ตอนที่ 21
“ อสูร ! ไอ้พวกสัตว์อสูรมันอยู่ข้างนอก ”
“ หนีเร็ว ! ”
โฮกกกก
เสียงกรีดร้องของภูตที่หนีกันจ้าละหวั่นดังกลบเสียงงานเฉลิมฉลองของท่านราชาภูตที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกวัน สัตว์ต่างๆ ที่เดิมทีออกมาแสดงความยินดีต่างพากันเร้นกายหนีไปยังที่ซ่อนของมัน เพื่อหลบเลี่ยงสงครามที่กำลังจะเกิด
สิ่งที่สัตว์เหล่านี้สัมผัสได้นั้นคือจิตสังหารจำนวนมหาศาลจากภายนอก
สิ่งที่ปกป้องพวกมันไว้ใกล้จะพังเต็มทน
สิ่งที่ทำได้คือการหลบซ่อนเท่านั้น !
ในขณะที่ข้างล่างนั้นมีการหนีกันวุ่นวายบนต้นไม้สูงกลับมีอาคันตุกะสองคนที่มาเยือนแล้วไม่ยอมกลับดินแดนเช่นเดียวกับอาคันตุกะบางคนที่ยังอยู่ต่อแม้จะถูกการกระทำไร้มารยาทของทหารภูต
“ อสูรเนี่ยนะ มันยังอยู่อีกเหรอวะเนี่ย ” คนแคระร่างเล็กจิ้ปากเซ็งๆ ในมือโยนที่ขุดแร่สีสว่างทำจากอัญมณีเล่น
“ เออสิ เจ้าจำตอนที่เราไล่มันไม่ได้รึไงกัน ไอ้โง่มารัส ” ระหว่างที่เจ้าตัวพูดก็จิบเหล้าแดงหมักอย่างดีจากแอปเปิ้ล
“ ข้าจะไปรู้ไหมล่ะ ไอ้งั่งเกททิน ” มารัสหักกิ่งไม้ใกล้ตัวขว้างใส่เกททิน
เกททินกระโดดหลบได้อย่างคล่องแคล่วแม้ขาที่มีนั้นจะสั้นมากก็ตาม เกททินเป็นคนแคระเช่นเดียวกับมารัสแต่เกททินมีจมูกที่ยื่นยาวออกมายาวกว่ามารัส ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติของชาวคนแคระที่จะมีส่วนต่างๆ แปลกๆ อย่างหูที่ยาวผิดรูป ตาที่ไม่เท่ากันในแต่ละข้าง แต่อย่าดูถูกชาวคนแคระเหล่านี้เป็นอันขาด
พวกเขานับว่าเป็นอัจฉริยะด้านการขุดแร่เลยทีเดียวทำให้คนแคระนั่นร่ำรวยมากจากการขายอัญมณีต่างๆ แต่สิ่งอื่นพวกเขาก็โดดเด่นเช่นกันอย่างการใช้อาวุธก็รวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน เวทมนตร์ประหลาดที่สาปออกมาได้ผลแปลกๆ
มารัสจิ้ปากและปรับหมวกของตัวเองให้เข้าที่ “ หลบไวเป็นลิงเชียว ”
“ เจ้ามันช้าเกินไปต่างหาก ”
ครืนนนน
เสียงการพังทลายดังสนั่นจนได้ยินทั่วบริเวณ ไม้เลื้อยที่เดิมทีสานต่อกันอย่างแน่นหนาตอนนี้บางช่วงกลับหักลงจนเปิดช่องว่างให้ศัตรูได้กล้ำกรายเข้ามา
“ ดูเหมือนว่าจะเยอะกว่าครั้งที่พวกเราเจออีก ” เกททินเอามือป้องตาตัวเองขณะที่ส่องศัตรู
“ กลัวอะไร ยังไงพวกเราก็เผ่นกันได้อยู่ดี ” มารัสยิ้มแล้วขว้างกิ่งไม้ไปปักหัวอสูรที่บุกรุกเข้ามาใกล้
เกททินยักไหล่“ ไม่ล่ะ เดินเล่นกันให้สนุกกันก่อนดีกว่า ” และกระโดดพรวดลงจากต้นไม้ไปเกาะบนหัวของอสูร
โฮกก
อสูรส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรงเพิ่อให้สิ่งที่มาเกาะได้หลุดกระเด็นออกไปพร้อมกันนั้นมือที่เต็มไปด้วยเล็บก็พยายามคว้าเช่นเดียวกัน
อย่างที่รู้ เกททินเป็นคนแคระ
ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะจับเกททินได้
“ จะเขย่าทำไมนักหนา ข้ามึนหัว ” เกททินหยิบมีดผลึกแร่ออกมาท่องเวทเบาๆ จนมันเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกลายเป็นมีดแล้วปักเข้าที่หัวอสูรจนมิดด้าม มีดของเกททินนั้นแผ่ไอเวทสีดำจางออกมาทำให้อสูรคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม เพราะที่มันส่งไอเวทจางออกมาคือพิษและเวทที่เกททินอัดเข้าไป
เพียงเวลาชั่วครูอสูรก็เสียการทรงตัวแล้วล้มพบไปบนพื้น
ดวงตาเบิกค้างกว้างอย่างน่ากล้ว
เกททินไม่เป็นเพียงคนแคระธรรมดาที่สามารถขุดแร่ดีๆ ได้ แต่ยังเป็นคนแคระที่มีชื่อเสียงด้านการใช้พิษผสานเวททำให้ศัตรูเป็นอัมพาต ตาย หรืออะไรก็ตามที่เจ้าตัวต้องการ !
เคยมีหลายครั้งที่เกททินมักถูกชักชวนจากดินแดนอื่นเพื่อไปเป็นทหาร
ฝีมือการต่อสู้ที่คาดเดาไม่ได้และน้อยคนที่สามารถทำได้
นั่นแหละ คือ เกททิน
“ อะไรกัน เจ้าควรฆ่ามันได้ตั้งแต่กระโดดลงมาแล้วนะ ” มารัสเหน็บขณะที่ใช้ดาบที่สูงและหนักกว่าตัวเองเป็นสองเท่าฟันตัวอสูรจนขาดเป็นสองท่อน
มารัสก็เช่นกันที่ไม่ใช่เป็นคนแคระที่เอาแต่ขุดแร่หาเงิน
มารัสมีจุดเด่นเรื่องการใช้ดาบโจมตีศัตรูและพละกำลังมหาศาล
ดาบที่ใช้อยู่มารัสเป็นคนหลอมขึ้นมา มันสามารถป้องกันเวทมนตร์ได้เกือบทุกชนิด ถ้าหากศัตรูไม่ได้มีฝีมือเทียบเท่าระดับราชา
“ เจ้าก็เหมือนกัน ทำได้แค่ฟันมันเป็นสองท่อน ไม่มีศิลปะในการต่อสู้สักนิด ” เกททินก้าวขาออกจากอสูรปัดฝุ่นที่เกาะเสื้อคลุมตัวยาวสีทึบภายในเสื้อประกอบด้วยขวดยาพิษขวดเล็กจำนวนมหาศาลจนนอกจากเจ้าตัวก็คงไม่รู้ว่าเป็นพิษประเภทใดบ้าง “ รู้จักไหม เพลงดาบน่ะ ถ้าเจ้าไม่รู้จักก็ไปดูพวกมนุษย์งี่เง่าตีกันซะ ”
มารัสตวัดดาบใส่เกททินแทนเพลงดาบที่อีกฝ่ายเรียกร้อง “ ทำไมข้าต้องเอากระบวนท่าไร้สาระพวกนั้นที่มีดีแค่ความสวยงามมาใช้แทนการโจมตีที่ทรงพลังล่ะ ! "
เกททินไม่ได้หลบเพียงแค่เปลี่ยนผลึกแร่ให้กลายเป็นโล่ป้องกันตัวเอง “ นักกวีแต่งกวีเพื่อความสุนทรีย์ แล้วนักดาบอย่างเจ้ามันสุนทรีย์เป็นไหม นอกจากจะเตี้ยแล้วเจ้ายังไม่มีรสนิยมอีกนะ มารัส ”
“ พวกที่วันๆ เอาแต่ชื่นชมยาพิษของตัวเอง ก็ไม่มีสิทธิว่าคนอื่นเหมือนกัน ”
“ ยาพิษของข้าไม่ดีตรงไหนกัน ? เจ้าดูไม่ออกงั้นเหรอถึงสีที่งดงามของมัน สีแดงเลือดที่ก้ำกึ่งระหว่างความตายกับการมีชีวิต สีเขียวที่ดู—”
“ หยุดๆๆ ข้าไม่อยากฟังเรื่องงี่เง่าแบบนี้ มันทำให้ข้ารู้สึกโง่กว่าพวกอสูรอีก ” มารัสทำหน้าขยะแขยง
เกททินรู้สึกไม่สบอารมณ์จึงหยิบขวดยาพิษปาเข้าใส่มารัส
“ เดี๋ยว ! ข้าจำกลิ่นนี้ได้ ! ไอ้บ้าเกททินนน นี่เจ้าโยนยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดใส่ข้างั้นเหรอออ ” มารัสสะดุ้งรีบหลบไปอีกทางส่งผลให้อสูรที่วิ่งมาข้างหลังโดนเข้าเต็มๆ
โฮกกกกกกกกก
อสูรกรีดร้องเสียงดังสนั่นจนพื้นดินสะเทือนมันพยายามสลัดพิษที่ติดอยู่บนตัวออกหวังจะบรรเทาความเจ็บปวดที่ได้รับ ผิวหนังขรุขระของอสูรนั้นค่อยๆ ละลาย มันกรีดร้องออกมาอย่างขวัญเสีย
“ ดีนะที่ข้าหลบทัน ไม่งั้นคงสภาพเดียวกับอสูรนี่แหงๆ ” มารัสถอนหายใจอย่างโล่งอก
ครืนนนน
เสียงคล้ายเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายของกำแพงไม้เลื้อย
ก่อนที่มันจะพังลงมาจนหมด
“ เฮ้อ นี่เราต้องไปหลบกันบนต้นไม้อีกแล้วเหรอ ” เกททินบุ้ยหน้าเซ็งๆ
“ เออสิ จะอยู่ให้โดนเหยียบรึไงเล่า ”
เพราะหลังจากกำแพงถล่มลงมาชาวภูต สัตว์ หรืออะไรสักอย่างก็ต่างพากันวิ่งกันมาทางที่เกททินและมารัสยืนอยู่ ซึ่งจำนวนมันก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย
“ หรือเจ้าจะอยู่ตบอสูรเล่นล่ะ ” มารัสพูดอย่างกระตือรือร้น “ ดีไม่ดีถ้าช่วยฆ่าจนหมด อาจจะโดนตบรางวัลให้ก็ได้ ! ”
“ ตามนั้นนั่นแหละ ขืนขึ้นไปบนต้นไม้อีก ข้าคงได้กลายเป็นกิ้งก่าแน่ ”
สิ้นเสียงการพลังทลายของกำแพงไม้เลื้อย
เรียกให้นูร์ดูคุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม “ เอาวิญญาณเจ้ามา !! ”
เมเออร์มองกลับด้วยสายตาเย็นชาในมือถือธนูง้างเล็งไปที่นูร์ “ ทำไมกำแพงถึงได้พังทลายล่ะ นูร์ ”
กรอดดดด
ร่างของนูร์ค่อยๆ เปลี่ยนรูปจากมนุษย์กลายเป็นอะไรบางอย่าง
ปีกยักษ์สีดำที่เว้าแหว่งในบางส่วน
หางที่ยืดยาวออกมาจนน่ากลัว
นัยน์ตาหมุนริ้วสีแดงเลือด
ชุดคลุมกายสีดำทมิฬ
พร้อมกับเคียวอันยักษ์ในมือ
“ ยมทูต ? ” ฟาร์คัสพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด
คาร์บิลัสมองนูร์เซ็งๆ “ ชุดนั่นน่าเกลียดชะมัด ไร้รสนิยมสิ้นดี ”
ดัฟฟ์เอียงคอ “ หิวง่ะ ”
“ คิดเหรอว่าข้าจะเอาวิญญาณของเจ้ามาแลกกับการยืดอายุของกำแพงที่ไม่รู้ว่าจะพังวันไหนแบบนี้เหรอ เมเออร์ ”
เมเออร์กัดฟันกรอด “ นี่เจ้าผิดคำสัญญางั้นเหรอ ”
“ สัญญานั่นไม่มีมาแต่แรกแล้ว ” แววตานูร์ทอประกายความสะใจ “ สิ่งที่ข้าควรได้ก็คือวิญญาณของเจ้าเท่านั้น ! ”
ฉับพลันนูร์ได้พุ่งเข้าไปหาเมเออร์และตวัดเคียวใส่
เพื่อที่จะดึงวิญญาณอีกครึ่งที่เหลืออยู่มา
แต่ก่อนที่จะถึงตัวเมเออร์กลับถูกกั้นด้วยกำแพงสีทอง
“ คิดจะทำอะไรพ่อของข้ากัน ! ” เอลล์ตะหวาดกร้าว
ความยินดีที่ได้มองเห็นนั้นยังอยู่
แต่ว่าหลังจากได้สติคืนกลับมาทำให้เอลล์ตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้สำคัญกว่าการมองเห็นของตนมากนัก ยิ่งมีผู้ที่จะมาเอาชีวิตพ่อของตนอีก
ยมทูต..
นูร์แสยะยิ้มตวัดเคียวฟันกำแพงออกจากขาดสะบั้น “ บุตรแห่งสงคราม ขอบคุณที่เจ้าเกิดมาพร้อมกับตำนานงี่เง่านะ ”
“ พูดบ้าอะไรของเจ้า ! ” เอลล์ตะคอกใส่อย่างผิดวิสัยที่มักจะอ่อนโยน
“ ความคิดเป็นสิ่งที่ทำร้ายผู้อื่นได้พอๆ กับอาวุธเลยล่ะ ” นูร์หัวเราะเสียงแหบ
ฟู่
ลุกซ์กลายร่างกลับเป็นมังกรแล้วพ่นไฟลูกยักษ์ใส่นูร์
แต่นั่นก็ไม่สามารถทำอะไรได้กับผู้ที่มีฐานะเป็นถึงยมทูตอยู่ดี
“ แต่เพราะอย่างงี้แหละมันถึงจะสนุก การเล่นสนุกกับชีวิตคนอื่นมันสนุกกับการเล่นอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ ” นูร์ควงเคียวไปมาก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นเฉียบคม “ หมดเวลาสำหรับการคุยเล่น ข้าไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น ” และตวัดเคียวใส่ไปในทางเมเออร์อีกครั้งโดยไม่สนใจเอลล์ที่ยืนขวางใหญ่
หลังจากการตวัดเคียวของนูร์เกิดแสงสีดำสนิทส่งแผ่กลิ่นอายน่าขนลุกสิ่งที่อยู่รอบตัวจู่ๆ กลับแห้งเหี่ยว
เมเออร์เตรียมจะหลบแต่กลับพบว่าถูกพันธนาการไว้ที่ขา “ นูร์ !! ” เมเออร์คำรามชื่อออกมาอย่างเคียดแค้น
เอลล์กระโดดเข้าไปหวังจะบังพ่อเอาไว้
“ หลบไปซะ ! เอลล์ ” เมเออร์ใช้กิ่งไม้กั้นเอลล์เอาไว้ “ ต่อให้ข้าตายมันก็ไม่ได้ส่งผลออะไรมาก ราชาอย่างเจ้าไม่สมควรตายเพราะเรื่องแค่นี้ ! ”
แสงสีดำนั่นใกล้เมเออร์ขึ้นทุกทีแม้จะถูกสกัดไว้ทั้งจากลูกไฟของลุกซ์กับเวททั้งของฟาร์คัสและคาร์บิลัสก็ไม่สามารถต้านทานได้
สถานะของยมทูตไม่ใช่สิ่งที่สามารถต่อกรได้ง่าย
ก็เหมือนกับผู้ควบคุมกาลเวลาที่มีพลังมหาศาล
เรียกได้ว่านอกจากพวกเดียวกันแล้ว
ก็ไม่มีสิ่งไหนสามารถสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้ออีกแล้ว
แต่ก่อนที่เมเออร์จะถูกแสงสีดำนั่นทำร้าย กลับมีเคียวอีกอันขึ้นมาขวางไว้ได้ทัน ! พลังทั้งสองอย่างนั้นหักล้างกันจนหายไป
และปรากฎร่างของผู้ที่โผล่เข้ามาช่วยเมเออร์
นูร์เบิกตากว้างดวงตาขึ้นสีแดงก่ำกว่าเดิม “ พาซ ! ”
พาซขยับยิ้ม “ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ” พร้อมหรี่ตาลง “ ยมทูตผู้ทำผิดกฎ ”
นูร์เค่นเสียงเสียงขึ้นจมูก “ ไอ้พวกโง่ที่ทำตามหน้าที่ไม่มีสิทธิมาว่าคนรักอิสระอย่างข้า ”
“ เจ้าเกิดมาเพื่อทำงานให้กับท่านผู้นั้นนูร์ ” พาซพูดเสียงเย็น ใบหน้าที่ถูกปิดคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำกำลังแสดงสีหน้าโกรธจัด “ พวกเราเป็นสิ่งที่โชคดีได้รับพลังมากกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ไม่มีความรู้สึกเจ็บหิวหรือเหนื่อย ความตายก็ถูกยับยั้งไว้ ท่านผู้นั้นยังประทานความรู้สึกนึกคิดให้เราอีก ! สิ่งที่เราควรทำคือทำตามที่ท่านต้องการไม่ใช่การทำตามใจตัวเอง นูร์ ”
“ นั่นละสิ่งที่น่าเบื่อ เจ้าเคยลองลิ้มรสวิญญาณรึยัง ? ข้าว่ามันรสชาติดีใช้ได้เลยล่ะ ”
พาซเบิกตากว้าง “ เจ้า ! ”
“ หึหึ นอกจากรสชาติดีมันยังทำให้ข้าอยู่ต่อได้โดยไม่ตั้งไปรับพลังวิญญาณจากแท่นบ้าบอนั่นด้วย ”
การที่ยมทูตจะคงอยู่ได้นั้นมีข้อแม้เช่นกัน
คือทุก 1 เดือนต้องมีสักวันที่ต้องไปยืนบนแท่นปล่อยให้แสงจันทร์และแสงอาทิตย์อาบร่างกายหนึ่งคืนเพื่อปรับสมดุลร่างกายไม่ให้มีความมีความมืดหรือความสว่างในตัวมากกว่ากัน
“ เจ้าทำให้วิญญาณพวกนั้นแตกสลายไปโดยไม่ใช่เหตุ ” บรรยากาศรอบตัวพาซเริ่มทำให้อากาศรอบตัวกรีดร้อง ซึ่งนั่นก็รุนแรงกว่าของนูร์เสียอีก “ ถ้าเจ้ายอมถูกจับตัวดีๆ ข้าจะไม่ลงมือหนัก ”
“ ตลกร้ายแล้ว พาซ ข้าไม่ใช่มนุษย์จิตใจโลเลหรอกนะ ” นูร์แสยะยิ้มควงเคียวเล่น
ถึงแม้จะวางท่า
แต่ในใจกลับตรงกันข้าม
ร่างกายของนูร์ตอนนี้ค่อนข้างย่ำแย่
ถึงได้รีบจะเอาวิญญาณของเมเออร์มาปรับสมดุลร่างกาย
“ แล้วเจ้ากับข้าจะได้เห็นดีกัน ! ” พาซตะหวาดกร้าวตวัดเคียวใส่นูร์ทุกสิ่งที่ขวางทางล้วนแล้วแต่สลายกลายเป็นผุยผงยกเว้นแต่สิ่งที่พาซยกเว้นไว้
สิ่งมีชีวิตนั่นเอง
--------------
ค้างไว้ก่อน
ความจริงตั้งใจจะแต่งให้จบตอนแต่ปวดท้องง่ะ กินโค้กตอนท้องว่าง # ไม่เคยเข็ดสักที 555
เลยนอนหนีปัญหาซะเลย ยงยาก็ไม่มี