◑
คุ ณ ไ ม่ ต ร ง ป ก
ตอนที่ 21 : เด็กดี
_________
ทุกเช้าบนโต๊ะทำงานจะมีช่อดอกไม้วางไว้ช่อหนึ่ง พร้อมกับถ้อยคำหวานที่แนบมากับการ์ดใบเล็ก
ลงชื่อบ่งบอกว่าเป็นเจ้าของเดิมที่ส่งมา
‘คีรติ’ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ข่าวคราวของเขาตลอดแม้เราจะไม่ได้เจอหน้า อาจเพราะเขามัวแต่ยุ่งกับงาน หมกตัวอยู่แต่ในห้องและสะสางมันจนแทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น
คีรติกำลังเริ่มต้นใหม่แบบที่พูดเอาไว้ก่อนหน้า สำหรับภัทรแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่เราทั้งคู่เคยผ่านมาด้วยกัน ทั้งเรื่องดี เรื่องแย่ เรื่องที่เขาอยากย้อนกลับไปแก้ไข
แต่สุดท้ายแล้วภัทรไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้
ไม่มีใครทำได้
อีกฝ่ายก็เช่นกัน
ภัทรแค่ต้องปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ของมัน พิสูจน์ความจริงใจของเราทั้งคู่ว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องโกหก เขาอยากจะกลับไปเป็นคนเดิม คนที่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ มาบังคับ
ถึงแม้จะไม่ได้ดีพร้อม แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนอื่น
คนที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร
ถ้าคีรติรับได้ ความสัมพันธ์นี้คงสานต่อไปจนถึงวันที่เขาคาดฝันเอาไว้
แต่ถ้าไม่
ภัทรก็จะทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิด
แบบนั้น
คงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
RRRR!!เสียงโทรศัพท์ประจำตำแหน่งดังลั่น เขาเอื้อมมือไปรับ ก่อนที่เลขาหน้าห้องจะเอ่ยบอกถึงสาเหตุที่ขัดจังหวะ
(มีสายตรงหาคุณภัทรค่ะ สะดวกรับไหมคะ?)
“จากใครครับ?”
(เขาบอกว่าเจ้าของดอกกุหลาบค่ะ)
ร่างโปร่งชะงักนิ่ง เป็นคำตอบที่เขารู้ได้ทันทีเพราะมีแค่เพียงคนเดียวที่ทำแบบนั้น
“ครับ โอนสายมาเลย”
เสียงสัญญาณลากยาวเป็นจังหวะ ต่อจากนั้นทุกอย่างก็เงียบสนิท
(สวัสดีครับ)
ก่อนปลายสายจะกล่าวทักทายด้วยเสียงที่คุ้นเคย
“ครับ”
ภัทรเอนกายไปกับเบาะ นิ้วมือรัวเป็นจังหวะบนโต๊ะเมื่อพบว่าใจตัวเองเต้นแรงมากกว่าปกติ
(ครับ)
เสียงที่ส่งมาฟังดูอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาด เขาอมยิ้มพร้อมกับสบถเบาๆต่อจากนั้น ไม่ยอมตอบรับอะไรกลับเพราะอยากรู้ว่าอีกคนจะมาไม้ไหน
(ผมโทรมารบกวนคุณไหม?) เจ้าตัวมีคำถาม ภัทรเลยตอบอย่างอ้อยอิ่ง
“...ถ้ารบกวน...ภัทรคงไม่รับหรอกมั้งครับ”
(นั่นสินะ) อีกฝ่ายหัวเราะก่อนจะเงียบไปอีก
“คุณยังไม่ยอมบอกเลยนะครับว่าเป็นใคร”
(บอกไปแล้วนี่)
“ครับ?”
(ว่าคนที่เป็นเจ้าของดอกกุหลาบ)
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีว่ามีคนส่งมาให้หลายคน ภัทรไม่ทราบว่าเป็นคนไหนจริงๆ”
การลองเชิงดำเนินต่อไปโดยที่ฝ่ายลองใจถึงกับต้องยกยิ้ม อันที่จริงดอกกุหลาบก็มีแค่ช่อเดียวนั่นแหละ แต่เขาก็อยากปั่นหัวกลัวว่าอีกคนจะได้ใจ
เจ้าตัวคล้ายกับกำลังครุ่นคิด ก่อนจะตอบกลับมาจนทำให้ภัทรยกยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม
(ถ้าภัทรจำได้ จะมีคนนึงที่บอกว่าเขาชอบผีเสื้อ)
“...”
(และเขาคิดว่าผีเสื้อควรคู่กับดอกไม้)
“...”
(ภัทรจำไม่ได้จริงๆหรอ?)
“แย่เลยแฮะ ภัทรขี้ลืมด้วยสิ”
เกมนี้ดำเนินต่อไปโดยที่เราต่างงัดท่าไม้ตายเข้าสู้ เขาฮุกหมัดซ้าย อีกฝ่ายก็ฮุกหมัดขวา ไม่มีคนที่จะยอมแพ้เสียก่อนเมื่อเราทั้งสองต่างก็สนุกที่ได้ผลัดกันรุกผลัดกันรับแบบนี้
(แย่จริงๆด้วย)
“...”
(เพราะต่อให้บอกว่าเป็นคนที่อาบน้ำกับภัทรเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ภัทรก็คงจะลืมไปแล้วจริงๆ)
ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดูเหมือนครั้งนี้ปลายสายจะยั่วยวนโดยเน้นแต่ละคำอย่างจงใจ
(ลืมแม้กระทั่งว่าเราอยู่ในนั้นนานแค่ไหน...)
และยั่วยวนโดยการใช้น้ำเสียงแหบพร่า
(...และนานแบบไหน)
“คุณคี”
(ครับ) เสียงหัวเราะดังแทรกเมื่อภัทรเผลอเอ่ยชื่ออีกคนออกไป (จำกันได้แล้วหรอ?)
เขาสามารถคาดเดาได้ว่าสีหน้าเจ้าตัวจะเป็นอย่างไร คีรติคงจะชอบใจไม่น้อยที่เห็นเขาเสียท่า ยิ่งเป็นการเสียท่าเมื่องัดไม้ตายทุกอย่างมาสู้ด้วยแล้ว เชื่อเถอะว่าคนตัวสูงต้องมีอาการชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก
“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับถึงได้โทรมาหาภัทร?”
คนแพ้บ่ายเบี่ยงประเด็น ไม่อยากรื้อฟื้นถึงคราวที่ตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
(ไม่มีธุระโทรมาไม่ได้หรอครับ?) คีรติลองเชิงอีกครั้ง
และมีหรือที่คนอย่างเขาคิดจะวางมือ
“ได้ครับ แต่ภัทรไม่อยากคุย นี่มันเวลาง—”
(แค่คิดถึงภัทร โทรมาไม่ได้เลยจริงๆหรอ?)
คีรติเอ่ยขัดแม้จะยังไม่จบประโยค และคำว่า
คิดถึงที่มันมาพร้อมกับน้ำเสียงดูจะมีความหมายมากกว่าที่เขียนลงในการ์ดซะอีก
ทำไมนะ
ทำไมเขาถึงได้ไม่ชินกับมันสักที
“อย่ามาปากหวานแถวนี้นะครับ”
(ปากหวานกับแค่ภัทรหรอก)
“เจ้าเล่ห์”
(ก็เจ้าเล่ห์กับภัทรแค่คนเดียวเหมือนกัน)
“คุณคี” เมื่อต่อล้อต่อเถียงไม่ได้ ชื่ออีกฝ่ายจึงถูกพูดขึ้นเพื่อขัดจังหวะ แต่ดูเหมือนครั้งนี้มันจะไม่ได้ผล เมื่อคีรติเอื้อนเอ่ยต่อจากนั้นถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการโทรหา
(เย็นนี้ผมไปรับนะครับ หวังว่าภัทรจะไม่ปฏิเสธ)
“เดี๋ยวสิครับ ภัทรยังไม่ได้ตกลงเลย”
(ถึงว่างก็จะไม่ยอมตกลงหรอครับ?)
เป็นดังที่ภัทรคิด คีรติรู้ความเคลื่อนไหวของเขาทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งว่าตารางงานวันนี้ไม่ได้แน่นแบบวันอื่นที่เคยเป็นถึงได้เลือกที่จะเอ่ยชักชวนออกมา และคีรติก็มั่นใจเสียด้วยว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ
จากแผนการและถ้อยคำที่เตรียมเอาไว้ทั้งหมด
“คุณคีร้ายกว่าที่ภัทรคิดไว้อีกนะครับ”
(ภัทรก็ร้ายกว่าที่ผมคิดไว้เหมือนกัน)
คราวนี้ภัทรเป็นฝ่ายหัวเราะ เขาหมุนเก้าอี้กลับมาดังเดิม มือควงปากกาเอาไว้แล้วตะโกนเรียกเลขาที่อยู่หน้าห้องโดยตั้งใจให้อีกฝ่ายนั้นได้ยินการสนทนาทั้งหมด
“งั้นก็ขอโทษด้วยนะครับ”
(...)
เจ้านายหันไปพูดกับหญิงสาวที่เปิดประตูเข้ามา เป็นคำสั่งที่บ่งบอกว่าเย็นวันนี้เขาจะไม่ว่างㅡ ต่างจากที่คีรติคาดเดาเอาไว้
“พี่สาครับ ช่วยนัดฝ่ายออกแบบเข้าพบภัทรตอนบ่ายสามที่ห้องประชุมใหญ่ด้วยครับ”
“ได้ค่ะ”
ก่อนภัทรจะหันไปพูดกับปลายสายด้วยความหมายที่ตั้งใจจะบอกออกไป
“...เย็นนี้ภัทรอาจจะไม่ว่างซะแล้วสิ”
ว่า
‘ภัทรร้ายได้มากกว่าที่คุณคิดเอาไว้อีก’#คุณไม่ตรงปก
ภัทรมั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แค่เลื่อนวันนัดพบจากเดิมที่จะช้าลงให้มันเร็วขึ้นเพียงเท่านั้น ทั้งหมดเป็นแค่การวางแผนงานและรายละเอียดทั่วไปถึงสิ่งที่เราจะดำเนินการต่อจากนี้ ก่อนที่จะประชุมใหญ่อีกทีในอาทิตย์หน้า
ภัทรคิดว่าตัวเองไม่ผิดหรอก
ไม่ผิดที่เรียกประชุมกะทันหัน
ไม่ผิดที่ไม่ได้ตอบรับนัดใครสักคน
รวมถึงไม่ผิดที่คนๆ นั้นยังยืนกรานที่จะรอให้เขาเสร็จสิ้นธุระที่มันกะทันหันแบบนี้
ถึงภัทรจะคิดว่าตัวเองไม่ผิด
แต่ทำไมเขาถึงได้กระวนกระวายใจเมื่อรู้ว่ามีใครบางคนมานั่งรอตัวเองเป็นเวลาหลายชั่วโมงตั้งแต่ที่เริ่มประชุม
ข่าวคราวจากสาวิตรีทำให้คนตัวเล็กเริ่มอยู่ไม่สุข เลขาส่วนตัวบ่งบอกว่าคีรติกำลังรออยู่ที่ห้องรับแขก เขาไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมาตอนไหน เมื่อรู้อีกทีงานของเขาก็เริ่มเร่งด่วนขึ้นเสียจนไม่สามารถละจากได้เสียแล้ว
คนที่รอส่งข้อความสั้นๆผ่านหญิงสาว เนื้อความบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่ยอมแพ้ง่ายๆต่อการทดสอบในครั้งนี้ แต่ละวินาทีในห้องประชุมช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเมื่อภัทรไม่สามารถโฟกัสกับงานตรงหน้าได้อีก เขารู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดเมื่อทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง
แต่ทำยังไงได้
ในเมื่อเรื่องหัวใจก็สำคัญไม่แพ้เรื่องงานเลยสักนิดนี่นา
จนกว่าที่เนื้อหาที่เราร่วมคิดจะสิ้นสุดลง ภัทรก็รีบลุกขึ้นแล้วก้าวเดินออกมาอย่างเร็วไว ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ทันใจไปเสียหมดเมื่อคนใจร้อนต้องการจะไปถึงที่หมายที่มีใครคอยอยู่
แอ๊ด!
เสียงเปิดประตูทำให้ร่างสูงที่นั่งบนโซฟาหันมามอง ดวงตาเรียวรีพินิจพิจารณาเล็กน้อย เขามองเห็นความเหนื่อยอ่อนที่ปกติอีกคนไม่เคยมี
“ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมารอภัทร”
“ก็ผมพูดแล้วนี่ว่าจะมารับ”
“...”
“โกรธกันหรอไง?”
คีรติเดินเข้ามาใกล้ สองมือล้วงไว้ยังกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง สถานการณ์ของเราดูเหมือนจะไม่ลงเอยกันเสียที
“ไม่เอาน่า...” มือใหญ่จับแขนเขาเบาๆแล้วบังคับให้หันมา เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะก้มลงอยู่ในระดับเดียวกัน “ผมตั้งใจมารอเลยนะ”
ริมฝีปากบางเม้มแน่น เหลือบมองนาฬิกาพบว่าตอนนี้น่าจะเข้าชั่วโมงที่สี่ที่คีรติเฝ้ารอตัวเองอยู่
ตั้งสี่ชั่วโมง
ไม่ใช่น้อยๆเลยด้วย
“ภัทร”
“ครับ”
“รีบไปกันเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันเอา”
เพราะไม่อยากเป็นคนใจร้ายภัทรเลยยอมตามไปแต่โดยดี เราลงลิฟต์มายังลานจอดรถขนาดใหญ่ สังเกตได้ว่าตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดมิดเมื่อพระอาทิตย์ตก มีแสงจากตึกสูงเข้าแทนที่ นั่นทำให้เขาถอนหายใจออกมาอีกรอบ
การจราจรยามสองทุ่มไม่ได้สะดวกแบบที่คีรติคิดเอาไว้ บนถนนยังมีรถรามากมายแน่นขนัด เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง ก่อนที่จะพบว่าเหลือเวลาอีกไม่มากที่เราต้องถึงจุดหมายให้ทันท่วงที ดูเหมือนจะเป็นเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้รถระบายตัวไม่ดีนัก เมื่อผ่านละแวกนั้นมาได้เขาก็รีบขับออกมาโดยมีความเร็วสูงสุดที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้บนท้องถนน
ห้างชื่อดังกลางเมืองคือปลายทางของเราทั้งสอง ภัทรดูจะแปลกใจเล็กน้อยที่เขาพามายังที่นี่ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ถามอะไรจนกว่าที่จะเข้ามานั่งยังร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เขาตัดสินใจให้อีกฝ่ายเป็นคนเลือก
“รู้ใช่ไหมว่าตามแผนแล้วมันไม่ใช่แบบนี้” เขาเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาเสียก่อน ร่างโปร่งเงยมองแม้ในมือจะยังพลิกหน้าเมนูไปมา
“แต่แบบนี้ก็ไม่ได้แย่นี่ครับ”
“ถ้าภัทรชอบผมก็โอเค”
ที่จริงแล้วเขาตั้งใจจะพาอีกฝ่ายไปยังร้านอาหารประจำที่เคยทาน แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นใจ เพราะงานของภัทรทำให้ล่วงเลยเวลาการจองเอาไว้เสียนาน เขาเลยต้องยกเลิกแล้วพามาทานอาหารที่ห้างเสียแทน
“กะว่าจะมาเดินเล่นกับภัทรซักหน่อย”
ดวงตากลมโตฉายแววแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เสียดายที่ไม่ค่อยมีเวลา”
“เดินเล่น?”
“ครับ”
เจ้าตัวหัวเราะ ใช้มือจับหลอดยามดูดน้ำในแก้วที่ถูกพนักงานวางไว้ก่อน แล้วตอบกลับพร้อมกับจ้องตาอยู่ตลอด
“แบบนี้ภัทรจะหลอกใช้เงินคุณเลยคอยดู”
“ตามใจภัทรสิ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
“รวยจริงเลยนะ”
“แค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก”
ดูเหมือนรอยยิ้มที่มีจะกว้างกว่าเดิมเมื่อภัทรรู้สึกถูกใจ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้จากคนตรงหน้า เป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าเจ้าของมันกำลังมีความสุขจากการพูดคุยที่เกิด
ไม่ใช่ความสุขที่พยายามสร้างขึ้นและหลอกตัวเองแบบที่เป็นมา
ดวงตากลมโตหยีลงเป็นเส้นโค้ง ก่อนที่พนักงานจะเข้ามาขัดจังหวะและรับออเดอร์ง่ายๆ เขาบอกอีกฝ่ายว่าเรามีโปรแกรมที่จะทำกันต่อ การรับประทานอาหารจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับความสงสัยที่ส่งมาเพื่อถามว่าเขาจะพาไปที่ไหน
“หืม?”
ภัทรหันมามองเมื่อคำตอบคือโรงหนัง อาจเพราะเป็นรอบสุดท้ายที่มีการฉายเลยทำให้มีผู้คนแค่ประปรายบริเวณนี้ อีกฝ่ายมองมาอย่างมีคำถาม ก่อนที่เขาจะอมยิ้มแล้วรั้งข้อมือให้คนอายุน้อยกว่าเดิมตามหลัง
“จะดูหนังจริงๆหรอครับ?”
“ทำไมล่ะ?”
เสียงเจ้าพนักงานเอ่ยขัดเขาจึงต้องหันไปจัดการการจองต่อ เราพูดคุยกันอยู่ไม่นาน บัตรสองใบก็ถูกส่งให้ต่อจากนั้น
“ภัทรไม่คิดว่าเราจะมาดูหนังเฉยๆ”
คนตัวสูงยักไหล่ เดินเข้าไปซื้อขนมขบเคี้ยวเพื่อเอาใจคนด้านข้าง คีรติสอบถามอยู่หลายครั้งเพราะไม่ชำนาญนักในการทำอะไรแบบนี้ ปกติเขาแทบไม่ได้ดูหนังเลยด้วยซ้ำ ต้องพูดว่าไม่ใช่กิจกรรมที่มักจะทำเลยดีกว่า ครั้งล่าสุดที่เคยมาก็นานจนจำไม่ได้ แต่ทั้งหมดที่ทำลงไปก็เพราะใครบางคนที่อยู่ด้วยกัน
ใครคนนั้น
ที่เขาอยากจะลองใช้เวลาร่วมกันไปเรื่อยๆ
เราเดินเข้ามาด้านในเมื่อใกล้จะถึงเวลาฉาย ที่นั่งที่ให้เลขาเขาจองเอาไว้คือที่นั่งด้านบนสุด เป็นที่นั่งโซฟาขนาดกว้างพอเหมาะให้คนสองคนนั่งได้อย่างสบายและมีความเป็นส่วนตัวแยกออกจากที่นั่งบริเวณอื่น
ภัทรหันมองเขาอีกครั้ง ในความมืดเห็นว่าดวงตาคู่นั้นมีประกายวาววับคล้ายกับดวงดาวมากมายที่แข่งกันฉายแสง
“มีอะไรรึเปล่า?”
เขาถามกลับ กลัวว่าอีกคนจะมีปัญหากับการดูหนังของเราในครั้งนี้
“...”
“...”
“ขอบคุณนะครับ”
รอยยิ้มหวานถูกส่งให้อีกครั้ง คราวนี้คนได้รับชะงักนิ่งเพราะมันส่งผลต่อหัวใจอย่างหนักแบบที่ไม่บ่อยนักจะเป็นแบบนี้ คีรติจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของภัทรเอาไว้ตลอด มองเห็นว่าอีกคนก็ดูจะชอบไม่น้อยที่สุดท้ายโปรแกรมของเขาจบลงด้วยการดูหนังแบบที่ไม่ได้คิดเอาไว้
เรารับชมภาพยนตร์สักเรื่องด้วยกัน
พร้อมกับเสียงหัวเราะที่คลอเคล้าไปกับเนื้อหา
เวลาล่วงผ่านไปจนระหว่างทาง ศีรษะของร่างบางก็เอนซบเข้าที่ไหล่ ภัทรขยับมันไปมาสองสามรอบก่อนจะหันมามองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม
เป็นสายตาออดอ้อน
แบบที่เขาก็ไม่เคยได้รับมันมาก่อนจากอีกฝ่าย
มือเล็กเอื้อมมาจับมือเขาไว้ ค่อยๆประสานมันให้แน่นกว่าครั้งไหนที่เคยได้สัมผัส อุณหภูมิอุ่นร้อนที่ส่งผ่านทำให้ใจสองดวงเต้นประสานเป็นจังหวะเดียวกัน ก่อนที่ภัทรจะกดจูบลงบนต้นแขน
เป็นคำขอบคุณที่แสนหวานยิ่งกว่าหนังรักที่ปรากฏบนหน้าจอ
#คุณไม่ตรงปก
เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าที่รถยนต์จอดลงหน้าคอนโดสูง เขาจำได้ว่าไม่ใช่ที่เดิมที่เคยมาส่งอยู่เป็นประจำ ที่นี่ดูหรูหรากว่ามากและเท่าที่คิดไว้ก็น่าจะเป็นที่อยู่ที่อีกฝ่ายพักอาศัยก่อนจะมาเจอเขา
คีรติไม่ถามอะไรแต่ก็เก็บความสงสัยของตัวเองเอาไว้ ไม่อยากเซ้าซี้ถ้าภัทรไม่ได้ต้องการจะบอก ภัทรเป็นแบบนี้เสมอ ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มเปิดใจจะยอมเป็นฝ่ายอ่อนข้อให้เสียเอง
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” คนที่นั่งด้านข้างเอื้อนเอ่ย ก่อนที่จะปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยจนมันดัง
แกรก “แล้วก็ขับรถกลับดีๆด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวสิ” เขารั้งไว้ด้วยคำพูด มือข้างหนึ่งพาดไว้ยังพวงมาลัยสีดำขลับ
“...” อีกคนเฝ้ารอ แต่นานเข้าก็ยังไม่มีการตอบรับดังที่เรียก
“หวังว่าภัทรจะชอบเดทครั้งที่สองของเรานะ” คีรติเว้นช่วง “เอาไว้พรุ่งนี้ผมโทรไป”
“ใครอนุญาตให้คุณโทรมากัน”
เสียงหัวเราะดังคลอเคล้า มือใหญ่เลื่อนไปลูบแก้มใสแผ่วเบาตามอำเภอใจ ภัทรไม่ได้ปัดออก ยอมนั่งนิ่งให้อีกคนใช้นิ้วโป้งไล้ไปมาอยู่แบบนั้น
“ใจอ่อนหน่อยได้ไหม”
คราวนี้คนตัวสูงใช้น้ำเสียงหวาน ก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วจดจ้องเพื่อออดอ้อนเอาใจ เป็นอีกครั้งที่คีรติเล่นกับหัวใจเขามากไปจนมันแทบจะละลายจนกองจรดพื้น และอีกฝ่ายคงไม่รู้หรอกว่าภัทรแทบจะยอมทุกอย่างแล้วตอนนี้
ยอมเพราะเห็นคนรอ
เห็นคนง้อ
และเห็นคนช่างเอาใจ
ยอมที่จะขยับเข้าไปใกล้ แล้วจรดริมฝีปากบางเอาไว้ข้างแก้ม
“ใจอ่อนแน่นอนครับ”“...”
“ถ้าคุณคีเป็นเด็กดีของภัทรแบบนี้ไปเรื่อยๆ” #คุณไม่ตรงปก
200919
before30october