บทที่ 16
ผมตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เสียงทางนั้นขาดหายไปแล้ว ผมเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรออยู่สักครู่ ก็ไม่มีโทรศัพท์เรียกเข้ามาอีก ชั่งใจอยู่นาน ก่อนตัดสินใจโทรเข้าไปที่มือถือของเดียร์
แต่เสียงตอบรับอัตโนมัติตอบกลับมาว่าไม่สามารถติดต่อได้ ณ ขณะนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอยู่ในทีไม่มีสัญญาณ แบตหมด หรือว่าเกิดเหตุขัดข้องอะไร ถึงทำให้ติดต่อไม่ได้ ผมรู้สึกหงุดหงิดมาก เพราะข่าวสารที่ได้ฟังจากน้อย มันสร้างความงุนงงให้ผมไม่ใช่เล่น
เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเจ้าเด็กนั่นเหรอ อุบัติเหตุแบบไหนกัน ที่ไหน เมื่อไหร่ เกิดได้ยังไง ตอนนี้เขาเป็นไงบ้าง บาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน เป็นอะไรมากไหม กระดูกแตกหัก หรือแค่ถลอกปอกเปิก
ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล หรืออยู่ที่ไหน อยู่จังหวัดอะไร ใกล้ไกลจากกรุงเทพหรือเปล่า มีใครอยู่กับเขาด้วยไหม.......
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในความคิด แต่ไม่มีคำตอบให้กับผม เพราะโทรศัพท์นั่นสายดันตัดไปเสียก่อน ทำให้ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเด็กบ้านั่น
หวังว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องที่อำกันเล่นเพื่อให้ผมหายโกรธเดียร์หรอกนะ ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ ผมจะไม่พูดกับเขาอีกเลย เล่นกับความรู้สึกของคนแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน แต่จากน้ำเสียงตื่นตระหนกของน้อยที่ได้ยิน มันชวนให้คิดว่าเป็นเรื่องจริง
ความกังวลใจกับสิ่งที่ได้ยินเพียงครึ่งๆกลางๆทำให้ผมนอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ นึกโทษตัวเอง ที่พูดไม่ดีออกไป โดยไม่ฟังให้ชัดเจนเสียก่อนว่าเด็กนั่นโทรมาเพื่ออะไร
ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆทำไมถึงโกรธขึ้นมาแบบนั้น จะว่าเป็นเพราะอารมณ์ยังค้างอยู่กับความโกรธที่ได้รู้ว่าเขาวางแผนกับเพื่อนจับตัวผมหรือก็เปล่า นึกขุ่นใจนิดหน่อย แต่ก็เลิกโกรธไปนานแล้ว
งั้นผมโกรธเรื่องอะไรล่ะ โกรธที่เขาหายไป หรือโกรธที่เขาอยู่ในความคิดคำนึงของผมตลอดเวลา
เป็นเรื่องหลังนี่แน่นอน ผมพยายามจะสลัดเขาออกไปจากชีวิต แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งคิดถึงเขามากขึ้นทุกที เขาทำให้ผมนอนไม่หลับ เขาทำให้ผมเคยชินกับชีวิตที่มีเขามาคอยดูแล เขาทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อตอนเย็น มีช่วงหนึ่งที่ผมคิดไปถึงเรื่องของเดียร์ ตอนที่พวกเราพากันโกหกคุณทรงพล ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นคนพูด แต่การนิ่งเฉยคือการยอมรับ ทำให้คนเข้าใจผิดได้ สิ่งที่ผมทำลงไป เพื่อช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์ที่ตนเองไม่ปรารถนา มันทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ผมเองก็ไม่ต่างอะไรจากเดียร์เลย คือทำผิดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ผมต้องต่อสู้กับความคิดของตัวเอง ระหว่างคุณธรรมและความชอบใจ ผมโกหก ผมก็ผิดอยู่แล้ว แต่ที่ปล่อยให้เกิดขึ้น เพราะมันเป็นความพึงพอใจที่จะไม่ต้องเห็นตัวเองถูกแทะโลม พอผมคิดแบบนี้ ผมก็เลยรู้สึกโกรธขึ้นมาที่เผลอด่วนไปด่าว่าเขา ลงโทษเขา ในสิ่งที่เด็กนั่นทำ ในขณะที่ตัวเองก็ทำผิดเสียเอง
ผมเองยังไม่มีความยับยั้งชั่งใจเลย แล้วผมจะไปตัดสินว่าใครผิดใครถูกอย่างไรได้ เขาทำให้ผมรู้สึกแย่ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมโกรธตัวเองแล้วก็โกรธที่เดียร์ทำให้ผมรู้สึกแย่ ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้กับผม ผมก็คงไม่โกรธเขา แล้วเวลาที่ผมทำผิด ผมก็ดันไปนึกถึงที่ว่าเขาไว้
นี่กระมังคือเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจ จนกระทั่งเผลอต่อว่าเขาไปเมื่อกี้ เหมือนผมกำลังหาแพะรับบาปให้กับความผิดของตัวเอง พอสายของเขาก็เข้ามา ผมก็ขาดความยั้งใจ ต่อว่าเขาออกไปจนได้
แต่กาลกลับกลายเป็นว่า ความโมโหของผมกลับทำให้ผมหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
ตั้งใจจะว่าเขาเจ็บๆแสบๆ แต่ ผมกลับได้รับข่าวร้ายเรื่องอุบัติเหตุของเด็กนั่น ผมไม่รู้เลย ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไร ติดต่อไม่ได้ กดโทรศัพท์จนมือแทบหงิก ก็ไม่มีการตอบกลับมา ความห่วงในตัวของเดียร์ทำให้ผมนอนไม่หลับจนรุ่งเช้า
ผมไปทำงานในสภาพที่เรียกได้ว่าไม่พร้อมจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น วันนี้มีประชุมตั้งแต่สิบโมงเกี่ยวกับเรื่องสินค้าตัวใหม่ที่ยังถกเถียงกันไม่จบด้วยรูปแบบของผลประโยชน์ จำนวนเงินที่ลูกค้าต้องจ่ายและเงื่อนไขการรับประกัน
ผมนั่งฟังแต่ละคนถกเถียงกันไปมา ด้วยความรู้สึกปวดหัวมาก พอถึงตาผมพรีเซ็นต์ ผมก็ทำได้ไม่ค่อยดีนัก จนเจ้าสันต์ออกปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม
ตอนบ่ายหลังจากเริ่มต้นทำงานได้สองชั่วโมง ผมก็มีประชุมเกี่ยวกับเรื่องงานปีใหม่ของบริษัท ซึ่งจะจัดขึ้นในปลายเดือนธันวาคม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ รวมถึงเป็นรางวัลให้กับพนักงานด้วย พวกเขาทำงานหนักมาทั้งปี สมควรจะได้รับสิ่งตอบแทนกันบ้าง
งานนี้บริษัททุ่มงบลงไปห้าล้านบาทสำหรับงานครั้งนี้ เงินจำนวนนี้ เป็นค่าสถานที่จัดงาน ค่าโชว์บนเวที และค่าของรางวัลที่จะให้กับพนักงานด้วย
ผมได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดงาน โชคดีข้อแรกที่ผมไม่ได้เป็นประธานในการจัด และโชคดีซ้ำสองที่เขาเลือกคุณแคทลียามาเป็นกรรมการด้วย จึงทำให้ผมซึ่งไม่อยู่ในสภาพที่จะออกไอเดียในการจัดงานทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ฟัง และให้ความเห็นว่าชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น
พวกเขาถกเถียงกันด้วยรูปแบบของงาน และเลือกโชว์ที่จะมาแสดง ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ใจลอยไปถึงเด็กหนุ่มนั่น นึกกังวลในตัวเขา เพราะผมติดต่ออะไรใครไม่ได้เลย
เบอร์โทรของน้อยผมก็ไม่มีด้วย เบอร์โทรของแดนเซอร์ก็ไม่มี เลยไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาเต้นโชว์คอนเสิร์ตกันอยู่ที่ไหน เดียร์คุยให้ผมฟังว่าเขาเดินสายไปทั่ว เริ่มจากภาคเหนือ มาภาคอีสาน เข้าภาคตะวันออก แล้วก็จะลงใต้ ก่อนจะย้อนมาทางภาคตะวันตก ภาคกลาง แล้วก็กรุงเทพ นี่เขาหายไปสิบกว่าวันแล้ว เขาน่าจะอยู่ตรงไหนหนอ
“คุณเรียวครับ พวกเราคิดว่า อยากจะจ้างนักร้องสาวที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ พร้อมโชว์ของคณะแดนเซอร์ที่เขาเต้นให้กับศิลปินในค่ายเพลงยักษ์ใหญ่นะครับ เขามีนักเต้นฝีมือดีหลายคน นักเต้นพวกนี้ ก็เต้นให้นักร้องสาวคนที่กำลังดังนี่ด้วย มิวสิควิดีโอเปิดทั่วประเทศ แดนเซอร์แต่ละคนทั้งสวยทั้งหล่อ หุ่นดีกันทั้งนั้น คุณเรียวเห็นว่าไงครับ”
“เอ้อ ....เอาสิครับ”
เสียงถามจากผู้ร่วมประชุม ทำให้ผมสะดุ้ง ผมฟังไม่ถนัดว่าเขาพูดว่าอะไร เพราะมัวแต่ใจลอยคิดถึงเรื่องของเดียร์อยู่ แต่ไม่อยากถาม เพราะมันจะฟ้องเอาได้ ว่าผมไม่ใส่ใจการประชุม
ผมจึงพยักหน้ารับ และบอกกับพวกเขาไปว่า ลองให้ออร์แกนไนเซอร์เอามางานของนักร้องคนนี้มาพรีเซ็นต์ แต่ขอเป็นหลายๆเจ้า แล้วเรามาตกลงกันอีกที
พวกนั้นมองผมอย่างงงๆ ผมไม่รู้ตัวหรอกว่า ผมพูดจาไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งคุณแคทลียา มาบอกผมตอนช่วงเบรกสิบห้านาที
ผมขอโทษขอโพย แล้วก็เสพูดไปว่า ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการแสดงมากนัก แต่อยากให้แต่ละออร์แกนไนซ์เซอร์ที่จะจัดงานให้เรา นำเสนอรูปแบบงานมาให้ดู และนำงานของดารานักร้องที่จะจ้างมาให้ดูด้วย พร้อมทั้งเสนอราคามาเสร็จสรรพ เราจะได้พิจารณาได้
คุณแคทลียาทำหน้าเข้าใจ จากนั้นเราก็กลับเข้าที่ประชุมต่อ
วันนี้ ผมรีบกลับบ้านแต่วัน ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำงานไม่ได้ คิดวุ่นวายใจไปหมด นึกเป็นห่วงเจ้าเด็กนั่น ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง นับจากที่ผมรู้เรื่องอุบัติเหตุของเขา มันก็ทำให้ผมอยู่ไม่เป็นสุข
เดียร์มีอิทธิพลกับผมถึงเพียงนี้เลยหรือ แค่รับรู้ว่าเขาเกิดอุบัติเหตุก็เล่นเอาผมกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว ผมพยายามหาเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม มันน่าจะเพราะว่าเด็กนี่ดีกับผม ตลอดเวลา พอเขาเดือดร้อน ผมก็เลยต้องห่วงใยเขาใช่ไหม หรือว่าเพราะ.........เพราะผมรักเขา.......
ไม่นะ คงไม่ใช่หรอก ผมไม่อยากคิดต่อแล้ว เจ้าเด็กนั่นก็แค่คนๆหนึ่งที่มาทำให้ผมวุ่นวายใจ ผมไม่มีทางรักเขา ผมเป็นผู้ชาย จะมารักคนเพศเดียวกันได้ไง บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความสงสารก็ได้มั๊ง เหมือนว่าเราได้ยินข่าวว่าเพื่อนเราถูกรถชน เราก็อดห่วง อดกังวลไม่ได้ ผมคงคิดกับเขาแค่แง่มุมนั้น ไม่มีอย่างอื่น
ก็แล้วทำไม ผมถึงทำอะไรไม่ถูกเลย นี่ก็เดินวนเวียนอยู่ในห้องรับแขกเป็นหนูติดจั่นหลายรอบแล้ว มือก็กดโทรศัพท์เป็นระวิง แต่ก็ไม่ยักมีเสียงตอบรับจากเลขหมายปลายทาง
เจ้าบ้านี่ เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ ไม่ชอบเลย หายไปแบบนี้ แถมยังมีข่าวไม่ดีอีก ชักโกรธแล้วนะ อย่าให้เจอตัวเชียว จะจับเขย่าๆ เขกกบาลให้บวมปูดเลย
แต่เอ...... ถ้าไอ้เจ้านั่นมันเจ็บหนักล่ะ เกิดรถที่ขนแดนซ์เซอร์ดันไปประสานงาเข้ากับรถสิบล้อ ทำให้แดนเซอร์เจ็บหนักล่ะ
เกิดตอนนี้อยู่ห้องไอซียู สมองกระทบกระเทือน หรือไม่แขนขาด ขาขาดไปจะว่าไง พิการ เสื่อมสมรรถนะทางเพศ ตาบอด โอ๊ย ทำไมผมถึงคิดแต่เรื่องร้ายๆในหัวได้นะ คงไม่ถึงขนาดนั้นมั๊ง
สมองกระทบกระเทือนจำอะไรไม่ได้เหรอ ก็ดีสิ สัญญาจะได้โมฆะเพราะเขาจำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เดียร์คงจะลืมผมไป แล้ว มันจะดีจริงๆเหรอ ถ้าเขาฟื้นขึ้นมา แล้วเขาไม่รู้ว่าผมคือใคร ถ้าผมรู้จักเขา แต่เขาไม่มีความทรงจำเรื่องของผมเหลืออยู่เลย ผมยังจะรู้สึกสบายใจเหรอ
โธ่เว้ยยยยยย ........รับโทรศัพท์ซักทีสิ ใครก็ได้ น้อย หรือ เดียร์ ช่วยโทรมาบอกข่าวได้ไหม บอกมาว่านี่คือเรื่องโกหกกัน ผมไม่โกรธก็ได้ อย่าหายไปอย่างนี้ ผมไม่สบายใจ ไอ้เด็กบ้า ฉันบอกไม่ให้โทรมา ถ้ามันเรื่องไร้สาระ แต่เรื่องร้ายแรงแบบนี้ ต้องโทรมาบอกกันสิ
“ไอ้เด็กบ้า.....ไปไหนวะ”
อดไม่ได้ที่จะตะโกนดังๆ ด้วยความโมโห เจ้าหญิงเห่าผมดังขรม คงแปลกใจว่าทำไมผมถึงตะโกนลั่นบ้านขนาดนั้น ผมเดินไปหาเจ้าหญิงโอบกอดมัน มีกลิ่นสาบนิดหน่อยมาจากตัวเจ้าหญิง มันไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว
นับตั้งแต่เดียร์ไม่อยู่ ผมมัวแต่ทำงาน ไม่มีเวลาให้เจ้าหญิงเลย พอเดียร์ไม่อยู่สักคน บ้านก็ดูเหมือนไม่ได้รับการดูแล ผ้าผมก็ยังไม่ได้ซักเลย บ้านก็ยังไม่ได้กวาดถู
ผมกลับมาก็เหนื่อยจากการทำงาน เลยไม่ได้ลงมือทำงานบ้านเลย ถ้าหากผมเลิกรากับเดียร์แล้ว คงจะต้องจ้างแม่บ้านสักคนมาคอยดูแลทำความสะอาดให้แล้ว
เจ้าเด็กบ้านั่นทำให้ผมนิสัยเสีย เมื่อก่อนผมดูแลทำความสะอาดบ้านเอง พอเขามาแย่งทำจนหมด ผมไม่มีอะไรทำก็เลยขี้เกียจขึ้นมา
ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว บ้านช่องก็พลันสกปรก สุนัขของผมก็ตัวเหม็น เริ่มผอมกว่าตอนที่เดียร์มา ผมสงสารเจ้าหญิงของผมมาก ที่ละเลยไม่ดูแลมัน
ต่อจากนี้ผมคงต้องปลีกเวลามาเอาใจใส่มันให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว เพราะหากว่าเดียร์ไม่อยู่กับผมจริงๆ จะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้นกับทั้งสุนัขและบ้านที่ผมครอบครองอยู่
เจ้าหญิงกระดิกหางให้ผม แล้วเอาหน้าซุก มันครางหงิงออดอ้อนออเซาะ ตอนที่ผมพามันไปอาบน้ำ เช็ดตัว แล้วเอาอาหารให้มันกิน ดูท่าทางมันดีใจที่ผมเอาใจใส่ต่อมัน ผมลูบหัวเจ้าหญิงและพูดกับมันถึงเด็กเดียร์นั่น รู้สึกได้ว่าเสียงตัวเองสั่นๆ
“เจ้าหญิง เจ้าเด็กนั่น ได้รับอุบัติเหตุ ไม่รู้เป็นไงบ้างนะ ติดต่อไม่ได้เลย เจ้าหญิงคิดถึงเขาไหม เด็กนั่นน่ะ ถึงจะวุ่นวายและรบกวนฉันมากไปหน่อย แต่เขาก็ทำเรื่องดีๆไว้หลายอย่างนะ บางทีเขาก็น่ารักดี ฉันชอบเขาเหมือนกัน ไม่อยากให้เขาเจออะไรรุนแรงเลย หวังว่าเขาคงปลอดภัยนะ”
ผมทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน หลังจากเอาอาหารให้เจ้าหญิงทาน และกวาดบ้านถูบ้านแล้ว สมองครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของเดียร์
จะว่าไปแล้ว เดียร์ก็ดีต่อผมมากเสียจริง เขาทำอะไรให้ผมมากมาย แต่ผมไม่เคยตอบแทนเขาเลย คิดแล้วก็สงสารเขา นอกจากผมจะไม่เคยสำนึกในความดีที่เขาทำให้ผม ผมยังมักต่อว่าเขาแรงๆอีกด้วย
หลังจากนั่งซึมอยู่เกือบชั่วโมง นึกโมโหที่ติดต่อเขาไม่ได้ สลับกับนั่งโทษตัวเองไปร้อยแปด ความที่ครุ่นคิดกังวลอยู่กับเด็กบ้านั่น ส่งผลให้ผมทำอะไรประหลาดๆที่ไม่เคยทำ
อยู่ๆผมก็เดินไปที่ชั้นวางทีวี เอื้อมมือไปยังที่วางพวกซีดี และ ดีวีดีที่เก็บไว้ เดียร์ทิ้งหนังให้ผมดูต่างหน้า บอกว่าอยากให้ผมดูด้วยกันกับเขา แต่ผมเพิ่งได้ดูไปกับเด็กนั่นแค่เรื่องเดียวเอง
เขาบอกว่าถ้าผมดูแล้วมันจะทำให้ผมเข้าใจพวกเขาได้มากขึ้น เดียร์อยากบอกอะไรผมนะ ถ้าผมดูหนังพวกนี้ ผมจะเข้าใจความรู้สึกของเดียร์มากยิ่งขึ้นหรือเปล่า แล้วถ้าผมได้ดูแล้ว ใจของผมที่ห่วงกังวลถึงตัวเขาในตอนนี้มันจะสงบลงบ้างไหม
ผมเลือกหนังแผ่นเรื่องหนึ่งมาดู เป็นหนังจีน เดียร์เคยแนะนำว่าเรื่องนี้ เป็นหนังดีที่ผมควรดู เขาว่าตัวเขาเองก็คล้ายๆกับตัวเอกที่ชื่อหลันอี้ (หลันยู่) ในเรื่องนี้ จำได้ว่าผมหัวเราะเขาที่เอาหนังแผ่นมาสาธยายให้ผมฟัง ว่าแต่ละเรื่อง มันดียังไง บอกเรื่องย่อคร่าวๆมาเสร็จสรรพ แต่ผมก็ไม่ใส่ใจ
จนกระทั่งเวลาที่เดียร์ไม่อยู่ นึกถึงเขาขึ้นมาทีไร ผมก็ไล่เปิดหนังที่เขาทิ้งไว้ให้ดูทีละเรื่อง ตอนนี้ผมก็คิดถึงเดียร์อีกแล้ว ความกลัดกลุ้มที่ไม่สามารถจะติดต่อเขาได้ ทำให้ผมต้องหาอะไรบางอย่างมาทำเพื่อบรรเทาความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ภายในใจ
Lan Yu เป็นเรื่องราวของ Chen Handong นักธรุกิจหนุ่มใหญ่ที่บังเอิญไปมีเพศสัมพันธ์กับ Lan Yu เด็กหนุ่มบ้านนอก ที่เข้ามาเรียนสถาปัตยกรรม ทั้งคู่ได้พบกันในคลับแห่งหนึ่ง Lan Yu เป็นเด็กหนุ่มที่ยึดมั่นในรักแท้ ในขณะที่ Handong เป็นคนเจ้าชู้ไม่รู้จักพอ วันหนึ่งเด็กหนุ่มได้พบภาพบาดตาระหว่าง Handong กับเด็กหนุ่มอีกคน ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็มีอันต้องแยกจากกัน
Handong ได้พบกับ Lan Yu อีกครั้งเมื่อทางการยกกำลังไปกวาดล้างพวกนักศึกษาที่ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ทั้งสองจึงกลับมาสร้างความสัมพันธ์กันใหม่อีกครั้ง เศรษฐีหนุ่มได้ซื้อบ้านหลังใหม่ไว้ให้ Lan Yu เพื่อที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกัน แต่เวลาไม่นานเขาก็ได้เจอกับผู้ร่วมงานสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถพูดคุยกันถูกคอ จึงตัดสินใจที่จะแต่งงานกับหญิงสาวคนนั้น ทำให้ Lan Yuต้องเสียใจและต้องเป็นฝ่ายจากไป แต่ในที่สุดการแต่งงานครั้งนั้นก็ไปไม่รอด ต้องลงเอยด้วยการหย่ากัน ทำให้ เศรษฐีกับหนุ่มนักศึกษาได้กลับมาพบกันใหม่ และใช้ชีวิตคู่ร่วมกันดังเดิมอีกครั้ง
เด็กหนุ่มได้ขายบ้านที่ได้รับมาจาก Handong และนำเงินเก็บที่ตนมีอยู่ไปประกันตัวเศรษฐีหนุ่มที่ถูกจับเนื่องจากมีปัญหาเกิดขึ้นในธุรกิจ ทั้งสองก็กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์แกล้ง ความสุขที่กำลังก่อตัวขึ้นพังทลายลงเมื่อ Handong ได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวร้าย
ร่างที่นอนอย่างสงบอยู่บนเตียงของคนที่เขารักมาก ทำให้น้ำตาของ Handong ทะลัก
ทะลายออกมาอย่างไม่ขาดสาย คนที่เขารักได้จากไปแล้ว อย่างไม่มีวันกลับ พร้อมๆกับที่ตัวละครร้องไห้ น้ำตามากมายจากไหนไม่รู้ก็พรั่งพรูออกมาจากนัยน์ตาผม จนภาพที่อยู่บนจอทีวีพร่าเลือนไปหมด แต่กระนั้น หูของผมก็ได้ยินเสียงเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ทำให้ผมปวดร้าวเข้าไปอีก
“Everyday I miss you so
But I’m lonely and you don’t know
When will my beautiful dream come true?
My darling I wish to see you
Autumn ‘s come, the wind’s blowing on my face.
I remember our past when we were in the autumn day
What are you thinking?
Why did you leave me alone?
You are the only one I love
How could you leave me in sorrow?
When I need you most
You left me silently
You are the only one I love
How could you leave me in sorrow?
I’ve been so good to you
But you’ve never been moved…”
ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเรื่องราวของคนสองคนที่เห็นในภาพยนตร์ กับเรื่องระหว่างผมกับเดียร์จะเหมือนกันเสียทีเดียวนัก ผมอาจจะมีอะไรกับผู้หญิงมาหลายคน แต่นั่นก็เป็นไปตามการเรียกร้องจากธรรมชาติ ผมไม่ใช่คนเจ้าชู้ แล้วผมก็ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมากหน้าหลายตา จะมีก็กับเดียร์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ผมก็ยอมรับว่าชีวิตของเดียร์ก็คล้ายกับ หลันอี้ ตรงที่ เขารักผมมากมาย และทำทุกอย่างเพื่อผม ในขณะที่ผมแทบไม่เห็นค่าของเขาเลย
ผมปาดน้ำตาทิ้ง เดินไปปิดทีวี แล้วกลับมานั่งที่โซฟาใหม่ ผมร้องไห้เพื่ออะไรกันนะ คงเพราะหนังมันเศร้ากระมัง แต่ว่า มันเศร้า ที่ตัวหนัง หรือที่มันเศร้า เพราะว่าผมดันเอาชีวิตของเดียร์เข้าไปเปรียบด้วยกับหนังเรื่องนี้ ผมรู้ว่าวันหนึ่ง เราสองคนต้องเลิกร้างห่างกันไกล แต่ในใจผมก็ไม่อยากให้เราสองคนต้องจากตายแบบในหนัง อยากให้แยกจากกันด้วยความสุขทั้งสองฝ่าย มากกว่าที่จะจบลงแบบสะเทือนใจ
บ้าที่สุด ไม่น่าเชื่อเจ้าเด็กบ้านั่น แล้วหยิบหนังเรื่องนี้ขึ้นมาดูเลย ทำไมตอนจบถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ จะจบให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง ผมยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ เพราะตอนนี้ผมไม่รู้ข่าวคราวของเดียร์เลย จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ แล้วผมจะไปตามเขาได้ที่ไหนล่ะ ผมไม่รู้จักเพื่อนๆ หรือญาติของเดียร์เลย รู้จักแต่น้อยกับ โสภิตนภา และ สมฤทัยเท่านั้น
ผมเด้งตัวจากที่นั่งขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ เออ จริงสิ บางทีโสภิตนภา กับ สมฤทัยอาจจะรู้ก็ได้ ถ้าผมไปถามเขา เขาจะตอบไหมนะ วันก่อน ผมไปด่าว่าพวกเขา ไม่รู้ว่าเขาโกรธผมหรือเปล่า แล้วถ้าเขาไม่พอใจ รวมหัวกันไม่บอกล่ะ บางทีเขาอาจจะไม่อยากยุ่ง เพราะผมแสดงออกให้รู้ว่าผมไม่พอใจแค่ไหน ผมควรจะไปหาพวกเขาถามในสิ่งที่กังวลใจดี หรือว่าควรจะอยู่เฉยๆ รอให้เดียร์หรือน้อยโทรมาหาเอง ถ้าผมไปแล้ว เขาเกิดไม่รู้เรื่อง หรือไม่อยู่ล่ะ แล้วผมจะทำไงดี ปวดหัวไปหมดแล้ว เจ้าเด็กบ้านี่ หาเรื่องให้ผมไม่หยุดหย่อนเลย
เมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจจะทนอยู่เฉยๆกับบ้านได้แล้ว ผมก็แต่งตัวแล้วก็ขับรถไปที่สีลมทันที สองคนนั้นทำงานอยู่ที่บาร์ไหนสักแห่ง วันนั้นผมก็ลืมถามชื่อไป แต่เอาเถอะ ถึงจะต้องเดินหามันทั้งคืน ผมก็ต้องทำ ผมจอดรถไว้ในที่ที่เคยจอดประจำ แล้วรีบเร่งเดินออกจากซอย เพราะได้เวลาที่บาร์จะเลิกแล้ว ผมกลัวว่าจะหาใครไม่เจอ