ตอนที่ 17 โรงพยาบาลVICTOR Part
ผมสตาร์ทรถออกจากโรงจอดรถของบ้านทันทีหลังจากแม่ขึ้นมานั่งประจำที่ข้างคนขับเรียบร้อย
“ไปโรงพยาบาลทำไม ใครเป็นอะไร” แม่ถามขึ้นขณะที่กำลังคาดเซฟติเบลล์
“แม่ว่าน้องแปลกไปมั้ย” ผมพูดโดยที่ไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา ทว่าสายตากลับมองกระจกมองหลังที่สะท้อนภาพเจ้าตัวยุ่งที่นั่งเบาะด้านหลังเพียงคนเดียว น้องน้ำมนต์ไม่ได้มาด้วย ป่านนี้พ่อคงไปส่งบ้านแล้ว
ผมลอบมองต้าเงียบๆ ดวงตากลมทอดมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างโดยที่ริมฝีปากก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
อยากจะถามว่ายิ้มทำไม มีอะไรให้น่ายิ้มขนาดนั้น แต่คงไม่ถาม เพราะพอจะคาดเดาถึงสาเหตุของรอยยิ้มนั้นได้อยู่ คงไม่พ้นเรื่องเมื่อครู่ ที่ผมกับน้องเถียงกันแทบตาย เรื่อง ผิดๆ ถูกๆ ของโจทย์เลขที่ผมตั้งขึ้น
ทันทีที่ผมบอกว่าจะพาไปโรงพยาบาล น้องก็ร้องงอแงจะไม่ไปท่าเดียว แต่สุดท้ายก็ยอมมาจนได้ แลกกับการที่ผมจะต้องยอมทำทุกอย่างตามที่น้องบอก
“แปลกไปเหรอ” เสียงแม่ทวนถามทำให้ผมละสายตาจากต้าแล้วหันไปมองพื้นถนนเบื้องหน้าก่อนจะเอ่ยตอบ
“ครับ เตอร์ว่าน้องแปลกไป ตั้งใจจะพาไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจดูอาการให้แน่ชัด”
แม่ไม่พูดอะไรต่อ สายตามองตรงไปข้างหน้า คงกำลังไตร่ตรอง ย้อนคิดถึงพฤติกรรมประหลาดๆของน้องที่ผ่านมา
ผมเชื่อว่าแม่ก็คงรู้สึกได้ว่าน้องไม่เหมือนเดิม เรื่องอย่างนี้มันเข้าใจยาก ขนาดผมยังไม่อยากเชื่อว่าน้องอาจความจำเสื่อมเหมือนที่พระเอกนางเอกในละครหลังข่าวชอบเป็นกัน
มันดูเหลือเชื่อเกินไป ผมไม่เคยคิดฝันว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับคนใกล้ตัว แต่นั่นก็เป็นสมมติฐานที่ผมสร้างขึ้น
น้องแปลกไป ทั้งๆที่หลังเกิดเหตุการณ์นั้น น้องโกรธผมเป็นฟืนเป็นไฟ แม้แต่หน้าผมน้องยังไม่มอง
ผมรู้ว่าต้าเป็นคนใจแข็ง ผมไม่คิดว่าน้องจะยกโทษและหายโกรธผมง่ายๆ แต่พอเจอน้องที่ปั๊ม ทุกอย่างกลับผิดคาด!
ไม่เพียงแต่พฤติกรรม ทว่าสายตาน้องก็แปลกไป ไม่มีความโกรธเคืองในนั้น น้องไม่ใช่คนเก็บอารมณ์เก่ง ถ้านี่คือการแสร้งทำเป็นลืม เพื่อที่ผมกับน้องจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมคิดว่าเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์
ต้าที่ผมรู้จัก ไม่ใช่แบบนี้
เกลียดคือเกลียด รักคือรัก
ผมจำได้ว่า สายตาที่น้องใช้มองผมครั้งนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดอย่างไม่ปิดบัง ทว่าตอนนี้.. สายตาน้องกลับกลายเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมาตลอด รัก ไว้ใจ หวง..
ทั้งที่ตั้งใจว่าหากน้องยอมกลับบ้าน ผมจะไม่ให้น้องเห็นหน้าอีกอย่างที่ลั่นวาจาไว้ แต่เอาเข้าจริง.. พอน้องเป็นแบบนี้ ผมกลับ.. ไม่อยากหนี
เรื่องทุกอย่าง ผิดที่ผม ทั้งที่น้องรักและเชื่อใจผมมากกว่าใคร แต่ผมกลับทำลายความไว้ใจนั้นเพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง!
พี่ชายอย่างผม สารเลวสิ้นดี!
ผมขบฟันแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน มือกำพวงมาลัยรถข่มความรู้สึกชิงชังตัวเองที่ทำเรื่องเลวๆลงไป เกลียดตัวเองที่ขี้ขลาด ทำผิดแล้วไม่กล้ายอมรับผิดอย่างที่ควรเป็น
ผมพรูลมหายใจออกทางปากระบายความอัดอั้นที่ก่อตัวขึ้นในใจ ก่อนจะตบไฟเลี้ยวหักพวงมาลัยเข้าไปในโรงพยาบาลชื่อดัง วนรถหาที่จอดภายใต้อาคารศูนย์สมองและระบบประสาท
หลังจากที่จอดรถเสร็จ ผม แม่และน้องก็พากันเดินเข้าไปในตัวอาคารที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน
ผมไปทำบัตรผู้ป่วยใหม่ ลงชื่อแทนน้อง และกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับอาการของน้องคร่าวๆ ก่อนจะยื่นให้เจ้าหน้าที่สาวซึ่งเธอรับไปอ่านแล้วผายมือให้ไปนั่งรอบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้ข้างในสุดทางเดิน
ต้านั่งลงตรงกลางระหว่างผมกับแม่ น้องกวาดสายตาไปรอบบริเวณอย่างตื่นตาตื่นใจก่อนจะหยุดมองเด็กชายวัยประมาณแปดถึงเก้าขวบที่นั่งฝั่งตรงข้าม น้องมากับผู้หญิงสองคนซึ่งน่าจะเป็นแม่และคุณยาย ในมือของเด็กชายคนนั้นมีโมเดลกันดั้มถืออยู่ ต้าจ้องมองตาไม่กระพริบ ผมเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ยกมือขยี้หัวทุยอย่างหมั่นเขี้ยว
“อยากได้เหรอไง?” ศีรษะใต้ฝ่ามือขยับส่ายปฏิเสธ แต่สายตาก็ยังไม่ละจากเป้าหมายเดิม
ดูก็รู้ว่าอยากได้
“ทำตัวเป็นเด็กดีสิ เดี๋ยวพี่ซื้อให้”
ทันทีทันใดเลยครับ น้องหันมาสบตาผมนัยน์ตาพราวระยับ ริมฝีปากระบายยิ้มกว้างก่อนจะหน้ามุ่ย คิ้วเรียวขมวดชนกันน้อยๆ
“แบบไหนที่เรียกว่าเด็กดี?”
ผมเลิกคิ้วกับคำถามนั้น อืมม... แบบไหนเหรอ?
“ดื้อให้น้อยลง อย่าห่วงเล่น เชื่อฟังคำพูดผู้ใหญ่ แค่นี้ ทำได้มั้ย?”
ต้ายิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้าถี่ๆ เห็นรอยยิ้มสดใสก็พาลให้ผมยิ้มตาม
ปากผมยิ้มทว่าก้อนเนื้อใต้อกซ้ายกลับปวดหนึบราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบแรงๆ
“ขอเชิญคุณเตมินที่ห้องตรวจหมายเลขหนึ่งค่ะ”
“ลุกเร็ว เขาประกาศเรียกแล้ว” แม่พูดพร้อมกับจับมือต้าแล้วฉุดให้ลุกขึ้น น้องคลี่ยิ้มกุมมือแม่พากันเดินไปโดยมีผมเดินตามหลังด้วยใจลุ้นระทึก
ผมปิดประตูห้องตรวจเบามือแล้วยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ที่น้องนั่งอยู่ โดยมีแม่นั่งที่เก้าอี้ข้างๆอีกตัว
“สวัสดีครับ คุณเตมินใช่คนนี้หรือเปล่า” คุณหมอร่างเล็กที่ใบหน้าติดจะหวานถามด้วยน้ำเสียงใจดีโดยที่ดวงตาหลังกรอบแว่นมองหน้าน้องอย่างพินิจ
“ใช่ค่ะ” แม่ตอบแทนน้องที่ไม่ได้สนใจสิ่งใด นอกจากหันมองรอบห้องแล้วค่อยๆกวาดสายตามองอุปกรณ์บนโต๊ะของหมออย่างสนอกสนใจ
น้องจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเวลาที่มาหาหมอ พอกลับบ้านก็จะบ่นว่าอยากเป็นหมอทุกครั้งไป เหตุผลก็ไม่ใช่อะไรอื่น อยากใส่หูฟังแบบที่หมอใส่
หมอร่างเล็กหยิบกระดาษที่วางบนโต๊ะขึ้นมาพลางกวาดสายตาอ่านก่อนจะวางลงที่เดิมแล้วถามขึ้น
“หมออยากทราบว่าคนไข้เคยได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองบ้างมั้ยครับ”
“ไม่เคยค่ะ” แม่ตอบออกไปทันที
หมอหนุ่มพยักหน้ารับแล้วหันไปมองน้องอีกครั้ง รอยยิ้มใจดีปรากฏบนริมฝีปาก แม้ไม่เห็นหน้าน้อง ผมก็รู้ว่าต้าต้องกำลังยิ้มตอบอยู่อย่างแน่นอน
“ชื่อน้องต้าใช่มั้ย”
ต้าพยักหน้าขึ้นลงถี่ๆ หมอหน้าหวานลุกขึ้นเดินไปหยิบเก้าอี้ว่างอีกตัวในห้องแล้วเข็นมาไว้ใกล้ๆตัวที่ตนนั่ง
“น้องต้ามานั่งนี่เร็ว พี่หมอมีเรื่องอยากคุยด้วย” พูดพร้อมกับตบเบาะเบาๆ แต่ต้าส่ายหน้าอิดออดไม่ยอมไป
“พี่ชายเรายืนนานแล้ว ท่าทางจะเมื่อยนะ” เสียงห้าวพูดเปรยๆ ต้าหันขวับมามองผม คิ้วเรียวเลิกสูงก่อนเสียงใสจะถามขึ้น
“เตอร์เมื่อยเหรอ?”
ผมเหลือบตามองหมอหน้าหวานนิดๆ เขายิ้มให้ ผมมองน้องอีกครั้งแล้วพยักหน้า
ต้าหน้ามุ่ย ยอมย้ายตัวเองไปนั่งข้างๆหมอแต่โดยดี ผมจำต้องนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างๆแม่ เมื่อเห็นน้องมองมาตาไม่กระพริบเป็นเชิงบังคับ
“พี่หมอชื่อดิวนะครับ ตอนนี้น้องต้าอายุเท่าไหร่แล้ว ไหนบอกพี่ดิวสิ”
“เก้าขวบครับ”
ทันทีที่น้องพูดจบ ใบหน้าที่สวมแว่นทรงเหลี่ยมก็เหมือนเดิม ไม่มีริ้วรอยของความแปลกใจปรากฏให้เห็น
หมอดิวเอื้อมหยิบกระจกด้านหลังแล้วยื่นให้ต้า
“เคยสงสัยมั้ย ทำไมหน้าตาตัวเองถึงได้เปลี่ยนไปจากเดิม”
ต้ายกกระจกขึ้นมองเพียงครู่ก่อนจะวางลงแล้วตอบเต็มเสียง
“ก็ต้ากินนมทุกวัน จะโตขึ้นก็ไม่เห็นแปลก พ่อกับแม่บอกว่า ถ้าอยากสูงเร็วๆ ก็ต้องกินนมเยอะๆ”
หลังจากที่ฟังคำตอบจบ บรรยากาศในห้องเงียบกริบ ทว่าหมอดิวกลับหัวเราะเสียงดังก่อนจะยกมือขาวขึ้นขยี้หัวทุยของน้องอย่างนึกเอ็นดู
“น้องต้าเคยมีอาการปวดหัวมั้ย” เสียงหัวเราะหายไปแต่รอยยิ้มยังไม่จางไปจากใบหน้า
ต้าขมวดคิ้วนิ่งคิดนิดนึงก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่นะ ต้าไม่เคยปวดหัว”
หมอหน้าหวานยื่นช็อกโกแลตให้ ต้าชะงักหันมามองผม คงไม่กล้ารับของจากคนแปลกหน้า ผมพยักหน้ายิ้มๆ น้องเลยยกมือไหว้แล้วรับช็อกโกแลตมาก่อนจะแกะกินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ของชอบเขาล่ะ ช็อกโกแลต
“ทางคุณแม่ และพี่ชายจะขัดข้องหรือเปล่าครับ หากหมอจะขอตรวจน้องโดยละเอียด”
“ต้าเป็นอะไรคะ” เสียงแม่ติดจะสั่นเล็กน้อย คิ้วขมวดเป็นปมกลางหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม
“หากน้องไม่ได้รับการตรวจร่างกายโดยละเอียด หมอคงสรุปอะไรไม่ได้มาก ได้แต่วินิฉัยว่าอาการของน้องหากไม่ได้เกิดจากการกระทบกระเทือนทางสมองอย่างที่คุณแม่บอกมา น้องอาจจะได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายเกิดภาวะช็อค ส่งผลให้สมองปิดกั้นเรื่องเลวร้ายที่เจ้าตัวไม่อยากจำ และหลงเหลือแต่ความทรงจำดีดี ในกรณีของน้องต้า ความทรงจำดีดีคงเป็นเรื่องราวในช่วงวัยเด็ก”
กระทบกระเทือนทางจิตใจ เหรอ..
ผมกัดฟันแน่นหลุบสายตามองโต๊ะไม่กล้าสบกับดวงตาหลังกรอบแว่นที่กำลังจ้องอย่างจับผิด
ที่น้องเป็นอย่างนี้ สาเหตุมาจากผม จริงๆสินะ
น้องจำเรื่องหลังจากเก้าขวบไม่ได้.. จำไม่ได้แม้กระทั่งว่าพี่ชายคนนี้เคยทำเรื่องเลวระยำไว้ขนาดไหน..
จำไม่ได้ ใช่ไหม...?
หัวใจที่เคยเหือดแห้งเพราะความรู้สึกผิด กลับค่อยๆพองฟูและเต้นเป็นจังหวะอีกครั้ง
หากผมบอกว่า ผมดีใจ ที่น้องจำอะไรไม่ได้ ผมคงจะดูเลวมาก
แต่.. ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าผมดีใจจริงๆ
ดีใจที่ต่อไปนี้ ผมกับน้อง จะยังเหมือนเดิม ไม่มีเรื่องบาดหมางระหว่างเราสองคน
...และคงไม่ผิดนัก หากผมจะเก็บเรื่องนั้น ไว้เป็นความลับ... ตลอดไป
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณหมอว่าจริง ต้ามีโอกาสหายมั้ยคะ” น้ำเสียงแม่ฟังดูร้อนรน ใจผมกระตุกวาบรู้สึกลุ้นกับคำตอบ
“คนไข้เคสนี้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก โอกาสหาย 50-50 ครับ หมอต้องรู้ก่อนว่าที่คนไข้เป็นแบบนี้สาเหตุเกิดจากอะไร จะได้รักษาให้ถูกจุด โดยปกติแล้วมนุษย์เราจะลบความทรงจำอันเจ็บปวดโดยการเก็บกดไว้ในจิตไร้สำนึก ก่อให้เกิดกลไกที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันตัวเองที่เรียกว่า "Ego Defense Mechanism" ขึ้นมา อาการของน้องต้าเป็นการลืมเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล การรักษาต้องใช้เวลา ซึ่งหมอคงตอบไม่ได้ว่าจะใช้เวลามากน้อยแค่ไหนถึงจะหาย ทั้งนี้ทั้งนั้นการรักษาจะไม่สำเร็จหากคนไข้ไม่ให้ความร่วมมือ”
“ป้องกันตัวเองเหรอคะ?” แม่ทวนถาม สีหน้ายังคลางแคลง
“หากคุณแม่ไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าที่น้องต้าเป็นแบบนี้ เกิดจากอาการป่วยจริงหรือแค่แสร้งทำ มีเพียงวิธีเดียวคือสังเกตพฤติกรรม หากคนเราโกหก จะต้องเผยพิรุธในวันใดวันหนึ่ง ของแบบนี้ผมว่าคงดูกันไม่ยาก” หมอดิวอธิบายอย่างในเย็นพลางยิ้มบางที่มุมปาก
แม่นิ่งคิดสักครู่ใหญ่ สีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
“คุณหมอคะ ช่วยรักษาลูกชายแม่ที จะใช้เงินเท่าไหร่ยังไงแม่ไม่มีปัญหา ทำยังไงก็ได้ ทำให้ลูกของแม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมทีเถอะค่ะ”
มือผมเย็นเฉียบ รู้สึกหนาวไปทั้งร่างทันทีที่ได้ยินว่าแม่ต้องการจะรักษาน้อง
ไม่อยากให้หาย นั่นคือความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในใจ
หมอหน้าหวานผละสายตาจากแม่แล้วหันไปตามแรงดึงน้อยๆที่กระตุกเสื้อแขนยาว
“ว่าไงครับน้องต้า”
“รักษาอะไร ต้าเหรอที่ต้องรักษา ไม่รักษาได้มั้ย ไม่อยากถูกฉีดยา” ริมฝีปากอิ่มเบะออก นัยน์ตาล้อแสงไฟปริ่มไปด้วยหยาดน้ำใสอย่างน่าสงสาร
หมอยิ้มน้อยๆก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมนุ่มเบาๆแล้วเอ่ยปลอบประโลม
“หมอไม่ได้จะฉีดยา ไม่เจ็บหรอกนะ แค่นอนเฉยๆ แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”
“ไม่เจ็บจริงเหรอ” เหมือนยังไม่แน่ใจจึงทวนถามอีกครั้ง
“ไม่เจ็บจริงๆครับ พี่หมอรับประกัน”
ถึงจะอย่างนั้น ต้าก็ยังเบะปาก มือปล่อยจากเสื้อแขนยาวแล้วหันมามองผมด้วยนัยน์ตาอ้อนๆ
“เตอร์ กลับบ้านกัน อยากกลับบ้าน”
ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปจับแขนน้องดึงอย่างเบามือ
“งั้นเรื่องรักษาเอาไว้ก่อนนะครับ ยังไงตอนนี้น้องเองก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร รอให้น้องพร้อมก่อนแล้วค่อยพามาใหม่ก็คงยังไม่สาย ใช่มั้ยครับคุณหมอ” ผมยิ้มพลางดึงต้าเข้าประชิดตัวให้ห่างจากหมอหน้าหวาน
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดวงตาหลังกรอบแว่นที่มองผมเหมือนซ่อนเร้นประกายอะไรบางอย่าง
เหมือนรู้..
บางที ผมอาจคิดมากไปเอง
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ แล้วแต่ทางคนไข้จะสะดวก”
“ไม่ค่ะ! วันนี้เลย” แม่สวนขึ้นกลางครัน มือเล็กของน้องบีบแขนผมแน่นก่อนจะหลบไปซ่อนอยู่ด้านหลัง
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณแม่ รอให้น้องพร้อมก่อนก็ได้ ระหว่างนี้ให้น้องใช้ชีวิตปกติ แต่หมอขอเพียงอย่างเดียว อย่าข่มเหงหรือให้น้องได้รับการกระทบกระเทือนไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจเป็นอันขาด”
หมอดิวพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนดันแว่นขึ้น
“แม่ ไปกันเถอะครับ” ผมเร่งแม่ อยู่ๆก็รู้สึกร้อนราวถูกเปลวเทียนจี้ คำพูดของหมอก็เป็นแค่การแนะนำธรรมดา แต่มันกลับแทงใจดำผมเข้าเต็มๆ
เวลาผ่านไป แม่ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น
“แม่ครับ เดี๋ยวเตอร์กับน้องไปรอที่รถนะ” ผมพูดพร้อมกับดึงแขนน้องให้ออกจากห้องนี้
... ไม่อยากอยู่ในห้องนี้แล้ว
กลัวสายตารู้ทัน..
กลัวความลับที่ซ่อนเร้นจะถูกล่วงรู้..
ผม... ยังไม่พร้อม
“เตอร์ ต้าจะไม่โดนฉีดยาแล้วใช่มั้ย”
ผมพยักหน้าให้ ลอบกลืนน้ำลายหนืดๆลงคอ ยิ่งมองใบหน้าใสซื่อนี้ ก็ราวกับยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
“ต้าไม่เชื่อหรอกที่หมอบอกว่าไม่เจ็บ หมอโกหกหมด ครั้งที่แล้วที่ไม่สบาย หมอก็บอกจะไม่ฉีดยาๆ แล้วก็ฉีดตลอด” เสียงเจื้อยแจ้วพูดไปเรื่อย ผมกระชับจับมือน้องให้แน่นขึ้น แล้วออกเดินช้าๆ
“เตอร์ ต้าอยากกินช็อกโกแลตแบบนั้นอีก ที่หมอน่ารักให้ อร่อย”
ผมหันไปมองก็เห็นใบหน้ายิ้มตาหยี อดไม่ได้จนต้องยกมือยีผมอย่างหมั่นเขี้ยว
“อืม เดี๋ยวพาไปซื้อนะ”
แค่รับปากจะพาไป น้องก็ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เจ็บแปลบเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น อยู่ๆก็รู้สึกอยากหนีไปให้ไกลๆ หนีจากน้อง หนีจากความรู้สึกผิดที่จุกอก
แต่ถึงจะรู้สึกผิด ผมก็ยังอยากให้น้องจำอะไรไม่ได้อย่างนี้.. ผมคงเลวมากใช่มั้ย?
ห้วงความคิดสะดุดลงเมื่อรู้สึกได้ว่ามือข้างที่เคยจับมือกับน้องตอนนี้ว่างเปล่า หันมองไปข้างตัวก็ไม่เห็นน้อง
หัวใจผมหล่นวูบพลันหันซ้ายหันขวามองหา ก่อนสายตาจะเห็นแผ่นหลังไวไวของต้าที่ผมจำได้กำลังเดินตามหลังผู้ชายร่างใหญ่
ผมรีบวิ่งตามไป มือจับไหล่น้องไว้แล้วดึงให้หันมา ต้ามองหน้าผมด้วยใบหน้าตื่นๆ
“จะไปไหน?”
“ป เปล่า กลับบ้านกัน” ปากน้องพูด แต่ขาไม่ขยับ ใบหน้าเหลียวหันไปด้านหลังอีกครั้ง
ผมมองตามสายตาน้องที่จับจ้องผู้ชายร่างสูง ผู้ซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนถึงข้อศอก
ลำแขนกำยำข้างซ้ายมีรอยสักกราฟฟิกสีดำตวัดเลื้อยตั้งแต่ข้อศอกลงมาจนถึงข้อมือตัดกับผิวสีซีด เหมือนสีเสื้อที่ตัดกับผนังของโรงพยาบาลสีขาวจนดูโดดเด่นและดึงดูดสายตาได้อย่างน่าประหลาด
ผมมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนร่างนั้นหายลับเข้าไปในห้องที่ผมกับน้องเพิ่งเดินออกมา
________________________________________________
TALK:: พาร์ทนี้ ครอบครัวน้องก็เชื่อหมดแล้วเนอะ
ไม่เชื่อตั้งแต่แรกนั้น เรามองว่า เรื่องแบบนี้มันเชื่อยาก แม่เองก็สงสัยนะที่ลูกเป็นแบบนั้น แต่ก็แค่สงสัย และคิดว่าลูกแกล้งทำมากกว่า
พาร์ทนี้ได้พาพี่เตอร์ออกมาโชว์ตัวด้วย
ขอบคุณทุกกำลังใจเช่นเคยค่ะ ชุ้บๆ