้วนะ :o8:
เล่นทวิตเตอร์ติด #หลงมาที่สาทร ด้วยนะคะถ้าชอบ เราอยากอ่านฟีดแบค  :monkeysad:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2019 11:12:52 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
Re: Business Districts : Lost at Sathorn IV [10/7/62]
«ตอบ #6 เมื่อ10-07-2019 11:43:05 »

ทำไมคุณวินไม่มาหาน้องที่ห้องล่ะคะ


 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Lost at Sathorn V
หลงมาที่สาทร



ตอนได้ยินเสียงเรียกชื่อว่าแทบแย่แล้ว ช่วงตกตะลึงผ่านไปแค่แป๊บเดียว รอยยิ้มที่มุมปากสีสดในสายตาที่ตฤณกำลังมองอยู่ก็ยกมุมโค้งขึ้นทีละน้อยจนสุด เข้ารับกันดีกับดวงตาที่ยิ้มตามได้ด้วย คุณวินดูสว่างสดใสที่สุดในห้องนี้ ถ้าตฤณเป็นแวมไพร์คงถูกแผดเผาเป็นธุลีสลายไป


“มาได้ยังไงครับ นี่มันจะหกโมงเย็นแล้วนะ ไม่กลับหอเหรอ” คนถามยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองแล้วกลับมามองหน้าเขาใหม่ “หรือมีแพลนจะไปเที่ยว?”


ตฤณไม่ได้ซื่อเกินไปที่จะตอบว่าพอเลิกเรียนแล้วเขานั่งรถเมล์ออกจากป้ายรถที่สนามหลวงมาถึงสยาม ต่อรถไฟฟ้าจากสยามมาลงที่สถานีสุรศักดิ์เพื่อจะหลงทางสักพักและนั่งพี่สุชาติบึ่งมาหาคุณวินที่โรงแรมหรูบนชั้นสิบหก คุณวินเลิกคิ้วขึ้นราวกับจะเร่งให้เขาตอบคำถามนั้นโดยไม่ถามซ้ำ


“ผม...นั่งรถมาครับ”


คำว่าโชว์โง่มีอยู่จริง ถ้าสมองคิดใคร่ครวญแต่ปากตอบไปอีกอย่างแบบนี้กลับไปที่ห้องต้องตรวจสอบดูว่าน็อตตัวไหนไขไม่แน่น


คราวนี้คุณวินยิ้มเห็นฟันเรียงสวยเสียกว้าง หลุดหัวเราะออกมาเบาๆเหมือนสิ่งที่เขาตอบมันตลกนักหนา ตฤณว่าตัวเองคงเมาโกโก้ เผยรอยยิ้มแห้งเพื่อบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะตอบกวนอวัยวะเบื้องล่าง ตฤณแค่ตื่นเต้น


“รอตรงนี้เดี๋ยวนะ” แล้วคุณวินก็ยกห้านิ้วเป็นพระปางห้ามญาติ หันหลังกลับไปเปิดประตูหน้าห้อง พูดคุยกับเสียงที่คาดว่าน่าจะเป็นพี่สาวคนที่พาตฤณมานั่งรอ ประตูไม่ได้ปิดสนิทแต่มีรอยแง้มกว้างพอที่คนในห้องจะได้ยินเสียงดังลอดมาบ้าง


“คุณโสมครับ ตฤณที่ว่านี่คือน้องตฤณคนนี้หรอกเหรอ ผมนึกว่าตฤณเพื่อนผม”


น้องตฤณ?


“ขอโทษค่ะคุณวิน โสมลืมไปว่าน้องคนนี้ชื่อเดียวกับคุณติณภพเพื่อนคุณ ผู้จัดการที่ล็อบบี้โทรแจ้งแค่ว่าชื่อตฤณโสมเลยไม่รู้รายละเอียดอื่น”


“ครับๆไม่เป็นไร ขอบคุณมากครับ”


ตฤณเดินมาหยิบกระเป๋าเป้กับแก้วโกโก้ปั่นเตรียมพร้อม พยายามไม่ใส่ใจเสียงคนที่กำลังเดินกลับเข้ามาหาเขา การเล่นละครว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ยินผู้ใหญ่คุยกันนี่มันยากกว่าที่คิด และตัวเองคงทำได้ไม่เนียนมากๆ คุณวินถึงได้ยืนยิ้มรอเขาหันไปอยู่ก่อนแล้ว


“ตกลงยังไงเนี่ยคุณตฤณ มาทำธุระแถวนี้? แค่ผ่านเลยแวะเข้ามาหา? หรือว่า...”


“ตั้งใจมาครับ” คนอายุน้อยกว่าชิงตอบก่อนที่ตัวเลือกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “ผมตั้งใจมาหาเอง”


“มีอะไรกับผมหรือเปล่าล่ะ พูดมาได้เลย”


ตฤณไม่รู้ว่าเรายืนอยู่ใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ให้ได้สังเกตรายละเอียด คุณวินยืนกอดอกนิ่งๆเหมือนรอฟัง วันนี้เขาใส่เสื้อเชิร์ทลายทางสีน้ำเงิน เนกไทด์สีแดงเลือดนก กางเกงทำงานสีเดียวกับไทด์ที่คาดว่ามีเสื้อสูททำงานสีเดียวกันแต่ถูกถอดออกไปก่อน ทรงผมอันเดอร์คัทสั้นกว่าวันแรกที่พบกันทว่าเส้นไหมดำขลับหยักศกด้านบนยังดูนุ่มละมุนละไมเหมือนเดิม ที่สำคัญคือไม่หลุดทรงแม้ใกล้หมดวันทำงาน


น้อยแต่มาก ตฤณมีความคิดเห็นเพียงคำเดียวให้คนตรงหน้า


ดวงตาคู่นั้นดูแพรวพราวเมื่อคุณวินเชิดคางเล็กน้อยมองมาที่เขา มันดูเป็นการถามที่ค่อนข้างเป็นทางการ หากดูเหมือนกำลังแกล้งในคราวเดียวกัน นี่คุณวินคงไม่ได้คิดว่าเขามาหาเพราะจะมาคุยงานใช่ไหม เขาเป็นแค่เด็กปีสาม ไม่ใช่ลูกน้องหรือเด็กเบลบอยยกกระเป๋าแขก


“ผมคิดถึงคุณชวินทร์ครับ”


ตอบออกไปแบบนั้นทำให้คุณวินเลิกคิ้วขึ้นสูง เห็นด้วยว่าสีหน้าขรึมแบบหลอกๆนั้นอ่อนลงแถมยังแก้มกระตุกเหมือนกลั้นยิ้ม ตฤณไม่อยากคิดเยอะก่อนตอบคำถามอีกต่อไปแล้วเพราะคิดเท่าไหร่ไม่เคยตอบตรงตามที่คิด หากคุณวินเป็นคนง่ายๆสบายๆ ตฤณเองควรปรับตัวด้วยการทำอะไรไม่ซับซ้อน เริ่มต้นด้วยการพูดในสิ่งที่หัวใจเรียกร้องก่อน


โคตรเชย แต่ชัวร์


“โทรมาก็ได้นี่ครับ ผมว่าผมให้เบอร์ไปแล้วนะ”


“กลัวโทรมาแล้วรบกวนเวลางานคุณวินครับเลยไม่กล้าโทร”


“ก็มาหาถึงที่เลยว่างั้น?” คนพูดเลิกกอดอกแล้ว แต่น่าจะยังหยอกเขาอยู่ “ดีนะที่วันนี้ผมอยู่ ถ้าเกิดไม่อยู่คงจะมาเสียเที่ยว คุณตฤณครับ ช่วงหมดเวลาทำงานแล้วสักสองทุ่มสามทุ่มก็โทรมาได้นะ แต่จะว่าไปแล้วมือถือผมเงียบกริบเลยล่ะ”


คนที่ทำอะไรก็น่ามองไปหมดอย่างคุณวินกำลังใช้มือซ้ายล้วงกระเป๋ากางเกง มือขวาหยิบมือถือรุ่นล่าสุดราคาหลายหมื่นบาทออกมาจับพลิกหน้าพลิกหลังแล้วเก็บเข้าที่เดิม จากเดิมยืนตรงพอเขาเปลี่ยนมาเป็นการยืนพักเข่าทำให้เสื้อผ้าบิดตามทรวดทรงเจ้าของมันแบบพอดิบพอดี ไม่ว่าจะบ่าไหล่ ลำตัว สะโพกหรือรูปท่อนขา ตฤณกลืนน้ำลายลงคอไปอีกอึกใหญ่พอทั้งหมดที่ว่ามามันอยู่ในสายตาตัวเอง


“คือ...ช่วงนั้นผมยุ่งๆเรื่องเรียน” เขาได้ยินเสียงตัวเองอธิบาย “แล้วยังไม่ทันจะตั้งตัวดีก็มีสอบกลางภาคด้วยครับ”


“ยอมรับนะว่าแอบหวังให้คุณติดต่อมา” คุณวินถอนหายใจยาว ย่นจมูกยู่ปากทำเสียงอ่อนฟังดูน่ารัก “แต่คุณเงียบไปเลยคิดว่าเราคงไม่ได้พบกันอีก งานผมก็เยอะด้วยจนไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อไปเอง”


เด็กหนุ่มพยักหน้าว่าเข้าใจอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง คุณวินต้องทำงาน ขนาดวันนี้ยังเลิกประชุมเย็นมากเกินเวลาทำงานปกติ ที่ผ่านมาคงไม่มีเหตุผลให้ต้องโกหกเรื่องไม่มีเวลา ถึงเป็นพ่อมดเก่งกาจขนาดไหนก็คงควบคุมไม่ให้งานเดินเข้ามาหาตัวเองไม่ได้ แต่กับตัวเขาเองต่างหากที่แย่ที่สุด ได้รู้ความจริงแล้วว่าคุณวินรอการตอบกลับของเขาเช่นกัน ที่ผ่านมาดันขี้ขลาดเอง น่าเขกหัว น่าให้ไอ้กายมาด่ากรอกหูซ้ำๆจนกว่าจะหายฉลาดน้อย


“แต่ผมไม่ปฏิเสธนะว่ามีหลายครั้งที่...คิดถึงคุณตฤณเหมือนกัน”


นักศึกษาธรรมดาๆอย่างเขาถูกพ่อมดสะกดด้วยคำพูดอันตรายอีกแล้ว คุณวินยิ้มให้เขาแบบวันนั้นที่ตรอกข้าวสาร ตฤณเผลอบีบแก้วโกโก้จนมันเกือบบุบด้วยแรงมือ หัวใจฟูฟุ้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ได้นับ ไม่คิดนับเพราะคาดว่าจะเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง


“ผมเลยต้องมาวันนี้ไง”


“อืม เข้าใจแล้วครับ” คนอายุมากกว่าก้าวเข้ามาประชิดในที่สุดแล้วยีหัวเขา “ไปไหนต่อหรือเปล่า”


นั่นสิ พลังอานุภาพของเสียงหัวใจเรียกร้องมันเกิดขึ้นเพียงสั้นๆทำให้ต้องกระเหี้ยนกระหือรือจะมา แต่ตฤณลืมคิดไปว่าพอมาถึงได้เจอหน้าแล้วจะเอาอย่างไรต่อไป กัดปากเร่งให้ตัวเองรีบๆคิดรีบๆตอบก็คิดไม่ได้ แค่คิดถึงล้วนๆเลยมาหา ไม่มีอย่างอื่นผสม อยู่ไปน่าจะรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณวิน


“คงกลับเลยมั้งครับ ไม่รู้จะอยู่ทำไม”


“คุณนี่ใช้เวลาไม่คุ้มค่าเลยตฤณ” เขาเอ็ด “มาทั้งทีเจอหน้าปุ๊บรีบกลับเสียแล้ว ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมยังไม่หายคิดถึงเลย ทำไมเด็กสมัยนี้ใจร้ายกันจัง”


คุณวินมักพูดอะไรให้ฟังดูไม่ซับซ้อนเสมอ หากตฤณมั่นใจว่านี่เป็นการร่ายมนตร์สะกดรูปแบบใหม่ของพ่อมดไม่ให้เขาตั้งตัวก่อน ทำให้ตอนนี้ตัวแข็งทื่อไปหมดยกเว้นลูกตาที่ยังเคลื่อนไหวได้


“ละ...แล้วผมต้องทำไง”


“คุณโสมครับ คุณโสม เข้ามาหน่อยครับ” เขาไม่ตอบคำถามแต่กลับออกเสียงเต็มหน่วยเรียกคนข้างนอกเข้ามา ไม่นานประตูก็เปิดออกพร้อมหญิงสาวคนเดิม ตอนนี้ตฤณค่อนข้างชัวร์ว่าเธอเป็นเลขาคุณชวินทร์


“คุณวินมีอะไรหรือเปล่าคะ”


“รบกวนคุณโสมช่วยจองโต๊ะอาหารที่ห้องจัดเลี้ยงสองที่นั่งให้ทีครับ อาหารเอาเมนูแนะนำอะไรก็ได้มาสักสามสี่อย่าง อีกสิบนาทีผมกับแขกจะลงไป”


“คุณวินจะทานมื้อเย็นที่โรงแรมเหรอคะ” คุณโสมทวนคำถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่คุณวินเพิ่งพูดกับเธอไป


“ครับ ผมจะพาเขาไปทาน” เขาผายมือมาทางตฤณ “รบกวนด้วยนะครับ”


“ได้ค่ะ เดี๋ยวโสมจัดการให้”


สาวสวยรับคำแล้วเดินออกไป เหลือเพียงเขาและคุณวินคนเดิม เพิ่มเติมคือดูอารมณ์ดีมากๆ ตฤณนึกเอะใจว่าเขาทำงานอะไรที่นี่นะถึงได้สามารถสั่งให้เลขาไปจองโต๊ะในห้องอาหาร ถ้าไม่ใช่เพราะตำแหน่งสูงก็คงเป็นสิทธิ์พิเศษสำหรับพนักงานของที่นี่หรือเปล่า


ตฤณกลัวใจว่าจะเป็นอย่างแรกที่เขาคิด


“ไหนๆมาถึงที่นี่แล้ว ตอนนี้เย็นมากแล้วด้วย ไปทานข้าวกันครับ”


ตฤณไม่ยักรู้ว่าพ่อมดชวินทร์สามารถทำให้เขาท้องร้องหิวข้าวทันทีที่สั่งจองโต๊ะได้ด้วย แค่คิดว่าจะได้กินอาหารในโรงแรมหรูกับคุณวินเขาก็น้ำตาจะไหลแล้ว


ก่อนลงมาที่ห้องอาหาร คุณวินบอกให้เขารออยู่ที่หน้าลิฟต์แล้วเดินหายเข้าไปในห้องอีกฝั่ง ตฤณสายตาปกติเลยมองป้ายชื่อบนห้องได้ แต่ก็เห็นเพียงชื่อภาษาไทยตัวใหญ่อันเป็นชื่อของคุณวินนั่นแหละ ไม่เห็นว่าบรรทัดล่างที่อักษรขนาดเล็กกว่าเขียนว่าอะไร มันอยู่ไกลเกินไป


หลังจากนั้นไม่นานคนที่รอก็เดินออกมาพร้อมสิ่งของเพิ่มเติมอันได้แต่เสื้อสูทตัวนอกที่ตฤณเดาถูกเป๊ะว่าต้องเป็นสีที่เข้าชุดกัน และกระเป๋าถือสีดำสนิทอีกหนึ่งใบ คุณวินดูไม่เหมือนคนมาทำงานเลย เขาเหมือนมาเดินแบบ มีการหยุดแวะคุยที่โต๊ะคุณโสม ตฤณได้ยินคร่าวๆว่าแบบนี้


“คราวหน้าให้น้องตฤณเข้ามารอที่ห้องทำงานผมได้เลยนะครับ ไม่ต้องไปรอที่ห้องรับแขก”


ได้ยินคำนั้นเป็นครั้งที่สองแล้วแต่เจ้าของชื่อไม่ยักชินหู คนห่ามฉลาดน้อยอย่างเขาไม่น่ามีคนมาเติมคำว่าน้องข้างหน้าชื่อเลย โคตรไม่เข้ากัน ขัดกับหน้าตาสุดๆ




มื้อเย็นที่ห้องอาหารตฤณว่าคุณวินคลายมนตร์สะกดตอนที่อาหารหมดไปแล้วครึ่งจานเห็นจะได้ อาหารไม่ซ้ำประเภทแม้มีเพียงสามสี่อย่างตามที่คุณวินบอกให้คุณโสมเลือกหา แต่ตฤณยกให้ติ่มซำกุ้งเป็นพระเอกของมื้อนี้ กุ้งตัวใหญ่และสดมากจนกัดแล้วเกิดความนุ่มเด้งสู้ลิ้น


“สั่งอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”


“อ่า ไม่ดีกว่าครับ มันดูแพง”


ตฤณหมายความตามที่พูด โรงแรมหรูขนาดนี้อาหารต้องแพงเป็นธรรมดาตามระดับฝีมือเชฟ และหากคุณวินนึกเอ็นดูเขาจะเป็นเจ้ามือเลี้ยง ต้องเกรงใจไม่กินเยอะจนเขาจ่ายไม่ไหว ว่าแล้วก็รวบช้อนเรียบร้อยนั่งสงบปากมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม จานอาหารคุณวินไม่มีอะไรเหลือเหมือนกัน แต่จานตฤณดูผ่านสมรภูมิที่หนักกว่ามาก


“ไม่ต้องเกรงใจหรอก คุณดูกินเก่งนะ ตอนผมจับเนื้อหนังไปนี่เต็มไม้เต็มมือ อย่าอดเลยครับ”


เขายกมือเรียกบริกรทันทีที่พูดจบ จะห้ามคงไม่ทัน ตฤณกำลังให้ความสนใจคำพูดง่ายๆของเขาอยู่ ดูกินเก่งคืออ้วนหรือเปล่า จับเต็มไม้เต็มมือคืออะไร แล้วคุณวินจับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่...


อ่อ ตอนนั้นนี่เอง


“มาลำบากไหมครับ”


“นิดหน่อยครับ” ตฤณหัวเราะเสียงแห้ง จิบน้ำแก้เก้อ “ประมาณสามต่อ รถติดแต่ไม่มาก”


“คงเหนื่อยแย่เลยใช่ไหม คุณนี่ก็เก่งเหมือนกันนะ โรงแรมอยู่ในซอยยังตามหาจนเจอ นึกว่าจะหลงทาง”


“หลง” เขาสวนขึ้นไปทันที ผลคือคุณวินชะงักไปแล้วหัวเราะ เห็นเขาอารมณ์ดีแบบนั้นอยากจะพูดต่อให้จบว่า นอกจากหลงทางแล้วผมยังหลงคุณมากๆด้วยล่ะครับ


“อย่างนั้นตอนกลับผมจะขับรถไปส่ง รถติดหน่อยนะแต่รับรองไม่หลงแน่นอน นั่งสบายๆได้เลย”


ยังไม่ทันที่จะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ พนักงานก็เดินเข้ามาเสิร์ฟอาหารเพิ่มเสียก่อน เราเลยต้องเลิกคุยกันชั่วคราวแล้วจัดการอาหาร บางทีคำว่าเราก็หมายถึงการที่ตฤณกินติ่มซำกุ้งคนเดียวโดยมีอีกคนนั่งมองทุกการกระทำ


เรายังคุยกันนิดหน่อยเหมือนเดิมด้วยเรื่องสัพเพเหระง่ายๆอย่างเช่นผลสอบกลางภาคเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้คุณวินประชุมเกือบทั้งวันจนไม่ได้กินข้าวกลางวัน ยังไปนั่งที่ร้านแถบข้าวสารอยู่หรือเปล่า และวันนี้พนักงานที่ล็อบบี้เกือบทำให้เราไม่ได้เจอกันด้วยนะ โดยส่วนใหญ่คุณผู้ใหญ่ใจดีเป็นฝ่ายถามเสียมากกว่า


“คุณวินครับ”


“ครับ?”


“คุณวินทำงานอะไรที่นี่เหรอครับ ผมถามได้หรือเปล่า” ตฤณพูดเสริมต่อท้ายไม่ให้ดูละลาบละล้วงเกินไป พ่อมดของเขาระบายยิ้มก่อนตอบ


“ผมเป็น GM ครับ”


“GM นี่ทำงานอะไรบ้างเหรอครับ พอดีผมไม่รู้ศัพท์ของโรงแรมเท่าไหร่ ว่าจะลงเรียนวิชาภาษาสำหรับธุรกิจโรงแรมเทอมหน้าเพราะเทอมนี้วิชาไม่เปิด”


“งานทั่วไปครับ งานจับฉ่าย ทำอันนั้นบ้างอันโน้นบ้าง ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”


ตฤณแอบเห็นดวงตาใต้กรอบแว่นกลมดูระยิบระยับแปลกไป แต่ทำแค่พยักหน้าเหมือนเข้าใจ เพราะเรื่องงานโรงแรมตฤณไม่มีความรู้เลย ถ้าสงสัยอะไรเอาไว้ค่อยถามคราวต่อไปจะดีกว่า


“ผมถามคุณบ้างดีกว่า...ทำไมถึงชอบผม”


คราวนี้คุณชวินทร์ไม่ได้ร่ายมนตร์สะกด ใบหน้าเขายังคงดูน่าหลงใหลในแบบฉบับที่ตฤณชอบ แต่ส่งระเบิดกำมะถันลูกใหญ่ลงมาเต็มๆดังตูมในความคิด


“เอ่อ...ไม่รู้ครับ น่าจะเพราะคุณวินดูเป็นคนสบายๆ ใจดี หรือไม่ก็วันนั้นผมเบลอ หลอกตัวเองว่าคุณน่าสนใจแล้วความคิดมันฝังหัว” หรือไม่ก็เป็นเพราะคุณกำลังร่ายมนตร์เสน่ห์ใส่ผมอยู่ “คุณล่ะครับ”


“ผมใช้คำว่าต้องตา แปลว่าคุณถูกใจผม แค่นั้นเอง”


“แล้วเราเจอกันในที่อโคจรแบบนั้นไม่คิดว่ามันอันตรายเหรอครับ แบบว่าถ้าผมคิดจะหลอกเอาเงินหรือแบบ ไปต่อด้วยกันแล้วจะ...อะไรแบบนั้น”


“จะอะไรคืออะไร” เขาหัวเราะอีกแล้ว อาหารที่กินนี่มันมีส่วนผสมของกัญชาหรือยังไงนะ แต่ตฤณกินแล้วไม่ยักอารมณ์ดีตาม “ไม่หรอก ผมว่าผมมองคนไม่ผิดนะ”


“ผมไม่เห็นว่าตัวเองจะมีอะไรน่าสนใจเลย”


“คุณรู้ไหมว่าก่อนจะสร้างโรงแรมขึ้นมาสักที่ มันต้องทำอะไรบ้าง”


ตฤณส่ายหน้า อยู่ๆคุณวินเปลี่ยนเรื่องจากร้านเหล้าไปโรงแรมได้อย่างไร


“คนธรรมดาจะมองว่าที่ดินผืนหนึ่งเป็นที่ดินเปล่า ก็แค่ที่ดิน นักลงทุนที่เก่งจะมองว่ามันเป็นโอกาสทอง และสามารถทำให้พื้นที่รกร้างหรือที่ดินเปล่าๆไม่น่าสนใจ กลายเป็นโรงแรมหรู เป็นรีสอร์ทสวยๆได้นะ แบบที่จากหลังเท้าเป็นหน้ามือเลย ของแบบนี้อยู่ที่ว่าคนมองจะมีมุมมองยังไง มองเห็นคุณค่าอะไรในสิ่งนั้น”


ตฤณว่านี่คือสิ่งที่เขาถามหาจากตัวคุณวินบ่อยครั้งเรื่องที่มีอะไรมากกว่าแค่ที่เห็น ภายใต้คำพูดเข้าใจง่ายนั้นคงมีเนื้อหาลึกซึ้งแฝงไว้ ถึงตฤณไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เข้าใจแล้วว่าคุณวินต้องการสื่ออะไร


“อย่างเช่นตอนนี้ ที่ผมกำลังลงทุนกับคุณอยู่ไงครับ”


ถ้าจะหมายถึงเลี้ยงอาหารมื้อนี้แล้วล่ะก็ คุณมาถูกทางแล้วครับ นี่ไม่ได้เห็นแก่กินเลยนะ ไม่เลย


“ผมเป็นคนน่าเบื่อ ชีวิตไม่น่าสนใจแถมยังเป็นเด็กมหาลัยที่ยังเรียนไม่จบ ไม่คิดว่าจะลงทุนเสียเปล่าเหรอครับ คุณวินดูเป็นคนเก่ง ชีวิตน่าจะดีกว่าอีก”


“อันที่จริง...ผมไม่ได้มีใครมาสักพักใหญ่ๆแล้วล่ะ วันนั้นที่เราเจอกันผมรู้สึกว่าถูกใจคุณมากๆ ถ้าคุณตฤณลองคบกับผมคุณจะรู้ว่าชีวิตผมน่าเบื่อกว่าของคุณเยอะเลยครับ ผมบอกแล้วว่าน่าจะมองคนไม่ผิด”


พ่อมดที่อื่นน่ากลัวขนาดไหน อันตรายขนาดไหนตฤณไม่รู้ แต่พ่อมดที่โรงแรมย่านสาทรกำลังจะฆ่าเขาด้วยคำพูดไม่กี่ประโยคกับสายตาหวานเชื่อมและรอยยิ้มมุมปาก ถึงแม้จะพูดยาวหลายประโยค แต่สมองเขาโฟกัสได้แค่ประโยคเดียวเท่านั้น


ถ้าคุณตฤณลองคบกับผม

__________

คุณวินมาแล้วนะ ตฤณบอกว่าไม่เอาค่าตัวตอนนี้  :hao7:
*GM = General Manager ผู้จัดการทั่วไป

อ่านแล้วชอบ ส่งฟีดแบคได้ที่ #หลงมาที่สาทร ด้วยนะฮ้าบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2019 14:36:33 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Lost at Sathorn VI
หลงมาที่สาทร




ชวินทร์เบื่อการประชุมเป็นที่สุด เบื่อมากกว่าการกินอาหารในโรงแรมของตัวเอง เพียงแต่เรื่องอาหารยังหนีไปกินที่อื่นได้ การประชุมของโรงแรมหนีไม่ได้ ด้วยตำแหน่งที่ตัวเองถูกยัดเยียดมาให้เป็นอยู่


ตอนเรียนมหาวิทยาลัยจำได้ว่าพ่อแม่ให้เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ เขาจึงเลือกเรียนรัฐศาสตร์สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่พอกลับมาจากการไปเที่ยวต่างประเทศก่อนจะได้เริ่มหางานทำอย่างจริงจัง พ่อแม่คนที่ตามใจมาตลอดกลับเปลี่ยนเป็นคนละคนเหมือนไม่เคยทำข้อตกลงกันเอาไว้


ทั้งสองคนคงเห็นว่าชวินทร์เป็นคนง่ายๆ เชื่อฟังดี เป็นไม้อ่อนที่ดัดให้เป็นรูปร่างตามต้องการ ต่างจากพี่ชายของเขาที่หัวดื้อเป็นที่สุด พ่อแม่ใช้ไม่ตายที่คนอย่างชวินทร์ไม่สามารถปฏิเสธได้


“พ่อกับแม่ตามใจวินมาตลอด ขอแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวได้ไหมลูก”


และแล้วชื่อของชวินทร์ ตันจราพิทักษ์กุล ก็เข้าไปอยู่ในบอร์ดผู้บริหารในโรงแรมหรูใจกลางเมือง อันเป็นเครือข่ายกิ่งก้านสาขาของโรงแรมสาขาใหญ่ที่พ่อกับแม่บริหารร่วมกันอยู่ พี่ชายของชวินทร์ได้อีกสาขาโรงแรมไปบริหารเช่นกัน แต่เป็นการรับที่ไม่เท่ากัน


ชวินทร์ไม่ได้เรียนจบทั้งทางด้านการโรงแรมและการบริหาร อยู่ๆต้องมาเป็นผู้บริหารระดับสูงที่มีลูกน้องและพนักงานหลายคนให้ดูแล เป็นภาระอันใหญ่หลวงและหนักเอาการ เขาไม่เคยสนใจคำนินทาที่ว่าใช้เส้นสายจากพ่อแม่แล้วเข้าทำงานได้ทันทีโดยไม่ต้องทำอะไร เพราะมันเป็นความจริงทุกอย่าง แต่ที่เก็บเอามาคิดคือการที่บอกว่าดีแต่นั่งตำแหน่งสูงชี้นิ้วสั่งไปวันๆเพราะทำงานไม่เป็น เขายอมไม่ได้


หลังมีชื่อเป็นผู้บริหารได้เพียงครึ่งปี ชวินทร์ขอร้องอ้อนวอนที่จะลาออกเพื่อไปเรียนต่อทุกด้านที่ต้องใช้ความรู้มาสานต่อธุรกิจของพ่อกับแม่ ให้พี่ชายซึ่งเรียนจบและมีประสบการณ์ทำงานมากกว่ามาทำแทนไปก่อน ทางพี่ชายของเขาตกลงทุกอย่าง แต่บุพการีดันมีเงื่อนไขกับเขา ชวินทร์เรียนต่อได้แต่ยังต้องอยู่ทำงานในโรงแรม เมื่อหมดหนทางจะต่อรอง เขาเลยต้องยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ ทั้งเรียนต่อและเรียนรู้งานในโรงแรมจากพนักงานใจดีทั้งหลายที่ไปขอร้องกึ่งบังคับให้มาช่วยสอนงาน


ช่วงเวลาแสนทรหดเหล่านั้นผ่านพ้นไปได้ ชายหนุ่มเรียนจบปริญญาโท ทั้งในสถานที่ทำงานก็เรียนรู้งานไปได้หลายอย่างจากเดิมที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่ทั้งหมดนั้นต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อเคล้าน้ำตา การไปร้องไห้ระบายกับพี่ชายคนเดียวที่มีอยู่หลายครั้ง แลกกับการที่ค่อยๆสูญเสียรอยยิ้มไป สายตาที่สั้นเพิ่มขึ้นมาก และชีวิตรักชั่วครั้งชั่วคราวที่ไม่เคยหาความจริงจังเจอ แม้ทุกคนที่บ้านจะรับทราบและยอมรับในรสนิยมของเขาก็ตาม


ลูกชายคนเล็กของครอบครัวถือคติว่าหากจะเป็นเจ้าคนนายคนได้ต้องทำทุกอย่างเป็น ดังนั้นพอกลับเข้ามาบริหารโรงแรมเต็มตัว ชวินทร์ใช้อำนาจในมือที่มีอยู่โยกย้ายตัวเองไปทำงานแต่ละส่วน ทั้งด้านงานครัว การต้อนรับ ฝ่ายบุคคล และอื่นๆแทบทุกด้านเพื่อทำความเข้าใจภาพรวมคร่าวๆ ฟังดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนั้น แต่เชื่อเถอะว่าชวินทร์ทำมาแล้ว ทำจนพ่อแม่ต้องบอกให้พักบ้าง พี่ชายที่ว่าเก่งยังชื่นชมเขา แต่แอบบอกเช่นกันว่าอย่าฝืนมากจนไม่มีเวลาให้ตัวเอง พี่ชายเป็นห่วงว่าเขาทำงานได้ แต่จะไม่มีความสุขเพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำมาตั้งแต่แรก


จะอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องไม่มีใครมาว่าเขาได้ว่าทำงานไม่เป็น


สู้กับมันอยู่ทุกวัน ไปๆมาๆชวินทร์รู้สึกชินชาไปเสียแล้ว ทุกวันนี้หุ้นส่วนมากของโรงแรมลูกแห่งนี้เป็นของเขา เงินก็เงินตัวเอง บริหารก็บริหารเอง รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม แต่ชวินทร์แค่เบื่อเวลาประชุม เพราะทุกคนเอาเรื่องที่เขารู้อยู่แล้วมาพูดซ้ำ จะมีบางเรื่องเท่านั้นที่เป็นความรู้ใหม่หรือต้องระดมสมองกับคนตำแหน่งสูงๆด้วยกันเพื่อจัดการปัญหาต่อไป


“คุณวินมีอะไรหรือเปล่าคะ”


เสียงคุณอาภาโสม เลขาส่วนตัวคนงามเอ่ยขึ้นตอนเปิดประตูเข้ามา ทำเอาชวินทร์หลุดจากภวังค์ความคิดไปชั่วขณะหนึ่ง


“ช่วงนี้มีงานใหญ่ๆอะไรบ้างไหมครับ ผมอยากลาพักสักสองสามวัน”


“ที่จริงมีประชุมเล็กเรื่องการจัดสรรงบประมาณของฝ่ายบุคคลในการจ้างงานพรุ่งนี้ค่ะ แล้วก็มีประชุมเรื่องการปรับปรุงภูมิทัศน์ของชั้นดาดฟ้าที่เป็นสระว่ายน้ำวันมะรืน แต่โสมว่าถ้าคุณวินอยากหยุดคงไม่ต้องกังวลมั้งคะ”


หญิงสาวแกล้งเย้า ส่วนคนเป็นหัวหน้าได้แต่ยิ้มมุมปาก


“คุณโสมก็ว่าไปนั่น ผมออกจะชอบเข้าประชุม” ชายหนุ่มแย้ง “ช่วงนี้ผมขี้เกียจมากๆเลยครับ คุณโสมมีไอเดียอะไรแนะนำบ้างหรือเปล่าว่าควรทำอะไรดี”


ด้วยความที่ชวินทร์กับคุณอาภาโสมอายุเท่ากัน การเอ่ยปากขอคำแนะนำเรื่องอื่นๆนอกจากเรื่องงานจึงเกิดขึ้นประจำเพราะชวินทร์ว่าคนวัยเดียวกันต้องเข้าใจความต้องการที่คล้ายกันเป็นธรรมดา ชวินทร์ให้คำแนะนำกับคุณโสมเรื่องงานเสมอ และคุณโสมก็ให้คำปรึกษาเรื่องนอกเหนือจากงานได้ดี หากนานวันเข้าจนอายุใกล้เลขสี่ยังหาคนที่ตรงตามรสนิยมตัวเองไม่เจอ ชวินทร์ว่าจะเทิร์นตัวเองมาขอคุณโสมแต่งงาน กรณีที่สาวเจ้ายังไม่มีคู่ชีวิตไปเสียก่อน


“คุณตฤณไงคะ”


“โธ่ คนอย่างเขาคงหาเรื่องน่าปวดหัวมาให้ผมอีกตามเคย คุณน่าจะรู้นะ อาทิตย์ที่แล้วมาชวนผมไปทานร้านอาหารเปิดใหม่ที่พื้นที่ของเขา แค่พ่อครัวเผลอใส่ถั่วงอกมายังโวยวายร้านแทบแตก อาทิตย์นี้ยัง...”


“คุณวินคะ” เลขาสาวพูดขัดขึ้น นานครั้งจะทำอย่างนี้ “โสมหมายถึงน้องตฤณน่ะค่ะ คนที่ทำให้คุณวินทานอาหารของโรงแรมในรอบสามปี ไม่ใช่คุณติณภพ”


ชวินทร์เงียบเสียงทั้งที่ยังไม่ได้หุบปากจากการพูดเมื่อครู่ เป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักจากผู้บริหารโรงแรมระดับนี้ อาภาโสมเห็นอีกคนที่สีหน้าเข้าใจผิดรุนแรงแล้วอดยิ้มไม่ได้


“ตั้งแต่วันที่น้องตฤณมาคุณชวินทร์ดูจะยิ้มบ่อยขึ้นแล้วก็อารมณ์ดีขึ้น แถมคุณยังลงไปทานมื้อเย็นด้วยกันสองสามครั้ง โสมทำงานให้คุณวินมาห้าปีแล้ว เดาเอาเองว่าถึงคุณวินทำงานหนักแต่ถ้ามีน้องตฤณเป็นกำลังใจที่ดีก็สู้ไหวอยู่นะคะ”


คุณโสมมีทีท่าในการใช้คำพูดอย่างระมัดระวังกับเขา ชวินทร์ไม่เคยปิดบังเรื่องความชอบของตัวเองและคุณโสมไม่เคยมีท่าทีรังเกียจหรือมีนิสัยเอาความชอบของเขาไปบอกเล่าต่อในลักษณะนินทา ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเจ้านายแต่เพราะเธอไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ ความรู้จักกาลเทศะและมีมารยาทที่ดีเป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่ทำให้ชวินทร์ตัดสินใจจ้างคุณโสมเป็นเลขาส่วนตัว นอกเหนือจากศักยภาพในการทำงาน


มีบ้างที่คนของคุณวินแวะเวียนมาหา แต่โสมเห็นว่าแต่ละคนคบกับเจ้านายของเธอในช่วงเวลาที่สั้นมาก เพราะคุณวินดูเปิดใจให้งานมากกว่าให้คนของตัวเอง


“สรุปคือจะไม่ให้ผมหยุดแต่ให้น้องมาหาผมบ่อยๆแทนเหรอครับ จะได้ทำงานไหว”


“หรือคุณวินจะกลับบ้านคุณพ่อคุณแม่คะ?”


“ไม่ล่ะ อยู่คอนโดสบายใจกว่าเยอะ เชิญนั่งคุยกับผมก่อนครับ ยืนนานเมื่อยแย่แล้ว” เขาเอ่ย พอเห็นคู่สนทนานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็อาศัยจังหวะนี้ค่อยๆไถลตัวลงฟุบกับโต๊ะ หญิงสาวหัวเราะ คุณชวินทร์ทำงานหนัก มีหลายครั้งที่ต้องให้เธอมานั่งคุยผ่อนคลายประมาณสิบถึงสิบห้านาที และเขาจะหลุดมาดเจ้าของโรงแรมทำตัวเป็นกันเองกับเลขาสาวราวกับเป็นเพื่อนที่สนิทกัน


“ให้ตฤณมาบ่อยดูจะลำบาก เสียค่ารถ เสียเวลาด้วย ให้เขามีเวลาเต็มที่กับการเรียนดีกว่า”


“ขออนุญาตถามว่าไปถึงขั้นไหนกันแล้ว โสมจะได้ให้คำปรึกษาได้ถูกค่ะ”


ชวินทร์เงยหน้าขึ้นมา เปลี่ยนเป็นนั่งหลังตรงเหมือนเดิมแต่ทีสีหน้าเปลี่ยนไป


“เท่าที่คุณเห็นนั่นแหละครับ ไปมาหาสู่ ทานข้าวด้วยกัน โทรคุยกันบ้าง ตอนเย็นผมขับรถไปส่งที่ห้องพักเขาแล้วก็กลับ”


“แล้วมีความสุขหรือเปล่าคะ” เป็นคำถามที่คุณโสมเลือก แทนการถามว่าไปรู้จักกันได้อย่างไร


“ก็มีครับ ตฤณเป็นเด็กน่ารัก พูดจาดีคุยด้วยง่าย น่าแปลกเหมือนกันที่เขาพูดอะไรนิดหน่อยมันดูตลก น่าเอ็นดูจนผมเผลอยิ้มเผลอหัวเราะ เอ...ดูท่าว่าช่วงนี้ผมหัวเราะบ่อยจริงๆด้วยล่ะ วันก่อนที่ร้านกาแฟเจ้าของร้านแซวว่าเดินยิ้มมาแต่ไกล”


ชวินทร์พูดสิ่งที่ตัวเองคิดไปเรื่อย มาชะงักเอากับใบหน้าสวยงามที่นั่งฟังเขาอยู่ ถึงรู้ตัวว่าระหว่างพูดไปก็ยิ้มไปอยู่จริงๆ


“คุณวินเคยได้ยินคำว่า...ไม่ใช่สถานที่แต่เป็นผู้คน ไหมคะ”


“ครับ ในจักรวาลหนังที่ผมดูอยู่นั่นแหละ”


“ถ้าอยู่กับน้องตฤณแล้วทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนอยู่บ้าน จะอยู่ที่ไหนกับเขาก็สบายใจได้ทั้งนั้นค่ะ เหมือนคุณวินได้ชาร์จแบตให้ตัวเอง คุณวินอาจไม่ได้สังเกตตัวเองเท่าไหร่ แต่ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาโสมแค่เห็นว่าน้องตฤณมาหาคุณสองสามครั้ง คุณวินมีแรงทำงานเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลยค่ะ”


“โอ้โห ผมดีดขนาดนั้นเลยเหรอ นี่คุณโสมต้องเป็นจาร์วิสให้ไอออนแมนมาก่อนแน่ๆ” เขาหยอกเอินให้อีกคนยิ้ม


“ลองได้เห็นหน้าค่าตา ได้กำลังใจแล้วมันจะมีอีกหลายครั้งตามมาเลยค่ะ โสมเคยไปตามนักร้องเกาหลีมาก่อนเลยรู้ แบบว่า...ถ้าคุณวินว่างสักสองสามชั่วโมง...อะไรแบบนั้น”


“คุณกำลังสนับสนุนให้ผมทำแบบติณภพอยู่นะเนี่ย รายนั้นแวบจากการทำงานบ่อยกว่าเข้าทำงาน” ชวินทร์หัวเราะร่วน “แล้วใครบอกว่าผมไม่เคยไปหาเขาเองล่ะ”


คุณอาภาโสมเบิกตาคล้ายจะคิดอะไรออกกับคำพูดของเขา “นี่อย่าบอกนะคะว่า...”


“เหยียบไว้เลยนะ ตฤณไม่รู้หรอกเวลาผมไป แล้วถ้าน้องถามอะไรเรื่องตำแหน่งหน้าที่ก็พยายามเลี่ยงๆหน่อยแล้วกันครับ ผมจะบอกเอง ตอนนี้ตฤณรู้แค่ว่าผมเป็น GM ดูว่าจะไม่รู้ด้วยว่า GM คืออะไร”


“แล้วถ้าเขาถามโสมตรงๆจะให้โกหกเหรอคะ”


“ให้บอกเขาไปว่า คุณชวินทร์เป็นทุกอย่าง แค่นั้นคงพอครับ”


เลขาคนสวยถอนหายใจมองเขาด้วยสายตาคล้ายจะบอกว่ากำลังหลอกเด็กอยู่ แต่ชวินทร์ไม่ได้สนใจ ก็เขาเป็นทุกอย่างจริงๆ ทั้ง GM MD เจ้าของโรงแรม เพียงแต่ตอนนี้ย่อส่วนให้เหลือแค่ตำแหน่ง GM ก็พอ หน้าที่ MD นั้นจ้างชาวต่างชาติมาแบ่งเบาภาระออกไป คุณอาภาโสมเป็นเลขาให้เขาในตำแหน่งเจ้าของโรงแรมคอยจัดการตารางงานให้ ตำแหน่งปัจจุบันที่พนักงานระดับทั่วไปทราบเขาจัดการเองได้อยู่แล้ว


คุณอาภาโสมเดินออกจากห้องไปสิบนาทีก็เดินกลับมาแจ้งเขาใหม่อีกรอบว่ามีคนมาหา ส่วนคนมาหาที่ว่านั้น แค่ได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพงเตะจมูก ให้หลับตายังเดาได้เลยว่าเป็นใคร ไม่รู้ว่าฉีดหรืออาบ


“ไงครับ ได้ข่าวว่ามีเด็กใหม่ ผมนี่ไม่อยากจะเชื่อ” คนมาใหม่นั่งลงด้านหลังหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านข่าวธุรกิจประจำวัน แต่ชวินทร์ยังไม่คิดลดระดับกระดาษลงมาคุยเห็นหน้ากันตรงๆ


“แล้วใครให้คุณเชื่อล่ะ ผมไม่ได้บังคับคุณสักหน่อย”


“นี่ไอ้คุณชวินทร์ครับ” นิ้วมือเรียวได้รูปโผล่มากลางหน้ากระดาษกดให้เขาต้องวางหนังสือพิมพ์ลงแบบสุภาพที่สุด เผยใบหน้ามันเขี้ยวของคนผิวขาวจัดปรากฏแทน “เลิกสนใจธุรกิจน่าเบื่อๆแล้วหันมาพูดกับเพื่อนคุณบ้างก็ได้ หน้าผมน่าสนใจกว่าอีก”


ชวินทร์ลอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงพึมพัมว่าแกล้งกันอยู่เรื่อย เก็บพับหนังสือพิมพ์ลงอย่างเดิมเรียบร้อยถึงเอนหลังบนเก้าอี้ทำงานหันหน้าตรงไปหาเพื่อนที่ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ


ติณภพเป็นเพื่อนที่รู้จักกันจากการเข้าร่วมประชุมสัมนาอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการทำธุรกิจโรงแรมที่เขาลืมชื่อไปแล้ว ที่รู้จักกันได้ไวเป็นเพราะมีอะไรเหมือนๆกันอย่างเช่นพ่อแม่ยัดเยียดหน้าที่การงานมาให้บริหารต่อ หรือรสนิยมเรื่องคนที่ชอบ และเป็นคนที่มีชื่อเล่นว่า ตฤณ เหมือนกันกับ ตฤณ คนที่เจอในร้านเหล้าตรอกข้าวสาร เพียงแต่ไม่มีอะไรเหมือนเด็กคนนั้นสักอย่าง


ติณภพเป็นคนผิวขาว หน้าตี๋ตาชั้นเดียวด้วยเชื้อสายจีนมากกว่าไทย รูปร่างสูงสันทัดทว่าเวลาใส่ชุดสูททำงานยังให้อารมณ์เป็นนานแบบมากกว่าผู้บริหาร เพื่อนเขาคนนี้นิสัยปากไวใจเร็ว ไม่ถึงขนาดขี้วีนขี้เหวี่ยงอย่างผู้หญิงแต่เมื่อไม่ได้ดังใจมักมีการท้วงติงไปจนถึงเอาแต่ใจเล็กๆ ดูว่าครอบครัวคงเลี้ยงแบบตามใจมาก่อน ชวินทร์น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มักไม่ปล่อยให้ติณภพได้ทำตามใจตัวเองแบบผิดๆอย่างเช่นห้ามไม่ให้ด่าพนักงานเมื่อใส่อะไรที่ไม่ชอบลงมาในอาหาร หรือไล่ให้กลับไปทำงานเมื่ออีกคนโดดงานมาหาเขาบ่อยครั้ง


“มีอะไรให้รับใช้ครับ คุณติณภพสุดที่รัก”


“ผมเบื่อว่ะ แม่ง” อีกฝ่ายพรูลมหายใจยาว “เจ้าของร้านกาแฟที่มาเช่าที่ใหม่อ่ะ กวนประสาทฉิบหาย แต่ชงอร่อยไง ส่วนที่โรงแรมวันก่อนคนอินเดียมาพัก คุยกันไม่รู้เรื่อง จองห้องเตียงเดี่ยวแต่จะเปลี่ยนเตียงคู่กะทันหัน วุ่นวายเรียกหาผู้จัดการจนผมต้องออกไปคุยแทน ไหนจะไอ้นักร้องเกาหลีออกมาเดินไปเดินมาให้แฟนคลับถ่ายรูป ขวางทางเข้าออกเต็มไปหมด ผมนี่แบบ...”


“ใจเย็นก่อน หายใจเข้าลึกๆ ลึกอีก ทีนี้หายใจออกช้าๆแบบนั้นแหละ ดีครับ”


ชวินทร์เห็นอีกคนทำตามคำพูดของเขาโดยง่ายแล้วนึกดีใจ เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้หรอก น่ากลัวถูกด่ากลับมาด้วย เดี๋ยวนี้พอสนิทกันมากขึ้นติณภพเริ่มปรับนิสัยตัวเองได้ดี


เป็นความสนิทสนมที่แปลกประหลาด เรียกกันคุณผมไม่ยอมเรียกชื่อเล่น แล้วตามด้วยคำหยาบคำสบถ ราวกับว่าติณภพไม่สามารถพังทลายกำแพงสรรพนามสุภาพเวลาที่สนทนากันแม้เนื้อหาจะเต็มไปด้วยการด่าล้วนๆก็ตาม


“ทำงานต้องมีเหนื่อยเป็นธรรมดา คุณต้องหัดใจเย็นกว่านี้และอยู่กับงานบ่อยกว่านี้นะ ไม่อย่างนั้นไม่มีภูมิต้านทาน เอะอะเบื่อมาหาแต่ผม”


“ก็มันน่าเบื่อเปล่าวะ แล้วคุณเป็นคนเดียวที่คุยเรื่องแบบนี้ด้วยได้ จะแอบหนีไปต่างประเทศป๊าผมขู่จะอายัดบัตรอีก นั่งอยู่แต่กับโต๊ะทั้งวัน คุณทำไปได้ไงวะคุณวิน”


“ที่มาหาบ่อยๆไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนคบหรอกเหรอ”


“เกลียดนักคนรู้ทัน” ติณภพตวัดสายตาให้เล็กหรี่ลงไปอีก ชวินทร์หัวเราะ “พนักงานโรงแรมคุณน่าจะยังคิดว่าผมเป็นแฟนคุณอยู่เลยมั้งเนี่ย เลิกลือกันหรือยังล่ะว่ากินกันบนโต๊ะทำงาน”


“เลิกแล้ว คนไทยลืมง่ายจะตาย”


“เอาเถอะ ช่างเรื่องของผม เอาเรื่องของคุณดีกว่า ไปไงมาไงล่ะคนนี้”


ชวินทร์ดีใจที่ติณภพลืมเรื่องตัวเองไปแล้ว ที่เหลือคือต้องมานั่งคิดตอบคำถามอย่างไรไม่ให้ข้อมูลความลับหลุดออกไปทั้งหมด จะไม่ให้เล่าเลยเดี๋ยวคนเอาแต่ใจไปเค้นถามกับคุณเลขาแล้วจะลำบากเธอเปล่าๆ นอกจากชวินทร์แล้วทุกคนดูเกรงติณภพในลุคภายนอกที่ดูเป็นคุณชายหยิ่งทะนงระคนเกรี้ยวกราดไม่น้อย


“ตฤณคนนั้นน่ารักกว่าตฤณคนนี้” เจ้าของโรงแรมชี้นิ้วไปหาคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ติณภพเลิกคิ้ว “ผมเจอตอนไปนั่งคิดอะไรคนเดียวที่บาร์ในตรอกข้าวสาร”


“แม่เจ้าโว้ย คุณชวินทร์ ตันจราพิทักษ์กุล เจ้าของโรงแรม...ไปนั่งร้านเหล้าข้าวสาร” เพื่อนตฤณของเขาผิวปากแซว “แถมตกเหยื่อมาได้ด้วย แต่ดันชื่อเดียวกันกับผมเสียนี่ เอาน่า ไม่ได้ตฤณนี้ไปได้ตฤณอื่นก็ยังดี เนอะ”


“เนอะพ่อคุณเถอะครับ”


เจ้าของใบหน้าขาวจัดหยีตาลงจนปิดพอคนที่ตัวเองแกล้งแหย่เริ่มมีอารมณ์รำคาญ ชวินทร์เองเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกมา


“เล่าให้ผมฟังบ้างสิ เป็นใครอะไรยังไง นิสัยดีไหม”


“คนนิสัยไม่ดีอย่างคุณจะอยากฟังเรื่องคนดีๆไปทำไมครับ” คนพูดยกน้ำในแก้วขึ้นจิบ ตอกกลับติณภพที่แยกเขี้ยวใส่


“โธ่คุณวิน ไหนๆผมก็มาแล้ว เพื่อนกันเปล่าเนี่ย นะ เล่ามาเถอะผมอยากฟัง”


“โอเค เล่าก็เล่า คือว่าน้องตฤณน่ะนะ...”

__________

เงินหมดไปสองล้านกับคุณเขา ตฤณพักไปก่อนเนอะ
อ่านแล้วชอบ ส่งฟีดแบคได้ที่ #หลงมาที่สาทร ด้วยนะฮ้าบ :m17:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-07-2019 21:57:13 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
กำลังสนุกค่ะ

ติดตามต่อ

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Lost at Sathorn VII
หลงมาที่สาทร




ชีวิตของตฤณในวัยยี่สิบปีไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไร ครอบครัวที่บ้านก็อยู่กันเป็นปกติ เงินทองมีไม่มากแต่ไม่เคยขาดมือ เพื่อนฝูงจำนวนหนึ่งพอคบหาได้ ช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยการเรียนไม่ดีเลิศตฤณก็เอาความขยันขันแข็งเข้าสู้ เพื่อนน้อยลงแต่คบด้วยนาน กายและโจ้ดีกับเขามาก


จนกระทั่งได้เจอกับคุณวินเมื่อเดือนก่อนที่บาร์ในตรอกข้าวสาร ตฤณเก็บมาคิดวนเวียนเป็นเอามากอยู่คนเดียวจนเพื่อนสังเกตเห็น สิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือความคิดถึงคุณวิน กับแค่ไม่กี่ชั่วโมงในคืนเดียวไม่รู้ทำไมเอาแต่คิดถึงเขา จนในที่สุดหัวใจที่อกซ้ายก็สั่งให้สมองคิดหาทางไปเจอให้ได้


แค่เห็นหน้าสักครั้งก็ยังดี เป็นหนึ่งในประโยคหลอกลวงที่ตฤณพิสูจน์แล้วว่ามันไม่เป็นความจริง หลังจากที่ยอมก้าวผ่านขีดจำกัดให้พาตัวเองไปหลงทางในที่ๆไม่เคยไปมาก่อน มันย่อมมีครั้งที่สองที่สามตามมาเพราะอยากเจอมากขึ้นอีก ทำให้มีแนวโน้มว่าจะเจอในครั้งต่อๆไปไม่รู้จบ


ถามว่าหลังเลิกเรียนทุกวันตฤณไม่เหนื่อยหรือ ตอบเลยว่าเหนื่อยมาก การจะเข้าเมืองใหญ่ฝ่าฟันรถติดและผู้คนมากมายเพื่อไปหาคุณวินอีกยิ่งทำให้แรงพลังที่มีลดฮวบลงไปเท่าตัว แต่เมื่อคิดถึงว่าได้เจอหน้าคุณวินที่มีรอยยิ้มและกำลังใจให้กับเขา มีน้ำเสียงน่าฟังที่เติมพลังใจให้ฟูฟ่อง มีเรื่องราวมาแลกเปลี่ยนกันพอให้ได้รู้ความเป็นไป ตื่นเช้ามาสดใสพร้อมเข้าเรียนต่อ ตฤณยอม


สองอาทิตย์กับการไปหาคุณวินถึงสามครั้ง หมดค่ารถไปเป็นร้อย เสียเวลาไปหลายชั่วโมงแลกกับการใช้เวลาสองชั่วโมงต่อครั้งกับพ่อมดที่โรงแรมย่านสาทรให้คุ้มค่า กลับมาหลับเป็นตายที่ห้อง แต่ตฤณมีความสุขดี


[ว่าไงครับ]


“วันนี้คุณวินอยู่ที่โรงแรมหรือเปล่าครับ”


[ผมว่าผมก็อยู่ทุกวันนะครับ เพิ่งเลิกเรียนเหรอ]


ตฤณพยักหน้ารับ แต่ลืมไปว่าคุณวินไม่เห็น คนที่มองเขาด้วยสายตาแปลกๆมีแต่ไอ้กายกับไอ้โจ้ คงกำลังคิดว่าเขาเพี้ยนไปแล้ว


“เพิ่งเลิกครับ ถ้าวันนี้ผมไปหาอีกได้ไหม คุณวินว่างหรือเปล่า”


[ตฤณครับ] ตฤณได้ยินเสียงจากปลายสายที่กดลงต่ำ สัญญาณดังซู่ซ่าเหมือนเขาถอนหายใจไปด้วยตอนเรียกชื่อ [เลิกเรียนแล้วก็รีบกลับห้องไปอ่านหนังสือหรือพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องมาหาผมบ่อยๆหรอก เดินทางหลายต่อมันเหนื่อย เรานัดเจอกันวันหยุดได้นะ]


“แต่ผมไม่เหนื่อยเลยนะครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับทันที ถ้าอีกฝ่ายเป็นคุณวิน ตฤณเต็มที่อยู่แล้ว “หรือว่าไม่อยากเจอผม ถ้าคุณวินทำงานเหนื่อยแล้วไม่เป็นไรครับ”


[ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คือ...ผมกลัวคุณเหนื่อยจริงๆ ตฤณดูเหนื่อยง่ายนะรู้ตัวไหมช่วงนี้ ทานข้าวกันเสร็จขึ้นรถคุณก็หลับยาวมาตลอดทาง ถ้าวันไหนผมติดประชุมคุณก็ต้องรอแบบครั้งแรกที่มานั่นล่ะ แล้วก็นะ...]


พอปลายสายเบาเสียงลงจนเงียบไป เสี้ยววินาทีตฤณรู้สึกจุกอกพอสมควร ไปหาแต่เพิ่มภาระให้คุณวินนี่เองสินะ ตอนประชุมแล้วรู้ว่าตฤณมานั่งรอเขาอาจไม่มีสมาธิ เขาเลี้ยงมื้อเย็นทุกครั้งให้ได้กินอาหารดีๆ เขาฝ่ารถติดไปส่งที่หอทุกครั้งก็เผลอหลับ ไหนจะต้องขับกลับเข้ามาในเมืองใหม่เปลืองค่าน้ำมัน


[...ยิ่งคุณมาบ่อยผมยิ่งอยากเจอ มันหยุดคิดถึงคุณไม่ได้เลย ดังนั้นคุณควรรักษาระยะห่างกับผมไว้ก่อนที่ผมจะติดคุณหนึบหนับดีกว่านะครับ]


“อ่า...”


คำว่าติดหนึบหนับจากปากเขาฟังดูจั๊กจี้หัวใจ แต่น่ารักเหลือเกิน ประโยคนั้นเหมือนดึงหัวใจที่ตกเหวลงไปแล้วให้กลับขึ้นมาใหม่ ตฤณรู้สึกว่ามีน้ำคลอหน่วยในตาเล็กน้อยเพราะปรับอารมณ์ไม่ทัน ไหนจะช่วงนี้ที่เขาเริ่มเรียกตฤณด้วยชื่อเฉยๆนั่นอีก ตฤณไม่เคยชอบชื่อตัวเองตอนไหนมากเท่าตอนมันมาจากเสียงคุณวิน


[นะครับคนเก่ง รักษาสุขภาพหน่อยอย่าให้ผมต้องเป็นห่วง ปีสามแล้วเรียนหนักนี่นา]


คนฟังพยักหน้ารับแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เลิกสนแล้วว่าเพื่อนตัวแสบสองคนจะมองเขาอย่างไร


มีคนเป็นห่วงมันรู้สึกดี ตอนนี้เขาเป็นเอามาก มากๆ


“เข้าใจแล้วครับ ผมขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง เอาไว้เจอกันใหม่คราวหน้าก็ได้”


[อื้ม สู้เข้านะ ใช้วิธีโทรหาแบบนี้ไปก่อน โทรมาได้ตลอดเลยไม่ต้องเกรงใจ]


“ขอบคุณครับคุณวิน”


[ครับ ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ จบแล้วเผื่อจะได้มาเลี้ยงผมบ้าง]


คุณวินหัวเราะทิ้งท้ายพร้อมกดวางสายไป จริงอย่างที่เขาว่า ถึงไม่ได้ไปหาแค่ได้ยินเสียงคงพอบรรเทากันได้ ไม่อย่างนั้นเทคโนโลยีก้าวหน้าล้ำสมัยแบบนี้จะผลิตขึ้นมาเพื่ออะไรล่ะ ตอนนี้ยังเป็นนักศึกษาต้องตั้งใจเรียนไปก่อน จบแล้วค่อยว่ากันอีกที


ไม่รู้ว่าตฤณกับคุณวินจะรักษาความสัมพันธ์ได้ยืดยาวขนาดนั้นหรือเปล่า แต่การที่คุณเขาออกปากมาขนาดนี้แล้วตฤณก็จะตั้งใจเรียน จะได้รีบจบออกมาทำงานเลี้ยงคุณชวินทร์ ปกติเวลาคบใครตฤณจะคบได้เกินหนึ่งปี ค่อยๆเรียนรู้กันไป ต่างจากเพื่อนหลายคนที่สองเดือนเลิก สามเดือนอกหัก แต่ยังดันทุรังหากันใหม่เสมอ ดังนั้นเขากับคุณ GM ต้องมีหวังบ้างสิ


นี่แหละเป้าหมายใหม่ในชีวิต!


“พออินเลิฟเข้าหน่อยเดี๋ยวนี้เดินทางบ่อยนะเรา” โจ้ที่มองอยู่นานแล้วพูดขึ้นทำลายความเงียบ มีความหมั่นไส้เจือมาในน้ำเสียงให้ได้ยิน


“เออ กูก็ว่างั้น พอได้ไปครั้งหนึ่งเอาใหญ่เลยเพื่อนผม” กายแซวสมทบเข้ามาอีก “ว่าแต่คุณของมึงเขาเป็นไงบ้างล่ะ โอเคกับมึงหรือเปล่าติน”


“โอเค เขาใจดีแล้วก็ดีกับกูมากๆเลย น่ารักน่าหลง กูยอมเหนื่อยไปหาได้อีกหลายครั้ง”


“ทุ่มจริงนะมึง กระเป๋าหนักมากเหรอวะ จากที่นี่เข้าไปหานั่งรถกี่ต่อ กว่าจะออกมากลับถึงหออีก วันหนึ่งของมึงมีกี่ชั่วโมงเนี่ยไอ้ติน”


โจ้ยังคงยิงคำถามสลับกับกายไม่ให้ได้พักหายใจ อย่าว่าแต่พวกมันเลย ตฤณเองยังสงสัยว่าอะไรทำให้จัดสรรเวลาได้เป็นสัดส่วนแบบนี้ กับการเรียนทุ่มเทแบบนี้ไหม


“จะทำเพื่อใครสักคนมันต้องเปย์บางเปล่าวะ คุณเขาเลี้ยงข้าวหลายรอบแล้ว อีกหน่อยทำงานหาเงินได้กูจะเลี้ยงเขาบ้าง นอกจากพ่อแม่”


“ไหนมึงว่าเขาทำงานที่โรงแรมไง น่าจะได้เงินเยอะไม่ใช่เหรอ แล้วมึงจะทำงานหาเงินไปเลี้ยงคนที่รวยกว่าเพื่อ?”


คิดตามที่เพื่อนพูดก็มีเหตุอยู่เหมือนกัน แต่ตำแหน่ง GM ตามที่ถามมาคุณวินพูดแค่เป็นงานทั่วไป ทั่วไปนี่คือธุรการหรือเปล่านะ แล้วเงินเดือนคนที่ทำงานทั่วไปเขาจะได้กันสักกี่หมื่น ตฤณให้อย่างเก่งเลยเต็มที่คงไม่เกินห้าหมื่น


“ก็นั่นแหละ คือบางทีเราจ่ายเขาจ่ายสลับกันไง ถามเยอะจริง เป็นเมียเหรอมาถามเอาๆ”


“กูกับไอ้โจ้คบกับมึงก็ดีเท่าไหร่แล้ว ทำมาเป็นปากเก่ง” กายมันเขี้ยวโบกหัวตฤณเบาๆด้วยความรักเพื่อน เล่นเอาลูบหัวป้อยๆ “ในสามคนมึงน่ะดูน่าเป็นเมียที่สุดเลย รู้ไว้ด้วย”


“พอกันแหละ มีกันอยู่เท่านี้เพราะคนอื่นก็ไม่คบพวกมึงเหมือนกัน” พอตฤณตอกกลับโจ้ก็หัวร่องอหาย เพื่อนตัวโตอีกคนยังลอบยิ้ม


“เขาทำงานอะไรล่ะ แล้วนี่มึงดูจริงจังกับเขา เขาคิดเหมือนมึงไหมติน” โจ้กลับมาถามต่อ


“GM เห็นว่าเป็นงานทั่วไป ส่วนเรื่องนั้นตัวกูเองแน่นอนอยู่แล้ว เคยมานั่งคุยกันเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ปรับตัวเข้าหากันอยู่เรื่อยๆ ยังไม่อยากกำหนดอะไรมากว่าจะต้องดูกันกี่ปี”


“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ เริ่มคุยกันจริงจังยังไม่ถึงเดือนเลยนะเว้ย แต่ถ้ามึงโอเคกูกับไอ้กายก็โอเค มีอะไรมาบอกกันได้ตลอด...จะว่าไปกูเริ่มไม่โอเคละ ไอ้กายก็มีปังปอนด์ มึงก็มีคุณคนนั้นอีก หัวเน่าอยู่คนเดียวเลยกูเนี่ย”


“โธ่โจ้เพื่อนรัก รีบๆหาเมียดิวะ หาไม่ได้มึงยังมีกูนะเพื่อน” อดีตเดือนคณะอ้าแขนกอดเพื่อนแล้วลูบหลังลูบบ่า แถมหอมหัวปลอบใจอีกต่างหาก ตฤณเห็นความปลอมเปลือกนั้นแล้วขนลุกขนชันแทนโจ้จริงๆ


เคนอ่านพวกคำคมทั้งหลาย เขาว่าช่วงเริ่มจีบเริ่มคุยกันจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของความสัมพันธ์ ตฤณไม่รู้ว่าเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า ตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อคุณวินไม่หยุดนิ่ง มันยังคงเพิ่มขึ้นได้อีก เขาไม่อยากให้มันดีอยู่ช่วงเดียวแล้วพอเริ่มคบกันก็หายไปตามกาลเวลาจนหมดโปรโมชั่น


ความรู้สึกนี้ยังไม่อาจเรียกว่ารักได้เต็มปาก ตฤณว่ายังอยู่ในขั้นลุ่มหลง หลงวนเวียนคิดถึงแต่อีกฝ่าย ทว่าถ้ามัวแต่กั๊กไว้มันก็รู้สึกสุขไม่สุด และตฤณเชื่อว่าเราควรทำทุกวันให้ดีที่สุด ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอะไรทำก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้ไปเถอะ คิดมากไปเสียสุขภาพจิตเปล่า




“คุณชวินทร์โอเคหรือเปล่าคะ หน้าตาดูไม่ค่อยดี”


เลขาสาวสวยเดินเข้ามาวางรายงานการประชุมไว้ให้ ชวินทร์ใช้มือทั้งสองข้างลูบหน้าตาเป็นการตอบคำถามแทน


“บอกตามตรง ผมเหนื่อยคุณโสม อยู่ๆก็รู้สึกว่าทำไมวันนี้ถึงเหนื่อยมาก เหมือนมันทิ่มลึกเข้าไปถึงแกนกระดูก สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลยครับ”


ระหว่างพูดไปอาภาโสมเห็นเจ้านายคนดีของเธอนวดขมับไปด้วย ที่จริงไม่ใช่แค่วันนี้วันเดียวที่คุณวินไม่มีสมาธิทำงาน แต่เป็นมาสามวันแล้วต่างหาก วันนี้คงเป็นวันที่หนักที่สุดคุณชวินทร์ถึงได้พูดออกมาให้ได้ยิน อาการหนักขนาดไม่มีสมาธิแม้แต่กับตอนนั่งประชุมผู้บริหารโรงแรม ทั้งที่ปกติเขาทำได้ดีไม่มีที่ติมาตลอด


“ลาหยุดพักสักสองสามวันดีไหมคะ โสมจะจัดตารางงานให้”


“คงต้องรบกวนหน่อยนะครับ ล่าสุดที่คุยกันสองอาทิตย์ก่อนก็ไม่ได้ลาหยุดจริงจังสักที ผมเริ่มเข้าใจติณภพแล้วว่าทำไมถึงอยากหนีงานนัก” ชวินทร์บีบนวดต้นคอ ทุบไหล่พอหายเมื่อยหลังจากนั่งฟังเรื่องน่าเบื่อในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบถึงสามชั่วโมงเต็ม “คุณโสมจะได้พักไปด้วย หวังว่างานไม่ได้หนักเกินไปใช่ไหมเนี่ย คุณยิ่งตัวเล็กนิดเดียวอยู่”


“สบายอยู่แล้วค่ะ เทียบกันแล้วงานคุณวินหนักกว่ามากเลย ว่าแต่ช่วงนี้น้องตฤณไม่มาแล้วเหรอคะ”


“ผมเป็นคนบอกว่าไม่ต้องมาเองล่ะครับ เขาก็ว่าง่ายดี ช่วงนั้นตฤณดูเหนื่อย ขึ้นรถปุ๊บนิ่งปั๊บ เมื่อวันก่อนผมแอบแวบไปดูเห็นว่าดูดีขึ้นหน่อยเลยไม่ได้เป็นห่วงมากแล้ว”


“แต่คนที่แย่ดูจะเป็นคนทางนี้มากกว่าล่ะมั้งคะ” คุณโสมออกความเห็น “ให้โสมเดา คุณสองคนแทบไม่ได้เจอกันเลยใช่ไหม”


ชวินทร์พยักหน้าเหนื่อยอ่อน จะว่าไปแล้วตั้งแต่วันนั้นเขาไม่ได้เจอหน้าตฤณอีก มีแต่คุยกันถามไถ่ทางโทรศัพท์มือถือ และบางวันที่แอบส่งซิกให้คุณโสมว่าจะออกไปสอดส่องดูความเป็นอยู่ของเด็กหนุ่มบ้างหลังจากหลอกถามตารางเรียนแล้วกะเกณฑ์เวลาคร่าวๆเอาในใจ


ตฤณเป็นคนใช้ชีวิตเกือบจะเหมือนกันในทุกวัน ออกจากหอไปมหาวิทยาลัย และจากมหาวิทยาลัยกลับหอ มีบ้างที่น้องเคยเล่าให้ฟังว่าจะไปดูหนังกับเพื่อนหรือไปติวหนังสือสอบร่วมกัน อันที่จริงติดจะน่ากลัวสักนิด ถ้าชวินทร์เป็นโรคจิตสักคนที่รู้เวลาชีวิตของเหยื่อที่ทำอะไรซ้ำๆแบบนี้ วันดีคืนดีตฤณจะถูกเล่นงานเข้าโดยไม่รู้ตัว


เป็นห่วง


“คุยโทรศัพท์กันทุกวันก็ไม่เท่าเจอหน้ากันหรอกค่ะคุณวิน มันเทียบกันไม่ได้เลย”


“เจอกันบ่อยๆจะเบื่อกันก่อนน่ะสิครับ ชีวิตผมก็มีเท่านี้ ทำงาน ประชุม อ่านหนังสือพิมพ์หุ้นติดตามข่าวสารธุรกิจ น้องยังต้องเรียน ผมอยากให้เขาได้ดีกว่านี้อีกหน่อยจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะผลการเรียนออกมาไม่ดี ส่งผลกระทบไปถึงอนาคตอีก”


“แล้วถ้าน้องมีความสุขส่วนคุณวินเป็นทุกข์เอง มันดีเหรอคะ”


คำพูดของคุณโสมเป็นดั่งค้อนเหวี่ยงกระแทกเข้ามาในใจจนแตกร้าว ชวินทร์นิ่งงันขบคิดหลายตลบ เหมือนมีบางอย่างในร่างกายกำลังสั่นคลอน ไม่ได้เป็นแบบนี้มานานเท่าไหร่กันนะ


“คุณวินเริ่มจะเปิดใจให้งานมากกว่าคนจริงๆแล้วนะคะ โสมว่ารักคนอื่นเป็นห่วงคนอื่นได้ แต่ต้องรักตัวเองด้วยค่ะ ถ้าเรามีความสุขแล้วคนอื่นจะได้รับความสุขนั้นด้วย ดีไหมคะ”


ชวินทร์เงยหน้ามองคนที่ยืนมองเขาอยู่ก่อน คุณอาภาโสมคงเป็นเลขาที่ดีที่สุดในชีวิตที่เขาจะได้มีบุญร่วมทำงานด้วย คำพูดเพื่อปรึกษาเพียงไม่กี่ประโยคทำเอาเขาตระหนักหลายสิ่งหลายอย่างได้ การมีเลขาส่วนตัวเป็นผู้หญิงมันดีแบบนี้เองสินะ นอกจากมีความอดทนสูงแล้วยังมีความละเอียดอ่อนด้านความรู้สึกอันน่าทึ่ง ชวินทร์ที่เป็นคนรอบคอบในการบริหารโรงแรมยังรู้สึกว่าสู้คุณโสมไม่ได้เลยในเวลาแบบนี้


“ครับ ดีครับ”


“ที่คุณวินเป็นแบบนี้โสมว่าส่วนหนึ่งคุณวินขาดกำลังใจที่ดีไปค่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะจัดการเคลียร์งานของวันพฤหัสบดีกับวันศุกร์ให้นะคะ จะได้หยุดสี่วัน พักผ่อนยาวหน่อย”


ขาดกำลังใจที่ดีอย่างนั้นเหรอ


ให้ตายเถอะ คุณโสมทำให้ชวินทร์รู้ตัวว่าคิดถึงตฤณมากมายขนาดนี้ พอเลขาสาวเดินออกจากประตูห้องไปแล้ว ทำนบน้ำตาเอ่อขึ้นมาทันที


คิดถึงดวงตาที่เต็มไปด้วยความน่าดึงดูดเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในจักรวาลคู่นั้น คิดถึงแก้มกลมที่ทำให้ตฤณมีรอยยิ้มสดใส คิดถึงความน่ารักที่เป็นคนว่าง่ายและเชื่อฟังเขาอย่างที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี พอความคิดเหล่านั้นไหลบ่ามาอย่างกับน้ำป่า เสียงเรียก คุณวินครับ เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะมีรูปร่าง ขนาด และส่วนสูงที่พอกันกับเขา แต่ชวินทร์มองว่าน้องเป็นเด็กน่ารักเสมอ


ตฤณน่ารักในแบบที่ตฤณเป็น

__________

เหนื่อยแย่เลยนะทั้งคู่ #หลงมาที่สาทร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2019 12:58:40 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
คุณวินค่าตัวแพงตลอดเลย 5555 เอ็นดูน้องตฤนนด้วยย ลุ้นมากเลยค่ะ วินตฤน หรือ ตฤนวิน 555

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Lost at Sathorn VIII
หลงมาที่สาทร



“คุณโสมสวัสดีครับ”


“สวัสดีค่ะน้องตฤณ”


ตฤณยกมือไหว้เลขาของคุณวินที่กำลังนั่งทำงานอยู่ พอเห็นเขาเธอเลยลุกเดินออกมาจากโต๊ะทำงานให้การต้อนรับเหมือนอย่างทุกทีไป ดูว่าคุณวินจะกำชับให้เรียกเขาว่าน้องเหลือเกินนะ


“วันนี้มาหาคุณชวินทร์เหรอคะ รู้หรือเปล่าว่าคุณวินไปติดต่องานที่โรงแรมแม่ กว่าจะกลับคงเย็นเลย”


“รู้ครับ ผมคุยกับคุณวินแล้ว เขาบอกว่าให้นั่งรอในห้องไปก่อน พอดีมีเรื่องสำคัญรอคุยด้วยตอนมาถึง แล้วฝากมาบอกคุณโสมว่าถ้าเกินเวลาหกโมงแล้วให้คุณโสมกลับได้เลยไม่ต้องรอครับ”


“ได้ค่ะ ตอนนี้เพิ่งห้าโมงกว่าเอง งานดิฉันยังไม่เสร็จ พรุ่งนี้วันหยุดไม่ได้รีบไปไหนอยู่แล้ว เดี๋ยวนั่งทำงานไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนน้องตฤณจนกว่าคุณชวินทร์จะมาก็ได้นะคะ” หญิงสาวพูดคุยดูเป็นกันเอง แต่ภายใต้คำพูดนั้นมีเรื่องที่ทำให้ตฤณรู้สึกเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างมาก


“เอ่อ...จะดีเหรอครับ วันนี้วันศุกร์ด้วย รถคงติดมากๆเลย ผมอยู่คนเดียวได้นะครับไม่เป็นไร”


“ชินแล้วค่ะ ทำงานแถวนี้รถติดทุกวันอยู่แล้ว เอาเป็นว่าน้องตฤณต้องการอะไรเพิ่มบอกได้เลยนะคะ ดิฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตลอด”


“ครับ ขอบคุณมากครับ”


ไม่กล่าวประเด็นเดิมซ้ำแสดงว่าคุณโสมไม่คิดเปลี่ยนใจแน่ๆเรื่องที่จะนั่งรอเป็นเพื่อน ตฤณทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินเข้าห้องทำงานของคุณวินเพื่อมานั่งรอ


นอกจากป้ายหน้าห้องที่มีชื่อคุณชวินทร์เป็นภาษาไทยแล้ว ภาษาอังกฤษตัวเล็กๆใต้ชื่อมีเขียนว่า General Manager ครั้งแรกที่ตฤณได้เข้าห้องนี้ก็เพิ่งรู้วันนั้นว่าเป็นคำเต็มของอักษรย่อ GM ที่คุณวินบอกไว้ นอกจากป้ายหน้าห้อง ด้านในห้องไม่มีศัพท์อะไรที่เกี่ยวกับโรงแรมให้ตฤณได้อ่านเลย


ห้องทำงานคุณวินกว้างกว่าห้องรับรองอีกฝั่ง ริมขวาสุดเป็นโต๊ะทำงานที่มีเอกสารกับแฟ้มกองเรียงเอาไว้เป็นระเบียบ อุปกรณ์เครื่องเขียนอย่างปากกา ดินสอ มีไม่มาก จัดวางรวมกันอยู่ในกล่องใส่ดินสอที่ดูเรียบง่ายธรรมดา ก้อนหินทับกระดาษลายสวยสีฟ้าอ่อนหนึ่งชิ้น กระดาษโพสต์อิทแปะสองสามใบที่จอคอมพิวเตอร์ มีโคมไฟรูปแบบคลาสสิกตั้งบนโต๊ะหนึ่งอันที่ตฤณเดาไว้ว่าคงใช้เปิดเพิ่มความสว่างตอนที่คุณวินทำงานดึก ฉากหลังเป็นม่านริ้วๆที่เปิดออกไปคงเห็นวิวของกรุงเทพในมุมที่สวยงามได้


อีกฝั่งของห้องเป็นโซฟายาวสองฝั่งหันหน้าเข้าหากันกับโต๊ะกระจกเล็กๆคั่นตรงกลาง หนังสือพิมพ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษในชื่อที่ตฤณไม่รู้จักวางซ้อนกันเป็นระเบียบ ส่วนนี้คงมีไว้เวลาต้องนั่งหารือเรื่องงานกับเจ้าหน้าที่คนอื่นของโรงแรม ซึ่งเวลามาหาคุณชวินทร์ทีไรเขาจะบอกให้ตฤณมานั่งรอตรงนี้ ดังนั้นโซฟาสีน้ำเงินเข้มจึงกลายเป็นมุมประจำที่ตฤณเอาหนังสือเรียนออกมาอ่านรอหรือนั่งเล่นเอนหลังไปเสียแล้ว


ถ้าห้องผู้จัดการทั่วไปยังกว้างขนาดนี้ ห้องผู้บริหารไม่เหมาทั้งชั้นไปเลยหรือ




ตฤณสะดุ้งตื่นอีกทีตอนห้าโมงห้าสิบนาที บนโต๊ะมีแก้วน้ำที่มาได้อย่างไรไม่รู้ คุณโสมคงเอามาวางไว้ให้ สูดหายใจพร้อมบิดขี้เกียจ ลองออกเสียงแล้วพบว่าคอแห้ง แก้วน้ำเปล่าบนโต๊ะจึงไม่ถูกทิ้งเปล่า และเพราะอากาศในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ตฤณรู้สึกหวิวที่กลางร่างกายให้ต้องลุกเดินออกไปเข้าห้องน้ำ


“น้องตฤณคะ”


“ครับ”


“เดี๋ยวน้องตฤณทำธุระเสร็จแล้วรบกวนหยิบกระเป๋าเดินขึ้นไปที่ชั้นบนด้วยนะ บันไดอยู่ข้างลิฟต์ คุณชวินทร์รออยู่ข้างบนค่ะ”


“อ่าครับ ได้ครับ” เขาว่าแล้วเดินผ่านโต๊ะคุณโสมไป เพราะเพิ่งตื่นงัวเงียสมองเลยยังแล่นไม่เต็มที่ เท่าที่รู้คือชั้นนี้อยู่บนสุดแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่ามันมีบนกว่านี้แล้วตฤณไม่ได้สังเกตตอนกดลิฟต์ขึ้นมาแต่ละครั้ง แต่ถ้าบนสุดเป็นห้องผู้จัดการ แล้วห้องผู้บริหารจะอยู่ตรงไหน?


โรงแรมเป็นตึกแฝด บางทีห้องผู้บริหารอาจจะอยู่อีกตึกหนึ่งก็ได้ล่ะมั้ง ตฤณไม่รู้การบริหารจัดการอะไรเทือกนี้หรอก


พอกลับมาหยิบสัมภาระแล้วตฤณกล่าวขอบคุณคุณโสมที่เดินมาส่งตรงบันไดทางขึ้นพร้อมทั้งบอกลา ก่อนหน้านี้ตฤณคุยกับคุณวินทางโทรศัพท์แล้วตกลงกันว่าคืนนี้จะมานอนค้างที่ห้องพักคุณวิน เหมือนปลายสายจะมีน้ำเสียงอ้อนผิดปกติอย่างไรไม่รู้ บอกว่าคิดถึง ทำงานเหนื่อยๆ ไม่ได้เจอกันนาน ตฤณไม่ได้คิดมากอยู่แล้วก็เก็บเสื้อผ้ามาตามที่คุยกัน เพราะในใจรู้สึกไม่ต่างไปจากที่คุณวินบอกมา มนตราพ่อมดคงเสื่อมลงเลยต้องเรียกมาทำพิธีเพิ่มล่ะมั้ง


ในภาษาอังกฤษมีคำคุณศัพท์ที่ให้ความหมายในภาษาไทยว่างดงามอยู่หลายคำ ตฤณขอนิยามสิ่งที่เห็นตอนนี้ด้วยคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว


Stunning


ลมเย็นสบายพัดมาปะทะร่างกายให้เส้นผมปลิวไสว เสื้อผ้าของตฤณแนบลู่ลงกับร่างกายไปด้านหลัง ท้องฟ้าของกรุงเทพมหานครยามนี้เป็นสีคราม สีชมพู สีส้มเข้มและสีส้มอ่อนเรียงกันเป็นลำดับชั้นเหมือนภาพวาดสีน้ำสักภาพ หันมองไปด้านหลังท้องฟ้าสีเข้มกว่ามากเพราะเป็นทิศตะวันออกที่แสงอาทิตย์ส่องไปไม่ถึงแล้ว บริเวณรอบเมืองใหญ่เต็มไปด้วยตึกรามมากมายที่เปิดไฟแสงสีต่างๆ จุดเล็กจุดใหญ่ละลานตา ยิ่งตรงถนนเส้นหลักที่ตัดผ่าน ตฤณเห็นไฟรถสีส้มวิ่งด้วยความเร็วจนเป็นริ้วแสง


กลับมาสนใจสิ่งตรงหน้า พอก้าวขึ้นมายืนเต็มสองขาแล้ว ตฤณพบกับบรรยากาศของห้องอาหารหรูหรากลางแจ้ง ด้านข้างบันไดที่ตฤณขึ้นมาเป็นบาร์ขนาดเล็กที่มีพนักงานยืนประจำตำแหน่งสองคน โซนกว้างด้านหลังทั้งชั้นเป็นโต๊ะเก้าอี้หลายสิบที่นั่งรอบขอบวงกลมของตึกคั่นกลางแต่ละที่ด้วยไม้พุ่มทรงสี่เหลี่ยม ตรงกลางมีโต๊ะขนาดยาวมากๆวาดเป็นสามด้านของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เว้นทางเข้าด้านหน้าไว้ โดยที่ตลอดความยาวนั้นมีเทียนไขจุดอยู่เป็นแถวเป็นแนว บางมุมมีแจกันดอกไม้วางประดับ และบางมุมมีคนชื่อชวินทร์นั่งจิบไวน์รออยู่เงียบๆ โดยที่ไม่มีคนอื่นนั่งอยู่เลยสักคนเดียว ราวกับว่าวันนี้คืนนี้จะมีเพียงแค่เขากับคุณวิน


นี่มันบ้าไปแล้ว


ไม่ถึงกับต้องเป็นห้องโถงโอ่อ่าประดับแชนเดอร์เลียราคาแพงตรงกลาง ไม่ต้องมีไฟสว่างไสวประดับรอบสถานที่ ไม่มีดนตรีน่าฟังคลอเคล้าสร้างบรรยากาศ ตฤณก็รู้สึกได้ถึงความหรูหรา...มาก


“ตฤณครับ” คนนั่งรออยู่ก่อนแล้วโบกมือเรียก คนถูกเรียกก้าวขาไปข้างหน้าตามต้องการ ถึงตื่นเต็มตาแล้วแต่สมองยังแล่นไม่ทันสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้เลย


“ขอโทษนะ ผมปล่อยให้คุณรอนานเลย ดื่มอะไรหน่อยไหม”


“เอ่อ...ผม...” ตฤณยังอ้าปากพะงาบไม่ยอมหุบ คุณวินระบายยิ้มให้เหมือนจะปลอบทางสายตาว่าไม่ต้องตื่นเต้นมากนักก็ได้ “อะ...อะไรก็ได้ครับ”


“โอเค อย่างนั้นเอาแบบเดียวกับผมแล้วกัน” พูดจบคุณวินคว้าแก้วมาจากไหนไม่รู้ รินไวน์ขวดที่เขาดื่มใส่ลงก่อนเลื่อนมาให้ ตฤณรับมาจิบหนึ่งอึกพอเป็นมารยาท มองดวงตาที่ยิ้มได้ของคุณวินแล้วเกิดคำถามเป็นร้อยข้อแม้ยังไม่หายตะลึง ท้องฟ้ามืดลงกว่าเมื่อครู่เสียอีก


“นึกถึงบรรยากาศตอนนั้นเลยเนอะ ที่เราเจอกันครั้งแรก ติดที่ว่าตอนนี้เพิ่งหกโมงเย็น ถ้าเป็นไปได้ตอนดึกๆวิวจะสวยกว่านี้อีก”


“คุณวินครับ”


“หืม?”


ตฤณเรียกสติกลับมาได้แล้ว และกำลังจะถามคำถามที่ไม่ดูใส่อารมณ์ความรู้สึกมากจนเกินไป “General manager นี่ขึ้นมากินอาหารบนนี้ได้ด้วยเหรอครับ ไม่ใช่ว่ามีไว้ให้แขกวีไอพีหรอกเหรอ”


พอได้ยินคำถามแล้วเขากลับส่งเพียงยิ้มมุมปากมาให้ ทำให้ตฤณเริ่มหวั่นไหวที่จะถามคำถามต่อไปเพราะกลัวจะเจอกับคำตอบที่คาดไม่ถึง


“คุณไม่ใช่แค่ผู้จัดการทั่วไปใช่ไหม”


“ผมเป็น GM จริงๆครับ”


“ผมว่า GM ไม่น่าจะเหมาชั้นดาดฟ้าโรงแรมหรูขนาดนี้ได้” ตฤณกระดกไวน์จนหมดแก้วประชดประชันคนที่ทำท่าเหมือนมีอะไรปิดบัง “มีตำแหน่งอะไรที่สูงกว่านี้ไหมครับ”


“MD ครับ Managing Director”


“สูงกว่านั้นอีก”


“สูงกว่านั้นก็คือเจ้าของโรงแรมครับ ถ้าจะเอาสูงกว่าเจ้าของโรงแรมตฤณเจอตำแหน่งพระอินทร์แล้วนะ” แล้วคุณวินก็หัวเราะ ขยี้ผมบนศีรษะตฤณแบบมันเขี้ยวเอ็นดูเต็มประดา ขณะที่เขาเองนั่งขมวดคิ้วแน่น


“แล้วงานจริงๆของคุณคืออะไรกันแน่ บอกมาเถอะครับผมไม่โกรธหรอก” แค่เคืองนิดหน่อยที่ไม่บอกกันตั้งแต่แรก เริ่มนึกเคืองคุณโสมแล้วด้วยเหมือนกันที่เคยแอบถามไปแล้วทางคุณโสมตอบกลับมาว่าคุณชวินทร์เป็นทุกอย่าง หรือทุกอย่างที่ว่านั่นจะหมายถึง...


“ที่ผมบอกคุณไปทั้งหมดนั่นเลยครับ ตัด MD ออกไป ทำควบสามอย่างพร้อมกันมันเหนื่อย แล้วอย่านับพระอินทร์เข้าไปด้วยนะ”


ตฤณช็อค ช็อคถึงที่สุดเมื่อได้ยินแบบนั้น ได้ยินตัวเองสบถออกมาว่า what the f*ck ให้อีกคนสะดุ้งเล่นๆ คุณชวินทร์หัวเราะออกเสียงแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจนกังวานในบริเวณนั้น ดวงตาหยีเล็กเห็นฟันในปากเรียงตัวกันครบ หัวเราะแล้วยังรินไวน์ใส่แก้วยกขึ้นดื่มเหมือนแค่ฟังเรื่องตลกมากๆเรื่องหนึ่งจนพอใจหายเครียดกับงาน


สิ่งที่กลัวมันเกิดขึ้นแล้ว คุณชวินทร์เป็นเจ้าของโรงแรมตึกแฝดหรูย่านสาทร ตอนนี้กำลังดินเนอร์กับเด็กนักศึกษาชั้นปีที่สามที่เป็นใครก็ไม่รู้ แถมยังเจอกันครั้งแรกที่บาร์อโคจร หิ้วกันกลับไปต่อที่ห้องอีกต่างหาก ชีวิตจะมาเป็นซิทคอมอะไรกันตอนนี้!


จนผ่านมื้ออาหารบนดาดฟ้าผ่านไปแล้ว ตฤณยังไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากประโยคสบถเมื่อชั่วโมงก่อน คิดเหมือนกันว่าเสียมารยาทน่าดู แต่ไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรเลย ข้างในอกตีรวนไปหมด จะว่าสับสนก็สับสน น้อยใจมีนิดหน่อย หงุดหงิดแต่โล่งใจ บรรยากาศเงียบสงบ บนนี้มีได้ยินเสียงรถราเป็นดนตรีพื้นหลังไม่ให้เงียบจนเกิดความอึดอัด


“โกรธเหรอ”


“เปล่าครับ แค่...ตกใจ”


“โลกนี้มีคนอยู่สองประเภทนะตฤณ” คุณวินขยับตัวให้นั่งสบายขึ้น ทั้งแอลกอฮอล์และแสงเทียนทำให้หน้าตาเขาดูฉ่ำหวานน่ากัดแก้มเป็นที่สุด “หนึ่งคือคนที่รู้ว่าผมเป็นใครแล้วจะสนใจแต่เงินของผม กับสองคือคนที่รู้ว่าผมเป็นใครแล้วจะโกรธที่ผมไม่ยอมบอกกันตั้งแต่แรก”


“ถ้าอย่างนั้นผมจะเป็นคนประเภทที่สาม”


คุณวินที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างกันเอื้อมมือมาเกลี่ยแก้มให้ตฤณ เปลวเทียนสีส้มจัดสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นซ้อนกับเงาของเขา จะมีแว่นตาหรือไม่มีแว่นตาคุณเขาก็ยังดูน่าหลงใหลสมเป็นพ่อมดเจ้าเสน่ห์ “ยังไงครับ”


“คือเมื่อรู้แล้วว่าคุณเป็นใครจะกระเป๋าฉีก แบบนี้ต่อให้ทำงานจบหาเงินทั้งชาติผมคงเลี้ยงคุณไม่ไหว” GM เงินเดือนห้าหมื่นที่ตฤณคิดไว้เมื่อก่อน ตอนนี้คงต้องเพิ่มเลขศูนย์เข้าไปอีกสามตัวเสียแล้วก็ไม่รู้


“ที่เงียบไปคือคิดเรื่องนั้นอยู่หรือไงนะเรา เลี้ยงไม่ไหวก็มาให้ผมเลี้ยง”


“ไม่ได้หรอกครับ” คราวนี้เด็กหนุ่มกลับมานั่งหลังตรง จากที่เอนพิงโต๊ะยาวนั่งมองหน้าคุณชวินทร์ “พ่อผมสอนไว้ว่าเป็นผู้ชายต้องหาเลี้ยงตัวเองให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นหลักเลี้ยงคนอื่นได้ยังไง”


คนฟังสบตาเขาไม่กระพริบเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตฤณไม่ได้นับด้วยว่าคนที่นั่งอยู่ด้วยกันดื่มไปกี่แก้ว ส่วนตัวเองแค่แก้วนั้นกับอาหารอร่อยๆคงมากพอแล้ว คุณวินเมาหรือเปล่านะถึงเอาแต่นั่งท้าวแขนกับโต๊ะ ถ้าไม่ไหวตฤณจะแบกลงไปเอง


คนที่คิดว่าเมายกมือขึ้นมาโบกนิ้วเข้าหาตัวเอง ตฤณโน้มหน้าเข้าไปหา แล้วก็รู้ว่าตัวเองโดนหลอกให้พ่อมดจูบ


จริงอย่างที่คุณอาภาโสมบอก การเห็นหน้าดีกว่าการคุยทางโทรศัพท์มากแบบเทียบกันไม่ติด สวนดอกไม้แห้งเหี่ยวและฝูงผีเสื้อที่ตายซากกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งในช่องท้องของผู้บริหารในคราบผู้จัดการของตฤณ เด็กคนนี้พ่อแม่เลี้ยงมาดีขนาดนี้ แล้วชวินทร์จะไม่อยากดูแลต่อได้ไหวหรือ




ตฤณรู้ว่าห้องของคุณวินอยู่ที่ชั้นสิบห้า มีความกว้างเท่ากับชั้นทั้งชั้นของโรงแรม ตอนที่คุณวินรุกจูบไม่หยุดจนตฤณถูกดันเข้ามาในห้อง เด็กหนุ่มกำลังรับมือเจ้าของห้องที่ตอนนี้มีแต่กลิ่นไวน์เต็มตัว ไทด์เสื้อทำงานหลวม และผมยุ่งนิดหน่อย เหมือนภาพจำในวันแรกที่พบกันกำลังฉายซ้ำเป็นครั้งที่สอง


เสื้อผ้าเริ่มหลุดไปทีละชิ้นระหว่างทางที่คุณวินพาเดินไปยังส่วนของห้องนอนจนคนมาเก็บทีหลังต้องนึกเสียใจแน่ สุดปลายทางที่เตียงนุ่มขนาดใหญ่เมื่อใดสองร่างลงไปฟัดกันเมื่อนั้น คุณวินหอบหายใจฟืดฟาดด้วยฤทธิ์ของมึนเมา ตอนใส่แว่นมองดูเป็นผู้บริหารโรงแรมมาดดี แต่พอไม่มีแว่นส่งสายตาหรี่จัดที่เต็มไปด้วยความต้องการล้นปรี่ทอดมองมาก็ทำเอาตฤณของขึ้นได้เหมือนกัน บดขยี้จูบเร่าร้อนสลับเนิบช้าหนักหน่วง ถึงขั้นสอดตวัดปลายลิ้นดูดดุนด้วยความโหยหา เพราะตั้งแต่วันนั้นเราไม่ได้แตะต้องกันไปมากกว่าจับมือหรือยีผม ความอัดอั้นย่อมมีขีดจำกัดที่จะปลดปล่อย


ตฤณกับคุณวินตอนนี้ทั้งกอดรัดทั้งดึงกันเหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่ดูดเข้าหากันตลอดเวลาแบบไม่มีเงื่อนไข ระหว่างริมฝีปากประกบกันแนบแน่นคุณวินลูบไล้ไปตามร่างกายของตฤณที่อาจไม่ได้ออกกำลังกายมากแต่ยังมีมัดกล้ามเนื้อแบบผู้ชายรูปร่างดี คนที่อยู่ด้านล่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันบีบเคล้นบั้นท้ายพร้อมดึงชิ้นน้อยที่คุณวินมีจนหมิ่นเหม่ในเวลาสั้นๆ เสียงครางอื้ออึงในคอประท้วงว่าต้องการอากาศหายใจ คุณวินจึงยอมเปิดปากเขาโดยดี


“คุณวินค่อยๆสิครับ ไม่ต้องรีบหรอกผมไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว เมื่อกี้คุณก็ไม่ปิดประตู” คนอ่อนกว่าเหมือนจะดุด้วยความที่เมื่อกี้ต้องเป็นฝ่ายเอาขายันประตูกันป้องกันคนอื่นมาเห็นเข้า ทั้งที่ความจริงชั้นนี้ไม่มีใครมายุ่งอยู่แล้ว


“คิดถึง ผมคิดถึงตฤณที่สุดเลยรู้ไหม” เจ้าของเสียงยังคงพูดประโยคเข้าใจง่ายได้น่าฟังและลึกซึ้งเสมอ จงใจบดเบียดร่างกายให้แนบชิดกันอีกด้วยการกดเอวลงมาระหว่างกลางลำตัวของตฤณที่ชันเข่าขึ้นโอบล้อมไว้ ฝั่งหนึ่งมีเนื้อผ้ากั้นแต่อีกฝั่งโล่งหมดจดกำลังตื่นขึ้น จุ๊บปากหลายๆครั้งแทนการจูบจนเด็กหนุ่มเริ่มคันปากนึกอยากงับให้มันบวมแดงโทษฐานอ้อนเขาไม่หยุด “คุณหนีไปไหนไม่รอดหรอกถ้าลองหลงเข้ามาให้ผมติดแล้ว”


“หลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วครับคุณ หนึบหนับเลย”


ตฤณได้พูดแค่นั้นคุณวินก็ก้มลงมาปิดปากกลืนคำพูดหายไปอีก ทว่าครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่าก่อนหน้า คุณวินทั้งจับทั้งบีบเขา กระตุ้นหน้าอกสองข้างจนแข็งเป็นไตสู้มือ แถมยังแอบงับเข้าที่คอตอนเลื่อนใบหน้าไปจูบที่บ่าเขาอีก ส่วนเขาน่ะหรือเอาคืนด้วยการหาจังหวะเผลอพลิกกลับขึ้นมา ยึดข้อมือซุกซนนั่นไว้ชั่วคราวเหนือศีรษะ กดย้ำหัวเข่ากับคุณวินน้อยแล้วถูไถไปมาจนเขาสูดปาก ได้เวลาวาดลวดลายปลายลิ้นลงบนร่างกายขาวที่ไม่หนาไม่บางไปกว่ากัน ตฤณพรมจูบไปทั่วเท่าที่แรงความต้องการสูบฉีด สุดท้ายแล้วโยนเสื้อผ้าชิ้นเดียวบนร่างกายคุณวินทิ้งไป และถอดของตัวเองโยนตามไปอีกเพื่อความเท่าเทียม เนื้อจึงได้สัมผัสเนื้อไม่มีอะไรขวางกั้น


“คุณวิน ผมว่าเราน่ะ...เอ่อ...”


“ผมเข้าใจครับ ยังไม่ได้คิดเหมือนกัน”


“คือเราคงไม่ผลัดกันใช้มือช่วยตลอดไปแน่ๆ” ตฤณกล่าว พยายามไม่มองส่วนกลางร่างกายทั้งของเจ้าของห้องและของตัวเองที่มันพร้อมมากขึ้นทุกขณะเวลา “ดังนั้นผมจะ...จะยอมให้คุณวินเองครับ”


ชวินทร์ลุกขึ้นนั่งประจันหน้ากับเด็กหนุ่ม มองดวงตาที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจและความเสียสละคู่นั้นแล้วอดลูบหัวปลอบใจไม่ได้ “มันจะเจ็บนะตฤณ คุณไม่เคยมาก่อน”


“เข้าใจครับ คนอื่นบอกไว้แบบนั้น” ตฤณกลืนน้ำลาย “แต่ผมไม่อยากให้คุณวินเจ็บ ผมอยากถนอมคุณไว้นานๆ”


“เด็กโง่เอ๊ย” คุณวินดึงคนพูดไปหอมผมแรงๆหนึ่งครั้ง นึกขันในใจว่าคนที่น่าถนอมนั่นแหละคือตัวคนพูด ไม่ใช่ตัวเขา ดูท่าว่าที่บอกจะตั้งใจเรียนให้จบแล้วทำงานหาเงินมาเลี้ยงเขาคงไม่ได้พูดเล่นเช่นกัน “อย่างนั้นมาลองดูกันก่อน ถ้าเจ็บจะเลิกทำ”


“ครับคุณวิน” เป็นประโยคที่ฟังแล้วอยากฟัดคนพูดแรงๆเหลือเกิน


ชวินทร์ลุกขึ้นเดินไปหยิบอุปกรณ์ป้องกันมาจำนวนหนึ่ง กลับมานั่งเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วถึงเริ่มบทเรียนรักกันใหม่ ตฤณนอนราบด้วยอาการใจเต้นตึกตักที่มีแต่ความกลัว คุณวินขึ้นมานั่งบนร่างกายเขาแล้วทำนุ่มนวลขึ้นอีกเท่าตัว พอดันขาเขาขึ้นแล้วเลื่อนร่างกายลงไปด้านล่าง ระหว่างเล่นกับส่วนกลางร่างกายที่กำลังตื่นตัวเต็มที่จนเกิดอาการวูบวาบ นิ้วมือเลื่อนถูไถไปกับช่องทางด้านหลัง กดชำแรกเน้นย้ำและเข้าไปได้ในที่สุด ตฤณเกร็งท้องน้อยกับท่อนขา หอบหายใจแรงจนคุณวินต้องพูดปลอบอยู่นาน แต่เด็กดีของเขาไม่เกเรเลย


เอาเข้าจริงตฤณว่าตัวเองอาจจะเนื้อหนังหนาเกินไป บวกกับมีสารช่วยให้หล่อลื่นจึงไม่คิดว่ามันเจ็บมากเกินทน


“คะ...คุณวินครับ”


“ครับผม”


“ทำไมมะ...มันรู้สึกแปลกๆ อ๊ะ...” จะไม่ให้แปลกได้อย่างไรเล่า นอกจากความเจ็บแล้วมันยังรู้สึก...บอกไม่ถูก เหมือนเวลาคุณเขาขยับนิดหน่อยแล้วมันเสียวหน่วงขึ้นมา ทำไมคุณวินถึงขยับนิ้วเป็นจังหวะแปลกๆแล้วทุกครั้งที่ขยับเขาจะเป็นแบบนั้น


ชวินทร์ชอบเหลือเกินเวลาเด็กหนุ่มพูดติดขัดทุกจังหวะที่เขากระดกข้อนิ้ว พอสอดเข้าไปลึกขึ้นพร้อมทั้งกระตุ้นพื้นที่ผิวเล็กๆใต้ไข่ทั้งสอง ตฤณยิ่งครางออกเสียง ใบหน้าบิดเบี้ยวระคนสงสัยเหมือนมีคำถามอะไรในหัวตลอดเวลา


แน่นอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย


“แบบนี้ดีไหม”


“ครับ อ่า ตรงนั้นมัน...คุณวิน ฮึก...” หลังสำรวจอยู่สักพักชวินทร์ลองทดสอบความแน่ใจของตัวเองอีกครั้งด้วยการเพิ่มแรงกดลงไป ผลคือตฤณบิดเกร็งจิกนิ้วเท้าลงกับเตียง ดวงตาทั้งสองเบิกโพลงมองเขาด้วยสายตาระริกเหมือนเด็กตัวน้อยหลงทางแล้วมาขอให้เขาช่วย เขาเลยช่วยให้สมปรารถนาด้วยการขยับสั่นถี่ยิบเข้าที่จุดนั้นไม่ยั้งให้เจ้าของร่างครวญครางยิ่งกว่าเก่า ตฤณอ่อนปวกเปียกเชิดหน้าส่งเสียงกระเส่าจนเขาฟังแล้วยังแทบขาดใจแทน


พ่อมดใช้มือร่ายเวทมนตร์ฉันใด พ่อมดก็ทำให้ตฤณเจ็บปวดระคนสุขสมด้วยมือฉันนั้น


หลังจากคุณวินรังแกเขาด้วยมือที่ใช้เบิกทางนั่นแล้ว พอร่างกายเราเชื่อมกันตฤณถึงกับรู้ซึ้งว่าความรู้สึกของคนอื่นเวลาที่รับเขาเข้าไปอยู่ในตัวมันเป็นอย่างไร ความเจ็บนี้ทวีคูณยิ่งกว่าเมื่อครู่ ทำเอาตัวสั่นน้ำตาเล็ดและคอแห้งผาก ตัวตนของคุณวินมีขนาดไม่ใช่น้อย ตฤณรับรู้ได้ด้วยอาการจุกแน่นจนไม่กล้าขยับไปไหน


คนที่เวลาปกติใจดี เวลาอยู่บนเตียงกลายเป็นคนใจร้ายกับเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น คุณวินให้เวลาแค่ช่วงสั้นๆให้ได้หอบหายใจกับร้องระบายความเจ็บปวดแล้วขยับทันที ทว่าจากจังหวะเนิบนาบที่ยังรวดร้าวพอเริ่มเร็วขึ้นมันกลับกลายเป็นความสุขแปลกใหม่ที่ตฤณไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้รับ คุณวินขยับเข้ามาหนึ่งครั้งก็ไปชนถูกจุดรู้สึกดีจุดนั้นจนตฤณครางทุกครั้ง มันใหม่ มันดี มันสุข มันล้นปรี่จนคิดว่าหลังจากนี้เขาจะยอมให้คุณวินรังแกซ้ำๆจนกว่าจะพอใจ ไม่นานตฤณหลับตาเอื้อมมือไปแตะขอบสวรรค์จนได้


ถึงเป็นผัวคนทั้งโลกแต่อย่างไรกับคนนี้คงเป็นได้แค่เมียเท่านั้น


ประโยคหนึ่งดังขึ้นในหัวก่อนที่บทรักรอบต่อไปจะเริ่มขึ้น ไม่รู้คุณวินคึกคักอะไรมา แต่กว่าตฤณจะได้นอนระยะทางคงอีกยาวไกล ไกลเหมือนก้าวขาเดินเข้าป่าวงกตที่ไม่มีวันสิ้นสุด

__________

จบพาร์ทของหนุ่มสาทรแล้ว รู้สึกเหมือนกลั้นหายใจเอาไว้เฮือกเดียวแล้วตายไปเลย o2
อันที่จริงใครลงเรืออะไรก็ได้ค่ะ เจ้าตฤณแค่อยากถนอมคุณของเขาไว้เฉยๆ 555
ด้วยความที่ลงติดกัน 8 วัน ขอพักเหนื่อยก่อน ครั้งหน้าจะเป็นเรื่องของหนุ่มคนไหนย่านอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
ใครเล่นทวิตเตอร์ก็ไปส่งฟีดแบคได้ที่ #หลงมาที่สาทร ได้  หรือจะคอมเมนท์ในนี้ เมนชั่นไปหาเราก็ได้ไม่ว่ากัน
ขอบคุณมากค่ะที่ติดตาม

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Thonglor My Love
ทองหล่อที่รัก




กรกฎาคม 256x


“คุณเจตน์ ผมจะออกไปข้างนอก อาจจะกลับเข้ามาช่วงประมาณสี่หรือห้าโมงเย็น ถ้าป๊าถามว่าผมไปไหนให้บอกว่าไปธุระเรื่อง...อเวนิวนะครับ”


“แล้วคุณติณภพจะไปไหนครับ ผมหมายถึง...ที่จะไปจริงๆ”


พอถูกสายตาคู่นั้นตวัดกลับมามอง คนถามยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างทุกครั้งไปแม้ว่าต้องเจอเรื่องแบบนี้มาเป็นเวลาหลายปี ติณภพขบฟันกับริมฝีปากล่างจนเจ็บเนื้ออ่อนนุ่มด้านในเป็นการข่มใจ บางทีเลขาส่วนตัวของเขาก็รู้มากเกินไปจนเดี๋ยวนี้ถึงขั้นดักคอเจ้านายตัวเองแล้ว


“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องรู้ก็ได้ครับ เพราะถ้าคุณหลุดปากไปบอกป๊าอีกเดี๋ยวต้องมานั่งคุยกันยาวแบบคราวที่แล้ว”


“แต่ครั้งนั้นคุณไตรภพขู่ว่าจะตัดเงินเดือนผมครึ่งหนึ่ง” ก่อนร่างสูงโปร่งในชุดสูททันสมัยจะหันหลังก้าวลงบันไดไปอีกขั้น เลขาหนุ่มเอ่ยปากรั้งไว้อีกครั้ง “คุณติณภพทำอย่างกับว่าผมมีทางเลือกอย่างนั้นล่ะ...ครับ”


“ตกลงใครเป็นคนจ้างคุณกันแน่วะคุณเจตน์ ได้ข่าวว่าคนที่จ่ายเงินให้คุณเป็นค่าตอบแทนคือผมนะ ไม่ใช่ป๊า”


คนพูดชักเหลืออดขึ้นวะขึ้นโว้ย สะบัดชายสูทยกมือขึ้นท้าวสายเข็มขัดที่รัดรอบเอว ถึงเสียงยังไม่เพิ่มระดับจนน่ากลัว แต่ด้วยความที่มีหนังตาชั้นเดียวห่อหุ้มลูกตากลมโตสีเข้มจัด ใบหน้าเรียวและโครงหน้าแบบจีนชัดกว่าแบบไทย ทำให้ติณภพดูเหมือนคนกำลังเหวี่ยงวีนเกินภาพความเป็นจริงไปสองเท่า คุณเจตน์เม้มปากเรียบตรง ดีนะที่ความสามารถกับหน้าตามีดีกรีสูงพอกัน ไม่อย่างนั้นติณภพคงหงุดหงิดกว่านี้


“คุณไตรภพเป็นผู้บริหารโรงแรมสาขาแม่และมีอำนาจสูงกว่าคุณนี่ครับ แค่กระพริบตาเขาเด้งผมออกได้ทันที”


ไม่ต้องมาทำหน้าอ้อนแบบนั้น ต่อให้หล่อก็ไม่ใจอ่อนหรอกโว้ย ไม่ใช่ไทป์


“ออกก็จะจ้างใหม่ ผมไม่ยอมให้ใครมารังแกคนของผมหรอก นี่เห็นไหม ยืนคุยกันเสียเวลาไปเยอะละ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมถึงโรงแรมคุณวินตั้งนานแล้ว คุณนี่แม่ง...”


ติณภพชี้ให้อีกคนดูเข็มนาฬิกาสายหนังสีน้ำตาลมียี่ห้อแล้วทึ้งผม พอเห็นคนที่ยืนประสานมือไว้ด้านหน้าลอบยิ้มถึงรู้ตัวว่าหลุดพูดความลับออกไป เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันหงุดหงิดกว่าเดิมอีก ยิ่งยืนยิ่งเสียเวลา ไปจากตรงนี้ดีกว่า


“ตฤณ จะไปไหน”


เสียงทุ้มโทนลึกอย่างชายสูงวัยดังขึ้นด้านหลัง เห็นสีหน้าคุณเลขาเบิกตากว้างแบบนั้นไม่ต้องหันไปมองยังรู้ว่าใครพูดกับเขา ติณภพแอบแยกเขี้ยวใส่คุณเจตน์ สูดหายใจเข้าลึกผ่อนออกแรงๆก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นอีกแบบแล้วหันไปเผชิญหน้า


“อ้าวป๊า จะมาทำไมไม่บอกก่อน”


“ก็มาดูเราน่ะสิว่าเป็นยังไงบ้าง กลัวโรงแรมเจ๊งไปเสียก่อน แล้วนี่ตกลงว่าจะไปไหน” ชายที่ติณภพถอดแบบโครงหน้าออกมาถามขึ้น มองเขาสลับกับเลขาตัวดีเหมือนจะสื่อว่าถ้าเขาไม่พูด คุณเจตน์จะมีคำตอบให้


“โธ่ป๊า ทำงานมาหลายปีถ้าจะเจ๊งคงเจ๊งตั้งแต่เดือนแรก ไม่ต้องมาเองก็ได้ ยังไงผมต้องไปหาเองอยู่แล้ว” ติณภพเดินลงมายังบันไดขั้นสุดท้ายไม่ให้เป็นการยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ คุณเจตน์เองเดินตามลงมาเช่นกัน “ผมกำลังจะไปหาชวินทร์ที่...นัดไว้แล้วเดี๋ยวจะไปไม่ทัน มีคนมาขวางทางอยู่ได้เนี่ย”


คนพูดหันไปหาคู่กรณีก่อนหน้าให้คนที่เรียกว่าป๊าเห็นชัดแจ่มแจ้ง คนรับฟ้องถอนหายใจกับไม้เบื่อไม้เมา


“ไปหาชวินทร์อีกแล้ว แกปล่อยเขาทำงานสงบสุขบ้างเถอะ รบกวนเขาเปล่าๆ หรือว่ากำลังแอบอู้งานอีก”


“มะ...ไม่ได้อู้งาน ผมจะไปหาชวินทร์จริงๆ” ติณภพเสียงสูง รีบเข้ามาเกาะแขนคนเป็นพ่อทำหน้าอ้อน “ผมจะไปปรึกษาเรื่องระบบโรงแรมนิดหน่อย ใครจะกล้าอู้งานแอบหนีออกไปหาเพื่อนกันล่ะป๊า ไม่เชื่อถามคุณเจตน์ดูได้เลย”


ติณภพได้ยินเสียงดังออกมาผ่านสีหน้าซีดเผือดของคุณเจตน์ว่า งานเข้า นึกสะใจที่ได้หาเรื่องเอาคืนคนที่รั้งไว้ไม่ยอมให้ไปจนต้องมาเจอพ่อแบบนี้


“ครับ คุณติณภพมีเพื่อนไม่ค่อยมาก ผมรับรองกับคุณไตรภพได้เลยว่าเรื่องแอบทิ้งงานออกไปข้างนอกแทบไม่มี ส่วนมากแค่ไปปรึกษาคุณชวินทร์หรือไม่ก็มีธุระที่...อเวนิวเป็นครั้งคราวครับผม”


เจ้าของดวงตาชั้นเดียวเลิกคิ้วขึ้นสูง เกร็งสายตามองคนพูดจนมันแทบถลนออกจากเบ้า ไอ้คุณเลขาใจหยาบ! บอกพ่อว่าออกไปเป็นครั้งคราวยังพอทน แต่มาบอกว่าไม่ค่อยมีเพื่อนคบนี่มันเจ็บ ไม่ต้องรอพ่อทำก่อนติณภพนึกอยากจะตัดเงินเดือนเจ้าตัวดีให้เหลือน้อยกว่าค่าน้ำค่าไฟที่บ้านเสียจริง!


“แล้วไป เป็นผู้บริหารถึงจะทำอะไรก็ได้แต่อย่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่ลูกน้องมากนักนะอาตฤณ” พ่อพร่ำสอนเขาทุกครั้งไปอย่างลูกชายคนเชื้อสายจีนที่ลำบากมาก่อนที่พึงระลึกไว้เสมอ “...อเวนิวนี่ปล่อยมันไปบ้างเถอะ หาคนมาดูแลต่อจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหลายที่ มีแค่โรงแรมก็อยู่ได้สบาย”


“ไม่เอาหรอกป๊า กว่าผมจะได้มันมาป๊าก็รู้ว่าต้องสู้ยิบตากับคนอื่นขนาดไหน นี่มันกำลังไปได้ดีทำรายได้เยอะอยู่เหมือนกัน อีกหน่อยเผื่อผมเก็บเงินไว้ให้ลูกผมบ้าง”


พอพ่อบอกว่าจะให้ปล่อยขายพื้นที่ศูนย์การค้าใกล้โรงแรมที่เป็นเจ้าของอยู่ ติณภพกลับมามีสีหน้ามู่ทู่อีกครั้ง กว่าจะได้มาครอบครองมันง่ายเสียที่ไหนกันล่ะ ใครๆก็รู้กันทั่วว่าทองหล่อเป็นย่านที่มีแต่คนเมืองคนทำงาน คนค่อนข้างมีฐานะอยู่แถบนี้เยอะ นักลงทุนหรือนักธุรกิจชาวต่างชาติก็ไม่น้อย อย่างไรเสียอเวนิวของเขาไม่มีทางลงทุนเปล่า


ด้วยความที่มีหัวการค้ามากกว่าการบริหารโรงแรม วันนั้นติณภพจำได้ว่ากระเหี้ยนกระหือรือไปหาเจ้าของที่ผืนนั้นด้วยตัวเอง คุยไปคุยมาถึงรู้ว่ามีนักลงทุนชาวต่างชาติสนใจอยู่อีกคนด้วยเหมือนกัน เลยต้องเทียวไล้เทียวขื่อตามตื๊อสุดๆเป็นเวลาร่วมเดือน จำนวนเงินมากขึ้นเรื่อยๆจนดันสูงไปถึงแปดหลักครึ่งค่อนเก้าหลัก(ซึ่งคิดว่าจะไปขอกู้ป๊าทีหลังหากข้อตกลงสำเร็จ) พอคุณเจ้าของที่เริ่มใจอ่อน ติณภพบอกให้คุณเจตน์จัดการที่เหลือต่อ สุดท้ายกลายเป็นว่าซื้อตัดหน้านักลงทุนคนนั้นแบบฉิวเฉียด เพียงปีเดียวก็คืนทุนที่ขอกู้มาจนหมด


ตอนนี้ศูนย์การค้าตรงนั้นอยู่มาได้จนถึงปีที่สามแล้ว กำไรขึ้นลงทุกเดือนแต่ไม่เคยขาดทุน ดีไม่ดีบางร้านยังมีคอนเนคชั่นกับโรงแรมของเขาเสียอีก ถือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นใจที่มันอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ถึงอย่างนั้นติณภพก็ยังไปๆมาๆเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย และพักผ่อนจากการทำงานนั่งโต๊ะที่น่าเบื่อ


“แล้วไอ้หนุ่มที่ไหนจะมีลูกให้แก ถามแค่นี้”


ตั้งแต่แม่เสียไปเมื่อเขาอายุยังน้อย พ่อของติณภพแต่งงานใหม่กับหญิงชาวต่างชาติ รู้ว่าเขาไม่พอใจแต่ก็อ้างว่าเขาต้องการแม่มาดูแล หลังจากนั้นเมื่ออยากได้อะไรพ่อจะหามาให้ ตามใจทุกอย่างราวกับต้องการเติมเต็มแม่ตัวจริงที่หายไป จวบจนเติบโตมาได้ทุกวันนี้ติณภพยังติดนิสัยนั้นมาอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าถึงจะมีนิสัยแบบนี้ หากพ่อไม่แต่งงานกับแม่เลี้ยงฝรั่งให้ช่วยเลี้ยงดูขัดเกล้าในวันนั้น วันนี้ติณภพคงไม่เป็นผู้เป็นคนได้อย่างที่เป็นอยู่


รวมทั้งเรื่องที่พ่อรู้ว่าติณภพมีรสนิยมแบบไหน ก็ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล หนึ่งในน้องชายต่างแม่ทั้งสองคนก็เป็นแบบเขา พ่อไม่เคยตำหนิแม้แต่น้อย


ความรู้สึกโชคดีกว่าการเกิดมามีฐานะ คือการมีพ่อแบบพ่อของเขา


“ผมเคยคุยกับชวินทร์นะ เขาบอกว่าถ้าใกล้เลขสี่แล้วยังไม่มีใครจะแต่งงานกันคุณโสมเลขาคนเก่ง เพื่อนผมยังเทิร์นได้ บางทีผมอาจจะเปลี่ยนใจในตอนนั้น”


“หรือถ้ายังไม่เปลี่ยนใจ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทันสมัยแล้วนะครับ”


“ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ คุณเจตน์” หนุ่มหน้าตี๋เค้นเสียงเมื่อเห็นคนเสนอทางเลือกพูดไปยิ้มไป ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะวะไอ้คุณเจตน์ พอป๊ามาล่ะเหิมเกริมกับเจ้านายเชียว


“เอาเถอะ ชีวิตแกแกเลือกเอง อย่าทำคนอื่นเดือดร้อนก็พอ ตอนนี้อยากไปไหนก็ไปเถอะ แล้วเย็นนี้กลับมากินข้าวที่บ้านด้วยนะ แม่กับน้องรออยู่”


“ครับป๊า ผมฝากดูแลป๊าด้วยคุณเจตน์” ติณภพมีใบหน้าสดใสขึ้นมาทันตาที่วันนี้ไม่ถูกพ่อบ่นเหมือนวันอื่น เข้าสวมกอดแทนคำขอบคุณหนึ่งทีแล้วเดินตัวปลิวไปหาลูกรักคันงามที่ลานจอดรถ




ก่อนออกรถจากโรงแรมติณภพต่อสายหาคุณอาภาโสมเลขาส่วนตัวของคุณชวินทร์ เพราะวันนี้นึกอยากไปแบบกะทันหันเลยยังมีความเกรงใจมากพอไม่ให้โทรหาเบอร์ส่วนตัวรบกวนเวลางาน แอบผิดหวังเล็กน้อยที่หญิงสาวบอกว่าเจ้านายของเธอไม่อยู่ที่โรงแรม เลยต้องเปลี่ยนแผนไปอเวนิวแทน


คุณชวินทร์กับติณภพรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่ครอบครัวดึงตัวกึ่งบังคับให้มาช่วยบริหารโรงแรมใหม่ๆ ทุกวันนี้สนิทกันในระดับที่สามารถไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ความเกรงใจค้ำคอ เพื่อนของเขาเป็นคนสอนให้รู้จักคำนั้นตอนที่เคยไปบ่นให้ฟังว่าเที่ยวกลางคืนกลับดึกจนแม่เลี้ยงเริ่มออกปากบ่น มีอีกหลายอย่างที่เมื่อคุณคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มสบาย ติณภพกลับเชื่อฟังมากกว่าที่พ่ออบรมจนปากแทบฉีกถึงหู ไม่รู้เพราะอะไร เรียกได้ว่าคุณชวินทร์เป็นอีกคนที่ดัดสันดานให้ปรับปรุงนิสัยไปในทางทีดีขึ้นเรื่อยๆ


ครั้งหนึ่งพ่อถึงกับส่งกระเช้าผลไม้ไปขอบคุณ ขอบคุณที่ช่วยดูแลลูกชายตัวแสบคนนี้ เพราะคิดว่าคุณชวินทร์เป็นแฟนติณภพ เข้าใจผิดอยู่ได้ตั้งนานนม


บางทีลึกๆแล้วติณภพนึกอิจฉาในหลายสิ่งของคุณชวินทร์ ทั้งทำงานเก่ง ใจเย็น และเป็นคนคอยรับฟังเขาพร้อมทั้งมีคำแนะนำที่ดีให้เสมอ โดยรวมแล้วมีความเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ราวกับว่าเป็นอีกคอมฟอร์ทโซนที่อยากใช้เวลามาผ่อนคลาย คนเอาแต่ใจอย่างเขาเลยแอบถือโอกาสใช้นิสัยที่ทุกคนเกรงใจในภาพลักษณ์ภายนอกของตัวเองฝ่าทุกด่านเข้าไปหาคุณชวินทร์ที่...ไม่ค่อยเกรงใจแล้วยังขัดใจอีก ทุกคนกลัวติณภพยกเว้นคนชื่อชวินทร์


“ไม่มีน้ำใจกันเลยครับคนประเทศกรุงเทพ ขอเข้านิดหน่อยไม่ได้หรือไงวะ กูเปิดไฟเลี้ยวตั้งนานแล้ว”


ขับออกสู่ท้องถนนมาจนใกล้ถึงอเวนิว เจ้าของรถคันงามออกปากบ่นเพราะรถคันข้างหลังเร่งเครื่องขับจนชิดไม่ยอมเว้นช่องให้ติณภพเข้าถนนเลนริมได้


ปริ๊น!


เลยต้องปาดหน้ากันมันซึ่งหน้านี่ล่ะ ถ้าไม่เข้าต้องเลยไปกลับรถอีกไกล ช่วงบ่ายในย่านกลางเมืองแบบนี้ถ้าหวังให้ทำแบบนั้นภายในห้านาทีสิบนาทีคงยาก


กับคนที่ทำบ่อยจนชินอย่างเขาแล้วเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแทบทุกวัน ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่พุ่งเข้ามาแล้วเร่งเครื่องหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าจอดในช่องที่ตีเส้นสีขาวรายเรียง แค่นี้ก็เรียบร้อย คู่กรณีอาจตำหนิเขาไปตลอดเส้นทาง แต่ธุระบนถนนของคนทางนี้จบแล้ว




“คาปูชิโนเย็นไม่เอาฟองหนึ่งแก้วครับ”


“คาปูชิโนเย็นไม่ใส่ฟองนมหนึ่งแก้ว เจ็ดสิบบาทค่ะ” สิ้นเสียงพนักงานติณภพยื่นธนบัตรสีแดงที่เตรียมไว้อยู่ก่อนแล้วส่งให้ จนได้รับเงินทอนกับบิลค่ากาแฟ หันซ้ายมองขวาที่นั่งในร้านไม่มีให้จับจองเลยเพราะลูกค้าเต็มร้านไปหมด เลยต้องมานั่งที่บาร์ยาวใกล้เคาท์เตอร์สำหรับลูกค้าที่มาคนเดียว เขาไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว


ร้านกาแฟนี้หากจำไม่ผิดคงเปิดได้สักสามเดือน ติณภพไม่ได้มาจัดการด้วยตัวเองเรื่องสัญญาเพราะให้คุณเจตน์เป็นคนจัดการเหมือนทุกที สังเกตโดยรอบร้านที่มีบรรยากาศเงียบสงบและสบายตา ลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสาย บางคนกำลังหามุมถ่ายรูป ติณภพเดาได้เลยว่าไม่พ้นต้องมีการโปรโมทร้านทางโลกออนไลน์เรียกรายได้จากวัยรุ่นสมัยใหม่ ส่วนเรื่องรสชาติเป็นอีกเรื่อง


“คาปูชิโนของลูกค้าคิวที่ XX ได้แล้วค่ะ”


ติณภพเห็นว่าเลขตรงกับคิวของตัวเองจึงลุกเดินออกไป แล้วก็ต้องขมวดคิ้วตั้งแต่ยืนอยู่ห่างจากเคาท์เตอร์เป็นเมตร “แก้วนี้ของผมเหรอครับ”


“ถ้าเลขคิวในบิลของลูกค้าคือ XX ก็ใช่ค่ะ”


“ใช่ ผมได้คิว XX แต่สั่งไม่เอาฟองนม คุณใส่มาทำไม”


พนักงานแคชเชียร์ชะงักงันไปครู่หนึ่ง พอติณภพสบตาเธอไม่กระพริบคนถูกมองเริ่มมีสีหน้าไม่ดี หันไปถามพนักงานที่เป็นคนชงกาแฟให้เขา แต่ทุกคนทำหน้าตาเหมือนไม่ยอมรับว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นจากตรงไหน


“ทางเราต้องขอโทษคุณลูกค้าด้วยนะคะ ไม่ทราบว่าจะให้ตักฟองออกหรือชงแก้วใหม่ดีคะ”


“ถ้าผมรับไปเท่ากับผมต้องฝืนดื่มอะไรที่ไม่ได้สั่งถูกไหม แล้วถ้ารอแก้วใหม่ก็ต้องเสียเวลาทำ เสียเวลาผมนั่งรอ ลูกค้าคนอื่นต้องรอแล้วมาตำหนิผมว่าทำให้ต้องเสียเวลาเพิ่มทั้งที่นี่ไม่ใช่ความผิดผม ถูกไหมครับ” ติณภพว่าจะไม่พูดเยอะแล้วนะ หน้าของชวินทร์ตอนบอกให้ใจเย็นลอยขึ้นมา แต่เอาเข้าจริงความหงุดหงิดจากลูกค้าที่ก่อเรื่องเมื่อตอนเช้าที่โรงแรมทำให้อดไม่ได้ ถึงควบคุมเสียงไม่ให้มีอารมณ์โมโห แต่ดูจากที่พนักงานก้มหน้างุดใกล้ร้องไห้เต็มทน หน้าตาหยิ่งๆของเขาคงทำให้เป็นเรื่องอีกจนได้


“ถ้าอย่างนั้นผมรับแก้วนี้เองครับ”


เสียงใครอีกคนดังขึ้นด้านหลังจนต้องหันไปหาทั้งเขาและพนักงานแคชเชียร์ ติณภพเห็นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กว่าเขาประมาณหนึ่ง หน้าตาคมคายเหมือนพระเอกสักคนที่นึกชื่อไม่ออก คิ้วเข้ม ดวงตาเรียวรีพรั่งพร้อมด้วยลูกแก้วสีเข้มจัดสุกใส จมูกโด่ง และมีรอยยิ้มละมุนที่ริมฝีปากอวบอิ่ม ทว่ามีทรงผมเหมือนเพิ่งตัดสินใจไว้ยาวจากทรงเก่าที่เป็นสกินเฮด เป็นทรงที่ถือว่าสั้นมากจนเปิดให้เห็นว่าข้างใบหูซ้ายนั้นใส่ต่างหูห่วงประมาณหกหรือเจ็ดห่วงเล็ก หนึ่งห่วงใหญ่ที่ปลายติ่งหู ส่วนด้านขวามีเพียงห่วงกลมขนาดใหญ่เพียงห่วงเดียวเหมือนกันกับข้างซ้าย


โอ้โห หลุดออกมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นหรือไงวะเนี่ย


“คือจะตัดหน้าผมหรือยังไงคุณ” พิจารณาความหน้าตาดีได้สามวินาทีติณภพก็กลับเข้าสู่โลกแห่งความจริง


“เปล่าครับ ผมสั่งคาปูชิโนอยู่แล้ว แล้วก็ได้คิวต่อจากคุณ แต่ถ้าแก้วนี้มันทำออกมาปกติจะได้ให้น้องเขาทำแก้วในคิวของผมแต่ไม่ใส่ฟองนมให้คุณไงครับ ไม่เสียเวลาด้วยนะ” ว่าแล้วเขาคนนั้นก็ยืนเลขในบิลเงินสดให้ดูว่าไม่ได้พูดโกหก ได้ยินเสียงแว่วๆจากพนักงานแคชเชียร์ที่ได้โอกาสหันไปตะโกนด้านหลังว่าไม่ให้ใส่ฟองนมในกาแฟ


“คนเรามันพลาดกันได้ อย่าไปว่าน้องเขาเลยมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ ตกลงคุณจะรับไหม มีคนอื่นรออยู่นะ” ใครคนนั้นยิ้ม ติณภพว่ามันดูยียวนเหลือเกินถึงจะเหมือนเป็นการเจรจาธรรมดาก็เถอะ หันไปหาพนักงานยังเจอสายตากดดันอีก เลื่อนสายตาลงต่ำอีกทีเจอกาแฟเย็นสองแก้ววางรออยู่แล้ว แก้วหนึ่งคือแก้วแรกที่เขาได้ และอีกแก้วหนึ่งคือแก้วใหม่ที่ไม่มีฟองสีขาวอยู่ด้านบน ให้ตาย เมื่อกี้ที่จะร้องไห้คืออะไรกัน


“ถือว่าวันนี้คุณโชคดีนะ” พูดกับพนักงานแล้วคนหงุดหงิดก็เลือกที่จะคว้าแก้วกาแฟแก้วใหม่ไปนั่งที่โต๊ะยาวตำแหน่งเดิม...


...เพื่อที่จะพบว่าพ่อพระเอกการ์ตูนคนดีเมื่อครู่นี้มานั่งข้างกัน แถมยังส่งยิ้มมาให้อีก


“ถ้าจะตามมาเอาคำขอบคุณ ผมไม่มีให้หรอกนะครับ”


“ขอบคุณครับ” เขาพูดขึ้นทั้งที่ยิ้มอยู่แล้วหันไปดูดกาแฟจากในแก้วที่เกือบจะเป็นของติณภพตั้งแต่แรก อยู่ๆก็รู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งหน้า แล้วนี่อะไร จบแล้วทำหน้าตาเหมือนกำลังนึกอะไรสักอย่างก่อนเขียนตัวหนังสือจดลงไปในสมุดสีฟ้าเส้นตารางหวานแหววของผู้หญิง


“ตั้งใจจะกวนผมหรือไงคุณ ถึงได้มานั่งข้างกันแบบนี้”


“ตรงอื่นมีที่ให้นั่งก็ดีสิครับ” เขาพูดไปเขียนไป ยิ่งเห็นว่าเขียนด้วยมือซ้ายซึ่งเป็นข้างที่ติณภพไม่ถนัดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าหงุดหงิดเข้าไปอีก “แล้วคุณน่ะอย่าหงุดหงิดให้มากนักเลย หน้าคุณดุ น้องพนักงานเกือบร้องไห้แน่ะเมื่อกี้”


“สร้างภาพคนดีแล้วยังมาวิจารณ์หน้าคนอื่นอีกเหรอ” ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่เมื่อระลึกได้ว่าตรงอื่นไม่มีที่นั่งจริงๆ


“ผมเปล่า แค่จะบอกว่าคนหน้าตาน่ารักอย่างคุณเหมาะกับเวลายิ้มมากกว่าจะทำหน้าบึ้งนะ”


ติณภพที่จ้องหน้าอีกคนขมวดคิ้วเตรียมออกศึกอารมณ์ถึงกับชะงักไปไม่ต่างจากพนักงานคนเมื่อครู่ ทำไมถึงมีผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาชมกันแบบนี้ หมอนี่ต้องเป็นคนที่มีรสนิยมบิดเบี้ยวแน่ๆถึงได้มองว่าไอ้ตี๋หน้าบอกบุญไม่รับเป็นคนน่ารัก


ตั้งสติก่อน ติณภพต้องตั้งสติ ดื่มกาแฟเย็นให้ชื่นใจก่อน


อร่อย! รสชาติกลมกล่อมถูกใจที่สุดตั้งแต่เคยดื่มมาเลย ยี่ห้อที่ว่าราคาแพงแก้วละหลักร้อยยังต้องชิดซ้าย เป็นไปได้จะมาซื้อทุกวันเลยโว้ย


“รีบจนลืมหยิบหลอดเลยสิคุณ”


“ผมชอบดื่มกับแก้วครับ ช่วยไม่ให้เต่าทะเลต้องกินหลอดพลาสติก” และยังได้ฟีลกว่าด้วย แต่เรื่องอะไรจะต้องเล่าให้ฟัง


คนชวนคุยไม่ต่อความยาวกับติณภพอีก ทำแค่ยิ้มในแบบที่มองอย่างไรไม่พ้นจุดประสงค์ว่าต้องการกวนเขา เอาวะ ถ้านั่งอยู่เงียบๆไม่เปิดช่องพูดคุย อีกคนน่าจะไม่วุ่นวายตอบโต้กลับมาอีก เอาไว้มีที่นั่งว่างตรงอื่นค่อยลุกออกไป


RRRRR


“ว่าไงคุณ”


[ผมต้องเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่าไหมครับ เห็นคุณโสมบอกว่าคุณโทรมาตอนผมไปธุระ]


“ก็แบบ ไม่รู้จะไปไหนไงคุณวิน ที่อเวนิวนี่มีร้านเปิดใหม่ผมเลยว่าจะชวนคุณมาทานข้าว ช่วงนี้มันเครียดๆด้วยล่ะ” ติณภพวาดนิ้วไปมาลงกับเคาท์เตอร์ไม้เนื้อดี สายตาหาจุดโฟกัสไปเรื่อยๆภายในร้านกาแฟ “เมื่อเช้าที่โรงแรมวุ่นวายนิดหน่อย จะแอบออกมาดันเจอป๊ามาพอดี คุณเลขาคนหล่อของผมแม่งก็เผาผมต่อหน้าป๊าว่าผมไม่แอบหนีไปเที่ยวหรอกเพราะไม่ค่อยมีเพื่อน คุณดูสิ”


ปลายสายหัวเราะเสียงใส เป็นเสียงที่ติณภพได้ยินเสมอเมื่อเขาเล่าเรื่องอะไรให้คุณชวินทร์ฟัง โดยเฉพาะเรื่องใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโรงแรม [ไม่รู้อะไรจริงมากกว่ากันระหว่างเรื่องชอบแอบแวบกับเรื่องไม่มีเพื่อน เลขาคุณนี่ก็เก่งนะ เจ้านายดุยังทนได้]


“คุณชวินทร์ ผมไม่ได้เล่าเพื่อให้คุณมาซ้ำเติมนะเว้ย เป็น GM น่าเบื่อจะตาย ส่วนเรื่องเพื่อน แถวนี้มีคุณคนเดียวจะให้ผมไปหาใครล่ะ แล้วนี่คุณว่างเมื่อไหร่ครับ”


ติณภพระบายยิ้มน้อยๆ ยกแก้วกาแฟดื่มกาแฟอีกครั้ง พอหันไปทางด้านข้างที่มีผู้ชายจอมกวนนั่งอยู่ถึงพบว่าใครคนนั้นมองเขาอยู่ก่อนแล้ว จึงรีบเบนสายตาออก


[ขอเวลาอีกสักสองสามวันแล้วกัน ช่วงนี้ผมก็เครียดๆ ทนเหงาไปก่อนนะคุณติณภพที่รัก คิดถึงคนขี้บ่นจะแย่]


“ที่รักบ้านคุณเถอะว่ะ อย่าบ้างานเกินไปล่ะ เครียดก็พักบ้างครับ ว่างเมื่อไหร่บอกผมแล้วกัน”


[ครับ ขอบคุณครับ]


“เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าเวลาคุณยิ้มดูดีกว่าตอนทำหน้าดุอีก” หลังกดวางสายเจ้าของเสียงสดใสทักขึ้นโดยที่ยังไม่ละสายตาออกไปจากเขาเลย นั่งท้าวแก้มด้วยหลังมืออวดนิ้วเรียวยาวสองสามนิ้วให้ปลายคางเชิดเล็กน้อย ติณภพยังเห็นว่ามีแหวนเงินเกลี้ยงสวมอยู่บนนิ้วกลางของมือข้างนั้นด้วย


“น่าจะเป็นเพราะหน้าตาผมดูดีอยู่แล้วมากกว่าครับ ทำหน้าแบบไหนก็เลยออกมาดี” เจ้าของอเวนิวกำลังพยายามซ่อนรอยยิ้มที่เขาเผลอแสดงออกจากตอนคุยโทรศัพท์เมื่อครู่ด้วยการตีหน้านิ่งเข้าใส่ ลองดูว่าถ้าตอบไปแบบนี้จะมีสีหน้าอย่างไร


“อืม อันนั้นผมไม่ปฏิเสธ”


อะไรของผู้ชายคนนี้กันวะ จะมาไม้ไหนเดาใจยากเหลือเกิน รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนหัวโจกเด็กนักเรียนญี่ปุ่นที่เกเรแบบแบดบอย โคตรย้อนแย้งกับคำพูดสุภาพและน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังแบบนั้น ติณภพไม่ไว้ใจรอยยิ้มนั้นเอามากๆ ดูเป็นคนดีเกินไป ดูปลอมเกินกว่าจะจริงใจโดยไม่หวังผลบางอย่าง


อยู่ตรงนี้นานๆคงไม่ได้ ดูสถานการณ์ควรให้ต้องกลับไปทำงานที่โรงแรมอย่างเดิม


“เรื่องของคุณแล้วกัน ผมขอตัว”


“เชิญตามสบายครับ โอกาสหน้าแวะมาอีกนะ”


มาน่ะแวะมาแน่ แต่ติณภพหวังว่ามาแล้วจะไม่เจอคนแบบคุณอีกเป็นครั้งที่สอง คนอะไรมากวนคนอื่นแล้วยังหวังจะให้มาเจอกันอีก เซ็ง

__________

ถัดจากสาทรไปต่อทองหล่อเรยค้าบ
ส่งฟีดแบคได้ที่ #ทองหล่อที่รัก นะคะถ้าชอบ เรื่องนี่ไทม์ไลน์เดียวกับหลงมาที่สาทร จะอ่านเรื่องอะไรก่อนก็ได้ค่ะ   :L1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
คุณตฤณทองหล่อ 555 รอติดตามนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ติดตามต่อค่ะ


 :L2: :L2:

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
รอค่ะสนุกดี :3123: :pig4:

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Thonglor My Love II
ทองหล่อที่รัก




ผ่านไปสองอาทิตย์ ชีวิตของติณภพยังคงเป็นดังเช่นทุกวันที่เข้ามาทำงานในโรงแรมตอนเช้า และช่วงบ่ายของบางวันเลือกที่จะไปทานมื้อกลางวันข้างนอกบ้างตามประสาคนเบื่ออาหารที่โรงแรมจัดการให้


ตั้งแต่คุณชวินทร์ไม่ค่อยว่างเขาก็ไม่มีที่ให้ไปมากนัก เห็นว่าเป็นช่วงที่มีแขกสำคัญๆ มาพักเลยต้องอยู่ให้การต้อนรับและดูแล ติณภพเลยไม่อยากรบกวน ถึงโรงแรมของตัวเองจะไม่ใหญ่โตเท่า แต่ในบางโอกาสที่มีแขกสำคัญมาพักติณภพก็ต้องทำแบบเดียวกัน เลยเข้าอกเข้าใจว่าเวลางานยุ่งคือปลีกตัวลำบาก ยิ่งจะมานั่งฟังเรื่องไร้สาระจากเขาด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้


ครั้งสุดท้ายที่เจอกันในช่วงสองอาทิตย์นั้นคือคุณชวินทร์ออกมารับประทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารเปิดใหม่ในพื้นที่ศูนย์การค้าที่เขาเป็นเจ้าของ ทุกอย่างเกือบจะผ่านไปด้วยความราบรื่น ติณภพที่เริ่มปรับปรุงนิสัยตัวเองอย่างที่คุณชวินทร์แนะนำยังหลุดพฤติกรรมน่าปวดหัวให้เพื่อนกุมขมับอีกจนได้


ก็เขาสั่งก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่ถั่วงอก แต่ในชามอาหารมีถั่วงอกเยอะเหมือนใส่ลงไปทั้งไร่ทั้งแปลงราวกับต้องการจะแกล้งกัน วันนั้นติณภพเรียกทุกคนที่เกี่ยวข้องมาตำหนิตั้งแต่เด็กเสิร์ฟ พ่อครัว ยันผู้จัดการร้าน ยืนก้มหน้าเรียงกันสามคนที่โต๊ะของเขากับคุณวินเหมือนเด็กนักเรียนทำผิดแล้วคุณครูเรียกมาตักเตือน คนในร้านมองกันเป็นแถว จนคุณชวินทร์ถึงกับถอดแว่นเรียกติณภพด้วยชื่อเล่นที่ปกติไม่เคยเรียก


กว่าจะดึงสติขึ้นมาจากโทสะได้ ทุกคนในร้านกลัวเขากันหมด คุณชวินทร์ยิ้มด้วยสีหน้าหน่ายเหนื่อยเหมือนว่าต้องสอนบทเรียนใหม่ให้นักเรียนคนนี้เพิ่มอีกแล้ว มื้อกลางวันครั้งนั้นเลยไม่เกิดความประทับใจใดๆ นอกจากต้องขอโทษที่ทำให้เสียบรรยากาศเพราะอาการหงุดหงิดเป็นเด็กเอาแต่ใจ ติณภพรู้สึกเสียดาย ทั้งที่คุณวินอุตส่าห์ว่างมาแล้วแท้ๆ เชียว


“คุณไม่ต้องเก็บเรื่องแย่ๆ มาคิดทุกอย่างก็ได้นะติณภพ ลองปล่อยเบลอไปบ้าง ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่หายหงุดหงิด คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้กันหมดแล้ว”


“พยายามอยู่น่า เวลาทำงานในโรงแรมกับผู้ใหญ่หรือแขกผมยังพอทน แต่กับข้างนอกเวลาเป็นตัวเองได้แล้วผมไม่ชอบอะไรที่มันไม่เป็นไปตามที่คิดเลย ทำไมแค่เรื่องดีเทลเล็กน้อยยังทำพลาด จะทำตามใจต้องมีสิ่งกวนใจมาขัดตลอด”


“ตฤณ ชีวิตมันมีเรื่องน่าปวดหัวตลอดเวลานั่นล่ะ ผมถึงพยายามบอกให้ใจเย็นไว้ ท่องเอาไว้ในใจเลยว่าปล่อยมันไปบ้าง บางทีคนเราต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำเพื่อให้ระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่เราอยากทำคืออะไร เข้าใจ?”


เหมือนจะเข้าใจ ปกติอะไรที่คุณชวินทร์พูดมันฟังดูง่ายและไม่ซับซ้อน แต่ครั้งนี้ติณภพมีเมฆครึ้มสีเทามาบดบังสติจนต้องยอมรับว่างง พอคนพูดมองแล้วว่าเขาไม่เข้าใจ ถอนหายใจยาวแล้วจึงก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารของตัวเองต่อ


จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ที่มานั่งในร้านกาแฟเจ้าเดิม ติณภพยังตีความประโยคนั้นไม่แตกฉาน


ยังดีที่ตั้งแต่วันนั้นมาติณภพยังไม่เจอผู้ชายที่หน้าเหมือนพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นคนนั้น ไม่ว่าจะแวะเข้ามาซื้อตอนเช้าก่อนทำงานหรือเข้ามาช่วงเย็นหลังเลิกงาน เดี๋ยวนี้ติณภพไม่ค่อยแอบแวบออกมาระหว่างเวลาทำงานแล้ว จะว่าไปพอคุณชวินทร์ไม่ว่างให้เขาเข้าไปปรับทุกข์ด้วยก็เหมือนเป็นการดัดนิสัยเขาอีกอย่างไม่มีผิด เมื่อไม่มีที่ให้ไป ก็อยู่ทำงานเสีย


แต่วันนี้ทนไม่ได้


เพราะตอนเช้ามีความวุ่นวายเกิดขึ้น วุ่นวายกว่าครั้งไหนๆ ที่ติณภพคิดว่าจะได้เจอ ความผิดพลาดทางด้านการสื่อสารนั้นเกิดขึ้นได้เป็นปกติของการทำงานด้านบริการ และครั้งนี้ให้ทวีคูณความสาหัสเข้าไปสองเท่าเมื่อลูกค้าเป็นชาวอินเดียมีฐานะครอบครัวหนึ่ง พูดอะไรมาลูกน้องพนักงานพากันส่ายหน้าหรือทำหน้าเหยเกกันเป็นแถว เดือดร้อนให้ใครสักคนวิ่งมาตามเขาถึงในห้องทำงานเพราะไม่รู้จะพึ่งพาใคร


ให้มันได้แบบนี้สิวะ กว่าจะสื่อสารเจรจากันได้ เหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งในสวนลุมฯ ห้ากิโลเมตร เล่นเอาผู้จัดการทั่วไปปวดหัวที่สุด แค่งานในห้องก็แย่พอแล้ว


ดังนั้นวันนี้คุณเจตน์เลขาตัวดีของติณภพจึงไม่ซักไซ้อะไรมากเมื่อเขาจะขอออกไปพักช่วงบ่าย ลองกวนสิจะได้ร้อนหนาวกับเจ้านายตอนโมโห


เขาว่ากันว่าลมสงบก่อนพายุจะเข้า แต่ทำไมชีวิตติณภพนั้นเหมือนมีมรสุมเข้าตลอดโดยไม่มีช่วงเวลาให้สงบก่อนหน้านั้นเลยนะ


“ขอโทษครับ ใครเป็นคนทำคาปูชิโนแก้วนี้” ติณภพถามเสียงเย็น ในมือกำบิลเงินสดเอาไว้จนยับยู่ยี่ ใบหน้าตึงอยู่ตรงหน้าเคาท์เตอร์แคชเชียร์


“คุณ...คุณลูกค้ามีอะไรหรือเปล่าคะ”


“มี ผมสั่งว่าไม่เอาฟองนม แล้วคุณใส่มาทำไมครับ?” เสียงเรียบนิ่งของเขาเพิ่มความดังจนพนักงานสะดุ้งให้ได้เห็น “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่เจอแบบนี้ สองครั้งกับความผิดพลาดที่ผมเจอ ผู้จัดการร้านอยู่ไหนครับ ผมต้องการพบ...เดี๋ยวนี้”


“เอ่อ...คือทางเราต้องขอ...”


“ตามผู้จัดการมาพบผม!”


เขาจะไม่ฟังคำแก้ตัวจากพนักงานตำแหน่งเล็กๆ อีกแล้ว เบื่อเหลือเกินกับประโยคขอโทษแบบเดิมที่มีแต่จะทำให้อารมณ์เสีย ครั้งนี้คงต้องยอมลดเสียงห้ามปราบของคุณชวินทร์ในหัวลงแล้วปล่อยให้ความโกรธได้ทำงานเต็มที่บ้างเผื่อว่าจะสบายตัวมากขึ้น อารมณ์โทสะจากการอดทนอดกลั้นกับคนอินเดียเมื่อเช้าตีรวนผสมโรงเข้ามาจนเต็มเหนี่ยว รวมกับครั้งเก่าที่มีคนมาขัดใจไม่ให้โวยวายเรื่องกาแฟที่เขาควรจะได้ทำตั้งแต่แรกเป็นทุนเดิม


ตอนเช้าก็ลูกค้างี่เง่า ตอนบ่ายพนักงานก็ทำกาแฟพลาด มีอะไรอีกจัดมาให้หมดเลยโว้ย! กูไม่ทนแล้ว!


“อะไรกันครับ อะไรกัน มีเรื่องอะไรใจเย็นๆ ก่อนนะครับ”


ขณะเดียวกับที่กำลังจ้องพนักงานด้วยความโมโหที่มัวแต่อ้าปากพะงาบไม่ไปตามผู้จัดการ มีเสียงอีกเสียงเอ่ยขึ้นด้วยระดับที่ดังมากพอจะดึงความสนใจเข้าไปหา ติณภพเห็นคนที่ดูคุ้นหน้าค่าตามากจนรีบประมวลผลในสมองว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ร่างสูงใหญ่เดินปรี่จากประตูหน้าร้านเข้ามาจับแขนเขาเหมือนพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ มองหน้าติณภพสลับกับพนักงานที่สีหน้าหวาดผวา เบิกตาเรียวรีจนกว้าง


พอนึกออกปุ๊บ เหมือนเชื้อเพลิงยิ่งกระตุ้นเชื้อไฟให้โหมกระพือปั๊บ คนโมโหสะบัดแขนออกไม่ถนอมน้ำใจ เขาจำต่างหูเจ็ดห่วงนั่นได้แล้ว ใบหน้าที่เคยแสดงรอยยิ้มไม่จริงใจและนิสัยกวนเบื้องล่างนั่นก็ด้วย


“นี่คุณอีกแล้วเหรอ”


“ครับ? อ้าว คุณนี่เอง ว่าแต่มีเรื่องอะไรกันครับ เสียงดังจนลูกค้าในร้านตกใจหมดเลย” คนมาใหม่ดูประหลาดใจที่เห็นติณภพ หันกลับไปกลับมาเหมือนต้องมีใครสักคนที่สามารถตอบคำถามนั้นได้


“มันไม่ใช่ธุระของคุณเปล่าวะ ไม่ต้องทำตัวเป็นพลเมืองดีทุกครั้งไปก็ได้ แล้วคุณ ตกลงผู้จัดการร้านอยู่ที่ไหน จะเรียกมาได้หรือยัง” ติณภพเบาเสียงลงเล็กน้อย แต่ยังมีความกระด้างและอารมณ์รุนแรงเจือไว้ หันไปต่อว่าคนที่มายุ่งแล้วยังสลับไปกระโชกโฮกฮากใส่พนักงานเคราะห์ร้ายคนเดิมที่มัวแต่ยืนทำท่าเก้กังด้วยความกลัว


“มีอะไรคุยกับผมนี่ ไม่ต้องไปดุพนักงาน น้องเขาติดป้ายว่าเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ”


“จะพนักงานแบบไหนผมไม่สนใจหรอก สิ่งที่ผมโฟกัสคือผมสั่งกาแฟแต่พนักงานร้านนี้แม่งทำผิดเป็นรอบที่สองแล้ว จะเล็กน้อยหรือใหญ่โตแต่มันผิด ผิดก็คือผิด อีกอย่างหนึ่งทำไมผมต้องคุยกับคุณด้วย หรือว่าคุณเป็นผู้จัดการ?”


“ผมเป็นเจ้าของร้าน”


ติณภพนิ่งไปเมื่ออีกคนมีสีหน้าจริงจังไม่เหมือนกับที่เขาเคยเห็น เพราะความที่เครื่องหน้าเข้มเวลาแสดงออกถึงความไม่พอใจจึงดูน่าเกรงขาม วูบหนึ่งก็รู้สึกเสียหน้าที่มัวแต่เสียงดังถามหาผู้จัดการฉอดๆ ทั้งที่เจ้าของร้านยืนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่พลันสีหน้าหยิ่งทะนงร้ายกาจเผยรอยยิ้มมุมปากแบบที่คนทั่วไปต้องมองว่าเป็นตัวร้ายมากกว่าพระเอก “ดี เจอเจ้าของร้านเลยก็ดี รับรู้พฤติกรรมพนักงานในร้านที่ทำกับลูกค้าไว้นะ แล้วบอกผมทีว่าจะรับผิดชอบยังไง”


“เราจะไม่พูดกันตรงนี้ครับ เชิญคุณไปนั่งรอที่ด้านโน้น” เขาผายมือไปยังสุดปลายบาร์นั่งดื่มกาแฟทอดยาวขนานกับเคาท์เตอร์ตรงที่ติณภพเคยนั่งเมื่อเวลาลูกค้าแน่นร้าน ซึ่งมีความเหมาะสมดีที่จะคุยเรื่องส่วนตัว “รบกวนรอสักครู่ จัดการตรงนี้เสร็จแล้วผมจะตามไป”


พูดจบติณภพยังคงมองด้วยดวงตาแข็งกร้าวเพื่อต้องการสื่อว่ายอมสงบชั่วคราวก็จริง แต่หากมีอะไรที่ทำให้ไม่พอใจอีกจะแผลงฤทธิ์มากกว่านี้ให้ดู คุณเจ้าของร้านไม่ได้มีทีท่าต้องการต่อสู้ด้วยสายตา เขาทำเพียงแค่มองด้วยความสงบเยือกเย็นและเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อน ก่อนจะเดินผ่านติณภพไปทางด้านหลัง


ติณภพเดินมานั่งจิบกาแฟให้ใจเย็นลง พนักงานหลายคนลอบมองมาทางเขาด้วยอาการหวั่นใจเป็นบางคราวแต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ สายตาตอนนี้จับจ้องไปยังชายหนุ่มเจ้าของร้านซึ่งกำลังเดินไปขอโทษลูกค้าตามโต๊ะที่เกิดเหตุการณ์รบกวนเมื่อครู่ ร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงมาจนเกือบครึ่งหนึ่งของความสูงตัวเอง ยืนประสานมือไว้ด้านหน้า เปลี่ยนใบหน้าคมเข้มเป็นยิ้มอ่อนโยนสร้างความน่าเชื่อถือและเรียกความเห็นใจจากคนอื่น ก็เป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่หรอก เพียงแต่พอนึกถึงว่าคนอื่นไม่รู้พิษสงความกวนร้ายกาจภายใต้รอยยิ้มหล่อเหลาที่เขาเคยเจอนั่นแล้วอดเบ้ปากขัดใจไม่ได้


ถ้าต้องให้ติณภพเป็นเจ้าของร้านแล้วไปทำอะไรอย่างนั้น ต่อให้ยิ้มจนปากฉีกถึงหูคนยังไม่เชื่อเลยว่าขอโทษอย่างจริงใจ เพราะหน้าเขาร้ายเกินกว่าจะทำให้คนรู้สึกได้ งานบริการด้วยตัวเองจึงไม่ค่อยเหมาะกับเขาเท่าไหร่ ดูอย่างกรณีเมื่อเช้ากับลูกค้าชาวอินเดียครอบครัว เขาพูดด้วยความสุภาพที่สุดแล้ว ยังทำหน้าเหมือนว่ากลัวเขาจะไปกระชากคอเสื้อถ้าไม่หยุดร้องขอนั่นเปลี่ยนนี่ ไอ้ความคิดอยากตะโกนใส่หน้าว่า อย่าเรื่องมากให้มากนัก มันก็มี แต่ติณภพไม่เคยทำและไม่มีวันทำ


ดูอย่างตอนนี้ คุณเจ้าของร้านกลับมาคุยกับพนักงานที่เคาท์เตอร์แล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปอีกแบบเป็นเรียบนิ่ง ไม่ยิ้มแต่ก็ไม่ได้ดูโมโหอะไร ทว่าพอติณภพเห็นแล้วกลับทำให้ใจรู้สึกสงบลง เมื่อพนักงานสองคนก้มหน้ารับคำแล้วกลับไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเดิม คนที่เขามองอยู่เหลือบตาขึ้นมาราวกับว่าคนทางนี้จะเป็นเป้าหมายถัดไป คนทางนี้ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงทำเป็นสนใจหน้าจอมือถือแกล้งไม่รับรู้ว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาหา


กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ พัดมาตามแรงอากาศเมื่อใครคนนั้นเดินมาหยุดที่ข้างกัน ติณภพเงยหน้าขึ้นมองคุณเจ้าของร้านนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างกันไม่มาก รอฟังว่ามีอะไรมาพูดกับเขา แล้วก็ต้องตกใจที่อีกฝ่ายยกมือไหว้ขอโทษจนรีบทิ้งโทรศัพท์มือถือมารับไหว้แทบไม่ทัน


“ผมต้องขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยนะครับ เป็นความสะเพร่าของทางเราเองที่ไม่อบรบพนักงานให้ดีกว่านี้ ผมได้ตักเตือนไปแล้วและขอรับรองว่าจะไม่ให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นอีกครับ ทั้งกับคุณและลูกค้าท่านอื่น”


จากที่อารมณ์คุกรุ่นเมื่อครู่ เห็นหน้ารู้สึกผิดจากเขาแล้วเริ่มโกรธไม่ลง ตลอดการพูดเขาไม่ยอมลดมือที่ประนมลงเลย จนติณภพต้องแตะปลายนิ้วลงกับมือทั้งสองนั้นให้เลิกทำเสีย


“ครับ ผมเองต้องขอโทษเหมือนกันที่โวยวาย พอดีเมื่อเช้ามีเรื่องนิดหน่อยเลยเผลอมาระเบิดลงที่นี่...แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีกจะดีที่สุด ถ้าเป็นคนอื่นที่แพ้นมหรือแพ้ส่วนผสมแล้วคุณใส่ลงไปในแก้ว ทำผิดพลาดไปอีกจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้นะครับ ขอให้เข้าใจด้วย”


คุณเจ้าของร้านผงกหัวเข้าใจเหมือนเด็กที่ตั้งใจรับฟังผู้ใหญ่ ดวงตาดำสนิทจ้องมองด้วยความนอบน้อมในการรับฟัง พยักหน้าหนึ่งครั้งห่วงต่างหูก็สั่นกระเพื่อมตามหนึ่งครั้ง


เป็นลุคจริงจังที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นจากชายคนนี้เลย ลูกน้องทำผิดก็ออกรับแทนลูกน้อง รัศมีความเป็นผู้นำกระจายตัวอยู่รอบจนรู้สึกได้


“ถ้าอย่างนั้นขออนุญาตถามว่าคุณแพ้นมเหรอครับถึงได้สั่งไม่เอาฟองนม แต่ว่าคุณไม่ได้สั่งว่าห้ามใส่อะไรเกี่ยวกับนมในกาแฟนี่ครับ?”


“ผมไม่ได้แพ้นม แต่ไม่ชอบให้ฟองมันมาอยู่ในกาแฟ สั่งแบบไหนก็ทำตามที่สั่งเถอะครับ ความพอใจของลูกค้าคือหัวใจสำคัญของงานบริการ” พ่อของติณภพเคยพูดไว้แบบนั้น ซึ่งเขายึดถือเป็นคติในการทำงานที่โรงแรมมาตลอด ถ้าไม่ท่องมันไว้ในหัว จะอาศัยรอให้ใจเย็นแล้วค่อยทำงานคงไม่ราบรื่นนัก


“ครับ ผมเห็นด้วย เอาเป็นว่าผมจะย้ำเตือนพนักงานทุกคนว่าเวลาคุณมาห้ามใส่ฟองนมในคาปูชิโน หรือถ้าคุณมาตอนผมอยู่ร้านแบบวันนี้ ให้ผมทำให้คุณเองเลยก็ยังได้ ถือว่าชดเชยค่าเสียอารมณ์แล้วกัน ดีไหมครับ”


เขาเผยรอยยิ้มน่ามองให้ บางทีก็ไม่เข้าใจว่าชีวิตมีเรื่องอะไรต้องให้ยิ้มนักหนา กับคนที่ไม่ค่อยยิ้มอย่างติณภพถือว่าออกจะแปลก แต่คิดทบทวนอีกทีนอกจากการตกแต่งร้านให้สวยแบบนี้แล้ว หน้าตาเจ้าของร้านอาจเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าเข้าร้านมากขึ้นก็เป็นได้ ในร้านถึงมีสาวๆ มากกว่าผู้ชาย ใครจะอยากเข้าร้านที่เจ้าของร้านหน้าตาไม่รับแขกกันล่ะ


ถ้าโรงแรมเอาติณภพเป็นพรีเซนเตอร์ คงเจ๊งตั้งแต่เดือนแรก


“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ แต่ถ้าคุณคิดว่าดีก็ทำครับ”


“ในฐานะเจ้าของร้าน รู้สึกยินดีที่ได้รับใช้คุณลูกค้านะครับ ลูกค้าพอใจผมก็ดีใจ แต่ในฐานะคนธรรมดาทั่วไป...ผมว่าก็น่าดีใจอีกนั่นแหละที่เห็นคุณยิ้มออกสักที บอกแล้วว่าดูดีกว่าตอนทำหน้าดุ”


“นี่คุณ ยังไม่เลิกล้อเรื่องหน้าตาอีกเหรอวะ” ติณภพขมวดคิ้ว “ผมรู้ว่าหน้าผมมันร้าย ไม่ได้หล่อแบบคุณเจ้าของร้าน และงานที่ผมทำมันน่าเบื่อ ไม่มีอะไรให้สุขใจจนยิ้มได้ทั้งวันเว้ย”


“ขอบคุณครับที่ชมว่าหล่อ ส่วนคุณลูกค้าหน้าไม่ร้ายหรอกครับ น่ารัก” คนตรงหน้าถึงกับยิ้มกว้างกว่าเดิมเหมือนพระอาทิตย์เปล่งรัศมีให้แสบตา ดูๆ ไปไม่แปลกที่ติณภพจะชมออกปากแบบแฝงความประชดประชัน คุณเจ้าของร้านใส่เสื้อเปิดอกเล็กน้อยเหมือนที่ติณภพชอบทำประจำ แต่ด้วยสรีระที่ดีและอกที่กว้างกว่าทำให้เขาคนนั้นดู...ค่อนข้างฮอต ทรงผมยาวกว่าครั้งก่อนที่เจอกันไม่มากยังได้รับการจัดแต่งอย่างดี ถึงจะมีเครื่องประดับเงินทั้งหลายทำให้ดูเป็นแบดบอยขัดกับบุคลิกที่เห็นอยู่ก็ตาม


เรื่องหล่อน่ะเป็นความจริง แต่มีเหตุอะไรต้องมาชมเขาว่าน่ารักวะ ไอ้บ้า


หรือว่าเป็นเหมือนกัน? แต่ถึงเป็นหรือไม่เป็นก็ไม่น่าจะตาถั่วขนาดว่าเห็นไอ้ตี๋หน้าจิกอย่างเขาดูน่ารักไปได้


“อย่าช็อคสิครับ ผมชมนะไม่ได้สาปคุณ”


“ก็...ก็...”


“เอาแบบนี้ๆ” เขาว่า “ผมพอเดาได้ว่างานคุณยุ่งและน่าเบื่อจนต้องออกมานั่งพักที่นี่บ่อย ลองไปกับผมไหม เผื่อจะเปิดประสบการณ์อะไรบ้าง”


“เดี๋ยวก่อน เปิดประสบการณ์อะไรของคุณ พูดอย่างกับจะล่อลวงพาไปไหน” เจ้าของโรงแรมหนุ่มเบิกตาเล็กๆ จนกว้างขึ้นเท่าที่สามารถ “แล้วทำไมต้องไปกับคุณด้วย คิดว่าผมว่างมากเหรอ”


“ก็แล้วแต่คุณสิ ผมเห็นมาบ่อยเลยนึกว่าว่าง ไม่ได้จะพาไปล่อลวงที่ไหน แค่พาไป...ไม่บอกดีกว่า คุณไม่อยากไปก็ตามใจผมไม่บังคับ เอาเป็นว่าถ้าคุณเบื่อๆ คิดอะไรไม่ออก อยากเปิดโลกของตัวเอง มาหาผมแล้วกัน”


คำพูดยียวนกับการขยิบตาข้างเดียวนั่นสื่อได้หลายความหมายมาก มากมายจนติณภพไม่กล้าคิดไปเองล่วงหน้าว่ามันหมายถึงอะไร กลัวจะเจอคำตอบที่มีแต่อะไรแย่ๆ เปิดโลกจะหมายถึงบาร์เกย์แถวสีลมหรือเปล่า...ก็เคยไปแต่ไม่ชอบ หรือจะหมายถึงเปิดโลกของดวงชะตาด้วยการดูไพ่ยิปซี...ติณภพไม่ชอบดูดวง มันงมงาย เปิดโลกใหม่ด้วยการเป็นผีน้อยไปทำงานต่างประเทศผิดกฎหมายอย่างนั้นเหรอ หรือมันอะไรกันแน่วะ ยิ่งคิดยิ่งติดลบ


ต่อมความอยากรู้มันทำงานดีเกินไป ถึงลางสังหรณ์จะสั่นกระดิ่งเตือนว่าอันตรายดังมาก แต่ไม่สามารถชนะความอยากรู้ได้ ในเมื่อนัยน์ตาดำขลับส่องประกายวิบวับเย้ายวนเสียขนาดนั้น

__________

ซึ่งหน้ามากค่ะคุณเจ้าของร้าน คุณตฤณอย่าโมโหมาก เดี๋ยวตีนกาขึ้นไว
เดาๆชื่อคุณพระเอกการ์ตูนไปก่อนนะคะ ยังไม่บอกตอนนี้  :z2:
ส่งฟีดแบคได้ที่ #ทองหล่อที่รัก นะคะถ้าชอบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 21:32:57 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ Raspberry complex

  • เติมรักใส..ใส่หัวใจ2ดวง
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +358/-0
    • http://www.facebook.com/raspberrycomplex.raspberry
กล้าๆสู้ๆ อยากรู้นี่นา ก็ต้องลอง เน๊อะ
 o13

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ลุ้นว่าจะเปิดโลกยังไงน้า  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
อยากรู้ก็ต้องลอง

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
อยากรู้ด้วย :pig4:

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
รอ รอ รอ ตอนต่อไปปป

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Thonglor My Love III
ทองหล่อที่รัก




การประชุมผู้บริหารโรงแรมในเครือผ่านไปอย่างราบรื่น โรงแรมแม่สาขายังคงเป็นสาขาที่ทำกำไรได้มากที่สุดแม้ว่าการท่องเที่ยวในปีนี้จะไม่ค่อยคึกคักเพราะเศรษฐกิจซบเซาลง เนื่องจากผลกระทบเรื่องการเมืองในประเทศรวมทั้งสงครามทางการค้าและปัจจัยอื่น นักท่องเที่ยวจากอเมริกาน้อยลง ลูกค้าที่มีอยู่ทุกวันนี้มีแต่ชาวเอเชียเป็นส่วนมาก ชาวยุโรปบ้างประปราย และที่เพิ่งเข้ามาในลิสต์สรุปการประชุมดูว่าจะเป็นผู้คนจากอเมริกาใต้


ไตรมาสที่ผ่านมาโรงแรมที่พ่อของติณภพบริหารอยู่นั้นมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์เลขหลักเดียว ยังสามารถมีโบนัสหล่อเลี้ยงพนักงานลูกน้องได้ หากสิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือโรงแรมในเครือที่ทำกำไรได้มากรองลงมากลายเป็นสาขาที่ติณภพบริหาร ทั้งที่ดูแล้วน่าจะเป็นสาขาที่ขาดทุนหรือไม่ก็มีรายได้คงที่ ตัวผู้บริหารประจำสาขาเองยังไม่อยากเชื่อสายตาที่มองเห็นในแฟ้มการประชุม


เมื่อมาตรฐานได้รับการยกระดับให้สูงขึ้นมา ความรับผิดชอบย่อมต้องสูงขึ้นตามมาตรฐาน พ่อของเขาดูพอใจกับผลที่ออกมาอย่างมาก ตรงข้ามกับติณภพที่รู้สึกเหนื่อยมากกว่าเดิมทั้งที่แค่นั่งเฉยๆอยู่บนเก้าอี้บุนวมนุ่มสบาย


ในช่วงต่อไปที่จะมาถึง คุณเจตน์เลขาส่วนตัวได้เปรยๆเอาไว้แล้วว่าจะเป็นช่วงที่มีศิลปินนักร้องและดาราจากประเทศเกาหลีใต้ทยอยกันมาจัดคอนเสิร์ตหรือโปรโมทอะไรต่อมิอะไรต่างๆนานา โรงแรมที่จะได้รับการเลือกเป็นที่พักอันดับต้นๆคงหนีไม่พ้นโรงแรมใหญ่อย่าง...ของคุณชวินทร์หรือโรงแรมมีชื่อเสียงในละแวกใกล้เคียง แต่คุณเจตน์ก็บอกติณภพอีกเช่นกันว่ามีศิลปินบางกลุ่มที่จะมาก่อนเวลาล่วงหน้าหลายวันเพื่อพักผ่อนท่องเที่ยว ทั้งในช่วงก่อนหรือหลังจบงานแล้ว ซึ่งเขาเหล่านั้นจะเลือกโรงแรมที่พักที่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวและเล็กกว่า อย่างเช่นโรงแรมของติณภพในปีที่แล้วที่มีศิลปินเกาหลีเลือกมาใช้บริการสองกลุ่ม และนักแสดงชื่อดังจากต่างประเทศอีกหนึ่งคน


พอจบช่วงเวลานั้นแล้ว ปลายฝนต้นหนาวยังเป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศทยอยจองห้องพักเพราะต้องการมาท่องเที่ยวในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ถึงโรงแรมจะไม่ใหญ่มาก แต่ทั้งสาขาที่ติณภพดูแลและสาขาอื่นที่มีในกรุงเทพนั้นได้รับการจับจองจนเต็มหมดตั้งแต่ต้นปลายเดือนพฤศจิกายนมาหลายปีแล้ว นอกจากเรื่องห้องพัก ยังมีเรื่องที่ต้องใส่ใจดูแลไม่ต่างกัน ทั้งการปรับราคา การจัดสรรประเภทห้องพักให้ตรงความต้องการของลูกค้า การบริหารระบบคอมพิวเตอร์ อาหาร การจัดตกแต่งโรงแรมตามเทศกาล และเรื่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอีกมากมาย เรียกได้ว่าหนึ่งคนมีงานให้ทำมากกว่าแค่หนึ่งอย่าง ใครเป็นพนักงานประจำคอลเซ็นเตอร์ก็รับจองห้องจนสายไหม้กันไปเลย


ทุกสิ้นปีจะเป็นช่วงเวลาที่หนักสำหรับชายหนุ่มและลูกน้องอีกราวห้าสิบคน กว่าจะได้พักหายใจหายคอคงต้องเลยไฮซีซั่นไปสักพัก และรวมกับช่วงเวลาเตรียมตัวต้อนรับผู้คนมีชื่อเสียงทั้งหลาย ติณภพคิดเลยว่าปีนี้น่าจะเหนื่อยมาก แต่รายได้ที่เข้ามานั้นคงคุ้มค่าความเหนื่อย


“คุณเจตน์”


“ครับคุณติณภพ”


“ได้ยินคำว่า เปิดโลก คุณจะนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก”


“เอ่อ...” คุณเลขาตัวดีชะงักไปเมื่อวางแฟ้มสรุปการประชุมลงบนโต๊ะทำงาน ติณภพเหลือบสายตาขึ้นมองแล้วถอนหายใจ “เอาแบบฟังดูดีหรือแบบที่ผมคิดตามความเป็นจริงล่ะครับ”


“เอาความคิดแรกสุดที่เข้ามาในหัวตอนที่คุณได้ยิน”


“น่าจะหมายถึงการได้ลองทำอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำล่ะมั้งครับ แบบว่าพอได้ยิน ได้ทำ ได้สัมผัสแล้วตัวเราจะมีความรู้สึกว่า ว้าว ไม่เคยรู้เลยว่ามันทำแบบนี้ได้ด้วย โลกความรู้ของคุณกว้างขึ้น”


ติณภพล่ะเกลียดคำว่า ว้าว ที่ออกมาจากปากคุณเจตน์จริงๆ การแสดงเป็นเลิศ ยังจะยืนส่งยิ้มมาให้อีก


“อันนี้คงเป็นเรื่องที่ฟังดูดีสินะ แล้วเรื่องที่คุณบอกว่าเป็นสิ่งที่คุณคิดล่ะ”


“มันเป็นไปในทางสิบแปดบวกน่ะครับ ผมได้ยินคำนี้ครั้งแรกกับเรื่องที่มันส่อไปในทางลบนิดหน่อย” คุณเจตน์ทำหน้าตาเหนียมอาย ขยับตัวเหมือนอึดอัดที่จะพูดออกมาตามตรง “แต่ว่าถ้าไม่คิดอะไรมากมันก็เป็นคำที่มีความหมายดีนะครับคุณติณภพ”


“ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้ล่ะว่าคุณเป็นคนจิตใจไม่ได้ดีเหมือนภาพลักษณ์ภายนอก เลยคิดแต่เรื่องลามกพอได้ยินที่ผมถาม”


ชายหนุ่มล่ะชอบเวลาที่ได้แกล้งเลขาตัวเอง นิดหน่อยก็ถือเป็นสีสันให้ชีวิต คุณเจตน์ทำหน้าตาราวกับมันเขี้ยวที่เขารู้ทันแต่ทำอะไรไม่ได้ ดวงตาใต้กรอบแว่นดูระยิบระยับขึ้นมาเชียว ต้องโบกมือให้กลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะเหมือนเดิม ติณภพเข้าใจว่าเป็นธรรมดาของผู้ชายที่จะคิดเรื่องอะไรแบบนั้นได้รวดเร็วและแทบจะตลอดเวลา เขาเองยังเป็นในบางครั้ง ตอนทำงานเหนื่อยมีลืมไปชั่วขณะ แต่พอร่างกายได้พักก็ต้องมีอะไรมาบรรเทาให้หายเหนื่อยบ้าง


หลังกลับจากประชุมที่โรงแรมใหญ่ มานั่งสนทนาธรรมกับคุณเจตน์แล้วติณภพยังไม่รู้สึกหายเหนื่อย ขนาดอภิปรายผลประกอบการของโรงแรมและนั่งหารือถึงแผนที่จะดำเนินการในอนาคตยังทำเอาหนักอึ้งขนาดนี้ ถึงเวลานั้นจริงไม่ต้องไปนอนให้น้ำเกลือในโรงพยาบาลกันเลยหรือ แค่คิดเส้นเลือดที่ขมับก็เต้นตุบๆให้ปวดหัวแล้ว ทำไมชีวิตต้องมาทำงานเครียดด้วยนะ ติณภพไม่อยากเป็นลูกชายคนโตเลย


ตอนออกจากห้องประชุมนาทีแรกๆติณภพไปนั่งโอดครวญกับพ่อ บอกว่าเหนื่อยอยากหนีไปพักร้อนต่างประเทศ พ่อเลยบอกว่าถ้าเขาแอบหนีงานแล้วทิ้งให้คนอื่นดูแลต่อข้างหลัง จะแอบอายัดบัตรทุกใบของเขาแบบเงียบๆไม่ให้รู้ตัว เอาให้เป็นหนี้ไม่มีเงินจ่ายค่ากินค่าอยู่ ให้ไปล้างจานหาเลี้ยงตัวเองแทน โหดร้ายที่สุดเลยพ่อใครวะ


ที่จริงก็พูดซ้ำเดิมอย่างนี้มาหลายปี คิดแทนพ่อกับคุณเจตน์แล้วสองคนคงเหนื่อยกับงานน้อยกว่าเหนื่อยกับเขาเสียอีกมั้ง


“คุณเจตน์ บ่ายนี้ผมไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม” ถามไปอย่างนั้นแหละ สองสามวันนี้เท่าที่รู้คือติณภพว่างงาน แค่อยากย้ำให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิดหรือหลงลืมอะไรไป


“ไม่มีครับ ยังไม่มีอะไรด่วน ถ้าจะนัดคุณชวินทร์ออกไปทานข้าวข้างนอกก็ไม่ต้องกังวลเลยครับ ให้ผมโทรไปติดต่อให้ตอนนี้เลยยังได้...โอ๊ย! คุณติณภพ ปายางลบใส่หัวผมทำไม”


หมั่นไส้คนแสนรู้โว้ย! รู้ลึก รู้ดีจริงๆ ติณภพแยกเขี้ยวใส่คุณเลขาคนหล่อที่ลูบหัวป้อยๆแต่ยังแอบลอบยิ้มแซวเจ้านายเหมือนเป็นเพื่อนเล่น


“หาเรื่องโทรคุยกับคุณอาภาโสมล่ะสิไม่ว่า”


“เปล่านะครับ ผมแค่ออกความคิดเห็นเฉยๆ ว่าแต่นี่มันยางลบผมที่หายไปนี่ หาอยู่ตั้งนาน คุณแอบขโมยไปใช้เหรอครับ”


“แค่ยืมมาแล้วยังไม่ได้คืนเฉยๆเถอะ” ติณภพลุกขึ้นคว้าเสื้อสูทตัวนอกและของจำเป็นอย่างโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์หนังสีดำมียี่ห้อ “ผมออกไปข้างนอกนะครับ อาจจะไม่เข้ามาแล้ว”


คุณเจตน์รับคำ มองดูเจ้านายคนดีคนเดียวของตัวเองเดินออกไปจากห้องที่นั่งทำงานร่วมกันมาเป็นเวลาหลายปี ที่จริงคุณติณภพควรจะมีเวลาเตรียมใจกับช่วงไฮซีซั่นของปีมากกว่านี้ แต่ด้วยเพราะตัวเจตน์เองได้รับการติดต่อทาบทามมาบ้างเรื่องการเป็นตัวแทนที่จะให้บริการที่พักส่วนตัวกับเหล่าบรรดาศิลปินที่จะมาทำงานในประเทศไทยช่วงครึ่งปีหลัง เขาเล็งเห็นแล้วว่าโอกาสนี้จะช่วยสร้างรายได้จำนวนมากแก่โรงแรมและสร้างเครดิตให้คุณติณภพมากขึ้น ทางคุณไตรภพผู้บริหารโรงแรมสาขาใหญ่จะได้มีเรื่องภูมิใจในตัวลูกชายบ้าง


ถ้าตกลงรับคำ ทางโรงแรมจะมีศิลปินสองกลุ่มเข้ามาพักพร้อมกันเพราะต้องขึ้นแสดงที่เดียวกัน เหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ที่จะให้คำตอบ แต่พอบอกรายละเอียดคร่าวๆให้คุณติณภพฟัง คุณติณภพดูจะมีเรื่องให้คิดมากเข้าไปอีกจากเดิม และเพราะรู้ว่าเจ้านายคนปากร้ายใจดีของเขาเป็นคนที่ต้องแบกรับภาระกับความหวังในฐานะลูกชายคนโตทั้งที่ความจริงไม่ได้อยากทำ เจตน์จึงยังไม่ตอบตกลงทันทีกับทางผู้ที่ติดต่อมา รอให้อีกคนตัดสินใจแน่ชัดก่อนจะเป็นการดีที่สุด


ถึงเจ้านายจะดื้อจะร้ายในหลายครั้ง เจตน์ก็ไม่อยากเป็นคนที่ร้ายกว่าด้วยการเพิ่มภาระให้คุณติณภพแบกไปไว้บนบ่าอีกเรื่อง




[สวัสดีค่ะ]


“สวัสดีครับคุณโสม ผมติณภพเองครับ”


[ค่ะคุณติณภพ] เสียงปลายสายกระแอมเล็กน้อยแล้วรับคำ แค่ฟังยังรู้เลยว่าความมั่นใจลดลงไปกว่าตอนรับสายเมื่อได้ยินว่าใครเป็นคนโทรเข้า


“ไม่ทราบว่าวันนี้คุณชวินทร์ว่างหรือเปล่าครับ พอดีผมจะชวนไปทานมื้อเย็น แต่ไม่ได้โทรเข้าเบอร์ส่วนตัวเพราะกลัวว่าจะประชุมอยู่”


[สักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันดูให้] แล้วปลายสายก็เงียบเสียงไป ชั่วอึดใจจึงกลับมาพูดกับเขาใหม่ [วันนี้คุณชวินทร์ไม่มีงานช่วงเย็นนะคะ แต่มีนัดทานอาหารตอนเย็นที่โรงแรมแล้วค่ะ คุณชวินทร์เพิ่งบอกให้ดิฉันจองโต๊ะอาหารไว้]


“ที่โรงแรม? คุณชวินทร์น่ะเหรอครับทานอาหารเย็นที่โรงแรม”


ติณภพกดหัวคิ้วจนตึงหน้าผาก กำลังนึกว่าตัวเองเหนื่อยจนหูฝาดไปหรือเปล่า เพราะคุณชวินทร์ไม่ทานอาหารของโรงแรมตัวเองมาหลายปีแล้ว เขาเคยชวนอีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงเสนอให้ไปข้างนอกตลอด


[ใช่ค่ะ คุณติณภพไม่ต้องแปลกใจหรอกค่ะ ดิฉันเองก็แปลกใจเหมือนกัน] สาวสวยว่าพลางกลั้นหัวเราะ


“ขอถามได้ไหมครับว่านัดใครไว้”


[คุณตฤณค่ะ]


“หา” คราวนี้นอกจากขมวดคิ้วแล้วติณภพยังเบิกตาจนกว้างขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เห็นความแตกต่าง “แต่ผมเพิ่งจะโทรมาเองนะครับ ไม่ได้นัดอะไรไว้ก่อนเลย”


[ไม่ใช่ค่ะๆ คุณตฤณ...น้องตฤณยังเป็นนักศึกษาอยู่ค่ะ เป็นแขกของคุณชวินทร์]


คนชื่อตฤณที่นั่งตรงนี้คลายกล้ามเนื้อบนหน้า เหลือบตาซ้ายขวาแบบใช้ความคิดรวดเร็วปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว แล้วก็ต้องเผลอยิ้มกับกระจกหน้ารถตัวเองเหมือนคนที่ไปล่วงรู้ความลับอะไรของใครเข้า


นักศึกษาเหรอ...เดี๋ยวนี้มีเด็กเหรอครับคุณชวินทร์ที่รัก


“อ๋อ...คงเป็นแขกสำคัญ” เขารับคำโดยไม่ให้คุณโสมรอนาน “ไม่เป็นไรครับ อย่างนั้นผมเข้าไปหาพรุ่งนี้ก็ได้ เจ้านายคุณว่างไหม”


[วันศุกร์นี้นี้ช่วงเช้าคุณชวินทร์ประชุมถึงเที่ยง ช่วงบ่ายว่าง คุณติณภพเข้ามาได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันเรียนคุณชวินทร์ให้ทราบ]


“โอเค ตกลงตามนั้นเลย ขอบคุณมากครับคุณโสม”


แล้วกดวางสาย ทำหน้ายิ้มได้เดี๋ยวเดียวติณภพกลับมาถอนหายใจท่ามกลางความเงียบสงัดในรถส่วนตัว


ถ้าตอนนี้คุณวินไม่วาง แล้วตัวเขาจะไปไหนดีวะเนี่ย คิดแล้วต้องเอาศีรษะโขกกับพวงมาลัยรถเบาๆ กลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำนอกจากล้มตัวลงนอน จะหาคนไปดูหนังด้วยน้องชายสองคนก็ไม่อยู่บ้าน แม่เลี้ยงฝรั่งไปสอนหนังสือไม่มีใครปอกผลไม้หาของอร่อยให้กิน เวลานึกอยากทำอะไรโดยไม่วางแผนก่อนล่วงหน้าแล้วคิดอะไรไม่ออก น่าเบื่อ


เอาเป็นว่าถ้าคุณเบื่อๆคิดอะไรไม่ออก อยากเปิดโลกของตัวเอง มาหาผมแล้วกัน


ประโยคนี้ดังขึ้นในหัว ติณภพหยุดคิดว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน คลับคล้ายคลับคลาว่ามีใครพูดมันเมื่อเร็วๆนี้ แต่ยังนึกไม่ออกและจะไม่ยอมเสียเวลานึก


เพลียๆแบบนี้คงต้องกาแฟสักแก้วแล้วล่ะ ไปร้านเดิมก็ได้




ติณภพไม่ปฏิเสธว่าเวลาที่เหนื่อยใจแบบนี้ การเดินเข้ามาในร้านกาแฟแล้วเห็นคุณเจ้าของร้านอยู่ที่หลังเคาท์เตอร์เป็นคนแรกทำให้อุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่มีประชากรพนักงานและลูกค้ารวมกันไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนข้างใน


ก็แค่รู้ลึกโล่งใจที่วันนี้สั่งแล้วพนักงานจะไม่ทำผิดเพราะเจ้าของจะเป็นคนชงกาแฟให้ เท่านั้นเอง


“รับอะไรดีครับ”


“ผมขอ...”


“คาปูชิโนเย็นไม่ใส่ฟองนมหนึ่งที่ เจ็ดสิบบาท รอคิวสักครู่ครับ” คนที่มารับออเดอร์ด้วยตัวเองส่งยิ้มสดใสมาให้แล้วกดคิดเงินเสร็จสรรพ เล่นเอาคนตรงนี้เบลอไปสักพัก ถึงได้นึกออกว่าต้องจ่ายค่ากาแฟ ตบๆที่กระเป๋าเสื้อสูทหยิบธนบัตรสีเทาออกมายื่นส่ง รับเงินทอนแล้วเดินสะโหลสะเหลไปนั่งโต๊ะแบบสองเก้าอี้นั่งที่ริมกระจกของร้าน


เหมือนว่านั่งเหม่อนานไปหน่อย รู้ตัวอีกทีก็มีพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นมานั่งฝั่งตรงข้ามยื่นแก้วเครื่องดื่มส่งให้เขาแล้ว ติณภพชะงัก แต่ไม่ได้พูดอะไร


“คิวผมแล้วเหรอ ทำไมถึงได้เร็ว หรือว่าเรียกแต่ผมไม่ได้ยิน”


“เปล่าหรอก ผมรีบทำให้ก่อน เห็นว่าคุณดูเหนื่อยๆ” ติณภพมองคิ้วคมเข้มคู่นั้นที่เลิกขึ้นจนโค้งรับกับดวงตาสดใส เจ้าของมันยื่นแก้วกาแฟมาให้เขา “นี่ครับ คาปูชิโนของคุณ”


“ขอบคุณครับ แต่ทีหลังไม่ต้องลัดคิวนะ เกรงใจคนอื่น”


รสกาแฟยังคงกลมกล่อมไม่มีเปลี่ยน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่ติณภพบอกไม่ได้ว่าคืออะไร อาจเป็นไออุ่นจากคนตัวใหญ่เข้ามาแทนที่เครื่องปรับอากาศฉ่ำเย็นของร้านที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หรืออาจเป็นเพราะคนทำให้คือเจ้าของที่มีความใส่ใจในการทำมากกว่าพนักงานที่จ้างมาก็เป็นได้


“ผมเป็นเจ้าของ จะทำอะไรก็ได้น่า” คนพูดยักคิ้วจนเกิดประกายเล็กๆที่ติณภพสังเกตเห็น แล้วก็พบว่าประกายนั่นมาจากจิวเงินลูกจิ๋วที่ขยับตามกล้ามเนื้อใบหน้า...คุณเจ้าของร้านไปเจาะคิ้วมานี่หว่า ตอนแรกที่พบกันยังไม่เห็นมี


“ไม่คิดว่าประโยคนี้จะออกมาจากคนเรียบร้อยอย่างคุณแฮะ”


“อย่างนั้นแปลว่าควรจะออกจากปากคนอย่างคุณเหรอครับ”


วาจานั้นยอกย้อนให้ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา “ทำไมครับ คนอย่างผมมันเป็นยังไง” ถึงที่เขาพูดมามันจะถูกก็เถอะ มากกว่านี้ติณภพก็เคยพูดมาแล้ว แต่แค่เฉพาะกับคนสนิทเท่านั้น แบบนี้ถือว่าธรรมดามาก


“คนอย่างคุณน่ะเหรอ อืม...” คุณเจ้าของร้านเริ่มไล่สายตาจากที่สบตากัน ละลงมาเรื่อยๆจนคนถูกมองรู้สึกร้อนหนาวต้องมองตาม ตอนออกจากห้องประชุมปุ๊บติณภพกระชากกระดุมสองเม็ดบนออกปั๊บ จนถึงตอนนี้สาบเสื้อยังคงเปิดอ้าเห็นเนื้อแผงอกขาวๆอยู่เลย และถึงที่ผ่านมามันเป็นเรื่องปกติที่จะเปิดเสื้ออวดแก่สายตาบุคคลทั้งหลายก็ไม่มีใครตั้งใจมองอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้

 
“รูปลักษณ์ภายนอกคุณเหมือนคนที่มีบุคลิกแบบว่า มีรสนิยมดี หน้าตาคุณทำให้ดูหยิ่งนิดๆเหมือนคนเจ้าระเบียบ คนทำงานเก่ง แต่ข้างในเป็นคนสบายๆ รักอิสระ เจ้าสำราญ เป็นคนสไตล์ทองหล่อนิยม ถ้าคุณทำงานแถวนี้นะครับ”


ทองหล่อนิยม? คำศัพท์ประเภทไหนของมันอีกล่ะ


“ครับ ผมทำงานแถวนี้ แต่ไม่เข้าใจคำว่าทองหล่อนิยมของคุณอ่ะ”


“ก็หมายถึงถ้าใช้เวทมนตร์เสกให้พื้นที่ทองหล่อเป็นคน มันจะออกมาเป็นคุณไงครับคุณ...เจอกันหลายครั้งแล้วแต่ผมไม่รู้ชื่อคุณเลยนะเนี่ย”


“เราไม่สนิทกันนี่ครับ” คุณเจ้าของร้านยู่หน้าเหมือนถูกฮุคเข้าที่ท้องเมื่อเขาไม่หลงกลบอกชื่อ เป็นอาการจุกจากการโดนหมัดคำพูดเจ็บๆที่ติณภพส่งไป เข้าใจอาการได้อยู่ล่ะ


ถ้าผมเป็นทองหล่อนิยม คุณเจ้าของร้านก็เหมาะกับการเป็นฮาราจุกุนิยมนะครับ


“ขอเรียกคุณว่าคุณทองหล่อแล้วกัน เท่ดี ส่วนจะเรียกผมว่าอะไรแล้วแต่คุณเลย เรียกคนหล่อก็ได้ ผมไม่ถือ”


“ครับ คุณ-เจ้า-ของ-ร้าน” ตอกกลับเน้นๆชัดถ้อยชัดคำ อารมณ์ดีขึ้นพิกลจนต้องกดมุมปากแอบยิ้มตอนหยิบแก้วกาแฟมาดื่ม แต่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันคงเห็นมันอยู่ดี “กลับไปทำงานเถอะครับ มาอยู่ตรงนี้นานผมรบกวนเวลาคุณเยอะแล้ว”


“ให้เด็กทำไปเถอะ ผมชอบอยู่เฉยๆ สบายดี”


นี่คือคำพูดของคนที่ลัดคิวมาทำคาปูชิโนให้ผมเนี่ยนะ กวนประสาทว่ะ แต่ฉะกันคำต่อคำด้วยความรู้ทันดี ถูกใจฉิบหาย


“คุณไม่เข้าร้านหลายวัน ที่มาวันนี้แสดงว่าอยากมาเปิดโลกกับผมแล้วล่ะสิ”


 “ที่หายไปคือผมมีงานต้องทำครับ ใครมันจะมานั่งได้ทุกวัน วันนี้ที่มานี่ไม่คิดว่าผมแค่อยากมานั่งดื่มกาแฟเฉยๆบ้างเหรอ”


คำสำคัญออกมาจากปากอีกคนให้ได้ยิน ติณภพถึงจำได้ว่าคนๆนี้เองที่พูดประโยคนั้นกับเขา ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะเล่าเรื่องทำงานให้ฟังทำไมในเมื่อไม่สนิทกัน เพิ่งพูดไปเมื่อกี้


“อีกห้านาทีผมจะไปแล้ว ไปด้วยกันไหมครับ” นอกจากไม่ได้ฟังที่เขาพูดแล้วยังถามกลับอีกต่างหาก ทำไมการที่เขาพูดกวนกลับบ้างจึงทำอะไรผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลยวะ


“คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าจะไปที่ไหน”


“ผมไม่พาคุณไปฆ่าหรอกครับคุณทองหล่อ พอดีต้องการให้คุณช่วยอะไรนิดหน่อย ไปด้วยกันนะ”


สบตากันนิ่งสักห้าวินาที ติณภพใช้แค่ห้าวินาทีช่วงที่ดวงตาคู่นั้นมองเข้ามาในการประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว จากความเคยชินที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตอนอยู่โรงแรม ในเมื่อตอนนี้ไม่กลับเข้าไปทำงานแล้ว จะกลับบ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งวันคงเมื่อยมากจนเผลอๆอาจนั่งหลับกลางร้าน  คุณชวินทร์ก็ไม่ว่างให้ไปหาในสามสี่วันนี้อีก ไอ้เรื่องฆ่าแกงกันเขาไม่กลัวหรอก กลัวจะมีอย่างอื่นแอบแฝงมากกว่า


แต่เอาวะ ลองดูคงไม่เสียหาย
__________

พี่จ๋าอย่าปารองเท้าใส่หัวหนูนะที่ยังไม่พาคุณตฤณไป ให้เขาทำงานก่อนน
ยังไม่รู้ชื่อคุณเจ้าของร้านอยู่ดี ลึกลับซับซ้อนเหรอ เปล่า มันมีเหตุผลนะค้าบ :m23:
ส่งฟีดแบคได้ที่ #ทองหล่อที่รัก นะคะถ้าชอบ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2019 12:08:37 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด