Brother Next Door
ตอนที่ 1
“เบื่อเว้ยยย หิว! จะกินเหี้ยอะไรดีวะ!”
ความหิวเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เที่ยงเริ่มทำให้ผมหงุดหงิด ผมลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นดู ถึงแม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลยนอกจากน้ำเปล่าแค่สองขวดก็ตาม ผมเหวี่ยงมือปิดตู้เย็นอย่างหัวเสีย จากนั้นก็เดินไปเปิดตู้เหนืออ่างล้างจานในห้องครัวดู
เหลือมาม่าอยู่แค่เพียงห่อเดียว
“ก็ยังดีวะ” ผมบ่นพึมพำเบาๆ ก่อนจะแกะมันลงในชาม เทน้ำจากกาน้ำร้อนลงไป หยิบจานอีกใบขึ้นมาปิด แล้วจึงเดินออกจากห้องครัวไปยังห้องนั่งเล่น
ผมนั่งลงบนโซฟา หยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวี ผมยกมือขึ้นลูบท้องที่กำลังส่งเสียงคำรามเบาๆ เป็นการปลอบมันว่าอีกเดี๋ยวก็จะได้กินข้าวแล้วเว้ย ใจเย็นๆ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูก็เห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ก่อนหน้านี้ผมมัวทำบ้าบ้าอะไรอยู่วะ ทำไมถึงไม่ยอมกินข้าวเย็นไปซะตั้งนานแล้ว ผมโยนมือถือกลับลงไปบนโซฟาแล้วมองไปรอบๆ ห้องอย่างหงุดหงิด ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ที่คอนโดแห่งนี้ได้แค่สามวัน ห้องขนาดแค่ 30 ตารางเมตรมันดูแคบจนผมอึดอัด ไหนจะแบ่งเป็นห้องครัว ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น แล้วยังระเบียงอีก เด็กที่มาจากต่างจังหวัด เคยชินกับบ้านพื้นที่กว้างๆ อย่างผม แม่งไม่ชินกับการต้องมาอยู่ในห้องแคบๆ แบบนี้จริงๆ
เมื่อเดือนก่อน แม่ของผมวิ่งเต้นฝากผมเข้าโรงเรียนเอกชนชื่อดังในกรุงเทพฯ แห่งนี้ได้สำเร็จ ผมจึงจำต้องบอกลาโรงเรียนเก่าและเพื่อนๆ ในจังหวัดบ้านเกิดมาอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว เพราะแม่และญาติพี่น้องคนอื่นๆ เห็นว่า เมื่อขึ้น ม. 4 แล้ว ผมควรจะได้เริ่มต้นใหม่ ได้เรียนโรงเรียนดีๆ เจอเพื่อนดีๆ และหลีกหนีจากสิ่งร้ายๆ ที่เคยเกิดขึ้นให้หมด
เออ มันก็คงจะจริงนะ
แต่ปัญหาคือถึงพรุ่งนี้จะเป็นวันเปิดเทอมวันแรก แต่มันดันเป็นเทอมสองแล้วไง ไม่ใช่เทอมหนึ่ง ผมที่เพิ่งจะมาช้ากว่าคนอื่นคงต้องรู้สึกแปลกที่แปลกทางและถูกคนอื่นมองสงสัยแน่ๆ อีกอย่าง ผมไม่เคยต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาก่อนเลยด้วย ถึงจะถูกคนส่วนมากมองว่าเป็นเด็กห่ามๆ ห้าวๆ หรือแม้แต่เป็นนักเลงของโรงเรียนหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมก็เป็นลูกชายคนเดียวของแม่ และอยู่กับแม่แค่สองคนมาโดยตลอด ญาติพี่น้องคนอื่นก็เป็นญาติฝั่งพ่อที่ไม่ได้สนใจอะไรเราเท่าไหร่นัก โชคดีที่ผมไม่ได้กเฬวรากจนขนาดทำให้แม่จำต้องตัดหางปล่อยวัดไป และไม่ได้เหลวไหลในการเรียนซะจนผลการเรียนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ย่า ผู้ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในบ้าน จึงยอมอนุญาตให้ผมมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวที่เมืองหลวงแห่งนี้ได้
พ่อของผมเสียไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่ผมยังเด็ก เหลือแค่ผมกับแม่ที่รอดตายมาได้ เราสองคนจึงอาศัยอยู่กับญาติๆ ฝ่ายพ่อ โดยที่ย่าเป็นคนรับช่วงดูแลกิจการโรงงานที่พ่อเคยเป็นเจ้าของทั้งหมดไปแจกจ่ายให้ญาติพี่น้องคนอื่นๆ โดยที่แม่ของผมแทบไม่ได้รับอะไรเลย ดังนั้นถึงครอบครัวของเราจะไม่ได้ลำบาก แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย หากมองจากมุมมองของคนภายนอกก็คงดูเหมือนพวกเรามีเงิน แต่คนที่มีจริงๆ คือย่าต่างหาก ไม่ใช่แม่ของผม
ผมกดปุ่มรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะวางมันลงข้างตัวและเดินไปยกชามมาม่าออกมาวางที่โต๊ะรับแขก ผมใช้ส้อมตักเส้นขึ้นแแล้วก็รู้สึกว่ามันยังดูแข็งๆ ชอบกล ทั้งที่ผมก็ทิ้งไว้นานเกินสามนาทีแล้วนะ แต่ก็อย่างว่า ผมแค่ใช้น้ำร้อนลวก จะให้มันนุ่มเหมือนเอาไปต้มก็คงเป็นไปไม่ได้ ผมคิดอย่างนั้น แต่เมื่อผมลองตักเส้นและน้ำซุปเข้าปากคำแรก ผมก็ถึงกับต้องบ้วนมันออกมาเพราะเส้นแม่งยังดิบอยู่เลย แถมน้ำก็ไม่ร้อนอีกต่างหาก!
“อ้าว! ทำไมวะเนี่ย! ก็กูเพิ่งต้มน้ำไปเมื่อตอนเย็นนี้เองไม่ใช่เหรอวะ!” ผมสบถอย่างหัวเสียพลางลุกออกไปดูกาน้ำร้อนแล้วจึงเห็นว่าปลั๊กแม่งไม่ได้เสียบเอาไว้
เออ ดี ขนาดมาม่ายังต้มไม่สำเร็จเลย แล้วจะเอาชีวิตรอดตัวคนเดียวได้มั้ยวะเนี่ยกู!
ผมจัดการเทมาม่าดิบแดกไม่ได้ลงถังขยะ โยนชามเปล่าลงไปในอ่างล้างจาน แล้วจึงเดินไปหยิบกางเกงขาสั้นมาเปลี่ยน สุดท้ายก็ต้องเดินลงไปหาซื้ออะไรข้างล่างกินจนได้ แต่เวลานี้ ทั้งร้านข้าวและพวกรถเข็นต่างๆ ก็คงปิดไปหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องเดินออกไปไกลอีกหน่อยเพื่อไปซื้อข้าวกล่องที่เซเว่นฯ เพราะแฟมิลี่มาร์ทใต้คอนโดก็ดันกำลังปิดปรับปรุงอยู่ซะอีก
หลังจากที่ใช้เวลาเดินเกือบ 10 นาทีเพื่อไปเสียเวลาเลือกว่าจะกินอะไรอีกไม่ถึงสองนาที ผมก็ได้ข้าวกล่องติดมือกลับมาสองกล่อง ผมรีบเดินกลับคอนโด เพื่อจะได้กลับไปกินข้าวสักที หิวจะตายห่าอยู่แล้ว แถมรอบๆ ข้างก็มืดฉิบหาย ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีเลย ซอยบ้าอะไรไม่รู้ ทำไมมันเงียบขนาดนี้วะ ไอ้โจรขโมยน่ะ ผมไม่กลัวหรอก มีมือมีตีน สู้ไหว แต่ผีเนี่ย มันเตะต่อยไม่โดนนะเว้ย ของที่จับต้องไม่ได้ผมไม่สู้ บอกไว้ก่อนเลย
ในระหว่างที่ผมกำลังเดินอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงโหวกเหวกของคนหลายคนดังขึ้นในซอยเล็กๆ ถัดมา ด้วยสัญชาติญาณและความเคยชิน ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าแม่งต้องกำลังมีเรื่องชกต่อยกันอยู่แน่ๆ และถ้าผมจำไม่ผิด ในซอยนั้นจะมีร้านเน็ตอยู่ด้วยร้านนึง เพราะงั้นความเป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นน่าจะเป็นเด็กนักเรียนก็ยิ่งมากขึ้นไปใหญ่ ตอนแรกผมก็คิดจะแค่เดินผ่านเลยไป แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย แต่อีกใจก็อดที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ นิสัยเก่าๆ และต่อมเสือกแม่งดันทำงานขึ้นมพร้อมกันซะงั้น ซึ่งสุดท้ายจิตใจด้านมืดของผมก็เป็นฝ่ายชนะ ผมจึงเดินเข้าไปในซอยแห่งนั้นและเห็นกลุ่มเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนจำนวนสี่คน กำลังยืนล้อมกรอบผู้ชายคนหนึ่งอยู่
ดูๆ แล้วท่าทางสถานการณ์จะไม่ค่อยดีแน่ๆ ร้านอินเตอร์เน็ตที่อยู่เลยออกไปไม่กี่ 10 เมตรยังคงเปิดไฟอยู่ และหน้าร้านก็มีคนออกมายืนดูอยู่ด้วยสามคน แต่ดูเหมือนไม่มีใครคิดจะทำอะไรเลย ผมหันกลับมาสนใจกลุ่มคนที่อยู่ห่างจากตรงหน้าไม่ไกล แล้วก็เห็นว่าคนที่ถูกต้อนจนหลังเกือบชนกำแพงนั้น ดูน่าจะอายุราวๆ 20 ต้นๆ หรืออาจจะแค่ 10 ปลายๆ ด้วยซ้ำ เขากำลังถูกเด็กคนอื่นๆ ผลักหน้าอกไปมาและก่นด่าด้วยคำหยาบสารพัด
ผมกำลังจะเดินเข้าไปช่วยเขาออกมาจากสถานการณ์นั้น แต่แล้วก็รั้งตัวเองไว้ได้ทัน มันไม่ใช่ธุระของผม ไม่ใช่เรื่องของผม อย่าเข้าไปหาเรื่อง อย่ากลับไปทำแบบเดิมๆ อีก การที่แม่ยอมขอร้องย่าให้มึงมาอยู่โรงเรียนดีๆ ที่กรุงเทพฯ ก็เพราะไม่อยากให้มึงต้องมีเรื่องชกต่อยจนเจ็บตัวแบบครั้งที่แล้วอีกไม่ใช่รึไง และที่สำคัญคือมึงรับปากแม่มึงเอาไว้แล้วนะ ไอ้ก้อง!
ผมกำลังจะหันหลังกลับและเตรียมออกเดินต่อ กลับไปยังห้องของตัวเอง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปซะ แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงดัง ‘
พลั่ก’ ที่คุ้นหูสองครั้ง ผมรีบหันกลับไปมองยังคนกลุ่มนั้นทันที ผู้ชายคนที่เคยยืนอยู่นั้นทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น เขาใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าท้อง ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นใช้หลังมือเช็ดที่มุมปาก ผมรู้ได้ทันทีว่าเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เขาต้องโดนรุมกระทืบแน่ๆ มันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นกฎบัญญัติของการเป็นนักเลงเลยว่า ‘ถ้าหากอีกฝ่ายล้มลงบนพื้น มึงต้องกระทืบซ้ำ!’
ผมรีบพุ่งตัวตรงเข้าไปหาเด็กนักเรียนกลุ่มนั้นและยกเท้าขึ้นถีบคนที่อยู่ใกล้ที่สุดออกไปทันที มันร้องออกมาเสียงด้วยพร้อมกับล้มลงไปบนพื้น เด็กที่เหลืออีกสามคนหันมามองผมด้วยความตกใจ
“คนตั้งสี่คน รุมคนๆ เดียว แม่งไม่เหี้ยไปหน่อยเหรอวะ!” ผมตะคอกใส่พวกมัน
ช่วยคน คงไม่นับว่าผิดสัญญานะ แม่
“มึงเป็นใครวะเนี่ย!”
“แม่งเตะกูอะ! ไอ้เหี้ย!” คนที่เพิ่งโดนผมถีบพูดขึ้น “เหี้ยอะไรของแม่งวะ!!”
“เล่นแม่งเลยมั้ย!! สัตว์!!” คนที่อยู่ใกล้ผมที่สุดเดินเข้ามาหาผม มันทำท่าจะคว้าคอเสื้อของผม แต่ผมหมุนตัวหลบทัน เลยต่อยหน้ามันสวนกลับไปทันที มันเซถลาไปข้างๆ ตามแรงหมัด ก่อนจะหันกลับมามองผมด้วยความตกใจ
นี่พวกมันเป็นนักเลงแน่รึเปล่าวะเนี่ย หรือเด็กนักเลงกรุงเทพฯ แม่งเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด
เด็กอีกคนหนึ่งพุ่งเข้ามาทำท่าจะถีบผม ผมยกแขนขึ้นกันเอาไว้ได้ แต่ก็เซไปข้างหลังก้าวหนึ่ง ไอ้คนที่โดนผมถีบไปในตอนแรกรีบลุกขึ้นและพุ่งตัวเข้ามาจะต่อยผม แต่ผมก็หลบทันอีกและต่อยสวนมันกลับไปอย่างสุดแรง พร้อมกับหมุนตัวเตะไอ้คนที่ถีบผมเมื่อครู่เข้าเต็มหน้าท้อง ทำเอามันลงไปนั่งกองอยู่บนพื้น ส่วนไอ้คนที่โดนผมต่อยเมื่อตอนแรกก็อาศัยช่วงชุลมุนชกหน้าผมไปได้หนึ่งที ผมจึงสวนกลับไปอีกหมัดที่แรงขึ้นกว่าเดิม ทำเอามันล้มลงไปบนพื้นใกล้ๆ กับเพื่อนของมัน ไอ้คนสุดท้ายที่เหลือ ได้แต่ยืนมองเพื่อนๆ ของตัวเองที่คุดคู้และร้องโอดโอยอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าตกใจกลัว
“ลุกขึ้นมาได้แล้ว!” ผมตะคอกขึ้น
ทั้งสามคนที่นั่งๆ นอนๆ อยู่สะดุ้งและเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาหวาดกลัว ความกล้าและบ้าดีเดือดแบบนักเลงในตอนแรกหายไปจนเกือบหมด หนึ่งในสามคนนั้นที่ถูกผมต่อยหน้ายกมือขึ้นปิดปากและจมูกของตัวเองที่ดูเหมือว่าจะกำลังเลือดไหลอยู่
“กูไม่ได้หมายถึงพวกมึง! ไอ้ควาย!! แต่กูหมายถึงไอ้คนนู้น!” ผมชี้ไปยังผู้ชายคนนั้น
เขาที่ชันตัวยืนขึ้นมาแล้วมองหน้าผม แต่แล้วอีกเพียงเสี้ยววินาทีต่อมา เขาก็ยิ้มที่มุมปากออกมาเล็กน้อย
เฮ้ย มันยิ้มอะไรของมันวะ
“ไปได้แล้ว จะยืนรอห่าอะไรอยู่อีกเล่า!” ผมรีบเดินไปคว้าข้อมือของเขา ตอนแรกก็ตั้งใจจะพาเขาวิ่งออกไปจากซอยแห่งนี้ แต่พอไอ้เด็กคนที่ยืนอยู่เห็นผมเดินเข้าไปใกล้มัน มันก็รีบวิ่งหนีออกไปเลย ทำให้เพื่อนๆ ของมันอีกสามคนรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปตามๆ กัน
ผมมองตามพวกมันไปก็เห็นว่ามันไม่ได้วิ่งหนีกันไปไหนไกลหรอก แต่แค่วิ่งกลับเข้าไปในร้านเน็ตในซอยนั่นแหละ
เมื่อเหลือเรายืนกันอยู่แค่สองคน ผมจึงมีโอกาสได้มองหน้าของเขาคนนี้ให้ชัดๆ แต่ผมก็ยังเดาอายุเขาไม่ถูกอยู่ดี ดูท่าทางเขาน่าจะเป็นได้ตั้งแต่เด็กมัธยมปลายจนถึงมหาวิทยาลัยเลยว่ะ แม่งนอกจากจะหล่อ หน้าเด็ก แล้วยังสูงอีกด้วย สเป๊กผมเลยนะเนี่ย ผมว่าผมชักรู้สึกเขินขึ้นชอบกลๆ แฮะ
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ผมกระแอมในลำคอเบาๆ
เขามองหน้าผมด้วยแววตาที่ผมอ่านไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาแลดูเรียบเฉยมาก มากจนไม่เหมือนคนที่เพิ่งตกอยู่ในสถานการณ์แบบเมื่อครู่ซึ่งควรจะหวาดกลัวหรือตื่นเต้นเลยสักนิดเดียว
“ไม่เป็นไร ขอบใจมาก” ในที่สุดเขาก็ตอบออกมาจนได้ ผมแปลกใจนิดหน่อยที่น้ำเสียงของเขานั้นกลับทุ้มต่ำและหนักแน่นขัดกับใบหน้าใสๆ ลิบลับ
“ตกลงจะไปมั้ย หรือจะยืนรอพวกมันกลับมาอยู่ตรงนี้”
เขาเลิกคิ้วซ้ายขึ้นพลางยิ้มมุมปากแบบเดิมออกมาอีกครั้ง “แล้วคุณจะมายืนอยู่ทำไมล่ะ จะไปก็ไปดิ มารอผมอยู่ทำไม”
“อ้าว! คนอุตส่าห์มาช่วย ทำไมพูดกวนตีนแบบนั้นวะ” ผมชักอารมณ์ขึ้นทันที “จะขอบคงขอบคุณสักคำก็ไม่มีเลยรึไง”
“เมื่อกี้ก็ขอบใจไปแล้วไง”
เอออออว่ะ จริงด้วย
“เออๆ ก็ตามใจเว้ย งั้นก็ต่างคนต่างไป” ผมเดินไปหยิบถุงเซเว่นบนพื้นขึ้น ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ก็ก้มมองดูในถุง กล่องข้าวที่ซื้อมาคว่ำจนแกงที่อยู่ข้างในไหลออกมาเลอะไปหมด “แม่งเอ๊ยยยย!!”
“อ้าว แล้วจะยังกินได้มั้ยน่ะ”
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างๆ หู
“เฮ้ย! ตกใจหมด!!”
“แค่นี้ทำขวัญอ่อนไปได้”
“ใครขวัญอ่อน”
“ก็คุณนั่นแหละ”
ทำไมแม่งพูดเพราะจังวะ
“ไม่ได้ขวัญอ่อนเว้ย”
“งั้นสะดุ้งทำไม”
“ก็มันตกใจ จู่ๆ ก็มาพูดใกล้ๆ”
“นั่นแหละที่เค้าเรียกขวัญอ่อน” เขายิ้ม
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลยที่ไม่รู้จะโต้ตอบอีกฝ่ายกลับไปอย่างไร ปกติถ้าพูดอะไรไม่ออก สู้ด้วยคำพูดไม่ได้ ผมก็เหวี่ยงหมัดใส่ไว้ก่อนแล้ว แต่นี่ก็ดันทำไม่ได้อีก
“แล้วนี่เดินตามผมมาทำไม” ผมนิ่วหน้าด้วยความหงุดหงิด
“ไม่ได้เดินตาม แต่ทางกลับบ้านอยู่ทางนี้”
“เออๆ โอเค” ผมพูด จากนั้นก็ออกเดินต่อโดยมีเขาเดินตามมาอยู่ใกล้ๆ
“ชื่ออะไรล่ะ เราน่ะ” เขาถามขึ้น
“ก้อง”
“พักที่ไหน”
“จะรู้ไปทำไม จะจีบผมรึไง เป็นเกย์เหรอวะ” ผมหันไปมองหน้าเขาพร้อมกับยิ้มเยาะ กะว่าที่พูดไปคงจะทำให้เขาต้องตกใจ เขิน หรือรู้สึกอะไรบ้าง แต่ปรากฏว่าเขากลับมองหน้าผมนิ่งด้วยแววตาแบบเดิม จากนั้นจู่ๆ ก็คว้าข้อมือของผมพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้
“ถ้าใช่แล้วจะทำยังไง”
“เฮ้ย!! ไอ้...!!” ผมอ้าปากค้าง สะบัดมือออกและผลักหน้าอกเขาอย่างแรงจนเขาเซไปข้างหลังก้าวหนึ่ง “อย่ามาโรคจิตใส่กูนะเว้ย! เดี๋ยวกูก็กระทืบให้หรอก!!”
เขายิ้มกว้างออกมาเป็นครั้งแรก “เขินเหรอ หน้าแดงขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าคิดอะไรกับผมจริงน่ะ”
“มึงจะบ้ารึไง!!” ผมเดินเข้าไปคว้าคอเสื้อของเขา แต่แทนที่จะรู้สึกตกใจหรือออกท่าปกป้องตัวเอง เขากลับยืนเฉยอยู่แบบนั้น ไม่สะทกสะท้านกับการกระทำของผมเลยแม้แต่นิดเดียว ทำเอาผม คนที่เคยได้ชื่อว่า ‘น่ากลัว’ ติดอันดับต้นๆ ของโรงเรียน ถึงกับเสียความมั่นใจไปเหมือนกัน
ผมสะบัดมือออกแล้วจึงเดินต่อโดยที่มีเขาเดินตามมาติดๆ
“บ้านอยู่ไหนน่ะ” เขาถามขึ้นอีก “ดึกดื่นป่านนี้ ทำไมเพิ่งจะออกมาซื้อของกิน มันอันตรายไม่รู้หรือไง”
“แทนที่จะยุ่งเรื่องของคนอื่น บอกตัวเองซะก่อนจะดีกว่ามั้ง” ผมพูดกลับโดยไม่ได้หันไปมองเขา
“ก็ขอบใจไปแล้วไง อย่าโกรธน่า ขอโทษก็ได้ที่เมื่อกี้พูดจาไม่ดี โอเครึยัง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ตกลงพักที่ไหน นี่มันก็ดึกแล้ว ออกมาข้างนอกแบบนี้พ่อแม่ไม่ว่าเอาเรอะไง”
“ผมอยู่คอนโดเนี่ย ใกล้แค่นี้” ผมชี้ไปยังกลุ่มอาคารสูงตรงหน้า “พ่อตาย แม่อยู่บ้านนอก ตอนนี้อยู่คนเดียว โอเครึยัง”
“โอเคๆ ดุจริงเว้ย”
“ไม่ได้ดุ แต่แม่สอนว่าไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า ยิ่งคนกรุงเทพฯ ยิ่งต้องระวัง”
เขาหัวเราะเบาๆ “ถ้างั้นแล้วเมื่อกี้ไปช่วยคนแปลกหน้าไว้ทำไม”
“ลูกผู้ชายมันต้องช่วยเหลือคนที่อ่อนแออยู่แล้ว” เขาหันไปยิ้มเยาะใส่เขา เขาได้แต่มองหน้าผม ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาอีก ผมจึงเดินต่อเงียบๆ คิดว่าเราคงไม่ต้องพูดต้องคุยอะไรกันอีกแล้ว
“ทำไมถึงต่อยตีเก่งนัก ไปฝึกมาจากไหน” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น
ผมกลอกตา “ไม่ได้ฝึกเว้ย มันเป็นเอง”
“จริงเรอะ ไม่เคยเรียนรึไม่มีคนสอนเลยรึไง”
“ไม่มี ไม่ต้องถามมากได้มั้ยวะ จะถามไปเขียนอัตชีวประวัติรึไง รำคาญ”
เขาเงียบลงไปอีกครั้ง คราวนี้ผมคิดว่าบทสนทนาของเราคงจะจบลงจริงๆ แล้วสักที หลังจากเดินต่ออีกครู่สั้นๆ ก็มาถึงหน้าคอนโดของผม ผมจึงเลี้ยวเข้าคอนโดของตัวเอง ใจก็คิดว่าเขาคงจะเดินผ่านเลยไป จะไปไหนก็ไป แต่เมื่อหันหลังไปดูก็พบว่าเขายังคงเดินตามผมเข้ามาอยู่
“ยังจะตามมาทำไมอีก!” ผมหันไปพูดอย่างหงุดหงิด
แทนที่จะตอบดีๆ เขากลับชูคีย์การ์ดของคอนโดขึ้นให้ผมดู ผมจึงหันกลับอย่างหัวเสีย อายก็อาย โกรธก็โกรธ ที่ดันเผลอปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเริ่ม ไม่คิดว่าเขาจะพักอยู่ที่เดียวกับผม แต่อย่างน้อยๆ ก็คงจะไม่ใช่ตึกเดียวกันล่ะนะ เพราะที่คอนโดแห่งนี้ก็มีอยู่ตั้งหกตึก ถ้าเกิดว่ายังอยู่ตึกเดียวกันอีก มันก็คงจะบังเอิญเกินไปแล้ว
ผมเดินเลี้ยวเข้าไปในตึกของตัวเอง และทายซิว่าใครที่เดินตามผมเข้ามาด้วย
“เฮ้ย! นี่...” ผมพูดขึ้นขณะที่หยุดยืนอยู่หน้าลิฟต์
เขาชูคีย์การ์ดขึ้นอีกครั้ง “รู้ใช่มั้ยว่าที่คอนโดนี้น่ะ คียการ์ดมันใช้ได้เฉพาะกับตึกและชั้นของตัวเองเท่านั้น”
“รู้น่า!”
เมื่อลิฟต์เปิดออก ผมก็เดินเข้าไปข้างใน และรอให้เขาที่เดินตามเข้ามาทีหลังกดชั้นของตัวเองก่อน เขามองหน้าผมแล้วยิ้มๆ ก่อนจะแตะคีย์การ์ดลงที่ตัวรับสัญญาณแล้วจึงกดชั้น 17 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด
“ไม่กดเหรอครับ” เขาหันมาถาม “หรือว่าอยู่ชั้นเดียวกัน”
“ตลกเหอะ” ผมยื่นมือไปแตะบัตรแล้วกดชั้น 15
“เรียนอยู่โรงเรียนไหนน่ะ” เขาถามขึ้น
“จะถามไปทำไม”
“ก็ถามดู เผื่อจะอยู่ที่เดียวกัน”
ผมเลิกคิ้วขึ้น “นี่นายยังเรียนอยู่ ม. ปลายเหรอ โรงเรียนอะไร”
เขาหัวเราะเบาๆ “โรงเรียนชายล้วนใกล้ๆ นี้แหละ”
“เฮ้ย งั้นก็ที่เดียวกันอะดิ เราเพิ่งย้ายมา” ผมลืมตัวเผลอแสดงความดีใจออกไป เพราะคิดว่าอย่างน้อยๆ ก็อาจจะได้รู้จักเด็กคนอื่นไว้ก่อนบ้างก็ยังดี ถึงแม้ว่าเขาน่าจะเรียนอยู่คนละชั้นกับผมก็ตามเถอะ “นายอยู่ ม. อะไร”
เขามองหน้าผมแล้วยิ้มๆ เล็กน้อย และตอนนั้นเองที่ลิฟต์มาหยุดอยู่ที่ชั้นของผม ผมมองดูประตูลิฟต์ที่เปิดออกแล้วหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง
“ไม่ไปรึไง หรือจะไปที่ห้องของผม” เขายิ้มเยาะๆ
“กวนส้นตีนนะ” ผมพูดเบาๆ พลางเดินออกจากลิฟต์
“รีบนอนได้แล้ว ถ้าพรุ่งนี้เปิดเทอมวันแรกด้วย เกิดไปสาย ระวังจะโดนฝ่ายปกครองเล่นงานเอานา” เขาพูดก่อนที่ประตูลิฟต์จะเริ่มปิดลง “แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
“เฮ้ย เดี๋ย..!!” ผมยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ประตูลิฟต์ก็ปิดลงซะก่อนแล้ว