พิมพ์หน้านี้ - Ominous Bird นกบอกลาง [จบแล้ว]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Foggy Time ที่ 29-03-2015 22:03:37

หัวข้อ: Ominous Bird นกบอกลาง [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 29-03-2015 22:03:37
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

--------
พลอตนี้ได้มาจากตอนดูโตเกียวกูลแล้วชอบหน้ากากที่คล้ายอีกา 5555

ถ้าได้แต่งคงน่าสนุกดี  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง : ตอนที่ 1 29 มี.ค. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 29-03-2015 22:06:50
ก่อนที่จะพบความตายของใครบางคน
   
มักจะมีลางบอกเหตุมาก่อนเสมอ
   
ซึ่งนั่นก็คืองานของผู้ส่งสาร

   .............................

   ในโลกใบนี้มีดินแดนอยู่หลายดินแดนซึ่งหลักๆ ก็จะแบ่งได้ตามนี้เริ่มจากแดนมนุษย์ดินแดนที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาสนุกสนาน แดนที่สองเป็นดินแดนแห่งชาวภูตดินแดนนี้ค่อนข้างจะรักความสันโดษโดยไม่สุงสิงกับดินแดนอื่นเลยถ้าไม่จำเป็นอีกทั้งยังมีกำแพงไม้เลื้อยสีดำขนาดยักษ์ล้อมรอบอาณาจักรไว้อีกเชื่อกันว่าราชาแห่งภูตเมื่อพันปีก่อนเป็นคนเสกมันขึ้นมา ส่วนดินแดนสุดท้ายเป็นดินแดนที่แม้จะเปิดกว้างให้ใครต่อใครได้เข้าไปแต่ก็น้อยคนนักที่จะเข้าไปสุงสิงกับดินแดนนี้ซึ่งนั้นก็คือดินแดนปีศาจ ส่วนดินแดนอื่นๆ นั้นไม่เป็นที่แน่ชัดนัก
   
เมื่อมีการเกิดย่อมมีการตายซึ่งนั้นก็ก่อให้เกิดการแจ้งเตือนก่อนที่ความตายจะมาเยือนจะเรียกว่ามันเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของผู้สร้างโลกใบนี้ก็ว่าได้ที่ได้สร้างสิ่งมีชีวิตสำหรับการแจ้งลางบอกเหตุไว้ ซึ่งสัตว์ที่ใช้แจ้งลางบอกเหตุนั้นส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นนกโดยทั้งสิ้น โดยจะมีอีกา นกแสก นกบิตเทิร์น (ตระกูลนกกระสา นกกระยาง) นกคุกคู แจ็คดอว์(ตระกูลอีกา) นกเขา เหยี่ยว นกราเฟ่น(นกขนาดใหญ่ตระกูลอีกา)  นกโรบิน(นกเล็ก สีน้ำตาล หน้าอกสีแดง) เป็นต้น
   
โดยนกทั้งหลายเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในดินแดนลึกลับที่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ใดนอกจากพวกมันเอง การคงอยู่ของนกเหล่านี้นั้นในดินแดนต่างๆ นั้นกลับมองว่าเป็นสิ่งนำพาความชั่วร้ายมาที่บ้านทำให้ในแต่ละดินแดนมักจะทำร้ายนกเหล่านี้อยู่เสมอ นกพวกนี้จึงต้องมีการจัดระดับขึ้นมา โดยใช้ตราขนนกบอกระดับของแต่ละตัว สีทองคือระดับสูงสุด ตามด้วยสีเงิน สีทองแดง สีเทา และสีดำ ซึ่งเมื่อต้องมีการแจ้งลางบอกเหตุก็จะไปตามระดับความอันตรายของที่ๆ ที่จะไป
   
นอกจากนี้เวลาที่นกบอกเหตุพวกนี้จัดระดับกันนั้นจะใช้เป็นการประลอง ทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย อะไรต่างๆ ซึ่งหากผู้ใดก็ตามเป็นผู้ที่แข่งแกร่งที่สุดย่อมเป็นราชาของนกทั้งมวล ในตอนนี้เป็นของอีกา โดยตำแหน่งราชานั้นจะมีการคัดเลือกใหม่ทุกครั้งที่ราชาสละบัลลังก์ไม่นับว่าทายาทจะได้เป็นราชา
   
แม้ว่าทายาทที่ว่าจะแข็งแกร่งกว่าผู้เป็นพ่อก็ตาม !

   “ สถานที่ที่เจ้าจะไปในวันนี้คือบ้านของเจ้าแห่งดินแดนปีศาจ จงไปแสดงตัวและขับขานเสียงของเจ้าซะ ” เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของอะไรสักอย่างที่บอกไม่ได้ เป็นเสียงที่ฟังแล้วน่าขนลุกอยู่ในที

   “ ครับ ”  ข้าพยักหน้าน้อยๆ กับต้นไม้ตรงหน้าต้นกำเนิดเสียงที่ว่ามาจากต้นไม้ต้นนี้นั่นเอง เสียงมาจากในโพรงไม้ที่มืดสนิทเหมือนกับน้ำหมึกที่แสงไม่สามารถลอดผ่านไปได้อีกทั้งยังแผ่รังสีดำๆ ขมุกขมัวออกมาอีกเหมือนเตือนอยู่ลางๆ ว่าอย่าได้คิดจะเอื้อมมือเข้าไปเด็ดขาด

   “ ดีมาก ทายาทแห่งราชา ” เสียงน่าขนลุกเอ่ยอีกครั้ง “ จงระวังตัวไว้ให้ได้ เจ้าแห่งดินแดนปีศาจนั้นอันตราย ”
   ข้าไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะรู้ถึงข้อเท็จจริงนั่นดีชื่อเสียงของเจ้าปีศาจนั้นคือความเก่งกาจของเจ้าตัวเป็นปีศาจที่สามารถทำลายกำแพงไม้เลื้อยของดินแดนภูตได้ด้วยการเตะเบาๆ  สามารถโจมตีทัพอสูรปีศาจที่คุ้มคลั่งด้วยตัวคนเดียว แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับทายาทแห่งอีกาเท่าใดนัก เพราะหน้าที่ของข้าคือเพียงบอกเหตุร้ายเพียงเท่านั้น
   
ข้าเอ่ยพึมพำเสียงเบาเพื่อเรียกเวทเคลื่อนย้ายเมื่อเอ่ยจบวงเวทก็ปรากฏขึ้นโดยขั้นตอนดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้นและมันก็ได้นำพาข้าไปยังดินแดนปีศาจทันที โดยทิ้งสายตาตื่นตกใจปนชื่นชมของเหล่านกบอกเหตุทั้งหลายที่อยู่บริเวณนั้น วงเวทของทายาทแห่งอีกานั้นแม้จะมองไกลๆ ก็รู้สึกพลังอันน่าหวั่นเกรง แต่ถ้าหากมองใกล้ๆ ก็จะเห็นถึงความสลับซับซ้อนที่แฝงไปด้วยความสวยงามของวงเวทซึ่งตรงกลางนั้นเป็นรูปอีกาสยายปีกอย่างสง่างามคล้ายกับเจ้าของวงเวท
   
ข้ามาถึงดินแดนปีศาจด้วยเวลาเพียงชั่วพริบตา ตอนนี้ข้ากำลังยืนอยู่บนหน้าผาที่บริเวณรอบๆ นั้นแห้งแล้งมากซึ่งน่าจะมาจากน้ำฝนที่ตกบริเวณนี้มีน้อยมากเกินไป แต่ถึงแม้บริเวณนี้จะแห้งแล้งแต่กลับเป็นที่ๆ สามารถมองคฤหาสน์ของเจ้าปีศาจได้ถนัดนัก วงเวทเคลื่อนย้ายของนกลางบอกเหตุจะนำพาไปที่ๆ มองเห็นเป้าหมายชัดที่สุด ซึ่งเป้าหมายของข้าในตอนนี้ก็ปรากฏชัดเจนในสายตา

   ร่างกาย หยาดเลือด วิญญาณ ของผู้ส่งสารจงปรากฎ !
   
ฉับพลันร่างกายของทายาทอีกาก็เกิดความเปลี่ยนแปลง ร่างเดิมที่ตอนแรกนั้นเป็นร่างมนุษย์ค่อยๆ ตัวเล็กลงกลายเป็นอีกาสีดำทมิฬตัวขนาดย่อม ผู้ส่งสารกางปีกและส่งเสียงกังวานแล้วจึงบินไปยังจุดหมาย
   
หมู่ปีศาจที่ได้ยินเสียงอีกากังวานต่างพากันเงยหน้าขึ้นฟ้าหาต้นกำเนิดเสียงอย่างหวั่นเกรงว่าจะเป็นบ้านของตนเอง อีกานั้นไม่ใช่สัตว์ของดินแดนปีศาจการมาของมันมักจะมีการสูญเสียเสมอ เสียงอีกานั้นยังคงดังกังวานถึงแม้จะไม่เห็นต้นกำเนิดก็ตาม
   
ข้าส่งเสียงกังวานขณะที่บิน ในตอนนี้ข้าบินอยู่สูงในระดับเมฆทำให้ปีศาจที่ขับไล่นกบอกลางหาตัวข้าไม่เจอ ในปกตินั้นนกบอกลางจะบินในระดับที่ต่ำกว่าข้ามากแต่นั้นก็ต้องเป็นดินแดนมนุษย์เท่านั้น ข้าที่เป็นระดับขนนกทองต้องบินในระดับที่ผู้ประสงค์ร้ายไม่อาจมองเห็นเท่านั้น เพราะที่นี่คือดินแดนปีศาจ ปีศาจแต่ละตัวล้วนมีพลังเวทย์และพละกำลังที่น่าหวั่นเกรง ถ้าหากนกที่ระดับขนนกต่ำกว่าทองมาที่นี้อาจจะเป็นการเสี่ยงเกินไป
   
ใช้เวลาชั่วครู่ก็พาข้ามาถึงคฤหาสน์ของเจ้าปีศาจ ข้าไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้สูญเสียแต่หน้าที่ของข้าคือการมาร้องขับขานเท่านั้น ข้าค่อยๆ บินร่อนลดระดับลงมา และเกาะอยู่บนที่สูงสุดของคฤหาสน์ที่เป็นรูปดาวหกแฉก ข้าส่งเสียงกังวานอีกครั้งและอีกครั้ง หน้าที่ของข้าจะหมดลงเมื่อใกล้ย่ำรุ่ง ซึ่งในตอนนี้เวลาเพียงเที่ยงคืนเท่านั้น ดวงจันทร์ยังคงคั่งค้างอยู่บนฟากฟ้าส่งแสงนวลของมันจนกว่าดวงอาทิตย์จะมากลบมัน
   
ถึงแม้หน้าที่ของข้าจะดูไม่ยากแต่ข้าก็ไม่ได้ลดความระมัดระวังลงเลย ข้ากวาดสายตาไปรอบๆ เรียกได้ว่าแทบจะตลอดเวลา เสียงของข้านั้นยังคงดังกังวานทั่วคฤหาสน์หรือไม่ก็ไกลกว่านั้น เคยมีคนบอกข้าว่าเสียงร้องของข้านั้นดังกังวานไปไกลมากแม้จะไม่ได้ใช้เวทเสริมอะไรก็ตาม ข้าไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวให้เห็นเพราะแค่เสียงของข้าก็น่าจะบอกการคงอยู่ของข้าได้เป็นอย่างดี
   
“ วันนี้เจ้ามาเกาะบ้านข้าทำไม เจ้าอีกา ” เสียงทุ้มลึกที่บ่งบอกอารมณ์ได้ยากดังขึ้นมาจากด้านหลังของข้าอย่างกะทะหันแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ข้าบินหนีแต่อย่างใดเพียงแค่หันไปสบตากับเจ้าของเสียง
   
เป็นตามที่ข้าคาดว่า เจ้าแห่งดินแดนปีศาจได้ปรากฏตัวแล้ว ข้ามองเจ้าแห่งดินแดนปีศาจนิ่งๆ และหยุดการขับขาน ข้าไม่รู้ว่าเจ้าแห่งปีศาจจะทำอะไรข้าจึงเพียงอยู่นิ่งๆ เท่านั้น
   
“ เจ้าอีกาไม่ได้ยินที่ข้าพูดเหรอ ?  ” เสียงของเจ้าดินแดนปีศาจดูเย็นเยียบมากขึ้น แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ข้าหวั่นเกรงแต่อย่างใด ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถเอาตัวรอดได้
   
กา กา กา ข้าส่งเสียงกังวานต่อไปแต่สายตาก็คงยังหยุดนิ่งกับเจ้าแห่งดินแดนที่ข้าอยู่ตอนนี้

   “ ได้ ถ้าเจ้าไม่ตอบข้าก็จะบังคับให้เจ้าตอบเอง ! ” เจ้าแห่งปีศาจกระโจนเข้ามาหาข้าในชั่วพริบตา แต่ข้านั้นว่องไวยิ่งกว่าสามารถบินหนีไปเกาะอีกฝั่ง ข้าแสร้งไซร้ปีกเล็กน้อยเชิงว่าข้าไมได้เคี้ยวง่ายขนาดนั้น

   “ หึ เก่งจริงก็รอดจากเวทของข้าให้ได้แล้วกัน ” พูดจบเวทสีดำของเจ้าแห่งปีศาจก็พุ่งมาทางข้า ข้าท่องเวทในใจอย่างรัวและเร็วเพื่อรับการโจมตีของเจ้าปีศาจ ในขณะที่เวทสีดำของเจ้าปีศาจพุ่งล้อมรอบตัวข้าปิดทางหนี เวทของข้าก็ทำหน้าที่คุ้มกันผู้เป็นนายในทันที เวทของเจ้าปีศาจเมื่อชนกับเวทของข้าก็สะท้อนออกไปเหมือนกระจกที่สะท้อนแสง

   เจ้าแห่งปีศาจเลิกคิ้วน้อยๆ คล้ายกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย “ ไม่ใช่เล่นนี่เจ้าอีกา แต่ถ้าเจ้าเจอนี้ล่ะ ! ” ว่าจบก็หยิบขวดแก้วเล็กที่บรรจุน้ำสีอำพันสาดใส่ข้าทันที ข้าที่ไม่ทันตั้งตัวเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้น้ำในการโจมตีจึงโดนเข้าเต็มๆ

   ข้าหลับตาเตรียมรับความเจ็บปวดที่จะได้รับแต่ก็ต้องประลาดใจที่ไม่ได้รู้สึกบาดเจ็บใดๆ เลย แต่ร่างกายของข้ากลับกำลังกลายเป็นมนุษย์อีกา ในปกติพวกนกบอกลางจะไม่นิยมใช้ร่างนี้นักเพราะค่อนข้างเทอะทะเวลาจะทำอะไร ร่างๆ นี้จะใช้เฉพาะเวลาต่อสู้เท่านั้น ! 

   ปีกสีดำสนิทค่อยๆ งอกออกมาจากหลังผู้บอกลาง หน้ากากอีกาที่เช่นกันค่อยๆ งอกออกมาปิดบังใบหน้าส่วนบนและมีจะงอยปากยื่นออกไป ชุดสีดำสนิทที่มีสีทองแซมบอกถึงฐานะของผู้ส่งสารซึ่งสีของสิ่งที่กล่าวไปนั้นตัดกับสีผิวขาวสว่าง ปีกนั้นเหยียดกางออกคล้ายกับคลายความเมื่อยแล้วพับเก็บดังเดิม

   “ ใช้ได้เลยนี่หว่า เจ้าอีกา ” เจ้าแห่งดินแดนปีศาจเป่าปากอย่างอารมณ์ดีผิดกับเมื่อกี้โดยสิ้นเชิงแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ข้าคลายความระมัดระวังตัวลง

   “ ต้องการอะไร เจ้าแห่งปีศาจ ” ข้าถามเสียงเรียบ เขาไม่เข้าใจว่าจะให้เขาปรากฏร่างมนุษย์อีกาทำไม อีกฝ่ายน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาคือนกบอกลางที่สมควรตาย

   “ ข้าแค่อยากจับนกมาเลี้ยงเล่นสักตัวเท่านั้น เสียแต่ว่าดินแดนแห่งนี้มันมีแต่ปีศาจนก ” เจ้าแห่งปีศาจยักไหล่ตอบ
   
“ ข้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยง เจ้าแห่งปีศาจ ” ข้ามองด้วยสายตาเย็นชา คิดจะจับเขาที่เป็นถึงทายาทอีกาเป็นสัตว์เลี้ยง ตลกร้ายจริง

   “ แค่ชั่วคราวเท่านั้นเจ้าอีกา ข้าแค่อยากรู้ว่าอีกาบอกลางต่างจากนกตัวอื่นยังไง ”

   “ ข้าขอปฏิเสธ ” เลือดขัตติยะนั้นไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของใครทั้งนั้น
   
เจ้าแห่งปีศาจยกยิ้มที่ดูน่าขนลุกอยู่ในที ทำให้ข้าระมัดระวังตัวมากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่กว่าจะรู้ทัน ก็ถูกกรงสีดำทมิฬขังในชั่วพริบ
ตา ฝีมือของเจ้าแห่งปีศาจไม่ใช่คำพูดลอยๆ ของใครบางคน มันเป็นเรื่องจริง

   แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องหวั่นเกรง !

---------

เจอกันก็จับแล้วเหรอ  :z13:
   
   
   

   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 2 30 มี.ค. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 30-03-2015 21:22:49
-- ตอนที่ 2 --

ข้ากระพือปีกแรงๆ พร้อมอัดพลังเวทเข้าไปด้วยทำให้กรงขังสีดำทมิฬแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และค่อยๆ จางหายไป  ด้วยอารมณ์หงุดหงิดทำให้พลังของข้าดูรุนแรงกว่าปกติที่เป็น

   “  ไม่ใช่ย่อยนะเจ้าอีกา ” เจ้าแห่งปีศาจยังคงยิ้ม “ แบบนี้สิถึงจะเหมาะกับการเป็นสัตว์เลี้ยงของข้านะ ฟาร์คัส ” เสียงนั้นดูหยอกเย้าน้อยๆ
   
“ เกรงว่านั่นจะดูเป็นการล่วงเกินข้าเกินไป คาร์บิลัส ราชาแห่งปีศาจ ” ข้าแค่นเสียงตอบด้วยอารมณ์รุนแรง ทายาทแห่งอีกายังคงหงุดหงิดเพราะราชาปีศาจจ้องแต่จะจับเป็นสัตว์เลี้ยง ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายรู้แท้ๆ ว่าตนนั้นเป็นใคร

ผู้ที่เป็นถึงราชาปีศาจย่อมรู้จักสิ่งต่างๆ ในโลกกว่าผู้อื่น ต่อให้ดินแดนที่ว่านั้นจะลึกลับมากก็ตาม แต่นั้นก็ไม่ได้เกิดขอบเขตการสืบค้นของราชาปีศาจนัก ดีไม่ดีอาจจะรู้จักดินแดนทั้งหมดในโลกนี้ด้วยซ้ำ แต่ราชาปีศาจที่รู้จักฐานะของข้าดีกลับมาหยอกเล่นยังกับเขาเป็นเด็กก็ไม่ปาน เมื่อคิดถึงจุดนี้บรรยากาศรอบตัวของผู้ส่งสารดูทะมึนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

   “ ใจเย็นๆ น่าผู้ส่งสารของข้า ข้าแค่หยอกนิดหน่อยเอง ” ราชาปีศาจหัวเราะเบาๆ

   “ ข้าไม่ตลกด้วย ขออภัย ” บรรยากาศรอบกายของข้ายังคงอึมครึม “ ถ้าท่านไม่มีธุระอะไร ข้อขอตัว ” ข้ากล่าวลาสั้นๆ และตัดสินใจคืนร่างอีกาดังเดิม

   คืนร่างไมได้ ? ข้าเบิกตาน้อยๆ

   “ เกรงว่าข้าจะปล่อยสัตว์เลี้ยงของข้าหนีไปได้ง่ายๆ ไมได้หรอกนะ ฟาร์คัส ” ร่างของราชาปีศาจที่เดิมทีอยู่อีกฝั่งของข้าตอนนี้กลับโผล่มาข้างหน้าในพริบตา จนข้าเผลอสะดุ้งร่ายเวทโจมตีฉับพลันไป แต่ก็ไม่มีผลอะไรต่อราชาปีศาจแม้แต่น้อย

   นี้เป็นเวทป้องกันตัวที่ข้าภาคภูมิใจที่สุดเลยนะ

   ในเมื่อเวทไม่มีผลอะไรต่อราชาปีศาจ ข้าก็ตัดสินใจกระพือปีกแรงๆ ใส่พร้อมอัดเวทเหมือนเมื่อกี้ที่กรงได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งข้าก็กระทำมันพร้อมกับบินหนีไปอีกฟากด้วย

   “ กา !!!! ” ข้าเผลอร้องเสียงดังเมื่อมือของราชาปีศาจได้กระชากข้อเท้าข้าลงมากองที่พื้น ปีกสีดำทมิฬที่เตรียมจะกางเพื่อโผบินหนีอีกครั้งกลับโดนราชาปีศาจเหยียบเอาไว้จนขยับไม่ได้

   “ ฟาร์คัสของข้า อย่าพึ่งหนีไปสิ ” ขณะที่พูดราชาปีศ่าจก็ได้วาดมือไปมาในอากาศข้าที่เห็นเวทนั้นก็เบิกตากว้าง
   
เวทตีตรา !!!

ผู้ที่โดนตีตราไว้จะกลายเป็นของผู้ใช้เวททันที ผู้ใช้เวทสามารถรับรู้ว่าผู้ที่โดนตีตราอยู่ที่ใด ทำอะไรอยู่ อีกทั้งยังสามารถบังคับให้ทำสิ่งต่างๆ ได้ตามใจชอบอีกด้วย เสียแต่ว่าผู้ที่จะใช้เวทนี้ได้ต้องมีเวทมากกว่าผู้ที่โดนตีตรา  ซึ่งนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรของราชาปีศาจที่พลังเวทล้นเหลือ

ข้าดิ้นรนสุดชีวิตท่องเวทยาวเหยียดด้วยความเร็วเพียงอึดใจเดียวแต่นั้นก็ช้าสำหรับผู้ส่งสารอยู่ดี เมื่อร่ายจบร่างกายของข้าก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาและค่อยๆ ตัวเล็กลงเรื่อยๆ จนเท้าของราชาปีศาจที่เหยียบอยู่ไม่สามารถเหยียบได้เพราะปีกที่สยายกางได้เล็กเกินกว่าที่จะเหยียบได้ เมื่อหลุดออกมาได้ข้าก็ร่ายเวทเคลื่อนกลับทันที

 ทุกอย่างใช้เวลาไม่ถึงสามวินาทีทำให้ราชาปีศาจตั้งตัวไม่ทันจึงได้แต่ขมวดคิ้วเมื่อร่างของผู้ส่งสารได้หายไปจากคลองจักษุเสียแล้ว ราชาปีศาจยักไหล่น้อยๆ อย่างเซ็งๆ ผู้ที่เป็นถึงทายาทของราชาผู้ส่งสารย่อมมีฝีมือไม่ธรรมดาอยู่แล้ว สามารถต้านเวทพื้นฐานของเขาโดยไม่หอบหรือเหนื่อยแม้แต่น้อยอีกทั้งยังส่งสายตาเย่อหยิ่งนั้นมาอีก แต่นั้นก็ทำให้เขายิ่งอยากลองจับมา เขาอยากเห็นร่างเย่อหยิ่งร่างนั้นพ่ายแพ้หมดรูปชะมัด

แต่ยังไงก็ตาม เวทตีตรานั้นก็ใช้ได้ผลแม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม

ราชาปีศาจเหยียดยิ้มท่ามกลางความเงียบและมืดสนิทไร้ร่างและเสียงของอีกา

เมื่อวงเวทเคลื่อนกลับปรากฎอีกครั้งก็ปรากฎร่างที่พึ่งหนีมาเช่นกัน ร่างของผู้ส่งสารทิ้งตัวลงบนเตียงซึ่งนั้นก็ไม่ได้ทำให้เตียงยุบเลยแม้แต่น้อยเพราะตอนนี้เจ้าของร่างมีตัวไม่ได้ขนาดใหญ่ไปกว่าผีเสื้อเลย แต่เวลาเพียงชั่วครู่ร่างนั้นก็ค่อยๆ กลับขนาดเท่าดังเดิม แต่สิ่งที่ผิดแผกบนร่างกายคือรูปดาวหกแฉกสีดำสนิทที่ดูจางๆ กว่าปกติจนแทบเลือนไปกับผิว

ตราประทับแสดงความเป็นเจ้าของของคาร์บิลัส แต่ผู้ส่งสารหาได้รู้ตัวไม่ หลังจากหนีออกมาได้ก็สลบไปทันที การขัดขืนและหนีมาได้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สำหรับทายาทแห่งอีกา มันค่อนข้างกินแรงพอสมควร พลังเวทจำนวนขนาดไหนที่สามารถต้านทานพลังของราชาปีศาจได้ ?  มหาศาลคือคำตอบนั้น ถ้าเป็นนกระดับที่น้อยกว่าขนนกทองไม่สิถ้าไม่ใช่ฟาร์คัสคงไม่สามารถต้านทานพลังของราชาปีศาจได้ถึงเพียงนี้

ในขณะที่ทายาทแห่งอีกาหลับก็ยังคงเผลอขบกรามน้อยๆ อย่างเจ็บใจที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนทั้งๆ ที่ยังปฏิบัติภารกิจได้ไม่ถึงยามย่ำรุ่งด้วยซ้ำ

...   

รุ่งเช้าทายาทแห่งอีกาเดินออกจากห้องด้วยท่าทีที่เหนื่อยอ่อนเล็กน้อยแต่ก็ยากที่จะสังเกตอยู่ดี เมื่อเจ้าตัวตั้งใจกลบความเหนื่อยล้านั้นด้วยท่าทางปกติ ทั้งๆ ที่อยากนอนต่ออีกสักวันสองวัน แต่ก็อาจเป็นที่ผิดสังเกตได้

ข้าไม่ชอบสายตาดูถูกของคนอื่น เมื่อเห็นท่าทีอ่อนแอของเขา แม้เรื่องนั้นจะผ่านมานานแต่เขาก็ยังจำได้ดี วันที่เขาเด็กๆ ไปส่งสารครั้งแรกที่บ้านมนุษย์แต่กลับโดนไล่ทำร้ายจนแทบปางตายกลับมาที่นี้ จากพวกนกขุนนางพวกนั้นแม้ต่อหน้าจะปฏิบัติต่อเขาอย่างดี แต่ลับหลังกลับเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อจนกลายเป็นเรื่องขบขันในวงเหล้า เมื่อทายาทของราชากลับปางตายเพียงแค่ไปแดนมนุษย์ ข้าไม่บอกเรื่องนี้กลับใคร แม้แต่ท่านพ่อก็ตาม

   ฉะนั้นแทนที่จะไปโกรธเคืองเรื่องนี้ทายาทแห่งอีกาเลือกที่จะฝึกฝนตนเองจนแกร่งกล้าเพื่อลบความสบประมาทในอดีตออกไป
“ หวัดดี ฟาร์คัส ” เสียงที่ดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของบาร์ลิน ทายาทของนกแสกผู้เกรียงไกร บาร์ลินเก่งวิชาเชิงดาบผสานกับเวท บาร์ลินเป็นเพื่อนของเขามาตั้งแต่สมัยเด็กถึงขนาดแค่มองตาก็รู้ว่าข้าต้องการอะไร แต่ข้ากลับไม่ได้มองตาแล้วรู้ใจเหมือนบาร์ลิน น่าจะเพราะความเป็นช่างเอาใจใส่ของบาร์ลินทำให้เข้าใจข้าได้ดี

“ อืม ” ข้าเพียงพยักหน้าน้อยๆ ตอบรับ

“ หิวแล้วล่ะสิ เมื่อวานไปไกลถึงแดนปีศาจแน่ะ ” บาร์ลินเลิกคิ้วมองข้าอย่างรู้ทัน ทั้งๆ ที่ข้าไม่ได้กล่าวอะไรออกไปสักคำที่เกี่ยวกับอาหาร ข้าพยักหน้าน้อยๆ เชิงว่าตามนั้น

“ โอเคงั้นไปกินข้าวกันเถอะ ตอนแรกข้าว่าจะไปเอาภารกิจก่อน แต่ก็นะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ! ” บาร์ลินพูดด้วยความคึกคักแม้ว่าข้าจะไม่คึกคักด้วยก็ตาม จะว่าบ้าก็คงไม่ใช่น่าจะเพราว่าอีกฝ่ายชินนิสัยของข้าแล้วซะมากกว่า

“ เออ ฟาร์คัสจะเข้าร่วมพิธีประลองไหม ”  พิธีประลองที่ว่าคือการต่อสู้วัดระดับเปลี่ยนขนนกนั่นเอง เขาที่เป็นขนนกทองมีสิทธิเลือกที่จะลงหรือไม่ลง ต่างจากระดับอื่นที่ต้องลงเท่านั้นเพื่อวัดระดับขนนก ถ้าพวกขนนกทองลงน่าจะเป็นการประลองเชิงฝีมือซะมากกว่า พวกวัดระดับจะมีพวกนกขุนนางแก่ๆ ตัดสินอยู่แล้ว

“ ลงสิ ” เขาอยากแสดงฝีมือให้คนอื่นเห็นก่อนที่จะมีการสละบัลลังก์ขององค์ราชา

// แสดงฝีมืออะไรหรือ ฟาร์คัส //   

ข้าสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นในหัว ข้าหันซ้ายขวาอย่างหวาดระแวงนี่มัน เสียงของเจ้าแห่งปีศาจ ! อย่าบอกนะว่าไอ้เวทตีตรานั้นใช้ได้ผล

“ เป็นอะไรไป ฟาร์คัส ” บาร์ลินเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงงที่จู่ๆ เห็นข้าแปลกไป

“ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ข้านึกว่าข้าเห็นหนอนน่ะ ” ข้าแก้ตัวด้วยเหตุผลสิ้นคิด

บาร์ลินหลุดยิ้มออกมากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ  “ ไอ้นิสัยกลัวหนอนของเจ้านี่แก้ไม่หายจริงๆ ด้วย ไหนบอกข้าไงว่าเลิกกลัวแล้ว ”

// กลัวหนอนเหรอ งั้นข้าจะไม่ให้เจ้ากินหนอนเป็นอาหารแล้วกัน //

“ ใครกลัวกัน ! ข้าแค่ขยะแขยงก็เท่านั้น ” ถ้าหากบาร์ลินพูดข้าคงไม่พูดอะไรแต่หากเป็นเสียงในหัวละก็ข้าอดไม่ได้ที่จะเถียงออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวก็ปกติ

“ ขยะแขยงก็ขยะแขยง ฮะๆ ” บาร์ลินหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่ฉุนเฉียวของข้า

ซึ่งนั่นก็ทำข้ารู้สึกผิดน้อยๆ ไม่ได้

// อ๋า ข้าขอโทษๆ เจ้าอย่าโกรธข้านะ //

“ แล้วเจ้าจะร่วมด้วยไหม ” ข้าไม่สนใจเสียงในหัวแล้วชวนบาร์ลินคุย ซึ่งบาร์ลินก็เป็นระดับขนนกสีทองเช่นเดียวกับข้า

“ ร่วมสิ ข้าต้องร่วมอยู่แล้ว ! ” บาร์ลินฉีกยิ้ม เขาเป็นคนที่ชอบการต่อสู้อยู่แล้ว ซึ่งนั่นทำให้บาร์ลินมักจะปรากฎตัวในสนามประลองต่างๆ อยู่เสมอ ในครั้งนี้ด้วยก็เช่นกัน

“ หึ ” ความจริงข้าไม่ต้องถามก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

// ฟาร์คัส เจ้าจะเมินข้าไม่ได้นะ //

งั้นเจ้าก็ช่วยหุบปากแล้วถอนไว้เวทตีตรานี่ออกไปซะ !!

// ถ้าเจ้ายอมมาเป็นสัตว์เลี้ยงข้าก่อนแล้วค่อยจะลองคิดดู //

ข้าไม่สนใจเสียงไร้สาระในหัวนั่นและเลือกที่จะคุยสักเพเหระกับบาร์ลินแทนจนกระทั่งถึงห้องอาหารของระดับขนนกทอง ความจริงระดับขนนกสีทองนั้นสามารถจะกินที่ห้องหรือที่ไหนก็ได้เพราะยังไงก็มีสิทธิพิเศษอยู่แล้วแต่ข้าเลือกที่จะเดินมากินที่ห้องนี้มากกว่า ห้องระดับที่ต่ำลงไปข้าก็สามารถเข้าไปใช้บริการได้แต่มันก็พลุกพล่านกว่าหลายเท่านักอีกทั้งยังมีแต่สายตาน่ารำคาญนั่นอีก ฉะนั้นที่นี้เหมาะสำหรับข้าที่สุดแล้ว

ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ชอบสุงสิงกับใครแต่การออกมาพบปะผู้คนนั้นก็เป็นมารยาททางสังคมเช่นกัน นั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ข้าต้องออกมากินที่ห้องอาหาร ข้ากับบาร์ลินเลือกนั่งโต๊ะยาวโดยนั่งตรงข้ามกัน ในช่วงเวลานี้นกระดับขนนกทองตัวอื่นๆ ก็จะออกมากินข้าวเหมือนกัน และข้าคิดว่าวันนี้คงต้องมีเรื่องอะไรยกขึ้นมาคุยเป็นแน่ จึงเลือกโต๊ะยาวทั้งๆ ที่ปกตินั่งแต่โต๊ะที่นั่งได้เพียงสองคนเท่านั้น

เมื่อข้านั่งลงได้สักพักก็ปรากฎร่างของนกกระจิบตัวเล็กที่สวมริบบิ้นหูกระต่ายเป็นสีเหลือง ซึ่งไอ้สีที่ว่านี่จะเปลี่ยนตามอารมณ์ของมัน ซึ่งมักจะไม่เหมือนกันเลยในแต่ละวัน มันร้องจิ้บ จิ้บ วนไปวนมาสองสามรอบก็ปรากฎรูปจางๆ ของอาหารบนโต๊ะอาหาร ให้เลือก ข้าเลือกเมนูง่ายๆ อย่างธัญพืชกับนมมากิน อย่าเข้าใจผิดไป ถึงแม้ข้าจะเป็นนกบอกลางแต่ก็ยังกินอาหารคล้ายกับมนุษย์อยู่ดี ไม่ใช่หนอนดิบๆ ดิ้นได้ อันนั้นถึงแม้จะมีบางคนกินแต่ก็ไม่ใช่ข้าคนนึง

เวลาเพียงอึดใจเดียวก็ปรากฎอาหารที่ตอนแรกเป็นรูปจางๆ ตอนนี้ได้เป็นของจริงแล้ว ข้าตักกินด้วยอารมณ์ที่อ้อยอิ่ง ถ้าคนอื่นรู้ว่าข้าโดนเจ้าแห่งปีศาจตีตราไปแล้วจะเป็นยังไง ถึงแม้จะไม่เคยมีกรณีเช่นข้ามาก่อนแต่ข้าก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี กลัวว่าจะโดนคนอื่นขับไล่ออกจากบ้านของข้า พวกนกขุนนางพวกนั้นสามารถยกเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นข้ออ้างได้เสมอ ถ้าข้าโดนไล่ออกไปจริงๆ ข้าจะไปอยู่ที่ไหนกัน ?

// อย่าได้กลัวเลยฟาร์คัส ข้าย่อมไม่ให้ใครทำร้ายเจ้าอยู่แล้ว //

ข้าไม่ได้สะดุ้งกับเสียงในหัว เหอะ ต่อให้โดนขับไล่ออกจากที่นี้ ข้าก็ไม่ยอมออกไปง่ายๆ แน่ ความจริงที่ข้าชอบลงไปแสดงฝีมือก็เพียงแค่อยากให้พวกนกขุนนางแก่ๆ สะดุ้งเล่นก็เท่านั้น ไม่มีอะไรมากมาย ตำแหน่งราชาของท่านพ่อข้าไม่ได้อยากได้เท่าไหร่นักหรอก

ข้าก็แค่ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกก็แค่นั้น

บาร์ลินเคยบอกว่าข้าเป็นจำพวกแค้นฝังลึก ข้าเดาว่ามันน่าจะไม่ผิดไปจากที่บาร์ลินพูดเลย เมื่อข้ายังจำฝังใจถึงขนาดนี้

// น่ากลัวจังแฮะ ฟาร์คัสเจ้าจะดูน่ากลัวอย่างนี้ไม่ได้นะ ”

ทำไมล่ะ ข้าถามในใจด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เรื่องที่ข้าต้องมานั่งทุกข์ก็เพราะวงเวทของเจ้านั่นแหละ

// มันจะไม่น่ารักน่ะสิ อ้อ ไอ้วงเวทของข้ามันไม่ค่อยสมบูรณ์เจ้าไม่ต้องคิดมาก มันเป็นเพียงแค่รอยจางๆ เท่านั้นมองแทบไม่เห็น ระวังอย่าให้โดนคำสาปหรือสิ่งด้านลบละ เพราะมันจะปรากฎจนเห็นได้ชัด อีกอย่างข่าวร้ายคือ วงเวทนี้ข้าแค่ได้ยินความคิดเจ้ากับคุยกับเจ้าได้เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องบังคับเจ้าอะไรนั่นทำไม่ได้ทั้งเพ //

นั่นเป็นข่าวดีของข้าต่างหาก ข้าเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย และดีดนิ้วเรียกนกกระจิบนั่นออกมาสั่งน้ำส้มกิน

// ใครใช้ให้เจ้าหนีไปก่อนล่ะ วงเวททีได้ถึงครึ่งๆ กลางๆ อย่างนั้น //

ถ้าเจ้าใช้สมองที่มีจำนวนน้อยนิดคิดสักหน่อยก็จะรู้ว่า ไม่มีใครอยากเป็นสัตว์เลี้ยงของใครหรอกนะ คาร์บิลัส

// แต่ข้าอยากเป็นเจ้านายเจ้านะ  //

นั่นมันเรื่องของเจ้า ข้าละความสนใจจากเสียงในหัวไปสนใจกับเสียงฝีเท้าแทน

“ มากันเช้าจริงนะ ฟาร์คัส บาร์ลิน ” เสียงทักทายดังมาจากรุ่นพี่ของข้าชื่อว่า โรซ์เวล เป็นรุ่นพี่ที่มีสายเลือดของเหยี่ยว เป็นคนรูปร่างสูงโปร่งมีผมสีขาวแต่ตรงปลายจะออกน้ำตาลนิดๆ ตาสีน้ำตาลเป็นประกายคมเวลาที่มองคนอื่น หากแต่เคลื่อนไหวได้เร็วมากอีกทั้งยังแบบโจมตีครั้งเดียวตาย  ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ขึ้นชื่อของรุ่นพี่จนมีคำพูดเล่นๆ จากพวกคนอื่นๆ ว่า “ ตบศัตรูเหมือนตบแมลงวัน ” อะไรทำนองนั้น  รุ่นพี่เป็นคนโดนจ้องจะรู้สึกกดดันน้อยๆ แต่ถ้าชินแล้วจะรู้ว่ารุ่นพี่เป็นคนที่ใจดีมาก

“ ก็มาปกติแบบนี้ทุกวัน ” ข้าตอบออกไปสั้นๆ  พลางจิบน้ำส้มไป

“ ฮะๆ สงสัยข้าจะมาสายเองนั่นแหละ ” รุ่นพี่ยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงข้างๆ ผม

“ รุ่นพี่จะลงพิธีการประลองด้วยไหมครับ ? ” บาร์ลินถามอย่างกระตือรือร้นตามวิสัยของเจ้าตัว

“ คิดว่าไม่ดีกว่า พอดีว่าช่วงนั้นพี่ต้องไปแถบดินแดนปีศาจน่ะ ”

ข้าได้ยินถึงคำว่าดินแดนปีศาจ ก็อดรู้สึกขยาดไม่ได้เพราะการไปดินแดนนี้ถึงได้รอยประทับกลับเป็นของแถมนี่แหละ แต่ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ ไปทำไมเหรอครับ หรือว่าไปทำภารกิจ ? ” คนที่เอ่ยสิ่งที่ข้องใจของเขาก็ยังคงเป็นบาร์ลินอยู่ดี ถ้าหากไม่มีบาร์ลินเกรงว่าเขาก็ยังคงไม่รู้ถึงเหตุผลของรุ่นพี่

“ เปล่าหรอก ท่านพ่อข้าใช้ข้าไปเก็บหญ้าปีศาจมาเฉยๆ ช่วงที่มีการแข่งขันหญ้าพวกนั้นกำลังได้ที่พอดีน่ะ น้องๆ ของข้าชอบเอามาสานเล่น ”

ดีแล้วที่ข้าไม่ถาม ว่าแต่ไอ้หญ้าปีศาจนี่มันคืออะไร

// หญ้าปีศาจมันเป็นหญ้าที่มีชีวิตชอบดิ้นดุ้กดิ้กๆ ตลอดเวลา ถ้าน้องของเจ้านั่นเอามาสานจริงก็จะได้ของที่ดุ้กดิ้กๆ ได้โดยไม่มีลมน่ะ //

แล้วมันไม่ตายรึไงถ้าโดนถอนออกมา

// ข้าจะบอกก็ต่อเมื่อเจ้ายอมให้ข้าเป็นเจ้านายนะ //

“ เออ ฟาร์คัสท่านพ่อของเจ้าฝากจดหมายมาด้วย ” รุ่นพี่ที่พึ่งสั่งอาหารกับเจ้านกกระจิบเสร็จก็นึกขึ้นมาได้ รุ่นพี่ยื่นจดหมายที่ปิดผนึกด้วยตราประทับราชาของท่านพ่อของข้า จดหมายซองสีดำนั้นตัดกับตราประทับนัก

“ ขอบคุณ ” ข้าเอ่ยสั้นๆ และรับมันมา ข้ากัดที่ปลายนิ้วของตัวเองจนเลือดออกปล่อยให้เลือดหยดไปบนตราประทับฉับพลันซองที่ว่าได้หายไปทันทีเหลือเพียงกระดาษเนื้อดีข้างในให้ข้าอ่าน

*-*
หลังจากการประลองพิธีข้าจะสละบัลลังก์

ฟาร์คัสเจ้ามีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะเป็นราชาหรือไม่

เพราะลำพังฝีมือของเจ้าก็น่าจะเพียงพอแล้ว

แต่พึงระวังไว้ให้ดีหากเจ้าไม่ได้เป็นราชา

ความริษยา ความระแวง คำติฉินทั้งหลายจักเป็นอันตราย

*-

ดูท่าข้าคงเพิกเฉยต่อการแย่งบัลลังก์ไม่ได้แล้วสินะ

เพราะมันอาจจะส่งผลอันตรายต่อตัวข้าเอง

การอยู่นิ่งๆ สบายใจไปวันๆ เป็นได้แค่ฝันกลางวันของข้าเท่านั้น

--------------------

มาแล้วน่ะคะ คุณอ๊ายอาย  :o8: ถึงจะไม่ได้ลงเมื่อวานก็เถอะ  :hao5:

หวังว่าจะชอบนะคะ  :mew1:

ส่วนตอนต่อไปก็  :katai5: 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 2 30 มี.ค. 58
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 30-03-2015 21:39:58
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 2 30 มี.ค. 58
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-03-2015 22:00:56
ดูสนุกเหลือเกินน่ะท่านปีศาจ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 3 2 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 02-04-2015 22:01:07
-- ตอนที่ 3 --

หลังจากที่ข้าอ่านจดหมายฉบับนั้นจบมันก็ค่อยๆ สลายหายไปเองตามเวทที่ได้ลงไว้ ความตั้งใจที่รอคุยกันเรื่องพิธีประลองของข้าหายไปหมด ข้าเอ่ยขอตัวและออกจากห้องอาหารทันที ข้าคิดว่า การไปทำหน้าที่หลักของสายเลือดน่าจะเป็นการคลายเครียดที่ดี

   เพราะถ้าหากข้ายังคงอยู่ในห้องคงไม่วายทำให้บรรยากาศในห้องอึมครึมไปด้วยซึ่งบาร์ลินก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะน่าจะสังเกตจากท่าทางของข้าแล้ว ข้าเดินผ่านชั้นต่างๆ โดยไม่ได้ใช้เวทอะไร ข้าเบื่อเกินกว่าจะใช้เวทอะไรแล้ว ขณะที่ข้าก้าวผ่านคนอื่นๆ ข้าไม่สนใจที่จะทักทายใครทั้งนั้น คนที่เข้าหาข้าส่วนใหญ่จะต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ก็พวกบริสุทธิ์ใจจริงๆ ซึ่งข้าก็ขี้เกียจเกินจะมาคัดคนเหล่านี้ ฉะนั้นข้าจึงเลือกที่จะไม่ผูกมิตรกับใครเลย

   เพียงเวลาไม่นานก็ถึงจุดหมายของข้า สวนราชพฤกษ์อนธการ ( ความมืด ) หรือ ที่มอบหมายการส่งสารในแต่ละครั้ง สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ใต้ดินแต่กลับมีท้องฟ้าเหมือนกับว่าอยู่ในมิติอีกมิติหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นสวนแห่งนี้กลับไม่เคยมีแสงสว่างของดวงอาทิตย์เลยอีกทั้งยังอบอวลไปด้วยความอึมครึม ไฟที่มีในสวนนั้นล้วนแต่เป็นผลพวงมาจากนกบอกลางทั้งนั้น สวนแห่งนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนไม่มีใครรู้แต่คาดว่าน่าจะพร้อมๆ กับการมีตัวตนของนกส่งสาร ต้นไม้ที่อยู่ในสวนแห่งนี้ก็แปลกประหลาดเช่นกัน เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้างแต่ละต้นล้วนเป็นสีน้ำตาลแก่และมีโพรงขนาดใหญ่กลางลำต้นมองไม่เห็นอะไรข้างใน ตามกิ่งของมันเดิมที่สมควรมีใบไม้เขียวชอุ่มกลับว่างเปล่าเป็นเพียงกิ่งเปล่าๆ ที่แตกแขนงเท่านั้น
   
ข้าซึ่งมาในตอนเช้าทำให้ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้เลยโดยปกตินกบอกลางจะมารับกันช่วงเย็นๆ  ซึ่งมันก็ชวนให้ดูวังเวงแต่นั้นก็เป็นเรื่องไร้สาระเกินกว่าที่ข้าจะใส่ใจ ข้าก้าวเดินไปยังโพรงไม้ที่ใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ตรงกลางของสวน ต้นไม้ตนนี้เป็นต้นที่มีเพียงระดับขนนกทองเท่านั้นที่จะรับได้ส่วนต้นอื่นๆ สามารถรับได้ทุกระดับเพราะต้นไม้เหมือนได้รับพลังอะไรสักอย่างที่รู้ระดับของนกแต่ละตัวดี เพียงแต่ว่าไอ้ต้นใหญ่ที่สุดนี่จะไม่ยอมคุยกับนกที่ระดับไม่ถึงขนนกทอง ซึ่งข้าก็เบื่อที่จะเดินมาหาต้นใหญ่นี่เหมือนกันข้าเคยไปรับกับต้นอื่นแทนแต่มันกลับเอาแต่บอกให้ข้ามาที่ต้นนี้ซ้ำๆ

   น่าจะเกิดจากความผิดพลาดล่ะมั้ง ข้าคิดขณะที่เดินผ่านต้นไม้ต่างๆ ถึงแม้ที่นี้จะมีแต่ต้นไม้ที่แห้งแต่กลับจัดเป็นสวนที่ดูสบายตาอย่างน่าประหลาดถึงแม้ต้นไม้จะไม่ดูก็เถอะ ทำให้การเดินนั้นสามารถเดินได้ง่ายไม่ต้องลัดเลาะอะไรให้มากมาย
   แต่บรรยากาศทึมๆ นี่ก็ชวนขนลุกไม่น้อยถึงแม้ข้าจะพยายามไม่ใส่ใจก็ตาม น่าจะเพราะว่าที่แห่งนี้ไว้ส่งสารเกี่ยวกับความตายจึงทำให้ที่บริเวณนี้ดูไร้ชีวิตชีวา ข้ารีบก้าวขาให้ยาวขึ้นเพื่อจะได้ออกจากที่นี้สักที “ ข้ามารับข่าวสาร ” ข้าบอกกับต้นไม้ต้นยักษ์ตรงหน้า

   “ หึหึหึ ” เสียงหัวเราะแหบต่ำดังมาจากในโพรง “ ทายาทแห่งราชาเอ๋ย นายของเจ้าช่างยิ่งใหญ่นัก ”

   ข้าสะดุ้งสุดตัวหันมองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง “ หุบปากไปซะ ข้ามารับภารกิจ ”

   “ การเป็นนายนั้นดี แต่การเป็นผู้ตามนั้นก็ดีเช่นกัน แต่จงพึงระวัง หึหึหึ ”
   
ข้าไม่ได้เอ่ยอะไรเอ่ยไปเพียงแต่ตั้งใจฟังเงียบๆ

   “ ถ้าหากศัตรูได้รู้ ” เสียงแหบต่ำนั้นดูเยาะน้อยๆ “ เจ้าย่อมจะมีภัย ”
   
// อะไรนะ !! มีภัย !! ข้าไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเจ้าทั้งนั้น ! //

   เสียงที่เงียบไปนานจนข้าลืมไปว่ายังมีอยู่ พูดดังขึ้นมา
   
อย่างข้าดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว ข้าเถียงในใจ
   
// ไม่ ถ้าเจ้าบาดเจ็บแม้แต่ปลายก้อย ข้าจะกำจัดภัยที่ว่านั่นให้หมด ! //

   “ สิ่งที่ควรบอกข้าได้บอกไปแล้ว เด็กน้อย เอ๋ย” ถึงแม้เสียงที่ว่าจะดูน่าขนลุกแต่พอพูดประโยคนี้กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด “ วันนี้เจ้าจงไปส่งสารที่เมืองมนุษย์ เมืองที่มีแสงสว่างมากที่สุดในดินแดนมนุษย์ เมืองโฮรัส ”
   
เมืองแสงสว่าง ? ข้าคิดอย่างฉงน เมืองนี้แม้แต่นกระดับขนนกสีดำยังทำได้เลย เพราะเมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าสะอาดและบริสุทธิ์ในแดนมนุษย์เลยทีเดียว หรือว่าข้าเข้าใจผิด ?

   “ เด็กน้อยเอ๋ย บางอย่างที่สว่างเกินไปบางทีมันก็มืดสนิทที่สุดเช่นกัน ”
   
ข้าไม่เข้าใจที่ต้นไม้ยักษ์สื่อนัก เมืองนี้ข้าเคยไปสมัยที่ข้าระดับขนนกดำก็ไม่เห็นจะมีอะไรที่จะดูอันตรายเลย
   
“ จงไปบ้าน...ของราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมือง..โฮรัส ” เสียงที่เอ่ยขาดตอนในบางช่วง

   ราชา ? ราชาอีกแล้ว เป็นครั้งแรกข้าเบื่อระดับขนนกของตัวเองที่มักจะพาไปยังสถานที่ๆ อันตรายอยู่เสมอ รอบนี้หวังว่าข้าจะไม่โดนราชาเมืองโฮรัสจับอีกนะ
   /
/ ไม่ได้ๆ เจ้าจะโดนจับไม่ได้นะ ฟาคัสส เจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงของข้านะ ! อ๋า ! เดี๋ยวข้ามาคุยด้วยใหม่นะ ฟาคัส เชอคอสมันมาตามข้าไปทำงานแล้ว //

   บางทีข้าก็ลืมนะไอ้ที่มาคุยกับข้านี่เป็นราชาปีศาจ “ ข้าเข้าใจแล้ว  ” ข้าพยักหน้าน้อยๆ ให้กับต้นไม้ยักษ์นี่แต่ก่อนที่จะร่ายเวทเคลื่อนย้ายกลับมีใบแห้งๆ ปลิวลงมาบนหัวของข้าพอดี
   
ใบไม้ ? ต้นไม้ที่นี้ไม่เคยมีใบไม้นะ

   “ ใบแห่งการเยียวยา ถือซะว่าข้าให้เพราะหวังดีแล้วกัน ”
   
ข้าหันไปขอบคุณต้นไม้นี่เบาๆ แล้วร่ายเวทเคลื่อนย้ายทันที ข้าคิดว่าการไปของข้าในครั้งนี้น่าจะมีเหตุการณ์อะไรเป็นแน่

   ...
   
ภาพเบื้องหน้าของข้าได้เปลี่ยนแปลงจากสวนที่มืดครึ้มกลายเป็นทุ่งหญ้าโล่งสว่างไสวมีบ้านปลูกตามแนวระดับอย่างเป็นระเบียบอย่างมากมายจนละลานตา  ซึ่งตรงกลางของมันเป็นเนินดินสูงขึ้นไปและมีป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ด้วยประณีตไปด้วยลายละเอียดต่างๆ ของมัน ผ้าที่ถูกมัดจีบตามแนวเสา ลวดลายต่างๆ ที่ดูศักดิ์สิทธิ์น่าเลื่อมใส ธงต่างสีที่ปักอยู่บนยอดแต่ละป้อมที่มีสี่ด้าน โดยตรงกลางเป็นจุดหมายของข้าในครั้งนี้นั่นเอง

   ปราสาทสีเผือกขนาดยักษ์ที่ละเลียดละออและประณีตกว่าป้อมปราการเป็นเท่าตัวแสดงให้เห็นระบบการปกครองที่มั่นคงทำให้อารยธรรมเฟื่องฟู่จนแทบถึงขีดสุด รอบปราสาทนั้นมีเรือนเล็กเรือนใหญ่ที่ดูเป็นระเบียบซึ่งน่าจะเอาไว้ใช้งานอีกทั้งยังมีแม่น้ำสายเล็กๆ หลายสายตัดผ่านอีกด้วยทำให้เขียวชอุ่มสบายตา

   ข้าในครั้งนี้ปรากฏตัวที่ต้นไม้ขนาดยักษ์ต้นหนึ่งซึ่งข้าก็ไม่รู้จักเหมือนกัน ข้าที่ชื่นชมทรรศนียภาพจนพอใจก็จึงค่อยแปลงเป็นอีกาบินฉวัดฉวียนไปทั่ว อีกเวลานานนักกว่าจะถึงเวลาที่ข้าจะต้องทำหน้าที่ส่งสาร ใช้เวลาเที่ยวเล่นก่อนจะเป็นอะไรไป ข้าบินผ่านบ้านโน้นเกาะบ้านนี้ ดูตลาดบ้าง โดยระมัดระวังตัวไม่ให้มนุษย์เห็น แต่ระหว่างที่ข้าบินข้ามเข้าไปในตัวปราสาทข้ากลับพบบางสิ่งที่ตะเกียกตะกายในน้ำ !

   “ ช่วยด้วยยยย ” ร่างนั้นตะเกียกตะกายอยู่ในนั้น
   
ข้าบินโฉบลงไปคว้าร่างนั่นทันที ถึงแม้ร่างอีกาจะค่อนข้างตัวเล็กแต่พละกำลังข้าก็ยังคงเท่าเดิมอยู่ดี ข้าใช้กรงเล็บคว้าที่คอเสื้อของร่างนั่นและกระพือปีกแรงๆ และร่ายเวทลมเข้าเสริมด้วย ทำให้สามารถพาร่างนั้นขึ้นมาได้แต่ก็ไม่ง่ายนัก ข้าพาร่างนั้นมากองไว้ตรงริมแม่น้ำ ข้ามองพิจารณาร่างตรงหน้าเงียบๆ ขณะที่อีกฝ่ายกำลังสำลักน้ำไอค่อกแค่ก

   เด็ก..

   “ แค่ก แค่ก ขอบคุณนะ เจ้าอีกา ที่ช่วยข้า ”
   
ข้าไม่ได้ตอบอะไรและกางปีกเตรียมจะโผบินขึ้นไปอีกครั้ง

   “ แต่ว่าถ้าเป็นอีกาที่จะมาสาปแช่งให้พ่อของข้าตายนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง !! ” ฉับพลันร่างของเด็กตรงหน้าก็ค่อยๆ ขยายกลายเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างเหมือนนักรบ ตาของนักรบตอนนี้เป็นสีแดงจนน่ากลัว
   ดูท่า ข้าจะโชคร้ายซะแล้ว 

   “ ไม่คิดว่าเวทคำสาปของนอสจะทำให้ข้าโดนอีกาช่วยไว้ ”
   
ข้าไม่ตอบอะไรรีบกระพือปีกพาร่างของตัวเองหนีไป แต่นั้นก็ช้าเกินไป นักรบได้ร่ายเวทโจมตีใส่ข้าอย่างรุนแรง ข้าร่ายเวทป้องกันทันได้อย่างฉิวเฉียดแต่ก็ยังสร้างบาดแผลให้กับข้าอยู่ดี ปีกของข้าเปียกไปด้วยเลือดแต่ข้าก็ยังคงบินต่อไปอยู่ดี แต่นักรบก็ไม่เปิดโอกาสให้ข้าหนีออกไปร่ายเวทกักบริเวณทันที
   
ข้าซึ่งถูกขังอยู่ภายในแต่กลับไม่ได้วิตกอะไรมากมาย ข้าเป็นถึงทายาทของราชานกบอกลางย่อมมีฝีมือที่สามารถต่อกรได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าข้าไม่อยากจะทำร้ายผู้คนนักจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ก่อนเสมอ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนบีบบังคับให้เขาต้องสู้นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ข้าร่ายเวทเยียวยาบาดแผลของตัวเองพร้อมๆ กับกับร่ายเวท

 “ หยุดเวลา  ” ข้าพูดดังเพียงกระซิบ
   
เวทบทนี้จะเรียกว่าไพ่ตายของข้าก็ได้ ซึ่งมันก็ใช้ได้ยากและมีเงื่อนไขเยอะอย่างต้องจำกัดบริเวณที่จะใช้ซึ่งตอนนี้เวทกักบริเวณก็ได้แว้งกัดผู้เป็นนายแล้ว ข้าบินเข้าไปใกล้นักรบที่มองมาอย่างเคียดแค้นแต่กลับไปสามารถขยับตัวได้และค่อยๆ ร่ายเวทยาวเหยียดด้วยท่าทีที่สบายใจ เมื่อข้าร่ายจบเวทกักบริเวณก็แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับเสียงโหยหวนของร่างนักรบ
   จะว่าข้าอำมหิตก็ได้ ข้าไม่ชอบให้ใครมาทำร้ายก่อนทั้งๆ ที่ไม่ได้ปองร้าย อีกทั้งครั้งนี้อีกฝ่ายเลือกที่จะหักน้ำใจของข้าจนไม่เหลือชิ้นดี การสั่งสอนน่าจะเป็นเรื่องที่ดี ข้ากางปีกจะบินอีกครั้งด้วยท่าทีผ่อนคลาย

ฉึก    

   มีดสั้นที่อาบไล้ไปด้วยเมือกสีดำปักเข้าที่หลังของข้า
   
“ หึ คิดว่าข้าจะสิ้นลายง่ายๆ แค่นี้เหรอ ไอ้อีกากักขฬะ !! ” ร่างนักรบที่เมื่อกี้ยังโหยหวนตอนนี้กลับยืนเหมือนปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบร่างนักรบนั้นขาสั่นน้อยๆ อยู่
   
 กา !!!

   ข้าแผดเสียงออกมาด้วยอารมณ์โกรธผสมกับความเจ็บหนึบที่หลัง ข้าร่ายเวทที่ใช้บังคับสิ่งของดึงมีดออกจากหลังและปาคืนใส่นักรบ ถึงแม้จะเจ็บแต่ความโกรธนั้นกลบความรู้สึกนั่นหมดแล้ว
   
ทั้งๆ ที่ข้าเป็นผู้ส่งสาร กลับมาหาว่าข้ามาสาปแช่ง
   
ทั้งๆ ที่ข้าช่วยกลับมาทำร้ายข้า !!

   ไอ้แดนแสงสว่างนี้โสมมยิ่งกว่าแดนปีศาจด้วยซ้ำ !!
   
กา !!!!!!! 
   
ข้าแผดเสียงแสบหูออกมาดังลั่นไปทั้งบริเวณ ร่ายเวทโจมตีเข้าใส่ทันทีแต่นักรบนั่นก็ต้านเอาไว้ได้และพุ่งตัวเข้ามาหาข้าพร้อมๆ กับดึงดาบออกมาจากในอากาศ
   
ดาบเวทตัดอากาศ !
   
เวทนี้มีคนที่สามารถใช้ได้น้อยมาก คนที่ใช้ได้ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพละกำลังมหาศาลและพลังเวทที่มากพอกันถึงจะใช้ได้ แต่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องสนใจ ข้ารีบกลายร่างเป็นร่างมนุษย์อีกาและเรียกคทาเวทสีดำสนิทของข้าออกมาตั้งรับทันที
   
ปัง !!
   
เสียงกระทบกันระหว่างคทาที่เปี่ยมไปด้วยเวทมหาศาลกับดาบตัดอากาศที่ดุดันไปด้วยพละกำลังดังลั่น ข้าอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังดึงดาบกลับไปเตรียมจะโจมตีเข้ามาใหม่ ร่ายเวทโจมตีฉับพลันใส่ซึ่งมันเป็นสายลมที่พัดรุนแรงถ้าหากไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่รู้ว่าเข้าใกล้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ !!
   
ร่างของนักรบนั้นปลิวกระเด็นไปไกลขณะที่ตามตัวเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลซึมเพราะสายลมของข้า ร่างนั้นกระแทกเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างรุนแรงจนใบไม้ร่วงกราวและนิ่งไป ข้าร่ายเวทสะกดไว้อีกขั้นหนึ่งอย่างไม่ประมาทซ้ำอีกครั้ง
   
เมื่อร่ายเสร็จข้าก็ทรุดตัวลงกับพื้นและหอบหายใจอย่างตะกละตะกลาม แต่ยิ่งหายใจกลับยิ่งปวดหนึบไปทั้งร่างกาย ข้ารู้สึกถึงบาดแผลบนหลังที่ใหญ่ขึ้นตามขนาดของร่างกาย ข้าสบมองมือของตัวเองพบว่าดูหมองลงผิดปกติ อีกทั้งดวงตายังพร่าเลือน น่าจะเป็นผลมาจากพิษเมือกสีดำบนมีดนั้น
   
นี่สินะที่ต้นไม้ยักษ์นั้นว่า
   
ถึงแม้ที่ๆ สว่างที่สุดบางทีก็มืดที่สุดเช่นกัน

   ข้าหยิบใบไม้เยียวยาเอามาเคี้ยวกิน รสชาติของมันค่อนข้างแย่แต่ข้าก็ฝืนกลืนลงไป ฉับพลันสิ่งที่มหัศจรรย์ก็ปรากฎบาดแผล ความเจ็บปวด ค่อยๆ จางหายไปหมด นี่คือพลังของต้นไม้ยักษ์ ข้าที่เมื่อกี้ไม่มีแรงแม้แต่ร่ายเวทเยียวยาตัวเองตอนนี้กลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนกับว่าพึ่งกินข้าวเสร็จ แต่ตอนนี้ข้าไม่มีอามรณ์จะออกไปบินเล่นต่อแล้ว ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากกำลังมาทางนี้ ข้าตัดสินใจกลับร่างผู้ส่งสารและบินออกไปอย่างฉับไวทันที
   
เหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้ข้ารู้สึกโมโหอย่างบอกไม่ถูก แม้จะเคยยอมรับชะตากรรมในการส่งสารแต่ละครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดที่โดนหักหน้าขนาดนี้ ข้าเข้าใจว่าถ้าหากมีนกที่เชื่อว่าเจอที่ใดมักจะพบคนตาย จะทำให้รู้สึกกลัวและกลายเป็นเกลียดขึ้นมาได้ ข้าเคยเข้าใจและยอมรับ แต่ในครั้งนี้ทั้งๆ ที่ข้าช่วยจากการจมน้ำกลับทำร้ายข้า ถ้าหากไม่มีใบไม้เยียวยาข้าไม่อยากจะคิดด้วยซ้ำว่าข้าจะเจออะไรต่อไป

   ข้าร่อนไปเกาะหลังคาของปราสาทหามุมที่มีช่องพอดีตัวข้าและมุดเข้าไป ซุกกับปีกตัวเองเงียบๆ เวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาขับขานของข้า ข้าน่าจะพักสักหน่อย เรื่องเมื่อกี้ทำเอาเป้าหมายหลักของข้าพังไม่เป็นชิ้นดี

   ข้าตั้งใจมาผ่อนคลาย เพราะอีกไม่นานหากถึงเวลาแย่งชิงบัลลังก์ ความปลอดภัยของข้าคงจะหาได้ยาก บัลลังก์สูงสุดของนกบอกลางเป็นที่หมายปอง ทายาทอย่างข้าถ้าหากกำจัดออกได้จะเป็นเรื่องดี
   
หึหึ  ข้าหัวเราะเบาๆ อย่างไม่รู้สาเหตุและค่อยๆ หลับตาลง
   
ก่อนจะถึงเวลานั้น

   ข้าจะพยายามเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ดีที่สุดในตอนนี้ไว้แล้วกัน

   ...
   
ฮูก ฮูก ฮูก

   มีเสียงของเจ้าถิ่นร้องปลุกข้าอย่างไม่ตั้งใจ ข้างัวเงียตื่นขึ้นมาสลัดตัวน้อยๆ จนขนพอง มองไปรอบๆ เสียงที่ว่าอยู่ใกล้ๆ ข้านี่เอง มันเกาะอยู่ใกล้ๆ ข้า ตาของมันกลมโตสะท้อนรูปของข้าในดวงตา นกเค้าแมว.. หนึ่งในนกบอกลาง แต่นี้ไม่ใช่นกบอกลางเพราะนกบอกลางจะเกิดในที่ๆ ของนกบอกลางเท่านั้น นกนอกอาณาเขตล้วนเป็นนกธรรมดาทั้งสิ้น
   
ข้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพบว่าดวงจันทร์ตรงหัวพอดี ข้าไซร้ขนสักพักพอให้หายพองก็บินขึ้นไปข้างบนร่อนไปร่อนมาและส่งเสียงขับขานดังกังวานอีกครั้งและอีกครั้ง หน้าที่ของข้ามีเพียงขับขาบจนกระทั่งย่ำรุ่ง
   
ครั้งที่แล้วข้าพลาดโดนปีศาจจับเลยไม่ได้ทำหน้าที่จนเต็มเวลา ครั้งนี้ข้าตั้งใจจะอยู่ให้ถึงเวลานั้น ข้าร่อนละดับลงไปบนยอดปราสาทหนึ่งและขับขานต่อไป ถึงจะดูน่าเบื่อแต่ก็ประมาทไม่ได้เลย ข้าไม่รู้ว่าจะมีคนขึ้นมาจับข้าไหม ครั้งที่แล้วข้าระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ยังโดนราชาปีศาจจับเอาง่ายๆ เลย
   
// อะไรนะ คิดถึงข้าเหรอ ฟาคัส ! ข้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน //

   นี่ดึกแล้วเจ้ายังไม่นอนอีกเหรอ ข้าคิดเบื่อๆ
   
// ต่อให้ง่วงข้าก็จะคุยกับเจ้าอยู่ดี ! ว่าแต่เมื่อไหร่เจ้าจะมาเป็นสัตว์เลี้ยงข้าสักทีล่ะ //
   
ข้าว่าข้าเคยบอกแล้วนะว่าให้ใช้สมองของเจ้าด้วย

   // ยังไงข้าก็คิดออกแค่อยากได้เจ้าแค่นั้นเอง !! //

   แต่ข้าไม่ได้อยากได้เจ้าสักหน่อย คาร์บิลัส
   
// เออ น่า พอมาอยู่กับข้าเดี๋ยวก็อยากได้ข้าเองนั่นแหละ ข้าเก่งนะ !! หล่อด้วย ถ้าเจ้ามาอยู่กับข้า เจ้าจะได้กำไรมากเลยนะ เจ้า
นายที่ทั้งหล่อและเก่งเนี่ย //
   
ใครบอกเจ้าว่าเจ้าหล่อและเก่ง เจ้าเพ้อเจ้อเกินไปแล้ว ข้าตอบกลับไปในใจขณะที่ยังส่งเสียงอยู่
   
// แฟนคลับข้าไง ส่งจดหมายมาหาข้าน่ะ ! //
   แฟนคลับ ?

   “ ก็ชาวปีศาจไงล่ะ ! เวลาที่ข้าไปช่วยพวกเขาเขาก็ชอบส่งจดหมายมาหาข้าไงล่ะ ! เยี่ยมไปเลยใช่ไหม //
   อืม .. ข้าตอบเรียบๆ ในใจ

และข้าก็คุยกับราชาปีศาจจนกระทั่งย่ำรุ่งโดยไม่รู้ตัว น่าแปลกที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอมอะไรเลยตอนที่ข้าคุยกับราชาปีศาจจนกระทั่ง

ตอนนี้

แต่สิ่งที่ข้าได้รู้ในวันนี้คือ

ราชาปีศาจนั้นชวนคุยเก่งมากอีกทั้งยังคุยสนุกด้วย

ข้ายอมรับว่า วันนี้ข้าไม่เบื่อและเอาแต่ระแวงเหมือนทุกครั้ง

------------
หวา ฟาคัสเจอเรื่องอีกแล้ว  :ling2:

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นค่ะ   :กอด1:
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 3 2 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 02-04-2015 22:24:46
การประลองใกล้จะเริ่มแล้ววว

รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 3 2 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 03-04-2015 00:40:11
สนุกจังเลย ชอบมากๆๆๆๆค่า
เป็นกำลังใจให้พ่อนกน้อย  :mew1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 3 2 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 03-04-2015 15:04:41
กอดๆคุณ foggy time ชอบมากกกกก เป็นเรื่องแฟนตาซีที่สนุกมากเลยค่ะ ชอบหนูฟาร์คัสมากๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 3 2 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 03-04-2015 17:22:50
หุหุหุ ไม่ได้เห็นหน้าก็ขอให้ได้ยินเสียงใช่ป่ะ แหมะ ว่างจริงนะท่านราชาผู้ยิ่งหย่ายยย//มันใช่ราชาปีศาจจริงอ่ะ ฮ่าๆๆๆ รอจ้า :mew1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 3 2 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Ѷanᴉ££a ที่ 04-04-2015 09:08:52
สนุกดีอ่ะ

เป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 4 5 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 05-04-2015 22:23:05
-- ตอนที่ 4 --

สุดท้ายข้าก็ไม่มีเรื่องอะไรดีๆ ให้เก็บเกี่ยวไว้อยู่ดีจนกระทั่งถึงวันที่เริ่มพิธีประลอง วันนี้ข้าแต่งตัวเน้นความคล่องตัวเป็นพิเศษ ข้าเรียกคทาเวทของข้าออกมาถือ คทาเวทของข้าแม้มันจะเป็นสีดำสนิททั้งอันแต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นลวดลายบางๆ ที่ประดิดประดอย ครั้งนี้ข้าเสกอีกาตัวเล็กๆ มาเกาะไว้บริเวณไหล่ด้วย มันไซร้ขนเหมือนมีชีวิตเพราะข้าได้แบ่งความนึกคิดของข้าเข้าไปด้วย จะว่ามันเป็นร่างอีกาของข้าก็ได้ แต่ที่ข้าไม่ค่อยได้เสกนั้นเพราะมันค่อนข้างเปลืองพลังเวทแต่ถ้าข้าเสกมันเมื่อไหร่นั้นก็หมายความว่าข้าเอาจริง อย่างที่บอกไปข้าได้แบ่งสติปัญาของข้าเข้าไปด้วย เจ้าอีกาของข้ามีความสามารถมากกว่าจิกเยอะ

   ข้าเดินออกจากห้องประมาณสายๆ เพราะพิธีประลองอยู่ประมาณช่วงบ่าย ข้าเดินไปพร้อมกับกินขนมปังที่เก็บไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ข้าแบ่งให้เจ้าอีกาตัวเล็กนิดหน่อยเมื่อเห็นท่าทางของมัน ข้าหิวเจ้าอีกาก็คงหิวเหมือนกัน

 ข้าเดินไปเอื่อยๆ ไปยังลานประลอง
   
“ เฮ้ ! ฟาร์คัส เจ้าไม่คิดจะรอข้าเลยเรอะ ”  เสียงบาร์ลินตะโกนเรียกข้าเสียงดัง และวิ่งมายืนอยู่ข้างๆ ข้า   
   ที่ข้าเดินช้าก็รอเจ้านั่นแหละ ข้าเพียงแต่คิดไม่ได้พูดออกไป และก้าวขาเดินต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายตามมาทัน

   “ เจ้าคงขี้เกียจสั่งข้าวเช้าล่ะสิ ถึงได้กินขนมปังเนี่ย ” บาร์ลินหัวเราะเบาๆ “ ข้าจำได้นะว่า เจ้าแอบหยิบขนมปังนี่ใส่ถุงเมื่อคืน ”

   “ ...  ” ข้าไม่คิดว่าบาร์ลินจะเห็น แต่ช่างมันเถอะ มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องไปสนใจ เรื่องที่ข้าต้องสนใจในวันนี้ดูท่าจะหนักหนาสาหัสกว่ามาก “ ไปลานประลองกันเถอะ ” ข้าตั้งใจจะไปดูว่าครั้งนี้มีใครมาลงแข่งขันบ้าง นกระดับขนนกทองข้ารู้จักแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
   
“ ไปสิ ข้าตั้งใจจะดูเหมือนกันว่าใครจะลงแข่งรอบนี้บ้าง แต่ข้าได้ข่าวว่าเซอร์เคนก็จะลงด้วย ”
   
“ เซอร์เคน ? ” ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เจ้าอีกาที่เกาะไหล่ข้าก็เอียงหัวไปมาคล้ายกับสงสัยเหมือนกัน
   
“ เซอร์เคนลูกเจ้าขุนนางแร้งนั่นไงล่ะ ” บาร์ลินพูดไปดเวยท่าทางที่ตื่นเต้น “ ข้าได้ข่าวว่าเขาเก่งมาก ทั้งเวททั้งอาวุธ ข้านี้อยากสู้กับเขาชะมัด ”
   
ทำไมข้ามีลางสังหรณ์ว่าข้าจะได้สู้ล่ะ ข้าคิดปลงๆ “ เจ้าว่าทรอยจะลงไหม ? ” ทรอยที่ว่าเป็นนกระดับขนทอง ข้าเคยทำภารกิจกับเขาอยู่ครั้งหนึ่งฝีมือค่อนข้างแข็งแกร่งทำให้ภารกิจยากๆ ที่ทำใช้เวลาไม่กี่วันเสร็จ
   
“ ลงอยู่แล้ว เจ้าลืมไปแล้วเหรอ ? ทรอยเป็นนกเค้าแมวนะเขาชอบไล่จับนกตัวเล็กๆ จะตาย ” บาร์ลินเลิกคิ้วคล้ายกับเขาพูดอะไรที่ประหลาดออกไป

   “ อืม ” ข้าตอบรับเบาๆ งั้นข้าก็อาจจะเจอทรอยด้วยเหมือนกัน ข้าเดินต่อไปเงียบๆ โดยปล่อยให้บาร์ลินพูดจ้อต่อไปถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมนกแสกถึงได้พูดมากอย่างนี่ ข้าว่าบาร์ลินอาจจะเป็นนกขุนทองซะมากกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ข้ารำคาญนัก เหมือนที่บาร์ลินชินข้านั่นแหละข้าก็ชินบาร์ลอนเหมือนกัน เจ้าอีกาน้อยของข้าก็ทำเพียงเกาะและจ้องบาร์ลินที่พูดจ้อนิ่งๆ เท่านั้น

   “ ถึงสักที ! ” บาร์ลินพูดเมื่อมาถึงลานประลอง
   
ลานประลองของนกบอกลางนั้นไม่เหมือนลานประลองปกติทั่วไป ลานประลองนั้นจะลอยอยู่ในอากาศ การปะทะกันของนกบอกลางก็ต้องในอากาศเช่นกัน ทำให้ลานประลองนั้นมีขนาดกว้างมากและมีอัฒจรรย์คนดูล้อมรอบทุกทิศสามารถมองเห็นได้ชัดเจนทุกมุม และมีกรรมการประจำสี่จุดของอัฒจรรย์เพื่อป้องกันการตัดสินที่ผิด ลานประลองนั้นถึงแม้จะลอยในอากาศแต่ก็มีเมฆที่สามารถเหยียบได้ในบางจุด ยกเว้นแต่ในลานประลองจะโล่งมีเพียงแต่เมฆธรรมดาที่ลอยเอื่อยบดบังทรรศนียภาพของผู้แข่งขันในบางครา
   
ตอนนี้มีนกบอกลางมากมายเดินกันขวักไขว่บ้างก็บินขึ้นไปนั่งบนอัฒจรรย์เลย บ้างก็ค่อยๆ เหยียบเมฆขึ้นไปบนลางประลอง ซึ่งจากจำนวนคนที่มากมายขนาดนี้ ข้าคิดว่าน่าจะใช้เวทเคลื่อนย้ายน่าจะง่ายกว่า ข้าดึงแขนบาร์ลินและร่ายเวททันที บาร์ลินยังไม่ทันทักท้วงข้ากับบาร์ลินก็มาปรากฎตัวในจุดรองรับผู้เข้าร่วมพิธีแล้ว

   “ ฟาร์คัสเจ้าจะใช้เวทบอกข้าหน่อยก็ดี ข้าเข้าใจนะ ว่าเจ้าไม่ชอบคนเยอะๆ ” บาร์ลินถอนหายใจและบ่นออกมา

   “ เจ้าก็รู้นี่ ” ข้าพูดเรียบๆ และมองไปรอบๆ พบว่าตอนนี้มีผู้เข้าร่วมประลองนั่งอยู่เต็มไปหมดทั้งบนเก้าอี้ โซฟา บางคนนั่งเช็ดดาบ บางคนนั่งก็กินอยู่ ซึ่งมีสายตาหนึ่งที่กำลังจดจ้องมาอยู่อย่างดุดันจนรู้สึกได้ ข้าหันไปหาที่มาของสายตานั้นพบว่า เป็นชายฉกรรจ์ที่ตัดผมไถข้างทั้งสองข้างสีผมสีดำกระด่างแต่งกายด้วยชุดเกราะเหล็กกำลังนั่งขัดดาบอยู่ ข้าสบตากับเจ้าของสายตาดุดัน ซึ่งตอนนี้เลิกคิ้วน้อยๆ คล้ายกับว่าหยอกเย้า บนเกราะเหล็กของเขามีตราของขนนกทอง ข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่กลับมาจ้องข้าเหมือนกับว่าข้าไปทำอะไรให้โกรธแค้น

   “ นั่นไงล่ะ ฟาร์คัส เซอร์เคนไง ” บาร์ลินพูดอย่างตื่นเต้น ตาส่งประกายสนุกสนาน ดูเหมือนว่าบาร์ลินจะไม่เห็นสายตาดุดันที่จ้องข้าเมื่อกี้

   “ อือ ” ข้าพยักหน้ารับส่งๆ ไป แต่สายตายังจับจ้องไปที่เซอร์เคนอย่างไม่ลดละ เจ้าอีกาตัวน้อยของเขาก็ดูนิ่งงันจ้องเขม็งกลับไปเหมือนกัน

   “ อ้าว ฟาร์คัส เจ้ามาร่วมประลองด้วยงั้นเหรอ ” เสียงคุ้นเคยเดินมาทักทายข้า ข้าจึงละสายตาจากสายตาดุดันนั่น

   “ ข้าอยากมาประลองแก้เมื่อยขัดน่ะ ” ข้ายักไหล่ตอบทรอย แค่ฟังเสียงฝีก้าว ข้าก็รู้แล้วว่าใคร ทั้งๆ ที่ทรอยเป็นเผ่าพันธุ์นกเค้าแมวที่ปกติมักมีรูปร่างสูงใหญ่กลับมีขนาดตัวพอๆ กับกับข้าที่เป็นอีกา ดวงตาของทรอยนั้นกลมโตและมีหลายสี ในตอน
เช้านั้นจะเป็นสีส้มแต่ในตอนกลางคืนจะกลายเป็นสีเหลืองสว่าง

   “ บาร์ลิน ข้าหวังว่าจะไม่เจอเจ้าในการแข่งขันนะ ” ทรอยพูดพร้อมหัวเราะร่วน
   
“ แต่ข้าหวังว่าจะได้สู้กับเจ้านะ นกแสกกับนกเค้าแมว แค่คิดก็สนุกแล้ว ” บาร์ลินหัวเราะหึๆ ตอนนี้บาร์ลินได้จมลงไปในโลกแห่งการต่อสู้ซะแล้ว เห็นใครก็อยากประลองไปซะหมดโชคดีที่บาร์ลินยังไม่บ้ามาท้าประลองกับข้าด้วย

   “ ข้าขอผ่านดีกว่า ” ทรอยหัวเราะแห้งๆ “ เดี๋ยวข้าไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน พวกเจ้ากินอะไรมาแล้วรึยัง ? ”   
   
“ ข้ากินแล้ว ” ขนมปังไงล่ะ

   “ ข้าก็กินแล้วน่ะ เจ้าไปเถอะ ” บาร์ลินตอบและตะโกนไล่หลังทรอยเมื่ออีกฝ่ายเดินไป “ ขอให้ข้าเจอเจ้าเถอะ ! ข้าอยากรู้จะตายอยู่แล้วว่าเผ่าพันธ์นกเค้าแมวมีความสามารถอะไรซ่อนไว้ ”
   
ทรอยไม่ได้ตอบอะไรแค่หัวเราะแห้งๆ ตอบ เมื่อทรอยลับหลังไปข้าก็กวาดสายตามองรอบๆ อีกครั้งเพราะรู้สึกสายตาที่จ้องมองมาจำนวนมาก พวกนกบอกลางที่เห็นข้าหันไปสบตาส่วนใหญ่จะสะดุ้งและหลบตาไปเอง แต่บางส่วนตาก็ยังจดจ้องมาอย่างท้าทายเหมือนเซอร์เคน ข้ามองตอบสายตาพวกนั้นอย่างเย็นชาและลากเบอร์ลินเดินหาที่นั่งว่างๆ และนั่งลง ความจริงมีที่นั่งสำหรับขนนกทองอยู่ แต่ข้าอยากสอดส่องคนที่มาเข้ามาร่วมมากกว่า นกระดับขนนกอื่นบางคนก็มีพลังที่น่าสนใจเหมือนกันอีกทั้งนั่งตรงนี้น่าจะเห็นคนเข้าออกได้ง่ายกว่า
   
แต่จนแล้วจนรอดข้าก็เผลอหลับไปซะอย่างนั้นเพราะการนั่งเฉยๆ รอเวลามันโครตจะน่าเบื่ออีกทั้งไม่มีคนน่าสนใจด้วย ข้าบอกให้เจ้าอีกาปลุกข้าเมื่อใกล้ถึงเวลา แต่พอข้าใกล้จะหลับก็มีเสียงรบกวนการนอนที่ทำให้ข้าหงุดหงิด

   // ฟาร์คัสสส เจ้าจะนอนงั้นเหรอออ //
   ใช่ เจ้าช่วยหุบปากด้วย
   

// โถ่ เจ้าจะแข่งแล้วนะ ฟาร์คัส //

   นั่นมันเรื่องของข้า
   
// ถ้าเจ้านอนข้าก็ใช้เวลาว่างของข้าไม่คุ้มสิ ฟาร์คัส //

   ถ้าเจ้าว่างมาก เจ้าก็ช่วยไปทำอะไรสร้างสรรค์กว่านี้เถอะ

   // .. ก็ได้ //
   
แล้วเสียงราชาปีศาจก็เงียบไป งอน ? แต่ช่างมันเถอะตอนนี้ข้าง่วงมากปล่อยให้อีกาข้าสอดส่องคนไปแทนแล้วกัน แต่จนรอดจนรอดข้าก็นอนไม่หลับอยู่ดีเพราะสายตาที่จดจ้องมาทางข้าจำนวนมหาศาลรอบตัวที่ถึงแม้จะหลับตาก็ยังรู้สึกได้ เมื่อข้าลืมตาขึ้นมาก็เห็นนกบอกลางจ้องมาทางข้าอีกครั้งซึ่งก็มีจำนวนมากกว่าเมื่อกี้ สายตาที่ส่อว่าเห็นข้าเป็นศัตรูอย่างชัดเจน ถึงแม้พิธีประลองจะเป็นแค่การแสดงฝีมือของนกระดับขนนกทอง แต่นั้นก็มีผลต่อการแย่งชิงบัลลังก์เช่นกัน หากรู้ระดับฝีมือของศัตรูดีก็ไม่ควรกระโดดเข้าไปเสี่ยง
   
กา

   เจ้าอีกาน้อยของข้าส่งเสียงกังวานขณะที่รอบๆ ตัวนั้นนิ่งเงียบ ทำให้นกบอกลางบางคนสะดุ้งตกใจ แต่นั้นก็เป็นส่วนใหญ่ของนกที่มาเลื่อนระดับขนนกตัวเองเท่านั้น ส่วนพวกส่วนน้อยนะเหรอ
   
ขนนกทองคนอื่นๆ ไงล่ะ

   “ เฮ้ ฟาร์คัสเตรียมตัวได้แล้ว  จะเริ่มแล้วนะ ” บาร์ลินที่ไม่สนใจสายตาคนรอบข้างหันมาบอกข้า

   “ อืม ” ข้าพยักหน้ารับและลุกขึ้นยืนไม่สนใจสายตาทั้งหลายที่จ้องมองมา บาร์ลินยิ้มแห้งๆ เมื่อข้าเดินมาเลยไม่ได้บอก ข้าเดินไปยังป้ายประกาศที่แจงให้เห็นว่าใครต้องประลองกับใคร ซึ่งในตอนแรกมันจะไม่มีชื่อปรากกฎเพื่อป้องกันการลอบทำร้ายแต่มันจะปรากฎในตอนก่อนเริ่มแข่งขัน 10 นาที ข้ากวาดสายตามองหาชื่อของตัวเองในแถวระดับบนของขนนกทอง แต่เมื่อเจอก็อดเงียบไปไม่ได้
   
“ . . . ”  ลางสังหรณ์ของข้าช่างแม่นยำ
   
“ ฟาร์คัส เจ้าได้แข่งกับเซอร์เคนเรอะ !! อะไรกันข้าก็อยากแข่งบ้างนะ อย่างงี้ข้าก็อดประลองสิ ถ้าเซอร์เคนประลองกับเจ้าเนี่ย ” บาร์ลินถอนหายใจ “ คู่แข่งของข้าก็ใครก็ไม่รู้ แต่ข้าว่ามันไม่น่าสนใจเลย อย่างน้อยได้ทรอยก็ดีสิ ” บาร์ลินยังคงบ่นแต่ข้าก็ไม่ได้ตอบอะไร

ส่วนนกบอกลางคนอื่นๆ นั้นไม่ได้เข้ามาดู ส่วนหนึ่งน่าจะดูไปแล้วอีกส่วนข้าว่าน่าจะไม่อยากยุ่งกับข้าซะมากกว่า “ ข้าอยู่ชื่อคนแรกแปลว่า ? ” หวังว่าจะไม่ใช่คู่แรกประเดิมสนามนะ
   
“ ใช่ เจ้าคู่แรกเลย ฟาร์คัส ข้าเชียร์เจ้านะ ” บาร์ลินตบไหล่ข้าเบาๆ เชิงให้กำลังใจ
   
ดีจริงๆ ข้าคิดเซ็งๆ ระหว่างที่ก้าวขาไปนั่งรอตรงที่นั่งสำหรับขึ้นลานประลอง บาร์ลินไม่ได้มานั่งกับข้าเพราะชื่อของเขาอยู่แถวท้ายๆ ของการประลอง พิธีประลองส่วนใหญ่จะเป็นแบบสุ่มเอาระดับขนนกดำขึ้นบ้าง แล้วแต่ผู้จัดการประลองจะจัด ข้านั่งเก้าอี้รับรองและฟังเสียงประกาศของโฆษกที่อยู่ข้างนอก
   
/ ยินดีต้อนรับเข้าสู่พิธีประลองครับ !! สวัสดีทุกท่านนะครับ พิธีประลองครั้งนี้ท่านจะได้เห็นการต่อสู้ระดับขนนกทองแสดงฝีมือกันครับ กรรมการจะเป็นท่านขุนนางทั้ง 4 ครับ ประจำอยู่ 4 มุมของอัฒจรรย์นะครับ ได้แก่ท่าน----- /
   
โฆษกยังคำพร่ำพูดไปซึ่งหลังๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจจับประเด็นนักเพราะรู้สึกถึงสายตาเดิมที่เคยมองข้าตอนเช้า ข้าหันไปมองกลับอย่างเย็นชา เซอร์เคนนั่นเอง.. อีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงข้ามกับของข้าเพราะเมื่อขึ้นลานประลองจะตรงข้ามกันพอดี เซอร์เคนจ้องมาข้าด้วยสายตาที่เหมือนข้าไปฆ่าพ่อของเขายังไงยังงั้น เจ้าอีกาที่เกาะไหล่ข้าก็ดูไม่ชอบใจสักเท่าไหร่มันจดจ้องเซอร์เคนด้วยสายตาเชือดเฉือนกลับไป
   
ทำไมอีกาของข้าดูดุจัง ข้าว่าข้าไม่ได้อยากบินเข้าไปจิกสักหน่อย แต่แล้วข้าก็ต้องละความสนใจไปฟังเสียงโฆษกประกาศอีกครั้ง
   
// และท่านสุดท้ายนะครับท่านทาริคแห่งนกแร้งครับ  //

   นั่นไง พ่อของเขาไงล่ะ ข้าคิดในใจ
   
// ขอเชิญท่านออวิลล์ราชาแห่งนกบอกลางเปิดพิธีครับ !! //

   แล้วนี้ก็พ่อข้าเอง ข้าคิดขำๆ และเอาเรียกให้เจ้าอีกามาเกาะแขนข้าแทน  ข้าลุกขึ้นยืนเตรียมเดินเข้าไปยังประลอง ซึ่งฝ่ายตรงข้ามข้ามข้าก็เช่นกันแบกแดบไว้ที่ไหล่ การเปิดพิธีการประลองจะไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากมายเพราะเป็นการวัดระดับไม่ใช่งานรื่นเริงอะไรทำนองนั้น ฉะนั้นเมื่อเปิดงานเสร็จก็จะเรียกผู้เข้าร่วมการประลองทันที

// เอาล่ะครับ ขอเชิญคู่แรกขึ้นมาเลยครับ ! //

   เจ้าอีกาปล่อยจากแขนข้าและบินขึ้นไปก่อนพร้อมกับส่งเสียงดังกังวาน ข้าปล่อยให้ปีกสีดำของข้าค่อยๆ งอกออกมาและกระพือปีกขึ้นไปตามอีกาของข้า ข้ากระชับคทาในมือแน่นเมื่อออกไปสู่ลานประลอง ข้าเงยหน้ามองท่านพ่อของข้าที่ยิ้มบางๆ เหมือนให้กำลังใจ
   
// คนแรกนะครับทายาทแห่งราชา ฟาร์คัส ครับ !! //

   เจ้าอีกาที่บินร่อนวนข้างบนรอบนึงก็กลับมาเกาะที่ไหล่ข้า
   
// ส่วนคนที่สองนั้นทายาทของขุนนางทาริค เซอร์เคนครับ !! //
   
มีเสียงเฮดังสนั่นสนามผิดกับข้าที่ไม่มีเสียงอะไร ซึ่งข้าก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมถึงไม่มีเสียงเชียร์ข้าบ้าง แต่ต่อให้มีข้าก็ไม่ได้สนใจอยู่ดี มันไม่ได้มีผลช่วยให้ข้าชนะนี่ ถ้าจะชนะนั่นก็มาจากตัวข้าเองโดยทั้งสิ้น

// เริ่มการประลองครับ !! //
   
เสียงโฆษกพูดดังพร้อมกับเสียงกล่องที่ตีระรัวเสียงดัง
   
ข้าชูคทาของข้าขึ้นมาและร่ายเวททันทีกระแสอากาศรอบๆ ตัวของข้ากำลังสั่นคล้ายกับกำลังหวีดร้อง ส่วนอีกาของข้าก็รู้หน้าที่ของตัวเองดีได้ถลาบินเข้าไปหาเซฮร์เคนที่บินเข้ามาหาข้าอย่างดุดัน เซอร์เคนตวัดดาบใส่อีกาของข้า แต่อีกาของข้าก็ว่องไวเกินกว่าจะมาสับง่ายๆ อีกาของข้ายังคงบินก่อกวนในขณะที่นายของมันยังท่องเวท
   
แต่เซอร์เคนนั้นหาได้ใส่จนอีกาไม่  บินถลาเข้ามาพร้อมกับดาบที่ตอนนี้มีประกายของพลังเวทสีดำคลุมอยู่  อีกาของข้าพยายามร่ายเวทโจมตีใส่แต่เซอร์เคนก็ร่ายเวทโจมตีกลับคืนซึ่งพลังนั่นก็มากกว่าอีกาตัวน้อยของข้า อีกาตัวน้อยจึงเลือกที่จะบินฉวัดเฉวียนด้วยท่าทีที่สุขุมแทนเมื่อใดก็ตามที่เซอร์เคนเปิดช่องว่าง เมื่อนั้นมันจะเป็นโอกาสของมัน

   ในขณะที่เซอร์เคนใกล้เข้ามาข้าก็ร่ายเวทจบพอดี “ บีบอากาศ !! ” ข้าตะโกนเสียงก้องเพื่อให้เวทนี้สัมฤทธิ์ผล ฉับพลันอากาศมวลโดยรอบก็เกิดลมพายุอย่างรุนแรงทั้งสายฟ้าที่ฟาดฟันกับสายลมที่คมกริบ เจ้าอีกาของข้าก็รู้งานดีจึงบินขึ้นไปสูงกว่าเดิมเพื่อไม่ให้โดนเวทของข้า เซอร์เคนที่โดนเวทของข้าถึงกับเผลอหยุดบินถาโถมมาหาข้าและร่ายเวทป้องกันตัวเองจากเวทของข้า

   ซึ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ทั้งข้าและเจ้าอีกาตัวน้อยของข้ารอคอยพอดี ข้าเปล่งเสียงเบาๆ อนุญาตให้อีกาเข้ามาในเวทบีบอากาศนี้ได้ เจ้าอีกาบินโฉบเข้ามาทางด้านหลังพร้อมร่ายเวทโจมตีที่ค่อนข้างรุนแรงขณะที่ข้าร่ายเวทเดียวกันใส่เซอร์เคนที่ตอนนี้ดูลุกลี้ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูก แต่เวทที่เขาร่ายออกมากลับมีประสิทธิภาพพอที่จะต้านเวทบีบอากาศอันทรงพลังข้าได้ระดับหนึ่ง แต่เวทบีบอากาศของข้ามันก็แค่อุบายหลอกล่อเท่านั้น เวทโจมตีนี่สิถึงจะเป็นการจบการต่อสู้นี่อย่างแท้จริง
   
ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเซอร์เคนจะต้านทานพลังเวทของข้าได้ แต่แล้วสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นเวทป้องกันของเซอร์เคนกลับค่อยๆ มีไอสีดำค่อยคืบคลานออกมาส่อประกายน่าขนลุก มันกัดกินทั้งสายฟ้าและสายลมของข้าที่เข้าโจมตีมันจนหมด ข้าจึงตัดสินใจอัดเวทดจมตีใส่ทันทีพร้อมๆ กับอีกาน้อยของข้า
   
ตูม

   เสียงระเบิดดังสนั่นแต่ข้าก็ไม่ได้ไว้วางใจว่าข้าชนะการประลองแล้ว ใจจริงข้าอยากใช้เวทหยุดเวลาแต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ตรงกับเงื่อนไขมันเลย ข้าจึงได้แต่บินอยู่กับที่และเตรียมตั้งรับหลังจากควันที่ขโมงนี่หายไป เวทบีบอากาศของข้าได้สลายไปแล้วเพราะมันกินพลังเวทของข้าเกินไป

“ อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”

   เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น แต่มันไม่ได้ดังในลานประลอง มันเป็นเสียงของพ่อข้า ข้าหันกลับไปดูทันทีอย่างลืมตัว ข้าสะบัดมือเบาๆ ให้เวทลมกระจายควันออกไปจนจางลง ปรากฎร่างของพ่อข้าที่มีเลือดเปรอะเต็มริมฝีปาก ในมือถือแก้วชาที่สั่นน้อยๆ และเผลอปล่อยหลุดร่วงลงไปบนพื้นเมฆ

   ข้าไม่สนใจการแข่งขันอีกต่อไปรีบบินถลาเข้าไปหาท่านพ่อที่ทรุดตัวลงกองกับที่นั่ง แต่ว่าคู่ต่อสู้ของข้าดูจะไม่สนใจเหตุการณ์ภายนอกร่ายเวทคำสาปสีดำสนิทพุ่งมาทางข้าอย่างรวดเร็วจนแม้แต่อีกาของข้ายังเอาตัวขวางไว้ไม่ทันเวปคำสาปปะทะเข้ากับลำคอของข้าอย่างพอดิบพอดี แต่ข้าไม่ได้สนใจข้ายังคงบินรุดหน้าไปหาท่านพ่อของข้า
   
แม้ว่าตอนนี้ข้าจะรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายก็ตาม

   แต่เมื่อพอไปถึงข้ากลับพบว่าท่านพ่อของข้านั้นได้แน่นิ่งไปแล้ว หน้าของท่านพ่อยังแสดงสีหน้าที่เจ็บปวดออกมา ร่างกายของท่านพ่อของข้าค่อยๆ กลายเป็นอีกาขนาดย่อมและค่อยๆ สลายหายไป

   “ ท่านราชาได้สวรรคตแล้ว ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่เป็นผู้ชนะสูงสุดในวันนี้จะกลายเป็นราชาขึ้นแทน !! ” ขุนนางทาริคตะโกนก้องเมื่อร่างของพ่อข้าได้สลายไปจนหมดเหลือเพียงมงกุฏที่ประดับไปด้วยพลอยน้ำงามตกอยู่ ขุนนางทาริคพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนไม่ยินดียินร้ายต่อการจากไปขององค์ราชา

   “ ... ” ข้าไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกไป ความเจ็บปวดตอนนี้ได้กัดกินข้าไปทั้งตัว ทายาทของราชาอีกาที่ใครๆ ก็คิดว่าไม่มีความรู้สึกอะไรตอนนี้กลับตัวสั่นน้อยๆ ไม่แม้แต่ตั้งรับกับการโจมตีที่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง

   น้ำตาหยดนึงของทายาทแห่งอีกาได้หยดลงบนขาของเจ้าตัวโดยไม่รู้ตัว

   “ หึหึหึ  ” เซอร์เคนหัวเราะอย่างสะใจ เมื่อเห็นดาบของตนใกล้จะบั่นหัวของขวางหนามของเขา  แต่เมื่อเหวี่ยงดาบหมายจะฟันคอกลับโดนสะท้อนออกมาและต้องเบิกตากว้างอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นร่างสีดำสนิทที่มีพร้อมกลิ่นอายความมืดที่ดำมืดยิ่งกว่าคำสาปของเขา ท้องฟ้าตอนนี้ได้เปลี่ยนจากแจ่มใสกลายเป็นมืดครึ้มเหมือนในสวนไม้
   
“ ราชาปีศาจ !! ” เสียงผู้คนบนอัฒจรรย์กรีดร้องและบินหนีกันอย่างอลหม่าน เซอร์เคนตาเบิกกว้างอย่างหวาดกลัวและเหลือบไปเห็นตราประทับสีดำสนิทที่ประทับบนหลังคอของฟาร์คัสยิ่งทำเซอร์เคนกลัวจนตัวสั่นและบินหนีออกไปอย่างตระหนกกลัว

   ราชาปีศาจไม่สนใจสิ่งรอบตัวรีบบินเข้าไปโอบกอดฟาร์คัสไว้ ตอนนี้ฟาร์คัสสำหรับราชาปีศาจได้กลายเป็นแก้วบางๆ เสียแล้ว ถ้าหากไม่ทะนุถนอมให้ดีแก้วนี้ก็พร้อมจะแตกทุกเมื่อ ราชาปีศาจอุ้มฟาร์คัสไว้แนบอกและกวาดสายตามองสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างเย็นชา
   
“ หุบปากไปซะ !!! ”
   
ราชาปีศาจตะหวาดก้องเสียงก็ดังก้องทั่วดินแดน  ทำเอานกบอกลางแตกกระจายส่งเสียงกรีดร้องดังยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นว่ารั้งจะทำให้แย่กว่านี้จึงไม่สนใจ และตอนนี้ราชาปีศาจจึงมองทาริคด้วยสายตาเย็นเยียบ “ เจ้าทำอะไรราชาแห่งนกบอกลาง ”
   
“ ข้าจะไปทำอะไรได้ ราชาปีศาจ ” ทาริคยังคงสุขุมเช่นเดิม แม้ว่าผู้ที่สนทนาด้วยจะเป็นราชาปีศาจก็ตาม ทาริคเหลือบมองฟาร์คัสด้วยสายตาเหยียดหยันน้อยๆ และพูดต่อ “ ถึงแม้ในโลกมนุษย์จะนับเอาทายาทของราชาเป็นราชาองค์ต่อไป แต่ถ้าหากทายาทที่ว่านั้นได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของราชาคนอื่น ข้าเองก็เกรงว่านั่นจะไม่เหมาะสมนัก ”
   
บรรยากาศรอบตัวของราชาปีศาจได้กัดกร่อนสิ่งต่างๆ จนเก้าอี้และเมฆสลายหายไปหมด “ เจ้าตอบไม่ตรงคำถาม ” ราชาปีศาจเรียกพลังมวลหนึ่งจำนวนมหาศาลเตรียมจะสังหารร่างตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ
   
แต่ก่อนที่จะได้สังหารใคร ได้มีมือของทายาทของราชาที่ได้จางหายไปเมื่อกี้กำเสื้อบริเวณอกของราชาปีศาจไว้แน่นและสำลักเลือดออกมาจนเปรอะไปทั่ว ราชาปีศาจสลายพลังมหาศาลและรีบพาร่างที่ตอนนี้บอบช้ำทั้งกายและจิตใจกลับแดนปีศาจทันที

   “ นับว่าเป็นโชคของข้า ” ทาริคพูดเสียงเรียบพร้อมกับยกยิ้มบางๆ

------------

 o22  รู้สึกสงสารฟาร์คัสมากๆ  :hao5:


*****
ตอบคอมเม้นค่ะ

Panp >> พอประลองก็เกิดเรื่องอีกแล้ว 55555  :z13:

Cher7343 >> ขอบคุณที่ชอบค่ะ  :กอด1:

อ๊ายอาย >> เรื่องลงเว็ปอื่นๆ ขอบคุณที่แนะนำค่ะ  :man1: แต่ส่วนใหญ่ลงที่เด็กดีคนจะไม่ค่อยเห็นสักเท่าไหร่ ส่วนตัวไม่ค่อย
ได้เล่นด้วยแต่ก็ลงไปแล้วค่ะ 555  เรื่องส่งสนพ. อาจจะลองส่งดูค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะได้รวมเล่มไหม ขอบคุณที่เป็นกำลังใจค่ะ 
:mc4:

B52 >> ราชาปีศาจเขาขี้แกล้งค่ะ

Bluecherry >>  :man1: กอดๆ เจอกันอีกแล้ว ดีใจจัง  :mc4:

angel_Z4 >> เป็นจริงไม่จริงรอดูตอนหน้าเลยค่ะ   :mew1: สมกับเป็นราชาปีศาจแน่นอนค่ะ  :katai4:

คุณ Vani >> ขอบคุณค่ะ  :L2:
   
   
   สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคอมเม้นค่ะ  :pig4: รวมถึงนักอ่านด้วย
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 4 5 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 05-04-2015 22:53:33
..... มีใครหนุนหลังทาริคอยู่บ้างนะ?

สงสารฟาร์คัส  :hao5:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 4 5 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 06-04-2015 13:12:07
กรี๊ดดดดดดดดดฟาร์คัสลูกแม่!! อย่าเป็นอะไรมากเลยนะ ราชารักษาด่วน :o12:  ...อิพวกแร้งหัวล้าน!ไม่รู้เงาหัวตัวเองซะเเล้วเล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับเมีย(?)ราชาปีศาจ ไม่ได้ตายดีแน่แก/สงสารว่ะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 4 5 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 07-04-2015 22:20:39
ง้าาาา สงสารน้องกา พ่อโดนฆ่าแล้วยังโดนคนเข้าขับไล่อีก
เฮ้อ ยังดีราชาปีศาจออกโรงเอง ไม่งั้นน้องกาจะโดนไรมั่ง ไม่อยากจะคิด
มาต่อไวๆน้า ชอบๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 5 9 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 09-04-2015 22:24:37
-- ตอนที่ 5 --

“ ฟาร์คัส เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ ” ราชาปีศาจพร่ำบอกกับร่างในอ้อมกอดของตน ฟาร์คัสนั้นหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัดใบหน้าที่มักจะติดจะเย็นชาตอนนี้ได้กลายเป็นสีหน้าที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด จนราชาปีศาจเคาเดาไม่ถูกว่ามาจากการความเจ็บปวดทางกายหรือจิตใจกันแน่ ได้แต่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นหวังจะปลอบประโลม

   เมื่อเห็นภาพภายในคฤหาสน์คุ้นตาแสดงให้เห็นว่าได้กลับมาถึงแดนปีศาจแล้ว ราชาปีศาจตะโกนก้องเรียกลูกน้องคนสนิททันที “ ชาคอส !! ” เสียงของราชาปีศาจนั้นดังลั่นไปทั้งคฤหาสน์จนสัตว์เล็กสัตว์น้อยวิ่งหนีกันอย่างตื่นตระหนก ถ้าคนที่รู้จักราชาปีศาจดีจะรู้ว่าอย่าให้ท่านได้รอนานเพราะท่านมีความอดทนไม่สูงนัก
   
ขณะที่ราชาปีศาจจะตะโกนเรียกอีกรอบเพราะฟาร์คัสได้กระอักเลือดออกมาอีกครั้งจนเต็มเสื้อ ร่างที่ราชาปีศาจเรียกก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าราชาปีศาจฉับพลันและค้อมกายลงทำความเคารพ “ มีอะไรให้ข้ารับใช้ครับ ท่านราชา ” ชาคอสเงยหน้าและเอ่ยถามพูดเป็นนายด้วยท่าทีสุขุม
   
“ จงไปตามพอยซ์ มาให้ข้า ! ” ราชาปีศาจตะหวาดกร้าวอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ฟาร์คัสตอนนี้ดูเปราะบางมากจนราชาปีศาจแทบจะฆ่าทุกคนที่ขวางหูขวางตาตอนนี้เป็นการระบายอารมณ์ที่ไม่คงที่ ทำให้บรรยากาศรอบกายของราชาปีศาจนั้นเต็มไปด้วยความเงียบสงัด พวกปีศาจตนอื่นๆ ที่เป็นข้ารับใช้ต่างตัวสั่นน้อยๆ ไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าหากขยับแม้แต่นิดเดียวชีวิตของตนจะสะบั้นไปด้วย

   นอกเสียจากชาคอสเท่านั้นที่ไม่มีท่าทีตื่นกลัว “ ขอรับ ” ชาคอสรับคำและหายตัวไปทันทีและกลับมาพร้อมกับร่างๆ หนึ่งในชั่วพริบตา ขึ้นชื่อว่าคนสนิทขององค์ราชาย่อมีฝีมือพอให้เป็นคนสนิท ชาคอสเขย่าร่างที่ตนพามาด้วยเชิงปลุก เพราะพอยซ์ที่องค์ราชาต้องการตัวนั้นเป็นปีศาจแมวขี้เซามากแต่ฝีมือในการรักษาก็เป็นที่เลื่องลือเช่นกัน นับว่าเป็นปีศาจตนหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อในโลกปีศาจพอสมควร
   
“ อืออ อะไรร ” พอยซ์หาวหวอดถามด้วยน้ำเสียงง่วงงุน ต่อพอลืมตาเห็นเป็นราชาปีศาจก็สะดุ้งจนหางฟูหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง “ มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ ท่านคาร์บิลัส ” คนที่ทำให้พอยซ์ตื่นนอกจากผู้เป็นเจ้าของดินแดนก็ไม่มีใครอีกแล้ว
   
ราชาปีศาจพยายามระงับอารมณ์หงุดหงิดเมื่อเห็นท่าทีของพอยซ์ที่ดูง่วงงุนทั้งๆ ที่ตรงหน้าคือราชาปีศาจ “ รักษาเขาให้ข้าที ” ราชาปีศาจพูดน้ำเสียงอ่อนลงเมื่อพูดถึงร่างที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน
   
“ ขอรับๆ ” พอยซ์กระโดดโหยงอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นราชาปีศาจพูดด้วยน้ำเสียงที่เกิดมาเขาไม่เคยได้ยินจากปากราชาปีศาจสักครั้ง แต่ก็รีบกระโดดเข้าไปดูร่างที่บาดเจ็บของท่านราชาปีศาจอย่างรวดเร็วเพราะกลัวความพิโรธของท่านราชาถ้าหากช้าไปเพียงนิด พอยซ์กระดิกหูตัวเองไปมาอย่างครุ่นคิดและหยิบถุงเก่าๆ ออกมาจากในอากาศ ควานหาสิ่งของที่ต้องการและหยิบออกมาโปรยและท่องเวทเสียงเบา
   
“ ดอกไม้เอ๋ย เกสรเอ๋ย แม้นจะต้องแห้งเหี่ยวเพราะความมืดมิดหาใช่อายุขัย ก็ขอให้จงรับมันไว้แทนเถิด ” เมื่อสิ้นคำของพอยซ์ กลีบดอกไม้ที่โปรยบนตัวของฟาคัสก็แห้งเหี่ยวกลายเป็นสีดำสนิททันที ถึงแม้จะดูง่ายๆ หากแต่กลีบดอกไม้ที่ใช้นั้นก็หายากมากแต่พอยซ์ก็ได้เพาะเก็บไว้เต็มหลังบ้านไปหมดรวมถึงสมุนไพรชนิดอื่นๆ ด้วยที่พอยซ์สรรหามาปลูก ซึ่งมันออกจะมากกว่านี้ถ้าเจ้าตัวไม่มัวแต่หลับจนไม่ได้ปลูก

   ร่างกายของฟาคัสเหมือนกับดูมีสีสันดังปกติขึ้นมาทันตาแต่ก็ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาอยู่ดีทำเอาราชาปีศาจอดกลัวไม่ได้ “ ทำไมเขาไม่ฟื้น ? ” ราชาปีศาจเอามือเกลี่ยใบหน้าของทายาทอีกาเบาๆ ราวกับกลัวว่าร่างตรงหน้าจะสลายหายไป
   
“ เอ่อ ท่านเขา ? เขาโดนคำสาปน่ะขอรับ ตอนนี้ข้าได้ถ่ายโอนคำสาปใส่ดอกแกลส์แล้ว แต่คำสาปก็ยังคงมีฤทธิ์อยู่นะขอรับ ตอนนี้ท่านเขาแค่สลบเฉยๆ ขอรับ ” พอยซ์ที่ไม่รู้จะเรียกผู้บาดเจ็บตรงหน้าว่าอะไรได้แต่ใช้สรรพนามแปลกๆ ในการเรียก
   
“ แล้วทำไมคำสาปยังคงมีฤทธิ์ล่ะ พอยซ์ ” เสียงของราชาปีศาจเยียบเย็นพอๆ กับประกายตาที่จ้องมองพอยซ์อย่างดุร้าย

   “ ขะ ข้าอธิบายได้นะขอรับ ! ” พอยซ์ขนลุกกราวไปทั้งตัว วันนี้ช่างเป็นวันอาภัพของข้าซะจริง ! “ คำสาปที่ท่านเขาโดนเป็นคำสาปที่แม้จะถูกถอนออกไปแล้วก็ยังคงอยู่น่ะขอรับ แต่ท่านไม่ต้องกังวลนะขอรับ ฤทธิ์ที่รุนแรงดอกแกลส์ได้รับไปแทนหมดแล้วครับ เหลือแต่ฤทธิ์ที่ทำให้ความทรงจำเลอะเลือนนะขอรับจำได้เพียงเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่กับฤทธิ์ที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเพราะคำสาปกัดกินพลังเวท ” พอยซ์ตอบอย่างตื่นตระหนกแต่ฉะฉานราวกับท่องมา     “ ดอกแกลส์ของเจ้าเลือกแต่คำสาปที่รุนแรงงั้นเหรอ พอยซ์ ” แววตาเรียบเฉยบ่งบอกอารมณ์ของราชาปีศาจ

   “ ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ !! ดอกแกลส์ที่ข้าใช้ปกติก็จะรองรับคำสาปทั้งหมดแต่ครั้งนี้มันน่าจะดูดซับแต่ที่รุนแรงจริงๆ ไว้เพราะมันไม่สามารถรับได้หมด ”

   ราชาปีศาจนิ่งไปสักพักและเอ่ยถาม “ แล้วข้าทำอะไรได้บ้าง ”

   “ ทะ ท่านแค่ช่วยดูแลท่านเขาให้ดีครับอย่าให้คลาดสายตาเพราะถ้าหากคำสาปที่กัดกินพลังเวทของเขาเกิดกำเริบขึ้นมารุนแรงอาการจะทรุดตัวลง ถึงตอนนั้นถ้าหากมันกำเริบขึ้นมาให้ท่านถ่ายพลังเวทให้ท่านเขาครับ “
   
บรรยากาศรอบตัวราชาปีศาจดูหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด “ อีกนานไหมกว่าจะถอนคำสาปได้ ? ”

      “ 5 วันขอรับ คืนวันเพ็ญจะทำให้คำสาปพลังอ่อนลง ท่านแค่ใช้เวทถอนคำสาปธรรมดากับให้ท่านเขากินยาเม็ดนี้ขอรับ ” พอยซ์ล้วงเอายาเม็ดที่ว่าในถุงและยื่นให้กับราชาปีศาจ

“ อืม ขอบใจมาก ” ราชาปีศาจรับยาเม็ดเล็กและโยนเข้าไปในอากาศและมันก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมๆ กับพอยซ์ที่ได้หายตัวไปเช่นกัน

“ อย่าได้กลัวไปเลย ฟาร์คัส ข้าจะปกป้องเจ้าเอง อีกาของข้า ”
   
   เสียงการเฉลิมฉลองรื่นเริงได้กลบความเศร้าโศกของนกบอกลางทั้งหลาย ถึงแม้การจากไปขององค์ราชาจะเป็นเรื่องที่น่าเสียใจแต่ก็น้อยคนนักที่รู้ว่าราชาของตนนั้นไม่ได้ตายเพราะความชราของตนเอง ส่วนผู้ที่รู้นั้นก็จะปิดปากเงียบและทำท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น                                                                                                                     

ทาริคจิบไวน์สูตรเฉพาะของนกบอกลางด้วยอารมณ์ยินดี วันนี้มีงานเฉลิมฉลองราชาแห่งนกบอกลางคนใหม่ซึ่งเซอร์เคนก็ได้ครองตำแหน่งไปโดยปริยายตามที่เขาได้วางแผนไว้ ในอีก 5 วัน จะเป็นพิธีมอบมงกุฏราชาแห่งนกบอกลาง วันนั้นทั้งเขาและลูกชายของเขาจะได้ครอบครองทุกอย่างในดินแดนแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะต้องทรยศของนายเหนือหัว ใช้เล่ห์กลต่างๆ นานาเพื่อดึงเอาขุนนางฝ่ายในทั้งหมดเข้าเป็นพวก การแทรกซึมเข้าไปเพื่อก่อกบฏนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ถ้าหากค่อยเป็นค่อยไปก็ไม่ได้ยากเกินกว่าความสามารถของนกขุนนางแก่ๆ ที่คร่ำหวอดกับวงการนี้มาเป็นเวลานาน

ทาริคเหยียดยิ้มเบาบางเมื่อนึกถึงทายาทของราชาองค์เก่าของตน ฟาร์คัส ทายาทของท่านราชาที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่ใครจะสู้ได้ ถ้าหากเขาไม่ใช้โอกาสที่อีกฝ่ายทีเผลอละก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะอีกาตัวนี้ แต่ตอนนี้อีกาที่เป็นขวากหนามในการไต่เต้าขึ้นจุดสูงสุดของชีวิตของเขาก็ได้หายไปแล้ว คำสาปของเซอร์เคนนั้นไม่ใช่เรื่องที่สบประมาทได้ง่ายๆ เวทคำสาปของเซอร์เคนเปรียบเสมือนปลิงที่ดูดเลือดจนอวบอ้วนแล้วถึงยอมปล่อยไปแต่โดยดี กว่าจะถอนคำสาปได้ฟาร์คัสไม่มีทางมาทันพิธีมอบมงกุฏเป็นแน่

แต่เมื่อคิดถึงผู้ที่มาช่วยเหลือฟาร์คัสก็ทำให้ทาริคขบกราม ไม่รู้ว่าเจ้าอีกานั่นไปทำอะไร ถึงได้ราชาปีศาจมาช่วยแบบนั้น ถ้าหากราชาปีศาจช่วยให้ไอ้อีกานั่นกลับมาทัน เรื่องที่ข้าค่อยๆ ทำจนสำเร็จไปทีละขั้นอาจพังทลายลงไปชั่วพริบตา ดวงตาของทาริคหรี่เล็กลงและร่ายเวทสั่งให้นกพิราบไปส่งสารทันที

ข้าไม่มีวันยอมให้ใครหน้าไหนเอาบัลลังก์ของข้าไปทั้งนั้น


“ ฟาร์คัส เจ้าควรจะตื่นขึ้นมากินข้าวเช้าได้แล้วนะ ” มีเสียงดังกระซิบข้างหูของข้า

เสียงใคร ? ข้าคิดในใจและค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเห็นร่างของชายคนหนึ่งที่มีเขาที่คล้ายเขาแพะบนหัวมีผมสีดำสนิทแต่ปลายผมติดจะแดง ตัวค่อนข้างใหญ่กว่าข้ามากและทำหน้าที่ดูเหมือนเป็นห่วงข้ามากๆ “ เจ้าเป็นใคร ? ” ข้าถามออกไปเสียงเรียบ

ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายความจำเลอะเลือนแต่ราชาปีศาจก็อดสะเทือนใจไม่ได้ ข้าชอบฟาร์คัสที่มีความทรงจำมากกว่าแต่ตอนนี้ข้าว่าข้าน่าจะถือโอกาสทำอะไรแปลกใหม่ดีกว่า “ ข้าเหรอ ? ข้าก็เป็นแฟนของเจ้าไงล่ะ ฟาร์คัส ” ได้แกล้งอีกฝ่ายตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสที่หาได้ยากในยามปกติ

“ แฟน ? ” ฟาร์คัสทำหน้างุนงงยิ่งกว่าเดิม เขานึกอะไรไม่ออกเลย แฟน ? เขาเคยมีแฟนด้วยเหรอ ที่จำได้มีเพียงชื่อของตัวเองเท่านั้น ถ้าหากอีกฝ่ายหลอกข้าล่ะ

“ ใช่แฟนของเจ้าไงล่ะ คาร์บิลัส ราชาปีศาจ ” ราชาปีศาจยังคงแถต่อ ถ้าหากเขาบอกว่าเป็นเจ้านายของฟาร์คัส ฟาร์คัสอาจจะไม่เชื่อก็ได้

“ คาร์.. บิลัส  ” ข้าทวนชื่อออกมาแต่ก็ยังนึกอะไรไม่ออกอยู่ดีแต่เมื่อมองหน้าของอีกฝ่ายที่ทำหน้าเหมือนลูกสุนัขหงอยยังไงยังงั้นก็เผลอหัวเราะเบาๆ ออกมา อะไรกัน แฟนของข้าเป็นถึงราชาปีศาจเลยเหรอ ข้าว่านี้ไม่ได้หนีออกจากสุนัขเท่าไหร่เลยนะ

ราชาปีศาจอดสะท้านน้อยๆ ไม่ได้ ฟาร์คัสกำลังหัวเราะ ? ข้าไม่เคยอีกฝ่ายหัวเราะเลยแม้แต่ครั้งเดียว อารมณ์ที่แสดงออกมาส่วนใหญ่มักจะเป็นอารมณ์โกรธหรือหงุดหงิดอะไรทำนองนั้นเวลาที่ข้ากวน ข้าคิดว่ายามที่ความทรงจำเลอะเลือนน่าจะแสดงนิสัยที่แท้จริงของฟาร์คัสออกมา ดูเหมือนคราบเย็นชาภายนอกจะเหมือนเกราะกำบังนิสัยที่แท้จริงของฟาร์คัสเอาไว้ แต่ตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า “ ฟาร์คัสเจ้าหิวหรือยัง ? ”

“ ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ก็เอามาเถอะ ”

“ ชาคอส !  ” ราชาปีศาจตะโกนเรียกลูกน้องคนสนิททันที ร่างที่ราชาปีศาจต้องการก็ปรากฎตัวพร้อมกับข้าวเช้าทันที ในยามปกติราชาปีศาจจะไปกินข้าวที่ห้องอาหารที่มีโต๊ะตัวยาวและอาหารเรียงรายยาวไป แต่มีเพียงเขาคนเดียวที่นั่งเท่านั้น
ชาคอสค้อมตัวลงเคารพครั้งหนึ่งก่อนอย่างนอบน้อมและยกถาดอาหารเช้าให้ผู้เป็นนาย ชาคอสลอบมองแขกของท่านประทานด้วยสายตาเรียบเฉย เขารู้ว่าร่างที่กำลังนั่งกินขนมปังตรงหน้าเป็นใคร ทายาทแห่งอีกาที่ท่านราชาไปถูกใจด้วยตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้ เมื่อยืนไปสักพักไม่มีคำสั่งอะไรเพิ่มเติมชาคอสก็เอ่ยขอตัวและปล่อยให้ข้ารับใช้ที่อยู่นอกห้องราชาปีศาจรับใช้ไป

“ ข้าว่าท่านไม่ใช่แฟนของข้าจริงหรอก ท่านราชาปีศาจ ” ฟาร์คัสบอกกลับราชาปีศาจขณะที่กิน “ แต่ข้าก็ขอบคุณสำหรับการดูแลของท่านนะ ท่านราชา ฟาร์คัสยิ้มบางๆ ให้กับราชาปีศาจ

ถึงแม้ความทรงจำยังเลอะเลือนแต่ความเฉลียวฉลาดของฟาร์คัสก็ยังคงอยู่ แต่ไอ้รอยยิ้มบางๆ ของฟาร์คัสทำเอาข้าอยากกอดชะมัด รอยยิ้มของฟาร์คัสที่หาได้ยากในยามปกติทำให้ข้าอดคิดเล็กๆ ไม่ได้ว่าอยากให้อีกฝ่ายแสดงอารมณ์ตรงไปตรงมาของตัวเองออกมาบ้าง ดังเช่นตอนนี้

“ ไม่เป็นไรข้าเต็มใจอยู่แล้ว ” ราชาปีศาจตอบอย่างอ่อนโยน อย่างน้อยก็มีเวลาถึง 5 วันที่จะเก็บเกี่ยวนิสัยที่แท้จริงของฟาร์คัสเอาไว้

“ แล้วท่านราชาปีศาจไม่ทำงานหรือ ? ”

“ เจ้าอย่าพูดถึงมันสิ ฟาร์คัส ” ราชาปีศาจตอบดูสีหน้าแหยงๆ นอกจากงานที่ใช้กำลังก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว พวกงานบริหารข้าทำได้แต่ไอ้งานที่จมปลักกับการอ่าน อ่าน และอ่านนี้ไม่ค่อนถูกโฉลกด้วยนัก ฉะนั้นราชาปีศาจจึงพยายามเลี่ยงพวกเอกสารที่ข้อความเยอะแต่กระนั้นราชาปีศาจก็ยังคงต้องอ่านอยู่ดีโดยให้ชาคอสสรุปออกมาอีกที ทั้งๆ ที่ความจริงจะปล่อยให้ชาคอสทำแทนไปก็ได้ แต่หากอำนาจตกอยู่ที่ใครนานๆ ความจงรักภักดีอ่านจะแปรผันก็เป็นได้

เหมือนกับพ่อของฟาร์คัสที่โดนขุนนางที่ไว้ใจหักหลังอย่างไม่ไยดี ราชาปีศาจทอดสายตามองอีกาที่ไม่ถามอะไรต่อกำลังจิบนมและมองสำรวจห้องนอนของเขา ในระยะนี้เขาตั้งใจว่าจะเก็บเรื่องพ่อของฟาร์คัสไว้ไม่ให้อีกฝ่ายจำได้ น้ำตาในวันนี้ก็บีบคั้นใจของเขาเกินพอแล้ว คนที่ดูแข็งแกร่งมาตลอดพอร้องไห้กลับดูเปราะบางยิ่งกว่าคนที่ร้องไห้เป็นประจำด้วยซ้ำ  ราชาปีศาจจึงตัดสินใจแอบส่งสายสืบเข้าไปในดินแดนของนกบอกลางเพื่อสืบข่าวสารไว้  เมื่อฟาร์คัสหายดีไม่ว่าฟาร์คัสต้องการจะทำอะไรข้าก็จะทำ

“ ห้องนอนของท่านช่างใหญ่โตนักนะ ท่านราชา ท่านอาศัยคนเดียวหรือ ? ” ฟาร์คัสเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นห้องนอนของราชาปีศาจที่ใหญ่พอที่จะจุคนได้เป็นร้อย แต่ถึงแม้มันจะมีขนาดใหญ่กลับดูสบายตาอย่างประหลาดเมื่อการตกแต่งสิ่งของทุกอย่างในนี้ประณีตมาก

“ ใช่ ข้าอาศัยคนเดียว ห้องนี้เป็นห้องพักผ่อนของข้าน่ะ ถ้าเล็กเกินไปเกรงว่าจะไม่ค่อยสมฐานะของข้านัก ” ความจริงราชาปีศาจก็ไม่ได้อยากได้ห้องที่ใหญ่ขนาดนี้หรอก แต่ชาคอสเป็นคนดำเนินการก่อสร้างให้ข้าจึงได้โอ่อ่าขนาดนี้

ก็อก ก็อก

“ ใคร ” ราชาปีศาจตะโกนถามอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะเวลานี่มีเพียงคนเดียวที่มาเคาะประตูห้องของเขาเท่านั้น

“ คอร์สขอรับ !! ” เสียงด้านหลังประตูตะโกนออกมาฟังอู้อี้

“ เข้ามา ” ไม่ว่าเปล่าราชาปีศ่าจใช้เวทช่วยเปิดประตูอีกด้วย เผยให้เห็นร่างที่มาเคาะประตูเป็นปีศาจกระต่ายร่างอ้วนเดินหอบเอกสารสูงเลยหัวเดินมาทางราชาปีศาจแม้จะไม่เห็นทางข้างหน้ากลับเดินได้โดยไม่ชนอะไรในห้อง

“ เอกสารสำหรับวันนี้ขอรับ ” คอร์สวางเอกสารที่ถือมาวางไว้ที่โต๊ะทำงานที่บัดนี้ได้เลื่อนมาอยู่ใกล้ๆ เตียง

“ นี่ชาคอสสรุปมาให้ข้าแล้วหรือยัง ” ราชาปีศาจมองเอกสารด้วยวความเซ็งจับใจ ทั้งๆ ที่วันนี้มีแผนพาฟาร์คัสหนีเที่ยวแท้ๆ

“ สรุปแล้วขอรับ ” เจ้ากระต่ายกระดิกหูตอบ “ ที่มันเยอะขนาดนี้น่าจะเพราะเมื่อวานท่านหายไปช่วงที่กำลังประชุมน่ะขอรับ จึงมีรายงานการประชุมมาให้ท่านอ่านอย่างละเอียดขอรับ ”

ฟาร์คัสมองกระต่ายตัวอ้วนด้วยท่าทีสนใจ กระต่ายตัวอ้วนที่อยู่ในชุดสีดำดูเรียบร้อยตัดกับสีขนของมันที่เป็นสีขาว ระหว่างที่คุยกับราชาปีศาจมันกระดิกหางสั้นๆ ไปมา

“ มีงานข้างนอกไหม ” ราชาปีศาจถามหยั่งเชิง

“ มีขอรับ ที่หมู่บ้านกอรัสแถบทางใต้มีมังกรดำอาระวาดอยู่ ท่านชาคอสบอกว่าถ้าหากท่านจะถือโอกาสเที่ยวด้วยก็ได้แต่ให้กลับมาทำเอกสารให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้ขอรับ ”

มังกรดำ ? ฟาร์คัสทวนสั้นๆ ในใจ เท่าที่ฟังแล้วเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยน่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวสักเท่าไหร่ เหมือนใครสักคนสอนข้าว่า อย่าไปยุ่งกับสัตว์ดึกดำบรรพ์ ใครกัน ข้านึกแต่กลับนึกอะไรไม่ออกมีเพียงความว่างเปล่าในหัว รู้ตัวอีกทีโดนราชาปีศาจคว้าแขนแล้ว

“ ไปเที่ยวกัน ฟาร์คัส !! ” ราชาปีศาจพูดด้วยเสียงสนุกสนานจนฟาร์คัสเอ่ยค้านอะไรไม่ทัน

เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็โผล่เข้ามาในป่าแห่งหนึ่ง เป็นป่าคล้ายป่าดงดิบมีทั้งหญ้ารกครึ้ม เถาวัลย์ไม้ต่างๆ ละลานตา มีหมู่บ้านหลังย่อมกระจายโดยรอบแต่กลับไร้ร่องรอยของเจ้าของบ้าน อีกทั้งสัตว์ต่างๆ ที่มักจะโผล่ให้เห็นหรือเสียงนกร้องกลับไม่มีโดยสิ้นเชิง

“ เดี๋ยวค่อยไปเที่ยวหมู่บ้านใกล้ๆ แล้วกันฟาร์คัส ดูท่าที่นี้พวกผู้คนจะหนีออกไปหมดแล้ว ” ราชาปีศาจถอนหายใจเหนื่อยๆ ออกมา แต่ดวงตากลับส่อประกายคล้ายสัตว์ป่าออกมา “ เจ้าอยากได้สัตว์เลี้ยงไหมฟาร์คัส ”

“ ... ถ้าเจ้าให้ข้าจะรับไว้แล้วกัน ” ฟาร์คัสตอบกลับไปพลางกวาดสายตามองไปทั่ว ทั้งๆ ที่เมื่อกี้บรรยากาศรอบข้างยังเป็นห้องนอนตอนนี้กลับกลายเป็นป่าไปแล้ว ดูท่าคาร์บิลัสน่าจะเป็นราชาปีศาจจริง ข้าเห็นหนูตัวเล็กๆ ตัวนึงวิ่งออกมาทางข้าอย่างตื่นตระหนก จนอดฉงนไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันตกใจอะไรกัน ?

ก๊าซซซซซซ

แล้วคำถามในใจของข้าก็กระจ่าง ป่าดงดิบตรงหน้าที่เดิมเป็นสีเขียวอุดมสมบูรณ์ตอนนี้กลับถูกร่างมังกรที่โผล่มาตอนไหนไม่รู้ทับเข้าจนบี้แบน มันส่ายหางไปมากวาดต้นไม้ให้ล้มระเนระนาดและเมื่อมันเห็นข้ากับคาร์บิลัสก็พ่นลูกไฟสีดำออกมาทันที แต่ข้าก็กระโดดหลบออกจากวิถีได้ทัน  ข้าหันไปมองราชาปีศาจอย่างเป็นห่วงพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาเช่นกัน แต่สีหน้าดูน่าสงสารมาก สงสัยเมื่อกี้ข้าจะกระโดดก่อนที่ราชาปีศาจจะคว้าแขนล่ะมั้ง ข้าอดฉงนกับตัวเองไม่ได้ ความจริงแล้วข้าเป็นใครกัน ถึงได้มีปฏิกิริยาไวเกินกว่าที่ราชาปีศาจจะจับตัวได้ทัน

ก๊าซซซซซ

มันกู่ร้องอีกครั้งและกระพือปีกพาร่างของมันพุ่งเข้ามาทางข้าอีกครั้ง ด้วยความเร็วของมันต่อให้ข้ากระโดดหลบอีกครั้งก็คงไม่ทัน แต่ถ้าเป็นเวทล่ะ ? ข้าใช้เวทได้หรือเปล่า ข้านึกถึงวงเวทที่สามารถพาข้าเคลื่อนย้ายไปที่แถวๆ นี้ ฉับพลันวงเวทก็ปรากฎและพาร่างของข้าเคลื่อนย้ายไปทันก่อนที่ร่างของข้าจะโดนมังกรทับจนบี้แบน

“ เจ้ากล้าทำร้ายฟาร์คัสเหรอ !! ไอ้กิ้งก่า ” ราชาปีศาจตะโกนกร้าว เรียกพลังสีดำมวลมหาศาลโจมตีใส่เจ้ามังกรดำหากแต่มันกลับหลบได้หวุดหวิดแต่ก็ทิ้งบาดแผลไว้บนร่างของมันเช่นกัน มันกู่ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง พ่นทั้งไฟและกระพือปีกเรียกลมพายุออกมา ทำให้พื้นแถบนั้นค่อยๆ พังถล่ม

ราชาปีศาจร่ายเวทโจมตีอีกครั้งลูกใหญ่กว่าเดิมมันหมุนวนเป็นริ้วๆ อย่างรวดเร็วคล้ายกับพายุของเจ้ามังกรดำ แต่ในขณะที่ราชาปีศาจกำลังร่ายเวทในใจกลับร้อนรุ่นจนทำอะไรไม่ถูก ข้ารู้ว่าฟาร์คัสน่าจะเอาตัวรอดได้ แต่ภาพตรงหน้าที่เห็นเจ้ามังกรดำนี้พุ่งเข้าไปทับก็ทำเอาข้าขวัญกระเจิงเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ข้าเป็นราชาปีศาจกลับปกป้องอีกฝ่ายไม่ได้ ฟาร์คัสกระโดดออกไปก่อนที่ข้าจะคว้าไว้ได้ทัน นัยน์ตาของราชาปีศาจค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

แต่ก่อนที่ราชาปีศาจจะโยนพลังมวลมหาศาลใส่มังกรดำกลับมีเสียงคุ้นเคยเรียกราชาปีศาจทางด้านหลัง “ เอ่อ ท่านคาร์บิ.. ลัส ท่านบอกจะเก็บเป็นสัตว์เลี้ยงให้ข้าไม่ใช่เหรอ ” ฟาร์คัสเรียกราชาปีศาจพลางมองมวลที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย ดูน่าหวั่นเกรงแต่น่าแปลก ที่ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกกลัวอะไรนัก

“ เจ้าอยากได้งั้นเหรอ ฟาร์คัส ” ตาของราชาปีศาจค่อยๆ อ่อนสีลงเป็นสีเทาตามปกติ รวมถึงมวลพลังที่ค่อยๆ ลดลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่าหวันเกรงหายไป

“ ได้ก็ดี ข้าอยากรู้ว่าถ้ามีมังกรเป็นสัตว์เลี้ยงคนอื่นจะทำหน้ายังไง ”

“ ตามที่ต้องการ ฟาร์คัสของข้า ” ราชาปีศาจรับคำเบาๆ และปาลูกพลังในมืออกไปทางมังกรที่ยังคงบ้าคลั่งอยู่ ในขณะที่ลูกพลังของราชาปีศาจเข้าใกล้มังกรมันก็ได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นปลอกคอสีดำทมิฬคว้าเข้าที่คอของเจ้ามังกรดำ เจ้ามังกรกู่ร้องออกมาดังสนั่นมันกระสับกระส่ายยิ่งกว่าเดิมแต่ได้เพียงครู่ด้วยก็สงบลงและค่อยๆ ตัวเล็กลงกลายเป็นลูกมนุษย์ ?

ข้ามองเจ้ามังกรดำดุร้ายเมื่อกี้ที่ได้กลายเป็นลูกมนุษย์อย่างไม่เชื่อสายตา ร่างใหญ่โตขนาดนั้นร่างมนุษย์กลับเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ถ้าหากเป็นร่างโตเต็มวัย ที่นี้คงพังพินาศไปหมด เจ้ามังกรดำนั่นดูงุนงงและเดินมาหาข้าด้วยท่าทางไร้พิษภัย

“ แม่ !! ” เจ้าลูกมังกรคว้าเข้าที่ขาข้าและพูดออกมา “ แก๊ซ ! หิวววว ” มันทำหน้าตาน่าสงสารแต่แอบแทะขาข้า ซึ่งข้าอยากได้สัตว์เลี้ยงต่างหากและไม่ใช่แม่ของเจ้าด้วย

ราชาปีศาจเห็นหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของฟาร์คัสก็เผลอหัวเราะออกมา “ ดูเหมือนว่าเจ้าจะต้องเป็นแม่มันแล้วล่ะ ฟาร์คัส มังกรดำมักจะทิ้งลูกให้เอาชีวิตรอดเอง ”

“ ทำไมข้าต้องเป็นแม่ด้วยล่ะ ” ฟาร์คัสทำหน้าเบื่อแต่มือกลับยีผมเจ้าตัวที่แทะอยู่เบาๆ 

ราชาปีศาจไม่ตอบอะไรแต่แอบอมยิ้มอยู่คนเดียว

“ แก็ซ ! หิวววววววววววววววววววววววววววววว ”

ดูเหมือนว่าข้าต้องไปหาอาหารให้เจ้ามังกรดำงี่เง่านี่โดยด่วน

---------------

ช่วงนี้น่าจะถือเป็นช่วงที่ผ่อนคลายของเรื่องช่วงนึง หลังจากอ่วมมานาน  :mc4:

ก่อนที่จะไปเจออะไรหนักๆ ต่อ  :z6:

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ  :3123:

และขอบคุณทุกคอมเม้นเลย // กอด  :man1:  * ห้ามสลัดออกด้วย 5555


 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 5 9 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-04-2015 22:38:08
 :กอด1: :กอด1: กอดคุณ foggy time ด้วยนะค้าา ^^

ฟาร์คัสจะหายทันไหมนี่?? อันที่จริงการแย่งตำแหน่งในวังนี่มันน่าเศร้านะ TvT

แต่ตอนนี้ได้สัตว์เลี้ยงเป็นมังกรดำซะด้วย หวังว่าอนาคตคงจะช่วยฟาร์คัสได้บ้างนะหนู ;p
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 5 9 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 10-04-2015 11:23:24
แม่เป็นอีกา พ่อเป็นราชาปีศาจ ลูกเป็นมังกรดำ 55555555 ครอบครัวนี้น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 6 12 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 12-04-2015 20:58:44
-- ตอนที่ 6 --
ก่อนที่จะได้เข้าไปยังหมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่ง ข้าก็เอ่ยทักเรื่องรูปลักษณ์ของราชาปีศาจซะก่อนเพราะเกรงว่าหากไปในฐานะของราชาปีศาจ คงเที่ยวไม่สนุกเท่าไหร่ คงมีแต่การประจบและความสงบเสงี่ยมล่ะมั้งหากได้เข้าไป อีกทั้งเขาแพะของราชาปีศาจนั้นก็สังเกตได้ง่ายมากจนแม้จะเดินในหมู่คนก็ยังเห็นราชาปีศาจก่อนใคร

   “ เจ้าคิดอย่างนั้นเหรอ ฟาร์คัส งั้นข้าจะเปลี่ยนให้เจ้าแล้วกัน ” ราชาปีศาจที่ใจคิดแต่เรื่องจะเที่ยวไม่ได้คิดถึงความจริงข้อนี้ก็เออออห่อหมดตาม ยอมร่ายเวทเปลี่ยนง่ายๆ ทันที โดยเผื่อแผ่มาทางฟาร์คัสและเจ้ามังกรดำงี่เง่าด้วย จากชุดหรูหราทั้งของราชาปีศาจและฟาร์คัสกลายเป็นชุดนักเดินทางขนาดพอดีตัวโดยฟาร์คัสมีกระเป๋าเป้ใบเล็กประดับบนหลังอีกด้วย สีผมของราชาปีศาจเปลี่ยนเป็นสีเทาเหมือนกับสีของนัยน์ตา เขาแพะที่เคยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเขากวางสั้นๆ แทน ส่วนเจ้ามังกรเดิมที่ไม่มีชุดอะไรได้ชุดเอี๊ยมเด็กสีดำไป

   โดยที่ข้าไม่ลืมสั่งเจ้ามังกรดำ “ ห้ามร้องแก๊ซๆ นะ เจ้ามังกรดำ ” ข้ามองมันด้วยสายตาละเหี่ยใจเพราะมันสบตาข้าด้วยตากลมๆ และร้องแก๊ซออกมาอยู่ดี ว่าแต่ปลอกคอของเจ้ามังกรนี่ดูเด่นเกินไป “ ข้าว่าปลอกคอของเจ้ามังกรนี่เปลี่ยนเป็นสร้อยแทนดีไหม ? ” ข้าหันไปถามความเห็นราชาปีศาจ

   “ แล้วแต่เจ้าสิ ” ราชาปีศาจค่อนข้างตามใจฟาร์คัสสะบัดมือเบาๆ ปลอกคอก็กลายเป็นสร้อยคอเส้นน้อยสีดำทมิฬทันที “ จริงสิ เจ้ายังไม่ตั้งชื่อเจ้านี่เลยนี่ ฟาร์คัส ”

   “ จริงด้วยสินะ ” แล้วชื่ออะไรดีล่ะ ? ฟาร์คัสมั่วชื่ออกมาชื่อนึง“ ดัฟฟ์แล้วกัน ”

   “ ดับ ? ” ดัฟฟ์ทวนชื่อตัวเองแบบผิดๆ ด้วยหน้าใสซื่อ
   
“ ดัฟฟ์ ” ข้าออกเสียงให้ดัฟฟ์ฟังอีกรอบ ถ้าหากเรียกผิดอีกข้าก็ไม่แก้ให้แล้ว เพราะเรียกบ่อยๆ เดี๋ยวก็รู้เองแหละชื่ออะไร “ ไปกันเถอะ ท่านราชาปีศาจ ” ข้าหันไปบอก

   “ เรียกข้าว่าคาร์บิลัสก็ได้ ”

   “ อืม คาร์บิลัส ” ข้าเออออตามไปอย่างไม่ใส่ใจ จะเรียกอะไรก็เหมือนกันนั่นแหละ

   “ ฆ่าบี้ลัส !! ” ดัฟฟ์พูดออกมาด้วยเสียงเล็กแหลมและมองหน้าราชาปีศาจคล้ายกับกำลังภูมิใจว่าตนนั้นสามารถพูดได้ ดัฟฟ์ยังคงแทะขาของฟาร์คัสอยู่แม้จะเปลี่ยนชุดไปแล้วก็ตาม ยังดีที่ชุดนี้ค่อนข้างหนาไม่เช่นนั้นขาของฟาร์คัสคงเป็นรอยแทะของเจ้ามังกรดำนี่

“ ฆ่า บี้ ลัส บ้านเจ้าสิ  ” ราชาปีศาจโวยวายเพราะชื่อที่สัตว์เลี้ยงนี่ออกเสียงแย่และโหดร้ายเกินกว่าจะเป็นชื่อใคร “ คาร์-บิ-ลัส  พูดตามข้า ” ราชาปีศาจพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่แต่ดัฟฟ์หาได้สนใจไม่ มันกระโดดหลบไปอยู่หลังฟาร์คัสและแทะมือฟาร์คัสแทน “ เจ้า.. ” ราชาปีศาจกัดฟันกรอดเมื่อเห็นดัฟฟ์เหมือนจะหยามน้อยๆ
   
“ ช่างมันเถอะ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสใช้มือข้างที่ว่างตบไหล่คาร์บิลัสเชิงให้กำลังใจทั้งๆ ที่แอบยิ้มอยู่ “ เดี๋ยวข้ากับดัฟฟ์จะไม่ได้เที่ยวซะก่อน ”

   “ เห็นแก่เจ้าแล้วกัน ” ราชาปีศาจยอมถอยทัพและคว้าแขนของฟาร์คัสแต่ครั้งนี้กระฃับให้แน่นกว่าทุกคนคล้ายกับกำลังเสริมความมั่นใจว่าอีกฝ่ายยังอยู่ข้างๆ ไม่ได้หายไปไหนแล้วจึงร่ายเวทเคลื่อนย้ายไปยังหมู่บ้านใกล้ๆ

   “ หิววววว ” ยังไม่ทันยืนทรงตัวดีดัฟฟ์ก็โหยหวนออกมาและทำท่าจะกระโจนเข้าไปหาอาหารที่ส่งกลิ่นหอมอยู่ 

   ข้าดึงคอเสื้อของดัฟฟ์เอาไว้ ถึงแม้จะสงสารก็ตาม รอบกายข้าตอนนี้ได้แตกต่างจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิงจากป่าดงดิบได้กลายเป็นหมู่บ้านที่ปูทางด้วยหินสีดำสลับขาดูสะอาดตาโดยบริเวณรอบที่ข้ายืนอยู่มีปีศาจอยู่ชุกชมเดินกันขวักไขว่ในตลาดใจกลางหมู่บ้าน มีข้าวของต่างๆ ที่แปลกตามาขายมากมาย ทั้งอาหาร อาวุธ หรือแม้แต่ยาพิษก็มี ข้ามองสิ่งต่างๆ อย่างสนใจไม่น้อยไปว่าดัฟฟ์ที่สนใจของกิน

   “ เอาล่ะ ไปเที่ยวกันเถอะ ” ราชาปีศาจยิ้มบางๆ เมื่อเห็นฟาร์คัสดูสนใจกับที่ๆ ตนพามา ที่แห่งนี้เป็นตลาดที่มักจะมีของน่าสนใจมาขายอยู่เสมอ ทั้งของที่หาได้ตามท้องตลาดทั่วไปกับของต้องห้ามบางอย่างที่แอบปะปนมาขาย ถึงแม้ชาคอสจะแจ้งเรื่องพวกนี้มาข้าก็เลือกที่จะทำหูไปนาตาไปไร่ เพราะบางครั้งมันก็ส่งผลดีเหมือนกัน

   “ หิวววว ” ดัฟฟ์ยังคงกระวีกระวาดจะวิ่งไปหาร้านขายอาหารที่อยู่ตรงหน้า

   “ คาร์บิลัส เจ้าพกเงินมาไหม ” ข้าถามด้วยความเกรงใจ  ข้าไม่มีเงินพกมาด้วยเลย

   “ ข้าพกมาเยอะเลยล่ะ มากพอสำหรับสิ่งที่เจ้าอยากได้ทุกอย่างแน่นอน ” ราชาปีศาจพูดด้วยรอยยิ้ม  และชูถุงใส่เหรียญให้เห็น
   
“ ไว้ข้าจะใช้คืนเจ้าทีหลังนะ ” ข้าก้มตอบหน้าน้อยๆ  อย่างเกรงใจ ข้าตั้งใจว่าจะไม่ซื้ออะไร เพราะแค่นี้ราชาปีศาจก็ดูแลข้ามามากเกินพอแล้ว

   “  ฟาร์คัส ข้าไม่อยากได้เงินเจ้าหรอกนะ ” ราชาปีศาจครางเสียงอ่อย “ เงินที่ข้ามีมันมากเกินพอแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะตอบแทนข้า ก็ขอเป็นเรื่องใจเถอะ ”
   
ฟาร์คัสเงียบไปสักพัก ข้าเป็นใคร ข้ายังไม่รู้เลย ราชาปีศาจยังอยากได้ใจของข้าอยู่เหรอ ข้าไม่อยากติดหนี้ใครถึงแม้ว่าตอนนี้ข้าจะจำอะไรไม่ได้ก็ตาม “ งั้นข้าขอซื้ออาหารนั่นให้ดัฟฟ์ละกัน ” ฟาร์คัสบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นแทน

   “ อืม  ” ราชาปีศาจรับคำสั้นๆ  และสั่งอาหารที่ดัฟฟ์อยากกินจนเกือบหมดร้าน

   “ นี่ท่านประชดข้าหรือเปล่าเนี่ย คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสถอนหายใจเหนื่อยๆ ระหว่างที่ยัดไส้กรอกใส่ปากดัฟฟ์ที่เอาแต่อ้ารอให้คนอื่นป้อน  ตอนนี้ข้า คาร์บิลัสและดัฟฟ์กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะที่ทางร้านจัดมาให้นั่ง

   “ เจ้าดูไม่อยากตอบแทนข้าทางใจเท่าไหร่นะฟาร์คัส ” คาร์บิลัสหัวเราะแห้งๆ “ ดูท่าเจ้าคงอยากตอบแทนข้าด้วยเงินทองซะมากกว่า ”
   
“ .. ข้าไม่รู้ว่าข้าจะตอบแทนทางใจอย่างไรหรอกนะ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสพูดสีหน้าติดจะเศร้าน้อยๆ “ แม้แต่ตัวข้ายังไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรต่อไป ”

   “ ข้าจะปกป้องเจ้านะ ฟาร์คัส ” ราชาปีศาจยิ้มบางๆ ประกอบกับคำพูด

   “ ปกป้องข้า ? ” ฟาร์คัสเลิกคิ้วงงๆ

   “ ใช่ ข้าจะปกป้องเจ้าเองไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ”

   “ ทำไมท่านถึงปกป้องข้าล่ะ ท่านราชาปีศาจคาร์บิลัส” ฟาร์คัสถามออกไปด้วยความจริงจังจึงเรียกชื่อเต็มของอีกฝ่ายออกไป
   
ราชาปีศาจถอนลมหายใจออกมา “ ข้าจะเล่านิทานเรื่องนึงให้เจ้าฟัง ฟาร์คัส ” ราชาปีศาจจ้องหน้าอีกาที่ทำสีหน้างุนงงกับคำตอบของข้า “ นิทานของปีศาจที่หลงรักอีกา ”
   
ฟาร์คัสดูงุนงงแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบเชิงให้อีกฝ่ายเล่าต่อไป แต่มือก็ยังคงยัดน่องไก่ใส่ปากดัฟฟ์
   
ราชาปีศาจยิ้มบางเมื่อเห็นหน้างุนงงของฟาร์คัส และเริ่มเล่าออกมา “ เมื่อนานมาแล้ว มีปีศาจตนนึงสูญเสียพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเองไปกับสงคราม ปีศาจตนนั้นยังคงเด็กนักพอรู้ข่าวก็วิ่งหนีออกไปที่ไหนสักที่ที่แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ ปีศาจตนนั้นไปหยุดอยู่ริมแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวและร้องไห้ออกมา แต่ครั้นพอมันจะกระโดดลงไปเพื่อตามพ่อแม่ของมันไป กลับมีอีกาตัวนึงบินโฉบเข้ามาขวางตรงหน้าซะก่อน เจ้าอีกานั่นแปลงเป็นมนุษย์และโอบกอดปีศาจถึงแม้ขนาดตัวของเจ้าอีกานั่นจะเล็กกว่าเจ้าปีศาจ แต่ก็ทำให้ปีศาจตนนั้นอุ่นอย่างบอกไม่ถูกและพาเจ้าปีศาจจนนั้นมาส่งบ้าน ”

   “ จบแล้วเหรอ ? ” ฟาร์คัสยังคงดูงุนงงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม

   “ จบแล้วล่ะ แต่อีกไม่นานหรอกที่มันจะมีภาคต่อ ” ราชาปีศาจพูดนัยๆ พร้อมกลั้วหัวเราะ “ อีกไม่นานหรอกฟาร์คัส แล้วเจ้าจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ข้าช่วยเจ้าเอง ”

   “ อืมม ” ฟาร์คัสขมวดคิ้วน้อยๆ คำตอบของราชาปีศาจไมได้ทำให้ข้ากระจ่างนัก

   “ อิ่มแล้ววว ” ดัฟฟ์พูดออกมเมื่อกินคำสุดท้ายเสร็จมันฟุบนอนบนโต๊ะทันที
   
ราชาปีศาจไม่สนใจว่าดัฟฟ์จะนอนอยู่หรือไม่จัดการอุ้มดัฟฟ์และยัดเข้ากระเป๋าสะพายของฟาร์คัสทันที “ ไปเดินตลาดกันเถอะ ในตลาดนี้มีของน่าสนใจอยู่มาก ”
   
“ งั้นก็ไปกันเถอะ ”  ฟาร์คัสตอบขณะที่กระชับกระเป๋าให้ดีอีกครั้งเมื่อมีมังกรดำมาใช้เป็นที่นอนชั่วคราว ฟาร์คัสกับคาร์บิลัสเดินเข้าไปตลาด โดยส่วนใหญ่ของที่ขายจะวางบนพื้นโดยมีผ้าปูรองบ้าง บ้างก็จัดวางบนโต๊ะอย่างสวยงาม มีเสียงตะโกนเชิญชวนให้เลือกสินค้าตัวเองอย่างคึกคัก แต่ข้ากลับไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษเท่าใดนัก ส่วนคาร์บิลัสก็ไม่ได้เอ่ยอะไรที่เห็นข้ามองแต่ไม่ได้ซื้ออะไร ข้าเดินลึกไปในตลาดเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอร้านๆ นึงที่ดูแปลกกว่าร้านอื่น เป็นร้านขายสิ่งที่คล้ายเครื่องรางสีดำร้านทั้งร้านกลับมีเพียงชิ้นเดียว ส่วนเจ้าของร้านนั้นสวมชุดคลุมปกปิกอย่างมิดชิดสูงพอๆ กับราชาปีศาจสิ่งที่ปรากฎให้เห็นมีเพียงตาสีแดงที่ส่งแสงเรืองๆ ใต้เสื้อคลุมเท่านั้น

   น่าแปลก ที่ข้ารู้สึกสนใจร้านนี้เป็นพิเศษ “ สิ่งที่ท่านขายนั่นคืออะไรกัน ? ” ข้าเอ่ยถามมออกไปและมองมันด้วยสายตาใคร่รู้
   ดวงตาของเจ้าร้านวูบไหวคล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วจึงเดินมาแนะนำสิ่งที่ตนเองขาย “ สิ่งที่ข้าขายนั้นเป็นเครื่องรางอธิษฐาน ประสงค์สิ่งใดก็ได้ตามที่ต้องการ ” เสียงของเจ้าร้านฟังดูเย็นเยียบและน่าขนลุกอยู่ในทีแต่ฟาร์คัสหาได้สนใจไม่ถามต่อ

   “ แล้วเครื่องรางของท่านนั้นซื้อด้วยเงินหรือไม่ ”

   คาร์บิลัสเลิกคิ้วน้อยๆ กับคำถามฟาร์คัส แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา สิ่งที่ฟาร์คัสจะซื้อนั้นเป็นของต้องห้ามในดินแดนปีศาจ ซึ่งข้าก็รู้จักดีมันเป็นสิ่งที่ทำมาจากกระดูกของปีศาจที่มีเชื้อสายของราชาปีศาจ ซึ่งสามารถทำได้ยากมากแม้แต่ข้ายังเคยได้ยินเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น ข้าไม่รู้ว่านี้เป็นของจริงหรือไม่ แต่กลิ่นอายความตายที่แผ่ออกมานั้นเป็นของจริง
   
เจ้าของร้านดูชอบใจกับคำถามของฟาร์คัสและตอบกลับมา “ ตามที่ท่านกล่าว ข้าไม่ได้ขายมันด้วยเงินทอง แต่เห็นแก่ที่ข้าถูกชะตากับเจ้า ข้าเพียงทองสักถุงแล้วกัน ” ดวงตาสีแดงดูนั้นส่งแสงเรืองๆ คล้ายกับลูกไฟยามที่พูด

   ฟาร์คัสหันมาหาคาร์บิลัส เชิงว่าให้จ่ายแทน ซึ่งคาร์บิลัสก็ยอมล้วงถุงใส่ทองออกมาถุงนึงยื่นให้กับเจ้าของร้านที่ยื่นมือที่คล้ายอุ้งเท้าของสัตว์รับไว้ เจ้าของร้านหยิบเครื่องรางจากโต๊ะและยื่นมาทางข้าเชิงให้ข้าแบมือ ข้ายอมแบให้แต่โดยดี
   เจ้าของร้านวางเครื่องรางไว้บนมือของข้าและพูด “ จงจำเอาไว้ให้ดี จะอธิษฐานสิ่งใดจงไตร่ตรองและใคร่ครวญให้ดี ถ้าหากพลาดพลั้งแล้วเจ้าจะเสียใจไปตลอดกาล ” เจ้าของร้านพูดเหมือนมีนัยยะอะไรบางอย่าง “ เครื่องรางอธิษฐานนั้นใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าเพียงกำมันพูดสิ่งเจ้าต้องการออกมา ”
   
“ ขอบคุณท่านมาก ” ฟาร์คัสกล่าวขอบคุณพลางพิจารณาเครื่องรางในมือ มันเป็นรูปดอกไม้สีดำสนิทจนแสงไม่อาจลอดผ่านไปได้และส่งกลิ่นอายประหลาดออกมาชวนขนลุก

   “ ข้าว่าทำเป็นสร้อยน่าจะดีกว่านะ ”
   
“ อืม ” ข้าพยักหน้าเชิงเห็นด้วย คาร์บิลัสก็หยิบเครื่องรางในมือข้าไปร่ายเวทเพียงคำสองคำก็ได้สร้อยคอที่ห้อยเครื่องรางไว้ แต่พอข้าตั้งใจจะหยิบมาใส่คาร์บิลัสกลับห้ามไว้และให้ข้าหันหลังให้
   
“  ไอ้เจ้ามังกรนี่ ข้าว่าเจ้าเอาไปปล่อยที่เดิมก็ดีนะ เกะกะชะมัด ” คาร์บิลัสบ่นอุบเมื่อจะใส่สร้อยให้ฟาร์คัสกลับมีมังกรตัวย่อมขัดขวางอยู่
   
“ แก๊ซ ” ดัฟฟ์คำรามออกมาเบาๆ เหมือนรู้ว่ามีคนประสงค์ร้าย
   
คาร์บิลัสจึงถอดกระเป๋าเป้ของฟาร์คัสออกโยนไว้ใกล้ๆ แล้วจึงขะมักเขม้นกับการใส่สร้อยให้ฟาร์คัสโดยไม่สนใจดัฟฟ์ที่ลงไปนอนกลิ้งบนพื้นแล้ว คาร์บิลัสค่อยๆ สวมสร้อยเส้นบางไว้บนคอฟาร์คัสเหมือนกับว่ากำลังกลัวว่าจะทำให้ระคายเคือง
   
ฟาร์คัสไม่ได้เอ่ยอะไรออกมากับการกระทำของคาร์บิลัสที่ดูดุดันเกินไป ฟาร์คัสมองดัฟฟ์ที่กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นคล้ายกับว่านอนไม่สบายนักก็รู้สึกสงสาร เมื่อราชาปีศาจสวมสร้อยให้เสร็จก็จัดการยัดดัฟฟ์ใส่กระเป๋าดังเดิมและสะพายขึ้นหลัง แต่พอมองไปหาเจ้าของร้านอีกครั้งพบว่าร้านตรงหน้าได้หายไปแล้วแทนที่ด้วยร้านผลไม้แทน “ คาร์บิลัส แล้วร้านเครื่องรางล่ะ ? ”
   
คาร์บิลัสยักไหล่เชิงว่าไม่รู้เหมือนกันและเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ดูเหมือนตะวันใกล้จะคล้อยหายไปแล้ว “ ดูเหมือนว่าเราต้องกลับกันแล้วล่ะ ฟาร์คัส ”
   
ฟาร์คัสยังคงมองจุดเดิมอีกครั้งแต่ก็ยังคงเป็นร้านผลไม้อยู่ดี “ กลับกันเถอะ ” ฟาร์คัสหาวน้อยๆ ออกมา แต่ใจก็ยังคงอยู่กับร้านเครื่องรางอยู่ดี
   
ดูเหมือนข้าจะโชคดีได้เครื่องรางแปลกๆ มาล่ะมั้ง

   เมื่อมาถึงคฤหาสน์สีดำอันโอ่อ่าของคาร์บิลัส ฟาร์คัสก็กินข้าวเย็นนิดหน่อยอย่างไม่ค่อยหิวนักเพราะข้าวเที่ยงก็กินไปบ้างพร้อมกับดัฟฟ์เหมือนกัน คาร์บิลัสถูกเจ้ากระต่ายตัวอ้วนพาไปที่ไหนสักแห่งซึ่งข้าก็ถามไม่ทัน ข้าจึงตัดสินใจนอนเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรให้ทำรวมถึงความเหนื่อยอ่อนที่ครอบงำด้วย ซึ่งใช้เวลาไม่นานข้าก็เผลอหลับลึกไป

ข้าเหมือนเห็นตัวข้าเองกำลังถูกตรวนข้อเท้าทั้งส้องข้างด้วยโซ่ ปีกบนหลังดูขาดวิ่นและมีเลือดไหลซึม ข้ามีปีกด้วยงั้นเหรอ ข้างุนงงเล็กน้อย ร่างของข้านั้นมีใบหน้าเรียบเฉยแต่ข้ากลับรู้สึกได้ถึงความเปราะบางภายในดวงตาสีดำนั่น ฉับพลันฉากหลังที่ว่างเปล่าได้เปลี่ยนไปกลายเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีมนุษย์นกยืนล้อมกรอบ

   “ ถ้าหากราชาของเรากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของราชาปีศาจเจ้าจะรู้สึกยังไง  ”

   “ น่าอดสูไงไอ้โง่ ฮ่า ฮ่า ”

   “ เป็นข้าข้าคงไม่เอาไว้หรอก สู้ไล่ราชานั่นออกไป แล้วเลือกข้าเป็นราชาแทนดีกว่า อย่างน้อยข้าก็ไม่โง่โดนราชาจับละว่ะ !! ”

   “ เจ้าพูดเข้าท่า ไอ้ราชาที่เป็นสัตว์เลี้ยงนี้ไม่สมควรเป็นราชาใครว่ะ อยู่ไปก็รังแต่จะทำให้อับอายว่ะ  ”

   “ ข้าว่าไล่ไอ้ราชาหน้าโง่นี่ออกไปดีกว่าวะ ยังไงก็มีคนที่เก่งกว่าอยู่ดี ”

   “ ใช่ไล่ออกไปเลย !!! ”

   พวกมนุษย์นกนั้นคุยกันแต่มุ่งมาทางร่างของข้าที่ยืนมองกลับด้วยสายตานิ่งงัน แต่ข้ากลับรู้สึกว่าร่างตรงหน้านั้นตัวสั่นน้อยๆ รวมถึงข้าเช่นกันที่ตัวสั่นเหมือนกับว่านั้นเป็นตัวตนของข้าเหมือนกัน ยิ่งเจ้าพวกมนุษย์นกนั้นตอกย้ำว่าจะไล่เท่าไหร่ร่างของข้ากับตัวข้าก็ยิ่งสั่นขึ้นเท่านั้น ข้าเอามือกุมหัวหวังว่าเสียงที่ว่านั้นจะหายไปแต่กลับดังขึ้นเรื่อยๆ ข้าเกือบจะตะโกนออกมาให้หุบปาก แต่ฉากรอบข้างก็ได้เปลี่ยนไปมาวูบไหวอีกครั้ง กลายเป็นลานประลองอะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของข้ากลับเป็นร่างของมนุษย์นกคนนึงที่สวมชุดกษัตริย์อยู่ ร่างตรงหน้าข้าที่เดิมนั่งจ้องมาทางสนามกลับเบิกตากว้างและสำลักเลือดออกมา ร่างของข้าถลันวิ่งเข้าไปแต่ตรวนได้ตรึงข้อเท้าไว้รวมถึงข้าที่พยายามวิ่งเข้าไปหาด้วยอย่างไม่รู้สาเหตุแต่กลับชนกับกำแพงบางอย่าง ข้ารู้สึกน้ำตาที่รื้นอยู่ภายในดวงตา เมื่อเห็นร่างมนุษย์นกนั้นกลายเป็นอีกาและค่อยๆ สลายหายไป

“ อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”

   ข้าเผลอกรีดร้องออกมาและพุ่งชนเข้ากับกำแพงที่ว่านั้น แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ข้าเจ็บปวดเท่าเห็นร่างอีกาตัวย่อมหายไปเหลือเพียงมงกุฎ ข้าทรุดตัวลงกองกับพื้นและกรีดร้องซ้ำๆ หวังจะบรรเทาความเจ็บปวดในใจทั้งๆ ที่ไม่รู้สาเหตุ
   
   “ ฟาร์คัส ! ” ราชาปีศาจเขย่าร่างของฟาร์คัสที่นอนกอดตัวเองอยู่ สิ่งที่ทำให้ราชาปีศาจตื่นตระหนกและปวดใจคือน้ำตาของฟาร์คัสที่ไหลออกมาโดยเจ้าตัวไม่รู้ตัว เสียงกรีดร้องของฟาร์คัสเรียกให้ราชาปีศาจทิ้งงานและมาหาในชั่วพริบตา ราชาปีศาจกอดร่างที่กำลังร้องไห้ทั้งๆ ที่หลับอยู่ไว้แน่น “ ฟาร์คัส เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ”

   เสียงกรีดร้องฟาร์คัสค่อยๆ บรรเทาลงเมื่อถูกกอดแต่ตัวก็ยังคงสั่นน้อยๆ เหมือนกับยังคงหวาดกลัว ราชาปีศาจยังคงพูดปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนซ้ำๆ จนฟาร์คัสสงบลงและหลับต่อไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

   “ อย่ากลัวไปเลยฟาร์คัส ข้าไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าแน่นอน ” ราชาปีศาจกระชับอ้อมกอดไว้แน่นและพินิจมองฟาร์คัสที่เลิกร้องไห้ไปแล้วแต่ตาก็ยังคงแดงอยู่ ถึงแม้ฟาร์คัสมักจะดูเย็นชาแต่ใครจะรู้เล่า ว่าภายในนั้นเปราะบางมาก  ราชาปีศาจยิ้มบางๆ เมื่อฟาร์คัสมุดเข้าหาคล้ายกับว่าต้องการความอบอุ่น

   “ มะ แม่ ! ” ดัฟฟ์งัวเงียตื่นขึ้นมาก็ร้องเรียงทันที พอเห็นแม่ของตัวเองโดนราชาปีศาจกอดอยู่ก็พุ่งเข้าไปดึงแขนราชาปีศาจออก

“ ฆ่าบี้ลัส ! อย่ามาแย่งแม่ ! ” ดัฟฟ์โวยวาย

   ราชาปีศาจขบกรามแน่นคิ้วขมวดฉับพลัน “ ฆ่าบี้ลัส บ้านเจ้าสิไอ้มังกรดำ ! ” อารมณ์ที่ดีเมื่อกี้ได้ขุ่นมัวทันตา “ อีกอย่างฟาร์คัสของข้าต่างหาก ไม่ใช่ของเจ้า ! ”
   
“ แก๊ซ ! ไม่ ! ” ดัฟฟ์งับแขนราชาปีศาจ

   “ ไอ้มังกรดำ !! ” ราชาปีศาจโวยวายพลางสะบัดแขนให้หลุดจากการกัดของมังกรดำหน้าโง่ ทั้งๆ ที่ความจริงสามารถใช้เวทสลัดออกไปด้วยซ้ำแต่ราชาปีศาจกลัวฟาร์คัสตื่นซะมากกว่า จึงแค่สลัดแขน ทำให้เกิดภาพน่าขันที่ราชาปีศาจทะเลาะกับเด็กตัวเล็กๆ

   แค่ก

   ราชาปีศาจเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อร่างในอ้อมกอดไอเลือดออกมาและหน้าซ๊ดลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ร่างของฟาร์คัสเย็นมากจนน่ากลัว ราชาปีศาจเลิกสนใจดัฟฟ์และหันมาถ่ายพลังเวทให้ฟาร์คัสทันที

   “ แม่ ! ” ดัฟฟ์คายปากจากแขนของราชาปีศาจพุ่งเข้าไปเกาะแขนฟาร์คัส จ้องมองด้วยสีหน้าเป็นห่วง
   
แต่ร่างของฟาร์คัสก็ยังคงไม่อุ่นขึ้นอยู่ดีเหมือนกับว่าร่างกายมีรอยรั่วทำให้พลังเวทของราชาปีศาจไม่มีผลอะไรใดๆ ราชาปีศาจยิ่งร้อนใจถ่ายพลังเวทให้มากกว่าเดิมแต่ก็ไม่ส่งผลอะไรอยู่ดี ดูเหมือนว่าเวทคำสาปจะกัดกินพลังเวทจะกำเริบได้รุนแรงกว่าเดิม หรือว่าจิตใจที่อ่อนแอยิ่งกระตุ้นให้คำสาปทำงานได้ผลดีกว่าเดิมกัน ? ราชาปีศาจสันนิษฐานเงียบๆ และพบว่าเป็นตามที่คาด ฟาร์คัสร้องไห้อีกแล้ว !

   “ อึก ” ฟาร์คัสกำเสือราชาปีศาจแน่นและปล่อยให้น้ำตาซึมเสื้อราชาปีศาจอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ฟาร์คัสร้องไห้ออกมาอีกครั้งเพราะภาพของฝันฉายซ้ำอีกครั้งโดยเน้นไปที่ภาพของมนุษย์นกในชุดของกษัตริย์ค่อยๆ หายไป

   “ แก๊ซซ ! ” ดัฟฟ์เห็นฟาร์คัสร้องไห้ก็เข้ากอดฟาร์คัสอีกแรงหวังจะให้ฟาร์คัสรู้สึกดีขึ้น

   ราชาปีศาจตัดสินใจร่ายเวทให้ความอบอุ่นให้ฟาร์คัสส่งผลอากาศโดยรอบนั้นอุ่นขึ้นทันตาเว้นเสียแต่ร่างในอ้อมกอดที่ยังคงเย็นชืด “ ฟาร์คัส ” ราชาปีศาจกระซิบเสียงเบาอย่างอย่างอ่อนโยน “ ถึงแม้ความจริงมันจะโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม แต่อย่าลืมว่าข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า ”
   
ฟาร์คัสในความฝันนั้นยังคงพิงกำแพงร้องไห้อยู่ทั้งร่างที่ถูกตรวนและไม่ถูกตรวน ร่างที่ถูกโซ่ตรวนไว้นั้นได้ทรุดไปกองกับพื้นแล้ว แต่แล้วในความฝันของฟาร์คัสก็มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาคืออ้อมกอดของใครบางคนที่ช่วยเขาเอาไว้

   ราชาปีศาจ
   
ฟาร์คัสเรียกในใจและถูกร่างของราชาปีศาจดึงรั้งเข้าไปกอด ฟาร์คัสไม่ได้ขัดขืนอะไรเพียงแค่อยู่นิ่งๆ และยอมให้กอดแต่โดยดี เสียงปลอบอ่อนโยนพร้อมกับความอบอุ่นนั้นทำให้ฟาร์คัสรู้สึกสงบขึ้นอย่างประหลาดแม้น้ำตาจะยังไม่เหือดแห้งก็ตาม

   ขอบคุณ..

   ฟาร์คัสคิดก่อนที่จะหลับไปอีกครั้งพร้อมกับฝันร้ายที่หายไป    

--------------------------------

มาแล้ว  :katai5:  รู้สึกว่าลง 3 วัน ต่อตอนแฮะ  :katai4: หวังว่าจะรักษาระดับการปั่นไปได้ตลอด

ขอบคุณทุกคอมเม้นกับคนอ่านค่ะ  :pig4:

* ตอบคอมเม้น

คุณ บรูเชอร์รี่ ( กุ้งเชอร์รี่ ;p ) : ดูแล้วเจ้ามังกรนี่นอกจากกินกับตีกับฆ่าบี้ลัส ก็ทำอะไรไม่เป็นเลยค่ะ 55555

คุณ rinny : รู้สึกหมือนเห็นลูกแอนตี้พ่อแปลกๆ 5555  :mew5:

หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 6 12 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 12-04-2015 21:12:51
จะว่าไงดี

ฝันร้ายนี่เป็นเหมือนอาการข้างเคียงขอคำสาปหรือเปล่า หรือเป็นเพราะจิตฟาร์คัสรู้สึกแย่มากเลยฝันแบบนี้...รอดูกันต่อไปปปป

:3

หวังว่าสิ่งที่ฟาร์คัสจะขอกับเครื่องรางจะไม่ทำให้ฟาร์คัส-คาร์บิลัสต้องเสียใจเลยนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 6 12 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Ѷanᴉ££a ที่ 12-04-2015 22:48:00
สนุกมากเลย

แต่ว่าจะดราม่ามากไหม

จะได้เตรียมใจได้ทัน

(เท่านี้ก็เกือบทุกตอนแล้วน้า)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 7 15 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 15-04-2015 22:09:16
-- ตอนที่ 7 --

   หลังจากที่ฟาร์คัสหลับสนิทไปอีกครั้งราชาปีศาจก็ไม่มีโอกาสปลีกตัวออกมาจากงาน อีกเลยแต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกินความสามารถของราชาปีศาจที่จะแอบรับข่าวที่ไปสืบมาจากดินแดนของนกบอกลาง
   
ภายในห้องทำงานของราชาปีศาจปรากฎรอยเวทน้อยๆ บนโต๊ะทำงานของราชาปีศาจ และปรากฎร่างของเจ้าของเวท เป็นหนูสีขาวปลายขนติดสีดำนิดๆ ตัวเท่าฝ่ามือ มันวิ่งเข้าไปยืนตรงหน้าราชาปีศาจและค้อมหัวลงนิดๆ เพื่อทำความเคารพต่อนายเหนือหัว

   “ ได้ข่าวอะไรมาบ้าง จิล ” ราชาปีศาจถามด้วยสีหน้าราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความกดดันจนหนูตัวน้อยอดตัวสั่นน้อยๆ ไม่ได้

   “ ขะ ข่าวเรื่องพิธีแต่งตั้งราชาคนใหม่ขอรับ ” จิลตอบเสียงสั่น ถึงแม้มันจะเคยทำงานเป็นสายสืบให้กับราชาปีศาจหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่ว่าครั้งใดก็ยังไม่ชินกับนิสัยของราชาปีศาจอยู่ดี

   “ ราชาองค์ใหม่ ? ใครกัน ” แววตาของราชาปีศาจเย็นเยียบและคาดเดาบางอย่างไว้ในใจ น่าจะเป็นบุตรของชายผู้นั้น ชายคนที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของราชาแห่งนกบอกลาง
   
“ เซอร์เคนบุตรของขุนนางทอริคขอรับ ” จิลตอบพร้อมกับร่ายเวทออกมาเบาๆ เพื่อฉายภาพของคนที่พูดถึงทั้งสองคนให้ท่านราชา นี่น่าจะเป็นอีกเหตุผลที่ราชาปีศาจถึงได้ไหว้วานให้จิลไปสืบข่าวความบ่อยๆ นอกจากความคล่องตัวของเจ้าตัวแล้วยังสามารถใช้เวทที่ใช้แสดงภาพในความทรงจำของตัวเองออกมา เวทนี้เป็นเวทที่ใช้ยากและหาคนใช้ได้ยาก
   
ภาพที่ปรากฏเป็นภาพของที่เหล่าขุนนางกำลังนั่งสังสรรค์ในห้องโถงโอ่อ่าคล้ายกับเป็นห้องของกษัตริย์โดยมีเซอร์เคนนั่งที่หัวโต๊ะและทอริคนั่งข้างกายโดยทั้งคู่กำลังชูแก้วขึ้นมาคล้ายกับกำลังกล่าวอะไรบางอย่างอยู่

   “ เซอร์เคนคือชายคนที่นั่งหัวโต๊ะขอรับ ส่วนขุนนา—”

   “ ข้ารู้แล้ว ” ราชาปีศาจแค่นเสียงออกมา “ หึ แค่ฟาร์คัสของข้าไม่อยู่ก็กล้าแต่งตั้งตัวเองเองเลยเหรอ ” ราชาปีศาจเหยียดยิ้มออกมาและพูดด้วยเสียงที่ชวนให้เลือดในกายเย็นเฉียบ “ จะกล้ามากเกินไปแล้ว.. ”

   หลังจากที่ข้าตื่นมาพบว่าข้างกายข้าก็เหลือเพียงดัฟฟ์ที่นั่งแทะขนมอะไรสักอย่างอยู่
   
“ แก๊ซ ! ” ดัฟฟ์โผเข้าใส่ฟาร์คัสเมื่ออีกฝ่ายตื่นซึ่งฟาร์คัสก็ลูบหัวดัฟฟ์เบาๆ และครุ่นคิดเรื่องที่ฝัน
   ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าข้าจะฝันถึงอะไรสักอย่างที่น่าจะเป็นความทรงจำของข้า ดวงตาของฟาร์คัสหม่นลงน้อยๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในฝันที่แม้ตนจะไม่เข้าใจก็ตามแต่กลับรู้สึกเศร้าไปด้วย ข้าตัดสินใจปล่อยเรื่องความฝันไปก่อนเพราะคิดไปรังแต่จะคิดมากซะเปล่าๆ ความฝันที่บ่งบอกของตัวตนของข้า..

   “ ท่านฟาร์คัส ” ชาคอสเอ่ยเรียกร่างผู้เป็นอาคันตุกะของราชาปีศาจเมื่อเห็นอีกฝ่ายตื่นจากการนอนที่ยาวนอนจนข้ามวัน ถ้านับรวมวันที่ท่านฟาร์คัสมาถึงที่นี้ก็นับเป็นวันที่ 3 ราชาปีศาจได้ไหว้วานให้ชาคอสมาอยู่คอยรับใช้ฟาร์คัสและหากอีกฝ่ายเบื่อการนั่งในห้องก็ให้พาเดินชมรอบคฤหาสน์และให้แวะห้องท่านราชาด้วย

   “ ชา.. คอส ? ” ฟาร์คัสเรียกไม่เต็มเสียงนักเพราะตอนนั้นได้ยินชื่อกับเห็นหน้าอีกฝ่ายเพียงเลือนลางเท่านั้นก่อนที่จะสลบไป
   
“ ขอรับ ” ชาคอสค้อมกายลงน้อยๆ เพื่อตอบรับ “ ท่านคาร์บิลัสให้คำสั่งมาว่าถ้าหากท่านฟาร์คัสหิวหรือเบื่อให้พาออกไปเที่ยวในคฤหาสน์ขอรับ ”

   “ ข้าไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ งั้นพาข้าเดินเที่ยวแล้วกัน ”

   “ แต่ก่อนที่จะไป ท่านราชาสั่งให้ท่านอาบน้ำก่อนขอรับ ” ชาคอสเอ่ยตอบพร้อมกับดีดนิ้วเบาๆ เรียกปีศาจที่จะมาช่วยนำทางให้ท่านฟาร์คัสไปยังโรงอาบน้ำของท่านคาร์บิลัส ซึ่งในห้องนี้ก็ห้องน้ำมีเช่นกัน แต่ถ้าหากไปโรงอาบน้ำจะถือว่าเป็นการเดินเที่ยวไปในตัวด้วยก็ได้

   “ อืม ” ฟาร์คัสพยักหน้าน้อยๆ และเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เข้ามาในดินแดนนี้เลย ฟาร์คัสลูบหัวดัฟฟ์เบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังเกาะตัวอยู่

   ก็อก ก็อก

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับการเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่ได้ขออนุญาตซึ่งถ้าหากเป็นราชาปีศาจที่อยู่ในห้องคงจะโดนทำโทษไปแล้ว แต่ฟาร์คัสก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วงอะไรเมื่อเห็นผู้ที่เข้ามาเป็นแมวอ้วนๆ ดูท่าทางขี้เกียจเดินต้วมเตี้ยมเข้ามาซึ่งเจ้าแมวก็มีเขาเล็กสีแดงๆ บนหัวบิดเป็นเกลียว เจ้าแมวบิดขี้เกียจรอบนึงและนอนปุบนพื้นเหมือนกำลังทำความเคารพ “ ข้ามาพาท่านฟาร์คัสไปโรงอาบน้ำ ” เจ้าแมวพูดขณะที่ยืนและหาวหวอด

   “ พอยซ์เจ้าทำตัวให้มันดีๆ หน่อย ” ชาคอสที่โผล่ไปหาเจ้าแมวตอนไหนไม่รู้โบกหัวเจ้าแมวไปรอบนึงแต่เจ้าแมวก็ไม่ได้สนใจจะแก้ตัวอะไรอยู่ดี

   “ ขออภัยท่านฟาร์คัส เจ้าแมวนี้ไม่ค่อยรู้กาลเทศะเท่าไหร่นัก ” ชาคอสค้อมหัวลงน้อยๆ “ ข้าต้องไปส่งข่าวให้ท่านคาร์บิลัสก่อนจึงต้องให้พอยซ์พาท่านไปแทน ” ในความจริงชาคอสก็ไม่ได้อยากใช้พอยซ์พาท่านฟาร์คัสไปเท่าไรนัก แต่ท่านคาร์บิลัสสั่งให้พอยซ์มาดูอาการท่านฟาร์คัสยามที่ตื่นนอนแล้ว
   
“ ไม่เป็นไร ” ฟาร์คัสอุ้มดัฟฟ์ขึ้นมาและเดินมาพอยซ์ที่หวาดหวอดอีกครั้ง “ พาข้าไปโรงอาบน้ำทีเจ้าแมว ”
   พอยซ์ลืมตาที่ใกล้จะปิดขึ้นมา “ ขอรับ ” พอยซ์พยักหน้าน้อยๆ และก้าวขาเดินอย่างเชื่องช้าพาอาคันตุกะทั้งสองออกจากห้อง

   “ งั้นข้าขอตัวขอรับ ท่านฟาร์คัส ” ชาคอสค้อมกายลงและหายไปในทันทีโดยทิ้งวงเวทสีดำจางๆ ไว้บนพื้น
   ขึ้นชื่อว่าคฤหาสน์ของราชาปีศาจนั้นย่อมโอ่อ่าสมฐานะของเจ้าของ ทำให้การตกแต่งตั้งแต่พื้นจรดเพดานล้วนประณีตและน่าเกรงขาม สีส่วนใหญ่จะใช้เป็นสีดำเป็นโทนหลักในการตกแต่ง บนเพดานมีลวดลายแกะสลักกบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ ของดินแดนปีศาจ ตามรายทางมีภาพราชาปีศาจรุ่นก่อนๆ ติดประดับไว้สลับกับรูปปั้นปีศาจขนาดใหญ่ ส่วนพื้นเป็นพื้นพรมสีเลือดหมูด้วยเข้ากันอย่างประหลาดกับสีดำและตามเสาต่างๆ ก็มีเถาไม้เลื้อยสีดำสนิทคล้ายเถาองุ่นดูสวยงามแต่กลับรู้สึกขนลุกยามที่มันขยับเลื้อย
   
ฟาร์คัสมองรอบข้างด้วยความเพลิดเพลินถึงแม้พอยซ์จะก้าวขาสั้นๆ ได้ช้ามากก็ตาม การเดินชมคฤหาสน์น่าจะถือเป็นการเที่ยวอย่างหนึ่งก็ว่าได้ตามที่ราชาปีศาจว่าไว้ ซึ่งดัฟฟ์ก็มองรอบๆ ด้วยท่าทีสนใจเช่นกัน แต่จังหวะการก้าวข้าของพอยซ์ก็ดูค่อยๆ ช้าลงเรื่อยๆ เหมือนกัน “ ใกล้ถึงรึยัง พอยซ์ ” เพราะการก้าวขาสั้นๆ นั่นช้าลงน่าจะเพราะใกล้ถึงจุดหมายแล้วล่ะ
   
พอยซ์หยุดเดินและผงกหัวไปมาเหมือนกำลังใช้ความคิด “ คิดว่าใกล้แล้วขอรับ ข้าเดินตามกลิ่นไอน้ำมา ” พอยซ์นั้นง่วงมากจนปล่อยให้ร่างกายเดินตามสัญชาตญาณแต่พอฟาร์คัสเรียกก็ต้องปลุกสติตัวเองสักพักด้วยการหยุดเดิน

   “ อืม ” ฟาร์คัสก็ไม่ได้คาดหวังอะไรนักแต่พอมองประตูข้างหน้าก็พบว่าได้มาถึงโรงอาบน้ำของราชาปีศาจแล้ว สิ่งที่ทำให้รู้ก็คือไอน้ำร้อนที่แผ่ออกมาตอนที่ประตูเปิด มีปีศาจแพะสีดำตัวเล็กหลายตัวที่เปิดประตูให้และค้อมตัวลงทำความเคารพ
   
“ มาถึงแล้วสินะ ” พอยซ์พูดอย่างเลื่อนลอยก้าวขาสั้นๆ เข้าไปก่อนฟาร์คัส ซึ่งฟาร์คัสก็เดินตามเข้าไปบ้างโดยมีแพะตัวเล็กที่วิ่งตามมาเป็นพรวนแต่ละตัวล้วนถือของต่างๆ อย่างสบู่ ผ้าเช็ดตัว อะไรทำนองนั้นที่ใช้ทำความสะอาดร่างกาย
   เมื่อฟาร์คัสเข้ามาถึงภายในก็ต้องเบิกตากว้างอย่างอึ้งๆ ไม่น้อย เพราะโรงอาบน้ำของราชาปีศาจใหญ่มากพอๆ กับห้องนอนเลยทีเดียว มีรูปปั้นปีศาจคล้ายสิงโตผสมมังกรกำลังพ่นน้ำอยู่ บริเวณพื้นโดยรอบเป็นพื้นสีดำมันวาวดูสะอาดตา ตรงกลางเป็นสระน้ำขนาดใหญ่มากจนแทบเอาร่างมังกรของดัฟฟ์มาว่ายเล่นได้เลย

   “ ท่านฟาร์คัสกรุณาถอดเสื้อผ้าก่อนลงไปก่อนนะขอรับ ข้าขอใส่อะไรในน้ำสักหน่อย ” พอยซ์หวาดหวอดหลังจากพูดจบและคว้าถุงคู่ใจจากในอากาศควานหาของที่ต้องการ อาการของท่านฟาร์คัสดีขึ้นมากจากที่ข้าสังเกต คำสาปนั้นดูจางลงไปมากทีเดียวจากการมองของข้า เผ่าพันธ์แมวปีศาจขึ้นชื่อด้านการมองเห็นสิ่งต่างๆ จึงไม่แปลกที่ข้าจะมองเห็นคำสาปที่ตกค้างบนร่างกายท่านฟาร์คัส ตอนนี้คำสาปนั้นจางมากซึ่งน่าจะผลมาจากการกำเริบรุนแรงเมื่อวานตามที่ชาคอสบอกไว้ อีกเหตุผลหนึ่งที่คำสาปจางลงขนาดนี้ก็น่าจะเป็นผลมาจากพลังเวทของราชาปีศาจด้วย

   “ อืม ” ฟาร์คัสตอบอย่างไม่ใส่ใจอะไรนักเพราะการตกแต่งรอบข้างได้ดึงดูดความสนใจไปหมดและก้าวขาเดินตามแพะปีศาจที่กระตุกชายเสื้อเรียกให้ไปยังห้องแต่งตัว 

   พอยซ์หยิบขวดน้ำที่สกัดจากดอกแกลส์หยดในบ่อ น้ำที่สกัดจากดอกแกลส์นั้นมีฤทธิ์ถอนคำสาปที่มีฤทธิ์อ่อนๆ ได้ทันทีอีกทั้งยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย ถ้าท่านฟาร์คัสแช่บ่อนี้เสร็จและกินยาเม็ดที่ข้าเคยให้ท่านคาร์บิลัสก็น่าจะหายสนิทแล้วเมื่อคิดจบก็เผลอหาวอีกครั้ง ให้ตายเหอะ นี่ข้าต้องอยู่บอกอาการของท่านฟาร์คัสให้ราชาปีศาจอีก แค่คิดก็ง่วงจะแย่ ข้าเดินหาที่เหมาะๆ และนอนปุลงทันที
   
“ อาบน้ำ !! แก๊ซ ” ดัฟฟ์ที่ผ่านการลอกคราบเรียบร้อยกระโดดลงน้ำทันทีส่งผลให้น้ำกระฉอกออกมาโดนปีศาจแพะที่ยืนถือของให้เต็มๆ รวมถึงฟาร์คัสด้วย

   ฟาร์คัสไม่ได้พูดอะไรแค่ส่งสายตาเห็นใจให้พวกแพะที่ดูเหมือนถอนหายใจน้อยๆ และก้าวขาสั้นๆ ไปเอาของมาให้ใหม่ ส่วนฟาร์คัสก็กระชับผ้าเช็ดตัวที่เปียกน้ำออกและก้าวขาลงไปแช่น้ำบ้าง ฟาร์คัสไม่ได้ลงตัวเปล่าเพราะรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยจึงสวมกางเกงลงไปอาบด้วย เมื่อนั่งลงได้เต็มตัวก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด รู้สึกสบายตัวมากเหมือนกับร่างกายโดนอะไรกดทับตอนนี้ได้หายไปแล้ว

   “ แม่ !! ” ดัฟฟ์โผล่พรวดขึ้นมาพร้อมตะโกนเรียก

   “ อะไร.. ” ฟาร์คัสตอบกลับเสียงเย็นน้ำที่กระเด็นมานั้นโดนเต็มๆ จนรู้สึกร้อนไปหมด
   
ดัฟฟ์ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรอีกทั้งยังพูดอย่างร่าเริง “ ว่ายน้ำกัน ว่ายน้ำกัน ”

   “ ข้าไม่ชอบว่ายน้ำ ” ฟาร์คัสฏิเสธและหยิบเป็ดยางที่แพะปีศาจยื่นให้โยนไปตรงกลางสระ “ เจ้าไปเล่นกับเป็ดน้อยนั่นแล้วกัน ”
   
“ เป็ด !! แก๊ซ อร่อย !! ” ดัฟฟ์รีบกระโจนไปทางที่เป็ดลอยไปทันที

   หวังว่าจะไม่กิน ฟาร์คัสคิดปลงๆ และหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย ปล่อยให้ดัฟฟ์เล่นกับเป็ดยางนั้นไปแล้วกัน แต่หลับตาเพียงไปได้ไม่นานก็รู้สึกถึงน้ำที่กระเพื่อมมาโดนร่างกายทำให้ฟาร์คัสลืมตาทันที

   “ อ๋า ข้าทำเจ้าตื่นเหรอฟาร์คัส ” คาร์บิลัสยิ้มระรื่นอย่างไม่รู้สึกผิดนัก

   “ .. อืม ” ฟาร์คัสหลับตาต่ออย่างไม่สนใจ “ เจ้าไม่ทำงานเหรอ คาร์บิลัส ? ” ฟาร์คัสถามทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่

   “ ข้าเป็นถึงราชาของแดนนี้นะ ฟาร์คัส ข้าต้องการอะไรก็ย่อมจะทำได้อยู่แล้ว ” ถึงแม้ว่าข้าจะต้องไปตามชดเชยเวลาที่แอบอู้ก็ตามเถอะ คาร์บิลัสคิดเซ็งๆ พลางเหลือบมองฟาร์คัส ฟาร์คัสโตขึ้นมากจากที่เคยพบกันล่าสุดเมื่อตอนนั้น ถึงแม้ว่าจะยังตัวเล็กกว่าข้าแต่ก็ถือว่าโตขึ้นมากอยู่ดี แต่ก็ประมาณนี้แหละ กอดได้เหมาะมือดี

   “ ราชา.. ” ฟาร์คัสทวนคำเพราะรู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูกแต่ก็นึกอะไรไม่ออกอยู่ดี “ ข้ากับท่านเคยเจอกันตอนไหนมาก่อนหรือเปล่า ? ” เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ฟาร์คัสข้องใจมานาน
   
“ เอาตอนไหนล่ะ ครั้งแรกหรือล่าสุดดี ” คาร์บิลัสถามกลั้วหัวเราะ

   “ เอาล่าสุดแล้วกัน ” ฟาร์คัสตอบ เพราะถามครั้งแรกไปข้าก็คงจำอะไรไม่ได้อยู่ดี ล่าสุดน่าจะเป็นประโยชน์ต่อข้ามากกว่า

   “ ล่าสุดงั้นเหรอ.. ” คาร์บิลัสทวนด้วยรอยยิ้ม “ เจ้ามาบ้านข้าเพื่อทำหน้าที่ของสายเลือดของเจ้า ฟาร์คัส  ”

   “ หน้าที่ของสายเลือด ? ” ฟาร์คัสทวนคำอีกครั้งด้วยความงุนงง ข้ามีสายเลือดของอะไรข้ายังไม่รู้เลย แต่พอไตร่ตรองสักพักฟาร์คัสก็พบคำตอบ ข้าอาจจะเป็นมนุษย์นกนั่น.. ในความฝัน

   “ อืม เจ้ามาตามหน้าที่นั่นแหละ เจ้ารู้ไหมข้ารอโอกาสนี้มานานมาก ” นับตั้งแต่เจอกันที่แม่น้ำนั่น คาร์บิลัสคิดต่อในใจ  “ ข้าดักรอเจ้าและตีตราเจ้าไว้ ”

   “ ตีตรา ? ” ฟาร์คัสเบิกตาน้อยๆ อย่างคาดไม่ถึง หรือว่าราชาปีศาจจะช่วยเหลือข้าเพราะว่าข้าเป็นของของคาร์บิลัสไปแล้ว
   คาร์บิลัสสะดุ้งในใจเมื่อเห็นฟาร์คัสดูสลดลง  “ อ๋า ฟาร์คัส ถึงแม้ข้าจะตีตราเจ้าไว้ ข้าแค่อยากจะไว้ติดต่อเจ้าแค่นั้นเอง !  และไว้ปกป้องเจ้าด้วย ” คาร์บิลัสรีบพยายามแก้ต่างทันที

   “ อืม ข้าเชื่อเจ้าแล้วกัน ” ฟาร์คัสพยักหน้าน้อยๆ หลายวันมานี้เขารู้ถึงความเอาใจใส่ของราชาปีศาจดีรวมถึงไอ้การปกป้องอะไรนั่นด้วย ฟาร์คัสเผลอยิ้มบางๆ ออกมา ตอนนี้ถ้าจะให้เชื่อใจใครสักคน ข้าอยากจะลองเชื่อใจ คาร์บิลัสดูสักครั้ง
 
   คาร์บิลัสไม่ได้ตอบอะไรแค่ยิ้มกลับมาพร้อมกับลูบหัวฟาร์คัสเบาๆ ซึ่งฟาร์คัสก็ไม่ได้ปัดออกแต่อย่างใด “ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นยังไง เข้าจะปกป้องเจ้าเองนะฟาร์คัส ”

   ประโยคนี้ดูเหมือนปีศาจจะพร่ำบอกฟาร์คัสมาหลายต่อหลายครั้งมาก “ อืม ” ฟาร์คัสตอบกลับไปสั้นๆ แต่ก็ต้องเบิกตากว้างกับคลื่นลูกใหญ่ที่พัดมาข้างหลังราชาปีศาจ

   “ เจ้าตกใจอะไรน่ะ ” คาร์บิลัสย่นคิ้วถามและหันไปมองด้านหลังซึ่งนั่นก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว คลื่นลูกนั้นส่งผลให้ราชาปีศาจล้มกลิ้งไปกองใต้น้ำต่างจากฟาร์คัสที่ยังนั่งอึ้งอยู่ ซึ่งคลื่นหลังจากพัดราชาปีศาจจมไปก็ปรากฎร่างของดัฟฟ์

   ก๊าบบ เสียงเป็ดยางดังลั่นเมื่อดัฟฟ์โผเข้ามาเกาะฟาร์คัสและบีบ “ เป็ด แก๊ซ !! ” 
   
“ ไอ้มังกรรรรรร !! ”  คาร์บิลัสโผล่ขึ้นมาจากน้ำและดึงดัฟฟ์ออกมาอย่างโมโห “ ไอ้คลื่นลูกเมื่อกี้หมายความว่าไง ! เจ้าอยากเล่นน้ำเหรอได้ ข้าจัดให้ ! ” คาร์บิลัสตั้งท่าจะโยนดัฟฟ์ไปกลางสระ

   “ แก๊ซ ม่ายยย ฆ่าบี้ลัส ! ปล่อยยย ” ดัฟฟ์ตะเกียกตะกายกลับมาหาฟาร์คัสเมื่อไม่สำเร็จก็ทำการปาเป็ดใส่หัวคาร์บิลัส

   ถึงแม้มันจะไม่ได้เจ็บอะไรมากมายแต่ก็สร้างโทสะให้คาร์บิลัสพอสมควร “ วันนี้เจ้าไม่โดนข้า อย่าเรียกข้าว่าคาร์บิลัส !! ” คาร์บิลัสโยนดัฟฟ์ไปกลางสระและร่ายเวทเรียกคลื่นซัดใส่ดัฟฟ์ไม่หยุด ซึ่งดัฟฟ์ถึงแม้จะล้มกลิ้งอยู่กลับเสกคลื่นซัดกลับมาได้

   “ ... ” ฟาร์คัสไม่ได้เอ่ยอะไรกับเหตุการณ์ตรงหน้าและหันไปรับของจากพวกแพะปีศาจมาอาบน้ำเงียบๆ  เพราะถ้าหากเข้าไปขัดจังหวะ
   
ข้าอาจจะเป็นหนึ่งในพวกที่ล้มกลิ้งในน้ำก็เป็นได้

   ...

   เป็นเวลาพอสมควรที่กว่าจะราชาปีศาจกับดัฟฟ์จะอาบน้ำเสร็จรวมถึงฟาร์คัสด้วย ฟาร์คัสนั้นอายน้ำเสร็จแล้วรอบนึงมานั่งรอข้างๆ กลับโดนคลื่นลูกหลงมาเต็มๆ จนต้องไปเปลี่ยนเสื้อใหม่อีกครั้ง โดยไม่ลืมเอ็ดดัฟฟ์กับคาร์บิลัสด้วยความหงุดหงิดเป็นการจบศึกสายน้ำระหว่างดัฟฟ์กับคาร์บิลัส

   “ กว่าพวกเจ้าจะอาบเสร็จข้าก็หิวเต็มทนแล้ว ” ฟาร์คัสบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ระหว่างที่กำลังจะออกจากห้อง
   
“ ก็เจ้ามังกรสิ มันงี่เง่าลอบทำร้ายข้า ! ” คาร์บิลัสเถียงพร้อมกับเขม่นดัฟฟ์ที่กำลังนอนอย่างสบายใจอยู่ในกระเป๋าเป้อีกครั้ง
   
“ นั่นมันเรื่องของเจ้า ” ฟาร์คัสยังคงหงุดหงิดอยู่ ไม่แน่ใจเพราะหิวหรือที่ต้องเปลี่ยนชุดใหม่

“ หวา ข้าขอโทษๆ เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสรีบขอโทษทันทีเมื่อเห็นฟาร์คัสยังคงขมวดคิ้วอยู่
   
“ พาข้าไปหาอะไรกินแล้วกัน ”

   “ ได้เลย ! ข้าจะสั่งอาหารที่ดีที่สุดในดินแดนปีศาจมาให้เจ้ากินเลย ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสพูดด้วยความกระตือรือร้นเมื่อเห็นฟาร์คัสอ่อนข้อลง แต่ก่อนที่จะได้ก้าวขาออกจากห้องกลับมีแมวตัวอ้วนนอนขวางอยู่

   “ สวัสดีขอรับ ท่านคาร์บิลัส ” พอยซ์ก้มหัวน้อยๆ และลุกขึ้นยืน “ ข้ามาแจ้งเรื่องอาการของท่านฟาร์คัสขอรับ ”
   
“ เป็นยังไงบ้าง ” คาร์บิลัสถามเสียงเรียบแววตากดดันเพื่อเร่งเร้าเอาคำตอบ

   “ กะ ก็ดีขอรับ ท่านฟาร์คัสน่าจะใกล้เป็นปกติแล้วขอรับ ข้าได้ใส่น้ำสกัดจากดอกแกลส์ที่ใช้ถอนคำสาปที่มีฤทธิ์อ่อนๆ นั่นออกไปแล้วเหลือเพียงกินยานั่นเพื่อสลายคำสาปอย่างหมดจดขอรับ ” พอยซ์ตอบอย่างฉะฉานเช่นเดิม
   
ฟาร์คัสเลิกคิ้วน้อยๆ เมื่อได้ยินดังนั้น กลิ่นหอมนั่นเป็นน้ำสกัดนั่นเอง แปลว่าข้าน่าจะใกล้หายเป็นปกติแล้วสินะ  ข้าจะได้รู้สักทีว่าตัวตนของข้าคือใครกันแน่ แม้ว่ามันอาจจะโหดร้ายก็ตาม ฟาร์คัสเชื่อว่าความฝันที่ตนฝันนั้นเป็นเรื่องจริง
   
คาร์บิลัสสังเกตเห็นพอดีจึงจับมือฟาร์คัสและบีบเบาๆ เชิงว่ายังมีตนอยู่โดยไม่สนใจคนอื่น “ แปลว่าฟาร์คัสอาจจะหายก่อนคืนวันเพ็ญ ? ”
   
พอยซ์ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมากับท่าทางของราชาปีศาจที่มีต่อฟาร์คัส ในดินแดนปีศาจเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว “ ขอรับ อาการของท่านฟาร์คัสดีขึ้นมาก ”

   “ แล้วยาต้องกินตอนไหน พอยซ์ ” คาร์บิลัสถามแต่ตายังคงจ้องมองฟาร์คัสที่ยังดูสลดน้อยๆ ถ้าไม่ติดว่าอยู่ข้างนอกข้ากอดฟาร์คัสไปแล้ว !

   “ หลังอาหารก็ได้ขอรับ ท่านคาร์บิลัส ” พอยซ์ตอบและค้อมกายลงน้อยๆ “ ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ ถึงเวลานอนของข้าแล้ว ”

   “ ไปเถอะ ” คาร์บิลัสตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นพอยซ์ลับสายตาไปแล้วก็ไล่เจ้าพวกแพะปีศาจออกไปที่อื่นเหลือเพียงฟาร์คัสกับดัฟฟ์ในห้องเท่านั้น “ อย่าลืมสิ ฟาร์คัส เจ้ายังมีข้านะ ” คาร์บิลัสดึงฟาร์คัสเข้ามากอดพร้อมกับลูบหัวเบาๆ
   
“ ... ” ฟาร์คัสไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่มุดเข้าหาไออุ่นเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น “ ข้าหิวแล้ว พาข้าไปหาอะไรกินเถอะ ”

   “ ไปกันเถอะ ” คาร์บิลัสปล่อยฟาร์คัสออกจากอ้อมกอดและพาอีกฝ่ายเดินไปหาห้องอาหารที่แสนจะโอ่อ่าใหญ่โตของตัวเองต่อ โดยจับมือฟาร์คัสไว้เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ายังมีคนที่จะอยู่เคียงข้างจริงๆ  ฟาร์คัสก้าวขาตามโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ดูผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิมมาก

   ในครั้งนี้ฟาร์คัสไม่ได้เดินชื่นชมบรรยากาศรอบข้างแต่กลับมีเสียงที่คล้ายกับกำลังเคาะกระจกเรียกและจ้องมองมาอยู่ เรียกให้ทั้งฟาร์คัสและคาร์บิลัสหันไปสนใจ

   ฮูก ฮูก ฮูก
   
มีนกฮูกกำลังใช้ตากลมโตจ้องมาทางฟาร์คัสและใช้จะงอยปากจิกกระจกดังก้อกแก้กแต่เสียงของมันกลับดังกว่า ฟาร์คัสเบิกตากว้างมองนกฮูกพร้อมกับความรู้สึกและความทรงจำที่ถาโถมเข้ามา ฟาร์คัสทรุดตัวลงนั่งและกุมหัวด้วยสีบิดเบี้ยวหน้าทรมาน คาร์บิลัสตกใจมากรีบกอดร่างอีกฝ่ายไว้และปลอบประลอมอีกฝ่ายด้วยความลุกลี้ลุกลนทันที
   
“ จำได้แล้ว.. ” ฟาร์คัสพูดเสียงเบาออกมา

   “ อะไรนะ ? ” คาร์บิลัสที่ได้ยินไม่ชัดถามอีกครั้ง

   “ ข้าจำได้หมดแล้ว..  ท่านราชาปีศาจคาร์บิลัส ”

------------------------

รักษาระดับ 3 วัน ไว้ได้ ฮะฮ่า !  :katai2-1: <- ดีใจอะไร

เรื่องดราม่านี้น่าจะเตรียมทิชชู่ไว้ดีกว่าค่ะ 5555  แต่ก็นะยังไงก็ต้องมีฟ้าหลังฝนให้ฟาร์คัสบ้าง

เรื่องเครื่องรางนี้น่าจะส่งผลดีล่ะมั้ง ?  :katai5:

ขอบคุณทุกคอมเม้นและคนอ่านค่ะ  :man1:

---------------

ปล. ไปเจออะไรฮาๆ มาค่ะ ตอนไปเก็บของที่บ้านเก่าไปเจอเรื่องสั้นสมัย ป.ไหนไม่รู้เก็บรวมกับของพี่

อ่านจบนี้ถึงกับทุบโต๊ะค่ะ 5555555555555555555555 ร้องไห้  :hao5:
   
   


[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 7 15 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 15-04-2015 22:18:15
อนาถตัวเอง ลายมือดูดีกว่าของเราเยอะเลย  :mew5:

***

รู้สึกเหมือนจะเห็นว่าเกรงใจว่าที่เมียหน่อยๆนะคาร์บิลัส  :hao7:

แต่ฟาร์คัสจำได้แล้ว จะเป็นยังไงต่อ ไปเอาตำแหน่งคืนไหม?? หรือแก้แค้นให้พ่ออย่างเดียว?

**

TvT ขอตัวไปตุนทิชชู่ก่อนนะคะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 7 15 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Accelerator ที่ 16-04-2015 01:17:29
แวะมาให้กำลังใจ ขออย่าให้มาม่ามากเลยน๊า  :mew1:
ปล. แอบฮาตรงไฟล์แนบ 555+
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 8 17 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 17-04-2015 22:36:00
-- ตอนที่ 8 --

“ ข้าจำได้หมดแล้ว ท่านราชาปีศาจคาร์บิลัส.. ” ฟาร์คัสพูดออกมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ บรรยากาศผ่อนคลายที่เคยมีได้หายไปแล้วเหลือเพียงความเย็นชาที่เป็นวิสัยปกติของเจ้าตัว ฟาร์คัสยังคงอยู่ในอ้อมกอดของคาร์บิลัสแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดเพียงแตะเบาๆ เชิงให้ปล่อย

คาร์บิลัสปล่อยแขนแต่โดยดีด้วยความรู้สึกเศร้านิดหน่อย ฟาร์คัสที่ดูมีชีวิตชีวาคงไม่โอกาสได้เห็นอีกแล้วล่ะมั้ง “ ไปกินข้าวกันเถอะ ฟาร์คัส ” แต่อย่างไรก็ตามนี้ก็เป็นตัวตนที่แท้จริงของฟาร์คัสอยู่ดี

ฟาร์คัสยืนขึ้นและดึงชายเสื้อที่ยับยู่ยี่ให้ตรง “ ข้าขอเวลาทักทายเพื่อนเก่าก่อน ” คาร์บิลัสยังไม่ทันตอบโต้อะไรฟาร์คัสก็เดินไปเปิดหน้าต่างเสียแล้ว

ฮูก ฮูก ฮูก

เจ้านกฮูกไม่ได้ตกใจบินหนีเมื่อเห็นฟาร์คัสเปิดหน้าต่างและยื่นมือกับจับตัวมัน มันเอาหัวไซร้มือฟาร์คัสด้วยท่าทีคุ้นเคย นกฮูกตัวนี้เป็นตัวเดียวกับวันที่ฟาร์คัสมาทำหน้าที่ของสายเลือด

“ ขอบใจเจ้านะ ” ฟาร์คัสยิ้มบางและขยี้หัวเจ้านกฮูกจนยุ่งเหยิงไปหมด ถ้าหากไม่มีเจ้านกฮูกมาทักทายข้าคงต้องรอจนกินยาของพอยซ์ควาทรงจำถึงจะกลับคืนมา เจ้านกฮูกมองฟาร์คัสด้วยสายตาตำหนิเพราะมันคงไม่มีปัญหาไซร้ขนบนหัวให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

“ ฟาร์คัสแล้วข้าล่ะ ! ” คาร์บิลัสเรียกความยุติธรรมให้ตัวเองบ้าง ข้าก็ช่วยเจ้าเหมือนกันนะฟาร์คัส คาร์บิลัสจ้องด้วยสายตาน่าสงสาร

“ ช่างเจ้าสิ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสใช้มืออีกข้างที่ว่างจะผลักหัวคาร์บิลัสอย่างไม่จริงจังนักซึ่งฟาร์คัสก็พบว่าคาร์บิลัสสูงกว่าตัวเองพอสมควรจึงได้ผลักไหล่แทน ถ้าหากเขย่งมันจะดูเป็นการเสียหน้าเกินไป

“ อ๋า แย่จัง ข้าเสียใจนะฟาร์คัส ” คาร์บิลัสยิ้มเมื่อแอบเห็นว่าฟาร์คัสหยุดมือค้างนิดนึงแล้วผลักไหล่แทน ดูเหมือนว่าความคิดของข้าจะผิดไป ฟาร์คัสถึงแม้จะดูเย็นชาเพราะความเคยชินแต่นิสัยจริงๆ ก็ยังอยู่ล่ะนะ

ฟาร์คัสร่ายเวทเสียงเบาๆ ฉับพลันก็มีลมพูดวูบผ่านเจ้านกฮูกทำให้ขนบนหัวของมันกลับมาเป็นเหมือนเดิม นี่เป็นเวทที่ฟาร์คัสใช้เป็นประจำเวลาเพิ่งตื่นและต้องออกจากห้องอย่างเร่งด่วน “ ข้าต้องไปแล้วล่ะ เจ้านก ” ฟาร์คัสถอนหายใจยาวออกมา “ มีเรื่องอีกมากที่ข้าต้องสะสาง ”

เจ้านกฮูกหมุนคอไปมาเหมือนกำลังใช้ความคิดและโผบินเข้ามาเกาะเข้าที่ไหล่ของฟาร์คัส มันเอาหัวไซร้คอฟาร์คัสน้อยๆ เหมือนกำลังจะอ้อนและสื่อว่าต้องการที่จะติดตามไปด้วย ซึ่งท่าทางของมันก็คาร์บิลัสบ่นออกมา

“ เฮ้อ ฟาร์คัส ข้าว่าเจ้าออกจะดูเย็นชา แต่พวกสัตว์ดูจะชอบเจ้ากันจัง ” คาร์บิลัสพูดเซ็งๆ แค่มังกรงี่เง่า ก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว

“ รวมเจ้าด้วยแล้วกัน ” ฟาร์คัสพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะที่ปิดหน้าต่าง

“ ข้าเป็นราชาปีศาจนะ อย่าเอาข้ารวมกับมังกรงี่เง่าสิ ฟาร์คัส ”

ฟาร์คัสไม่สนใจคำทักท้วงและก้าวเดินก่อนแต่คาร์บิลัสไม่ยอมมาเดินนำสักทีเอาแต่ทำหน้ามุ่ย “ คาร์บิลัสเจ้าเป็นเด็กรึไงกัน ข้าหิวข้าว ” ฟาร์คัสหันไปเอ็ด

“ ก็ได้ๆ เห็นแก่เจ้าแล้วกัน ” คาร์บิลัสบ่นและยอมเดินนำไปก่อน นอกจากฟาร์คัสแล้วคาร์บิลัสแทบไม่เคยอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ “ เจ้าอยากกินอะไรล่ะ ฟาร์คัสนี่ก็เที่ยงแล้วด้วย ”

“ เอาที่อร่อยแล้วกัน ” ฟาร์คัสตอบอย่างขอไปทีเดินตามเงียบๆ และจมกับความคิดของตัวเอง คาร์บิลัสไม่ได้เอ่ยอะไรเมื่อเห็นฟาร์คัสเงียบไปเพียงแค่มองด้วยสายตาเป็นห่วงเท่านั้น
 
ข้าร้องไห้มามากเกินพอแล้ว การร้องไห้ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลยนอกจากจะทำให้ข้ารู้สึกข่มขื่นมากขึ้น ถ้าเป็นท่านพ่อท่านจะทำยังไงกัน ฟาร์คัสแค่นหัวเราะในใจ ข้าดูจะเสียสติไปแล้ว ท่านพ่อข้าจะทำอะไรได้ในเมื่อถูกฆ่าไปแล้วโดยใครสักคนที่ลุ่มหลงในอำนาจไร้สาระนั่น ข้าไม่รู้หรอกนะว่ามันมีอะไรดีกับการเป็นราชา แต่ถ้าใครบางคนนั่นเลือกที่จะสังหารพ่อข้าและเหยียบพ่อข้าขึ้นไปรับอำนาจนั่น ข้ายอมไม่ได้ !!

ตุบ

ฟาร์คัสชนหลังคาร์บิลัสจนกระเด็นกลับมาและเซเล็กน้อย

“ หวา ฟาร์คัสเจ้าเป็นอะไรไหม ” คาร์บิลัสสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดินชนหลังตัวเองได้เพียงเพราะหยุดเดินเมื่อถึงโรงอาหารแล้ว

“ ไม่เป็นไร ” ฟาร์คัสนวดขมับเล็กน้อยเพราะยังคงรู้สึกมึนๆ อยู่ ส่วนเจ้านกฮูกบินพึ่บพั่บไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ทำให้มันไม่ได้ชนคาร์บิลัส เจ้านกฮูกกลับมาเกาะไหล่ฟาร์คัสดังเดิมด้วยท่าทีสบายใจซึ่งนั่นก็ทำให้รู้สึกคันไม้คันมือนิดหน่อย

“ งั้นก็ดีแล้วถึงโรงอาหารของข้าแล้วล่ะ ” คาร์บิลัสเปิดประตูหรูหราออกซึ่งก็เหมือนเดิม ทุกที่ในคฤหาสน์ของราชาปีศาจล้วนประณีตและโออ่า ทำให้โรงอาหารของราชาปีศาจมีขนาดใหญ่ตรงกลางโต๊ะตัวยาวแกะสลักลวดลายปีศาจและเก้าอี้ที่เรียงรายกันเป็นแถบ โดยมีเก้าอี้ที่ดูหรูหราที่สุดเป็นเก้าอี้ไม้นวมสีแดงสลับทองตัวไม้ก็แกะสลักเป็นรูปปีศาจเช่นกัน บนโต๊ะอาหารมีอาหารวางเรียงจนเต็มโต๊ะอาหารทุกจานล้วนคนละชนิดกันและส่งกลิ่นหอมน่ากินออกมา

“ ห้องนี้ใหญ่เพราะบางทีพวกขุนนางจะมาคุยเรื่องงานตอนกินข้าวน่ะ ” คาร์บิลัสอธิบายออกมาเมื่อเห็นฟาร์คัสมองด้วยสายตานิ่งงัน “ เจ้าจะกินอะไรก็ได้นะ !  แต่ต้องนั่งข้างข้าเท่านั้น ”       

“ อืม ” ฟาร์คัสมองอาหารที่มากมายจนเกินไปบนโต๊ะ ก็เริ่มรู้สึกอิ่มขึ้นมาแปลกๆ ฟาร์คัสนั่งเก้าอี้ที่ใกล้ตัวที่สุดและถอดกระเป๋าออกมา “ ดัฟฟ์ เจ้ากินด้วยไหม ” ฟาร์คัสดึงดัฟฟ์ออกมาจากกระเป๋าและวางเก้าอี้ตัวข้างๆ

ดัฟฟ์หาวหวอดออกแต่เมื่อลืมตาเห็นอาหารก็ตื่นทันที “ หิวววว แก๊ซ ” ดัฟฟ์กระตุกชายเสื้อฟาร์คัสเชิงว่าให้ป้อน

“ ไอ้มังกรงี่เง่า เจ้าก็มีมือไม่ตักกินเองเล่า ” คาร์บิลัสบ่นขณะที่เลื่อนเก้าอี้นั่งอีกข้างของฟาร์คัส คำพูดของคาร์บิลัสถ้าตีความดีๆ ก็จะรู้ว่าอิจฉา ซึ่งฟาร์คัสก็บังเอิญตีความได้พอดีแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

“ เจ้านก เจ้ากินอะไรไหม ” ฟาร์คัสเอ่ยถามนกฮูกที่ยังคงเกาะที่ไหล่อยู่ ซึ่งเจ้านกฮูกก็ไม่ได้มีท่าทีหิวอะไรยังคงไซร้ขนตัวเองอย่างไม่สนใจอาหารนัก

“ แม่ หิวว” ดัฟฟ์เรียกอีกครั้งเมื่อเห็นฟาร์คัสไม่สนใจ

ฟาร์คัสมองดัฟฟ์ที่ยังคงเกาะชายเสื้อและถอนหายใจเหนื่อยๆ “ ข้าหยิบให้เจ้าได้ แต่ถ้าให้ข้าป้อนเจ้าด้วย ข้าคงไม่ได้กินข้าวกันพอดี ” ไม่ว่าเปล่าฟาร์คัสใช้ส้อมจิ้มไก่อบใส่จานให้ดัฟฟ์ ขนาดของมันน่าจะมากพอให้ดัฟฟ์นั่งกินเงียบๆ ไปสักพัก ซึ่งดัฟฟ์ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีหยิบไก่ไปแทะเอง

“ ข้าป้อนเจ้าได้นะฟาร์คัส ” คาร์บิลัสเสนอตัว

“ ไม่เป็นไร ” ฟาร์คัสปฏิเสธทันทีและตักอะไรสักอย่างที่คล้ายผัดดอกไม้มากิน “ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสเรียกคาร์บิลัสเสียงเรียบเพื่อให้รู้ว่าจะคุยเรื่องจริงจัง

“ ต้องการอะไร ฟาร์คัสของข้า ” คาร์บิลัสถามกลับด้วยความจริงจังเช่นกัน

ฟาร์คัสไม่ได้เอ่ยทักท้วงอะไรกับคำพูดของคาร์บิลัส “ ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้ที่ดินแดนนกบอกลางเป็นยังไงบ้าง ” ถึงแม้คำถามจะดูปกติแต่ก็แฝงความนัยว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างในด้านภายใน

 “ ในวันมะรืนเซอร์เคนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นราชาองค์ใหม่ ”
เซอร์เคน ? ฟาร์คัสทวนในใจและเบิกตากว้าง ไอ้แร้งนั้น !! ตอนที่ข้าเข้าไปหาพ่อของข้าแล้วยังไม่หยุดการประลองอีกทั้งยังสาปข้าด้วย ฟาร์คัสกัดฟันกรอด บุตรแห่งขุนนางทอริค !! ฉะนั้นทอริคต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นแน่ ข้ายังคงจำได้สีหน้าของทอริคยามที่ประกาศลั่นวันนั้นได้ มันดูทั้งเรียบเฉยและสมใจ !

“ ถ้าเจ้าต้องการจะกลับไปดินแดนนกบอกลางของเจ้า ข้าพาเจ้าไปแน่แต่ต้องกินข้าวเสร็จก่อนนะ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสพูดดักไว้ก่อนเมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยของฟาร์คัสดูเย็นชาขึ้นทุกที

“ ข้าไม่มีอารมณ์กินแล้ว คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสแค่นเสียงตอบ ตอนนี้อารมณ์โกรธได้ตีตื้นจนกลบความรู้สึกไปทั้งหมด ถ้าหากทอริคอยู่ตรงหน้าฟาร์คัสตอนนี้คงไม่วายถูกฟาร์คัสฆ่าแน่นอน

“ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสเรียกเสียงเรียบ “ ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธมากเพราะข้าก็เคยเจอแบบนั้นเหมือนกัน ” คาร์บิลัสยิ้มบางๆ ออกมา “ ก่อนที่เจ้าจะไปเผชิญหน้ากับพวกนั้น เจ้าควรจะรักษาร่างกายของตัวเองให้ดีก่อนนะ ฟาร์คัส และถ้าหากถึงตอนที่เจ้าต้องสู้จริงข้าจะเป็นกำลังให้เจ้าเอง  ” ในคำพูดสุดท้ายของคาร์บิลัสนั้นเป็นเสียงที่มีโทสะเช่นกัน

   ฟาร์คัสท่าที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “ อืม ” ฟาร์คัสยอมกินต่อไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรต่ออีกแต่ในหัวยังคงมีโทสะคุกรุ่นอยู่ ถ้าหากได้กลับไปดินแดนนกบอกลางเมื่อไหร่ เมื่อนั้นฟาร์คัสคงอยู่ไม่สุขเป็นแน่

   “ ดัฟฟ์เจ้าอยู่เล่นที่นี้ไป เดี๋ยวข้ากลับมา ” ฟาร์คัสบอกกับดัฟฟ์ที่งอแงจะไปด้วย โดยไม่รู้ว่าฟาร์คัสต้องการจะไปทำอะไร
   
“ แม่ ดัฟฟ์ ไปด้วยยย ” ดัฟฟ์โวยวายและเกาะขาฟาร์คัสด้วยน้ำตานองหน้า ทำเอาฟาร์คัสใจอ่อนลงนิดหน่อย

   “ เจ้าไปจะช่วยอะไรข้าได้ล่ะ ดัฟฟ์ ” ฟาร์คัสนั่งยองๆ ลูบหัวดัฟฟ์พลางถามคำถาม
   
“ เล่นงายย ดัฟฟ์ชอบเล่น ”

   คาร์บิลัสเห็นเจ้ามังกรงี่เง่าน้ำตานองหน้าก็อดสงสารไม่ได้ ข้าจะพาเจ้าไปด้วยแค่ครั้งนี้นะ “ ดัฟฟ์เป็นมังกรดำ เจ้าน่าจำได้วันนั้นเจ้านี้แผลงฤทธิ์อะไรไว้บ้าง ”
   
“ แต่ถ้าเอาไปก็เกะกะข้าอยู่ดี ” ฟาร์คัสถอนหายใจ ดัฟฟ์น่ะเอาไปด้วยได้นะแต่ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมานั่งดูแลหรอกนะ ข้ากับเซอร์เคน ไม่สิ ทอริคด้วย มีอะไรต้องสะสางกัน !

   “ ก็เปลี่ยนมันซะสิ ฟาร์คัส ” 
   
“ นั่นสินะ ” ฟาร์คัสพยักหน้าและร่ายเวทในทันที รอบกายดัฟฟ์ปรากฎวงเวทสีเหลืองดูอ่อนโยนเป็นยวงเวทลวดลายที่ดูสลับซับซ้อนแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความสวยงาม ดัฟฟ์ดูตกใจแต่ก็ยอมอยู่นิ่งๆ ให้เวทของฟาร์คัสซึมเข้าตัว ฉับพลันร่างของดัฟฟ์ค่อยๆ เลือนรางลงจนเห็นเป็นสีจางๆ เท่านั้น

   “ แก๊ซ ? ” ดัฟฟ์หลุดเสียงร้องออกมางงๆ เมื่อเห็นร่างของตัวเองจางมาก
   
“ เวทนี้เป็นเวทที่ผูกเจ้ากับข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหนข้าก็จะรู้ ตัวตนของเจ้าจะแทรกซึมอยู่ในตัวข้าแต่ถ้าหากข้าเรียกใช้เจ้าก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ” ฟาร์คัสลูบหัวดัฟฟอีกครั้ง ดัฟฟ์ก็ค่อยๆ จางหายไปและซึมเข้าร่างกายฟาร์คัสอย่างรวดเร็ว
   
“ งั้นไปกันเถอะ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสเอ่ยเมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เหลือเพียงเดินทางไปยังดินแดนนกบอกลาง

   ฮูก ฮูก ฮูก

   เจ้านกฮูกร้องขึ้นมาเหมือนกำลังจะบอกอยู่กลายๆ ว่าอย่าลืมมันสิ
   
ฟาร์คัสยืนขึ้นพลางเหลือบมองเจ้านกที่ยังคงเกาะไหล่อยู่ “ ข้าคงไม่เอาเจ้าไปด้วยหรอกเจ้านกฮูก ดินแดนของข้าตอนนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้านัก ” ฟาร์คัสจับนกฮูกวางไว้ที่โต๊ะอยู่ใกล้และมองคาร์บิลัสเชิงว่าพร้อมแล้ว

   “ งั้นไปกันเถอะ ! ” คาร์บิลัสก้าวขาเข้ามาใกล้ฟาร์คัสและเริ่มร่ายเวทแต่กลับถูกฟาร์คัสผลักไหล่เบาๆ
   
“ ดินแดนของข้า ข้าย่อมไปเองได้ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสพูดเสียงเรียบแววตาทอประกายโทสะเมื่อพูดถึงดินแดนของตัวเอง ฟาร์คัสท่องเวทเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงชั่ววูบก็ปรากฎวงเวทอีกาสยายปีกขนาดใหญ่ครอบคลุมทั้งสองคนและนำพาไปยังดินแดนของเจ้าของวงเวท
   
วงเวทของฟาร์คัสพามายังพื้นที่ป่าที่ล้อมรอบคฤหาสน์ขนาดยักษ์หรือจะเรียกอีกอย่างว่าบ้านของนกบอกลาง พื้นที่ป่าโดยรอบนั้นเป็นป่าดิบชื้นที่มีต้นไม้รกครึ้มมีสัตว์ต่างๆ อย่างพวกเสือ จระเข้ อะไรทำนองนั้นอาศัยอยู่อย่างชุกชุมมาก นกบอกลางมักจะใช้เป็นพื้นที่ภารกิจอยู่บ่อยๆ เช่นการหาพืชหายากบางชนิดในป่านี้บ้าง หาสิ่งของที่มาซุกซ่อนบ้าง แต่ตอนนี้ที่แห่งนี้เหมาะสำหรับเป็นที่ซุกซ่อนตัวของฟาร์คัสและคนอื่นๆ อย่างยิ่ง

   “ บุกเข้าไปเลยไหม ฟาร์คัส ”  คาร์บิลัสถามด้วยสีหน้าจริงจังต่างจากปกติ
   
“ เดี๋ยวก่อน คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสเอ่ยขัด “ เรื่องนี้ข้าอยากเป็นคนสะสางมันเอง เจ้าเป็นถึงราชาปีศาจลงมาช่วยข้าอาจจะส่งผลเสียต่อเจ้าได้ ” ขณะที่พูดฟาร์คัสไมได้สบตามองผู้ที่สนทนาด้วย เอาแต่จ้องไปที่พื้น

   คาร์บิลัสเลิกคิ้วน้อยๆ และหัวเราะออกมา “ ฟาร์คัส เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก ต่อให้แร้งทั้งรังมารุมจิก ก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดีล่ะนะ ” พอหัวเราะไปสักพักเห็นฟาร์คัสหันมาสบตาด้วยสายตาจริงจังคาร์บิลัสก็หยุดหัวเราะ “ เอาน่า ข้ามาที่นี้เพื่อปกป้องเจ้านะ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสฉีกยิ้มมั่นใจให้ฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสเงียบไปสักพัก “ งั้นเจ้าก็แปลงเป็นอีกาแล้วกัน ปกติข้ามีอีกาช่วยสู้ด้วย พวกนั้นน่าจะดูไม่ออกหรอกว่าเป็นเจ้า ” แต่สิ่งที่เสนอออกมาก็ยังคงเป็นห่วงสถานะของราชาปีศาจอยู่ดี

   “ อ่า เอาตามที่เจ้าบอกแล้วกัน ” คาร์บิลัสยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก  เพราะถ้าฟาร์คัสมีภัยที่รุนแรงขี้นมาข้าก็จะปรากฎตัวด้วยร่างราชาปีศาจอยู่ดี คาร์บิลัสร่ายเวทแปลงกายออกมาสองสามคำก็เปลี่ยนรูปร่างทันที
   
“ คาร์บิลัส อีกาบ้านเจ้าหน้าเหมือนแพะมาก ” ฟาร์คัสเหน็บออกมาเมื่อคาร์บิลัสได้กลายร่างเป็นแพะสีดำขลับแดงตัวจิ๋วมีเขาแพะสีดำก่ำและมองมาทางฟาร์คัสด้วยสายตาภาคภูมิใจ
   
และเปลี่ยนเป็นตกใจในภายหลัง “ หวา ! ผิดร่างๆๆๆ ” คาร์บิลัสในร่างแพะเบิกตากว้างรีบร่ายเวทแปลงกายอีกครั้งทันที จึงกลายเป็นอีกาตัวย่อมดวงตาสีเทาและบินมาเกาะที่ไหล่ของฟาร์คัส

   “ พร้อมนะ ” ฟาร์คัสพูดลอยๆ อย่างไม่ต้องการคำตอบและโผบินไปทางคฤหาสน์ทันทีในระดับที่ค่อนข้างสูงกว่าปกติมากจนสังเกตได้ยากมาก ฟาร์คัสค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่มีสามารถมองเห็นตนได้เพราะได้เรียกเวทลบตัวตนมาคลุมตัวด้วยโดยเผื่อแผ่ให้กับคาร์บิลัสที่บินอย่างสบายใจข้างๆ  แต่เมื่อเข้าใกล้คฤหาสน์ของนกบอกลางฟาร์คัสกลับกระแทกกับกำแพงบางอย่างอย่างแรงจนปลิวตกอย่างรวดเร็ว ฟาร์คัสขบกรามแน่นสะบัดหัวไปมาให้หายมึนและค่อยๆ ประคองการบินให้เหมือนเดิม แต่ยังไม่ทันที่จะบินได้ปกติก็แร้งสีดำสนิทขนาดยักษ์โผบินเข้ามาล้อมกรอบฟาร์คัสไว้

   แกว้กกกกก

   เจ้าแร้งร้องเสียงดังมากจนอากาศรอบๆ สั่นไหวแต่ก็ไม่ได้มีผลเชิงโจมตีแต่อย่างใด ฟาร์คัสงุนงงเล็กน้อยและต้องเบิกตากว้าง
   
ไอ้นกแร้งนี้มันส่งสัญญาณ

   “ หนวกหู !! ” คาร์บิลัสในร่างอีกาตวาดใส่และเรียกพลังโจมตีมวลสีดำขว้างใส่ แต่เจ้าแร้งกลับบินหลบได้ทันอย่างฉิวเฉียดมันร้องแกว้กๆ อีกครั้งและพุ่งเข้าใส่ฟาร์คัส

   “ เซอร์เคน ! ” ฟาร์คัสตวาดกร้าวออกมาขณะที่บินหลบเจ้าแร้ง “ มันจะมากเกินไปแล้ว  ” ดวงตาของฟาร์คัสเริ่มขึ้นสีแดงก่ำ “ แสงจงเป็นพลังให้ข้า มวลอากาศจงเป็นเลือดแก่ข้า สายฟ้าจงเป็นอาวุธของข้า  ” ฉับพลันในที่บริเวณนั้นก็เกิดแสงขึ้นมาจนแสบตา มวลอากาศหนักอึ้งทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวยากและสายฟ้าทรงพลังที่พร้อมจะมอดไหม้ใส่ศัตรูของผู้เป็นนาย
   
ในขณะที่สายฟ้าใกล้จะทำลายร่างของนกแร้ง นกแร้งกลับสลายหายไปก่อนที่จะโดนโจมตีเพียงเสี้ยววินาที
   
โทสะของฟาร์คัสยังคงคุกรุ่นเมื่อเห็นแร้งหายไปก็เปลี่ยนทิศทางของสายฟ้าไปยังกำแพงใสทันที สายฟ้าของฟาร์คัสกระทบได้ไม่กี่ครั้งก็เกิดเสียงร้าวและแตกกระจายของกำแพงตรงหน้า ไม่รั้งรออะไรอีกฟาร์คัสบินบุกเข้าไปทันที ดูเหมือนฟาร์คัสจะลืมแม้แต่ผู้ร่วมทางอย่างคาร์บิลัสซะแล้ว

คาร์บิลัสจึงได้แต่บินตามด้วยความเป็นห่วง สิ่งที่ห่วงไม่ใช่พลังของฟาร์คัสที่ใช้ต่อกรกับนกบอกลาง ห่วงความรู้สึกของฟาร์คัสซะมากกว่า แม้ในตอนแรกจะรู้สึกแค้นพวกคนที่ทำร้ายฟาร์คัสก็ตาม

ฟาร์คัสบินเข้าไปในคฤหาสน์ทันทีแม้ตรงหน้าประตูจะมีนกบอกลางเฝ้าอยู่ก็ตาม ฟาร์คัสใช้เวทลมที่รุนแรงเทียบเท่าพายุปัดออกไปแต่ไม่ได้โจมตีอะไรเพิ่ม ข้าไม่อยากทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง.. ฟาร์คัสเอ่ยขอโทษเบาๆ แม้ว่าร่างเหล่านั้นจะสลบไปแล้วก็ตาม ฟาร์คัสบินเข้าไปยังห้องโถงที่ว่างเปล่าผิดปกติแต่ฟาร์คัสหาได้สนใจไม่ ฟาร์คัสคำรามชื่อศัตรูออกมาเสียงดังลั่น “ เซอร์เคน ทอริค ไสหัวออกมา !! ”

   คาร์บิลัสบินมาเกาะไหล่ฟาร์คัสและร่ายเวทค้นหาช่วยอีกแรงซึ่งในวินาทีต่อมาก็ไม่จำเป็นเพราะร่างที่ฟาร์คัสต้องการพบได้ออกมาแล้ว
   
“ แย่จังนะ ฟาร์คัส เจ้าทำลายกำแพงของข้าซะย่อยยับเลย ” เซอร์เคนปรากฎตัวด้านบนและพูดด้วยน้ำเสียงยียวน

   “ หุบปาก  ” ฟาร์คัสตะหวาดกลับสั่งสายฟ้าให้โจมตีเซอร์เคนในทันทีและต้องเบิกตากว้างอีกครั้งเมื่อมันทะลุผ่านร่างเซอร์เคนไปซะเฉยๆ

   “ คิดว่าข้าจะให้ราชาแห่งนกบอกลาง เอาตัวมาเสี่ยงหรือ สัตว์เลี้ยงของปีศาจ ” เสียงของทอริคสะท้อนก้องไปมาในหัวของฟาร์คัส ทั้งๆ ที่ไม่ได้ปรากฎตัวออกมา
   
“ ไสหัวพวกเจ้าออกมา !! ” ฟาร์คัสตะโกนก้องจนอากาศสั่นไหวแสดงให้เห็นถึงพลังของฟาร์คัสที่เริ่มประทุเหมือนกับอารมณ์ของผู้เป็นนาย
   
“ ฟาร์คัส ! ในห้องนั้น ! ” คาร์บิลัสกระซิบเมื่อรู้ตำแหน่งของศัครูทั้งสอง

   “ ถ้าเจ้าไปไม่ออกมา ข้าก็จะลากคอพวกเจ้าออกมาเอง ” ฟาร์คัสพูดเสียงแดกดันและสั่งสายฟ้าให้โจมตีไปยังห้องที่คาร์บิลัสได้ชี้ทางเอาไว้ 
   
“ คิดจะทำอะไรนายของข้าล่ะ ฟาร์คัส ? ” เสียงคุ้นเคยพร้อมกับดาบที่ฟันสายฟ้าของฟาร์คัสแตกออกเป็นเสี่ยง

“ บาร์ลิน.. ? ”

------------------

  :hao5: ฟาร์คัสสส
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 8 17 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 18-04-2015 00:10:35
ไม่นะ กระทั่งบาร์ลินก็ทรยศ??

ยังเหลือใครที่ไว้ใจได้อีกบ้าง... หรือดินแดนนี้จะจงรักภักดีต่อกษัตริย์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะขึ้นตำแหน่งโดยชอบธรรมหรือไม่?

 :ling2: ล้างบางแม่งเลยเถอะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 8 17 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: sittawan ที่ 18-04-2015 00:17:41
เครียดดดดดด :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 8 17 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 19-04-2015 13:27:07
เพิ่งเข้ามาอ่านนะคะ แต่ดันไปเห็นเรื่องสั้นของคุณผู้เขียนเสียก่อน อ่านจบดิฉันถึงกับ (อย่าว่าดิฉันนะคะ) นอนกลิ้งไปกลิ้งมา คือตรงนี้คืออัลไล "เด็กน้อยทรุดโทรมมาก"  :laugh: คือแบบ...น่ารักเฟอร์ อ้อ แล้วก็เป็นเรื่องสั้นที่ตัดจบได้เจ็บแสบมากๆ เลยค่ะ แบบ "จบ" ตัวเบ้อเริ่ม โอ๊ย...แนวมากๆ  :z3:

ขอตัวไปอ่านก่อนนะคะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 9 19 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 19-04-2015 18:13:42
-- ตอนที่ 9 --

“ บาร์ลิน.. ? ” ฟาร์คัสครางชื่อออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา บาร์ลิน ? บาร์ลินเนี่ยนะ บาร์ลินเพื่อนสมัยเด็กคนนั้นของเขาเนี่ยนะ ฟาร์คัสหยุดการโจมตีแต่สายฟ้าก็คงยังแลบและเกิดประกายไฟชวนน่าขนลุกเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย

   คาร์บิลัสมองฟาร์คัสด้วยความเป็นห่วง เรื่องนี้เป็นเรื่องของฟาร์คัสกับเพื่อนของฟาร์คัส ถ้าหากข้าเข้าไปสอดดูจะเป็นการไม่ดีเท่าไหร่ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกถ้าหากไม่สะสางให้สิ้นซากไปรังแต่จะทำให้เกิดปัญหาค้างคาไปเรื่อยๆ

   “ ไปกับราชาปีศาจแปปเดียว เจ้าถึงกับจำข้าไม่ได้เชียวหรือฟาร์คัส ” บาร์ลินยกยิ้มยียวนที่ทำให้ฟาร์คัสหน้าซีดลงกว่าเดิม มันเป็นรอยยิ้มที่ฟาร์คัสคิดว่าจะไม่มีวันได้เห็นจากคนๆ นี้ รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเหยียดหยัน

   “ เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม ” ฟาร์คัสพยายามพูดด้วยความหวังว่าอีกฝ่ายจะล้อเล่น
   
บาร์ลินแสยะยิ้มชี้ดาบมาทางฟาร์คัส “ เจ้าคิดว่าข้อล้อเล่นไหมล่ะ ฟาร์คัส ” ดวงตาของบาร์ลินฉายความโหดเหี้ยมออกมาทางสายตา

   “ ...  ” ฟาร์คัสไม่ได้พูดอะไรออกไปยังคงนิ่งเงียบ ความผิดหวังได้ถาโถมเข้ามาอีกครั้งแต่ไม่ถึงขั้นต้องเสียน้ำตา บาร์ลิน.. ฟาร์คัสมองอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่านยากสีหน้าพลันเย็นชาขึ้นทุกที

   “ ฟาร์คัส เจ้ารู้อะไรไหม ” บาร์ลินพูดพร้อมกับกวัดแกว่งดาบไปมาในอากาศราวกับกำลังตัดอากาศเล่น “ ทำไมเจ้าถึงไม่เคยเดาใจข้าได้เลย ”

   “ ... ” ฟาร์คัสไม่ได้ตอบเพราะรู้ว่าคำถามที่ถามมาไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา
   
“ เพราะว่าข้าไม่เคยเผยตัวตนที่แท้จริงให้เจ้าเห็นยังไงล่ะ ฟาร์คัส ! ” บาร์ลินตะโกนลั่นและตวัดดาบมาทางฟาร์คัสอย่างรวดเร็วทำให้มีเสียงตัดอากาศคล้ายเสียงกรีดร้อง
   
ฟาร์คัสกระโดดหลบการโจมตีของบาร์ลินแต่ไม่ได้โจมตีกลับเพียงแค่ยังคงมองด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ บาร์ลินที่เห็นฟาร์คัสไม่โต้ตอบเพราะคิดว่าดูถูกก็ยิ่งลงน้ำหนักดาบแรงขึ้นทุกครึ้งที่ฟันพร้อมๆ กับร่ายเวทโจมตีเข้าไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฟาร์คัสมีบาดแผลขึ้นมาอยู่ดี

   “ บาร์ลิน.. ” ฟาร์คัสเรียกเสียงเรียบแววตาที่เดิมอ่านยากตอนนี้ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรอีกต่อไป  “ เจ้าบอกข้าได้นะว่าเจ้าโดนเซอร์เคนหรือทอริคบังคับเจ้า ” แต่ก็ยังคงให้โอกาสบาร์ลินอยู่ดี
   
บาร์ลินส่งแค่นเสียงตอบ “ เหอะ ! ตลกแล้ว ไอ้ลูกอีกา คิดว่าฉันมาสู้กับแกเพราะโดนบังคับงั้นเหรอ ไปถามพ่อแกดีกว่ามั้ง ว่าทำอะไรไว้บ้าง !! ” ในประโยคสุดท้ายบาร์ลินตะคอกออกมาพร้อมกับโจมตีใส่ฟาร์คัสด้วยลูกไฟขนาดมโหฬารปาเข้าใส่ฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสหลับตาลงกล้ำกลืนความผิดหวังลงไปในขณะที่ลูกไฟจะโดนตัวฟาร์คัสนั้นก็ถูกเวทสะท้อนที่เคยเล่นงานราชาปีศาจสะท้อนกลับไปทั่วทุกทิศทางทาง ฟาร์คัสลืมตาอีกครั้งพร้อมกับคทาเวทในมือ “ ถ้าเจ้าต้องการจะเป็นศัตรูข้า ข้าก็จะสนอง !! ” ฟาร์คัสตะโกนลั่นสั่งสายฟ้าโจมตีบาร์ลินกับเซอร์เคนและทอริคที่ซ่อนอยู่ในห้องในเวลาเดียวกัน มืออีกข้างวาดคทาเป็นวงเวทในอากาศจนอากาศเกิดความแปรแปรวนค่อยๆ มีบางสิ่งปีนป่ายออกมาพร้อมกับมวลอากาศร้อน 
   
“ ฟาร์คัสสสส ” บาร์ลินตวัดดาบแนวแทยงเพื่อปัดป้องการโจมตีทั้งของตนเองและผู้เป็นนาย สายฟ้าของฟาร์คัสแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกครั้ง บาร์ลินท่องเวทอัญเชิญสัตว์เวทออกมาโดยอากาศโดยรอบพลันหนักหน่วงกว่าเดิมขึ้นทันตา

   ก๊าซซซซซ

   สัตว์เวทของฟาร์คัสกู่ร้องออกมา สัตว์เวทของฟาร์คัสนั้นเป็นนกฟีนิกซ์เพลิงมันสะบัดปีกเพลิงของมันทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ไปทั่วโดยเฉพาะบริเวณห้องที่เซอร์เคนหลบซ่อนอยู่แต่เพลิงของฟีนิกซ์กลับเผาไหม้ห้องไม่ได้ ฟาร์คัสไม่ปล่อยโอกาสตอนที่บาร์ลินกำลังปัดป้องกระกายไฟส่งหอกเพลิงเข้าไปโจมตีทันที แต่ก่อนที่จะโดนบาร์ลินสิ่งที่บาร์ลินอัญเชิญก็ออกมาพอดีและเขมือบหอกเพลิงของฟาร์คัสเข้าไป

   ฟาร์คัสหยุดชะงักในอากาศพร้อมกับตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ สิ่งที่บาร์ลินอัญเชิญออกมาคือสิ่งที่ฟาร์คัสกลัวมากที่สุดซึ่งมีเพียงบาร์ลินเท่านั้นที่รู้ สิ่งที่เขาได้พบยามไปปฏิบัติหน้าที่ของสายเลือดตอนระดบขนนกดำ อสูรที่รูปร่างคล้ายหนอนขนาดยักษ์มีฟันซี่แหลมคล้ายมีดรอบปากลำตัวเป็นขอปล้องแข็ง กลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ฟาร์คัสเคยเกือบโดนมันกินเพราะเข้าไปช่วยเด็กคนนึงที่กำลังจะโดนกิน ฟาร์คัสยังจำความรู้สึกยามที่ฟันซี่แหลมกัดกินเข้าที่ปีกอย่างตะกละตะกลามได้ 

   นกฟีนิกซ์ของฟาร์คัสโผบินเข้าไปใกล้และกระพือเปียกเรียกพายุเพลิงถล่มใส่ศัตรูของผู้เป็นนายแต่ไม่อาจทำอะไรอสูรตรงหน้าได้อีกทั้งมันยังมุดลงดินเพื่อหลบหลีกเพลิงที่แผดเผาอีกและโผขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงอึดใจ ด้วยความเร็วของมันทำให้มันลอยตัวสูงขึ้นมาในอากาศมันอ้าปากกว้างเตรียมที่จะกลืนนกฟินิกซ์เข้าไปแต่ฟีนิกซ์ก็บินหลบทันได้อย่างเฉียดฉิวมันกู่คำรามออกมาอย่างโมโหเมื่อเพลิงของมันไม่สามารถทำอะไรได้

   ซึ่งสาเหตุของเพลิงที่ไม่สามารถทำอะไรได้นั้นน่าจะมาจากฟาร์คัสที่ยังคงตัวสั่นอยู่ จิตใจที่หวาดกลัวย่อมทำให้พลังเวทลดลงไปด้วย ฟาร์คัสกุมคทาด้วยมือที่ชื้นเหงื่อพร้อมกับหลบการโจมตีจากบาร์ลินที่ลอยโจมตีมาทางด้านหลัง

   “ เป็นถึงอีกากลับมากลัวหนอนเนี่ยนะ เรื่องตลกประจำวันจริงๆ ” บาร์ลินหัวเราะน้ำเสียงเยาะเย้ย และร่ายเวทโจมตีออกมาช่วยเสริมการโจมตีเพื่อให้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น

   คาร์บิลัสที่ทนเห็นฟาร์คัสตัวสั่นอย่างหวาดกลัวไม่ได้อีกต่อไปตะคอกใส่บาร์ลิน “ หุบปาก !! ” คาร์บิลัสคลายร่างอีกาออกกลายเป็นร่างปีศาจเช่นเดิมโดยมีปีกขนาดยักษ์กับหางที่เพิ่มเข้ามา  “ มันจะมากเกินไปแล้วนะ ” คาร์บิลัสเพียงสะบัดมือเบาๆ เจ้าอสูรหนอนที่เดิมที่โผขึ้นมาอีกครั้งก็ขาดเป็นสองท่อนและค่อยๆ หายไป คาร์บิลัสเตรียมร่ายเวทโจมตีใส่ศัตรูทั้งสามที่บังอาจทำร้ายฟาร์คัส
   
บาร์ลินไม่ได้มีท่าทีตกใจกับการปรากฎตัวของราชาปีศาจราวกับคาดเดาไว้แล้วว่าราชาปีศาจจะปรากฎตัว “ ท่านเซอร์เคน ท่านทอริค ถึงเวลาแล้วขอรับ ” บาร์ลินตะโกนบอกและหายตัวไปในทันที
   
คาร์บิลัสเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหนีแต่มันหมายความว่ายังไงว่าถึงเวลาแล้ว ? แต่นั้นไม่สำคัญเท่าฟาร์คัสของข้าหรอกนะ ! คาร์บิลัสหันไปหาฟาร์คัสที่ยังคงตัวสั่นเพราะความกลัวที่ยังคงกัดกินอยู่ คาร์บิลัสรวบตัวฟาร์คัสมากอดและลูบหัวเบาๆ พลางมองสอดส่องรอบข้างที่เหลือเพียงนกฟีนิดซ์ตีปีกไปมาอยู่กับไฟของมันที่ยังคงโลมเลียไปทั่วห้องโถง

   “ ดูการกลับมาของผู้ทรยศสิครับ ทุกท่าน ” เสียงของเซอร์เคนดังก้องในห้องโถงพร้อมกับการหายไปของนกฟีนิกซ์และไฟที่เคยโลมเลียห้องโถง ห้องโถงที่เดิมทีถูกเผาไหม้ได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมดังตอนที่ยังไม่เสียหายพร้อมกับการปรากฎตัวของนกบอกลางโดยรอบจนเต็มห้องโถงราวกับว่าทุกคนในดินแดนนี้มารวมตัวกันที่นี้ และแต่ละตัวล้วนมีสีหน้าหวาดกลัวและเคียดแค้น

ผู้ทรยศ ? ฟาร์คัสเบิกตากว้าง อะไรกัน ล้อข้าเล่นใช่ไหม ฟาร์คัสกำหมัดแน่นพลางมองรอบตัว แต่สีหน้าแต่ละคนล้วนเป็นของจริงไม่มีท่าทางเสแสร้งใดๆ อีกทั้งยังมีเสียงสบถด่าทอเขากับคาร์บิลัส ไม่จริงใช่ไหม.. ?

   “ ผู้สังหารองค์ราชาคนเก่าของเราและหนีไปพร้อมกับราชาปีศาจผู้เป็นนายของมัน  ” เซอร์เคนปรากฎตัวในอากาศและมองมาทางฟาร์คัสด้วยท่าทีเคียดแค้น

   ฟาร์คัสเบิกตากว้างกับคำพูดของเซอร์เคนและกัดฟันกรอด “ เซอร์เคน.. ” ฟาร์คัสพูดเสียงเย็นเตรียมจะสั่งสายฟ้าในอากาศโจมตีแต่กลับถูกเสียงที่ตะโกนลั่นซ้ำๆ ดังก้องห้องโถง
   
“ ฆ่ามัน !! ผู้ทรยศ !! ”

   “ ฆ่ามันซะ ท่านราชา ! ”

   “ ฆ่ามัน !! ”

   ฟาร์คัสชะงักมือและตะโกนกลับด้วยร่างกายที่สั่นน้อยๆ แต่ไม่ใช่เพราะความกลัวเป็นความอัดอั้นตันใจ “ ข้าไม่ใช่ผู้ทรยศ ! ทอริคต่างหากที่ฆ่าพ่อข้า ! ”

   “ โกหก ! ”

   “ ใส่ร้ายท่านทอริค ! ”
   
“ ใครจะไปเชื่อสัตว์เลี้ยงของราชาปีศาจล่ะ ผู้ทรยศ ! ” 
   
“ หนอย.. ” คาร์บิลัสขบกรามเตรียมจะโจมตี แต่กลับถูกฟาร์คัสดึงมือเอาไว้  คาร์บิลัสสบถออกมา ถ้าไม่เห็นแก่ฟาร์คัสไอ้นกพวกนี้ไม่ได้นั่งใส่ความฟาร์คัสของข้าสบายอย่างงี้แน่

   “ ฟาร์คัส เจ้ากล้าใส่ร้ายท่านขุนนางทอริคผู้ซื่อสัตย์ต่อดินแดนงี้งั้นหรือ ” เซอร์เคนพูดด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ได้ แต่หากจับจากน้ำเสียงก็จะรู้ว่าแฝงโทสะไว้

   “ ข้าพูดด้วยความสัตย์จริง ! ” ฟาร์คัสตะคอกตอบดวงตาเป็นสีแดงก่ำอีกครั้งจนน่ากลัว “ พวกเจ้าใส่ร้ายข้า ! ข้าจะไปฆ่าพ่อตัวเองทำไมกัน ”
   
“ เจ้าอยากได้อำนาจในการปกครองไงล่ะ ! ” เสียงดังออกมาจากนกบอกลางบางคน

   “ ของพรรค์นั้น ข้าไม่ต้องการ !! ” ฟาร์คัสตะคอกตอบ

   “ โกหก ! ”
   
“ ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมถึงมีราชาปีศาจเป็นนายเล่า ! ”

   “ ยืมพลังราชาปีศาจเพื่อโค่นล้มราชาองค์เดิม ”

   ฟาร์คัสกำหมัดแน่นจนเลือดซึม ดูเหมือนว่าไม่ว่าแก้ตัวอะไรออกไปก็ไม่มีใครฟังเลยแม้แต่คนเดียว เดิมทีฟาร์คัสก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบอะไรอยู่แล้วการใส่ความให้เกลียดก็ดูเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย นับว่าเป็นความฉลาดของอีกฝ่ายก็ว่าได้ ฟาร์คัสเหยียดยิ้มออกมาบางๆ
   
เซอร์เคนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นฟาร์คัสยิ้มออกมาแต่ก็ไม่ได้คลายความระวังลงรีบพูดต่อ “ หึ เถียงไม่เอางั้นเหรอ ผู้ทรยศ ”

   “ คำก็ทรยศ สองคำก็ทรยศ กฎของที่นี้คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดได้เป็นราชานี้ ” ฟาร์คัสยิ้มกว้างค่อยๆ เรียกมวลพลังเวทจำนวนมหาศาลเล็งไปที่เซอร์เคน เรื่องนี้ข้าจะจบมันเอง คาร์บิลัส
   
เซอร์เคนเบิกตากว้างเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีพลังเวทมากขนาดไหน เมื่อครั้งนั้นเพราะฟาร์คัสสติไม่ได้อยู่กับการต่อสู้เลยลดการป้องกันตัวลงจึงโจมตีง่ายแต่ครั้งนี้อีกฝ่ายสติอยู่ครบดูจะเป็นการยากถ้าจะชนะฟาร์คัสในตอนนี้ได้ เซอร์เคนรีบตะโกนเรียกข่มขู่อีกครั้ง “ เป็นดังที่ข้าว่า เจ้ายอมรับว่าเจ้าเป็นผู้ทรยศ เจ้าคิดว่าลำพังแค่พลังของเจ้าจะครองดินแดนแห่งนี้ได้งั้นเหรอ ฟาร์คัส !! ”
   
ฟาร์คัสไม่ได้ตอบแววตาโทประกายโหดเหี้ยมออกมา “ ข้าไม่สนใจ ” ฟาร์คัสสะบัดมือเบาๆ ลูกพลังขนาดยักษ์หมุนริ้วจนน่ากลัวพุ่งเข้าใส่เซอร์เคน

   “ คิดดีแล้วรึ ทายาทแห่งอีกา ” เสียงแหบต่ำดังที่ข้างหูข้างฟาร์คัสพร้อมกับการหายไปอย่างสิ้นเชิงของลูกพลังของฟาร์คัส เจ้าของเสียงแหบต่ำเป็นร่างสูงในเสื้อคลุมทั้งตัวดวงตาเป็นแสงเรืองรองสีแดงคล้ายลูกไฟ

เจ้าของร้านเครื่องรางนั่น ! ฟาร์คัสคิดในใจแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเพียงแต่รู้สึกคุ้นเคยกับร่างตรงหน้าอย่างประหลาดราวกับว่าเคยรู้จักกันมาก่อน

“ เจ้าเป็นใคร ! ” เซอร์เคนตะคอกถาม แผนเดิมที่วางไว้ได้พังทลายไปหมด เซอร์เคนตั้งใจจะหลบการโจมตีของฟาร์คัสปล่อยให้โจมตีพวกนกที่อยู่ข้างหลังไปและแสร้งทำเป็นบาดเจ็บเพื่อที่จะปกป้องแต่ไม่สำเร็จ

“ ไม่ใช่ธุระของข้าที่จะบอกเจ้า ” ร่างในชุดคลุมตอบอย่างเย็นชา

“ ท่านมันขัดขวางข้าทำไมกัน ” ฟาร์คัสถาม ข้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาดีหรือมาร้ายกันแน่ การขัดขวางเมื่อกี้ไม่ได้ส่งผลดีหรือผลเสียใดๆ ต่อฟาร์คัส

ร่างในชุดคลุมสบตาฟาร์คัสเพียงสั้นๆ และตะโกนลั่น “ มิติแห่งเวลาเอ๋ย จนหยุดไหลเวียนเพื่อข้าผู้เป็นนาย ! ” ฉับพลันรอบกายทุกอย่างได้หยุดนิ่งไปหมดราวกับว่าเวลาได้หยุดเดิน เวทนี้เป็นเวทที่ได้สาบสูญไปแล้วในปัจจุบัน เวทที่ฟาร์คัสใช้เป็นเพียงเวทที่นำมาประยุกต์ใช้เท่านั้น ร่างในชุดคลุมหยุดเวลาทุกคนไว้ยกเว้นแต่ฟาร์คัสและราชาปีศาจ

“ ท่านทำได้ยังไงกัน ? ” ฟาร์คัสมองรอบกายด้วยสายตางุนงง

คาร์บิลัสเหลือบมองร่างในชุดคลุมและถอนหายใจออกมา “ เฮ้อ มิน่าล่ะ ข้าว่าคุ้นๆ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ วารัน ”

“ ฮะๆ เป็นเกียรติแก่ข้าที่ท่านยังจำข้าได้ ” วารันดึงหมวกที่คลุมลงเผยให้เห็นผมสีเหลืองจางที่ดูยุ่งเหยิงกับดวงตาสีเดียวกัน วารันมองฟาร์คัสด้วยสายตาเอ็นดู “ จำข้าไม่ได้หรือ ทายาทแห่งอีกา ”

ฟาร์คัสยังคงงุนงง วารัน ? วารันไหน ฟาร์คัสจ้องมองร่างตรงหน้าก็ยังคงจำไม่ได้อยู่ดี แต่พอนึกถึงเสียงที่เปล่งออกมาก็จำได้ทันที “ อย่าบอกว่าท่านเป็นต้นไม้ใหญ่น่ารำคาญตนนั้น ! ”

“ แย่จัง เจ้าพูดทำร้ายจิดใจข้าอยู่นะฟาร์คัส ” วารันถอนหายใจ “ ใช่ ข้าเป็นต้นไม้ต้นนั้นแหละ ”
เป็นเรื่องที่ข้าไม่คิดมาก่อน ว่าจะได้เจอตัวตนที่อยู่ภายในต้นไม้ต้นนั้นซึ่งตัวตนภายในนั้นต่างกับสิ่งที่ข้าคิดพอสมควร ใครจะไปคิดว่าสิ่งที่อยู่ภายในดูปกติทั้งๆ ที่ข้าคิดไว้ว่าน่าจะเป็นตัวประหลาดน่ากลัว “ แล้วท่านมาขัดขวางข้าทำไม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน ”

“ ข้ารู้ว่าไม่เกี่ยวกับข้า แต่ที่ข้าบอกเจ้าเพราะข้าเป็นห่วง ”

“ เป็นห่วง ? ” ฟาร์คัสเลิกคิ้ว

“ แค่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว วารัน ! ” คาร์บิลัสดึงฟาร์คัสเข้าไปกอดและเอาตัวบังไว้

“ เอาน่าๆ ข้าไม่แย่งเจ้าหรอกน่า ท่านคาร์บิลัส ” วารันหัวเราะ “ เจ้าต้องการให้มันเป็นอย่างนี้จริงหรือฟาร์คัส ”

ฟาร์คัสเลือกที่จะไม่สบตาวารันขณะที่ตอบ “ ข้าไม่รู้ ”

“ เจ้าอยากเป็นราชางั้นหรือ ฟาร์คัส ”  วารันพูดเสียงนุ่มนวล “ ข้ารู้ว่าจริงๆ เจ้าต้องการอะไรนะ ฟาร์คัส ”

“ ทำไมเจ้ารู้มากกว่าข้าล่ะ วารัน ” คาร์บิลัสโวยวาย ทั้งๆ ที่ข้าก็รู้ว่าฟาร์คัสคิดอะไรอยู่ในหัวแต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าใจจริงของฟาร์คัสต้องการจะให้เรื่องไปทางไหน

“ ข้ารู้จักฟาร์คัสตั้งแต่เขาเกิดแล้วล่ะ ” วารันยิ้มบาง

“ ท่านเป็นใครกันแน่ ท่านวารัน ”

“ ผู้คอยรับสารจากผู้สร้างโลกใบนี้ และคอยส่งต่อให้เจ้ายังไงล่ะ ฟาร์คัส ”

“ ถ้าจำไม่ผิด เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ควบคุมกาลเวลาไม่ใช่งั้นเหรอฮะ วารัน แล้วเจ้าก็ไปเที่ยวเล่นจนลืมทำหน้าที่เลยโดนจับมาขังในต้นไม้เนี่ย ” คาร์บิลัสเถียงด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

วารันทำหน้าเซ็ง “ หากท่านไม่เป็นราชาปีศาจข้าคงทำร้ายท่านไปแล้ว ” วารันบ่นอุบ “ เจ้าอย่าลืมว่า ข้าได้ให้อะไรเจ้าไว้นะ ฟาร์คัส  ไตร่ตรองให้ดีและอธิษฐานมันออกมา ” วารันขยิบตาพร้อมกับร่างที่ค่อยๆ จางลง

“ เจ้าไปขโมยกระดูกปู่ข้ามาทำงั้นเรอะ ! วารัน ” คาร์บิลัสตาโตและตะโกนถามแต่วารันไม่ตอบเพียงหัวเราะตอบและหายไปพร้อมกับเวลาที่กลับมาเดินต่ออีกครั้ง

วารันยิ้มบางขณะที่รู้สึกถึงแรงกระชาก ข้าทำผิดกฎของท่านผู้นั้น ข้าแอบหนีออกมาและหยุดเวลาตามอำเภอใจอีกทั้งยังเปลี่ยนแปลงอนาคตด้วย ทำยังไงได้ ข้าไม่อยากเห็นอีกาตัวนั้นต้องร้องไห้อีกนี่นา.. วารันยิ้มออกมาแม้ว่าจะต้องถูกตรองจำในต้นไม้นั้นไปอีกนานเท่านานจนกว่านกบอกลางจะหมดหน้าที่ไป

ข้าขอภาวนาให้เจ้ามีความสุข

ทายาทแห่งราชาอีกา

ฟาร์คัส...

เมื่อเวลากลับมาหมุนเวียนอีกครั้งสิ่งที่คนอื่นเห็นจะเป็นวารันที่โผล่ออกมาชั่วขณะและหายไปทันที เซอร์เคนหันไปมาอย่างงุนงงเมื่อร่างในชุดคลุมได้หายตัวไปแล้วเหลือเพียงฟาร์คัสที่จ้องอยู่ด้วยสายตาเย็นชา

“ ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าครอบครองแล้วมีความสุข ก็เชิญเจ้าครอบครองไปเถอะ ” ฟาร์คัสกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ ข้าเหนื่อยแล้วที่จะแก้ต่างให้ตัวเอง ต่อให้ข้าได้ครอบครองตำแหน่งโง่ๆ นั้น ท่านพ่อของข้าก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอยู่ดี ”

เซอร์เคนจ้องกลับด้วยสายตางุนงง ฟาร์คัสจะมาไม้ไหนกันแน่ ? นี่มันเกิดความคาดหมายของข้าเกินไปมาก

“ การแก้แค้นไม่ใช่แนวทางของข้า ” ฟาร์คัสหลับตาขณะที่พูด “ การหลีกหนีก็ไม่ใช่เช่นกัน แต่ถ้าหากมันทำให้ชีวิตของข้าและคนอื่นๆ สงบ ข้าเลือกที่จะทำสิ่งนั้น ” ฟาร์คัสลืมตาขึ้นมา “ ข้าจะยอมเสียเกียรติสักครั้งเพื่อสายเลือดแห่งราชาของข้า ”

“ เจ้าจะทำอะไรกันแน่ ผู้ทรยศ  ”

“ การเสียสละครั้งสุดท้ายของข้าไงล่ะ เซอร์เคน ” ฟาร์คัสแค่นเสียงตอบสีหน้าฉายแววเหยียดหยัน “ ต่อให้ข้าฆ่าทุกคนในนี้ ก็ไม่อาจทำให้ข้าพอใจได้อยู่ดี  ท่านพ่อของข้าคงไม่ดีใจนักหรอก ถ้ารู้ว่าข้าทำเพื่อท่าน ”

เซอร์เคนนิ่งเงียบและปล่อยให้ฟาร์คัสยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ “ ดินแดนนี้แทบไม่เคยให้อะไรข้าเลย เพื่อน ? เหอะ ข้าอยากจะถมคำนั้นทิ้งซะ ” ฟาร์คัสเหลือบมองบาร์ลิน “ ข้าไม่มีเหตุผลอะไรให้อยู่ดินแดนนี้อีกแล้ว ต่อให้มันจะดินแดนที่ให้ข้ามีตัวตนขึ้นมาก็ตาม ”

คาร์บิลัสเบิกตากว้างเมื่อได้ยินความคิดในหัวของฟาร์คัส

ฟาร์คัสกุมสร้อยคอและตะคอกออกมา “ ฉะนั้นไม่สู้ให้ข้ากลายเป็นปีศาจอีกาไปไม่ดีกว่างั้นเหรอ ! ”  ฉับพลันมวลอากาศรอบกายฟาร์คัสได้หมุนริ้วอย่างรุนแรงรอบตัวฟาร์คัส สร้อยคอของฟาร์คัสทอประกายแสงสีทองออกมาเป็นจุดเดียวที่สังเกตเห็นในริ้วพายุนั้น พายุนั้นเป็นมีสีแดงเหมือนกับว่าดูดเลือดออกมาและมีขนปีกของฟาร์คัสปลิวออกมาด้วย

อึก ฟาร์คัสกัดฟันทนกับความเจ็บปวดที่ได้รับ พายุนี่เหมือนกับว่าค่อยๆ เปลี่ยนข้ากลายเป็นปีศาจซึง่มันก็สร้างความเจ็บปวดเหลือร้าย ข้าอยากจะกรีดร้องออกไปแต่ทิฐิที่มีกลับสั่งให้เงียบไว้ เวลาเพียงไม่นานแต่สำหรับข้ากลับรู้สึกว่ายาวนานมาก พายุก็หยุดลงพร้อมกับความรู้สึกว่ามีพลังความมืดทะลักเข้ามาในร่างกายจนยืนไม่อยู่

   คาร์บิลัสช่วยพยุงร่างของฟาร์คัส จากกลิ่นของฟาร์คัสนั้นก็บอกให้รู้แล้วว่าฟาร์คัสไม่ได้มีสายเลือดของนกบอกลางอีกต่อไป

   “ ตอนนี้ข้ากลายเป็นปีศาจไปแล้ว ฉะนั้นเจ้าจะใส่ความว่าปีศาจอย่างข้ามาฆ่าราชาองค์เก่าก็ได้ ” ฟาร์คัสเหยียดยิ้มพูดเสียงแหบ
“ ไปกันเถอะ คาร์บิลัส ข้าไม่มีธุระอะไรกับดินแดนนี้แล้วล่ะ ”

   คาร์บิลัสไม่ได้พูดอะไรออกมาอุ้มฟาร์คัสที่ยืนแทบไม่อยู่ขึ้นแนบอกและตวาดก้อง “ ฟาร์คัสได้ยกตำแหน่งโง่ๆ นั่นให้เจ้าไปแล้ว เจ้าจงปกครองให้ดี ไม่เช่นนั้นข้าจะเป็นให้เอง  ราชาแห่งดินแดนนกบอกลางน่ะ ” คาร์บิลัสจ้องเซอร์เคนด้วยสีหน้าคุกคามกระหายเลือด

เซอร์เคนและคนอื่นๆ ไม่กล้าขยับตัวหรือแม้กระทั่งหายใจแรงจนกระทั่งร่างของราชาปีศาจได้หายไป

....

 :ruready ช็อค

ขอบคุณทุกคอมเม้นค่ะ 5555  :กอด1:

 :man1: คุณบลูเชอรี่ : เราก็ชอบกินเค้กอยู่น้า ชอบบรรยากาศร้านด้วย ถึงนานๆ ทีจะได้นั่งก็เถอะ ไม่ทึกทักเองหรอก  :hao5:

 :man1: // กอดแรงอีกรอบ

ps. เรื่องสั้นนี้ไม่เข้าใจว่าเด็กน้อยไปทำอะไรให้ทรุดโทรมมา 5555555

 
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 9 19 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 21-04-2015 20:36:01
จริงมันก็ไม่ได้ทำให้ค้างหรอกแต่ว่า....รู้สึกค้างแปลกกๆๆๆ งื้ออออออออออออออออ  :hao5: ต่อเดี๋ยวเน่!!!!
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 9 19 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: ลูฟ่า ที่ 23-04-2015 12:13:24
มาจิ้มก่อนค่อยอ่านน้า :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 10 23 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-04-2015 18:34:08
-- ตอนที่ 10 --

“ ฟาร์คัสเจ้าแน่ใจแล้วงั้นเหรอ ” คาร์บิลัสถามร่างในอ้อมกอดที่บัดนี้ทำเพียงแค่หลับตาเงียบๆ เท่านั้น ฐานะของราชาปีศาจทำให้คาร์บิลัสรู้ว่าฟาร์คัสได้กลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ  อีกทั้งยังรู้สึกถึงพลังความมืดในร่างกายจำนวนไม่น้อยถึงแม้จะยังไม่เสถียรก็ตาม
           
 ฟาร์คัสเพียงแค่ยิ้มเบาบาง “ แบบนี้ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยเจ้าก็ต้องการข้าใช่ไหม ” ฟาร์คัสในตอนนี้แรงที่จะลืมตายังไม่มีด้วยซ้ำ ไม่แน่ใจเพราะความเหนื่อยล้าที่เกาะกุมจิตใจหรือร่างกายที่เปลี่ยนแปลง
               
คาร์บิลัสตอบโดยไม่คิดด้วยซ้ำ “ แน่นอน ข้าต้องการเจ้า ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสก้มมองฟาร์คัสหวังจะว่าจะได้ยินอะไรในหัวอีกฝ่ายบ้าง หลังจากที่กลายเป็นปีศาจเวทตีตราของคาร์บิลัสกลับหายไปซะเฉยๆ แต่ความคิดที่จะตีตราอีกครั้งนั้นไม่มีในหัวของคาร์บิลัส ในเมื่อฟาร์คัสเลือกที่จะเชื่อใจคาร์บิลัส คาร์บิลัสย่อมตอบแทนในสิ่งเดียวกัน
           
 “ ขอบคุณที่อย่างน้อยที่เจ้าก็ยังต้องการข้า ” ฟาร์คัสใช้แรงที่มีอยู่น้อยนิดพยุงตัวขึ้นกดจูบเบาๆ ที่ปากของคาร์บิลัสและยิ้มอีกครั้งก่อนที่จะหลับไป ปล่อยให้คาร์บิลัสค้างอยู่ท่าเดิมจนกระทั่งถึงดินแดนปีศาจ
             
 ชาคอสเมื่อรู้สึกถึงพลังอันรุนแรงที่กำลังเข้ามาในคฤหาสน์ก็รู้ทันทีว่าเป็นนายของตน รีบวางมือจากเอกสารตรงหน้าและใช้เวทเคลื่อนย้ายไปถึงห้องโถงก่อนที่คาร์บิลัสจะมาถึงเพื่อเป็นการต้อนรับการกลับมา มีปีศาจคนอื่นๆ ที่มียศสูงๆ มายืนรอเช่นกันโดยมีจุดประสงค์อื่นมากกว่าการต้อนรับเฉยๆ จุดประสงค์ของชาคอสที่มีเพิ่มเติมคือการลากคาร์บิลัสกลับมาทำงานของตัวเองให้เสร็จ อยู่รอได้เพียงครู่ก็ปรากฎร่างของคาร์บิลัสและอาคันตุกะคนเดิมซึ่งท่านคาร์บิลัสก็ดูนิ่งงันไปแปลกๆ ชาคอสจึงเอ่ยเรียก “ ท่านคาร์บิลัสขอรับ ”
             
 คาร์บิลัสเมื่อรู้สึกตัวก็ยิ้มกว้างและใช้เวทเคลื่อนย้ายต่อทันทีเพื่อไปยังห้องนอนของตัวเอง โดยไม่สนใจผู้มารอต้อนรับสักเพียงนิดทำให้ปีศาจบางคนถึงกับกัดฟันน้อยๆ เมื่อโดนเมิน แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นตกตะลึงซะมากกว่า คาร์บิลัสไม่เคยยิ้มออกแม้เพียงสักครั้ง แม้แต่ชาคอสผู้ใกล้ชิดก็ไม่เคยเห็นและพอรู้ตัวอีกทีร่างที่ตั้งใจจะมาต้อนรับก็ได้หายไปจากคลองจักษุเสียแล้ว  ชาคอสถอนหายใจเบาๆ และเดินกลับไปทำงานของตัวเองต่ออย่างเชื่องช้า ถึงแม้จะอยากนำงานที่ท่านคาร์บิลัสทำค้างไว้ไปให้ที่ห้องแต่เห็นแก่รอยยิ้มนั้นจึงไม่ได้ตามที่คิด
             
             
“ จบแบบนี้ดีแล้วล่ะ ฟาร์คัส ” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นในหัวของฟาร์คัสพร้อมกับมือหยาบที่ลูบหัวฟาร์คัสเบาๆ
           
“ ครับ ” ฟาร์คัสพยักหน้าน้อยๆ ด้วยรอยยิ้มแต่กลับมีน้ำตาคลอบนใบหน้า “ ผมขอโทษนะครับ ที่ผมต้องให้พ่อต้องตายอย่างสูญเปล่า ”
           
 “ ไม่เป็นไรหรอกน่า ตัวเล็ก ” ร่างของราชาแห่งนกบอกลางยิ้ม “ ไม่ว่ายังไงพ่อก็ต้องตายเข้าสักวันอยู่ดี อีกอย่างกว่าพ่อจะขึ้นมาตำแหน่งนี้ก็ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน ไม่แปลกหรอกที่พวกทอริคจะก่อกบฎ ” ในประโยคสุดท้ายได้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ แทน
               
“ แต่มันก็ไม่สมควรที่ท่านพ่อต้องตายเพราะพวกนั้นนี่ ” ฟาร์คัสปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างอ่อนแอ ถึงแม้ฟาร์คัสตั้งใจจะเข้มแข็งขึ้นแต่ก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี
             
ผู้เป็นราชาแห่งนกบอกลางนั่งยองๆ ตรงหน้าผู้เป็นทายาทของตนและใช้มือเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน “ มันเป็นเรื่องของโชคชะตา ต่อให้เจ้ารู้เรื่องนี้ก่อน เจ้าก็แก้ไขไม่ได้อยู่ดี ”
               
“ ... ” ฟาร์คัสไม่ตอบอะไรออกไปจ้องมองพ่อด้วยสายตาเสียใจ
               
 “ ต่อให้ไม่มีพ่อ เจ้าก็ยังคงมีผู้ที่ต้องการเจ้าอยู่นะ ” ราชาแห่งนกบอกลางพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ “ น่าเสียดาย ที่ข้าไม่มีโอกาสได้เห็นเจ้ามีความสุข ” แววตาของผู้เป็นราชาทอประกายเศร้าๆ ออกมา
               
“ ... พ่อ ”
               
 “ เอาล่ะ พ่อคงอยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้วเกรงว่าจะเป็นการรบกวนการทำงานของท่านผู้จัดการวิญญาณ ”  ผู้เป็นราชาสวมกอดฟาร์คัส “ ข้าดีใจนะ ที่เจ้าเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับดินแดนของเรา ทั้งๆ ที่เจ้ามีพลังมากพอที่จะสามารถจะเป็นราชาเองก็ได้ ”

   ฟาร์คัสซบหน้ากับไหล่ของผู้เป็นพ่อสักพักหวังจะเก็บเกี่ยวไว้เพื่อให้จดจำไปตลอดชีวิตของตน “ ข้าเชื่อใจเขาครับ ท่านพ่อ ” ฟาร์คัสพูดเสียงเพียงกระซิบ
   
“ ฮะๆ น่าเสียดายจริงๆ ที่เข้าไม่ได้เห็นเจ้านานกว่านี้ ”
   
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่ฟาร์คัสจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

   น่าแปลก..
   
ทั้งๆ ที่ควรจะเศร้ากลับรู้สึกปลอดโปร่งอย่างประหลาดคล้ายกับของที่เคยถ่วงร่างกายไว้ได้หายไป ฟาร์คัสยิ้มบางอย่างไม่รู้สาเหตุเพราะความรู้สึกที่น่าจะเรียกได้ว่าสบายใจแต่กลับเก็บความรู้สึกนี้ได้ไม่นานก็รู้สึกเหมือนมีเสียงคล้ายเด็กดังก้องที่ข้างหู

   // แง้ แม่ลืมดัฟฟฟฟฟ์ //

   “ ... ”  รู้สึกว่าน่าจะลืมตั้งแต่ตอนที่สู้กับนกแร้งนั่นด้วยซ้ำ

   // โฮฮฮฮ //

   “ เฮ้อ ” ฟาร์คัสถอนหายใจและร่ายเวทดึงตัวดัฟฟ์ออกมาจากร่างกายขณะที่ฟาร์คัสร่ายเวทก็มีฝุ่นเป็นประกายสีดำค่อยๆ ออกมาจากร่างกาย จนฟาร์คัสเลิกคิ้วงงๆ ไม่ได้แต่ก็ยังคงร่ายเวทต่อไปจนจบโดยไม่ลืมเสกเสื้อผ้าให้ด้วย

   “ แม่ ! ” ดัฟฟ์โผเข้าใส่ฟาร์คัสทันทีที่กลายร่างเด็กเหมือนเดิมโดยไม่ได้สังเกตอะไรทั้งสิ้น

   ฟาร์คัสเบิกตากว้างเพราะเดิมทีดัฟฟ์จะมีตาสีแดงตอนนี้กลับกลายเป็นสีเทาคล้ายกับคาร์บิลัสข้างนึงอีกทั้งยังดูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเพราะรู้สึกถึงพลังที่คล้ายๆ กันในร่างกาย ดูเหมือนว่าดัฟฟ์จะกลายเป็นปีศาจไปแล้วเหมือนกัน ฟาร์คัสถอนหายใจอีกครั้ง นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นปีศาจมังกรแล้วก็อีกาด้วยหรอกเหรอ

   “ แง้ หิวว ! ” ดัฟฟ์กัดชายเสื้อของฟาร์คัสด้วยน้ำตานองหน้า
   
ฟาร์คัสหันไปหันมาในห้องพบว่าอยู่ในห้องของคาร์บิลัสอีกทั้งยังไม่มีใครในห้องอีก “ ตามข้ามาแล้วกัน ” ฟาร์คัสจับมือดัฟฟ์พาออกไปด้านนอก ไปยังห้องอาหารที่เคยไป ฟาร์คัสพาดัฟฟ์เดินลัดเลาะโดยรื้อความทรงจำในตอนนั้นออกมาใช้ ระหว่างทางก็เจอปีศาจบางตนเดินผ่านซึ่งล้วนแล้วแต่หยุดให้ฟาร์คัสเดินไปก่อนและค้อมตัวลงเมื่อฟาร์คัสเดินผ่าน ซึ่งฟาร์คัสไม่ได้สนใจนักเพราะยังรำคาญดัฟฟ์ที่อาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่
   
แต่ก็ต้องหยุดสนใจเมื่อมีกระต่ายตัวอ้วนคุ้นตาถือเอกสารมา “ หวา ! ท่านฟาร์คัส ” เจ้ากระต่ายรีบกุลีกุจอวางเอกสารลงบนพื้นและค้อมตัวทำความเคารพ “ มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือไม่ขอรับ ”
   
“ ไม่มี เจ้าทำงานของเจ้าไปเถอะ  ” ฟาร์คัสส่ายหน้าและเดินผ่านโดยไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีก

   คอร์สกระดิกหูยาวๆ ของตัวเองไปมา “ ดีจัง ที่ไม่ใช้อะไรข้า ” คอร์สหยิบเอกสารที่สูงท่วมหัวขึ้นมาถือต่อและวิ่งเหยาะๆ ไปตามทางของตัวเอง

   ฟาร์คัสเดินวนรอบคฤหาสน์ราชาปีศาจจนตาลายก็พามาถึงห้องอาหารของคาร์บิลัส ดัฟฟ์ซึ่งหิวมากก็ถลาเข้าไปเปิดประตูก่อน
   
“ เย้ ! กินข้าว ” ดัฟฟ์พูดออกมาอย่างดีใจเมื่อได้กลิ่นอาหารที่ถาโถมเข้ามาเมื่อเปิดประตูเข้าไป ดัฟฟ์ถลาเข้าไปในห้องปีนเก้าอี้ขึ้นนั่งรอทันทีโดยไม่สนใจแพะที่กำลังจัดเรียงอาหารขึ้นโต๊ะเลยแม้แต่น้อย เจ้าแพะเมื่อเห็นฟาร์คัสเข้ามารีบค้อมตัวลงทันทีทั้งๆ ที่กำลังถืออาหารในมืออยู่
   
ฟาร์คัสเดินเข้าไปหยิบขนมปังชิ้นนึง “ ดัฟฟ์ เจ้าอยู่กินที่นี้ไปแล้วกัน ” ฟาร์คัสบอกสั้นๆ และเดินออกจากห้องทันที ไม่สนใจดัฟฟ์ที่ส่งสายตาอ้อนวอน ฟาร์คัสตั้งใจจะสำรวจคฤหาสน์ของคาร์บิลัสเพราะไม่ว่ายังไงก็ตามก็คงต้องอยู่ที่นี้ไปอีกนานแต่ยังไม่ทันได้เดินกลับมีจิ้งจอกสีขาวตัวนึงวิ่งหยุดยืนตรงหน้ามันค้อมหัวลงน้อยๆ และค่อยๆ ขยายตัวกลายเป็นร่างมนุษย์จิ้งจอก “ ท่านคาร์บิลัส ให้มาตามท่านฟาร์คัสขอรับ ”

   “ นำทางไปสิ ” ฟาร์คัสพยักหน้าน้อยๆ และเดินตามปีศาจจิ้งจอกที่ก้าวเดินอย่างรวดเร็วราวกลับว่ากลัวว่าถ้าช้าไปสักนิดจะโดนฆ่า หรือว่าจะโดนคาร์บิลัสขู่ ? ฟาร์คัสสันนิษฐานเงียบๆ ในใจและเร่งฝีเท้าให้ทันเจ้าจิ้งจอกเพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าการเดิมของมันจะได้กลายเป็นวิ่งซะแล้ว

   ถ้าช้าท่านคาร์บิลัส ฆ่าข้าแน่ ! จิ้งจอกขาวเบิกตากว้างอย่างหวาดกลัวเมื่อนึกถึงนายของตน รีบวิ่งให้เร็วกว่าเดิมโดยไม่ได้สนใจฟาร์คัสที่กำลังตามเลย หางของจิ้งจอกขาวไหวไปมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับโดนพายุแรงๆ พัด แต่ตอนนี้พายุที่ว่าน่าจะเป็นพายุคาร์บิลัส !
   
ฟาร์คัสกลอกตาเบื่อๆ เมื่อเจ้าจิ้งจอกไม่ได้สนใจตนแล้วเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างเดียว ฟาร์คัสร่ายเวทติดตามใส่เจ้าจิ้งจอกเอาไว้และเปลี่ยนจากการรีบเดินตามเป็นเดินปกติแทน ในเมื่อไม่ได้สนใจที่จะรอข้า ข้าก็จะไม่ตามแล้วกัน ฟาร์คัสเดิมตามรอยเวทสีดำจางๆ ขีดตรงไปบนพื้นซึ่งก็มาจากผลของเวทติดตามนั่นเอง
   
ถึงแล้ว !! จิ้งจอกขาวหอบหายใจเอาอากาศอย่างตะกละตะกลาม แต่ก่อนที่จะเคาะประตูและพาร่างที่ท่านราชาต้องการพบไปส่ง ก็พบว่า ท่านฟาร์คัสได้หายไปแล้ว ! “ อ้ากกกกกกกกกก ” ข้ากรีดร้องในใจอย่างอดไม่ได้ แย่แล้ว ถ้าหากข้ากลับไปตามหาอีกรอบ ต้องนานแน่ๆ ท่านคาร์บิลัสจะต้องจับข้าไปโยนใส่บ่ออสูรจระเข้แน่นอน หูของข้าพลันลู่ตกลงมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ข้ากอดหางและซบหน้าลงกับเข่า

   ฟาร์คัสเลิกคิ้วเมื่อเห็นเจ้าจิ้งจอกดูเซื่องซึมต่างจากอารมณ์ตื่นตระหนกเมื่อกี้แต่ก็ไม่ได้เรียกให้เจ้าจิ้งจอกให้สนใจ ฟาร์คัสดันประตูเข้าไปโดยปล่อยให้จิ้งจอกขาวตกใจแกมดีใจจนหางฟู เมื่อเข้าไปในห้องก็เจอคาร์บิลัสที่กำลังนั่งอ่านเอกสารบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ โฟรส เจ้าไปตามฟาร์คัสให้หรือยัง ” คาร์บิลัสถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบโดยไม่ลสายตาขึ้นมามองผู้ที่สนทนาด้วยเลย

   ถ้าหากเป็นคนอื่นอาจจะกลัวจนไม่กล้าขยับเพราะเสียงของคาร์บิลัส แต่ฟาร์คัสกลับไม่สะทกสะท้านใดๆ  ข้าแปลกใจเท่าไหร่นัก ทำไมโฟรสถึงได้วิ่งหน้าตั้งขนาดนั้น

   “ ไม่ตอบข้างั้นหรือ โฟรส ท่าทางอสูรจระเข้จะคิดถึงเจ้านะ ”

   “ ข้าไม่ชอบจระเข้เท่าไหร่หรอกนะ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสตอบเสียงเรียบแต่แววตาเป็นประกายขบขันเมื่อคาร์บิลัสเงยหน้าขึ้นมามองและนิ่งค้างไปทั้งอย่างนั้น

   “ ฟาร์คัส เจ้าเข้ามาทำไมไม่บอกข้าล่ะ ! ” คาร์บิลัสโยนเอกสารในมือทิ้งทันที
   
“ ถ้าเจ้าสังเกต เจ้าก็จะรู้เองคาร์บิลัส ” ฟาร์คัสมองรอบๆ ห้องทำงานของคาร์บิลัส เพื่อหาที่นั่ง ห้องทำงานของคาร์บิลัสนั้นเป็นห้องขนาดพอๆ กับห้องนอน มีโต๊ะไม้สีดำแกะสลักลวดลายซับซ้อนขนาดใหญ่ตรงกลางซึ่งก็เป็นโต๊ะที่คาร์บิลัสนั่งเมื่อกี้ รอบๆ ห้องมีตู้หนังสือจำนวนมากจัดวางอย่างสบายตาอีกทั้งยังมีชั้นวางของต่างๆ ที่วางของจำพวกกระดาษที่น่าจะเป็นเอกสารสำคัญ อีกทั้งยังมีเก้าอี้นวมกับโต๊ะที่วางอยู่ตรงริมห้องคาดว่าน่าจะใช้ในการคุยหรือนั่งพักผ่อน ไม่รอช้าฟาร์คัสตรงเข้าไปนั่งทันที

   คาร์บิลัสรีบไปนั่งข้างๆ ทันทีและชวนคุบอย่างกระตือรือร้นผิดกับตอนใช้น้ำเสียงเย็นชาในทีแรก “ เจ้าหลับไปเกือบวัน ข้าเป็นห่วงแทบแย่ ”

   “ งั้นเหรอ.. ” งั้นก็แปลว่าครั้งนี้ข้าไม่ได้เหนื่อยมากเท่าไหร่ “ เจ้าเรียกข้ามาทำไมกัน ? ”

   “ ข้าก็แค่อยากเจอเจ้าแทนการนั่งทำเอกสารยังไงล่ะ ! ” คาร์บิลัสฉีกยิ้มและจับมือฟาร์คัส

   ฟาร์คัสไม่ได้สะบัดออกแต่รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย ไม่เข้าใจว่าตอนนั้นข้ากล้าทำไปได้ยังไง ใบหน้าเรียบเฉยของฟาร์คัสขึ้นสีน้อยๆ จนแทบไม่สังเกตเห็น

   คาร์บิลัสยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อสังเกตเห็นท่าทีของฟาร์คัสและใบหน้าที่ติดจะแดง คาร์บิลัสโผเข้ากอดฟาร์คัสตั้งใจจะลองเชิงว่าอีกฝ่ายจะผลักออกหรือไม่

   ผลั่ก
   
ข้อพิสูจน์เป็นอันสัมฤทธิ์ผล

   “ เจ้าจะกอดข้าทำไม ” ฟาร์คัสตะคอกใส่คาร์บิลัสที่ลงไปนอนนับดาวเป็นที่เรียบร้อย
   
ฟาร์คัสนับได้ว่าเป็นคนแรกที่กล้าถีบราชาปีศาจจนล้มกลิ้ง
   
แย่ชะมัด ไม่เชื่องเลยสักนิด คาร์บิลัสคิดเศร้าๆ “ ข้าแค่อยากกอดเท่านั้นเอง ไม่ได้งั้นเหรอ ? ”
   
ฟาร์คัสแค่นเสียง “ ข้ากับเจ้าเป็นอะไรกันถึงมากอดกัน ”
   
คาร์บิลัสนิ่งเงียบไป อืมม ฟาร์คัสไม่ได้เป็นสัตว์เลี้ยงของข้าแต่แรกแล้ว ตอนนี้สถานะก็เปลี่ยนแล้วด้วย งั้น “ เจ้าก็เป็นชายาของข้าในอนาคตยังไงล่ะ  ”

   ฟาร์คัสหน้าแดงแววตาทอประกายโกรธขึง “ ชายาบ้านเจ้าสิ ไอ้ปีศาจเฮงซวย ”

   “ เจ้าก็เป็นปีศาจนะ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสกลั้วหัวเราะ

   ฟาร์คัสก้าวเข้าไปหาคาร์บิลัส ร่ายเวทบทยาวหมายจะให้อีกฝ่ายได้นิ่งเงียบและใช้สมองไตร่ตรองความคิดบ้าง
   
แกว้กกกกกกกกกกกกกกกกก   
   
เสียงนกดังลั่นพร้อมกับนกที่ตกแอ่กบนพื้นในปากมันคาบจดหมายซองสีสวย

   ฟาร์คัสเดินเข้าหาเจ้านกและหยิบจดหมายแต่เรื่องที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น ซองจดหมายทันที่โดนฟาร์คัสจับก็สลายหายไปทันทีและแทนที่ด้วยภูตตัวเล็กเท่าซองจดหมายเมื่อกี้แต่งกายด้วยเสื้อสีสันสดใสใบหูเรียวแหลมและปีกสีใสบนหลัง เจ้าภูตลืมตาขึ้นมาและผงกหัวทำความเคารพฟาร์คัสและคาร์บิลัส

   “ ข้ามาแจ้งความประสงค์ของราชาภูตขอรับ ”
   
“ เรื่องอะไรล่ะ ” คาร์บิลัสถาม ครั้งล่าสุดที่ไปแดนภูตน่าจะตอนที่ข้าเผลอไปเตะเจ้ากำแพงไม้นั่นล่ะนะ.. ใครจะไปรู้ว่ามันจะเปราะขนาดนั้น
   
“ เรื่องความการเชื่อมความสัมพันธ์ด้านการทูตขอรับ ราชาภูตเชิญท่านคาร์บิลัสและผู้ติดตามหนึ่งคนไปงานเฉลิมฉลองการก่อกำเนิดของแดนภูตขอรับ ”
   
คาร์บิลัสหันไปมองฟาร์คัสทันที “ โอเค ข้าตกลง ! ฟาร์คัสเจ้าไปกับข้านะ ” 

   “ อืม ” ไม่ว่าคาร์บิลัสจะว่ายังไงก็ว่าตามนั่นแหละ ข้ากลายเป็นคนของแดนนี้ไปแล้ว จะให้ข้าขัดข้องดูจะเป็นการแย่เกินไป

   “ งั้นก็ถือว่าเจ้ากับข้าไปฮันนีมูนกันแล้วกัน ! ” คาร์บิลัสพูดอย่างร่าเริง
   
ไม่ทันขาดคำคาร์บิลัสก็ได้ล้มไปกองบนพื้นอีกครั้งทั้งๆ ที่ฟาร์คัสยังไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย ภูตผู้เป็นผู้แจ้งสารอดกลัวไม่ได้รีบพูดประโยคต่อมา “ งะ งานจะมีในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าขอรับ ทางดินแดนภูตเป็นเกียรติมากที่ได้รับรองท่านคาร์บิลัสอีกครั้ง ” เมื่อพูดจบภูตตัวน้อยก็ค้อมตัวน้อยๆ และเอ่ยขอตัวกลับดินแดนของตัวเอง มันบินไปหาเจ้านกที่ยังคงนอนแอ่กอยู่ ภูตตัวน้อยจับตัวเจ้านกและหายไปทันทีทิ้งเพียงรอยเวทสีเขียวอ่อนจางๆ ไว้ที่พื้น

   “ เจ้าไม่ชอบคำว่าฮันนีมูนข้าจะเปลี่ยนเป็นคำว่าไปเที่ยวกันสองต่อสองแล้วกัน นะฟาร์คัส ” คาร์บิลัสเปล่ยนจากกองบนพื้นมาเป็นท่านั่ง

   “ ทางที่ดีเจ้าควรเงียบดีกว่านะ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสพูดอย่างเย็นชาและก้าวขาเดินออกจากห้อง เมื่ออยู่ในห้องก็ไม่มีอะไรให้ทำอีกทั้งยังขนมปังถือมาก็กินหมดไปตั้งแต่เดินตามจิ้งจอกนั่นแล้ว
   
“ ข้าไปด้วยยยย ! ” คาร์บิลัสวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว
   
“ ... ” 

   ไม่ยังไงก็ตาม
   
ข้าก็คงหนีราชาปีศาจไม่พ้นสินะ


---------------
แฮ่ มาแล้ว  :katai5:

จบตอนนี้คงพักสักพักค่ะ  :katai4:

 :pig4: ขอบคุณทุกคอมเม้นค่ะ

      
      
   
         

หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 10 23 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 23-04-2015 19:15:50
โฮฮฮ รอคุณ Foggy Time ปั่นตอนต่อไปนะคะ

เศร้าที่ฟาร์คัสสละบัลลังก์ แต่ฮิมไม่ฝักใฝ่ในอำนาจอยู่แล้ว (หวังว่าจะมีเห็นคาร์บิลัสไปกระทืบทั้งแก๊งค์แล้วขึ้นเป็นราชานกบอกลางแทนนะ  :hao3:)

ค่อนข้างตกใจมากกกกกก วารันโดนคำสาปจากใคร ทำไมถึงไปอยู่ในต้นไม้ได้(สงสารฮิมโดนกักขัง ไปไหนก็ไม่ได้ตลอดกาล)

ปอลิง ปีศาจอีกานี่มีพลังในตัวเองไหมคะ??
ปอลิงสอง กอดดดดดดดดคุณ Foggy Time 2ทีหนักๆ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 10 23 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: sittawan ที่ 23-04-2015 21:38:35
รออออ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 10 23 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-04-2015 22:29:40
ราชาภูตใช่คนที่คราวก่อนมีเรื่องกันฟาร์คัสมั้ยอ่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 10 23 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: qilarsy39 ที่ 23-04-2015 22:32:35
เพิ่งได้มาอ่าน รออออ  :z2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 10 23 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 23-04-2015 23:53:09
เจ็บใจมากกลืมจิ้มตาที่แล้วว ฮือออ // ไม่เกี่ยว  หนุกๆๆๆเอาอีกๆๆจะอ๊าวววจะเอาอีกกก มาต่อไวๆหน่ออออ
มโนว่าได้จิ้ม  :z13:  อย่าสนใจโพสนี้ข้ามมันไปมันบ้า
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 10 23 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: karmdodcom ที่ 24-04-2015 01:53:14
แอบปลืมวารันเบาๆ
วารันจะมีคู่ไหมคะ
ปล. ฟาร์คัสกะคาบิลัส มันกร๊าววววววจายยยย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 10 23 เม.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 25-04-2015 20:09:29
สนุกอะชอบ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ วารัน 26 เม.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 26-04-2015 16:06:00
-- ตอนพิเศษ วารัน -

ในยามที่โลกใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมา พระเจ้าได้สร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ เข้าไปเติมเต็มโลกใบนั้น มนุษย์ ปีศาจ ภูต นกบอกลาง และสิ่งต่างๆ ที่มากมายเกินจะพรรณา แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ผู้ควบคุม สิ่งเหล่านั้นไม่ให้เกิดอะไรที่ผิดปกติ นั้นก็คือ ผู้ควบคุมกาลเวลา ผู้ควบคุมกาลเวลาสามารถข้ามเวลาไปได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อีกทั้งยังสามารถรู้อนาคตได้ล่วงหน้าอีกด้วย การเปลี่ยนแปลงอนาคตตามอำเภอใจเป็นเรื่องต้องห้ามของผู้คุมกาลเวลา

   วารัน เป็นหนึ่งในนั้น ผู้ควบคุมกาลเวลา

   ไม่สิ น่าจะเรียกว่าก่อนที่จะมาโดนเป็นผู้บอกสารแก่นกบอกลาง

   “ ข้ามารับข่าวสาร ” ใบหน้าเย็นชาคุ้นตาเดินมาหาวารันผู้อาศัยอยู่ในต้นไม้

   “ วันนี้เจ้ามาเช้านะ ทายาทแห่งราชา ” วารันผู้ด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าด้วยความเอ็นดูแต่เสียงที่ออกไปกลับแหบแห้งต่างจากเสียงของวารันโดยสิ้นเชิง ร่างตรงหน้าคือฟาร์คัสนั่นเอง เป็นทายาทแห่งราชาอีกา นกบอกลางที่ดูแล้วมีอนาคตไกลมากแม้ตอนนี้จะเป็นเพียงขนนกดำก็ตาม

   “ ... ” ฟาร์คัสไม่ยอมตอบวารัน เพียงส่งสายตาเย็นชาให้กับต้นไม้ตรงหน้า

   แต่นั่นยิ่งทำให้วารันรู้สึกเอ็นดู ทำยังไงได้ล่ะ ก็ฟาร์คัสยังเป็นเด็กนี่นา ทำหน้ายังไงออกมาก็ดูน่ารักน่าเอ็นดู ยิ่งทำหน้าที่ไม่เข้ากับวัยอีก วารันหันไปมองกระดานยักษ์ด้านหลังที่เขียนชื่อและสถานที่ต่างๆ รายเรียงกันจำนวนมหาศาลไว้ แต่เพียงชั่วครู่วารันก็หาสถานที่ที่เหมาะสมกับฟาร์คัสในตอนนี้ได้ “ วันนี้เจ้าจงไปแดนมนุษย์ที่สว่างที่สุด เมืองโฮรัส เจ้าจงไปยังบ้านหลังน้อยของชาวนาผู้ใกล้จะกลับสู่สังสาร ”

   ฟาร์คัสพยักหน้าน้อยๆ และหยิบสมุดจดสีดำขึ้นมาอ่าน

   วารันยิ้มเมื่อรู้ว่าฟาร์คัสกำลังท่องเวทเคลื่อนย้าย เวทนี้เป็นเวทที่ง่าย แต่ฟาร์คัสยังจำไม่ได้จึงต้องท่องเวทตามที่ได้จดเอาไว้ หลังจากร่างอีกาตัวน้อยหายไปจากสายตา วารันก็กลับมานั่งว่างอีกครั้ง ตอนนี้เป็นตอนเช้า ที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่วารันว่างงานมากที่สุด วารันเหลือบมองต้นไม้ต้นอื่นที่เห็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ต้นไม้อีกต้นหลับไปแล้ว
   
หน้าที่ผู้แจ้งสารเรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่น่าเบื่อเพราะต้องคอยมองกระดานหาชื่อที่เหมาะสมกับระดับขนนกให้ ผู้แจ้งสารนั้นต้องอาศัยอยู่ในต้นไม้แต่ละต้นถ้าจะคุยกันก็ต้องโทรหากันเอาไม่สามารถออกจากต้นไม้ได้นอกเสียจากว่าได้ถูกปลดประจำการแล้ว โดยปกติผู้ที่จะทำหน้าที่พระเจ้าจะเป็นคนเลือกมาโดยแต่ละคนจะมีหน้าที่ประมาณ 2 ปี แตกต่างจากวารันที่ต้องทำไปอีกเกือบ 20 ปี

   เหตุผลน่ะเหรอ

   ต้องเท้าความสักหน่อย

   “ วารัน นี่เจ้าจะหนีงานจริงๆ งั้นเหรอ ” คิ้วที่ขมวดมุ่นกับเสียงเย็นชาบอกอารมณ์ของผู้พูดได้ดีว่าไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง “ ถ้าหากท่านผู้นั้นโกรธ ข้าก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้นะ ”

   “ โซแวน ข้าแค่พักร้อนนิดหน่อยเอง ”

   “ วารัน อย่าทำให้ข้าต้องใช้กำลัง ” โซแวน ผู้ควบคุมกาลเวลาเช่นเดียวกับวารันเริ่มหักนิ้วดังกร็อบๆ เตรียมจะใช้กำลังบังคับไม่ให้วารันหนีไป เพราะโทษที่ได้รับนั้นหนักพอสมควร การที่ต้องเห็นวารันไปรับโทษไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยสำหรับโซแวนนัก

   “ หวา โซแวน ข้าแค่ไปเที่ยวแปปเดียวเองน่า ” วารันหลบการจับกุมของโซแวนได้อย่างหวุดหวิด “ ลาละ ! ” วารันแลบลิ้นและกระโดดเข้ามิติเวลาที่เรียกมาทันที
   
ทิ้งโซแวนให้ยืนคิ้วขมวดต่อไป “ ให้ตาย... ” พร้อมกับขบกราม ผู้ควบคุมกาลเวลาทุกคนนั้นมีความสามารถที่เกือบจะเท่ากัน ทำให้การจับวารันไม่ให้หนีไปเป็นอะไรที่ยาก

   “ ถ้าโดนทำโทษ ข้าจะไม่สนใจเลย ”
   
   วารันกำลังชาแดงอย่างสบายใจ “ เจ้านี่ช่างรู้ใจ ข้าจริงๆ ” วารันยิ้มให้กับโซแวนที่นั่งข้างๆ ผู้ส่งสารออกไปไม่ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าคนนอกจะเข้าไม่ได้นี่นา ถึงแม้ตลอดเวลาการทำงานจะไม่มีความรู้สึกหิวอิ่มปวดท้องอะไรแบบนั้น แต่การกินก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาเหมือนกัน

   โซแวนไม่ได้พูดอะไรแค่ถอนหายใจสั้นๆ

   “ ไม่เอาน่า อย่างน้อยข้าก็แค่ทำอีก 20 ปีเอง ”

   โซแวนจ้องวารันด้วยความเย็นชา “ นั้นก็หมายความว่า ข้าต้องซื้อของกินให้เจ้าอีก 20 ปีไง”
   
“ ข้าก็ให้รางวัลเจ้าด้วยการคุยกับเจ้าในเวลางานไง ” วารันหัวเราะ

   “ ... ” โซแวนไม่ตอบอะไรเพียงแค่นอนลงเอาหัวเกยตักวารันและหลับตาลง

   “ พรุ่งนี้ ข้าขอเป็นน้ำส้มนะ ! ”

   “ อืม ”

   ฟาร์คัสกำลังร้องไห้
   
วารันเบิกตากว้างเมื่อเห็นฟาร์คัสร้องไห้ในห้อง ในยามปกติที่วารันว่างมักจะส่องดูฟาร์คัสบ้างเป็นครั้งคราวฆ่าเวลาด้วยพลังของผู้ควบคุมเวลา ร่างอีกาตัวเล็กนั่งบริเวณที่มุมห้องแขนสั้นๆ นั้นกอดตัวเองไว้ราวกับกำลังปลอบประโลมตัวเองอยู่ วารันปิดภาพนั้นไปทันที
   
เขาทนดูไม่ได้

   เพราะถ้าดูต่อไปอาจจะเผลอออกจากต้นไม้ต้นนี้ และโทษที่ได้รับนั้นหนักหนายิ่งกว่าเดิม

   ในระยะเวลาที่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำวารันแอบฝึกเวทมนตร์ที่สามารถแยกร่างได้ เพราะถ้าหากเกิดเหตุอะไรร้ายแรงกับฟาร์คัสจะได้ออกไปช่วยได้ ซึ่งเวลานั้นก็มาถึงอย่างรวดเร็วหลังจากการคาดเดาอนาคตของดินแดนนกบอกลาง ครั้งแรกที่ออกไปวารันพยายามแบ่งพลังไว้กับร่างแยกที่อยู่ต้นไม้ให้ได้มากที่สุด จึงเป็นได้เพียงแค่นกฮูกเกาะอยู่แถวเมืองมนุษย์ ฟาร์คัสจะโดนทำร้าย
วารันรู้อนาคตข้อนี้ดีจึงได้มาดูอีกฝ่าย ในครั้งที่สองเป็นตอนที่การปกครองของดินแดนนกบอกลางกำลังสั่นคลอน  วารันปลอมตัวเป็นคนขายเครื่องรางอธิษฐาน ส่วนเครื่องรางที่เอามานั้นเป็นของสะสมของวารันก่อนที่จะโดนจับมาไว้ในต้นไม้ ครั้งที่สามแปลงเป็นนกอีกครั้งเพื่อกระตุ้นความทรงจำของฟาร์คัสเพื่อให้ฟาร์คัสได้มีเวลาไตร่ตรอง ในทั้งสามครั้งวารันแบ่งพลังให้ร่างที่ออกไปในจำนวนเพียงน้อยนิดเพื่อไม่ให้ถูกท่านผู้นั้นจับได้ ซึ่งก็ราบรื่นมาตลอด

   จนกระทั่งครั้งที่สำคัญที่สุด

   วารันได้แบ่งพลังให้กับร่างที่อยู่ต้นเพียงไว้แค่คงตัวตนไว้ วารันออกไปเพื่อเปลี่ยนอนาคตที่เต็มไปด้วยการนองเลือด ฟาร์คัสย่อมเสียใจที่สุด วารันเลือกที่จะใช้พลังของตัวเองอย่างเต็มที่แม้จะถือว่าเป็นการบอกให้ท่านผู้นั้นรู้ตัวก็ตาม วารันบอกกับร่างอีกาที่แม้จะดูเข้มแข็งแต่วารันที่เฝ้ามองมาตลอดรู้ดีว่าข้างในกำลังร้องไห้

และเวลาของวารันก็หมดลง

เมื่อท่านผู้นั้นได้กระชากเขากลับไป


...

 :katai5: มาแล่ว ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ  :pig4:

* ช่วงตอบคอมเมนต์

คุณบลูเชอร์รี่ : ตอนนี้เฉลยไว้หมดเลย 5555 ส่วนพลังของปีศาจอีกาขออุบไว้ก่อนดีกว่า  :hao7: ( ยังไม่ได้คิด  :ling2: )

คุณ Sittawan : มาแล้ววว  :mc4:

คุณ sirin_chadada : คนละคนค่ะ อันนั้นมนุษย์จากเมืองโฮรัสค่ะ

คุณ qilarsy39 :  :katai5:

คุณ  Hang :  :z6: // ถูกจิ้มแรง 5555

คุณ อ๊ายอาย : ไม่ได้เจอกันนานเลย   :mc4:

คุณ karmdodcom : ตอนแรกยังลังเลอยู่ว่าจะแต่งความเป็นมาของวารันดีไหม // เป็นคนโดนยุง่าย 5555

คุณ nemesis :  :กอด1:


หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ วารัน 26 เม.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 26-04-2015 16:16:22
โฮฮฮ โทษของวารันมันเหมือน...ไม่มีที่สิ้นสุดเลยนะคะ ท่านผู้นั้นใจร้ายจัง  :hao5: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ วารัน 26 เม.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-04-2015 18:14:23
วารันคงจะรักและเอ็นดูฟาร์คัสเหมือนลูกหลานเลยสินะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ วารัน 26 เม.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 27-04-2015 04:53:42
เอาพลังแบบปล่อยอีกาสู้ไปเรื่อยๆแล้วนั่งจิบกาแฟกับราชาปีศาจเป็นไง ปล่อยพลังสีชมพูอมม่วง คืนชีพแบบฟินิก ปล่อยพลังแบบโงกุน เนื้อเรื่องเปลี่ยนไปหาลูกเเก้วมังกร ล้อเล่นนนน 5555 หนูกกกมั๊กมายยหน่อ ติดตามเรื่อยๆเป็นกำลังใจให้ แต่งมาเยอะๆ ไม่มาต่อแม่จะฆ่าให้!! เอาละๆหมดเวลาแล้วไปแล้วววว เม้นยาวไปอุอิ อย่าบ่นตอนเเรกก็ไม่อยากเม้นยาวหรอกเเต่มันหนุกอะเลยเม้นเยอะมาก  :katai4: ว่าแต่ Nc ของฟาคัสมัดราชาปีศาจไว้กับเตียงแล้วยั่วจ-------------- //สัญญาณขาดหาย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ วารัน 26 เม.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 27-04-2015 09:30:38
เดี๋ยว!!!!! ท่านผู้นั้นของวารันมันไผกันล่ะนั่น
พระเจ้าเหรอคะะะะะ ไม่รู้ล่ะ
รอตอนต่อไปเนอะะะะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ วารัน 26 เม.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 02-05-2015 21:19:17
เปิดอ่านเรื่องนี้มาหลายครั้งมาก
อ่านไม่เกินห้าบรรทัดปิดทุกครั้งสารภาพเลย ต้องขอโทษด้วย :mew2:
แต่คราวนี้นั่งอ่านได้หนึ่งตอน อยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ  :a6: :a6: :a6:
พลาดๆๆๆๆๆๆๆ :o211: :o211:
อยากบอกว่าเรื่องนี้สนุกมากมาย
ขนาดตอนนี้ปวดหัวอยู่ก็นั่งอ่านจนครบทุกตอน
ชอบเรื่องนี้จังเลย มีดราม่านิดเดียวเอง นางเอกฉลาดดี ไม่บู๊แบบไร้สาระ ไม่ใช่ว่าเอาแต่แก้แค้น
อยู่กับราชาปีศาจนั่นแหละดีแล้ว น่ารักดี :hao7:
ชอบพระเอกด้วย แบบว่าฮีดูเท่ห์มากกกกก มาทีไรทุกคนอึ้งกิมกี่

ต่อไปกล่าวถึงวาริน สงสารนิดๆ อ่ะ แบบอารมณ์รักลูกหลาน ตัวเองยังไงก็ได้แต่ฟาร์คัสต้องอยู่ดีไว้ก่อน
จัดคู่ให้เขาได้ไหม :m26: :m5:

เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มไร้สาระและเวิ่นเว้อมาก เอาล่ะ อยากบอกว่ารออ่านอยู่นะ
ชอบครอบครัวที่ประกอบไปด้วยแม่ปีศาจอีกา(อดีตนกบอกลาง)พ่อราชาปีศาจ(ที่มีอดีตกับปีศาจอีกาที่เคยเป็นนกบอกลาง)ลูกปีศาจมังกรดำ(ที่จับพลัดจับพลูจากสัตว์ในตำนานมาเป็นปีศาจซะงั้น)และวาริน(ที่แอบจิ้นในใจว่ามีอะไรกับท่านผู้นั้น(บาปไหมเนี่ย))

เอาละเป็นเมนต์ที่ใส่อารมณ์มาก ถ้ามีอะไรล่วงเกิน เค้าขอโทษ :o7: :o7: (จริงๆ นะ)

หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ วารัน 26 เม.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 03-05-2015 04:05:33
ฟาร์คัสน่ารักน่าปกป้องจริงๆนั่นล่ะค่ะ น่าสงสารที่ถูกทรยศแบบนั้นนะ แต่ถ้าต้องทนอยู่ในแดนแย่ๆแบบนั้น ก็ออกมาให้ฆ่าบี้ลัสเลี้ยงดูเหอะ
ป.ล. ปลื้มขุ่นพ่อ(?)วารันค่ะ คงจะรักมากถึงยอมเสี่ยงช่วยขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 11 3 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 03-05-2015 09:39:31
-- ตอนที่ 11 --

ดินแดนภูตว่ากันว่าเป็นดินแดนที่รักสันโดษ ตลอดหลายร้อยปีมานี้แทบไม่ได้คบค้าสมาคมกับดินแดนอื่น อีกทั้งยังมีกำแพงไม้เลือกยักษ์ของราชาภูตคนก่อนคอยป้องกันไม่ให้ผู้ต่างดินแดนได้เข้าไป เดิมทีดินแดนภูตไม่ได้ปิดกั้นตัวเองถึงเพียงนี้แต่เป็นเพราะสงครามที่ยาวนานของดินแดนปีศาจที่ส่งผลกระทบมายังแดนภูตจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ราชาภูตนั้นยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อเสกไม้เลื้อยที่แข็งแกร่งป้องกันทั้งเวทและการโจมตีอย่างสมบูรณ์แบบแม้จะแลกด้วยสิ่งสำคัญก็ตาม แต่กาลเวลาที่ยาวนานก็ทำให้กำแพงไม้เลื้อยยักษ์ค่อยๆ เสื่อยคลายลง
   
นั่นจะเป็นเรื่องดีหากดินแดนภูตตั้งใจจะค้าขายกับดินแดนอื่น เสียแต่ว่าชาวภูตส่วนใหญ่นั้นหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีและเกลียดดินแดนอื่นเพราะการอยู่อย่างสันโดษมาอย่างยาวนาน การจะคบค้ากับดินแดนอื่นเป็นเรื่องยากถ้าหากไม่เปลี่ยนแปลงความคิดของชาวภูตเสียก่อน ซึ่งนั่นก็ได้กลายเป็นภารกิจของราชาภูตองค์ปัจจุบัน ราชาภูตองค์ปัจจุบันเสนอสิ่งที่ต่างออกไปจากราชาภูตองค์ก่อนคือการสร้างสัมพันธไมตรีกับดินแดนอื่นไม่ใช่การสร้างกำแพงไม้เลื้อยขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

   ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการประกาศสงครามกับพวกขุนนางอยู่กลายๆ พวกขุนนางไม่ค่อยพอใจกับข้อสรุปนี้ของท่านราชานักแต่ก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เพราะการปกครองของดินแดนภูตขึ้นตรงต่อราชาไม่สามารถขัดขืนหรือต่อต้านอะไรได้ทั้งสิ้น ในดินแดนภูตท่านราชาเปรียบเสมือนพระเจ้าที่น่าเคารพยกย่อง ความเชื่อนี้ถูกขัดเกลามาตั้งแต่ท่านราชาภูตที่ได้สร้างไม้เลื้อยปกป้องชาวภูตทุกคนไว้
   
เอลล์หรือราชาภูตองค์ปัจจุบันเหยียดยิ้มเบาบางกับตัวเอง สิ่งที่เขากำลังทำตอนนี้ถูกแล้วงั้นเหรอ แต่มันน่าจะเป็นการดีต่อดินแดนภูตที่สุดแล้ว ถ้าหากเกิดศึกสงครามขึ้นมาและไม่มีดินแดนพันธมิตรเลยดูจะเป็นเรื่องแย่ต่อดินแดนภูตแต่ผลประโยชน์จากการสร้างสัมพันธไมตรีก็มีมากมายเช่นกัน ร่างสูงโปร่งสวมชุดกษัตริย์ลวดลายดอกไม้นานาพรรณโดยเน้นสีอ่อนดูสบายตาบนศีรษะนั้นสวมมงกุฏสีแดงเลือดหมูที่ทำอย่างประณีตมีลวดลายคล้ายไม้เถาเลื้อยรองรับอัญมณีล้ำค่า

   “ นี่หน้ากากของท่านขอรับ ” ไซรินยื่นหน้ากากสีขาวขุ่นสะอาดตามีลวดลายซับซ้อนอีกทั้งยังมีเขากวางโง้งสวยประดับทั้งสองข้างให้กับผู้เป็นนาย

   “ ขอบคุณ ” เอลล์เอ่ยเบาๆ และรีบมาสวม เอลล์ไม่ใช่คนที่ถือตัวหรือหยิ่งทระนง น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่แปลกแยกจากชาวภูตคนอื่นโดยสิ้นเชิง เอลล์เป็นคนสุภาพ สุขุม แม้จะมีฐานะเป็นถึงกษัตริย์ก็ตามความหยิ่งทระนงของเอลล์คล้ายกับถูกราชาองค์ก่อนเอาไปแล้วจนหมดสิ้น

   “ ขอรับ ” ไซรินน้อมหัวน้อยๆ

   “ งั้นเดี๋ยวเรามาแล้วกัน รอที่นี้ไปก่อน ” เอลล์บอกกับไซรินและเดินไปอีกฟากหนึ่งของห้องซึ่งเป็นชั้นหนังสือ เอลล์สลับหนังสือสองสามเล่มตามกลไกที่ได้ตั้งไว้และเปลี่ยนทุกสิ้นเดือน

   กริ๊ก
   
เสียงของกลไกดังขึ้นราวกับให้สัญญาณว่ากำลังจะเริ่มกลไกแต่อย่างไรก็ตามจนกระทั่งประตูที่ซ่อนไว้หลังตู้หนังสือปรากฎก็ไม่มีเสียงใดๆ เพิ่มเติมอีก ทางนี้เป็นทางลับไปยังห้องขังคุกใต้ดินที่มีเพียงพ่อของเอลล์เท่านั้นที่รู้เพราะในคุกนั้นมีผู้ถูกตรองจำเอาไว้ เอลล์ก้าวขาเดินลงบันไดวนอย่างคุ้นเคยกลิ่นสนิมเหล็ก กลิ่นชื้นของดิน อากาศที่ถ่ายเทไม่สะดวก เพียงไม่นานก็ถึงจุดหมายของเอลล์ เขามาเพื่อพบผู้ถูกตรองจำอยู่ในภายในคุก
   
แม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม..

   “ ว่าไง ท่านราชา ” เสียงแหบแห้วของผู้ถูกตรองจำเอ่ยทักเอลล์
   
“ เจ้าหายปวดหัวแล้วหรือยัง ”

   “ ฮะๆ เอลล์ เจ้านี้ช่างต่างจากพ่อของเจ้านัก ถ้าพ่อของเจ้าต่อให้ข้าตายยังไม่สนใจเลยมั้ง ” เสียงตอบพร้อมกลั้วหัวเราะแต่ความสิ่งที่คิดอยู่กับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ผู้ถูกตรองจำมองเอลล์ด้วยความเป็นห่วง “ เจ้าต่างหากที่ข้าต้องถาม ตาของเจ้า.. ”

   “ มันไม่เคยดีขึ้นหรอก ลุกซ์ ” เอลล์ยิ้มเบาบาง เอลล์ถูกสาปให้ตาบอดมาตั้งแต่เกิดโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สาป พ่อของเอลล์ปิดเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้อีกทั้งยังสั่งให้เอลล์ฝึกฝนอย่างหนักทำให้เอลล์สามารถเดินเหินได้อย่างปกติเพราะประสาทสัมผัสในด้านอื่นที่ฉับไวมาก แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ให้ฝึกนั้นคือการให้เอลล์ได้ครองบัลลังก์ของตนต่อไป ไซรินเป็นภูตที่เป็นลูกของน้องสาวแม่ถูกส่งมาให้ดูแลเอลล์ตั้งแต่เกิดคอยให้ความรู้ต่างๆ ส่วนหน้ากากของเอลล์นั้นคือสิ่งที่ใช้ปกปิดความผิดปกตินั่นเอง

   หน้ากากที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันจากข้อครหาของขุนนาง เอลล์สามารถลืมตาได้แต่จะมองไม่เห็นอะไรเลยรู้เพียงว่ากำลังลืมตาเหมือนกับกำลังขยับแขนแล้วรู้สึกว่าขยับแขน ไม่เคยภาพที่ถูกส่งเข้ามาในสมอง เอลล์พยายามหาวิธีทางแก้คำสาปต่างๆ แต่ก็ไม่เคยได้ผล สิ่งที่หวังกับการสัมพันธไมตรีกับดินแดนอื่นคือการสืบหาวิธีการถอนคำสาป นั่นเป็นความเห็นแก่ตัวเอลล์รู้ตัวดีแต่นี้เป็นผลพลอยได้ที่เขาบังเอิญได้พอดีเท่านั้น

   “ ถ้าข้าหลุดจากไอ้โซ่นี้เมื่อไหร่จะช่วยเจ้าแล้วกัน ” ลุกซ์เขย่าโซ่เซ็งๆ

   “ ท่านพ่อของข้าไม่ยอมให้เจ้าทำอย่างนั้นง่ายๆ หรอกน่า ”

   ลุกซ์จิ้ปากอย่างไม่พอใจนักและก้าวเท้าเข้ามาใกล้ลูกกรงเวทสีดำที่ส่งแสงสีดำเรืองๆ ดูน่าขนลุก ลุกซ์ยื่นมือออกมาและใช้ฝ่ามือหยาบลูบหน้าของเอลล์อย่างทะนุถนอม หน้ากากของเอลล์นั้นเผยให้เห็นเพียงช่วงหน้าส่วนล่างเท่านั้นทำให้ลุกซ์เพียงแค่ลูบแถวริมฝีปากด้วยสายตาอาดูร ลูกกรงเวททำหน้าที่ของมันทันทีโดยการส่งกระแสไฟฟ้าสีดำเข้าช็อตร่างกายของลุกซ์ ลุกซ์ขบกราบรับความเจ็บปวดที่ส่งเข้ามาแต่ก็ยังไม่ละมือจากใบหน้าของเอลล์ ลุกซ์เป็นลูกน้องของคาร์บิลัสที่โดนใช้ให้มาสืบข่าวคราวเรื่องนกบอกลางแต่ขณะที่กำลังจะลักลอบเข้าไปในดินแดนกลับถูกพ่อของเอลล์จับได้และถูกตรองจำในคุกใต้ดินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลุกซ์เป็นปีศาจเผ่าพันธุ์มังกรไฟทำให้มีรูปร่างกำยำผมสีเพลิงกับนัยน์ตาสีเดียวกันพละกำลังมหาศาลตามเชื้อสายสามารถใช้ไฟได้ดีมาก
   
เอลล์ยิ้มออกมาและจับมือของลุกซ์ออกจากใบหน้าของตน “ ข้าว่าโดนไฟฟ้าช็อตคงไม่น่าพิสมัยหรอกนะ ลุกซ์ ”
   
ลุกซ์ยักไหล่ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตาม “ แค่นี้ไม่ทำให้ข้าตายหรอกน่า เอลล์ ”
   
“ สรุปเจ้าหายปวดหัวหรือยัง ถ้ายังเดี๋ยวข้าจะหายามาให้ ”

   “ ข้าหลับคืนเดียวก็หายแล้ว เอลล์ เจ้าไปเถอะ วันนี้เจ้าต้องรับแขกนี่ ” ลุกซ์เอ่ยไล่แม้ความจริงจะอยากรั้งให้อยู่ด้วยกัน
   
“ ใช่ ข้าหวังว่าข้าจะทำหน้าที่ของกษัตริย์ได้ดี ” เอลล์พยักหน้าหงึกหงัก

   “ ถ้าหากเจ้าทุกข์ใจจงมาหาข้า เอลล์.. ”
   
   เสียงงานรื่นเริงดังขึ้นแถบบริเวณใกล้พระราชวังของราชาภูต ป้ายสีสันสดใสถูกปักไว้ตามที่ต่างๆ ธงสีหลากสีที่ถูกห้อยระโยงระยางดูน่าสับสนแต่ก็ดูน่าสนุกเช่นกัน มีคณะดนตรี คณะละครต่างๆ เล่นกันตามทางอย่างครื้นเครง ร้านรวงร้านค้าต่างๆ พากันจับจองพื้นที่ที่ดีที่สุด เด็กๆ วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน นี่ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเฉลิมฉลอง

   “ แง้ อยากกินนน ” ดัฟฟ์ทำท่าจะพุ่งเข้าไปหาร้านค้าที่ตั้งอยู่โดยมีชาวภูตทำหน้าบึ้งตึงขายอยู่ต่างกับเมื่อกี้ที่ชาวภูตคนอื่นเข้าไปซื้อล่ะยิ้มแป้น

   “ เงียบหน่อย ดัฟฟ์ ” ฟาร์คัสดึงคอเสื้อของดัฟฟ์เอาไว้และเหลือบไปมองคาร์บิลัสที่กำลังยืนเหม่อด้วยท่าที่ดูสุขุมอยู่ แต่ใครจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ฉากหน้าเพราะฟาร์คัสได้ขู่เอาไว้ว่าอย่าทำท่าทางแบบปกติที่ทำที่คฤหาสน์ ยกตัวอย่างเช่น

   “ ฟาร์คัสสส  เจ้าหิวหรือยัง เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปร้านดังแถวนี้เอง ! ” คาร์บิลัสพูดพร้อมกับพุ่งเข้ามาหมายจะคว้าแขนฟาร์คัสเอาไว้ เพียงแต่ว่าถ้าฟาร์คัสในสภาพสมบูรณ์ปกตินั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากที่จะโดนคาร์บิลัสจับเอาไว้ได้นอกเสียจากเจ้าตัวจะยอมอยู่นิ่งๆ ให้จับเอง ฉะนั้นคาร์บิลัสจึงคว้าได้แต่ความว่างเปล่าและอากาศบริสุทธิ์
   
“ ฟาร์คัสถ้าเจ้าจะนอน มานอนที่เตียงข้าก็ได้นะ ข้าไม่ว่า ! ” คาร์บิลัสบอกขณะที่ฟาร์คัสกำลังจะเข้าห้องนอนข้างห้องของคาร์บิลัสและคำตอบของฟาร์คัสมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

   ฟาร์คัสกระแทกประตูเข้าห้องแทนคำตอบ ทำให้คาร์บิลัสเข้าห้องนอนของตัวเองอย่างเหงาหงอยและผิดหวังอย่างรุนแรง
   
ข้าขอยกตัวอย่างไว้แค่นี้แล้วกันเพราะถ้ามากกว่านี้ดูจะเป็นอะไรที่ไร้สาระเกินไป “ คาร์บิลัสเจ้าไปซื้อร้านนั้นให้ดัฟฟ์หน่อย ”
   คาร์บิลัสหลุดจากภวังค์หันมามองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ อืม ” และคาร์บิลัสก็เดินไปซื้อของด้วยทวงท่าสง่างามจนผู้ที่เป็นอาคันตุกะจ้องกันตาค้าง

   ทำไมข้ารู้สึกเหมือนกับว่าข้าฝืนปลาให้ว่ายน้ำบนท้องฟ้ากัน ฟาร์คัสกลอกตาสั้นๆ และมองสำรวจไปรอบๆ ราชาภูตได้เชิญอาคันตุกะจากหลายดินแดนมาก มีทั้งเผ่าที่ข้าเคยไปเมื่อยังเป็นนกบอกลางกับเผ่าอื่นๆ ที่แปลกตาไม่คิดว่าจะมีตัวตนอย่างเผ่าคนแคระ ยักษ์ หรือแม้กระทั่งปักษาหิมะที่ข้าเคยได้ยินเพียงเรื่องเล่าว่าอาศัยอยู่บนเทือกเขาสูงมีเมฆลอยฟุ้งคอยปิดกั้นไม่ให้ผู้อื่นได้กร้ำกรายเข้าไป ผู้คนเดินกันอย่างพลุ่งพล่านซื้อขายต่อรองกันแม้ว่าเจ้าบ้านจะหน้าไม่รับแขกก็ตาม

   ฟาร์คัสมองภาพตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินโดยไม่สนใจดัฟฟ์ที่น้ำตาคลอเบ้าเพราะความหิว อาคันตุกะแต่ละคนล้วนแต่งกายสวยงามและแปลกตาบ่งบอกถึงฐานะที่สูงส่ง แต่เมื่อข้าเพ่งพิจารณาไปยังร้านค้าร้านหนึ่งกำลังมีมนุษย์กำลังซื้อดาบภูตอยู่ซึ่งก็คุ้นหน้าคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ร่างนั้นอยู่ในชุดเกราะนักรบอัศวินสีขาวสว่างประดับด้วยชายผ้าสีแดงเลือดหมูดูแล้วคล้ายกับกษัตริย์ของดินแดนมนุษย์ ฟาร์คัสขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อมนุษย์คนนั้นหันมาทางฟาร์คัสและชี้ดาบที่พึ่งซื้อมาใส่หน้าฟาร์คัส ทำเอาผู้คนที่เดินอยู่แตกฮือกระจายออกไปอย่างตื่นตระหนก

   “ ไอ้อีกา !! ” มนุษย์คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

   ฟาร์คัสขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ทำไมถึงรู้ว่าเขาเป็นอีกาล่ะ ? มนุษย์งั้นเหรอ...

   “ แก๊ซซ อย่ามายุ่งกับแม่ ! ” ดัฟฟ์กระโดดออกมาขวางข้างหน้าฟาร์คัส   

   “ แกนั่นแหละอย่ามายุ่ง ไอ้อีกาเพราะวันนั้นที่แกมาพ่อข้าถึงต้องตาย !! ”

   ฟาร์คัสกลับมาใบหน้าเรียบเฉยอีกครั้ง เขาจำได้แล้วว่าคนต่อหน้าคือใคร ทายาทแห่งกษัตริย์เมืองโฮรัสนั่นเอง “ แล้วข้าไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ มนุษย์ ” แววตาของฟาร์คัสแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงตอนที่ถูกจู่โจม
   
“ สาปแช่งพ่อข้าจนตายไงล่ะ !! ” สิ้นคำก็พุ่งดาบเข้ามาจู่โจมอย่างรวดเร็วแต่ฟาร์คัสกลับไม่ได้หลบและท่องเวทเสียงเบา
   
ผลั่ก

   ราชาแห่งเมืองโฮรัสองค์ปัจจุบันถูกถีบกระเด็นไปกองบนพื้นอย่างหมดสภาพพร้อมกับดาบสีดำสนิทจ่อที่คอหอย

   “ คิดจะทำอะไร มนุษย์ ” คาร์บิลัสถามเสียงเย็นเยียบดวงตาทอประกายดุร้าย
   
ร่างที่ถูกจ่อคอหอยเบิกตากว้างตัวสั่นน้อยๆ เมื่อพบว่าร่างตรงหน้าคือราชาปีศาจที่มีพลังอำนาจมหาศาลที่แม้แต่ตนที่เป็นราชาแห่งแสงสว่างยังไม่อาจทัดเทียมได้ “ ขะ ข้าแค่ทักทายสหายเก่าน่ะ ” พร้อมกับกัดฟันพูดออกมา

   ฟาร์คัสหันหน้าหนีไม่สนใจเพียงแค่กดดาบของคาร์บิลัสลงและเดินนำไปทางอื่นก่อน ดัฟฟ์หันหน้ามาแลบลิ้นใส่ราชาเมืองมนุษย์และวิ่งต้อกแต้กตามฟาร์คัสไปทันที
   
“ นับเป็นโชคของเจ้าที่ฟาร์คัสให้ข้าไว้ชีวิต ” คาร์บิลัสพูดด้วยน้ำเสียงชวนให้เสียวสันหลัง “ จงจำเอาไว้ ถ้าหากมีครั้งหน้าหัวเจ้าจะไม่ได้อยู่บนบ่า ” และคาร์บิลัสก็รีบก้าวขาเดินตามฟาร์คัสไปทันที

   “ น่ากลัวชะมัด ” คนแคระที่เห็นเหตุการณ์บ่นออกมาซึ่งก็มีคนอื่นพยักหน้าตามกันเป็นแถวและเดินเล่นกันต่อโดยไม่สนใจร่างที่กองอยู่บนพื้นอีก ทิ้งให้ร่างที่กองบนพื้นกัดฟันกรอดและพยุงตัวเองด้วยดาบเข้าห้องพักของตัวเองอย่างเงียบเชียบ
   
“ คาร์บิลัส เจ้าจะใจร้อนเกินไปแล้ว ” ฟาร์คัสเอ็ดออกมาเมื่อคาร์บิลัสเดินมาอยู่ข้างๆ

   “ มันบังอาจจะทำร้ายเจ้า ข้าไม่มีวันให้มันทำเช่นนั้น ” คาร์บิลัสยังคงท่าทางสุขุมไว้แต่ดวงตากลับทอประกายออดอ้อนจนฟาร์คัสถอนหายใจออกมา

   “ แล้วเจ้าซื้อมาให้ดัฟฟ์หรือยังล่ะ ” ฟาร์คัสเริ่มจะเบื่อดัฟฟ์ที่เอาแต่กัดชายเสื้อประทังความหิว

   “ อืม ข้าซื้อมาเผื่อเจ้าด้วย ” คาร์บิลัสยื่นไม้เสียบเนื้อย่างอะไรสักอย่างให้ฟาร์คัสทั้งหมดโดยไม่แบ่งให้ดัฟฟ์ก่อนแม้แต่ชิ้นเดียว ถึงแม้ว่าฟาร์คัสจะสั่งให้ซื้อมาให้ดัฟฟ์

   ฟาร์คัสแบ่งเนื้อเกือบทั้งหมดให้ดัฟฟ์และยื่นให้คาร์บิลัสไม้หนึ่ง “ กินไหม ? ” ในเมื่อคาร์บิลัสซื้อมาก็สมควรได้กินด้วย

   “ กินสิ ” คาร์บิลัสรับไปกินทันทีโดยไม่คิดแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นยาพิษเขาก็ยินดีที่จะกินถ้าหากฟาร์คัสต้องการ แต่อย่างไรก็ตามข้าเชื่อว่าฟาร์คัสไม่มีวันให้ข้ากินยาพิษแน่นอน
   
   เสียงเครื่องดนตรีของชาวภูตถูกบรรเลงขึ้นเมื่ออาคันตุกะจากหลายหลายดินแดนได้ก้าวเท้าเข้ามาในพระราชวัง อาคันตุกะแต่ละคนสวมชุดที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของแต่ละดินแดนไม่ว่าจะเป็นราชาหรือผู้ติดตามล้วนแต่สง่างาม ภายในพระราชวังของดินแดนภูตนั้นถูกตกแต่งด้วยแมกไม้สีสันสดใสเพื่อให้เข้ากับงานเฉลิมฉลองโดยภายในงานมีซุ้มอาหารกับที่นั่งบุนวมไม้แกะสลักจัดวางอย่างเป็นระเบียบจำนวนมากและมีพื้นที่ส่วนหนึ่งยกสูงเพื่อให้ราชาแห่งดินแดนได้เอ่ยปราศรัย

   “ แก๊ซ หอมม แม่หิวแล้ว ” ดัฟฟ์อยู่ในชุดสีดำขลับทองเป็นชุดที่ค่อนข้างเป็นทางการ ไม่ใช่ดัฟฟ์เพียงคนเดียวไม่ว่าฟาร์คัสหรือคาร์บิลัสล้วนแต่งกายสีดำขลับทอง ฟาร์คัสเป็นชุดเรียบๆ แต่คาร์บิลัสเป็นชุดกษัตริย์เต็มยศมีลวดลายน่าเกรงขามแต่ไม่ได้สวมมงกุฏเพื่อให้เกียรติต่อเจ้าของดินแดนเพราะมาในฐานะอาคันตุกะเท่านั้น

   ฟาร์คัสไม่สนใจดัฟฟ์ที่งอแงจะกินอาหารทั้งๆ ที่เพิ่งกินไปเมื่อกี้ งานเฉลิมฉลองจะเริ่มในตอนเย็นฟาร์คัสจึงพากันเดินเล่นตอนเที่ยงๆ และจัดการยัดอาหารใส่ดัฟฟ์ให้เงียบ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ เมื่อมาถึงพระราชวังที่เต็มไปด้วยอาหาร

   คาร์บิลัสก้าวขาเดินตามฟาร์คัสโดยปล่อยให้อีกฝ่ายเดินนำไป ทำให้อาคันตุกะคนอื่นๆ ขมวดคิ้วอย่างฉงนเพราะราชาปีศาจเดินตามผู้ติดตามของตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามออกมาเพราะเรื่องเมื่อตอนเที่ยงได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คาร์บิลัสกลายเป็นที่หวาดกลัวของดินแดนอื่นแต่คาร์บิลัสหาได้สนใจไม่ มีเพียงฟาร์คัสเท่านั้นที่คาร์บิลัสจะสนใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรมองตัวเองยังไง
   
ฟาร์คัสเลือกที่นั่งที่ไม่ค่อยมีคนนั่งและนั่งลงทันทีโดยมีดัฟฟ์นั่งลงตรงกันข้าม แต่ประเด็นสำคัญคือเก้าอี้ของโต๊ะแต่ละตัวมีเพียง 2 ตัว เท่านั้น ทำให้คาร์บิลัสส่งสายตาเชือดเฉือนใส่ดัฟฟ์ที่ลอยหน้าลอยตานั่งอย่างสบายใจ

   “ เจ้าเป็นแค่สัตว์เลี้ยงลงไปนั่งข้างล่างไป ” คาร์บิลัสหยิบตัวดัฟฟ์โยนออกจากที่นั่งและนั่งลงทันที

   “ แง้ ฆ่าบี้ลัส ! นิสัยไม่ดีง้า ” ดัฟฟ์ที่ลงไปกินฝุ่นลุกขึ้นงอแงและวิ่งไปหาฟาร์คัส “ แง้ ดัฟฟ์ โดนแย่งที่นั่งงง ”
   
ฟาร์คัสกลอกตา วันนี้ดูจะเป็นซวยของเขาชะมัด ฟาร์คัสหยิบดัฟฟ์ขึ้นมานั่งตักตัวเองเพื่อตัดปัญหาน่ารำคาญโดยมีคาร์บิลัสนั่งมองด้วยสายตาลุกเป็นไฟอย่างอิจฉาแต่ทำอะไรไม่ได้เมื่อฟาร์คัสส่งสายตาปรามออกมาอย่างเซ็งๆ “ ถ้าเจ้าทำอะไรวุ่นวายอีก สัญญาของเจ้ากับข้าถือว่าเป็นโมฆะ ”

   คาร์บิลัสนั่งด้วยความสงบเสงี่ยมทันที สัญญาที่ได้ให้กันไว้ก็คือ ถ้าหากข้าไม่ทำตัววุ่นวาย สุขุม น่าเคารพ ไม่แสดงนิสัยปกติออกมา ฟาร์คัสจะยอมให้ข้ากอด ! คาร์บิลัสคิดอย่างลิงโลดแต่หน้าตาที่แสดงออกมายังคงเคร่งขรึม

   // ข้าขอบคุณที่ทุกท่านได้ตอบรับคำเชิญของข้า //

   เสียงดังขึ่นมาจากพื้นที่ยกสูงปรากฎร่างสง่างามหรือผู้เชื้อเชิญให้ทุกคนได้มาเข้าร่วมงามเฉลิมฉลองนี้
   เอลล์ยกยิ้มบางเมื่อได้ยินเสียงตอบรับกลับมาดังสนั่นถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่กลับรู้สึกถึงผู้คนมากมายที่อยู่ข้างล่างจึงเอ่ยประโยคต่อไปทันที “ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองนี้ จะทำให้พวกท่านอยากมาเยือนอีกครั้ง ”

   เสียงเฮตอบรับดังลั่นเล่าถึงความพึงพอใจหลังจากที่ได้ฟัง

   “ ดินแดนข้ายินดีค้าขายกับพวกท่าน ยินดีเป็นพันธมิตรกับพวกท่าน เพื่อให้ได้มีมิตรภาพอย่างแท้จริงต่อทุกดินแดน ” ถึงแม้ว่าประโยคนี้อาจจะทำให้ขุนนางหมายหัวข้ามากขึ้นก็ตาม ข้ายอมเสียเสละความปลอดภัยในชีวิตเพื่อให้ดินแดนนี้ได้ดีขึ้นกว่าทีเป็น เพื่อที่ชาวภูตจะได้มีมุมมองที่กว้างมากยิ่งขึ้น ข้าอยากให้ดินแดนภูตดูมีชีวิตชีวาไม่ใช่การอยู่อย่างสันโดษ

   เอลล์ค้อมหัวลงน้อยๆ เพื่อให้เกียรติทุกท่านที่ได้มาร่วมในงาน “ ข้าขอให้ทุกท่านมีความสุขกับงานเฉลิมฉลองนี้ ” เมื่อกล่าวร่างที่เคยยืนอยู่ก็หายไปทันทีทิ้งไว้เพียงความครึกครื้นในงาน

   “ ดูเหมือนว่าราชาภูตองค์นี้จะดีกว่าองค์ที่แล้วนะ ” คาร์บิลัสพูดขณะที่จิบน้ำรสแปลกของดินแดนภูต
   
“ ทำไม ” ฟาร์คัสถามสั้นๆ และหยิบขนมปังให้ดัฟฟ์นั่งแทะ
   
“ เดิมทีแดนภูตไม่ได้เป็นมิตรนักหรอก ราชาภูตองค์ก่อนที่ข้าเคยเจอเอาแต่ส่งสายตาเหยียดหยามข้า ราวกับว่ามันเหนือกว่า ข้าเลยอดหมั่นไส้ไม่ได้เตะกำแพงไม้นั้น ”
   
ที่เจ้าไปเตะกำแพงนั่นพังจนเป็นที่เลื่องลือเพราะเหตุนี้เองเหรอ ฟาร์คัสถอนหายใจ

   “ จริงสิ รู้สึกว่าลูกน้องข้าจะถูกจับไปด้วยคนนึงตอนสืบข่าวคราวของเจ้า ”

   “ ข่าวข้า ? ”
   
“ ใช่ ลูกน้องคนสนิทของข้าโดนจับไปยังไม่กลับมาเลย ข้าจะมาคุยเรื่องขอเจ้านั่นคืน แต่มันไม่ให้ ข้าเลยแอบบุกเข้าไปคุยกับเจ้านั่น แต่เจ้านั่นไม่กลับมากับข้า ขออยู่ต่อไปซะงั้น ” เสียงของคาร์บิลัสติดจะเซ็งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

   ฟาร์คัสไม่ได้พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับที่คาร์บิลัสสืบข่าวคราวตัวเอง ใบหน้าเรียบเฉยของฟาร์คัสติดจะแดงเมื่อนึกถึงเรื่องที่คาร์บิลัสได้พูดถึงเรื่องที่เคยเจอกันเมื่อยังเด็ก ทั้งๆ ที่ข้าจำไม่ได้คาร์บิลัสกลับจำได้อีกทั้งยังตามหาข้าที่เป็นนกบอกลางอีก ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดีกับความพยายามของคาร์บิลัส
   
คาร์บิลัสยิ้มในใจเมื่อเห็นฟาร์คัสหน้าแดง  น่ากอดจริงๆ ข้าอยากให้ถึงวันกลับเร็วๆ แฮะ “ อ้อ เจ้านั่นรู้สึกมันจะเป็นปีศาจมังกรไฟล่ะ ”
   
“ ปีศาจมังกร ? ”
   
“ อืม เป็นมังกรที่อาศัยอยู่ในดินแดนปีศาจเป็นเวลานานจนกลายเป็นปีศาจมังกรไป ไม่เหมือนดัฟฟ์ที่เป็นมังกรดำพลัดหลงเข้ามาในดินแดนปีศาจน่ะ ”
   
“ อะไอ ฆ่าบี้ลัสเรียกทำไม ” ดัฟฟ์เงยหน้าขึ้นมองคาร์บิลัสทั้งๆ ที่ในปากเต็มไปด้วยขนมปังไส้กรอกและอะไรต่อมิอะไรที่ฟาร์คัสสามารถยัดเข้าปากดัฟฟ์ให้เงียบได้

   “ ข้าไม่ได้คุยกับเจ้า ” คาร์บิลัสบอกเสียงเย็นใส่ดัฟฟ์
   
“ เดี๋ยวข้าขอไปห้องน้ำก่อนแล้วกัน ” ฟาร์คัสลุกขึ้นจากที่นั่งและวางดัฟฟ์ลงแทนที่ตัวเองซึ่งเมื่อดัฟฟ์ไม่ได้นั่งตัก หัวของดัฟฟ์สูงแค่เลยโต๊ะเท่านั้นดูเหมือนว่าเก้าอี้นี้ไม่ผลิตขึ้นมารองรับเด็กเท่าไหร่

   “ ข้าไปด้วย ” คาร์บิลัสตั้งท่าจะลุกตามทันที

   “ แง้ ไออ้วย ” ดัฟฟ์งอแงจับชายเสื้อฟาร์คัส

   ฟาร์คัสกลอกตา นี่ข้าเห็นข้าเป็นแม่หรือยังไงกันถึงได้เกาะติดกันขนาดนี้ “ คาร์บิลัสเจ้านั่งนี่คอยดูดัฟฟ์ไป ส่วนดัฟฟ์เจ้าก็นั่งกินเงียบๆ ไปซะ ” กล่าวจบฟาร์คัสก็เดินหนีทันทีโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญของดัฟฟ์และสายตาเหงาหงอยของคาร์บิลัส ความจริงฟาร์คัสไม่ได้ต้องการจะเข้าห้องน้ำเพียงแค่อยากออกมาเดินเล่นสูดหายใจโดยไม่มีปลิงทั้งสองคนบ้าง ฟาร์คัสเลือกที่จะเดินแถวแนวสวนของพระราชวังที่อยู่อีกฟากซึ่งก็ไม่ค่อยมีคนไปสักเท่าไหร่เพราะไม่มีซุ้มอาหารและที่นั่ง คาดว่าน่าจะเอาไว้มาเดินเล่นทอดอารมณ์ ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของฟาร์คัสพอดี

   ฟาร์คัสเดินก้าวเข้าไปในสวนก็รู้สึกคิดถึงอย่างประหลาด สวนนี้คล้ายกับสวนในดินแดนนกบอกลางมากเลยทีเดียวโดยเฉพาะต้นไม้ที่ดูทึมๆ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนคือใบไม้หลากสีสันของต้นไม้รวมถึงดอกไม้รูปร่างประหลาดอีก ฟาร์คัสมองดูอย่างเพลินตาโดยปล่อยให้ขาก้าวต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งเดินไปได้สักพักหนึ่งก็เห็นสิ่งที่คุ้นตาเพราะเพิ่งเจอไปเมื่อกี้

   ราชาภูต ! ฟาร์คัสเบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าจะได้เจออีกฝ่ายในสวนแห่งนี้ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังเหม่ออยู่จึงไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของฟาร์คัส ราชาภูตกำลังยืนอยู่ข้างสระน้ำที่มีเถาไม้เลื้อยสีสันสดใสและมีหิ่งห้อยบินไปมารอบตัว ทำให้ภาพตรงหน้าดูขลังอย่างประหลาด ฟาร์คัสรู้สึกถึงความเศร้าล้ำลึกที่ราชาภูตได้เก็บเอาไว้เพราะมือที่ยื่นไปแตะหิ่งห้อยนั้นสั่นน้อยๆ พร้อมกับเหยียดยิ้มออกมาเมื่อแตะหิ่งห้อยไม่ได้ ทั้งๆ ที่หิ่งห้อยนั่นบินใกล้ตัวขนาดนั้น

   ฟาร์คัสเริ่มรู้สึกถึงผิดปกติในตัวราชาภูต ถ้าหากเป็นข้าการจะจับหิ่งห้อยนั้นง่ายมากเพราะการบินว่อนเอื่อยๆ อยู่ตรงหน้าแค่กำมือก็จับได้แล้ว

   “ มีอะไรงั้นหรือ อาคันตุกะแห่งแดนปีศาจ ” เอลล์เอ่ยเรียกร่างที่ไม่ได้รับเชิญ ในความจริงเอลล์นั้นรู้สึกถึงตัวตนของฟาร์คัสตั้งแต่เดินมาแล้วเพราะประสาทสัมผัสที่ฉับไว แต่เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา เพื่อดูปฏิกิริยาของฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสสะดุ้งแต่ไม่ได้เกินความคาดหมายนัก ผู้เป็นถึงราชาย่อมรู้สึกตัวตัวตนของเขาได้อยู่แล้ว “ ข้าแค่ชมสวนแล้วบังเอญเจ้าก็เท่านั้น ”

   “ งั้นเหรอ.. ” เอลล์ยิ้มบางกับคำตอบ

   “ ท่าน.. ตาบอดงั้นเหรอ ”

   “ ใช่ ” เอลล์ตอบสั้นๆ น่าแปลกที่รู้สึกถูกชะตากับคนตรงหน้าอย่างประหลาดจนยอมบอกความผิดปกตินี้ ถึงแม้จะมองไม่เห็นก็รู้สึกถึงความซื่อสัตย์และเฉลียวฉลาดของอาคันตุกะผู้นี้

   “ ...  ” ฟาร์คัสเงียบไปสักพักเพราะคาดไม่ถึงว่าราชาภูตจำยอมรับง่ายดายถึงเพียงนี้ แต่ก็บอกกลายๆ อยู่เช่นกันว่าอย่าได้เผยแพร่เรื่องนี้ออกไป ดูเหมือนว่าราชาภูตคนนี้มีอะไรจะพูดอีกยาว “ ข้าชื่อว่า ฟาร์คัส แล้วท่านล่ะ ? ”
   
“ เรียกข้าว่า เอลล์ เถอะ ”

----------------------------------
ตัวละครใหม่  :mc4:

ขอบคุณคอมเมนต์ค่ะ :กอด1:

* ช่วงตอบคอมเมนต์

คุณ BlueCherries :  :hao5: แต่ไม่เป็นไรค่ะวารันมีโซแวนค่ะ

คุณ sirin_chadada : ขอบคุณค่ะ  :man1: วารันเขามีตัวจริงแล้วค่ะ

คุณ Hang : ถ้าสู้แล้วใช้พลังแบบนั้นจริง คาร์บิลัสคงไม่มีบทค่ะ 555555   :man1: ชอบเม้นยาวๆ ค่ะ ไม่เยอะหรอกน้า แต่ฉาก NC นี่  :really2:

คุณ Min*Jee : ท่านผู้นั้นก็คือพระเจ้าค่ะ แต่พวกคนวารัน เวลาเรียกจะเรียกชื่อแบบเลี่ยงๆ เพราะเกรงๆ กันค่ะ

คุณ magarons : หายปวดหัวรึยังค่ะ  :hao5:  เสียใจนิดหน่อยที่ปิดตั้งแต่ 5 บรรทัดแรก แต่ไม่เป็นไรค่ะ แค่คุณมาการอนชอบเราก็ดีใจแล้ว ชอบคอมเม้นยาวๆ ใส่อารมณ์ได้ค่ะ บ่งบอกถึงความอิน 5555

คุณ Celestia : ขุ่นแม่สิค่ะ 5555  :really2:

ปลใหญ่ๆ .  :ruready รู้สึกว่าน่าจะให้บทโซแวนน้อยไปสินะ  :hao5:
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 11 3 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 03-05-2015 09:58:05
โซแวนค่อยไปกล่าวคราวหน้าก็ได้ค่ะ ฮาาาา (อย่างน้อยวารันก็ไม่โดดเดี่ยวนะ  :hao5:)


แต่ว่ามีอีกคู่แล้วอ้าาา ลัลลัลล้าาาา  :กอด1:

เอลล์ หรือ คาร์บิลัส จะมีใครช่วยปล่อยลุกซ์ไหมคะ??
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 11 3 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 03-05-2015 14:17:45
รู้สึกอย่างหนึ่งสำหรับพระเอกเรื่องนี้
แพะนี้สืบสายพันธ์จากไซบีเรียน ฮัสกี้เรอะ อ้อนเหลือเกิน :mew4:
แต่นั้ลล้ากกกกกกกกกกก ไม่เป็นอะไร
เอลล์นี้คู่กับลุกซ์ชัวร์ๆ  :hao7:
สำหรับฉากอิโรติดเราไม่หวังน้า เราหวังแต่ฉากNC :laugh3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 11 3 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 03-05-2015 16:01:59
เหลือมังกรน้้ำกับลมงับ.   มาต่อเยอะๆหน่อติดเรื่องนี้แบ๋วมโนฟาคัสเป็นปีศาจญี่ปุ่นเท็นไรสักอย่าง.  พยายามเม้นยาวแต่รอบนี้ได้แค่นี้.  ปล.ให้กอดนี่คืออออ....กอดแบบไหนนนมันมีสองกอดนะ ฟฟฟฟฟฟฟฟ :z1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 11 3 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 03-05-2015 20:50:18
มาต่อไวๆนะค้าบ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 11 3 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 04-05-2015 12:13:34
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน  ติดงอมแงมเลยย ปกติไม่ค่อยอ่านนิยายแนวนี้แต่พอได้ลองอ่านก็สนุดไปอีกแบบนะ 

ปล. ที่เม้นบนบอกฟาคัสเหมือน เท็นๆของญี่ปุ่นนี่ใช่  คาราสุเท็นกุ
Karatsu Tengu หลือปล่าวคัฟ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 11 3 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 04-05-2015 14:25:33
ขอให้เอลล์หายตาบอดด้วยเถอะ
แต่ว่านะ ไอ้คนไม่ยอมรับความจริง พ่อตายเองแท้ๆ ดันเอาไปโทษชาวบ้าน คือโทษหมอยังดูดีกว่า ชื่อก็บอกว่านกบอกลาง ไม่ใช่นกสาปแช่ง ปั๊ดตบกะโหลกแตกเลยนี่
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 11 3 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 04-05-2015 14:45:59
งื้อออ ค้างมากกก :ling1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 11 3 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-05-2015 21:09:13
อยู่กับสองพ่อลูก?(ถ้าเจ้าหนูมังกรจะยอมให้ราชาปีศาจเป็นพ่ออ่ะนะ :p)ชีวิตฟาร์คัสคงไม่จืดชืดเกินไป ฮ่า
เอลล์น่าสงสารจัง
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 11 3 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 04-05-2015 21:56:43
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน  ติดงอมแงมเลยย ปกติไม่ค่อยอ่านนิยายแนวนี้แต่พอได้ลองอ่านก็สนุดไปอีกแบบนะ 

ปล. ที่เม้นบนบอกฟาคัสเหมือน เท็นๆของญี่ปุ่นนี่ใช่  คาราสุเท็นกุ
Karatsu Tengu หลือปล่าวคัฟ
ใช่ๆเท็นกุ บางคนเรียกเท็นงู
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 11 3 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Perry_Pie ที่ 05-05-2015 11:41:37
คาบิลัส ฟาร์คัส ดัฟฟ์ ให้บรรยากาศพ่อแม่ลูกเลยยย ชอบบน่ารักมากกกก
ชอบดัฟฟ์เจ้ามังกรดำตัวน้อยจังงงงง  :mew1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 5 พ.ค 58 30 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 05-05-2015 22:24:26
-- ตอนที่ 12 --

ทำไมท่านคาร์บิลัสต้องใช้ข้ามาหาข่าวไอ้นกบอกลางนั่นด้วย ลุกซ์คิดเซ็งๆ ระหว่างที่กำลังหาทางลอบเข้าไปในกำแพงไม้ยักษ์ที่เป็นที่เลื่องลือด้านการป้องกันผู้ต่างแดน ลุกซ์ในร่างมังกรยักษ์พ่นลมหายใจเป็นประกายไฟอย่างหงุดหงิดเมื่อหาช่องโหว่ไม่ได้

“ ได้ในเมื่อไม่มีงั้นข้าก็จะสร้างเอง ! ” ไม่แน่ใจเพราะความใจร้อนตามสายเลือดหรืออะไรที่ดลใจให้พ่นไฟอย่างเต็มที่ใส่กำแพงจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นกับกลุ่มควันลอยโขมง

   ลุกซ์หน้าซีดเผือดเมื่อไอ้กำแพงบ้าๆ นี่มันไม่สะเทือนแม้แต่แน่น้อยอีกทั้งยังเรียกเจ้าของดินแดนออกมาต้อนรับเองอีกด้วย ลุกซ์ร่ายเวทเตรียมจะเผ่นกลับดินแดนปีศาจก่อนที่ราชาภูตจะไหวตัวได้ทัน แต่หารู้ไม่ เมื่อรู้ตัวอีกทีกลับกลายร่างเป็นมนุษย์และนอนแอ่กอยู่ข้างเท้าของเด็กคนนึงที่ยืนข้างราชาภูต เด็กที่ยืนข้างราชาภูตเอียงหัวไปมาคล้ายกับกำลังหาต้นกำเนิดเสียง สิ่งที่ดึงดูดสายตาของลุกซ์ที่สุดก็คือดวงตาสองสีข้างหนึ่งเป็นสีเหลืองอำพันกับอีกข้างที่เป็นสีแดงเหมือนพลอยอัญมณีล้ำค่าแต่น่าเสียดายที่ดวงตานั้นไม่ทอประกายมีชีวิตชีวาใดๆ

   “ เหอะ รอบนี้เป็นปีศาจมังกรไฟงั้นเรอะ ” ราชาภูตหรือเมเออร์แค่นเสียงใส่พร้อมกับร่ายเวทตีตรวนผู้บุรุกเอาไว้ “ ฟังให้ดีเอลล์ นี่คือบทลงโทษของผู้บุกรุกดินแดนของเรา ” เมเออร์เรียกให้ร่างเล็กข้างตัวหันมาสนใจ “ ผู้ใดก็ตามที่กล้าบุกรุกดินแดนเรา ผู้นั้นย่อมได้รับบทลงโทษที่สาสม ”

   “ เขาอาจจะหลงทางมาก็ได้นะ ท่านพ่อ.. ” เอลล์พูดเสียงเบาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เสียงที่ตกกระทบพื้นนั้นดังสนั่นจนคิดว่าร่างนั้นน่าจะเจ็บไม่น้อย ว่าแต่มังกรไฟเหรอ ข้าอยากเห็นจังแฮะ ข้ารู้สึกแค่ความร้อนจางๆ ในอากาศเอง

   “ หุบปาก ! ” เมเออร์ตะคอกใส่ร่างเล็ก ดวงตาสีอำพันขึ้นสีแดงก่ำขึ้นมา “ จำที่ข้าสอนไม่ได้งั้นหรือ เอลล์ ดินแดนอื่นมันไว้ใจไม่ได้ ท่านมิลแลนด์ถึงได้สร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อปกป้องทุกคนเอาไว้ ”

   “ ขะ เข้าใจฮะ ” เอลล์สะดุ้งตอบเสียงสั่นอย่างหวาดกลัว ทั้งๆ ที่ในใจกลับไม่เห็นด้วยในสิ่งที่พ่อกำลังพยายามปลูกฝังตนอยู่ กำแพงนั่นไม่ได้ปกป้องทุกคนได้ตลอดไปซะหน่อย ถ้าหากวันใดวันหนึ่งมันหายไป ดินแดนภูตจะไม่สูญสลายไปเลยงั้นเหรอ แต่อย่างไรก็ตอบเอลล์ได้แต่เก็บเรื่องที่ตนคิดในใจ ถ้าพูดออกไปไม่วายโดนท่านพ่อทำโทษแน่

   ข้ากำลังทำในสิ่งที่ท่านพ่อรู้แล้วต้องโกรธมากแน่ๆ ข้าแอบตามท่านพ่อเข้ามาในคุกใต้ดินของปราสาทดูเหมือนว่าท่านพ่อจะเกลียดพวกปีศาจเป็นพิเศษเลยเอาปีศาจมังกรมาไว้ที่นี้ ซึ่งเป็นคุกที่มีความปลอดภัยหนาแน่นที่สุดแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหนีออกไปถ้าไม่มีพลังเท่าท่านพ่อ ที่ข้ารู้งั้นเหรอ ? เพราะไซรินบอกข้าไงล่ะ

   “ เจ้าเข้ามาดินแดนภูตทำไม ปีศาจ !! ”
   
ข้าได้ยินเสียงท่านพ่อตะหวาดกร้าวก็รีบซ่อนเร้นตัวในความมืดทันที เวทบทนี้ข้าแอบศึกษาเอาเองโดยให้ไซรินอ่านให้ฟัง เป็นเวทที่ท่านพ่อของข้าไม่ให้เรียน

   “ หึ ข้าแค่มาเที่ยวบ้างไม่ได้หรืออย่างไรกัน ” เสียงแหบต่ำสำเนียงแปลกหูเป็นของลุกซ์ที่กำลังคลี่ยิ้มยียวนผู้เป็นราชาแห่งดินแดนภูค

   “ ข้าให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้ง ปีศาจ ” เมเออร์ถามเสียงเย็น ดวงตาทอประกายดุร้ายในมือมีแสงสีทองขึ้นจางๆ และกำมือแน่น
   
อึ่ก ! ลุกซ์จับคอตัวเองแน่นจ้องเมเออร์ด้วยสีหน้าโกรธแค้น “ กะอีแค่มาเที่ยวข้าเกรงว่า จะไม่ได้ทำให้ดินแดนของท่านเสื่อมเสียหรอกนะ เมเออร์ ”
   
“ ข้าถือว่าข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว ” เมเออร์ดึงด้ายสีทองในกำมือและกระตุกเบาๆ

   ผลั่ก

   ลุกซ์ปลิวไปกระแทกกับผนังอย่างแรงจนกองลงกลับพื้น ลุกซ์งอตัวด้วยความเจ็บปวดแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกเพราะรู้ถึงความต่างชั้นของพลัง บริเวณข้อเท้าข้างนึงอยู่ๆ กลับรู้สึกหนักอึ้งเพราะตรวนเวทสีทอง บรรยากาศภายในห้องขังดูหม่นลงทันตาจนหายใจได้ลำบาก

   “ จงอยู่ในนี้อย่างสงบ จนกว่านายของเจ้าจะมารับเถอะ ปีศาจ ” เมเออร์กล่าวออกมาพร้อมกับมองด้วยสายคาเย็นชา ถึงแม้จะอยากฆ่าให้ตายก็ทำไม่ได้เพราะปีศาจมังกรไฟเป็นลูกน้องที่มี่ชื่อของคารบิลัส การฆ่าอาจจะหมายถึงการประกาศสงครามอยู่กลายๆ แต่ถ้าจะให้คืนง่ายๆ ก็ไม่ใช่เมเออร์เช่นกัน เมเออร์ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วอย่างกับรังเกียจที่จะอยู่ร่วมกับปีศาจ

   ลุกซ์เห็นเมเออร์รีบเดินขึ้นไปก็แค่นเสียงหัวเราะออกมา “ เหอะ ไม่แน่นี่หว่า ” พูดจบก็งอตัวเป็นกุ้งอีกครั้งการโดนกระแทกกำแพงโดยมือที่มองไม่เห็นนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นจริงๆ
   
เอลล์เมื่อได้ยินเสียงปิดกลไกประตูข้างบนก็เลิกซ่อนตัวและค่อยๆ เดินไปทางที่มีเสียงพูดของปีศาจมังกร เอลล์ยังไม่เชี่ยวชาญด้านการเดินเหินเท่าไหร่นักในตอนนี้ ถ้าหากรีบเดินก็อาจจะชนกับสิ่งของได้

   ปั๊ก

   เอลล์ชนเข้ากับกรงเวทเข้าเต็มๆ จนลงไปกองกับพื้น

   ลุกซ์เงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงชนลูกกรงและทันเห็นฉากเอลล์ล้มพอดีก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “ ฮ่าๆ เดินอะไรของเจ้าน่ะ เดินยังกับไม่มีตาไปได้ ”

   เอลล์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและพยายามหันไปทางต้นกำเนิดเสียง “ ใช่ ข้าไม่มีตาหรอก ท่านปีศาจ ” เสียงของเอลล์ติดจะเศร้าแต่ก็ไม่มีความโกรธเคืองในสิ่งที่ลุกซ์พูด

   เสียงหัวเราะของลุกซ์ค่อยๆ เงียบลงเมื่อจับถึงความเศร้าในน้ำเสียงนั้นได้ “ อะไรกันเจ้ามีตาสีสวยจะตาย ”

   “ มันไม่สำคัญหรอก ท่านปีศาจตราบใดที่มันไม่สามารถทำให้ข้ามองเห็นอะไรได้ ” เอลล์ยิ้มบาง “ ท่านสิเป็นยังไงบ้าง ข้าได้ยินเสียงกระแทก ท่านอยากได้ยาไหม ”

   ลุกซ์และยันตัวขึ้นมานั่งดีๆ ลอบสังเกตร่างภูตเด็กที่เจอกันเมื่อกี้ ผมสีอ่อนเกือบจะขาวกับร่างเล็กๆ ที่ดูน่าเอ็นดู “ ข้าไม่เป็นไรหรอกน่า แค่นี้ถ้าเทียบกับโดนท่านคาร์บิลัสทำโทษคนล่ะเรื่องเลยล่ะ ” ลุกซ์ฝืนพูดแม้จะยังรู้สึกเสียดๆ ก็ตาม

   “ งั้นเหรอ.. ” เอลล์พูดเสียงเบา “ ท่านเป็นมังกรไฟจริงงั้นเหรอ ”

   ลุกซ์เลิกคิ้วกับคำถามและยิ้มออกมา “ ใช่ ข้าเป็นมังกรไฟ ” ลุกซ์เสกลูกไฟเข้าไปใกล้ลูกกรงที่เอลล์ยืนอยู่เป็นการยืนยัน

   “ ร้อน ! ” เอลล์ขมวดคิ้วและขยับตัวออกจากลูกกรงทันที “ นักเวทก็สามารถเสกลูกไฟได้เหมือนกันนะ ท่านปีศาจ ”

   “ งั้นก็.. ” ลุกซ์ครางเสียงต่ำอย่างครุ่นคิด งั้นข้าจะกลายร่างเป็นมังกรแล้วกัน ลุกซ์คืนร่างเป็นมังกรที่ลดขนาดจากปกติพอสมควรและยื่นหัวเข้าไปใกล้บริเวณที่ร่างเล็กยืนอยู่ “ ลองจับตัวข้าดูสิ ” ลุกซ์ขบกรามแน่นเก็บความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงเข้ามาในร่างกายยามที่คืนร่างเป็นมังกรรวมทั้งลูกกรงเวทที่ส่งกระแสไฟฟ้าสร้างความเจ็บปวดให้อีกขั้น

   “ ท่านปีศาจ อย่ากัดนิ้วข้านะ ” เอลล์บอกและขยับเข้ามาใกล้ลูกกรงยื่นมือเข้าไปในลูกกรงแต่สิ่งที่ไขว่คว้าได้กลับมีเพียงแค่อากาศ

   ดวงตาของลุกซ์ทอประกายเศร้าออกมาและยื่นหัวออกไปคลอเคลียกับมือของร่างเล็ก “ เจ้าชื่ออะไรงั้นหรือ ตัวเล็ก ”
   
“ เอลล์ ข้าชื่อเอลล์ ” เอลล์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ความขรุขระของสิ่งที่สัมผัสเขาโค้งงอที่รู้สึกถึงความคมและหยาบ สิ่งที่เขาจับคือหัวมังกร ! “ แล้วชื่อท่านละ ท่านมังกรไฟ ”

   “ ลุกซ์ไงล่ะ เอลล์  ”

----------------
แวะมาลงตอนเจอกันครั้งแรกให้ก่อน  :katai5:

 :man1: ขอบคุณทุกคอมเม้นค่ะ


หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 5 พ.ค 58 30 %
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 05-05-2015 22:38:00
จะเอาลุกซ์ออกได้คือเจ้านายมารับ

เนี่ยเจ้านายมาถึงที่แล้ว เอาฮิมออกไปเถอะ อยู่ข้างนอกเป็นเพื่อนเอลล์แทน  :mew4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 5 พ.ค 58 30 %
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 05-05-2015 23:01:18
แล้วลุกซ์ก็คู่กับเอลล์ กรี๊ดดดดดด(มโนเองกรี๊ดเอง)
คิดถึงคาร์บิลัสจังเลยยยยยยยย
มาซะทีน้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 5 พ.ค 58 30 %
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-05-2015 23:13:30
รู้สึกว่าจิ้นลุกซ์กับเอลล์แฮะ จะมีอะไรในกอไผ่มั้ยน้า...
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 5 พ.ค 58 30 %
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 05-05-2015 23:45:36
ว้ายยยยหนูเอลล์น่ารักจุง :hao7:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 5 พ.ค 58 30 %
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 06-05-2015 00:56:09
รอท่าน ฆ่าบี้ลัส อิอิ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 5 พ.ค 58 30 %
เริ่มหัวข้อโดย: Rambluesky ที่ 06-05-2015 09:24:16
ลุกซ์กับเอลล์ ? น่ารักๆ  :-[ :-[

รออ่านต่อนะครับ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 5 พ.ค 58 30 %
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 06-05-2015 23:45:32
คู่นี้มาแบบมุ้งมิ้งน่ารักแฮะ ดูท่าเจ้ามังกรหลงภูตไปแล้วล่ะ XD

//ปูดสื่อรอท่านฆ่าบี้ลัสออกโรง
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 5 พ.ค 58 30 %
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 07-05-2015 06:17:54
รออๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 7 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-05-2015 18:20:32
-- 100 % --

“ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่ข้าตาบอดหรอกนะ ฟาร์คัส ” เอลล์ยิ้มออกมาบางๆ และกำหิ่งห้อยที่ลอยเอื่อยตรงหน้าได้อย่างแม่นยำ “ ประสาทสัมผัสของข้า ข้ามั่นใจว่าไม่เป็นรองใครแน่นอน ”
   
ฟาร์คัสเลิกคิ้วน้อยๆ แล้วท่าทางเมื่อกี้ล่ะ ? “ แล้วทำไมเมื่อกี้ท่านถึงจับไม่ได้ล่ะ ? ”

   ถึงแม้เอลล์จะยังคงยิ้มบางอยู่แต่ฟาร์คัสก็รู้สึกถึงความเศร้าที่มากับคำพูด “ ข้าแค่ลองจับมันโดยไม่ใช่ประสาทสัมผัสดู ก็อย่างว่าล่ะนะ ข้ามองไม่เห็นมันจะไปจับได้ยังไงล่ะ ” เอลล์หัวเราะเสียงเบา

   ฟาร์คัสไม่ได้พูดอะไรออกมา คนที่หัวเราะทั้งๆ ที่กำลังเศร้านั้นไม่ใช่สิ่งที่ฟาร์คัสชอบนัก มันเป็นการกลบเกลื่อนความอ่อนแอของตัวเองกับจนใจกับสิ่งที่ประสบอยู่ ถ้าจะหัวเราะออกมาแบบนี้สู้เงียบไปยังดีกว่าเพราะมันทำให้ฟาร์คัสรู้สึกสลดไปด้วย “ ท่านไม่ต้องฝืนหรอกเอลล์ พูดออกมาเถอะ ข้าจะรับฟังให้ ” 

   เอลล์ยังคงยิ้ม “ นั่งก่อนเถอะ ถ้าจะช่วยรับฟังปัญหาชีวิตของราชาภูตผู้ตาบอด ” เอลล์ร่ายเวทสั้นๆ ก็ทำให้เกิดสิ่งที่ประหลาดเกิดขึ้น เวทสีอ่อนสว่างคล้ายกับสีผมของเอลล์ค่อยๆ ทักทอกลายเป็นเก้าอี้ที่สวยงามและแปลกตา เอลล์นั่งลงบนเก้าอี้และปล่อยหิ่งห้อยในมือให้บินออกไป เจ้าหิ่งห้อยนิ่งอยู่สักพักก็บินเอื่อยๆ หมุนๆ ไปมาคล้ายกับกำลังมึนงงทิศทาง
   
ฟาร์คัสจ้องเก้าอี้อึ้งๆ นี่สินะ พลังเวทของราชาภูต ทั้งสวยงามแต่ก็น่าหวั่นเกรงในเวลาเดียวกันไม่เหมือนของคาร์บิลัสที่มองแล้วรู้สึกพลังอำนาจมหาศาลและรู้สึกขนพองสยองกล้าอีกด้วย ฟาร์คัสนั่งบนเก้าอี้เวทซึ่งก็ต้องแปลกใจอีกครั้งในความสบายของมัน

   “ ฟาร์คัสเจ้าอยากฟังนิทานของข้าไหม ”

   “ .. เล่ามาเถอะ เอลล์ ” 

   “ มีเด็กชายคนนึงเกิดมาตาบอดไม่สิต้องภูตสินะ ” เอลล์หัวเราะเบาๆ ถึงแม้มันจะไม่น่าขันก็ตาม “ ภูตคนนั้นในยามเด็กพยายามใฝ่หาทางที่จะทำให้ตัวเองมองเห็น แสงอรุณ แสงจันทร์ ท้องฟ้า ดอกไม้ ต้นหญ้า ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ภูตคนนั้นปราถานาที่จะได้เห็น ”

   ฟาร์คัสขมวดคิ้วเมื่อเห็นเอลล์กำมือแน่น

   “ แต่ทุกสิ่งย่อมอุปสรรค เมื่อพ่อของภูตตนนั้นยัดเยียดการฝึกฝนเข้ามาแทนการหาทางให้ภูตเด็กคนนั้นมองเห็น สิ่งที่รับจากการฝึกคือประสาทสัมผัสที่แม้แต่พ่อที่เย่อหยิ่งของภูตคนนั้นยังยอมรับ การใช้เวทมนตราล้วนเฉียบขาด แต่นั้นก็ไม่ได้ถมช่องวางในใจของภูตคนนั้นเลย ” เอลล์คลี่ยิ้มบางอีกครั้งแต่ครั้งนี้เหมือนกับกำลังยิ้มเยาะตัวเอง

   ฟาร์คัสไม่กล้าพูดอะไรออกไป กลัวว่าหากพูดอะไรออกไปร่างตรงหน้าจะร้องไห้ออกมา ฟาร์คัสมักจะเป็นผู้ฟังที่ดีและคอยสังเกตท่าทางของผู้อื่นอยู่เสมอ ในครั้งนี้ก็สังเกตเห็นเช่นกัน ราชาภูตหรือเอลล์แท้จริงแล้วกลับเปราะบางต่างจากท่าทางที่แสดงให้เห็นในปกติ

   “ ภูตคนนั้นพยายามหาสาเหตุที่ตนตาบอดเพราะเชื่อลึกๆ ว่าไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่แรกเกิด ภูตนั้นได้ถามพ่อ แต่พ่อก็ได้บ่ายเบี่ยงหลายต่อหลายครั้งจนเผลอหลุดปากออกมา ว่าถูกคำสาป ”

   “ ท่านถูกสาป.. ” ฟาร์คัสทวนคำ การสาปเชื้อพระวงศ์ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่เพราะในบางครั้งความอิจฉา ริษยาก็เป็นเหตุได้เช่นกัน

   “ ใช่ ข้าถูกสาป.. คำสาปที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนสาป ” เอลล์เลิกยิ้มเหลือเพียงใบหน้าส่วนล่างที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา ฟาร์คัสไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตอนนี้เอลล์กำลังรู้สึกอย่างไร หน้ากากของเอลล์ทำหน้าที่ของมันได้ดีจนน่ารำคาญเลยทีเดียว

   “ แต่อย่างน้อยถ้าข้าถอนคำสาปได้ ข้าอาจจะมองเห็นได้สินะ ” เอลล์พูดออกมาแต่ใบหน้ายังคงเช่นเดิม “ เจ้ารู้อะไรไหมฟาร์คัส สิ่งที่ข้าหวังกับการสร้างสัมพันธไมตรีน่ะไม่เพียงการค้าหรอกนะ ข้าหวังจะให้มันสามารถสนองความเห็นแก่ตัวของข้าได้ ”

   ท่านไม่ได้เห็นแก่ตัวเลย เอลล์ ฟาร์คัสคิดแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้เพียงรับฟังเท่านั้น

   “ ข้าอยากจะมองเห็นสักครั้ง ” เอลล์ระบายยิ้มออกมา “ ขอบคุณเจ้านะ ฟาร์คัส ที่มานั่งฟังนิทานของราชาภูตผู้ตาบอดคนนี้ ”

   ฟาร์คัสเงียบไปและตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ “ ข้าจะช่วยเจ้า เอลล์ ”
   
เอลล์นิ่งไปสักพัก เพราะคาดไม่ถึงว่าผู้ติดตามของราชาปีศาจจะพูดคำนี้ออกมา “ ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก ฟาร์คัส เจ้าเป็นผู้ติดตามถ้าเจ้าไม่ติดตามราชาของเจ้าจะเป็นผลเสียต่อเจ้านะ ” และปฏิเสธออกมาด้วยความเกรงใจ แค่มีคนรับฟังนอกจากลุกซ์ ข้าก็ดีใจแล้ว เรื่องตาบอดของเอลล์ถูกปิดไว้เป็นความลับระดับสูงทำให้เอลล์ไม่มีเพื่อนเลยนอกจากไซรินผู้คนที่พบปะด้วยส่วนใหญ่จะเป็นท่านพ่อและอาจารย์ที่ไว้ใจได้แค่บางส่วนเท่านั้น

   ฟาร์คัสเผลอยิ้มออกมา “ คาร์บิลัสไม่เป็นปัญหาต่อข้าหรอก เอลล์ ” แค่โดนข้าด่ารอบเดียวก็หงอยแล้ว

   ผู้ติดตามบอกว่าเจ้านายของตัวเองไม่เป็นปัญหางั้นเหรอ ภายใต้หน้ากากมีสีหน้าติดจะงุนงงของเอลล์ เอาเถอะ ราชาปีศาจอาจจะเคารพฟาร์คัสล่ะมั้ง “ ขอบคุณนะ ฟาร์คัส ”

   “ อืม ” ฟาร์คัสตอบสั้นๆ และเลิกคิ้วออกมาเมื่อเห็นเอลล์อึกอักคล้ายกับจะพูดอะไรแต่ไม่พูดสักที

   “ เห็นแก่เจ้า ข้าจะบอกสิ่งที่ข้าอยากเห็นที่สุดแล้วกัน ”

   ฟาร์คัสนั่งฟังด้วยท่าทีนิ่งสงบแต่ในใจอยากรู้ว่าเอลล์ ผู้เป็นราชาภูตอยากจะเห็นอะไรเป็นสิ่งที่แรกในยามที่ดวงตากลับมามองเห็นอีกครั้ง

   “ ข้าอยากเห็นมังกรไฟ.. ”

   มังกร มังกรไฟ ? ใช่ตัวเดียวกับลูกน้องของคาร์บิลัสหรือเปล่า ฟาร์คัสขมวดคิ้วทันที เพราะรู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่พอจะถามเอลล์กลับลุกขึ้นยืนเตรียมจะร่ายเวทไปที่ไหนสักแห่งแล้ว

   “ เอาล่ะ ข้าคงต้องกลับไปแล้วล่ะ ฟาร์คัส ” เอลล์ถอนหายใจออกมาแต่ฟาร์คัสกลับเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่าย “ เจ้าสามารถติดต่อข้าได้ตลอดนะ ถ้าต้องการที่จะพบข้า ”

   ยังไม่ทันที่ฟาร์คัสจะกล่าวลาเอลล์ก็ได้หายไปจากคลองจักษุแล้ว ฟาร์คัสลุกขึ้นยืนและก้าวเดินกลับทางเก่า แต่ในใจกลับยังคิดเรื่องที่เอลล์ดูลุกลี้ลุกลนเมื่อกี้ คล้ายกับว่าเห็นเลือดฝาดบนใบหน้าอีกฝ่ายแต่ไม่แน่ใจนักเพราะแสงสว่างจากหิ่งห้อยนั้นส่งแสงให้ความสว่างน้อยเกินไป เอาเถอะ คิดมากไปก็ปวดหัวข้าซะเปล่าๆ ใช้เวลาไม่นานก็ถึงสวนที่คุ้นตา ฟาร์คัสเตรียมจะเดินกลับไปนั่งที่นั่งก็ถูกโจมตีเข้าซะก่อน ฟาร์คัสเบิกตากว้างเตรียมจะร่ายเวทป้องกันตัวเพราะศัตรูกำลังเกาะหลังอย่างเหนียวแน่น
   
“ ฟาร์คัสสส เจ้าหายไปไหนมา ข้าเป็นห่วงแทบแย่ ” คาร์บิลัสที่พึ่งโผกอดร่างของฟาร์คัสถามออกมาด้วยน้ำเสียงกับดวงตาเศร้าสร้อยทิ้งมาดขรึมให้หายไปทันตา

   “ ข้าแค่ไปนั่งคุยกับเจ้าของงานนี้ ” ฟาร์คัสตอบเสียงเรียบแต่ไม่ได้ตำหนิแขนที่กำลังกอดอยู่เพราะรู้ว่าคาร์บิลัสนั้นเป็นห่วงจริงๆ ดวงตาของคาร์บิลัสไม่เคยโกหกความรู้สึกสักครั้ง

   “ แง้ แม่หาย ” ดัฟฟ์ที่ไม่รู้มาเมื่อไหร่กอดเข้าที่ขาของฟาร์คัส

   ฟาร์คัสกลอกตา “ คาร์บิลัส ดัฟฟ์ ปล่อยข้าได้แล้ว ”  โชคดีที่ตรงสวนก็ยังคงไม่มีใครสนใจ ไม่เช่นนั้นคงเห็นราชาปีศาจกอดผู้ติดตามของตัวเองจนแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียว

   คาร์บิลัสยอมปล่อยแขนออกแต่ดวงตายังคงทอประกายเศร้าๆ “ ข้ากลัวว่าหากคลาดสายตาไปเจ้าจะหายไปนะ ฟาร์คัส ”

   ฟาร์คัสไม่ตอบอะไรเพียงแค่ยิ้มบางออกมา “ ข้าไม่หายไปไหนหรอกนะ คาร์บิลัส ในเมื่อข้ากลายเป็นคนของเจ้าไปแล้ว ”
   
คาร์บิลัสยิ้มกว้างออกมาส่งผลให้ดูดีขึ้นมาทันตาจนฟาร์คัสอดเบนสายตาไปทางอื่นไม่ได้ ใครใช้ให้ราชาปีศาจดูดีเกินไปล่ะ

   “ ในที่สุดเจ้าก็ยอมเป็นชายาข้าแล้วใช่ไหม ฟาร์คัส ! ” และโผเข้าใส่ฟาร์คัส

   ผลั่ก
   
คาร์บิลัสถูกฟาร์คัสถีบจนไปกองกับพื้น

   “ สมน้ำหน้า ฆ่าบี้ลัส ! ฮ่าๆ ” ดัฟฟ์หัวเราะเสียงใสชี้ไปทางคาร์บิลัสด้วยท่าทางเยาะเย้ย

   คาร์บิลัสลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเหมือนไร้วิญญาณ ไม่มีการตอบโต้การเยาะเย้ยของดัฟฟ์แต่อย่างใด โฮ ฟาร์คัสถีบข้าอีกแล้ว ข้าก็แค่อยากกอดเท่านั้นเอง คาร์บิลัสคิดด้วยสีหน้าจะร้องไห้ใส่ฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสถอนหายใจแรงๆ บางทีข้าก็ไม่เข้าใจนะว่า คาร์บิลัสมันเป็นราชาปีศาจจริงหรือเปล่า ไอ้ตำแหน่งนี้ใครไปแต่งตั้งให้ ท่าทางตอนนี้ยังกับเด็กขาดความรัก “ กลับห้องพักกัน ”

   ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากคาร์บิลัสนอกจากสีหน้าจะร้องไห้เหมือนเดิม

   “ ... ” ฟาร์คัสไม่พูดอะไรออกมา ก็ได้.. ข้าจะง้อก็ได้ ฟาร์คัสก้าวขาเข้าไปใกล้คาร์บิลัสรั้งคอเสื้อให้คาร์บิลัสน้อมลงมาและแนบริมฝีปากกับอีกฝ่ายแต่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น ฟาร์คัสก็รีบปล่อยออกมาแต่คาร์บิลัสกลับไม่ยอมปล่อย  ท่อนแขนแกร่งที่เดิมทีที่ปล่อยง่ายๆ ต้องนี้กลับกักตัวฟาร์คัสเอาไว้อย่างหนาแน่น ฟาร์คัสปิดปากแน่นเมื่ออีกฝ่ายพยายามจะเปิดปากตัวเองให้ได้

   ฟาร์คัสขมวดคิ้วเมื่อไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย

   “ แก๊ซ ! ” ดัฟฟ์ร้องออกมาอย่างไม่พอใจเมื่อฟาร์คัสไม่ยอมสนใจเอาแต่ทำอะไรสักอย่างกับฆ่าบี้ลัส ดัฟฟ์ก้าวถอยหลังยาวๆ แล้วก็พุ่งตัวสูงกระโดดเข้างับหัวคาร์บิลัส

   “ ไอ้มังกรรรรรรรรรรรรรรรรรร ” คาร์บิลัสคำรามเสียงดังลั่น


   “ เจ้าจะช่วยราชาภูตงั้นเหรอ ฟาร์คัส ”
   
“ ใช่ ข้าจะช่วย ” ฟาร์คัสพยักหน้าและยิ้มเบาบางออกมา “ การที่เอลล์ยอมเล่าเรื่องของตัวเองให้กับคนที่ไม่รู้จักอย่างข้า ข้าก็สมควรจะตอบแทนด้วยความจริงใจเหมือนกัน ”
   
“ เจ้าว่าไงข้าก็ว่าตามนั่นแหละ ” คาร์บิลัสยิ้ม “ งั้นถือโอกาสไปหาเจ้ามังกรไฟด้วยไหมล่ะ ฟาร์คัส”

   “ ก็ดี ” ข้าอยากจะไขข้อข้องใจนั่นเหมือนกัน
   
“ แต่ข้าว่าค่อยพรุ่งนี้เถอะ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ” คาร์บิลัสเหลือบมองท้องฟ้านอกหน้าต่างที่ดวงจันทร์กำลังส่งแสงนวลตาท่ามกลางท้องฟ้าที่ปลอดโปรงไร้เมฆบดบัง

   ฟาร์คัสพยักหน้าสั้นๆ และลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกจากห้อง เพราะทางดินแดนภูตได้จัดห้องพักไว้สองห้องซึ่งอยู่ติดกัน
   
“ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสส่งสายตาน่าสงสารไปยังฟาร์คัส “ ข้ากลัวผี ”
   
ตลกแล้ว ฟาร์คัสส่งสายตาเย็นชาใส่ “ เจ้าอายุเท่าไหร่กัน คาร์บิลัส ”

   “ ข้ากลัวจริงๆ นะ ”

   “ ราชาปีศาจกลัวผี เจ้าไม่ใช่เด็กนะ คาร์บิลัส ”

   คาร์บิลัสไม่พูดอะไรยังคงส่งสายตาใส่ฟาร์คัส แต่แอบสะบัดมือเบาๆ เรียกให้เงาสีดำข้างหลังของตนค่อยๆ คืบคลานไปยังฟาร์คัส โดยที่ฟาร์คัสไม่รู้ตัว
   
“ เลิกทำหน้าแบบนั้นซะทีเถอะ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสพูดเสียงอ่อน เพราะทำหน้าแบบนี้ไงเขาถึงเผลอใจอ่อนทุกครั้ง
   
เงาสีดำที่คืบคลานไปยังหลังของฟาร์คัสได้สำเร็จค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาเป็นร่างสีดำคล้ายมนุษย์ที่ดูแล้วน่าขนลุกและมันก็แตะเข้าที่ไหล่ของฟาร์คัส ! ตามการควบคุมของคาร์บิลัส

   ฟาร์คัสสะดุ้งเมื่อรู้สึกมือสีดำปริศนาที่สัมผัสเข้าที่ไหล่ของตัวเอง

   บ้าน่า.. ผีจะมีจริงได้อย่างไรล่ะ ฟาร์คัสคิดปลอบใจตัวเองที่ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว ข้าเคยเจอแค่ผีท่านพ่อในความฝันเท่านั้นเอง ในโลกความจริงมันจะไปมีได้ยังไง

   “ เอ๋ เจ้าเป็นอะไรไปฟาร์คัส ” คาร์บิลัสถามตาใสพร้อมแสร้งทำท่าเป็นห่วง

   “ ไม่มีอะไร ” ฟาร์คัสตอบกลับสั่นๆ เมื่อเห็นมือที่จับไหล่ชัดๆ “ ขะ ข้านอนกับเจ้าก็ได้ คาร์บิลัส เห็นแก่เด็กอย่างเจ้าแล้วกัน ”
   คาร์บิลัสยิ้มกว้าง “ นอนเตียงกับข้านะ ! ”

   “ อะ อืม ”  มือที่แตะไหล่ค่อยๆ กดแรงหนักขึ้น

   คาร์บิลัสดีดนิ้วเบาๆ เรียกให้เงานั่นกลับไปยังเงายังที่เดิมของมัน

   แต่สิ่งที่ซวยสำหรับคาร์บิลัสก็เกิดขึ้น เมื่อฟาร์คัสมองเงาสีดำที่พุ่งกลับไปที่เดิมอย่างสายฟ้าแลบทัน !

   “ คาร์บิลัส !! ” ฟาร์คัสคำรามออกมาด้วยความโกรธ ในมือปรากฎคทาเวทและอีกา  “ ไปฆ่ามันซะ !! ” ฟาร์คัสตะคอกบอกอีกาข้างกาย
   
เวรแล้วไง คาร์บิลัสหน้าซีดพร้อมกับยิ้มแหยๆ
   
กว้ากกก

   เจ้าอีกาที่แบ่งความคิดของฟาร์คัสไปด้วยกู่ร้องออกมาพุ่งเข้าไปจิกคาร์บิลัสอย่างไร้ความปราณี ซึ่งคาร์บิลัสก็ไม่กล้าโต้ตอบเพราะกลัวจะทำให้อีกาของฟาร์คัสได้รับบาดเจ็บแต่นั้นก็เท่ากับทำร้ายตัวเองอยู่กลายๆ
   
“ ฟาร์คัส ข้าอยากนอนกับเจ้าจริงๆ นะ ” คาร์บิลัสร้องโอดครวญออกมาอย่างน่าสงสารและวิ่งหนีอีกาที่บินไล่จิกอย่างแข็งขัน

   “ ฝันกลางวันต่อไปเถอะ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสแค่นเสียงตอบก้าวขาออกจากห้องและกระแทกประตูเสียงดัง
   
คาร์บิลัสวิ่งทั้งน้ำตา

   ทำไม ฟาร์คัสถึงไม่ยอมเชื่องกับข้าสักที !

-------------------

 นิทานเรื่องที่สองของฟาร์คัส 5555555  :really2:

ลุกซ์กับเอลล์นี่มีอะไรไหมน้า  :hao6:

 :man1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ  :pig4:



   
   
   
   
   
   
   

 
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 7 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 07-05-2015 18:54:32
โธ่ อีกนิดคาร์บิลัสจะสำเร็จแล้ว พลาดไปนิ๊ดดเดียวเอง

ดวงกุดตามเคย หุหุ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 7 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 07-05-2015 19:13:55
คาบิลัสชั้นสงสารแก555555 :laugh:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 7 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-05-2015 20:33:11
เจ้าเล่ห์นักนะคาร์บิลัส...พยายามจริงอะไรจริง
แต่ก็น่าสงสาร ดันชอบคนใจแข็งซะนี่
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 7 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 07-05-2015 21:18:01
รอต่อจ้า
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 7 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 07-05-2015 22:25:09
ฮาเกิ๊นนนน ฆ่าบีลัส
รักน้องดัฟฟ์

เป็นกำลังใจให้นะ รออ่านจ้าา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 7 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 08-05-2015 00:29:39
สงสารฆ่าบี้ลัส เป็นที่รองไม้รองมือตลอด 55555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 7 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 08-05-2015 00:56:26
คะ....ค๊ะ....คิก!5555555555 หลุดหัวเราะเลยทีเดียวแอบแม่อ่านนิยายโดนบ่นเลยย งอน เพิ่มอีก 3ตอนมาฃ้อเดี๋ยวนี้   :hao7:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 7 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Rambluesky ที่ 08-05-2015 11:15:00
เกือบสำเร็จและ  :m20: :m20:

รออ่านต่อนะครับ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 12 7 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 10-05-2015 13:40:25
สนุกกกกกกกกกกกก มาต่อไวไวน้า
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 13 10 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 10-05-2015 22:50:44
ตอนที่ 13
   เอลล์กลับมายังห้องทำงานของตัวเองและนั่งบนเก้าอี้แกะสลักงดงามมีอัญมณีประดับอยู่อย่างงดงาม ข้ากล้าบอกเรื่องลุกซ์กับฟาร์คัสไปได้ยังไงกัน.. เอลล์นวดขมับตัวเองเบาๆ ดูเหมือนว่าข้าจะขาดคนคุยด้วยมานานล่ะมั้ง ถึงได้บอกเรื่องนี่กับฟาร์คัส ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากให้ใครรู้เพราะมันเป็นเรื่องน่าอายแท้ๆ

   ก็อก ก็อก
   
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับปรากฎร่างของผู้แสนทระนงตัวและเย่อหยิ่งที่ตอนนี้ค่อนข้างชราแล้วแต่ดวงตาที่ส่อประกายแข็งกร้าวนั้นไม่ได้อ่อนลงสักนิด ท่านพ่อของเอลล์นั่นเอง  “ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ เอลล์ ” น้ำเสียงถามส่อความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ ข้าต้องการคำอธิบายในเรื่องนี้ ”

   เอลล์นั่งหลังเหยียดตรงด้วยท่วงท่าของกษัตริย์ “ ทำสิ่งที่ดีที่สุดต่อดินแดนภูตไง ท่านพ่อ ”
   
“ เจ้าคิดว่าไอ้แผนสร้างสัมพันธไมตรีของเจ้ามันจะไปเชื่อใจได้งั้นเหรอ ! ” เมเออร์ตะคอกใส่เอลล์ “ เจ้ามีพลังมากพอที่จะสร้างกำแพงทำไมเจ้าไม่ทำล่ะเอลล์ อยู่อย่างสันโดษและแข็งแกร่งดีกว่าต้องเป็นพันธมิตรกับศัตรูที่ไม่รู้ว่าวันใดมันจะหักหลังเอา ! ”

   ใบหน้าของเอลล์แตะแต้มด้วยรอยยิ้มเบาบาง “ ท่านรู้ว่ากำแพงนั่นมีวันแหลกสลาย ซึ่งข้าก็รู้ถึงเรื่องนี้เหมือนกัน ต่อให้ข้าสร้างกำแพงขึ้นมาอีกครั้งสักวันมันก็ต้องสูญสลายไปอยู่ดี ถ้าหากราชาภูตในรุ่นนั้นไม่มีอำนาจมากพอที่จะสร้างกำแพงอีกครั้ง เวลานั้นดินแดนของเราอาจจะไม่เหลืออะไรสักอย่างเดียว ” ข้าในตอนนี้เป็นถึงกษัตริย์ของดินแดนภูต ทางเลือกที่ข้าได้เลือกในตอนเด็ก คือสิ่งที่ข้าเลือกที่จะทำให้ดินแดนของข้า

   เมเออร์เงียบไปเพราะไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้เพราะสิ่งที่เอลล์พูดมานั้นล้วนแต่เป็นเรื่องจริง แต่จะให้คนอย่างเขายอมรับง่ายๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องเหมือนกัน ! “ แล้วเจ้าคิดงั้นเหรอว่าไอ้ดินแดนอื่นมันจะไม่ทรยศเรา ”

   “ ถ้าหากท่านพ่อไม่ลองเชื่อใจท่านก็จะไม่ได้รับมันกลับเช่นกัน ” เอลล์ตอบสั้นๆ
   
เมเออร์ถึงกับเลือดขึ้นหน้าเพราะรู้สึกเหมือนว่าเอลล์กำลังท้าทายตนอยู่กลายๆ คำพูดที่พูดราวกับว่าเห็นพ่อของตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ต้องคอยสั่งสอน “ ถ้าเจ้าคิดว่าไอ้ความเชื่อใจของเจ้าจะได้รับสิ่งเดียวกัน ข้าขอบอกในฐานะพ่อของเจ้าเลยว่า โลกใบนี้ไม่ใช่โลกอันแสนสวยงามเหมือนที่เจ้าจินตนาการไว้หรอกนะ เอลล์ ”  เมเออร์บอกเสียงเย็นและออกจากห้องไปด้วยอารมณ์คุกกรุ่น

   “ ข้าไม่เคยจินตนาการไว้หรอกนะ ” เอลล์พูดเสียงเบาแม้ท่านพ่อจะออกจากห้องไปแล้ว “ คนตาบอดอย่างข้าจะเคยเห็นโลกที่สวยงามได้อย่างไรกันนอกจากน้ำหมึกสีดำที่แตะแต้มไปทั่ว ” เอลล์ลูบมือที่เย็นเฉียบของตัวเอง “ ข้าก็แค่หวังว่าจะได้มองเห็นโลกที่ท่านบอกไว้ว่าสวยงามก็เท่านั้น ถึงแม้ว่าความจริงมันจะไม่ได้สวยงามดังที่เห็นก็ตาม..  ”
   
ก็อก ก็อก
   
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งเรียกให้เอลล์ที่ยังคงจมในวังวนความคิดของตัวเองให้มาสนใจ เอลล์ปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาปกติอีกครั้ง การถูกพ่อตำหนิไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าไหร่หรอก “ เข้ามาได้ ข้าอนุญาต ” พูดจบเอลล์ก็ตั้งใจใช้ประสาทสัมผัสทันทีเพื่อรับรู้ว่าร่างที่เข้ามานั้นเป็นใครเพื่อที่จะได้โต้ตอบได้อย่างเป็นปกติ เอลล์นั้นถูกฝึกให้จำอากับกิริยาทุกอย่างของทุกคนที่รู้จัก เสียงฝีเท้า จังหวะการหายใจ ลักษณะการพูด เอลล์ล้วนแต่สามารถจำได้อย่างง่ายดายแม้จะเพิ่งพบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อย่างฟาร์คัสเอลล์ก็รู้สึกกลิ่นอายของปีศาจที่ไม่รุนแรงเท่าคาร์บิลัสทำให้รู้ว่าเป็นผู้ติดตาม

   “ ข้ามารายงานเรื่องการขอเข้าร่วมเป็นพันธมิตรขอรับ ” เป็นขุนนางที่ตำแหน่งสูงพอสมควร ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์อะไรแต่ภายในกับร้อนระอุเพราะความคิดที่หักล้างกับผู้เป็นนาย ข้าไม่ต้องการเป็นพันธมิตรกับดินแดนไหนทั้งนั้น !

   “ ว่ามาเถอะ เมอร์ฟี ”

   “ ดินแดนที่ประสงค์จะเป็นพันธมิตรได้แก่ดินแดนปีศาจ คนแคระ จิ้งจอกไฟ และดินแดนปักษาหิมะ ส่วนดินแดนอื่นประสงค์จะทำการค้าด้วยขอรับ ”

   น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี เอลล์คิดในใจ มีดินแดนปีศาจด้วยงั้นเหรอ ? แต่ท่านพ่อของข้าจับเชลยเอาไว้นะ

   เมอร์ฟีมองผู้เป็นราชาของดินแดนด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะดินแดนใดล้วนแต่ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น แต่ท่านเอลล์กลับเรื่องที่จะสร้างสัมพันธไมตรีที่ไม่อาจเชื่อถือได้ว่าแต่ละดินแดนจะรักษามันไว้ได้หรือไม่ “ ข้าขอตัวขอรับ ” เมอร์ฟีค้อมหัวพร้อมกับใช้มือซ้ายแตะที่บ่าของตัวเอง นี่เป็นการทำความเคารพต่อราชาของดินแดนภูต
   
เมื่อเมอร์ฟีเดินออกไปเอลล์ก็ยิ้มเบาบางเพราะรู้สึกถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเมอร์ฟี ถึงแม้ว่าจะพยายามปกปิดแค่ไหนก็ตาม ถ้าเทียบกับเอลล์ที่ถูกฝึกมาให้จับอารมณ์น้ำเสียงแทนการมองใบหน้าหาอารมณ์ ไม่ว่าใครก็ตามในดินแดนภูต ตอนนี้ล้วนแต่ไม่พอใจในตัวข้าทั้งนั้น 

   สิ่งที่ข้าทำมันจะส่งผลดีต่อทุกคนจริงๆ งั้นเหรอ
   
ช่วยไม่ได้ข้าได้หยั่งขาลงไปแล้วข้างนึง

   บางทีการเสี่ยงของข้าอาจจะได้อะไรที่คุ้มค่ากลับมาแทน
   
ถึงแม้จะต้องเอาตัวเข้าแลกก็ตาม
   
   “ น่าเบื่อชะมัด ” ลุกซ์บ่นออกมาเซ็งๆ ในยามที่ไม่มีเอลล์อะไรก็น่าเบื่อทั้งนั้น ถ้าไม่ติดว่าข้าอยากจะช่วยเอลล์ข้ากลับไปกับท่านคาร์บิลัสแล้ว ทำยังไงได้ล่ะ ข้าอยากจะอยู่เคียงข้างเอลล์นี่

ราชาภูตผู้โดดเดี่ยวและตาบอดงั้นเหรอ

มังกรไฟจะเป็นสหายและดวงตาให้เจ้าเอง

แต่ข้าว่าข้าควรจะออกจากกรงเวทบ้าๆ นี่ให้ได้ซะก่อน ลุกซ์พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เพราะความเซ็งในตัวเองขั้นรุนแรง ทำไมไอ้ราชาภูตคนก่อนมันเก่งจังวะ ข้าลองทำทุกวิถีทางในการทำลายทั้งกรงเวทและตรวนโซ่ที่ล่ามข้าไว้  พ่นไฟก็แล้ว กระทืบก็แล้ว ใช้กำลังก็แล้ว เตะก็แล้ว แต่มันไม่มีประโยชน์เลยเพราะสะท้อนกลับใส่ข้าจนมึนและเจ็บตัวเป็นวันๆ
แต่สุภาษิตของเผ่าพันธุ์มังกรไฟคือ

ถ้าเจ้ายอมแพ้เจ้าก็เป็นแค่จิ้งจก !

ข้าจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองเป็นจิ้งจกเด็ดขาด เมื่อหายเจ็บตัวข้าก็ตะบี้ตะบันทำลายสิ่งที่พันธนาการข้าไว้ และมันก็กลายเป็นวัฎจักร..  ข้าทำลาย ข้าเจ็บ ข้าพัก ข้าหายแล้ว ข้าทำลายใหม่  อา ข้าช่างดูเป็นพวกรักการเจ็บปวดดีนะ แต่ว่าเอลล์ก็ขยันขนยามารักษาข้าเช่นกันบางทีก็ใช้เวทรักษาบ้าง ฉะนั้นข้าก็ทำมันต่อไปเรื่อยๆ โดยหวังว่ามันจะสำเร็จสักวัน

แต่ตอนนี้ข้ากำลังอยู่ในช่วงพักรักษาตัวอยู่เพราะเมื่อวานข้าหงุดหงิดไปพ่นลูกไฟใส่กรงจนมันสะท้อนกลับใส่ข้าซะมึนเลย ช่วงที่ข้าพักข้าก็นั่งเสกอะไรเล่นแก้เบื่อหรือคิดหาอะไรแปลกๆ ไว้แกล้งเอลล์ตอนที่มาเยี่ยมข้า

ข้าจะยกตัวอย่างให้ฟังแล้วกัน ครั้งล่าสุดรู้สึกว่าพอเอลล์เข้ามาในห้องข้าก็เสกไว้คลุมตัวเอลล์ทันทีให้ตกใจเล่น แต่เอลล์ไม่สะดุ้งกับความร้อนของข้าเลยอีกทั้งยังเรียกเวทน้ำออกมาดับอีกต่างหาก ยังดีที่เวทของข้าเป็นเวทไฟไม่ใช่เวทแสงไม่เช่นนั้นอาจจะมีสายรุ้งปรากฎอยู่เต็มห้อง 

ฉะนั้นข้าขอสรุปว่ามันเป็นอะไรที่ล้มเหลวสิ้นดี แต่ข้าก็ยังสรรหาวิธีการใหม่ๆ อยู่ดีเพื่อที่จะเรียกรอยยิ้มนั้นออกมา ข้านั่งเสกกระต่ายไฟให้มันกระโดดโหยงเหยงไปมาแก้เซ็งรวมถึงให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวภายในกรงขังแคบๆ อากาศที่ไม่ค่อยถ่ายเท อุณหภูมิที่เย็นและชื้นตลอดเวลา

ถ้าข้าออกไปได้ก็คงดีสินะ ดวงตาของลุกซ์หม่นลง ข้ามันโง่เง่าสิ้นดีที่ในตอนนั้นไม่ยอมออกไปพร้อมกับท่านคาร์บิลัสเพราะมัวแต่เป็นห่วงเอลล์กลัวว่าเอลล์จะไม่เจอข้าแล้วจะเสียใจ แทนที่ข้าจะหาทางลอบออกไปหาเอลล์ในเวลาอื่นนะ
“ เจ้าทำหน้าเหมือนกำลังจะตายนะ ลุกซ์ ”

ลุกซ์สะดุ้งจนกระต่ายไฟกลายเป็นสิงโตตัวย่อมคอยจะโจมตีแทน
คาร์บิลัสทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ลูกน้องของตัวเอง

“ ทะ ท่านคาร์บิลัส ” ลุกซ์เบิกตากว้างอย่างตกใจและสลายสิงโตไฟไป

“ เออ สิ ” คาร์บิลัสตอบพร้อมกับวาดวงเวทไว้ข้างๆ ตัวเองเพื่อเป็นทางผ่านให้ฟาร์คัสและดัฟฟ์ใช้เข้ามา ที่ไม่เข้ามาพร้อมกันเพราะคาร์บิลัสเข้ามาสำรวจความปลอดภัยก่อน

ฟาร์คัสขมวดคิ้วเมื่อก้าวขาเข้ามาในคุกใต้ดินที่คาร์บิลัสบอกไว้ว่าใช้ขังมังกรไฟ อากาศภายในนี้ค่อนข้างหายใจลำบาก

“ หายใจไม่ออกอ่ะ แก๊ซ ” ดัฟฟ์งอแงใช้หัวถูกกับขาของฟาร์คัส

“ อยู่นิ่งๆ เงียบๆ ไปดัฟฟ์ ”

“ หึ ” คาร์บิลัสแค่นเสียงและยิ้มใส่ดัฟฟ์อย่างสะใจ ฮ่าๆ ในที่สุดเจ้าก็โดนฟาร์คัสเอ็ดบ้างแล้ว ไอ้มังกรบ้า และต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อฟาร์คัสเริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นโมโหแล้ว

“ รอเอลล์ก่อน ” ฟาร์คัสบอกเสียงเรียบ

ลุกซ์ขยี้ตาตัวเองซ้ำอีกครั้ง ท่านคาร์บิลัส ? กลัวปีศาจอีกานั้น ? พูดเป็นเล่น ท่านราชาปีศาจที่โหดเหี้ยมทระนงตัวคนนั้นน่ะเหรอ
“ ท่านคาร์บิลัส ท่านกลัวอีกางั้นเหรอ ”
“ พูดบ้าอะไรของเจ้า ” คาร์บิลัสตอบกลับเสียงเหี้ยม

“ ก็ท่านเปลี่ยนสีหน้าทันที ที่เจ้าอีกาทำหน้าโมโหนี่ขอรับ ” ลุกซ์ยังคงถามต่ออย่างไม่เกรงกลัวคาร์บิลัส จะเรียกว่าความเลือดร้อนของลุกซ์ก็ได้ที่ทำให้เจ้าตัวไม่กลัวราชาปีศาจอีกทั้งยังกล้าคุยตรงๆ ด้วยอีก แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ลุกซ์มักจะโดนคาร์บิลัสลงทัณฑ์บ่อยๆ

“ ข้าไม่ได้กลัว ” คาร์บิลัสตอบแต่เสียงไม่หนักแน่นนักพลางเหลือบมองร่างของฟาร์คัส

ลุกซ์เลิกคิ้วอย่างสนใจ

ฟาร์คัสไม่ได้สนใจคาร์บิลัสที่คุยกัน เพราะสิ่งที่สนใจเป็นลวดลายบนผนัง อักษรต่างๆ ที่น่าจะเป็นภาษาภูตและรูปภาพปีศาจที่กำลังไล่ฆ่าภูต ถึงแม้ภาพจะดูไม่ชัดแต่ก็รู้สึกถึงความแค้นของผู้ที่วาดออกมา การลงฝีแปรงที่รุนแรงในภาพของปีศาจและอ่อนนุ่มในภาพของชาวภูต ซึ่งพอมองไปนานๆ กลับรู้สึกสลดไม่น้อย สงครามไม่เคยก่อสิ่งที่ดีให้แก่ฝ่ายใดเพราะทั้งสองฝ่ายล้วนเสียหายและเสียใจ

ข้าน่าจะเลือกสิ่งที่ถูกแล้วสินะ ฟาร์คัสคิดเงียบๆ

แกร๊ก

“ ขออภัยที่ข้ามาช้า ” เสียงกลไกดังขึ้นพร้อมกับปรากฎร่างเจ้าของดินแดน เอลล์ยิ้มบางเมื่อก้าวลงมาถึงหน้ากรงขังของลุกซ์ “ ต้องการจะคุยอะไรหรือ ท่านคาร์บิลัส ”

“ ให้ผู้ติดตามของข้าคุยเถอะ ” คาร์บิลัสบอกปัดเพราะเรื่องนี้ยกให้ฟาร์คัสตัดสินใจ

“ เจ้าต้องการปล่อยตัวลุกซ์ไหม เอลล์ ” เพราะที่เอาคาร์บิลัสมาก็เพื่อการนี้

“ อยากสิ ” เอลล์ตอบไปตรงๆ “ แต่ถ้าข้าปล่อยไป ท่านพ่อของข้าคงไม่นิ่งเฉยแน่ ฟาร์คัส ” และยิ้มเศร้าๆ ออกมา

“ งั้นถ้าให้คาร์บิลัสช่วยออกไปแล้วกัน ” ฟาร์คัสสรุปง่ายๆ และหันไปสั่งคาร์บิลัส “ เอามังกรไฟลูกน้องของเจ้าออกมา ”
เอลล์นิ่งค้างไปทันทีอย่างคาดไม่ถึงแต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร

“ ได้เลย ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสตอบอย่างกระตือรือร้นเรียกดาบสีดำสนิทคู่ใจออกมา “ ออกไปไกลๆ แล้วกัน ” ประโยคนี้คาร์บิลัสบอกกับลุกซ์และตวัดดาบใส่ลูกกรงเวทอย่างสนุกสนานจนลูกกรงเวทนั้นสลายหายไปทั้งหมดเหลือเพียงไอจางๆ ล่องลอยในอากาศซึ่งไม่มีผลอะไรต่อสิ่งมีชีวิต

ลุกซ์มองลูกกรงตาค้าง ไอ้ลูกกรงที่ข้าคอยถีบ เตะ กระทืบ พ่นไฟ แค่มันโดนดาบของท่านคาร์บิลัสก็หายไปง่ายๆ แล้ว
คาร์บิลัสก้าวขาเข้าไปใกล้ลุกซ์เพ่งมองตรวนโซ่ของเมเออร์ “ ตรวนแค่นี้เจ้าก็เอาออกไม่ได้นะ ลุกซ์ ” และแค่นสายตาเวทนาใส่ลุกซ์ คาร์บิลัสหยิบตรวนเวทขึ้นมาและกำเบาๆ มันก็กลายเป็นฝุ่นผงสีทองทันที

“ ข้าไม่ใช่ราชาปีศาจเช่นท่านนี่ถึงได้มีพลังล้นเหลือขนาดนั้น ” ลุกซ์บ่นแต่ร่างกายนั้นได้เข้าไปใกล้เอลล์และใช้มือถอดหน้ากากของเอลล์อย่างอ่อนโยน

เอลล์ไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะรู้ว่าผู้ที่ถอดหน้ากากให้ตนนั้นคือ คนที่อยากให้ออกจากกรงขังมาตลอด เอลล์ยิ้มเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือหยาบร้อนที่ลูบไล้ใบหน้าของตัวเอง

“ ลืมตาสิเอลล์ ” ลุกซ์กระซิบ

เอลล์ยอมลืมตาตามที่ลุกซ์บอกแม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม

ลุกซ์ลูบตาของเอลล์ด้วยความเศร้า เมื่อไหร่กันที่ดวงตาคู่นี้จะสะท้อนภาพของข้ากัน

“ เอ่อ เอลล์ ข้าขอคุยก่อนแปปนึง ต่อจากนั้นพวกเจ้าจะทำอะไรก็ทำเถอะ ” ฟาร์คัสพูดสีหน้าติดจะแดงเพราะรับรู้ถึงความ
สัมพันธ์ของร่างตรงหน้าทั้งสองคน แปลว่าตามที่ข้าคาดเดาจริงๆ มังกรไฟที่ว่าคือลูกน้องของคาร์บิลัสนั่นเอง
คาร์บิลัสหน้ามุ่ยเหมือนเห็นฟาร์คัสหน้าแดงเพราะคนอื่น อะไรกัน ทีข้าทำอะไรทำนองนี้ด้วยกลับไม่หน้าแดงเอาแต่ทำร้ายข้าเหมือนกับข้าเป็นกระสอบทราย คาร์บิลัสยิ่งเศร้าเข้าไปอีกเมื่อนึกถึงเรื่องหลัง

เอลล์สะดุ้งตัวออกจากลุกซ์และหน้าแดงเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นอยู่ ถึงแม้จะมองไม่เห็นสีหน้าของฟาร์คัสแต่ก็รู้สึกถึงน้ำเสียงที่กระดากอาย “ เรื่องของลุกซ์ ข้าว่าอีกไม่นานท่านพ่อต้องรู้แน่ๆ ว่าตรวนของตัวเองถูกทำลาย ” 

“ ก็แค่บอกว่าคาร์บิลัสบุกเข้ามาช่วยลูกน้องของตัวเองก็น่าจะจบแล้วล่ะ เอลล์ ” ฟาร์คัสตอบราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่

“ แต่ว่าเจ้าพึ่งจะประกาศเป็นพันธมิตรกับดินแดนเราเองนะ ข้าว่าข้าบอกว่าปล่อยตัวเพื่อแลกกับสานสัมพันธไมตรีไม่ดีกว่าเหรอ  ” เอลล์ขมวดคิ้วถาม

“ เจ้าคิดว่าพ่อของเจ้าจะยอมเหรอ เอลล์ ”

“ ตามนั้นนั่นแหละ ” เอลล์พยักหน้าหงึกหงักเพราะคิดอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออก  “ แล้วลุกซ์ต้องกลับกับเจ้าหรือเปล่า ”  และน้ำเสียงติดจะเศร้าในประโยคท้าย

“ ข้าไม่กลับ ” ลุกซ์ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

“ ใครว่าข้ามารับเจ้าล่ะ ” คาร์บิลัสตอบด้วยน้ำเสียงยียวน

“ ไม่ล่ะ ข้าเบื่อมังกรเต็มทนแล้ว ” ฟาร์คัสพูดพร้อมกับเหล่ไปมองดัฟฟ์ที่ทำหน้าเศร้าอย่างสุดซึ้ง

“ แง้ ดัฟฟ์จะไม่ดื้อ ”

“ เรื่องของเจ้า ” ฟาร์คัสตอบอย่างเย็นชาและหันไปมองลุกซ์ “ ส่วนลุกซ์เจ้ามากับพวกข้าก่อน เมเออร์จะได้เชื่อว่าคาร์บิลัสบุกชิงจริงๆ ”

“ ก็ได้ ข้ายังไงก็ได้อยู่แล้ว ขอแค่พอเรื่องจบข้าได้อยู่กับเอลล์ก็พอ  ” ลุกซ์มองเอลล์สายตาเศร้าๆ อะไรกันนี่ข้าแค่เพิ่งออกมาได้ไม่นานก็ต้องหนีไปกบดานแทนที่จะได้อยู่กับเอลล์งั้นเหรอ

“ งั้นก็เตรียมหนีได้แล้วล่ะ ” ฟาร์คัสเหลือบมองไปทางบันไดที่เหมือนได้ยินเสียงพังอะไรบางอย่าง

“ ไม่ ข้ายังไม่ได้ลาเอลล์เลย ” ลุกซ์ทำท่าจะโผเข้าใส่เอลล์

 คาร์บิลัสสสสสสส !

เสียงตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวดังลั่นขัดกับอายุที่ล่วงมามาก เมเออร์พังกลไกประตูเข้ามาเพราะรู้สึกถึงเวทพันธนการของตัวเองที่ถูกทำลาย

“ เผ่นกันเถอะ ! ” คาร์บิลัสร่ายเวทขนาดยักษ์ที่ครอบคลุมทุกคนและหายไปทันที

ทิ้งไว้เพียงเมเออร์กระฟัดกระเฟียดอย่างโมโห

นี่มันหยามข้ามากเกินไปแล้ว !

ร่างชราคิดอย่างเคียดแค้น


“  โซแวน ” วารันเรียกเพื่อนสนิทของตัวเองที่นอนอยู่บนตักตัวเองอยู่ ใบหน้าของโซแวนติดจะขมวดอยู่จนวารันอดนวดให้เบาๆ ไม่ได้จนคิ้วที่ขมวดคลายออก

“ อะไร ” โซแวนถามสั้นๆ จะใช้อะไรข้าอีก หืม ?

“ เจ้าช่วยไปหาฟาร์คัสแทนข้าทีสิ ข้าอยากให้ของรับขวัญน่ะ ” วารันใช้นิ้วจิ้มเข้าที่จมูกของโซแวนอย่างนึกสนุกเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมลืมตาสักที

“ ข้าจะได้อะไรถ้าข้าไปล่ะ วารัน ”

“ งั้นอ้อมกอดอุ่นๆ ของข้าไหมล่ะ โซแวน ” วารันฉีกยิ้มให้กับโซแวนเมื่ออีกฝ่ายลืมตาขึ้นมา

“ เฮ้อ เจ้าไม่เคยรู้อะไรเลยจริงๆ ” โซแวนหลับตาลงอีกครั้งปล่อยให้มือซุกซนเล่นหน้าเล่นตาไปอย่างไม่ถือสา

“ เจ้าไม่ชอบอ้อมกอดของข้างั้นเหรอ ” วารันทำท่าคิด “ ข้าติดแหง็กอยู่ในต้นไม้นี่ไปอีกชาตินึง ข้าของที่เจ้าต้องการให้เจ้าไม่ได้หรอกนะ ”

“ เจ้ามีมันอยู่แล้ว วารัน ”

“ มีอยู่แล้ว ? ”

“ ช่างมันเถอะ ” โซแวนถอนหายใจ “ เจ้าจะให้ข้าเอาอะไรไปให้ล่ะ ”

“ ช่างไม่ได้ ข้าไม่อยากให้เจ้าโดนข้าใช้โดยไม่ได้รับสิ่งตอบแทนนะ เจ้าไม่ใช่คนใช้ของข้าสักหน่อย ”

“ ข้าว่าตอนนี้ก็เหมือนข้าเป็นนะ ”

“ อะไรกัน ข้าก็เสนออ้อมกอดอุ่นของข้าเป็นการตอบแทนแล้วไง ”

“ ของไร้สาระพรรค์นั้นข้าไม่ต้องการ ”

“ อ๋า เจ้าหาว่าอ้อมกอดของข้าไร้สาระเหรอ ” วารันทำเสียงเศร้าแต่หน้าตากลับยังยิ้มแย้ม

“ ใช่ ”

“ ข้าเสียใจนะ แต่ไม่มากเท่าไหร่ ”

“ สรุปเจ้าจะให้ข้าเอาของสะสมของเจ้าอันไหนไปให้ ฟาร์คัสกัน ”
วารันนั่งคิดสักพักและดันหัวโซแวนออกจนกระแทกกับเก้าอี้ วารันวิ่งไปยังตู้เก็บของของตัวเองทิ้งให้โซแวนกัดฟันกรอด

“ ถ้าเผลอเมื่อไหร่ข้าจะเอาให้หนักเลย วารัน ” แต่เสียงที่พูดออกมากลับอ่อนโยน
วารันเอาหัวมุดเข้าไปตู้เก็บของที่ทะลุไปมิติไหนไม่รู้ทำให้สามารถเก็บของได้มากมายเป็นภูเขาได้หลายลูก

โซแวนลูบหัวตัวเองและเดินตามมายืนข้างหลังวารัน

“ เอาล่ะ ข้าจะให้น้ำตาเงือกไปแล้วกัน ” วารันยิ้มและยื่นให้โซแวน

-------------------------

มาแล้วววววววว  :hao7:

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ  :mc4:

ดีใจที่ชอบค่ะ    :-[



 


หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 13 10 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 10-05-2015 23:00:07
โหววววว

มาทันใจ ลุกซ์โดนปล่อยแล้ว แถมข้ออ้างปล่อยตัวก็ยังแจ่มจรัส (หวังว่าพ่อเอลล์คงไม่ซื่อบื่อขนาดปิดอาณาจักรอีกรอบหรอกนะ)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 13 10 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 10-05-2015 23:34:59
แอร้ย มาแล้ววววว :hao7:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 13 10 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 11-05-2015 00:02:17
น้ำตาเงือกนี่เอามารักษาเอลล์สินะคะ?
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 13 10 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-05-2015 04:40:55
ตอนนี้ คาร์บิลัสเท่ห์อ่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 13 10 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 11-05-2015 07:00:58
มาแล้ววว
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 13 10 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Rambluesky ที่ 11-05-2015 09:34:46
รออ่านต่อนะครับ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 15 พ.ค 58 70 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 15-05-2015 22:55:31
ตอนที่ 14

   “ เจ้าเลือกที่ได้ห่วยแตกมาก คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสพูดพร้อมกับผลักไหล่คาร์บิลัสด้วยความหงุดหงิด

   “ อ๋า แต่อย่างน้อยข้าว่าตรงนี้เมเออร์ไม่น่าจะมาหานะ ” คาร์บิลัสที่ถึงแม้จะถูกผลักแต่ก็ยังคงยืนได้อย่างมั่นคงไม่แน่ใจเพราะฟาร์คัสผลักเบาไปหรืออะไร

แต่ที่ฟาร์คัสจะหงุดหงิดก็ไม่แปลกเพราะคาร์บิลัสพามากบดานที่สุสานเนี่ยแหละ !

“ แง้ ดัฟฟ์กลัวผีอ่ะ ” ดัฟฟ์วิ่งไปเกาะฟาร์คัสอย่างเหนียวแน่นเหมือนกับโคอาล่าเกาะแม่โคอาล่า

   เออล์ลูบแขนตัวเองเพราะรู้สึกขนลุกขึ้นมาหน่อยๆ กลิ่นอายความตายค่อนข้างรุนแรง น่าจะเป็นสุสานสักแห่งในดินแดนภูต “ เจ้าเคยมาที่นี้งั้นเหรอ ? ราชาปีศาจ ” เพราะแม้แต่ข้ายังไม่เคยมาด้วยซ้ำ

   “ ข้าเคยใช้หลบเมเออร์ตอนที่ข้าไปเตะกำแพงไม้ดินแดนเจ้าน่ะ ” คาร์บิลัสตอบพร้อมกับยืดอกด้วยความภาคภูมิใจเหมือนกับกำลังว่าอวดฟาร์คัสอยู่กลายๆ

   ฟาร์คัสเตะขาคาร์บิลัส

   เอลล์หัวเราะแห้งๆ ดูเหมือนว่าที่กำแพงไม้ข้ามันพังลงเร็วกว่าเดิมก็เพราะราชาปีศาจนี่เอง น่าจะเป็นเพราะราชาปีศาจอีกเหมือนกันที่ทำให้ท่านพ่อดูเกลียดปีศาจเข้าไส้

   “ ท้องฟ้าแจ่มใส ! หมู่เมฆลอยเอื่อย ! อิสรภาพ ! ฮ่าๆๆ ” ลุกซ์ไม่สนใจบรรยากาศชวนขนลุกแต่อย่างใดร้องตะโกนโวยวายอย่างมีความสุข “ ในที่สุดก็ออกจากไอ้คุกบ้าๆ ได้แล้วโว้ยย ”
   
หลังจากที่ยืนได้อย่างปกติอีกครั้งคาร์บิลัสก็ส่งสีหน้าเซ็งจัดใส่ลุกซ์ “ ข้าพาออกมา เจ้าก็ไม่ยอมออกมา ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรสรรเสริญความฉลาดของเจ้านะ ลุกซ์ ”

   ลุกซ์ไม่สนใจคาร์บิลัสเอาแต่ชื่นชมทรรศนียภาพโลกภายนอกที่ไม่ได้ดื่มด่ำมานานแสนนาน
   
“ งั้นข้าคงต้องขอตัวก่อนแล้วกัน ” เอลล์ยิ้มบาง “ ถ้าหากท่านพ่อไม่พบตัวข้า เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ”
   
“ เดี๋ยวถ้าได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสาปของท่านข้าจะส่งข่าวไปให้เจ้าแล้วกัน ” ฟาร์คัสพยักหน้า “ ส่วนลุกซ์คงอีกสักพักค่อยไปหาท่านแล้วกัน ”
   
ลุกซ์รู้สึกตัวพอดีเมื่อรู้ว่าเอลล์จะไปแล้ว รีบก้าวขายาวๆ ไปหาเอลล์และสวมกอดอย่างแรงโดยไม่สนใจสายตาคนอื่น “ ข้าจะรีบไปหาเจ้านะ เอลล์ ”

   เอลล์ไม่พูดอะไรยิ้มและยื่นหน้ากากของตัวเองให้ลุกซ์ “ สวมให้ข้าที ท่านมังกรไฟ ”
   
ลุกซ์ปล่อยเอลล์ออกจากอ้อมกอดรับหน้ากากของเอลล์มาและสวมให้อีกฝ่ายด้วยความทะนุถนอม ลุกซ์ยิ้มออกมาเมื่อสวมหน้ากากเสร็จ “ เสร็จแล้วล่ะ ”
   
เอลล์ค้อมหัวน้อยๆ เพื่อแสดงความขอบคุณ และยื่นอย่างสง่างามดั่งกษัตริย์ “ ข้าขอบคุณพวกท่านมาก ”  แต่ก่อนที่เอลล์จะได้เดินทางกลับไปก็ถูกดึงดูดสายตาด้วยหลุมสีดำประกายม่วงหมุนริ้วๆ อย่างแปลกประหลาดเพียงเวลาไม่นานก็มีร่างสูงหล่อเหลาก้าวขาออกมา
   
ร่างที่ก้าวออกมานั้นเป็นชายหน้าตาหล่อเหลาผมสีดำสวมชุดคลุมสีเดียวกับสีผมมีลวดลายสีขาวแปลกตาดูลึกลับและน่าค้นหาในเวลาเดียวกันในมือถือเคียวขนาดยักษ์ที่ทอประกายสีทองอยู่จางๆ ร่างที่ว่านี้คือโซแวนนั่นเอง
   เมื่อโซแวนก้าวขาออกมาหลุมประหลาดก็ได้หายไป โซแวนไม่สนใจแม้แต่มองคนที่อยู่รอบตัวก้าวเข้าไปใกล้ฟาร์คัสด้วยสีหน้าเรียบเฉย
   
คาร์บิลัสก้าวเข้าไปขวางหน้าฟาร์คัสทันทีด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “ คิดจะทำอะไร ” และถามเสียงเย็น

   “ นั่นไม่ใช่เรื่องของเจ้า ราชาปีศาจ ” โซแวนตอนเรียบๆ หยิบของเตรียมมาใช้สันเคียวของตัวเองเคาะเบาๆ จนน้ำตาเงือกแตกกระจายกลายเป็นน้ำหยดเล็กๆ โซแวนบังคับให้น้ำตาเงือกที่เดิมทีเป็นของแข็งรูปหยดน้ำตอนนี้ได้กลายเป็นของเหลวใส่ไว้ในขวดแก้วใบเล็ก

   ทุกคนในที่นี้นิ่งเงียบตรียมร่ายเวทโจมตีหากโซแวนคิดจะทำอะไรที่เป็นอันตราย คาร์บิลัสจ้องกลับด้วยสายตาเย็นชาเรียกดาบสีดำมาไว้ในมือก่อนใครเพราะรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าใดนักกับร่างตรงหน้า
   
โซแวนตัดสินใจสะบัดสันเคียวเบาๆ ทำให้ประกายสีทองแพร่กระจายไปโดยรอบอย่างรวดเร็วคลุมร่างทุกร่างในบริเวณโดยที่ทุกคนไม่ทันได้ได้ตั้งตัว ยกเว้นเพียงฟาร์คัสที่ไม่มีอะไรรบกวนแม้แต่น้อย
   
คาร์บิลัสเตรียมจะฟันดาบใส่โซแวนเมื่อเห็นเคียวของอีกฝ่ายขยับแต่ยังไม่ทันได้ฟันกลับถูกละอองสีทองคลุมตัวและขยับตัวไม่ได้ เอลล์และลุกซ์ก็เช่นกันที่ขยับตัวไม่ได้ได้แต่ยืนมองผู้มาใหม่ด้วยความงุนงง ต้องการจะทำอะไรกันแน่ ?
   
โซแวนก้าวเข้าไปใกล้ฟาร์คัสซึ่งฟาร์คัสก็ไม่ได้ขยับหนีแต่อย่างใดเพราะรู้สึกถึงความคุ้นเคยแปลกๆ ที่เหมือนกับวารันและคิดว่าร่างตรงหน้าไม่น่าจะมีจุดประสงค์ร้ายอะไร ถ้าหากอีกฝ่ายประสงค์ร้ายจริงก็สามารถฆ่าทุกคนในนี้ได้ตั้งแต่ก้าวเข้ามาแล้ว ผู้ที่สามารถหยุดราชาปีศาจได้ย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดาแน่นอกเสียจากเป็นผู้รักษาเวลาเช่นเดียวกับวารัน..

“ วารันให้เอาน้ำตาเงือกมาให้เจ้า ” โซแวนถือขวดแก้วและไกวไปมาเพื่อให้เห็นน้ำที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใน “ แบมือมาสิ ฟาร์คัส ”

   “ ขอบคุณ ” ฟาร์คัสเอ่ยสั้นๆ รับขวดแก้วมาพิจารณาน้ำภายใน น้ำตาเงือกที่ว่าหากดูเผินๆ เหมือนกันน้ำทั่วไปไม่มีอะไรแตกต่างเลยแม้แต่น้อย วารันจะให้ข้ามาทำไมกัน ?
   
คล้ายกับรู้ถึงความคิดของฟาร์คัสโซแวนก็พูดออกมา “ น้ำตาเงือกมีคุณสมบัติในการดูความทรงจำของผู้อื่น ” โซแวนดีดนิ้วดังครั้งหนึ่งก็ปรากฏภาพประกอบการพูดจางๆ ในอากาศ “ หากเจ้าต้องการใช้เพียงให้คนผู้นั้นกินน้ำตาเงือกเข้าไป ถ้าหากหมดขวดเจ้าจะได้ความทรงจำทั้งหมดแต่ถ้าครึ่งขวดเจ้าจะได้ความทรงจำเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เท่านั้น ”
   
ความทรงจำ ? ข้าจะดูของใคร ? ฟาร์คัสเผยสีหน้างุนงงออกไปอย่างเผลอตัว เพราะตอนนี้แทบไม่มีเรื่องอะไรให้สืบหาความทรงจำนี่

โซแวนไม่สนใจสีหน้างุนงงของฟาร์คัสดีดนิ้วอีกครั้งเพื่อให้ภาพที่ปรากฎในอากาศหายไป “ หากเจ้าจะดูความทรงจำให้เจ้าทำลายขวดนี้ทิ้งซะ ภาพความทรงจำที่เจ้าต้องการก็จะปรากฎขึ้นมาเอง ” โซแวนตวัดเคียวเรียกหลุมประหลาดปรากฎขึ้นในอากาศอีกครั้ง “ วารันฝากมาบอกเจ้าว่า นี่ถือเป็นของขวัญของวารัน ไตร่ตรองให้ดีว่าจะใช้อย่างไร ฟาร์คัส ”

   “ แล้วทำไมวารันไม่มาเองล่ะ ? ”   
   
โซแวนแค่นเสียงหึกระโดดเข้าไปในมิติเวลาทันทีไม่สนใจจะตอบคำถามของฟาร์คัส

   เมื่อสิ้นร่างของโซแวนคนอื่นๆ ก็กลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติอีกครั้ง คาร์บิลัสยืนทำหน้าไม่สบอารมณ์ ลุกซ์ยืดแขนออกสุดแขนเพื่อคลายความเมื่อยขบจากการยืนค้างท่าเดิม
   
“ งั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน ” เอลล์กล่าวสั้นๆ และหายตัวไปในทันทีอย่างเร่งรีบเพราะช่วงเวลาที่โซแวนออกมากินเวลาไปพอสมควร
   
คาร์บิลัสกัดฟันแน่นมือที่กำดาบอยู่สั่นน้อยๆ การกระทำเมื่อกี้เหมือนกับหยามหน้าเขาผู้เป็นถึงราชาปีศาจชัดๆ ตาของคาร์บิลัสทอประกายโกรธขึ้ง

   ฟาร์คัสเก็บขวดแก้วที่ได้รับมาใส่กระเป๋ากางเกง เรื่องวารัน วารันคงจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ให้คนอื่นมาแทนล่ะมั้ง ฟาร์คัสหันไปมองคาร์บิลัสก็พบว่าอีกฝ่ายอยู่ในภาวะอารมณ์ที่น่ารำคาญ ฟาร์คัสก้าวขาเข้าไปใกล้คาร์บิลัสตั้งใจจะผลักไหล่อีกฝ่ายเรียกสติให้กลับมาแต่พอมองเห็นหน้าตึงเครียดของคาร์บิลัสก็ทำไม่ลง ตัดสินใจใช้มือดีดหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ แทน
   จะว่ามันคือการลดหย่อนความรุนแรงอีกแบบนึงของฟาร์คัสก็ได้
   
คาร์บิลัสคลายสีหน้าตึงเครียดทันทีเอามือกุมบริเวณที่ฟาร์คัสดีดมะกอก แสร้งทำสีหน้าเจ็บปวดมาก “ โอ๊ย ทำอะไร ของเจ้าน่ะฟาร์คัส ข้าเจ็บนะ ”
   
“ คนที่มาเมื่อกี้น่าจะเป็นคนรู้จักของวารัน เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกคาร์บิลัส ”

   “ ข้ารู้แล้วน่า ” คาร์บิลัสลดมือลง “ ข้าก็แค่โมโหนิดหน่อยที่มันหยามหน้าข้าน่ะ ”

   “ ทิฐิของเจ้าก็ลดๆ ไปบ้างเถอะ ”

   “ พวกท่านๆ ขอรับ ข้าลุกซ์รู้สึกอยากไปพักนั่งกินข้าวอะไรทำนองนั้นเหลือเกิน พวกท่านจะช่วยเอื้อเวลาของพวกท่านให้ข้าลุกซ์ได้ไหมขอรับ ท่านคาร์บิลัส ” ลุกซ์พูดพร้อมกับค้อมกายลงด้วยท่าทางเคารพแต่สิ่งที่พูดออกมากลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิงมันแฝงไปด้วยความประชดประชันและหยอกล้อพูดเป็นนายเหนือหัวของตัวเอง

   “ หุบปากไปซะ จิ้งจก ” คาร์บิลัสพูดเสียงเรียบ ใช้ดาบในมือตวัดใส่ลุกซ์ทันทีจนลุกซ์กระโดดโหยงหนีแทบไม่ทัน

   “ ท่านคาร์บิลัสช่างใจอ่อนต่างจากเมื่อครั้งที่ข้าคอยรับใช้ท่านใกล้ๆ อา นี่สินะ ผลแห่งความรักของท่านคาร์บิลัสและท่านปีศาจอีกา ” ลุกซ์พูดน้ำเสียงเหมือนกับพูดสุนทรพจน์ในวันแต่งงาน

   ฟาร์คัสหน้าแดงแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา คาร์บิลัสลดดาบในมือลง “ เห็นแก่เจ้าที่พูดเข้าหู ข้าแล้วกัน ไอ้จิ้งจกไฟ ”
   
“ เป็นเกียรติของข้า ” ลุกซ์ค้อมตัวลงพลางคิดในใจ ไม่น่าเชื่อ ว่าท่านคาร์บิลัสจะไม่ลงไม้ลงมือใส่ข้ายามที่ข้าพูดจายียวน ! งั้นหมายความว่าข้าก็พูดอะไรสนุกๆ ได้อีกเยอะเลยละสิ

   “ อย่าคิดจะพูดอะไรเพิ่ม ” คาร์บิลัสเหลือบไปมองฟาร์คัสและเผลอยิ้มออกมา “ ฟาร์คัสคงไม่ค่อยชอบฟังอะไรแบบนี้เท่าไหร่ ”
   
“ ไปพักสักทีเถอะ ข้าเบื่อจะยืนดูป้ายหลุมศพเต็มทีแล้ว ” ฟาร์คัสบ่นออกมา

   คิดว่าข้าสนใจหรือ นายของข้า คนที่ข้าสนใจจะรับฟังมีแค่เออล์นะขอรับ ท่านคาร์บิลัส ลุกซ์คิดในใจและเดินตามคาร์บิลัสและฟาร์คัส

   “ น่ากลัวง้า เมื่อกี้ก็ขยับตัวไม่ได้ ผีแน่เลย แก๊ซ ! ” ดัฟฟ์ตีโพยตีพายร้องไห้พ่นไฟเป็นพักๆ จนเสื้อของฟาร์คัสเริ่มมีกลิ่นไหม้   
   ฟาร์คัสขมวดคิ้วอุ้มดัฟฟ์ขึ้นกอดไว้ด้วยความรำคาญ ดัฟฟ์ถึงยอมเงียบและเลิกพ่นไฟเผาชุดของฟาร์คัส “ นี่เจ้าจะพาข้าไปไหนกัน คาร์บิลัส ”

   “ พาไปไหนงั้นเหรอ ! ” คาร์บิลัสพูดอย่างกระตือรือร้น “ ที่กบดานที่ข้าเคยสร้างไว้ไงล่ะ ! ”
   
ฟาร์คัสเผลอถอนหายใจออกมา

   “ อะไรล่ะ ฟาร์คัส ข้ามาเยี่ยมดินแดนภูตทั้งทีก็น่าจะมีบ้านพักตากอากาศให้ข้าบ้างสิ แต่เมเออร์ไม่ยอมสร้างให้ข้า ข้าเลยต้องมาหาที่สร้างเองไงล่ะ ”

   “ ดูเหมือนว่าเมเออร์จะไม่ชอบหน้าเจ้ามากๆ นะ ”

   “ ใครสนล่ะ ” คาร์บิลัสยิ้มกว้าง “ ข้าสนใจแค่เจ้าคนเดียวก็พอแล้ว ”

   ฟาร์คัสกลอกตา ถ้าพูดกันสองคน ข้าพอจะไม่ลงไม้ลงมือได้นะ แต่นี่พูดต่อหน้าคนอื่น เรื่องที่น่าอายแบบนี้ ไอ้เจ้าบ้าคาร์บิลัสก็เอาแต่ป่าวประกาศ อยากให้รู้มันทั้งโลกเลยใช่ไหม คาร์บิลัส ! “ ดูเหมือนเจ้าจะอยากบอกลุกซ์มาก ที่มาชอบอีกาอย่างข้า ” ฟาร์คัสประชด

   คาร์บิลัสเอียงคองงๆ “ พูดอะไรของเจ้าน่ะ ข้าแค่บอกสิ่งที่ข้าคิดแค่นั้นเอง ” คาร์บิลัสฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ ข้าบอกตอนไหนว่าชอบเจ้าน่ะ ฟาร์คัส ”
   
“ ... ” ฟาร์คัสเลือกที่จะไม่ตอบปั้นสีหน้าเฉยชาตอบรับไป ทั้งๆ ที่ในใจกำลังเต้นรัว จริงด้วย คาร์บิลัสไม่เคยบอกข้านี่ ว่าชอบข้า แต่ไอ้ท่าทางแบบนั้นนอกจากชอบคงตีเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วมั้ง

   ลุกซ์รู้สึกอยากเป็นลมล้มพับขึ้นมากะทันหัน ท่านคาร์บิลัสแปลกไปจากที่ข้าเคยเจอปกติมากถึงมากที่สุด ข้าฝันเฟื่อนอยู่หรือเปล่า ท่านคาร์บิลัสเนี่ยนะ กำลังยิ้ม แล้วยังพูดอะไรหยอกล้อเจ้าอีกานั่นอีก บ้า ข้าบ้าไปแล้วแน่ๆ ลุกซ์ก้าวขาตามอย่างเลื่อนลอย

   “ ม่ายยย แม่เป็นของดัฟฟ์ ฆ่าบี้ลัสอย่ามายุ่งงง ” ดัฟฟ์ใช่แขนสั้นๆ สะบัดไล่คาร์บิลัส
   
ข้าควรจะขอบคุณดัฟฟ์ไหมที่แก้สถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนออกไป

   “ อย่ามายุ่ง ไอ้มังกร ! ” คาร์บิลัสตะคอกใส่ดัฟฟ์อย่างอดไม่ได้เพราะยังโกรธเรื่องที่ดัฟฟ์ทำไว้ครั้งที่แล้วไม่หาย ทั้งๆ ที่ข้าเกือบจะทำสำเร็จแลวแท้ๆ
   
“ แง้งง ฆ่าบี้ลัส ไปตายซะ ” ดัฟฟ์ตกใจกับเสียงตะคอกของคาร์บิลัสร้องไห้งอแงอีกครั้ง

   “ ไม่ไปโว้ย ”

   “ คาร์บิลัส เมื่อไหร่จะถึงบ้านพักตากอากาศอะไรนั่นของเจ้าหรือไม่ก็เจ้าก็ใช้เวทพาเข้าไปสักที ” ฟาร์คัสเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อความรู้สึกกระอักกระอ่วนหายไป

   คาร์บิลัสเลิกสนใจดัฟฟ์ทันที “ ข้ากะว่าจะพาเจ้าเดินชมที่แถวนี้ก่อนเพราะมันอยู่ไม่ไกลมาก แต่ถ้าหากเจ้าอยากไปตอนนี้ข้าก็จะทำ ”
   
“ งั้นก็รีบๆ ทำเถอะ ”

   คาร์บิลัสเงียบไปสักพักและไม่ยอมลงมือร่ายเวท “ ข้าอยากได้รางวัลเพิ่มล่ะ ฟาร์คัส ” พร้อมกับส่งสีหน้าอ้อนๆ มา

   ทำไมนับวันข้าเหมือนเห็นราชาปีศาจเป็นหมาของเมืองมนุษย์กัน “ จะเอาอะไร ” ฟาร์คัสถามด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ

   “ ข้าขอกอดเจ้าที่บ้านพักตากอากาศข้าเลยได้ไหม ”
   
“ เออๆ แค่กอดนะ ” ฟาร์คัสรับปากอย่างขอไปที แค่กอดคงไม่มีอะไรหรอกน่า
   
คาร์บิลัสยิ้มและร่ายเวทอย่างอารมณ์ดี

   
น่าเบื่อชะมัด พวกราชาปีศาจอวดดีอย่างนี้ทุกคนหรือยังไงกัน โซแวนคิดขณะที่กำลังก้าวขาเข้าไปในห้องทำงานของวารัน แต่เมื่อมองไปรอบๆ ก็ต้องผิดหวังเพราะร่างที่ต้องการที่จะพบไม่ได้อยู่ในห้อง ไปไหนของเขากัน ?

   “ โซแวนนนนน ทำไมเจ้าถึงได้หยาบคายกับฟาร์คัสของข้ากันนนน ” วารันโผกระโจนเกาะหลังโซแวนจนโซแวนเกือบล้มหน้าคว่ำ
   
ใบหน้าหล่อเหลาของโซแวนมีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฎ “ ข้าก็แค่ทำตามหน้าที่ของข้า วารัน ”
   
“ ก็ได้ เห็นแก่เจ้าที่หน้านิ่งตลอดปีตลอดชาติ ตั้งแต่ที่ข้าเจอเจ้าก็หน้าเป็นอย่างนี้แล้ว ข้าจะให้อภัยเจ้าแล้วกัน ” วารันเอาคางเกยไหล่ของโซแวนทั้งๆ ที่ยังคงเกาะอยู่

   “ ลงไปได้แล้ว วารัน ” โซแวนบอกด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
   
“ ม่ายยยยย ” วารันลากเสียงยาวอย่างนึกสนุกและเกาะโซแวนแน่นกว่าเดิมเหมือนปลิงที่เกาะดูดเลือดเหยื่อ
   
“ ถ้าเจ้าไม่ลง ข้าจะไม่มาหาเจ้าอีก ” โซแวนแกล้งขู่
   
“ ข้าม่ายเชื่อออ เจ้าขาดข้าไม่ได้หรอกนะ โซแวน ” วารันยิ้มกว้าง
   ทั้งๆ ที่หน้ายังเรียบเฉยแต่ในใจของโซแวนกลับกำลังเต้นคึกโครม อย่าบอกว่าวารันรู้สิ่งที่ข้าคิด.. ? “ อะไรที่ทำให้เจ้ามั่นใจขนาดนั้น วารัน ”

   “ ข้ามั่นใจแล้วกัน ” วารันยอมเลิกทำตัวเป็นปลิงเกาะโซแวน “ ที่เจ้ามาหาข้าทุกวัน เพราะเจ้าไม่มีเพื่อนไงล่ะ ! มีแต่คนนิสัยดีอย่างข้าแหละที่จะคุยกับเจ้าโดยไม่กลัวหน้าโหดๆ ของเจ้า ”
   นั่นสินะ.. เพื่อน  คำๆ นี้เสียดแทงโซแวนจนใจเจ็บแปลบ เมื่อไหร่กันที่ข้าจะกล้าบอกวารัน ? “ อืม ”

   “ งั้นข้าจะให้รางวัลเจ้าแล้วกัน ” วารันกางแขนออก “ อ้อมกอดอุ่นไงล่ะ ! ” พร้อมกับฉีกยิ้ม
   
“ ของไร้สาระพรรค์นั้น ข้าไม่ต้องการหรอก ” โซแวนแค่นเสียงหึใส่วารัน
   
ซะที่ไหนล่ะ..

ข้าไม่อยากได้อ้อมกอดอย่างเจ้าอย่างเดียวหรอกนะ วารัน

“ อย่ามาเรียกอ้อมกอดของข้าว่าไร้สาระสิ ! ”

------------------
รู้สึกเอ็นดูวารันแปลกๆ ค่ะ 555555 บทก็เลยตามมา

น้ำตาเงือกไม่ได้ใช้รักษาค่ะแต่ใช้ทำอย่างอื่นแทน  :mc4:

ฟาร์คัสกับคาร์บิลัสจะด๊วฟกันเหรอ ไม่จริงน่า 55555   :hao7:

 :กอด1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์จ้า



 
   

    
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 16-05-2015 22:32:45
ข้ากำลังปลูกต้นชา..

อา ชาอะไรสักอย่างที่ข้าจำชื่อไม่ได้

แต่ข้าจำสรรพคุณมันได้นะ รู้สึกจะไว้แก้ลมพิษ

ฮ้าววว ง่วงชะมัด ถ้าไม่ติดว่าเป็นวันที่ข้าต้องมารดน้ำพรวดดินข้าไม่มาทำหรอก ข้าอยากจะนอนบนเตียงนุ่มนิ่มไส้ขนห่านต่างหากล่ะ มันนุ่มมากเลย แต่ดินก็น่าจะนุ่มเหมือนกันนั่นแหละ ข้าโยนจอบในมือทิ้งและนอนลงบนพื้น
แต่พอนอนได้ไม่นานก็ถูกปีศาจหนูตัวย่อมกระตุกหนวดเรียก “ ท่านพอยซ์ขอรับ เมียของข้าปวดท้วงมาก ทำอย่างไรดีขอรับ ”

“ ฟ่อ ! นี่มันวันหยุดข้านะ ” พอยซ์แยกเขี้ยวใส่ทั้งๆ ที่ยังหลับตา

“ แต่เมียข้าปวดมากเลยนะขอรับ ท่านพอยซ์ ” ปีศาจหนูทำท่าจะร้องไห้กระตุกหนวดท่านหมออีกครั้งเพื่อเรียกความสนใจ

“ โอ๊ย เจ้าไปเด็ดต้นที่มีผลสีชมพูม่วงต้นนั้นให้เมียเจ้ากินนะ ” พอยซ์ยอมลืมตาขึ้นมาใช้อุ้งเท้าแมวเล็กๆ ชี้ไปทางต้นที่ว่านั้น อย่างว่าพอยซ์เป็นหมอไม่อาจทำเห็นคนป่วยแล้วอยู่เฉยๆ หรอก

“ แต่ว่าข้าคงปีนขึ้นไปเก็บไม่ได้หรอกขอรับ ท่านพอยซ์ ” เจ้าหนูจับหางตัวเองและก้มหัวอายๆ

พอยซ์หน้ายู่อย่างไม่สบอารมณ์ “ ข้าเก็บให้เจ้าก็ได้ แล้วอย่ามากวนข้าอีกนะ ! ”

“ ขอรับ ”

พอยซ์กระโดดหยองแหยงข้ามพืชสมุนไพรที่ตัวเองปลูกไว้อย่างเชื่องช้า ถ้าเกิดข้าเผลอไปทับมันตายเข้า ไม่ต้องเลี้ยงใหม่เลยรึไง ? พอยซ์กางกรงเล็บออกและตัดก้านผลที่ว่าและยื่นให้เจ้าหนูที่วิ่งตามมาติดๆ

ปัญหาต่อมาคือ มันใหญ่กว่าไอ้ตัวหนูนี่อีก

“ ต้องให้เมียข้ากินหมดนี้เลยเหรอขอรับ ท่านพอยซ์ ” เจ้าหนูปีศาจเบิกตากว้าง

พอยซ์ใช้เล็บตัดชิ้นเล็กๆ และยื่นมันให้เจ้าหนูปีศาจ “ กินแค่นี้ก็น่าจะหายแล้วล่ะ เจ้ารีบไปเถอะ เดี๋ยวเมียเจ้าจะปวดท้องตายไปซะก่อน ”

หนูปีศาจถึงกับน้ำตาคลออย่างซาบซึ้งและล้วงสิ่งของที่ตั้งใจจะเอามาแลกเปลี่ยนออกมา มันเป็นไข่มุกล้ำค่าที่หาได้ยาก “ ข้าให้ขอรับท่านพอยซ์ ”

พอยซ์ถึงกับตื่นเต็มตาเตรียมจะรับมา ไข่มุกนี้ถ้าข้าเอาไปแลกกับฟูกอันใหม่นุ่มๆ ได้สบายเลย ฮ่าๆ นี่สิที่ข้าต้องการ !

“ พอยซ์ ” เสียงเข้มคุ้นเคยดังขึ้น

“ ง้าววววววววววววววว ”  นี่มันเกิดอะไรขึ้นนนนนน ไข่มุกของข้า อ้ากกกกกก   ทำไมข้าถึงถูกดูดไปในเวทของใครก็ไม่รู้เนี่ยยย หลังจากออกมาจากวงเวทข้าก็ถูกโยนลงบนพื้น

“ พอยซ์ ” คาร์บิลัสเรียกเสียงเรียบเพื่อที่จะกระตุ้นให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมานั่งดีๆ

กรี้ดดด  ท่านคาร์บิลัสสสนี่ ! พอยซ์ตกใจจนหางฟูแปลงร่างเป็นร่างมนุษย์ทันทีทันใดและนั่งคุกเข่าต่อหน้าท่านคาร์บิลัส 

“ เอลล์ไม่อยู่แล้วเจ้าจะเรียกพอยซ์ออกมาทำไม ” ฟาร์คัสส่งสีหน้าเหม็นเบื่อใส่คาร์บิลัส

“ ก็เห็นเจ้าพูดถึงพอดีนี่ ข้าว่าพาตัวมาเลยดีกว่า ”

“ อะ เอ่อ ท่านคาร์บิลัสต้องการจะให้ข้ามาช่วยรักษาใครหรือขอรับ ” พอยซ์ถามเสียงสั่นเพราะหวาดกลัวสายตาของคาร์บิลัสที่กำลังจับจ้องอยู่

เจ้าราชาปีศาจนี่มันน่ากลัวตรงไหน เจ้าแมว ฟาร์คัสคิดในใจเซ็งๆ เพราะรู้สึกว่าเจ้าแมวนี่จะดูกลัวซะเหลือเกิน ไม่เห็นสายตาออดอ้อนของมันที่ส่งมาทางข้ารึไง ! เออ ข้ารู้ว่าคืนนี้เจ้าจะกอดข้า เลิกส่งสายตาบ้าๆ นี่มาได้แล้ว โชคดีที่บ้านพักไม่สิสมควรเรียกว่ากระต็อบมากกว่าด้วยซ้ำของคาร์บิลัสมี 2 หลัง ซึ่งข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่สร้างหลังเดียวอันใหญ่ๆ ลุกซ์กับดัฟฟ์เลยโดนจับไปอยู่อีกหลัง บรรยากาศตอนนี้เลยไม่กระอักกระอ่วนเท่าไหร่

คาร์บิลัสลอบยิ้มเมื่อเห็นฟาร์คัสดูหงุดหงิดกว่าปกติแต่ก็ยังทำสีหน้าขึงขังใส่พอยซ์ “ มันยังไม่ถึงเวลาตอนนี้ เจ้าไปอยู่บ้านพักของข้าอีกหลังกับลุกซ์ซะ ”

“ ขอรับ ” พอยซ์รีบพยักหน้าและวิ่งปรู๊ดไปยังประตูทางออกอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัวที่ดูจะเยอะเกินไป

ฟาร์คัสร่ายเวทเบาๆ ดึงตัวพอยซ์ที่กำลังก้าวออกจากประตูให้ลอยมานอนที่เดิม “ อย่าเพิ่งไปสิ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า ”

พอยซ์พยักหน้าแกนๆ ว่าเข้าใจแล้ว ถามมาสักทีเถอะ

“ เจ้าเป็นคนรักษาข้าใช่ไหม ? ”

“ ขอรับ ”

เพราะข้าจำได้ลางๆ ว่าข้าโดนเซอร์เคนสาปแล้วพอยซ์รักษาให้ “ งั้นก็หมายความว่าเจ้าแก้คำสาปได้น่ะสิ ”

พอยซ์ลุกขึ้นยืนและค้อมตัวลงด้วยความมั่นใจ “ ด้วยเกียรติของหมอแห่งแดนปีศาจขอรับ ”

ฟาร์คัสเผลอยิ้มออกมา

ดูเหมือนว่าข้าจะมีทางช่วยเอลล์แล้วสิ

-----------

 :katai5:
 



.
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 16-05-2015 22:40:54
อืม.......

ไม่คิดว่าตาของเอลล์จะรักษาได้ง่ายขนาดนี้ แต่ยังไงก็ต้องรอดูคนสาปก่อนละกันว่าสาปไปทำไม (ไม่แน่เด็จพ่อนั่นล่ะคนสาป)

 :katai5:

เขยิบขึ้นไปถึงวารันบ้าง คิดว่าวารันน่าจะรู้นะว่าคนข้างๆชอบตัวเองอยู่ แต่ฮิมขี้แกล้ง  :mew4:

 :กอด1:

หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 16-05-2015 23:29:59
เอ่อ เรียกมาง่าย ๆ แบนี้เลยเหรอคะ?

อยากได้ตอนพิเศษของโซแวนวารันเพิ่มจัง รู้สึกถึงออร่ามุ้งมิ้ง 55555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 17-05-2015 06:12:36
รอต่อจ้ส
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-05-2015 07:19:35
ฟาร์คัสจะเอาน้ำตานางเงือกไปทำอะไรนะ ตอนนี้ยังไม่เห็นมีอะไรต้องใช้
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 17-05-2015 08:14:53
งงช่วงท้ายอะ 
 “ เจ้าเป็นคนรักษาข้าใช่ไหม ? ”
“ ขอรับ ”
เพราะข้าจำได้ลางๆ ว่าข้าโดนโซแวนสาป
แล้วพอยซ์รักษาให้ “ งั้นก็หมายความว่าเจ้าแก้คำสาป
ได้น่ะสิ ”   

คนสาปคือ [ เชอร์เคน ] ไม่ใช่หรอออ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 17-05-2015 08:26:15
งงช่วงท้ายอะ 
 “ เจ้าเป็นคนรักษาข้าใช่ไหม ? ”
“ ขอรับ ”
เพราะข้าจำได้ลางๆ ว่าข้าโดนโซแวนสาป
แล้วพอยซ์รักษาให้ “ งั้นก็หมายความว่าเจ้าแก้คำสาป
ได้น่ะสิ ”   

คนสาปคือ [ เชอร์เคน ] ไม่ใช่หรอออ

จริงด้วยยยยยย TT    แต่งตอนกลางคืนเบลอๆ ขอบคุณที่เตือนค่ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 17-05-2015 09:19:59
ผิดคาดกับน้ำตาเงือกมากเลย
ขอบคุณค่ะ รีบมาอัพอีกนะ :katai4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 17-05-2015 11:02:06
วารันน่ารักอ่า!! แต่ฟาคัสแลดูรำคานดัฟจัง =_= ออกจะน่ารักกก ร้องแต่ ''หิว..หิว....หิวววว'' น่าเอ็นดูจิตาย  :hao3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 17-05-2015 20:03:54
ไม่ได้เข้าเล้ามาเกือบสัปดาห์
เข้ามาแล้วกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด
วารันเป็นรับอ่ะ เป็นรับๆๆๆๆ (รึเปล่า)
เหมือนว่าวารันจะเป็นรับนะ
สะกดจิตให้วารันเป็นรับ :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3:
โอย จะเป็นบ้าแล้ววว :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 17-05-2015 20:17:52
กำลังสนุกเลย รอตอนต่อไป :oni1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 15 19 พ.ค 58 40 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 19-05-2015 22:31:47
ตอนที่ 15

   ก็อก ก็อก

เอลล์เลิกคิ้วน้อยๆ กับเสียงเคาะกระจกห้อง น่าจะเป็นนก ? แต่พลังที่รู้สึกเป็นพลังของฟาร์คัส น่าจะเป็นนกส่งสารของฟาร์คัสสินะ เพราะถ้าหากเป็นคาร์บิลัสคงไม่วายเรียกด้วยพลังอันรุนแรงกว่านี้หลายเท่า ข้ารู้ระดับพลังของคาร์บิลัสดี ทำลายตรวนของท่านพ่อง่ายๆ ย่อมไม่ใช่พลังระดับธรรมดาทั่วไปที่มีอยู่ดาษดื่นแน่นอน เอลล์เปิดประจกห้องตัวเองให้นกส่งสารได้เข้ามา
   
นกส่งสารหรือร่างแยกอีกาของฟาร์คัสสะบัดหัวไปมามึนๆ การจิกเรียกเอลล์ให้หันมาสนใจเมื่อกี้ค่อนข้างทำให้จะงอยปากที่ยื่นออกมาทู่ลงนิดหน่อย “ เจ้ามาหาข้าหน่อย เอลล์ ข้าได้คนที่น่าจะรักษาคำสาปของเจ้าได้แล้ว ” เจ้าอีกาพูดด้วยเสียงของฟาร์คัสไม่ผิดเพี้ยน
   
เอลล์ขมวดคิ้วเสียงที่ได้ฟังนั่นเป็นเสียงของฟาร์คัส ? เอาเถอะ ส่งสารเจ้านกมาส่งสาร ข้าที่มองไม่เห็นฟาร์คัสคงให้มันพูดแทนนั่นแหละ “ อืม พาข้าไปสิ ” ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนของข้าต่อให้ข้าหายตัวไปก็ไม่มีใครรู้อยู่ดี  เวลาพักผ่อนของข้ามีไม่ค่อยมากเท่าไหร่พวกทหารเลยไม่กล้ารบกวนข้า

   เจ้าอีกาสะบัดขนปีกของตัวออกให้ลอยเอื่อยรอบๆ เอลล์ และท่องเวทย์เคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว ซึ่งขนปีกนั้นก็ได้แตกกระจายเป็นวงเวทอีกาสยายปีกอยู่บนพื้นที่เอลล์ยืนและนำพาร่างของเอลล์ไปยังที่กบดานของฟาร์คัส

   เอลล์จับหน้ากากของตัวเองไม่ให้ปลิวไปตามกระแสลมที่พัดรุนแรงซึ่งเป็นผลพวงมาจากเวทของเคลื่อนย้ายของเจ้าอีกาตัวเล็ก เวลาไม่นานก็ถึงที่หมายเอลล์เหยียบลงบนพื้นและใช้ประสาทสัมผัสเพื่อรับรู้สิ่งที่อยู่บริเวณโดยรอบทันที การเป็นราชาภูตนั้นถ้าหากประมาทเพียงวินาทีเดียวอาจจะถึงชีวิตได้ซึ่งข้าที่เป็นทั้งราชาภูตและตาบอดอีกต้องระวังกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว

   ในห้องมีฟาร์คัส คาร์บิลัส ลุกซ์ เจ้าอีกา ปีศาจตัวใหม่ที่น่าจะเป็นแมว กับพลังแปลกๆ แต่ดูไม่มีภัยคุกคามอะไรตัวเล็กๆ “ ฟาร์คัส เจ้าบอกว่าเจ้าหาคนที่จะแก้คำสาปให้ข้าได้งั้นเหรอ ” เอลล์ถามอย่างมีความหวัง เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะสืบข่าวเอาจากดินแดนต่างๆ ที่มีหมอคำสาปที่มีชื่อแล้วลองพาตัวมาหาข้าดูแต่กว่าจะได้แต่ละคนนั้นคงจะซับซ้อนมากเพราะต้องปกปิดตัวตนของข้าให้มิดชิดไม่ให้จับได้ อย่าลืมว่าราชาภูคตาบอดนั้นเป็นสิ่งที่ชาวภูตทั่วไปนั้นไม่รู้ แต่ตอนนี้โอกาสได้เข้ามาแล้ว ฉะนั้นข้าก็คงไม่จำเป็นต้องสืบหาข่าวแล้ว

   “ อืม ” ฟาร์คัสพยักหน้าน้อยๆ และยิ้มบางเมื่อเห็นรอยยิ้มของเอลล์ที่ดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่กำลังสมหวัง “ พอยซ์เป็นหมอคำสาปที่เคยรักษาข้า ถึงแม้จะรักษาได้ไม่หมดจดก็เถอะแต่ก็ถือว่าทำได้ดี ”

   พอยซ์ที่ได้รับฟังเรื่องราวจากฟาร์คัสมาแล้วค้อมหัวให้เอลล์อย่างเคารพถึงแม้จะรู้ว่าว่าร่างตรงหน้ามองไม่เห็นก็ตาม สิ่งที่ได้ยินมานั้นไม่ใช่เรื่องที่ฟังแล้วหมออย่างข้าจะฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ ได้ “ ข้าจะพยายามขอรับ ท่านเอลล์ ”

ลุกซ์ไม่พูดอะไรแต่ก็ยิ้มอยู่เหมือนกับเอลล์ ราชาภูตผู้ตาบอดกำลังจะมองเห็นข้าแล้ว ! นัยน์ตาสีเพลิงของลุกซ์ทอประกายระริกอย่างยินดี
   
คาร์บิลัสนั่งเงียบข้างๆ ดัฟฟ์ที่นั่งแทะไก่ย่าง ข้าเคารพการตัดสินใจของฟาร์คัส ไม่ว่าจะอะไรข้าก็ยอมให้ทำทั้งนั้นยกเว้นแต่สิ่งที่ทำให้ฟาร์คัสของข้าต้องเจ็บปวด
   
“ ขอบคุณนะ ” เอลล์ยิ้มก้าวขาเข้าไปใกล้และย่อตัวนั่งยองๆ ตรงหน้าพอยซ์ ทิ้งคราบกษัตริย์ผู้น่าเกรงขามไปโดยสิ้นเชิง “ ข้าเชื่อฝีมือของเจ้านะ ” เอลล์ถอดหน้ากากของตัวเองออกวางบนพื้นอย่างแผ่วเบา ลืมตาสีอำพันกับอัญมณีสีแดงให้พอยซ์เห็น

   ทั้งๆ ที่ดวงตาของเอลล์ดูทั้งสวยและแปลกตาแต่หากยามที่ไม่ทอประกายอะไรกลับดูแล้วสะท้านใจแปลกๆ พอยซ์สลดลงน้อยๆ ดวงตาของราชาภูตนั้นถูกคลุมไปด้วยสีดำจางๆ ทอประกายน่าขนลุก นี่คือความสามารถของพอยซ์ดวงตาแมวที่สามารถมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น
   
แต่ก็มีบางอย่างแปลกๆ เช่นกัน “ คำสาปที่ท่านถูกนั้นรุนแรงมาก ” พอยซ์บอกพร้อมกับควานหาของในกระเป๋าคู่ใจ ครั้งนี้ข้าตั้งใจจะใช้ใบที่มีผลต่อคำสาปโดยตรงอย่างใบฟิลโอซึ่งมีสรรพคุณไม่เหมือนดอกแกลส์ ดอกแกลส์มีไว้รับคำสาปแทนทำให้หายได้ไวแต่บางครั้งก็รับไม่ได้หมดเหมือนอย่างครั้งของท่านฟาร์คัส ดอกแกลส์ต่างจากใบฟิลโอที่ใบฟิลโอนั้นรักษาโดยตรง ร่างของท่านฟาร์คัสในตอนนั้นเปราะบางเกินกว่าจะรักษาโดยตรง ผลข้างเคียงจากการถอนคำสาปข้าไม่อาจรู้ได้ว่าจะทำให้ท่านฟาร์คัสทรุดลงหรือไม่ ฉะนั้นข้าเลือกที่จะวิธีทำให้หัวของข้ายังคงอยู่บนบ่าจะดีกว่า

พอยซ์หยิบใบฟิลโอขึ้นมากำนึงและขยำเบาๆ ก็กลายเป็นฝุ่นผงสีม่วงอ่อนอย่างง่ายดาย “ ขออนุญาตขอรับ ท่านเอลล์ ” พอยซ์เป่าฝุ่นที่วางไว้ในมือออกไปและใช้เวทประคองมันลอยฟุ้งรอบๆ ดวงตาของเอลล์

ฝุ่นผงสีม่วงของพอยซ์พุ่งเข้าไปในดวงตาของเอลล์บริเวณคำสาปปกคลุมอยู่ คำสาปสีดำที่ลอยเอื่อยอยู่นั้นสะท้อนดอกแกลส์ออกไปทันทีอีกทั้งสียังเข้มมากขึ้นราวกับว่าโดนกระตุ้น

“ อึ่ก ” เอลล์กัดฟันแน่นพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่เอามือไปกุมดวงตาที่ตอนนี้ปวดมาก ทั้งๆ ที่เป็นการรักษาดวงตาของเอลล์แต่กลับสร้างความเจ็บปวดให้กับเอลล์อย่างไม่น่าเชื่อ เอลล์กำมืดแน่นหวังจะให้ความเจ็บปวดที่มือคอยดึงสติไว้

ลุกซ์ไม่พูดอะไรแต่ในใจกลับรู้สึกปวดใจกับสีหน้าเจ็บปวดของเอลล์ อดทนหน่อยนะเอลล์.. อีกไม่นานเจ้าก็จะเห็นมังกรไฟแล้วนะ

   พอยซ์ขมวดคิ้วแน่นปากท่องเวทรักษารัวและเร็วมากขึ้นไปอีก ฝุ่นผงสีม่วงที่ถูกสะท้อนกลับมาพุ่งเข้าไปใหม่อีกครั้งหวังจะแทรกซึมเข้าไปปกคลุมดวงตาของเอลล์ เพราะถ้าหากปกคลุมดวงตาของเอลล์ได้สำเร็จคำสาปก็จะเป็นอันถูกถอนได้อย่างสมบูรณ์

   แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักเมื่อคำสาปสีดำเข้มได้กลายเป็นสีแดงและสะท้อนฝุ่นม่วงออกไปอย่างรุนแรง และส่งเวทโจมตีมายังพอยซ์ในชั่วพริบตา
   
ผลั่ก
   
พอยซ์ล้มลงมากองบนพื้นและยืนขึ้นมาใหม่ ดวงตาของพอยซ์ทอประกายคมกล้าอย่างไม่ยอมแพ้ท่องเวทขึ้นมาอีกครั้งและกระแทกกับคำสาปสีแดงเลือด

   คำสาปนั้นสะท้อนฝุ่นใบฟิลโอออกไปอย่างง่ายดาย

   พอยซ์มองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บปวด เพราะนี้หมายถึงความพ่ายแพ้ของเขาเอง แต่มันก็ทำให้รู้อะไรบางอย่างเช่นกัน “ ท่านเอลล์ขอรับ ”

   “ อะไรงั้นเหรอ พอยซ์ ” ความเจ็บปวดในดวงตานั้นทุเลาลง หวังว่านั่นจะหมายถึงสัญญาณที่ดี
   
พอยซ์ถอยห่างออกจากเอลล์และเหยียดยิ้มออกมา “ ท่านเอลล์รู้ไหมขอรับ ว่าคำสาปแบบไหนที่จะรุนแรงที่สุด ”

   “ ข้าไม่รู้ ”

   พอยซ์ยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องที่ได้รู้เมื่อกี้และนั่นก็เหตุผลที่ข้าไม่สามารถจะรักษาเอลล์ได้ “ คำสาปที่มาจากสายเลือดเดียวกันไงขอรับ ”

   เอลล์ตัวนิ่งค้างไปทันที “ เจ้าหลอกข้าเล่นใช่ไหมเจ้าแมว ”
   
“ นั่นเป็นเรื่องจริง ราชาภูต ” คาร์บิลัสตอบเรียบๆ หลังจากนั่งเงียบมานาน

   “ พูดเป็นเล่นน่า ” เอลล์หัวเราะออกมาแต่ดวงตาที่ไม่เคยทอประกายอะไรกลับมีน้ำตาคลอหน่วง “ พวกเขาจะสาปข้าไปทำไมกัน ” 

   ลุกซ์เบิกตากว้างรีบก้าวเข้าไปใกล้และกอดเอลล์ไว้ทันที หวังจะปลอบประโลมอีกฝ่าย เอลล์ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าข้าแม้แต่ครั้งเดียว ใบหน้าของเอลล์มักจะปรากฎยิ้มบางๆ อยู่ตลอด แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยน้ำตา
   
หูที่ตั้งอยู่เสมอของพอยซ์ลู่ลงเพราะความเศร้า ข้าไม่อยากพูดคำนี้ให้ท่านฟังเลยท่านเอลล์.. “ คำสาปของท่านรุนแรงมากสามารถพลิกแพลงตัวเองเพื่อป้องกันการถอนคำสาป ซึ่งคำสาปประเภทนี้นอกจากสายเลือดที่ใกล้ชิดมากเท่านั้นที่จะทำได้ ”

   เอลล์พูดอะไรไม่ออก ไม่มีคำสะอื้นออกมาแม้แต่นิดเดียว แต่น้ำตาของเอลล์กลับไหลออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว การที่ข้าตาบอดนั้นไม่เจ็บปวดเท่ารู้ว่าถูกสาปให้ตาบอดโดยคนใกล้ตัว ใครสักคนในครอบครัวของข้านี่เอง..
   

------------------------------
มาครึ่งแรกก่อน  :hao3:

 :mc4: ขอบคุณทุกคอมเมนต์น้า

* ช่วงตอบเม้น

คุณ BlueCherries : ก็ต้องดูกันต่อไป ~  :mew1:

คุณ Celestia : เรียกง่ายๆ ค่ะ ระดับท่านคาร์บิลัส ส่วนตอนพิเศษวารันมีแน่ๆ ค่ะ เพราะเราก็ชอบคู่นี้เหมือนกัน   :o8:

คุณ nemesis : จ้ส

คุณ sirin_chadada : ได้ใช้แน่ค่ะ  :mc4: ขอบคุณที่เป็นกำลังใจค่ะ

คุณ yamanaiame : ขอบคุณที่เตือนจ้า  :man1:

คุณ cher7343 : มาแล้วววว  :z2:

คุณ Hang : FC วารัน 555555  o13  ฟาร์คัสก็รักดัฟฟ์อยู่น้าาา

คุณ magarons : มาลุ้นกันค่ะ  :z1:

คุณ agava1313 :  :katai4:

 :hao7: เล่นโหวตกานนนน
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 19-05-2015 23:15:32
ชูป้ายโหวตวารันเป็นรับค่ะ

เอาจริงๆคนสาปเอลล์ไม่พ่อก็แม่นั่นล่ะ 

แต่ว่าทำไม.....
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 20-05-2015 18:35:32
รับสิคะแม่บอกให้รับไง!! ใครไม่โหวตรับยิงทิ้งง!!!!!!!! ว่าแต่คนที่มาคู่กับวารันแลดูเคะจุม ช่างมันเก๋าจะให้รับบบ จะเอาๆๆๆๆๆ    :m31:  ติดตามต่อไปปปป  หนุกมากอยากกลับไปอ่านอีกรอบ แต่ไม่ไหวว มันปวดใจมากที่ไอนั้นอะ เพื่อนฟาคัสทรยศ รับมิได้อยากให้นางคู่กับนกฮูก ที่เก่งๆอะ นั้นเละ โธ่.....แบบ น่าจะมีหักมุมแบบโดนควบคุมไรงี้ แต่มันมีประโยคหนึ่งที่มันบอกว่า ที่ฟาคัสอ่านความคิดนางไม่ได้เพราะนางไม่เคยเผยนิสัยตัวเองเลยพลิกมิได้ คือจบพูดจบนี้ เฮ้อออออ...  พอๆเพ้ออ นานเละ
ปอลิง.วารันรับ!!!!!!!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Rambluesky ที่ 20-05-2015 20:40:03
ใครเป็นคนสาปนะ  :m16:

รออ่านต่อนะครับ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 14 16 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 20-05-2015 22:22:50
วารัน นางต้อง"รับ"
คำสาปมีเพื่อ?
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 15 21 พ.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 21-05-2015 22:50:06
-- 60 % --

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นราชาแล้วก็ตามแต่ตำแหน่งอดีตราชาก็ยังคงเป็นตำแหน่งที่ใหญ่อยู่ดี ทหารภูตส่วนใหญ่ล้วนแต่เคารพและบูชาเมเออร์เป็นนายสูงสุดเช่นเดียวกับเอลล์ เมเออร์อยู่ในชุดสีเขียวเข้มหรูหราลวดลายประหลาดดวงตาสีอำพันติดจะหงุดหงิด ตะโกนสั่งทหารภายใต้การปกครองของตัวเองเสียงดังลั่น “ พวกเจ้าจงไปตามหาราชาปีศาจมาให้ข้า ! ทุกที่ในแดนภูต พวกเจ้าจงไปค้นหาให้หมด !! ”

   “ ขอรับ ! ” ทหารภูตขานรับเสียงดังลั่นและแยกย้ายกันไปทันที

   “ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน คาร์บิลัส ” เมเออร์พูดเสียงแหบต่ำ

   “ ทำอะไรของพวกเจ้าน่ะ ภูต ! ”

เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นไปทั่วบริเวณที่พักของผู้เป้นอาคันตุกะทั้งหลายเนื่องจากทหารภูตได้เคาะประตูและเข้าค้นห้องทันทีอย่างไร้มารยาท เดิมทีชาวภูตไม่เป็นมิตรกับดินแดนใดอยู่แล้วจึงไม่สนใจจะทำมารยาทอะไรให้มากมาย

   “ ข้านอนอยู่นะ ! ” เสียงคนแคระตะโกนดังลั่นอย่างเดือดดาลเพราะความหงุดหงิดที่ถูกปลุกกลางดึก ในมือคนแคระถือหมอนข้างอันจิ๋วที่พกมาด้วย

   ทหารภูตไม่สนใจจะตอบคำถามของดินแดนใดทั้งสิ้นเอาแต่รื้อค้นในห้องเมื่อหาราชาปีศาจไม่พบก็ย้ายห้องใหม่ไปเรื่อยๆ
   ซึ่งนั่นก็สร้างความเดือดดาลให้กับผู้เป็นอาคันตุกะเป็นอย่างมาก

“ ไอ้พวกไร้มารยาท ! ”
“ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ! ไม่ต้องเป็นมันแล้วพันธมิตรน่ะ ถ้าจะไร้มารยาทกับพวกข้าขนาดนี้ ! ” หัวหน้าเผ่าจิ้งจอกไฟพูดด้วยความโมโห การห้ามใจไม่ให้โต้กลับนี่ถือว่าปราณีมากแล้ว

“ บอกว่ายินดีรับดินแดนอื่นเป็นพันธมิตรแต่มาทำไร้มารยาทกับพวกข้า ข้าก็ไม่ต้องการมันวะ ! ”

“ กลับ ! ข้ายกเลิกการทำสัญญาการค้า ! ” 

   และยิ่งทหารภูตไม่ตอบรับอะไรยิ่งสร้างน้ำโหให้ผู้เป็นอาคันตุกะมากขึ้นไปอีก พากันกลับดินแดนของตัวเองโดยไม่แยแสต่อคำพูดของราชาภูตที่เอ่ยเชิญชวน

   เพราะถ้าหากเป็นพวกเจ้า
   
เจ้าย่อมไม่ยอมโดนการกระทำไร้มารยาทของทหารพวกนี้แน่


   เอลล์หลับไปแล้ว
   
ลุกซ์ยิ้มบางใช้มือหยาบของตัวเองลูบผมสีอ่อนของเอลล์ มันนุ่มมือและให้ความรู้สึกดียามที่ลูบ หลังจากเอลล์ร้องไห้ข้าก็พาเอลล์มาที่บ้านหลังเล็กที่ท่านคาร์บิลัสให้ข้าอยู่ เอลล์ยังคงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ร่างเล็กๆ ของเอลล์ซุกตัวหาข้าเหมือนกับสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ ข้าโอบตัวเอลล์ไว้หลวมๆ ไม่เอ่ยปลอบอะไร

   เพราะข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้ข้าคงไม่สามารถพูดให้กำลังใจอะไรได้

   แต่ขอให้รู้ว่าไม่ว่าอะไรก็ตามข้าย่อมจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ
   
ก็ข้ามันมังกรไฟบ้าของราชาภูตนี่ ฮ่าๆ

จริงสิ นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกเลยสิที่เอลล์นอนกับข้า เพราะปกตินอกจากเข้ามาเยี่ยมข้าก็ไม่เคยอยู่ค้างคืนเลยแม้แต่ครั้งเดียว เอลล์เคยจะอยู่เป็นเพื่อนข้านะแต่ข้าไม่ยอม ใครจะยอมให้ราชาภูตมานอนในคุกล่ะ ข้าไม่ยอมหรอกนะ
   
ข้ายีหัวเอลล์เบาๆและกระซิบบอกฝันดี ข้าผละออกมาเพราะตั้งใจจะออกไปสูดอากาศภายนอกสักหน่อย อากาศของข้างนอกนี่มันดีกว่าใต้ดินเยอะ อากาศที่ไร้ความชื้นแม้ว่าลมหายใจของข้าจะอุ่นก็เถอะแต่ก็ไม่ได้ทำให้ห้องแห้งขึ้นมาเลย

   “ แก๊ซซซซ ” มีเสียงประหลาดดังขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเหมือนมีอะไรเกาะกางเกง

   มังกรของท่านคาร์บิลัส ? อ่าจริงสิ มันโดนไล่มาอยู่กับข้านี่

   “ ไปด้วยยย ” ดัฟฟ์พูดด้วยน้ำตานองหน้าเพราะเสียใจที่ไม่ได้นอนกับแม่

   ลุกซ์ยิ้มแหยๆ ตัดสินใจจูงมือเจ้ามังกรออกไปเดินเล่นด้วย ลุกซ์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ดำราวกับถูกถมด้วยน้ำหมึกสีดำมีแต่เมฆสีเทาลอยเอื่อยอยู่เต็มไปหมดบดบังแสงสว่างยามกลางคืนอย่างดวงจันทร์ ซึ่งแม้แต่ดาวยังไม่มีปรากฎบนท้องฟ้า

   เหมือนเป็นลางว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา..

   ช่างเถอะข้าอาจจะคิดมากเกินไป
   
“ โฮ อยากนอนกะแม่ง้า ” ดัฟฟ์งอแงจดจ้องทิศทางที่ตั้งของบ้านคาร์บิลัส

   “ ถ้าเจ้าไปนอนด้วย มีหวังท่านคาร์บิลัส  ฆ่าข้าแน่ๆ ” ท่านคาร์บิลัสขู่ข้าไว้ว่าห้ามปล่อยให้ดัฟฟ์เข้าไปรบกวนโดยเด็ดขาด

   “ โฮ ลุ๊กใจร้าย แก๊ซ ”

   ข้าก็สงสารเจ้าอยู่นะ เจ้ามังกรแต่ข้าห่วงชีวิตของข้ามากกว่า “ นอนกับข้าไม่ดีตรงไหน ? ดัฟฟ์ ” ลุกซ์นั่งยองๆ ลูบหัวดัฟฟ์
   
ดัฟฟ์สะอึกสะอื้น “ ก็นอนกะแม่ แม่ให้กอดด้วยง้า ดัฟฟ์อยากกอดตอนนอน ”
   
ลุกซ์เลิกคิ้ว ปีศาจอีกาหน้านิ่งนั้นให้เจ้ามังกรนี้กอดด้วยงั้นเหรอ ? ผิดคาดแฮะ “ เอาเถอะ เจ้าก็กอดข้าไปพลางๆ แล้วกัน ”

   “ แก๊ซ มันไม่เหมือนกันง้า ”

   ลุกซ์ยิ้มเมื่อคิดอะไรบางอย่างออก ฉับพลันร่างมนุษย์กลายร่างเป็นมังกรไฟตัวย่อมทันที ลุกซ์พ่นไฟที่ไม่ติดไฟใส่ดัฟฟ์เชิงหยอก

   “ แก๊ซ มังกร ! ” ดัฟฟ์ตาเป็นประกายกระโดดเกาะหมับเข้าที่หางของลุกซ์
   
ลุกซ์สะบัดหางมังกรไปมาแต่ไม่แรงจนสะบัดดัฟฟ์หลุด จะว่าไปข้าก็ไม่ได้คืนร่างมังกรนานเหมือนกันนะเนี่ย งั้นข้านอนในห้องด้วยร่างมังกรไฟดีกว่า ให้เอลล์ตกใจเล่น

   “ หนุกกก ” ดัฟฟ์หัวเราะออกมาปีนขึ้นขี่หลังลุกซ์
   
ลุกซ์หัวเราะสั้นๆ ตอบ เดินชมวิวจนอิ่มจึงกลับเข้าห้อง ปล่อยให้ดัฟฟ์นอนบนหลังและปีนขึ้นไปบนเตียงที่ดูเหมือนจะเล็กเกินไปสำหรับมังกรเต็มวัยอย่างลุกซ์ ลุกซ์ลดขนาดตัวเองลงมาหน่อยให้พอนอนบนเตียงได้แต่ตัวก็ยังใหญ่อยู่ดี

   เอลล์ตื่นมาคงตกใจน่าดู ฮ่าๆ

   ภายในบ้านพักอีกหลังที่ดัฟฟ์อยากเข้าไปในนอนด้วย กำลังมีบรรยากาศคุกรุ่นอยู่กลายๆ เนื่องจากฟาร์คัสเปลี่ยนใจไม่ให้คาร์บิลัสกอดและคาร์บิลัสก็โวยวาย

   “ กลับบ้านก่อนค่อยกอดข้า ” ฟาร์คัสตอบพร้อมกับซุกตัวในผ้าห่มบนเตียงนุ่มซึ่งมีอยู่หลังเดียว ส่วนคาร์บิลัสโดนฟาร์คัสไล่ให้นอนข้างล่าง
   
“ ฟาร์คัส เจ้าไม่ให้ข้านอนด้วย ยังไม่ให้ข้ากอดอีกเหรออ ” คาร์บิลัสโอดครวญ “ ก็แค่กอดเท่านั้นแหละ ฟาร์คัส ”
   กับเจ้าที่เปลือยอกนอนเนี่ยนะ คาร์บิลัส ฟาร์คัสคิดเซ็งๆ “ ไม่ ” แต่พอตอบไปคาร์บิลัสกลับเงียบไปซะดื้อๆ จนฟาร์คัสยอมลุกขึ้นนั่งและเหลือบไปมอง
   
คาร์บิลัสลงไปนอนบนพื้นแล้วอีกทั้งยังหันหลังใส่ข้าด้วย
   
บรรยากาศอึมครึมนี่ทำข้าอึดอัดชะมัด ไอ้อะไรสีดำๆ แผ่ออกมาเหมือนกำลังจะบอกว่าผิดหวังมากของคาร์บิลัสทำข้าเซ็ง ข้าไม่อยากง้ออีก มันจะเหมือนครั้งที่แล้วที่ข้าขัดขืนอะไรไม่ได้

   “ ก็ได้... ” ฟาร์คัสยอมอ่อนข้อให้

   คาร์บิลัสเด้งตัวขึ้นมาทันทีราวกับว่าเมื่อกี้เป็นภาพลวงตา ทำเอาฟาร์คัสชะงักค้างไป คาร์บิลัสโผกอดฟาร์คัสเต็มรักเหมือนกับสุนัขที่กระโจนใส่เจ้าของทำให้ฟาร์คัสที่ตั้งตัวไม่ทันล้มลงไปบนเตียงอีกครั้ง ฟาร์คัสเบิกตากว้างพยายามดันคาร์บิลัสออกทันที

   ซึ่งคาร์บิลัสก็ผละออกมาอย่างง่ายดายและฉีกยิ้มร่าเริง
   
ผิดการคาดหมายของข้ามาก ฟาร์คัสคิดและถอนหายใจออกมา ข้าคงจะคิดมากไปเองนั่นแหละ ที่คิดว่าการกอดของคาร์บิลัสมันจะลามไปทำอย่างอื่นด้วย “ ราตรีสวัสดิ์ ” ฟาร์คัสบอกสั้นๆ เตรียมจะนอนไม่สนใจจะระวังตัวอีก

   และนั่นก็เป็นโอกาสของคาร์บิลัสที่ตั้งใจรอจังหวะนี้ คาร์บิลัสดึงตัวฟาร์คัสเข้ามาจูบเพื่อป้องกันการร่ายเวทป้องกันตัวของฟาร์คัส ส่วนมือข้างที่ว่างเริ่มปฏิบัติการทันที

   ฟาร์คัสสะดุ้งกับการกระทำของคาร์บิลัสพยายามผลักดันให้อีกฝ่ายออกไป เวร นี่ข้าอุตส่าห์วางใจว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรนะคาร์บิลัส แต่มือข้างที่ตั้งใจจะชกกับอ่อนปวกเปียกเหมือนกับน้ำเหลวๆ
   
คาร์บิลัสผละริมฝีปากตัวเองออกจากฟาร์คัสเมื่อรู้ว่าฟาร์คัสปวกเปียกไปแล้ว และยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “ ในที่สุดเจ้าก็เชื่องกับข้าสักที ” คาร์บิลัสปลดผ้าคลุมสีดำขลับทองของฟาร์คัสออกทำให้เห็นเสื้อของฟาร์คัสที่กระดุมติดเฉพาะส่วนที่ผ้าคลุมบังไว้เท่านั้น ข้าคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะร้อนจึงปลดมันออก แต่พอมานั่งพิจารณาแบบนี้กลับดูเย้ายวนแปลกๆ

   “ หุบปากไปซะ ” ฟาร์คัสบอกเสียงสั่น เพราะยังคงมึนๆ อยู่

   “ อา ถ้าจะให้ข้าหุบปากก็ใช้ปากของเจ้านะ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสยิ้มกว้างเมื่อฟาร์คัสส่งสีหน้าหงุดหงิดแทนคำตอบกลับมา
   
“ ข้าว่าข้าควรจะหาสมองมาใส่ให้เจ้าจริงๆ ไอ้ตรรกะบ้าๆ นี่เจ้าจะได้ไม่ต้องนึกถึงมัน ” ฟาร์คัสพยายามร่ายเวทใส่คาร์บิลัสแต่กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเพราะคาร์บิลัสปลดเสื้อออกไปแล้ว ฟาร์คัสหน้าแดงวาบเมื่อรู้สึกถึงถึงความเย็นเยียบของอากาศภายนอกที่กัดผิว

   อีกในความหมายหนึ่งคือข้ากำลังเปลือยอกเหมือนกับไอ้บ้าคาร์บิลัสนี่ไงล่ะ !

   ฟาร์คัสหน้าแดงก่ำเมื่อคาร์บิลัสจ้องมันด้วยสีหน้ากระหายแปลกๆ

   “ เจ้ารู้ไหมฟาร์คัส ตอนที่ข้าเจอเจ้าครั้งแรกข้าก็อยากจะทำแบบนี้แล้ว ” คาร์บิลัสใช้มือลูบอกขาวสว่างฟาร์คัสลากมือไปทั่วอย่างซุกซน “ ไม่ใช่ตอนเด็กๆ นะ ข้าหมายถึงตอนที่เจ้ามาเกาะบ้านของข้า ”

   ฟาร์คัสสะดุ้งยามที่มือร้อนของคาร์บิลัสลูบผ่านจุดที่ไว้ต่อสัมผัส “ งี่เง่า ”
   
“ ฮะๆ ใครใช้ให้เจ้าดูแล้วน่าขย้ำล่ะ หน้าหยิ่งๆ นั่นข้าอยากเห็นตอนเชื่องกับข้าจะตาย ” คาร์บิลัสปลดกางเกงของฟาร์คัสออก

   ฟาร์คัสเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่อยากจะสนใจอะไรอีก หวังจะซ่อนสีหน้าของตัวเองจากคาร์บิลัส เพราะความปราถานาที่น่าอายปรากฎต่อหน้าคาร์บิลัส

   คาร์บิลัสคลี่ยิ้มบางลูบสัมผัสมันเบาๆ เชิงหยอก จนฟาร์คัสสะท้านเฮือกหันกลับมาจ้องเขม็งเหมือนกับสัตว์ตระกูลแมวเลยทีเดียว ฟาร์คัสอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมาแค่นเสียงหึใส่ข้าแทน
   
หมายความว่า ?
   
คาร์บิลัสคิดอย่างฉงน เอาเถอะ ถ้าข้าเดาก็คงจะแปลได้ว่า อนุญาตยังไงล่ะ ! คาร์บิลัสคิดอย่างลิงโลด ข้าเคยศึกษามาแล้วด้วยว่าจะทำกับชายจะทำอย่างไร คาร์บิลัสใช้นิ้วค่อยๆ ล่วงล้ำเข้าไปในร่างกายของฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสกัดฟันแน่นหน้าแดงก่ำ ถึงแม้ข้าจะรู้มาบ้างก็เถอะว่าชายกับชายมันทำยังไง แต่ข้าก็ไม่ได้เตรียมใจมานี่ว่ามันจะเจ็บขนาดนี้

   “ ข้ารักเจ้านะฟาร์คัส ” คาร์บิลัสบอกด้วยสีหน้าจริงจังแต่มือก็ยังคงทำหน้าที่อยู่

   “ อ้ะ อือ ”

   ยิ่งฟาร์คัสเผลอครางออกมายิ่งทำให้คาร์บิลัสรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นเท่านั้น ฟาร์คัสนอนหอบหายใจใบหน้าคลอน้ำตาน้อยๆ ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อ
   
คาร์บิลัสกลืนน้ำลายปลอบตัวเองให้ใจเย็น   ๆ นี่เป็นครั้งแรกของฟาร์คัส ข้าควรจะทนุถนอมฟาร์คัสไว้ เผื่อว่าครั้งหน้าจะได้ยอมข้าง่ายๆ ไงล่ะ แผนของข้าสุดยอดไปเลยใช่ไหม ฮ่าๆ ข้าคอยจูบฟาร์คัสเพื่อไม่ให้ฟาร์คัสรู้สึกเจ็บเท่าไหร่นัก

   “ อืออ ” ฟาร์คัสเผลอครางเสียงยาวออกมาเมื่อคาร์บิลัสถอนนิ้วออกไป
   
ในที่สุดเวลาของข้าก็มาถึงสักที คาร์บิลัสคิดในใจ
   
ปัง !
   
ปัง ปัง ปัง !
   
คาร์บิลัสสสสสสสสสสสสสสสสสส !
   
นั่นมันเสียงเมเออร์นี่
   
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
   
เสียงเคาะประตูดังรัวพร้อมกับประตูที่เขย่าเตรียมจะพัง
   
คาร์บิลัสแค่นเสียงไม่สบอารมณ์ร่ายเวทให้ทั้งตัวเองกับฟาร์คัสให้ใส่ชุดดังปกติยามที่ร่วมงานเตรียมตั้งรับการโจมตีบ้าบอ
   
ฟาร์คัสยังคงหายใจหอบน้อยๆ หน้าแดงก่ำ

   โครม !

   ประตูห้องพังโครมลงมาพร้อมกับปรากฎร่างผู้รบกวนซึ่งกำลังทำสีหน้าเย่อหยิ่ง แต่ร่างผู้เย่อหยิ่งก็กระเด็นออกไปทันทีเช่นกัน

   “ ข้าเกลียดเจ้า ! ” คาร์บิลัสตะโกนดังลั่น

   โอกาสของข้ามันหลุดหายไปอีกแล้ว !

   ครั้งที่แล้วไอ้มังกร รอบนี้ราชาภูต

   สงสัยข้าต้องฆ่าคนอื่นให้หมดโลกล่ะมั้ง !

--------------------
พลาดอีกแล้วคาร์บิลัส 55555555555555555555555555

 :กอด1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์น้า

ps. เมาหัวเรื่องนิดหน่อย  :katai5:


 
    
   
   
   
   
   
   

   
   

   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 15 21 พ.ค 58 100 % UP
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 22-05-2015 14:26:57
ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าคาร์บิลัสเลยค่ะ 55555 แต่เอลล์นี่น่าสงสารนะ ตอนได้ยินคงช็อกมากๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 15 21 พ.ค 58 100 % UP
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 22-05-2015 14:39:57
555555555555555555555

คาร์บิลัสกินแห้วอีกแล้วววว (แอบขำฮิม พยายามทุกรอบแต่ก็กินแห้ว)

ถ้าจบความวุ่นวายนี้ได้ฟาร์คัสน่าจะให้รางวัลนิดๆหน่อยๆก็ได้มั้งงงงงง

 :hao3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 15 21 พ.ค 58 100 % UP
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 22-05-2015 18:58:08
เห็นลางราชาภูตสิ้นพระชน เร็วๆนี้ 555555 เอาแบบไม่ตายง่ายๆนะ มัดไว้กับไรก็ได้ที่ทำให้ใช้พลังเวทไม่ได้แล้วค่อยๆเผาเนื้อทีละนิด ทีละนิด ฮิ...ฮิ.. แล้วฆ่าล้างโครตภูตที่ไม่มีมารยาท(เหมือนจะเป็นทุกตัว) แล้วสาปเมืองทั้งเมืองอยู่ในความมืดตลอดกาลลลล 
แล้วให้วารันไปขโมยกระดูกของปู่ววว ฆ่าบี้ลาซซ มาทำให้ภูตน้อยของเราเป็น ดรากเอล(เขียนไงอ่ะ!) เอามังกงกรน้อยกะใหญ่(รึเปล่าา) มาเป็นตัวเเทงค์ ให้ฟาคัสยิงพลังจากไกลๆ ภูตน้อยใช้คำสาปของดราก  แล้วคาบิ ไปไล่ฆ่าหัวหน้า โลกน่าจะเเตก 55555
เอิ่มม..... คิดพล็อกแทนคนแต่งซะละ .... :beat: //โดนตรบ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 15 21 พ.ค 58 100 % UP
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 22-05-2015 19:27:48
จบกันบรรยากาศ....
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 15 21 พ.ค 58 100 % UP
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 22-05-2015 19:31:49
เห็นลางราชาภูตสิ้นพระชน เร็วๆนี้ 555555 เอาแบบไม่ตายง่ายๆนะ มัดไว้กับไรก็ได้ที่ทำให้ใช้พลังเวทไม่ได้แล้วค่อยๆเผาเนื้อทีละนิด ทีละนิด ฮิ...ฮิ.. แล้วฆ่าล้างโครตภูตที่ไม่มีมารยาท(เหมือนจะเป็นทุกตัว) แล้วสาปเมืองทั้งเมืองอยู่ในความมืดตลอดกาลลลล 
แล้วให้วารันไปขโมยกระดูกของปู่ววว ฆ่าบี้ลาซซ มาทำให้ภูตน้อยของเราเป็น ดรากเอล(เขียนไงอ่ะ!) เอามังกงกรน้อยกะใหญ่(รึเปล่าา) มาเป็นตัวเเทงค์ ให้ฟาคัสยิงพลังจากไกลๆ ภูตน้อยใช้คำสาปของดราก  แล้วคาบิ ไปไล่ฆ่าหัวหน้า โลกน่าจะเเตก 55555
เอิ่มม..... คิดพล็อกแทนคนแต่งซะละ .... :beat: //โดนตรบ

เป็นพลอตที่ทำให้เมเออร์ร้องไห้เป็นสายเลือดจริงๆ ค่ะ 5555555

 :mew1: ไม่กล้าตรบหรอกค่ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 15 21 พ.ค 58 100 % UP
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 22-05-2015 22:35:17
คาร์บิลัส นางเป็นพระเอกที่น่าเวทนามากกก
สงสารนาง55555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 15 21 พ.ค 58 100 % UP
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 23-05-2015 01:46:56
เรื่องไม่มีมารยามนี่คิดถึงพี่จีนทันทีเลย

 :mew1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 15 21 พ.ค 58 100 % UP
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 24-05-2015 07:26:52
ตัวขัดมีทุกที่ ทุกเวลา5555  ฆ่าบี้ลัส  จัดหนักจัดเต็มไปเลยยย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 16 26 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 26-05-2015 22:23:55
-- ตอนที่ 16 --

   คาร์บิลัสสส !

   ข้าเกลียดเจ้า !

   ตูม !
   
เอลล์ขมวดคิ้วและงัวเงียตื่นขึ้นมา ใช้มือเช็ดน้ำตาที่ติดที่หางตาและเผลอหาวหวอดออกมาอีกครั้ง แย่ชะมัดการร้องไห้เหมือนดูดพลังชีวิตข้าไปอย่างไงอย่างงั้น เอลล์ลงไปนอนกองอีกครั้งเพราะทนความงัวเงียของตัวเองไม่ไหว

   ช่างมันเถอะ อะไรสักอย่างที่อยู่ข้างนอก

   ข้าง่วง..
   
เอลล์หนุนหัวลงกับหมอนอีกครั้งและเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มที่โดนผลักไปกองข้างๆ

   ฟู่ ~
   
เสียงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่าใส่มือเอลล์จนเอลล์ชักมือกลับแทบไม่ทัน เอลล์หายง่วงเป็นปลิดทิ้งทันทีเอื้อมมือไปแปะกับที่มาของลมหายใจอุ่นๆ นั้น

   สัมผัสขรุขระคมๆ แบบนี้มีอย่างเดียวเท่านั้น
   
มังกรไฟ !

   เอลล์ยิ้มกว้าง ลุกซ์ในร่างมังกรนี่เอง เอลล์จับไปทั่วอย่างนึกสนุก มันให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ยามที่ได้จับรับรู้ถึงตัวตนอีกฝ่ายจริงๆ ไม่ใช่การบรรยายและจินตนการเอาเอง อีกอย่างที่ข้าจินตนาการออกก็มีเพียงความมืดเท่านั้น

   ลุกซ์ลืมตาขึ้นหาวหวอดจนเผยให้เห็นเขี้ยวคมๆ ลุกซ์ใช้ดวงตาสีนัยน์เพลิงจดจ้องเอลล์ที่กำลังจับปีกของตัวเองอยู่ ที่ข้าตื่นเพราะเสียงวุ่นวายข้างนอกนั่นก็ส่วนนึงแต่ส่วนใหญ่ก็คือสัมผัสซุกซนของเอลล์ซะมากกว่า ลุกซ์ขยับหัวเข้าไปหาเอลล์อย่างเงียบเชียบและใช้เขี้ยวแหลม งับเข้าที่ต้นคอเอลล์เบาๆ

เอลล์สะดุ้งโหยง “ ทำอะไรของเจ้าน่ะ ลุกซ์ ” เพราะข้ารู้สึกเหมือนถูกอะไรแหลมๆ กัดเข้าที่คอ และมันคงไม่ใช่ยุงแน่ๆ

   “ ทักทายน่ะ ” ลุกซ์พ่นไฟฟู่ๆ ใส่ทั้งเอลล์

   เอลล์ใช้มือปัดออกไปอย่างง่ายดาย
   
ลุกซ์เบ้หน้าเซ็งๆ “ ให้ตายเถอะ นี่เจ้าจะเก่งเกินไปแล้วนะเอลล์ ”
   
เอลล์ยิ้มบางลูบจมูกมังกรของลุกซ์

   “ แง้ เสียงดังกันง้า ” ดัฟฟ์กลิ้งลงมาจากหลังลุกซ์วิ่งวนรอบห้องโวยวาย “ เสียงฆ่าบี้ลัส ! ข้างนอกง้า ”

   ลุกซ์พ่นลมหายใจยาวเหยียดแล้วกลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิม “ ท่านคาร์บิลัสไม่เป็นอะไรหรอก ดัฟฟ์ ” แต่ออกไปดูก็น่าจะดีเหมือนกัน

   “ ไม่เป็นไรได้ไงง้า แก๊ซ ! โดนแม่ใช้อีกาจิกด้วย ”
   
อีกา ? ท่านคาร์บิลัสเนี่ยนะ โดนอีกาจิก ลุกซ์คิดอย่างงุนงง คงจะเกี่ยวกับเจ้าปีศาจอีกานั่นแหละ ลุกซ์ลูบหัวเอลล์เบาๆ “ เจ้าจะรออยู่ข้างในก็ได้นะ ” และพูดอย่างอ่อนโยนกับเอลล์

   เอลล์หยิบหน้ากากของตัวเองขึ้นมาสวม “ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าที่เป็นถึงราชาของดินแดนนี่ย่อมต้องเข้มแข็งเพื่อที่จะอยู่กับมัน ”

   “ งั้นมังกรอย่างข้าก็รอราชาอย่างเจ้ามาซบอกร้องไห้ล่ะนะ ” ลุกซ์พูดขำๆ และยิ้มบาง ถึงแม้ว่าเอลล์จะเสียใจเรื่องโดนสาปจากครอบครัวแต่เอลล์ก็เข้มแข็งมากพอที่จะใช้ชีวิตเหมือนดังปกติต่อไปเช่นกัน แม้ลึกๆ อาจจะกำลังร้องไห้ก็ตาม แต่ยังไงมังกรงี่เง่าก็ต้องรู้อยู่แล้ว

   เอลล์หน้าแดงก่ำ “ ไปเถอะ ข้างนอกเหมือนจะเกิดสงครามแล้ว ”

   “ กว่าจะไป ง้า แก๊ซ ” ดัฟฟ์มุ่ยหน้า
   
“ เฮ้อ ข้าไม่แปลกใจเลย ที่ท่านคาร์บิลัสไล่เจ้ามา ” ลุกซ์ผลักหัวดัฟฟ์เชิงหยอก และเปิดประตูออกไปเพื่อดูสภาพแวดล้อม

ภายนอกที่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วขนานใหญ่เพราะเสีบงดังกัมปนาทที่ดังเป็นระยะๆ แต่ข้ากับเอลล์เลือกที่จะปล่อยผ่านมันไป

ดังที่คาด..
   
ราบเป็นหน้ากลอง..
   

   หลังจากที่คาร์บิลัสทำการเตะเมเออร์ออกไปข้างนอกทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามาเพราะความแค้นที่อยู่ในใจ  คาร์บิลัสเรียกปีกกับหางตัวเองออกมาปาเวทง่ายๆ ใส่แต่อนุภาพของมันกลับไม่ง่ายตามทำให้มีหลุมบ่อเป็นหย่อมๆ บนพื้น
   
มาเวลาไหน ไม่มานะ ไอ้เมเออร์ !!

   คาร์บิลัสคิดอย่างหงุดหงิด เขาไม่สามารถฆ่าเมเออร์ได้เพราะปัญหาที่ตามมามันมากเกินไปและไม่ใช่อะไรที่สนุกเท่าไหร่ที่ต้องมานั่งตามแก้

   “ คาร์บิลัสส ! ” เมเออร์ตะโกนดังลั่นในมือกระชากด้ายทองอย่างรุนแรงเรียกให้อากาศรอบๆ หมุนริ้วเหมือนกับเกิดพายุรุนแรง

   “ อะไร ! มีอะไรรีบพูดๆ มา ข้าหงุดหงิดโว้ยยย ” คาร์บิลัสตะคอกตอบโยนลูกพลังในมือใส่อากาศเรียกเสียงระเบิดตูมทำให้อากาศรอบๆ กลับกลายมาเป็นเหมือนเดิม

   “ เจ้ากล้าดียังไงถึงมาบุกทำลายคุกที่ข้าภูมิใจ ! ” เมเออร์ร่ายเวทเรียกธนูสีทองประจำกาย รอบๆ เมเออร์นั่นเกิดประกายสีทองระยิบระยับและค่อยๆ ประกอบเป็นคันธนูที่คล้ายเถาไม้เลื้อยสานกันอย่างสวยงาม ดูสูงค่าเกินจะใช้ในการเข่นฆ่าใคร

   “ ใครใช้ให้เจ้าจับลูกน้องข้าล่ะ ! ” คาร์บิลัสคำรามลั่นหยิบหอกสีดำอัดด้วยมวลพลังเวทย์ขว้างใส่เมเออร์อย่างไม่รีรอ

   เมเออร์รีบกระโดดหลบทันทีเหมือนเช่นทุกครั้ง เพราะรู้ตัวดีว่าไม่อาจต้านพลังของคาร์บิลัสตรงๆ ได้ เพราะเหตุนี้ถึงได้มีหลุมบ่อเต็มพื้นที่นี้ไปหมด นัยน์ตาสีอำพันของเมเออร์ทอประกายโกรธขึ้ง “ เจ้าบุกรุกดินแดนข้าเอง ! ” และยิงธนูใส่ผู้ติดตามของคาร์บิลัสทันที ข้ามั่นใจว่า อีกฝ่ายไม่มีทางตั้งรับศรของข้าได้แน่ !
   
“ อย่าให้ข้าโมโหจริงๆ นะเมเออร์ ! ” คาร์บิลัสคำรามลั่นจนพื้นดินสะเทือน เตรียมจะเรียกดาบของตัวเองอย่างขาดสติ แต่กลับถูกขนปีกของฟาร์คัสจิ้มจึกเข้าที่หน้าผากซะก่อน อารมณ์ถึงค่อยเย็นลง   

ฟาร์คัสเหลือบมองศรที่เข้ามาใกล้ด้วยสายตาเฉยชา ใช้มือหยิบปลายคันศรธนูอย่างง่ายดายราวกับว่ามันถูกร่อนมาให้หยิบ ฟาร์คัสยกยิ้มและขว้างมันคืนใส่เมเออร์ทันที พลังของปีศาจอีกาคือดวงตาที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถมองสิ่งที่เข้ามาหาอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ช้าๆ ยังมีอีกพลังคือพวกสาปแช่งอะไรนิดหน่อยทำนองนั้น ซึ่งข้าคงไม่ใช้มันหรอก มันไร้สาระเกินไป ส่วนพลังของนกส่งสารอีกาที่เด่นๆ ก็คงจะเป็นการที่ข้าสามารถใช้พลังการเคลื่อนย้ายไปที่ต่างๆ อย่างง่ายดายกับการพรางตัวเข้ากับความมืดนั่นแหละ แต่ข้าก็ไม่ได้ใช้มันอยู่ดีเพราะมันกินพลังเวทของข้าเกินไป

เมเออร์เบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ศรที่ข้าภาคภูมิใจแม้แต่ผู้ติดตามของคาร์บิลัสยังสามารถรับได้ง่ายๆ แล้วยังขว้างใส่ข้าได้อีก
คาร์บิลัสยิ้มสะใจเมื่อเห็นเมเออร์อึ้งไป คงจะดูถูกฟาร์คัสของข้าล่ะสิ เป็นไงล่ะ ฮ่าๆ สมกับเป็นฟาร์คัสของข้าจริงๆ
เมเออร์ใช้คันธนูปดป้องลูกธนูของตัวเองออกไปและง้างธนูอีกครั้งเตรียมจะยิง ไม่มีวัน ! ที่ข้าจะยอมพวกปีศาจอย่างเด็ดขาด ดวงตาของเมเออร์ทอประกายเด็ดเดี่ยวออกมา แต่กลับต้องดับวูบในภายหลัง เมื่อถูกอีกาของฟาร์คัสใช้ปีกตบเข้าที่ต้นคออย่างแรง

แต่บางทียอมเปลืองพลังเวทเพื่อประหยัดเวลา ข้าสะบัดมืดเบาๆ เรียกให้อีกาของข้ากลับคืนสู่ข้าเช่นดังเดิม

“ ท่านคาร์บิลัส ใจคอท่านจะไม่ให้ข้านอนสักหน่อยเหรอ ” ลุกซ์ก้าวเข้าไปใกล้ฟาร์คัสโดยหลบเลี่ยงหลุมบ่อบนดินอย่างหวาดๆ พลังทำลายของท่านคาร์บิลัสดูกี่ทีก็น่าสะพรึงเหมือนเดิม

คาร์บิลัสไม่สนใจลุกซ์หันไปยิ้มกว้างให้ฟาร์คัส “ เจ้าเก่งจังเลย ฟาร์คัส ” และก้าวเข้าไปใกล้ด้วยท่าทีประจบประแจง

ฟาร์คัสถอนหายใจเฮือกโต นี่มันการกระทำของราชาปีศาจแน่งั้นเหรอ ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ตอนเมเออร์จะยิงธนูใส่ข้าน่ากลัวยังกับอะไร แต่ข้าไม่กลัวหรอกนะเพราะตอนปกติคาร์บิลัสมันก็สุนัขดีๆ นี่เอง

เอลล์ก้าวขาเดินอย่างมั่นคงไม่ก้าวพลาดเลยแม้แต่นิด จนลุกซ์รู้สึกหดหู่กับตัวเองไม่ได้ นี้ขนาดข้ามีตายังเกือบลงไปล้มกลิ้งตั้งหลายรอบ เอลล์ขมวดคิ้วแน่นเมื่อรู้สึกถึงพลังที่คุ้นเคย “ ฟาร์คัส นั่นท่านพ่อของข้างั้นเหรอ ? ” เอลล์ถามเมื่อมาหยุดยืนใกล้ๆ ฟาร์คัส

“ อืม ” ฟาร์คัสตอบสั้นๆ และถอยหลังหลบบางสิ่งบางอย่าง

โครม !

ฝุ่นลอยฟุ้งกระจายจนรอบๆ นั้นเต็มไปด้วยฝุ่น ภายในฝุ่นฟุ้งๆ มีเสียงเล็กแหลมงอแง “ แง้ แม่ใจร้าย แก๊ซ ”

ฟาร์คัสกลอกตาร่ายเวทลมสั้นๆ ให้พัดฝุ่นออกไปจนหมด เผยให้เห็นสัตว์เลี้ยงงี่เง่าตัวย่อมนอนคลุกฝุ่นอยู่ “ จะมาก็มา ”
ดัฟฟ์ยิ้มกว้างลุกพรวดขึ้นวิ่งมาเกาะขาฟาร์คัสทันที

เมื่อกลับมาสงบอีกครั้งเอลล์ถึงถามคำถามต่อไป “ เจ้าจะทำอะไรต่องั้นเหรอ ฟาร์คัส ” น้ำเสียงของเอลล์ไม่มีความโกรธเคืองแต่อย่างใด ไม่ใช่เพราะรู้สึกแค้นครอบครัวตัวเองแต่เป็นเพราะรู้ว่าพ่อของตัวเองยังไงก็ไม่ยอมอยู่เฉยและตามมาอาละวาดใส่แน่ๆ ท่านพ่อของข้าเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองมาก ถูกทำลายคุกตัวเองก็ต้องโมโหเป็นธรรมดาแล้วยิ่งเป็นคาร์บิลัสอีก ผลของเรื่องนี้ก็คือสภาพรอบๆ ในตอนนี้นั่นเอง

“ ฟาร์คัสแล้วข้าล่ะๆ ”

“ ... ” ฟาร์คัสไม่สนใจคาร์บิลัสหยิบขวดแก้วน้ำตาเงือกออกมา “ พอยซ์บอกว่าคำสาปของเจ้ามาจากคนใกล้ชิด ไหนๆ ท่านพ่อของเจ้ามาแล้วก็ลองสำรวจความทรงจำแล้วกัน ”
เอลล์ยิ้มบาง “ เอาสิ ”

ลุกซ์หาวหวอด “ แล้วถ้ากรอกน้ำนี้ใส่ปากตอนนอนแบบนี้ เมเออร์จะไม่สำลักน้ำตายเลยรึไง ”

“ งั้นก็ทำให้ตื่นซะสิ ” ฟาร์คัสพูดเหมือนเรื่องง่ายๆ

“ แล้วจะทำยังไงล่ะขอรับ ท่านอีกา ” ลุกซ์ถามด้วยน้ำเสียงติดจะเซ็ง

“ ให้ข้าช่วยทำให้ตื่นไหม ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสเสนอตัว

“ รอให้ตื่นเองดีกว่า ตอนนี้ก็มัดไปก่อนแล้วกัน ” ฟาร์คัสสรุปออกมา เพราะรู้สึกสงสารเมเออร์นิดหน่อยถ้าจะถูกคาร์บิลัสกระทืบให้ตื่นขึ้นมา “ คาร์บิลัสเจ้าไปมัด ”

“ ได้เลย ~ ” คาร์บิลัสขานรับมัดเมเออร์ด้วยเชือกเวทสีดำอย่างกระตือรือร้น

“ ใส่ตรวนด้วยสิ ท่านคาร์บิลัส ” ลุกซ์เชียร์

คาร์บิลัสหันมาส่งสายตาเย็นชาใส่ลุกซ์แต่ก็เพิ่มตรวนใส่ขาเมเออร์อยู่ดี “ เห็นแก่ที่เจ้าโดนไอ้เจ้าบ้านี้จับไว้หลายปีดีดักแล้วกัน ”
ลุกซ์ส่งสีหน้าซาบซึ้งใส่นายของตัวเอง “ แล้วเมเออร์มาคนเดียวงั้นเหรอ ท่านคาร์บิลัส ”

“ ท่านพ่อไม่ชอบพาใครมาช่วยหรอก ลุกซ์ ” เอลล์เป็นฝ่ายตอบคำถามนี้เองถึงแม้ลุกซ์จะไม่ได้ถามตนก็ตาม “ ท่านพ่อไม่อยากให้ภูตตนอื่นต้องมาบาดเจ็บกับเรื่องพวกนี้ ”

คาร์บิลัสแค่นเสียงหึใส่เอลล์ “ ข้าก็ไม่ได้อยากบุกดินแดนเจ้านักหรอก ข้าเคยส่งทูตมาเจรจาดีๆ เจ้าเมเออร์บ้านี้ก็ไล่กลับ พอข้าให้ลูกน้องข้าแอบลอบมาสืบข่าวก็จับลูกน้องข้าอีก ”

เอลล์ยิ้มบาง “ ขอบคุณท่านที่ส่งลูกน้องของท่านมานะ ท่านคาร์บิลัส ”

“ ข้าส่งมันมาหาข่าว พามันกลับก็ไม่กลับ เจ้าเอาไปก็ดีแล้ว ข้าเบื่อพวกได้หน้าแล้วลืมหลัง ” คาร์บิลัสบอกอย่างไม่จริงจังนัก

“ ท่านคาร์บิลัส ข้าไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านพูดซะหน่อย ! ” ลุกซ์เรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองอย่างเต็มที่ แม้ว่าสิ่งที่คาร์บิลัสพูดมาทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความจริง

“ เสร็จแล้วล่ะ ฟารคัส ” คาร์บิลัสถอยห่างออกจากผลงานตัวเองและยิ้มอย่างภูมิใจ เมเออร์ถูกมัดทบไปทบมาจนไม่สามารถมองเห็นภายในได้นอกจากบริเวณศีรษะเท่านั้นที่ไม่ถูกพันธนาการซึ่งบริเวณขาที่ถูกมัดก็มีตรวนโซ่ตรวนไว้อีกหนึ่งขั้น

นับว่าเป็นโชคของเอลล์ที่มองไม่เห็นสภาพพ่อของตัวเองในตอนนี้

บรรยายอย่างสุภาพคือ

เหมือนกับช่วงชีวิตหนึ่งของผีเสื้อยังไงยังงั้น

บรรยายหยาบๆ คือ

ตัวอ่อนดักแด้แมลงชัดๆ

“ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสเรียกคาร์บิลัสขณะที่เอามือนวดขมับตัวเองเบาๆ “ ถ้าเจ้ากล้ามัดข้าแบบนี้ ข้าจะไม่คุยกับเจ้าอีก ” ฟาร์คัสบอกดักเพื่อป้องกันตัวเองไว้ก่อน ใครจะไปรู้ว่าสุนัขอย่างคาร์บิลัสวันดีคืนดีอาจจะจับข้ามัดแบบนี้ก็ได้

“ ข้าไม่มีวันทำกับเจ้าแบบนี้แน่นอน ! ” คาร์บิลัสตะเบ๊ะใส่ฟาร์คัส แต่ข้าจะมัดแบบอื่นต่างหากล่ะ ฮ่าๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าคิดไว้แต่ไม่ได้พูดออกไป

“ ดูเหมือนเจ้าจะยังหงุดหงิดไม่หายนะ คาร์บิลัส ”

“ ใช่ ”    

ลุกซ์มองหน้านายเหนือหัวของตัวเองสลับกับอีกา ดูเหมือนว่าจะลืมว่าข้าเอลล์อยู่ในที่นี้ด้วยแล้วล่ะมั้ง เอาเถอะ ลุกซ์หาวอีกครั้งจนน้ำตาเล็ด ข้าก็ไปนอนต่อดีกว่า “ ข้าขอตัวนะขอรับท่านคาร์บิลัส ” และพูดประโยคที่ไม่หวังการตอบรับจากคาร์บิลัส

“ งั้นข้าไปนอนต่อแล้วนะ ฟาร์คัส ” เอลล์บอกกับฟาร์คัสบ้าง

“ เจ้าจะหงุดหงิดอะไรนัก คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสขมวดคิ้วมุ่น

“ เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าเสียใจแค่ไหน ที่พลาดโอกาสนี้ไป ฮือๆ ” คาร์บิลัสแสร้งเช็ดน้ำตา แต่ไอ้ความเสียใจคือของจริง ซึ่งมันก็มีมากด้วย

ลุกซ์กับเอลล์ตัดสินใจกลับห้องของตัวเองเงียบๆ โดยไม่ลืมที่ท่านคาร์บิลัสสั่งไว้ ลุกซ์จัดการแงะดัฟฟ์ออกจากขาของฟาร์คัส แม้ว่าดัฟฟ์จะร้องเหมือนถูกเชือดก็ตาม

“ แง้ ! โฮฮฮ ฆ่าบี้ลัสต้องแกล้งแม่แน่ ง้า ” ดัฟฟ์ที่หลับไปตั้งแต่เกาะขาของฟาร์คัสและงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนถูกแงะอออกจากขาฟาร์คัสเป็นที่เรียบร้อย ร้องโหยหวนแต่ก็ถูกลุกซ์เอามืออุดปากไว้

“ เงียบๆ น่า ” ลุกซ์บอกแต่ในใจก็รู้สึกสงสารดัฟฟ์ไม่น้อย ดูเหมือนว่าทั้งพ่อทั้งแม่คนปัจจุบันของดัฟฟ์จะไม่สนใจดัฟฟ์สักเท่าไหร่

“ โฮ ทำไมลุ๊กต้องพามาด้วยง้า ” ดัฟฟ์งอแงสลัดมืดลุกซ์ออกวิ่งไปเกาะขาเออล์แทน

“ เฮ้อ ก็ข้ายังไม่อยากถูกท่านคาร์บิลัสบั่นคอนี่หว่า ”

เอลล์หยุดเดินทันทีที่ถูกเกาะ เอลล์ใช้มือยีหัวดัฟฟ์อย่างเอ็นดู “ มาอยู่กับมังกรไฟแล้วก็ราชาภูตสักวันนะ ดัฟฟ์ ”
ดัฟฟ์หยุดร้องไห้ใช้มือเล็กๆ ขยี้ตาจะตาแดง “ อื้อ ! เยล ! ” และยิ้มน่ารักใส่เอลล์

เอลล์ชะงักมือที่ขยี้หัวดัฟฟ์ “ เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ ? ”

“ แยม ! อร่อย ”

“ ... ”


ฟาร์คัสขมวดคิ้วแน่นเมื่อหันมาสนใจรอบข้างอีกครั้งพบว่าไปกันหมดแล้ว เหลือแต่คาร์บิลัสที่ยืนทำหน้าน่าสงสารใส่ข้าอยู่

“ ต้องการอะไรกันแน่ คาร์บิลัส ”

“ ... ” คาร์บิลัสไม่ตอบส่งสายตาให้ฟาร์คัส เคยมีปีศาจโบราณกล่าวไว้ว่าดวงตาคือหน้าต่างแห่งหัวใจ ฉะนั้นข้าจะไม่พูดตรงๆ ว่า ข้า-ต้อง-การ-ทำต่อ-จาก-เมื่อ-กี้ ! เพราะหากพูดออกไปไม่วายถูกฟาร์คัสที่เขินจัดสั่งสอนเป็นแน่

“ เจ้าง่วงนอนสินะ ” ฟาร์คัสสรุปออกมา และเดินกลับไปยังห้องพักทันที ไม่สนใจจะรอคาร์บิลัสแต่อย่างใด

พวกเจ้าเคยได้ยินคำว่าร้องไห้ทั้งๆ ที่ไม่มีน้ำตาไหม ข้ารีบวิ่งตามฟาร์คัสไปติดๆ และส่งสีหน้าจะร้องไห้ใส่ฟาร์คัส ข้าเสียใจอย่างสุดซึ้งจริงๆ นะ

“ ทำหน้าบ้าอะไรของเจ้ากัน เจ้าไม่ได้ง่วงนอนหรือไง ”

“ ข้าไม่ได้ง่วงนอนซะหน่อย ”

“ แล้วมันจะเรื่องอะไ—” ฟาร์คัสถามและคิดไปพลาง แต่ยังไม่ถามได้จบประโยคก็รู้สิ่งที่คาร์บิลัสต้องการ  ฟาร์คัสหน้าแดง “ เจ้าไม่ง่วงแต่ข้าง่วง ”

“ ฟาร์คัส.. ”

“ ไม่ ! ”

สุดท้ายฟาร์คัสก็นอนต่ออย่างสบายใจ มีแต่คาร์บิลัสที่โดนไล่ให้นอนข้างล่างยืนทำหน้าเสียใจ ถ้าหากคาร์บิลัสมีหูคงไม่วายลู่ลงอย่างน่าสงสาร

ทำไมราชาปีศาจอย่างข้ากินอีกาสักตัวก็ยังทำไม่ได้กัน

เป็นเรื่องที่น่าเสียใจชะมัด

คาร์บิลัสถอนหายใจเฮือกๆ เตรียมจะลงไปนอนบนพื้นตามที่ฟาร์คัสสั่ง แต่กลับรู้สึกถึงร่างบนเตียงที่ขยับที่บนเตียงให้ครึ่งหนึ่ง

คาร์บิลัสยิ้มกว้างนอนลงบนเตียงใช้แขนของตัวเองดึงตัวอีกาเข้ามากอดและยอมหลับอย่างสบายใจ

น่าแปลกที่ฟาร์คัสไม่สลัดข้าออก..


บางทีข้าก็รู้สึกว่าอาชีพผู้ควบคุมกาลเวลานี่น่าเบื่อชะมัด

บางทีก็ว่างจนเกินไป บางทีก็ยุ่งจนจะบ้า

ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมวารันต้องเลือกหนีเที่ยวในเวลาที่งานยุ่งด้วย

ทั้งๆ ที่ข้าเตือนแล้วแท้ๆ แต่กลับยังดันทุรังอยู่ดี

สุดท้ายก็มาโดนจับขังลืมในต้นไม้ในดินแดนอะไรสักอย่างที่ข้าไม่ใส่ใจที่จะจำ เรื่องที่ข้าจำได้ก็คงเรื่องที่วารันอยากกินอะไรสักอย่างที่ข้าจำชื่อไม่ได้ที่มันหวานๆ และเย็นในเมืองมนุษย์

ข้าไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมข้าต้องมาปลอมตัวเป็นมนุษย์และมายืนต่อแถวยาวเหยียดที่ถ้าจะต่อคงรอไม่ต่ำกว่าชั่วโมง

ข้าอยากจะใช้เคียวของข้าหยุดเวลาแล้วแย่งไอ้เย็นๆ ในมือมนุษย์พวกนั้นและรีบๆ กลับซะ

แต่ประเด็นคือข้าทำมันไม่ได้

เพราะนั่นจะทำให้ทั้งข้าถูกจับของในต้นไม้บ้านั่น

และข้าก็ยอมไม่ได้หรอกนะ ที่วันๆ จะอยู่แต่ในต้นไม้คอยส่งสารให้พวกนกอะไรสักอย่างในดินแดนที่ฟาร์คัสอยู่

ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่

อย่างการนำไอ้แท่งเย็นๆ นี่ไปให้กับวารัน

ถึงแม้มันจะทำให้ข้ายืนจนกระดูกหดลงไปหน่อยก็เถอะ ข้าลอบกลับบริเวณที่ลับตาเพื่อไม่ให้เป็นที่ตื่นตนใจเท่าไรนัก
ผู้ควบคุมการเวลา ไม่ใช่ความลับแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรป่าวประกาศไปทั่วเช่นกัน

ข้าก้าวขาเข้าไปใกล้วารันที่นอนอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว วารันนอนขดตัวเพื่อให้ขานั้นใม่เลยออกไปจากเก้าอี้และยิ้มน้อยๆ ราวกับว่ากำลังฝันดีอยู่

ข้าใช้มือข้างที่ว่างปัดปอยผมสีเหลืองอ่อนเหมือนกับกลีบดอกไม้ที่บังใบหน้าเอลล์ออกไปทัดหูแทน ข้าจ้องใบหน้าที่ข้าหลงรักและเผลอยิ้มจางๆ ออกมา

น่ารักชะมัด

จู่ๆ วารันกลับขมวดคิ้วแน่นจนโซแวนเผลอขมวดตามอย่างงุนงง และวารันก็ลืมตาเบิกโพรงขึ้นมาทันทีจนโซแวนสะดุ้งถอยหลังไปหลายก้าวในมือเดิมที่ปัดปอยผมมีเคียวที่ส่งกลิ่นอายแปลกๆ

วารันหัวเราะลั่นกับท่าทางของโซแวน

“ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ แกล้งเจ้านี่มันสนุกจริง ” วารันเอามือกุมท้องหัวเราะ

โซแวนกลอกตา เอาอีกแล้ว ข้าโดนวารันแกล้งอีกแล้ว เอาเถอะ ถ้ามันเป็นความสุขเล็กๆ ของวารัน ข้าจะยอมแล้วกัน โซแวนยื่นสิ่งที่ซื้อมาให้วารัน

วารันยิ้มกว้างรับมาเลียกินแผล่บๆ ทันที “ ขอบคุณนะโซแวน ! ที่เจ้าไปต่อคิวซื้อไอติมให้ข้า แต่ว่าที่ข้าจะบอกคือ.. ”

โซแวนตั้งใจฟัง

“ ในถุงข้าก็มีตุนไว้เยอะแยะ ”

โซแวนคิ้วกระตุกรู้สึกเสียดายเวลาที่ไปเข้าแถวหลายชั่วโมง

ทั้งๆ ที่ข้าเป็นผู้ควบคุมกาลเวลา

แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้เวลาอยู่ดี

-----------------------

 :mew1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ

อยากรู้ว่าใครโหวตว่า แล้วแต่วันแล้วแต่อารมณ์ค่ะ 5555555 ยกมือหน่อยค่ะ  :mc4:

* เปลี่ยนโหวตใหม่  :really2:

โหวตเก่าโหวตว่า : วารันเป็นรับ ถูกต้องค่ะ วารันเป็นรับ   :hao6:






   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 16 26 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 27-05-2015 09:24:18
#ยกมือคราฟเค้าเองงง
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 16 26 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 27-05-2015 16:48:15
#ยกมือคราฟเค้าเองงง

ผิดกับคนอื่นมากค่ะ  :pigha2:

ถ้าวารันเป็นรุกก็คงอีกอารมณ์นึงสินะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 16 26 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 27-05-2015 17:00:42
ว้ายยย คิดถูกกกก
วารันเป็นรับบบบบบ
นั้นล้ากกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 16 26 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Rambluesky ที่ 27-05-2015 17:24:44
วารันเป็นรับ  :katai2-1:

รออ่านต่อนะครับ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 16 26 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 27-05-2015 18:52:13
กรีดร้องงงงงง วารันลูก ราศีเคะจับ อ๊อก! อั๊กก!! //ลงไปกองกับพื้น + ลุกขึ้นมา + กุมจมูก
โอ้ววว นาซ่าร์ ขดตัวนอน คุนเเพะ ฉากต่อไป ''เลีย'' ไอติมม สินะ สินะ สินะ สินะ หึๆๆๆๆๆๆๆ
คำเตือน!!อย่ากัดนะเดี๋ยวมันจะ ''เสียว''ฟัน  ไม่ได้หื่นจิมๆ เป็นห่วงสุขภาพวารัน เชื่อใช่มั้ย?
หน้าออกจะใสย์ๆ ว่าแต่ราชาภูตทำไมยังไม่ตายอะ 555 เอาฉากอดีตไม่ให้เม....ไรนะ
ให้อย่าให้เป็นคนดีนะ เดี๋ยวเราสงสาร 555 เดี๋ยวสมองจะกันอีกข้างนึ่งสาปแช่งอีกข้างสงสาร 55
รีเควสสส หาคู่ให้ดัฟ เป็นมังกรน้ำแข็ง เอาแบบเงียบๆแต่แอบหื่น จะได้เชื่องๆ..ทั้งปกติและบนตะ....แว้กกกก
//วิ่งหนีไรท์+อย่าถีบโผ้มมมมมมมม
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 16 26 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 27-05-2015 20:09:27
กรีดร้องงงงงง วารันลูก ราศีเคะจับ อ๊อก! อั๊กก!! //ลงไปกองกับพื้น + ลุกขึ้นมา + กุมจมูก
โอ้ววว นาซ่าร์ ขดตัวนอน คุนเเพะ ฉากต่อไป ''เลีย'' ไอติมม สินะ สินะ สินะ สินะ หึๆๆๆๆๆๆๆ
คำเตือน!!อย่ากัดนะเดี๋ยวมันจะ ''เสียว''ฟัน  ไม่ได้หื่นจิมๆ เป็นห่วงสุขภาพวารัน เชื่อใช่มั้ย?
หน้าออกจะใสย์ๆ ว่าแต่ราชาภูตทำไมยังไม่ตายอะ 555 เอาฉากอดีตไม่ให้เม....ไรนะ
ให้อย่าให้เป็นคนดีนะ เดี๋ยวเราสงสาร 555 เดี๋ยวสมองจะกันอีกข้างนึ่งสาปแช่งอีกข้างสงสาร 55
รีเควสสส หาคู่ให้ดัฟ เป็นมังกรน้ำแข็ง เอาแบบเงียบๆแต่แอบหื่น จะได้เชื่องๆ..ทั้งปกติและบนตะ....แว้กกกก
//วิ่งหนีไรท์+อย่าถีบโผ้มมมมมมมม

ดัฟฟ์ยังเด็กอยู่เลยค่ะ 5555555 ตอนนี้อายุประมาณ 6-7 ขวบเอง
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 16 26 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-05-2015 02:25:32
 o13
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 16 26 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 30-05-2015 00:21:29
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 16 26 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-05-2015 10:27:18
เราเพิ่งเห็นเรื่องนี้ได้ไงเนี่ย
น่าสนุกมากๆ ชอบอ่ะะะะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 16 26 พ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 30-05-2015 11:01:37
มาต่อเร็วๆน๊าาาา อยากอ่านแย้ววววว
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ :D ( อยากให้เขียนอะไร ? )
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 30-05-2015 17:16:27
อยากจะเขียนตอนพิเศษค่ะ เว้นเนื้อเรื่องหลักสักตอน  :hao6:

ตอนพิเศษอยากให้เขียนอะไรดี ? เสนอได้เลยยยย  :hao7:

ฟาร์คัสถูกสาป คู่วารันแบบเต็มๆ สถานการณ์ที่ดินแดนนกบอกลาง ได้หมดจ้า  :mew1:

--------------------------------

แฮ่ มีเพจไว้แจ้งนิยาย อัพไม่อัพค่ะ ทวงได้จิกได้จ้า  :z13:

https://www.facebook.com/FoggyTime
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ :D ( อยากให้เขียนอะไร ? )
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 30-05-2015 17:58:03
อยากกกกกก


แบบตอนไม่เอี่ยวกับเรื่องหลักนะคะ

ฟาร์คัสกับคาร์บิลัสสลับร่างกัน


วารันบอกว่ารักโซแวนนนน

 อิอิ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ :D ( อยากให้เขียนอะไร ? )
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 30-05-2015 19:41:31
อยากได้ฉากขอวารันนนนนนนนนนน
แบบ ขอหวานๆ หื่นๆ ไม่เอาดราม่าาาา
หรือไม่ก็เรื่องของเอลล์กับมังกรที่เอาร่างกลับเป็นคนไม่ได้ โหย คงฟินเนอะ
มังกรไฟ พ่นไฟฟู่ๆ สยิวๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ :D ( อยากให้เขียนอะไร ? )
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 31-05-2015 18:49:42
อยากอ่าน สถานการณ์ที่ดินแดนนกบอกลาง อะอยากรู้ว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ :D ( อยากให้เขียนอะไร ? )
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 01-06-2015 07:02:34
เจอไข่!!!!!!!!!!!!!!!!  :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : สลับร่าง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 02-06-2015 22:26:40
--- ตอนที่พิเศษ -----

   ดินแดนปีศาจนับได้ว่าเป็นดินแดนที่น่าจะยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนี้ พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นล้วนได้มาจากสงครามบ้างการล่าอาณานิคมของปีศาจในยุคก่อนๆ บ้าง ซึ่งส่วนที่เป็นของราชาปีศาจย่อมยิ่งใหญ่เพื่อให้เป็นการสมฐานะอันเกรียงไกร
   
ฟาร์คัสกำลังนั่งอยู่ในสวนที่กว้างพอๆ กับดินแดนเล็กๆ สักดินแดนในโลกใบนี้ ฟาร์คัสนั่งจ้องดัฟฟ์ที่กำลังกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นด้วยร่างมังกรที่เคยเจอตอนอาละวาด
   
ซึ่งยิ่งดูก็ทำให้ฟาร์คัสรู้สึกว่านี้มันไร้สาระสิ้นดี

   แต่ถ้าหากไม่คืนร่างมังกรบ้างจะทำให้พลังสะสมในร่างมนุษย์มากเกินไป

   ดัฟฟ์ใช้ร่างอันใหญ่โตของตัวเองกระโดดทับดอกไม้บ้างต้นไม้บ้างอย่างสนุกสนาน ร้องแก๊ซๆ ดังลั่น ซึ่งข้าก็คาดว่าน่าจะดังมากพอที่จะทำให้คาร์บิลัสโผล่มาเตะเพราะความรำคาญได้

   ฟาร์คัสคิดเรื่อยเปื่อยไปทั่วเพราะพอไม่อยู่ที่นี้ก็ไม่มีอะไรจะทำเท่าไหร่ เรียกได้ว่าว่างงานมากถึงมากที่สุด

   “ ฟาร์คัส ! ” เสียงร่าเริงดังขึ้นพร้อมกับแรงตะปปเข้าที่ไหล่ของฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสสะดุ้งตวัดสายตามองโกรธๆ 

   สักวันข้าคงตกใจตายแน่ๆ

   “ เจ้าไม่ทำงานรึไง คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสขมวดคิ้วตั้งคำถาม

   “ เจ้าชาคอสกับคอร์สมันรวมหัวให้ข้าทำงานมาหลายวันแล้วนะ ข้าก็ต้องมีวันหยุดบ้างสิ ! ” คาร์บิลัสทำหน้าน่าเห็นใจ แต่ข้ากลับรู้สึกอยากถีบมากกว่า

   “ แล้วแต่เจ้าเถอะ ” ฟาร์คัสถอนหายใจ

   “ อย่าเพิ่งเบื่อข้าสิ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสยิ้ม “ ข้ามีของดีมาให้เจ้าลองชิมด้วยนะ ” คาร์บิลัสยื่นขวดแก้วที่มีน้ำสีแปลกตาให้กับฟาร์คัส

   ฟาร์คัสไม่ได้รับมาดู “ แก้วล่ะ ? ”
   
คาร์บิลัสดีดนิ้วเรียกแก้วเรียวใสออกมาทันที

   ฟาร์คัสรับแก้วมาถือรอให้คาร์บิลัสรินให้ “ เจ้าไปเอามาจากไหนกัน ? ” ฟาร์คัสถามเมื่อคาร์บิลัสรินจนเต็มแก้ว
   
“ อ้อ ลุกซ์มันส่งมาให้น่ะ มันบอกว่าอยากให้เจ้ากับข้ากินเป็นพิเศษเลยล่ะ ”
   
ฟาร์คัสขมวดคิ้ว “ แล้วเจ้าไม่กินงั้นเหรอ ? ”
   
“ เจ้าลองกินไปก่อน ถ้าเจ้าไม่ชอยเดี๋ยวข้ากินให้เอง ” คาร์บิลัสยิ้มน้อยๆ ตอบ “ อร่อยนะ ”

   คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ? ฟาร์คัสคิดสั้นๆ ไม่ได้ไตร่ตรองอะไรมากมายนักและจิบเล็กน้อย
   
หวาน.. และแผดเผาคอ แต่ก็ถือว่าอร่อย

   “ อร่อยดี เจ้าก็กินบ้างสิ ” ฟาร์คัสยื่นแก้วให้คาร์บิลัส

   “ เจ้ากินเถอะ ”
   
ฟาร์คัสเลิกคิ้วน้อยๆ เพราะเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของคาร์บิลัส แต่ก็ยังคงจิบอีกครั้งอยู่ดีเพราะติดใจในรสชาติ

   คาร์บิลัสใช้ทีเผลอของฟาร์คัส รีบแนบริมฝีปากของตัวเองทันทีและลิ้มรสของน้ำที่ลุกซ์ให้มาจนฟาร์คัสเผลอครางออกมา

   คาร์บิลัสจูบจนพอใจจึงผละออกมาและใช้ลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองเบาๆ อย่างเสียดาย
   
ฟาร์คัสหน้าแดงก่ำกัดฟันแน่น “ ทำบ้าอะไรของเจ้า ! ”

   “ ก็เจ้าดูอร่อยมากนี่นา ข้าก็เลยอยากกินบ้าง ” คาร์บิลัสตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ

   ฟาร์คัสแยกเขี้ยวอย่างโมโหและร่ายเวทคำสาปที่ตอนแรกคิดว่าไม่มีทางใช้สาปใครแน่ๆ เพราะคงอยู่ได้ไม่นานและยังไร้สาระมากเกินไป

   งั้นเจ้าก็ประเดิมคนแรกแล้วกันคาร์บิลัส !
   
แต่พอร่ายเสทคำสาปไปได้สักพักกลับมึนหัวและวูบแบบคำสาปค้างๆ คาๆ

   คาร์บิลัสเบิกตากว้างรีบก้าวเข้ามารับฟาร์คัสทันที
   
แต่พอคาร์บิลัสแตะตัวฟาร์คัสกลับถูกคำสาปสีดำครอบตัวทันทีรวมถึงฟาร์คัสก็เช่นกันที่ถูกครอบ

   คาร์บิลัสรีบร่ายเวทแก้คำสาปของฟาร์คัสทันทีแต่ก็ไม่ทันเมื่อรู้สึกเหมือนถูกกระชากแรงๆ จนเหมือนวิญญาณหลุดไปสักที่ ซึ่งสักที่ที่ว่านั้นกลับเป็นร่างของฟาร์คัส !

   …

   ฟาร์คัสลืมตาขึ้นมาและใช้มือนวดขมับตัวเองเบาๆ

   ทั้งๆ ที่ข้าคิดว่าตัวเองไม่ได้คออ่อนสักหน่อยกลับวูบไปซะงั้น ไอ้น้ำนั่นแค่จิบนิดเดียวก็มึนแล้วหรือว่ามันเป็นสูตรของลุกซ์ข้าถึงได้ไม่ชินกัน ?

   ช่างมันเถอะ นั่นมันไร้สาระเกินไปที่ข้าต้องมานั่งสนใจ

เพราะก่อนที่ข้าจะวูบไปรู้สึกว่าข้ากำลังจะสาปคาร์บิลัสนี่
   
ฟาร์คัสรีบหันซ้ายหันขวาทันทีพบว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในห้องนอนของคาร์บิลัสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีดัฟฟ์นอนกองอยู่บนเตียงเช่นกัน

   ซึ่งดัฟฟ์ก็กำลังกอดขาของฟาร์คัส

   ฟารคัส ... ?
   
ฟาร์คัส !!!
   
นั่นมันข้านี้ !
   
ฟาร์คัสเบิกตากว้างรีบถลาเข้าไปหาร่างของตัวเองทันทีซึ่งกำลังนอนด้วยสีหน้าทะเล้นแปลกๆ ฟาร์คัสขมวดคิ้วแน่น ลองดูมือของตัวเอง

   มือของข้าไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ !

   ฟาร์คัสก้มมองสำรวจตัวเองทันที

   เสื้อสีดำขลับแดงดูสูงค่ามีขนนุ่มๆ บริเวณคอ
   
ฟาร์คัสขยี้ตาตัวเองเปลี่ยนไปจับหัวตัวเองและต้องตกใจจนร้องออกมา

   “ คาร์บิลัส ! ”

   นี่มันร่างของคาร์บิลัสนี้ ข้าไม่ได้มีเขา !

   ฟาร์คัสใช้มือหยาบๆ ของคาร์บิลัสเขย่าร่างตัวเองจนหัวสั่นคลอน

   “ มีอะไรงั้นเหรอ ฟาร์คัส ~ ” ฟาร์คัสไม่สิคาร์บิลัสในร่างของข้า หาวออกมาได้น่าเกลียดจนข้าอยากกระโดดน้ำตายซะตอนนี้
   
“ ข้าจะกลับร่างของข้า ! เจ้าออกไปซะ ”
   
“ เจ้าเป็นคนสาปข้าเองนะ ~ ฟาร์คัส ข้าแก้คำสาปของเจ้าไม่ได้หรอกน้า ” ร่างของข้าทำหน้ากวนประสาทพร้อมกับเสียงที่ข้าไม่คิดจะพูด จนข้ารู้สึกรับไม่ได้
   
“ พอยซ์ล่ะ ! คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำของคาร์บิลัส ทำให้ฟังแล้วรู้สึกกดดัน ถ้าหากเป็นปีศาจตนอื่นที่อยู่ภายใต้อาณัติของคาร์บิลัสคงไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

   “ ข้าม่ายรู้ ~ ”

   “ อย่าทำให้ข้าโกรธนะคาร์บิลัส ”
   ร่างของข้าหน้าซีดเผือดทันตา “ เอาน่า ฟาร์คัสคำสาปของเจ้ามันอยู่ถึงแค่คืนนี้เอง ตอนนี้ก็เพิ่งเช้าเอง เจ้าก็เล่นร่างของข้าไปก่อนแล้วกัน ”

   “ ... ” ฟาร์คัสไม่พูดอะไรก้าวลงจากเตียงและลองก้าวเดินด้วยความไม่คุ้นชินนัก ภาพทรรศนียภาพต่างๆ ดูสูงกว่าเดิมมาก
   ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองเล่นร่างนี้ตามที่คาร์บิลัสบอกจะเป็นอะไรไป

   บนใบหน้าเรียบเฉยของคาร์บิลัสเกิดรอยยิ้มน้อยๆ

   ทำไมข้ารู้สึกว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกัน ? คาร์บิลัสคิดในใจ ทำไมยามที่ข้าเห็นรอยยิ้มของตัวเองแล้วมันดูน่าหมั่นไส้ยังไงชอบกล อย่าบอกนะว่าข้ายิ้มแบบนี้มาตลอด ! มิน่าล่ะฟาร์คัสถึงได้ชอบลงไม้ลงมือกับข้าบ่อยๆ “ เจ้าคิดอะไรอยู่น่ะ ฟาร์คัส ? ”

   “ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสพูดเสียงเข้มใส่เจ้าของร่าง

   คาร์บิลัสยิ้มแห้งๆ “ อ่า คาร์บิลัสก็คาร์บิลัส ”

   “ งั้นข้าลองอออกไปเดินเล่นหน่อยแล้วกัน ” ร่างของคาร์บิลัสพูดจบก็เปิดประตูออกไปทันทีโดยไม่รอคำตอบจากคาร์บิลัส

   “ เดี๋ยว ! ” คาร์บิลัสรีบย้ายร่างตัวเองออกจากเตียงวิ่งตามฟาร์คัสไปทันที

   แอ่ก

   “ แง้ ! ” ดัฟฟ์น้ำตาคลอ

   ซึ่งในขึ้นตอนการย้ายร่างกายนั้นก็มีการสลัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่เช่นกัน คาร์บิลัสไม่สนใจไอ้มังกรบ้าบอที่วิ่งตามมาติดๆ ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตามร่างของตัวเองที่ไปโผล่แถวหน้าห้องเอกสารแล้ว

   น่าจะเป็นภาพที่แปลกตาของปีศาจที่ทำงานในคฤหาสน์ราชาปีศาจ

   เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือท่านคาร์บิลัสที่นั่งตั้งใจอ่านเอกสารไม่เหมือนปกติที่เอาแต่หาทางกลับไปยังห้องนอนของตัวเองเพื่อที่จะเป็นพบปีศาจอีกา
   
ปีศาจทุกตนที่อยู่ที่นี้รู้ดีถึงฐานะของปีศาจอีกาที่แม้ท่านคาร์บิลัสไม่ได้เอ่ยถึงแต่การกระทำของท่านคาร์บิลัสนั้นก็ได้หมายเหตุกลายๆ แล้วว่านี้ เป็นฐานะพิเศษ

   พระชายานั่นเอง

   ไม่ใช่เรื่องแปลกในดินแดนปี่ศาจถ้าหากจะมีชายาเป็นชายเพราะการสืบเชื้อสายหากไม่ใช้สายเลือดก็จะมีการประลองเฟ้นหาเช่นกัน ทายาทจึงไม่มีความจำเป็นเท่าไรนัก

   เพียงแต่ว่าพระชายาในตอนนี้ก็แปลกไปเช่นกัน

   คอร์สปีศาจกระต่ายตัวอ้วนที่มักจะเจอฟาร์คัสบ่อยๆ และรู้ดีว่าฟาร์คัสเป็นผู้ที่ค่อนข้างเก็บตัวแค่ไหนและไม่สุงสิงกับใครนอกจากราชาปีศาจกับมังกรดำ แต่ก็ไม่ได้เข้าขั้นเย็นชา คอร์สเบิกตากว้างหูกระต่ายตั้งขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นท่านฟาร์คัสวิ่งหน้าตั้งด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้

   เดิมทีฟาร์คัสไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาให้เห็น ฉะนั้นการที่ฟาร์คัสนั้นแสดงอารมณ์ก็นับว่าเป็นเรื่องประหลาดพอสมควร ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็คงจะเปรียบเหมือนเห็นแครอทมีขาล่ะนะ !
   
ดูเหมือนว่าวันนี้มีแต่เรื่องประหลาด คอร์สคิดและกระดิกหางสั้นๆ ของตัวเองไปมา เอาเถอะ ต่อให้มีเรื่องประหลาดแค่ไหนเกิดขึ้น ข้าก็ต้องทำงานอยู่ดี คอร์สถอนหายใจก้มลงไปหยิบเอกสารที่ความสูงมากกว่าตัวเองเดินก้าวต่อไป

   ฟาร์คัสที่นั่งดูเอกสารของคาร์บิลัสได้สักพักก็รู้สึกเบื่อขึ้นมานิดหน่อย เปลี่ยนใจเดินออกไปหาอะไรกินแทน และทิ้งกองเอกสารที่นั่งดูเมื่อกี้ไว้บนโต๊ะด้วยใบหน้าเรียบเฉย
   
คาร์บิลัสที่ตามมาดักหน้าประตูท้วงไว้ทันที “ เอ่อ คาร์บิลัส นี่เจ้าจะไปไหนน่ะ ? ”

   ฟาร์คัสแกล้งแค่นเสียงหึใส่เดินออกมาโดยไม่สนใจคาร์บิลัส
   
คาร์บิลัสรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ ฮือออ ทำไมฟาร์คัสถึงได้ใจร้ายกับข้าขนาดนี้กัน แต่ขาของคาร์บิลัสไม่สิของฟาร์คัสก็ทำหน้าที่ได้ดี รีบก้าวตามไป

   “ แม่อย่าร้องไห้น้า ! ” ดัฟฟ์วิ่งเข้ามาเกาะคาร์บิลัสและพูดปลอบใจ โดยไม่รู้ว่าไอ้ไส้ในคือฆ่าบี้ลัส

   “ อย่ามายุ่งน่า ไอ้มังกรบ้า ! ” คาร์บิลัสปัดมือดัฟฟ์ออกรีบก้าวขาตามฟาร์คัสที่น่าจะเดินไปทางห้องอาหาร
   
ดัฟฟ์น้ำตาไหลพรากๆ ด้วยความน้อยใจ แต่ก็ยังคงวิ่งตามไปอยู่ดี
   
ฟาร์คัสเลิกคิ้วเมื่อเห็นดัฟฟ์น้ำตาไหลพรากๆ ทั้งๆ ที่กำลังนั่งกินขนมปังอยู่ ฟาร์คัสพยายามไม่สนใจแต่ก็ทำใจให้เมินไม่ได้ร่ายเวทดึงดัฟฟ์เข้ามาตัวเองและลูบหัวเบาๆ
   
โดยมีคาร์บิลัสนั่งอิจฉาตาร้อนอยู่

   “ แม่ ? ” ดัฟฟ์พูดเมื่อรู้สึกถึงความคุ้นเคย

   “ อืม ” ฟาร์คัสใช้มือขยี้หัวดัฟฟ์

   “ แง้ ! ฆ่าบี้ลัสบ้าที่สุด ! ” ดัฟฟ์ตวัดสายตามาทางคาร์บิลัสในร่างฟาร์คัสทันที ใช้มือสั้นๆ ชี้หน้าคาร์บิลัสอย่างเอาเรื่อง “ ฟ้องแม่แน่ แง้ ! ”

   “ ฟ้องก็ฟ้องสิ ใครกลัว ! ”

   ฟาร์คัสกลอกตา “ เจ้าจะรีบกินก็กิน ข้าจะไปอาบน้ำแล้ว เหนียวตัวชะมัด ” ข้าไม่เข้าใจว่าคาร์บิลัสทนใส่ไอ้เสื้อร้อนๆ หนาๆ นี้ได้ทั้งวันได้ยังไง

   “ จริงสิ ตอนเช้าเจ้ากับข้าแค่ใช้เวททำความสะอาดลวกๆ นี้นะ ” คาร์บิลัสพูดแต่กลับยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา แต่รอยยิ้มที่ว่านั้นปรากฎบนหน้าของฟาร์คัส
   
“ ... ” ฟาร์คัสไม่พูดอะไรต่อรู้สึกไม่ไว้วางใจคาร์บิลัสเท่าไรนัก
   
   “ เจ้าจะเข้ามาในห้องน้ำทำไมกันฮะ ! คาร์บิลัสส  ” ฟาร์คัสโวยวาย ทั้งๆ ที่ข้าเลือกที่จะอาบน้ำในห้องส่วนตัวแท้ๆ แต่ไอ้เจ้าปีศาจงี่เง่านี้ก็แอบเข้ามาด้วยจนได้

   “ ก็ข้ากลัวเจ้าแอบดูร่างกายของข้านี้นา ~ ”

   “ มันก็มีเหมือนๆ กันแหละวะ ! ” ฟาร์คัสตะคอกตอบกระชากเสื้อตัวหนาที่น่ารำคาญออกไปจนหมด

   “ งั้นเหรอ ? ” คาร์บิลัสถามเสียงยั่วเย้า “ ข้าว่าร่างของเจ้าน่าสนใจกว่านะ ” คาร์บิลัสปลดกระดุมเสื้อของฟาร์คัสออกจนหมดวักน้ำในอ่างราดบนหน้าอกตัวเอง

   ฟาร์คัสหน้าแดงก่ำ “ ทำบ้าอะไรของเจ้าวะ ! ” ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าข้าจะดูยั่วยวนได้ขนาดนี้มาก่อน !
   
“ ข้าก็อาบน้ำไงล่ะ ฟาร์คัส ” 
   
ฟาร์คัสส่งสีหน้าไม่สบอารมณ์ใส่คาร์บิลัสและหันมาสนใจกับอ่างอาบน้ำแทน

   หมับ !

   คาร์บิลัสสวมกอดฟาร์คัสจากด้านหลังแกล้งกระซิบข้างหูฟาร์คัส
   
“ ข้าว่ากลับร่างดีกว่า ข้าเริ่มอยากทำแล้วล่ะ ~ ”

------------------
ไม่แน่ใจว่าได้ทำต่อหรือถูกฟาร์คัสไล่ตื้บกันแน่ค่ะ 555555555555

ส่วนตอนพิเศษตอนอื่นๆ จะทยอยเขียนให้ค่ะ ตามคิวๆ  :katai4:

พักตอนพิเศษกันสักนิด แล้วค่อยลุยเนื้อเรื่องต่อ  :really2:
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : สลับร่าง 2 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 02-06-2015 22:37:01
 :a5:

โหหหหหหหห คุณ Foggy Time จะเขียนให้ทุกรีเควสท์เลยเหรอคะ รู้งี้ขอเพิ่มอีกดีกว่า  :hao7:

***

คาร์บิลัสนี่ฮาทุกที ขนาดเปลี่ยนร่างกลับแล้วก็ยังแพ้ฟาร์คัสจนได้ (ไม่หือเมียตัวเองนี่เป็นยอดชายเชียวนะ กรั่กๆๆๆ)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : สลับร่าง 2 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 02-06-2015 23:25:06
มีอะไรที่ไม่เหมือนกันเหรอออออออออออ
อะไรเหรอ // ใส่ซื่อออออออออออออออออ
ชอบตอนพิเศษตอนนี้ ฟาร์คัสในร่างาร์บิลัสก็ยังเป็นฟาร์สัส คาร์บิลัสก็ยังคงเป็นคาร์บิลัส
รอตอนหลักดี่าาา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : สลับร่าง 2 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 03-06-2015 01:25:30
คิดว่าถูกไล่ตื้บค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : สลับร่าง 2 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 05-06-2015 04:18:23
อู้วว มันดูติดๆไงไม่รู้ 555 ช่างมันหนุกดี =w=
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 17 15 มิ.ย. 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 15-06-2015 22:41:57
--- ตอนที่ 17 -----

   แสงตะวันทอแสงเรืองอ่อนๆ ที่ไม่มีความร้อนที่รุนแรงมากเรียกให้เมเออร์ตื่นขึ้นมาลืมตาโพลงด้วยความตกใจกับสภาพของตัวเอง

   นี่มันอะไร

   เมเออร์กัดฟันกรอดดวงตาแดงก่ำ

   นี่มันต้องเป็นฝีมือของไอ้คาร์บิลัสกับอีกานั่นแน่ๆ

   ข้าไม่มีวันยอมแพ้ให้กับศัตรูหรอก !

   “ ภูติไม้จงสดับฟัง ภูติแสงจงเป็นพยาน ข้าขอเรียกเจ้าออกมา ทูร์ริน ”  ระหว่างที่เมเออร์กำลังร่ายเวท สิ่งแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นเมื่อเถาไม้เลื้อยรอบๆ ตัวเมเออร์ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้พร้อมๆ กับแสงสว่างที่เจิดจ้าจนแสบตา แต่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นทุกสิ่งก็กลับมาเป็นปกติเมื่อเมเออร์ร่ายเวทจบ ปรากฎร่างเหยี่ยวที่ร่างกายประกอบกันคล้ายไม้เลื้อยดวงตาของมันหมุนริ้วเหมือนกับลูกไฟ   “ รอฟังคำสั่งจากข้า ” เมเออร์กล่าวสั้นๆ กับทูร์ริน
   
ดวงตาของทูร์รินหมุนริ้วเร็วขึ้นเหมือนกับกำลังตอบรับว่าตนเข้าใจ ทูร์รินโผบินไปเกาะกิ่งไม้ต้นหนึ่งและปล่อยให้ร่างกายของตัวเองกลายเป็นไม้เลื้อยรูปร่างแบบเดียวกันต้นที่เกาะไม่ผิดเพี้ยน
   
นี่คือเหตุผลที่เมเออร์เลือกใช้ทูร์ริน

   ความสามารถในการพรางตัวสูงมาก ต่อให้เป็นราชาปีศาจก็ไม่อาจจับเท็จได้
   
เพราะทูร์รินเกิดจากไม้เลื้อยบริเวณนี้นั่นเอง
   
   คาร์บิลัสขยี้ตาตัวเองเมื่อรู้สึกถึงแสงสว่างวาบช่วงสั้นๆ ถึงแม้มันจะเวลาเพียงนิดแต่คาร์บิลัสที่เป็นถึงราชาปีศาจย่อมรู้ตัวอยู่ดี การประมาทหรือพลาดพลั้งไปเพียงนิด ชีวิตอาจจะสูญหายไปได้ง่ายๆ อีกทั้งยังอยู่ในถิ่นศัตรูอีก

   ถึงแม้จะมีพลังมากมายแต่คาร์บิลัสไม่เคยประมาท นั่นเป็นอีกเหตุผลที่คาร์บิลัสถึงได้เป็นราชาปีศาจมาได้โดยไม่เคยถูกลอบโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว

   เพราะคาร์บิลัสมักจะรู้ตัวก่อนและไล่ต้อนกลับจนกระเจิง

   แต่ว่า.. ข้ายังอยากกอดฟาร์คัสอยู่เลยนะ คาร์บิลัสคิดเศร้าๆ พยายามอย่างยิ่งยวดในการแกะมือตัวเองออกจากเอวของฟาร์คัส โอ๊ย มือข้าทำไมวันนี้เจ้าถึงได้เหนียวขนาดนี้นะ

   คาร์บิลัสยิ้มเมื่อฟาร์คัสยังหลับสนิทด้วยสีหน้าผ่อนคลายดูทั้งน่ารักและแปลกตา

   ให้ตาย ถ้าเมเออร์ไม่มาขัดข้า

   ป่านนี้ข้าได้ทำอะไรๆ ต่อแล้ว

   คาร์บิลัสขมวดคิ้วด้วยความโมโห มือเหนียวๆ ที่ถูกความแค้นชำระความเหนียวออกไปก็ปล่อยออกอย่างง่ายดาย คาร์บิลัสเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปหาเมเออร์เพราะรู้ดีว่าไอ้แสงวาบๆ เมื่อกี้มาจากเมเออร์แน่นอน
   
ถือว่าเป็นฤกษ์ดีในการแก้แค้นของข้า

   คาร์บิลัสร่ายเวทเรียกชุดของราชาปีศาจปล่อยเขาปีกหางออกมา พยายามทำให้ตัวเองดูน่ากลัวที่สุดและสื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่า การทำให้ราชาปีศาจโมโหนั้นเป็นเรื่องที่ร้ายแรงแค่ไหน
   
เมเออร์สะดุ้งเหมือนเห็นร่างที่ตนเพิ่งนึกถึงไปและถลึงตาใส่ทันที “ ปล่อยข้า ! คาร์บิลัส !! ” เมเออร์พูดเสียงเหี้ยมด้วยความแค้น

   “ ตราบใดที่ความต้องการของฟาร์คัสไม่สัมฤทธิ์ผล อะไรที่ทำให้ฟาร์คัสของข้าต้องผิดหวังข้าก็ไม่อนุญาตให้มีสิ่งนั้นเมเออร์ ” คาร์บิลัสตอบเสียงเย็นชา
   
ไอ้อีกานั่นมีความสำคัญกับราชาปีศาจถึงเพียงนี้เชียว เมเออร์ยิ้มเหี้ยม “ เจ้าเป็นแค่ผู้มาเยือนเองนะ คาร์บิลัส เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงกล้ามาพันธการข้าไว้กัน ” ถึงจะรู้ถึงความต่างกันของระดับพลังที่มี แต่เมเออร์รู้ดีว่าคาร์บิลัสไม่มีวันฆ่าตนแน่นอน
   
การฆ่าอดีตราชาของดินแดนอื่นนั้นนำพามาสู่สงครามไม่รู้จบมานัดต่อนัดแล้ว

   “ นั่นมันไม่ใช่เรื่องของเจ้า เมเออร์ ”

   เมเออร์หรี่ตาลง “ นั่นมันไม่ใช่คำตอบ ราชาปีศาจ ข้าตั้งคำถามใหม่ เหตุใดที่เจ้าถึงทำลายคุกที่ข้าใช้พลังเวทของข้าไปมหาศาลนั่นกัน ”

   “ เจ้าขังลูกน้องของข้า ”

   เมเออร์กัดฟันกรอด “ เจ้าบุกรุกเข้ามาก่อน  ”
   
“ หึ ” คาร์บิลัสแค่นเสียงใส่เมเออร์ ดวงตาทอประกายดุร้าย “ เจ้ากล้าปฏิเสธคณะทูตของข้าเอง ช่วยไม่ได้ ”

   “ ไอ้กระต่ายอ้วนนั้นเจ้าเรียกมันว่าทูตงั้นเหรอ ” เมเออร์หัวเราะแต่เสียงที่ออกมาเต็มไปด้วยความประชดประชัน “ นอกจากการกินมันรู้จักคำว่าสัมพันธไมตรีด้วยงั้นเหรอ ”
   
“ หุบปาก ” คาร์บิลัสเรียกมวลพลังหมุนริ้วจ่อตรงหน้าเมเออร์ “ อย่ามากล่าวหาลูกน้องของข้า ทั้งๆ ที่เจ้าไม่รู้จักดี ”
   
เมเออร์ดวงตาสีอำพันของเมเออร์ค่อยๆ กลายเป็นสีเลือดด้วยความโมโห

   ข้าไม่ได้เป็นคนผิด ข้าแค่ปกป้องดินแดนของข้าเท่านั้น !
   
เมเออร์เกือบจะเรียกทูร์รินออกมาโจมตีคาร์บิลัสแต่ก็เพียงแค่เกือบเท่านั้น

   เพราะอีกาผู้แสนสำคัญของคาร์บิลัสเดินเข้าไปใกล้คาร์บิลัสและใช้มือตบหัวคาร์บิลัส จนคาร์บิลัสเซแถดๆ เดินเอียงไปข้าง แต่อย่างที่รู้

   คาร์บิลัสแค่ทำให้มันดูรุนแรงก็เท่านั้น

   “ เจ้าตีข้าทำไมกัน ~ ฟาร์คัส ” ปีก เขา หาง ความโหดเหี้ยมอำมหิตกดดันต่างๆ ถูกพับเก็บเข้าไปจนหมดทันที
   
“ ข้าหมั่นไส้เจ้าล่ะมั้ง ” ฟาร์คัสกลอกตา เมื่อกี้ข้าเกือบจะมาไม่ทันแล้ว เพราะถ้าหากช้าไปกว่านี้ เมเออร์อาจจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วก็เป็นได้

   “ หมั่นไส้ข้าทำไมล่ะ แต่ถ้าหมั่นไส้แล้วเจ้าสนใจแต่เรื่องของข้า ข้าก็ยินดีจะทำตัวน่าหมั่นไส้นะ ฟาร์คัส ! ” คาร์บิลัสพูดอย่างกระตือรือร้น
   
เมเออร์ค้างไปด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่กำลังเห็น

   ราชาปีศาจ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมอำมหิตไร้หัวใจไม่เล่นหัวกับใคร

   แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนเด็กๆ ที่กำลังอ้อน

   ไม่สิ เหมือนสุนัข..

   เมเออร์หลุบตาลงต่ำ ราชาปีศาจที่ดินแดนทั่วๆ ไปกลัวกัน ยามที่อยู่กับอีกาตัวนี้แล้วดูไร้พิษสงไปทันที อีกทั้งยังดูร่าเริงผิดวิสัย

   ฟาร์คัสตัดสินใจปล่อยให้คาร์บิลัสัสพูดมากต่อไปและมองพิจารณาร่างของอดีตราชาดินแดนภูต ถึงแม้ตอนนี้จะถูกคาร์บิลัสมัดแน่นจนเหมือนดักแด้แมลงและมอมแมมไปหน่อยแต่ก็ยังดูรู้ว่ามีเชื้อของกษัตริย์เพราะความสง่างามและความทระนงตนที่รู้สึกได้
   
แต่ช่างมันเถอะ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องใส่ใจ
   
ไหนๆ ก็ ไหนๆ แล้ว เจ้าตื่นแล้วก็โดนรีดข้อมูลไปแล้วกัน
   
“ คาร์บิลัส เจ้าไปตามเอลล์กับลุกซ์มา อ้อ ดัฟฟ์ด้วย ” ฟาร์คัสเอ่ยคำสั่งกับคาร์บิลัส

   “ หวา ข้าเบื่อเจ้าพวกขี้เซาจัง ” คาร์บิลัสแสดงสีหน้าเซ็งขั้นรุนแรงออกมา คาร์บิลัสดึงเส้นผมของตัวออกมาเส้นหนึ่งและปล่อยให้มันปลิวลงบนพื้น “ ไปตามไอ้พวกขี้เซาซะ ”

   ฉับพลันเส้นผมของคาร์บิลัสก็ได้กลายเป็นแพะสีดำตัวอ้วนมีปีกปีศาจเล็กๆ อยู่บนหลัง เจ้าแพะคาร์บิลัสสะบัดหน้าเหมือนกำลังบ่นอยู่กลายๆ และควบฝีเท้าไปทางกระต็อบของเอลล์และลุกซ์
   
“ นั่นร่างจริงของเจ้างั้นเหรอ คาร์บิลัส ? ” ฟาร์คัสเลิกคิ้วสูงเพราะคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นไปแล้วครั้งหนึ่ง
   
“ ใช่ นั่นร่างจริงของข้านั่นแหละ ” คาร์บิลัสยิ้ม “ น่ารักไหม ”

   “ แล้วร่างนี้ ? ”

   “ อ้อ ร่างกลางของข้าไงล่ะ ถ้าให้ข้าไปหาใครต่อใครด้วยร่างแพะแบบนั้น คงน่าขำจะตาย  ”

   เป็นไปได้ข้าว่าเจ้าน่าจะอยู่ในร่างแพะนั่นดีกว่านะ เพราะมันดูน่ารักกว่ากันเยอะ ฟาร์คัสคิดเงียบๆ
   
เมเออร์จุกจนพูดอะไรไม่ออก แม้กระทั่งถามคำถามออกไป

   เอลล์ ?

   เอลล์ร่วมมือกับไอ้พวกศัครูพวกนี้น่ะเหรอ

   เอลล์โดนไอ้พวกศัตรูพวกนี้หรอกใช้งั้นเหรอ !
   
เมเออร์โมโหมากจนสิ่งที่คาร์บิลัสใช้พันธนาการถูกเมเออร์ระเบิดพลังเวทใส่จนแตกเป็นเสี่ยงๆ “ เจ้าหลอกอะไรบุตรของข้ากัน ! คาร์บิลัส ! ” เมเออร์คำรามถามเสียงดังลั่น ธนูคู่กายถูกเรียกออกมาทั้งๆ ที่ไม่ได้ร่ายเวท

   “ หวา คุณพ่อโมโหแล้วล่ะ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสพูดเรียบๆ ดูไม่ตกใจเท่าไรนักเพราะคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ว่าเมเออร์สามารถทำลายพันธนาการของเล่นของตนได้

   “ เจ้าก็จับมัดใหม่ซะสิ ” ฟาร์คัสตอบเหมือนกับกำลังพูดเรื่องง่ายๆ

   เมเออร์ไม่พูดอะไรหักด้ามธนูในมือจนแยกเป็นสองชิ้น เถาไม้เลื้อยค่อยๆ ถักทอกันขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยกลายเป็นเคียวขนาดยักษ์มีละอองสีทองลอยอวล  ดวงตาเมเออร์ส่อประกายคมกร้าวดังนักรบแม้ว่าอายุที่ล่วงเลยมามาก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทำให้เมเออร์กลายเป็นคนยอมคนขึ้นมาแต่อย่างใด

   “ ข้าขี้เกียจมัดจัง ขังเอาแล้วกันนะ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสสะบัดมือเรียกดาบของตนบ้าง คาร์บิลัสใช้ดาบชี้หน้าเมเออร์และเลิกคิ้วอย่างท้าทาย “ ออกกำลังกายแก้ง่วงตอนเช้าสักรอบ ค่อยเป็นนกในกรงเนอะ เมเออร์ ”
   
เมเออร์ฟาดเคียวใส่คาร์บิลัสแทนคำตอบ

   คาร์บิลัสกระโดดหลบได้อย่างสบายๆ อีกทั้งยังส่งดาบในมือตัดเส้นผมของเมเออร์ได้ไม่น้อย

   เส้นผมสีทองของเมเออร์ส่งประกายสีทองสองสว่างยามที่แสงแดดตกกระทบใส่ แต่นั่นก็ยิ่งกระตุ้นให้เมเออร์บ้าคลั่งมากขึ้นยิ่งเท่านั้น

   เมเออร์ฟาดเคียวที่ถูกอัดพลังเวทใส่คาร์บิลัส

   คาร์บิลัสฟันดาบใส่เคียวของเมเออร์จนเคียวของเมเออร์แทบขาดสะบั้น
   
ถ้าจะให้อธิบายเมเออร์ในยามนี้ น่าจะบอกได้ว่าการต่อสู้ของคนที่น่าอดสู สู้ไปทั้งๆ ที่รู้ว่าแพ้ สู้เพราะความเคียดแค้นที่ถูกหักหลังมาตั้งแต้ครั้นบรรพบุรุษหากแต่ว่าถ้าไม่สู้ ดินแดนของตนก็ย่อมถูกบีบเค้นได้อีกครั้ง นับว่าเป็นการดิ้นรนเพื่อดินแดนของตัวเองอย่างแท้จริง
   
ถึงแม้เมเออร์จะดูเย่อหยิ่งจองหองถึงเพียงใด แต่ในความเป็นจริงแล้วเมเออร์นับเป็นกษัตริย์ที่ดีองค์หนึ่งของดินแดนภูตเลยทีเดียว กษัตริย์ที่ใส่ใจภูตผู้อยู่ใต้การปกครองของตนเองเป็นที่สุดและหวังจะมอบเจตนารมณ์นี้ให้กับบุตรคนโตของตนเอง
   แต่ความพยายามที่ทำมาก็กลับพังลง เมื่อเออล์มีความคิดที่แตกต่างออกไปมาตั้งแต่เด็ก เมเออร์มักจะโมโหกับความคิดที่จะมีสัมพันธไมตรีกับดินแดนของเอลล์

   ของพรรค์นั้นยังไงก็เชื่อถือไม่ได้

   สิ่งนี้ถูกปลูกฝังมานานมากมารุ่นสู่รุ่น
   
เพราะสัมพันธไมตรีที่ดีต่อดินแดนปีศาจในโบราณถึงได้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเข้ามาใช้เป็นสนามรบอย่างไร้ความเกรงใจ

   นี่เป็นเหตุผลที่เมเออร์ไม่คิดจะมีสัมพันธไมตรีต่อดินแดนใดทั้งนั้น

   คาร์บิลัสสลายดาบในมือเมื่อเห็นแววตาของเมเออร์ แววตาของคนที่คิดจะสู้จนตัวตายนั่นเอง “ ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าแล้วกัน ” คาร์บิลัสถอนหายใจร่ายเวทที่ทำให้เมเออร์ตัวชาทั้งตัวจนขยับไม่ได้

   เมเออร์ส่งสีหน้าเย็นชาตอบ

   เจ้าแพะกระโดดโลดเต้นไปมาขณะที่เดินกลับยิ่งมันเห็นฟาร์คัสก็ยิ่งดูคึก ขาสั้นๆ นั้นวิ่งควบไวกว่าเดิมเป็นเท่าตัว มันวิ่งเข้าไปใกล้ฟาร์คัสหวังว่าจะเข้าไปอ้อน แต่ก็ถูกคาร์บิลัสเตะโด่งจนสลายหายไป

   ฟาร์คัสกลอกตา แม้กระทั่งเส้นผมของตัวเองเจ้ายังหวงได้อีกนะ คาร์บิลัส

   ลุกซ์ยิ้มแห้งเมื่อเดินไปแล้วเจอบรรยากาศขุ่นมัวของนายของตนและเอ่อ.. จะเรียกว่าอะไรดี พ่อเขย คงไม่เหมาะเท่าไหร่เพราะจับข้าล่ามไว้คุกใต้ดินซะนานนม เป็นพ่อของเอลล์ไปนั่นแหละ

   เอลล์ขมวดคิ้ว ท่านพ่อ... เขารู้ดีว่าท่านพ่อจะรู้สึกยังไงเมื่อเขามารวมกลุ่มกับฝั่งศัตรูของท่านพ่อ ท่านพ่อคงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเหมือนเช่นทุดครั้งรวมถึงครั้งนี้เช่นกันที่ข้ารู้สึกถึงความปวดหนึบในใจที่รู้สึกได้จากสายตาของท่านพ่อ ถึงแม้จะมองไม่เห็นข้าก็รู้สึกได้..

   “ ที่เจ้าอยากสร้างสัมพันธไมตรีกับดินแดนอื่น เพราะปีศาจเหล่านี้มันกล่อมเจ้าใช่ไหม เอลล์ ” เมเออร์ท่านเสียงเรียบ ดวงตาจับจ้องที่บุตรของตน

   “ ข้าสมัครใจเอง ท่านพ่อ.. สิ่งที่ข้ากระทำล้วนมาจากความคิดของข้าทั้งนั้น ปีศาจพวกนี้เป็นสหายของข้าเท่านั้น ”

   “ สหาย ? ” เมเออร์ทวนออกมาอย่างอึ้งๆ

   “ ฟาร์คัส คาร์บิลัส ล้วนเป็นสหายของข้า ท่านพ่อ ” เอลลตอบใบหน้าซับเลือดเล็กน้อยเมื่อมาพูดอีกประโยค “ ส่วนลุกซ์.. ก็เป็นสหายของข้าเหมือนกัน ”
   
“ ข้าเสียใจที่เลี้ยงเจ้าได้ไม่ดีเท่าทีควร เอลล์ ” แววตาของเมเออร์กลายเป็นสีหม่น “ แม้กระทั่งมังกรที่ถูกตรองจำในคุกเจ้ายังนับเป็นเพื่อน ข้าอยากรู้ว่าอะไรที่เจ้าเรียกศัตรูพวกนี้ว่าเพื่อนกัน ”
   
เอลล์ยิ้มบางๆ ทำให้เมเออร์เบิกตากว้างอย่างตกใจ
   
ถึงแม้เอลล์จะยิ้มบางๆ อยู่เสมอ แต่ไม่มีครั้งไหนที่ดูมีความสุขเท่านี้มาก่อน

   “ ลุกซ์ กับ ฟาร์คัส รับปากว่าจะช่วยให้ข้ากลับมามองเห็นอีกครั้ง ” เสียงของเอลล์สั่นน้อยๆ “ ท่านรู้อะไรไหม ข้าใฝ่ฝันที่จะมองเห็นมาตลอด แต่ท่านมักจะเมินเฉยต่ออาการของข้าและให้ข้าฝึกหนักแทน ” เอลล์เว้นช่วงการพูดสูดหายใจลึก “ ยามที่ข้าได้ยินใครต่อใครพรรณาถึงสิ่งที่ได้เห็น มันทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดจนแทบอยากร้องไห้ ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าการมองเห็นเป็นแบบไหน แต่ถ้าข้าได้มันมาข้าสัญญาว่าจะรับษามันไว้ให้ดีที่สุด ” เอลล์หันไปทางลุกซ์ “ ถ้าหากมันทำให้ข้ามองเห็นคนที่ข้ารัก.. ”
   
เมเออร์ยิ้มฝืนๆ รู้สึกเหมือนถูกอะไรมาตีแสกเข้าที่หน้าอย่างแรง เมื่อรู้ถึงเหตุผลของเอลล์ ทำไมข้าจะไม่รู้ล่ะว่าเอลล์ ต้องการจะมองเห็นขนาดไหน แต่เพราะรู้ดีถึงใคร่ครวญให้เอลล์ฝึกหนักเพื่อที่จะลืมความรู้สึกพวกนี้ไป
   
“ เฮ้อ ข้าขี้เกียจมาฟังพ่อลูกระลึกความหลังกันนะ ” คาร์บิลัสบ่น
   
ลุกซ์ยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว
   
ฟาร์คัสหยิบขวดน้ำตาเงือกออกมายื่นให้คาร์บิลัส “ งั้นเจ้าก็กรอกเลยแล้วกัน คาร์บิลัส ”
   
“ ได้เลยยย ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสรับมาถืออย่างกระตือรือร้นสาวเท้าเข้าไปใกล้เมเออร์และพูดขู่เสียงเหี้ยมต่างจากน้ำเสียงที่คุยกับฟาร์คัสโดยสิ้นเชิง “ กลืนมันซะ เมเออร์ ”
   
เมเออร์แค่นเสียงเหอะใส่ “ เจ้าหาใช่นายของข้า คาร์บิลัส ”
   
นั่นทำให้คาร์บิลัสหงุดหงิดจับขวดยัดปากเมเออร์ทันที
   
แกว้กกกกกกกกกกกกก

   เสียงร้องเหยียดยาวแปลกหูดังขึ้นพร้อมกับแรงที่มาพุ่งชนจนขวดในมือของคาร์บิลัสกระเด็นจนแตกกระจายอยู่บนพื้น

   แก้วที่แตกกระจายบนพื้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาเงือก
   
“ แค่กๆๆ ” เมเออร์สำลัก
   
“ โว้ยยย ไอ้นกบ้า ” คาร์บิลัสใช้มือคว้าเข้าที่คอนกและกำแน่นจนไม้ที่ประกอบเป็นร่างของนกค่อยๆ กลายเป็นผุยผง
   
ดวงตาไหววูบติดๆ ดับของนกเป็นสัญญาณของการมีตัวตนครั้งสุดท้ายก่อนที่จะสลายหายไปเพราะพลังอำนาจที่ล้นเหลือของคาร์บิลัส
   
ฟาร์คัสเบ้หน้าเซ็งๆ เพราะไม่รู้ว่าเมเออร์กินเข้าไปมากขนาดไหนแต่ไม่หมดแน่นอนเพราะน้ำที่เจิ่งนองบนพื้น แล้วความทรงจำที่ได้มันจะมากขนาดไหนกัน

   ดัฟฟ์เดินเตาะแตะเข้าไปเกาะเข้าที่ขาของฟาร์คัสใช้หัวเล็กๆ ที่มีเขาสั้นๆ งอกถูเข้าที่ขาของฟาร์คัสเชิงอ้อน ดัฟฟ์ยิ้มกว้างเมื่อฟาร์คัสเอามือลูบหัวตัวเองเบาๆ

   “ พอขวดแตกแล้วไงต่อ ” ลุกซ์ขมวดคิ้ว “ ข้าไม่เห็นมันจะมีความทรงจำปปรากฎตรงไหน ” เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ยังคงเป็นเศษแก้วที่กองนิ่งๆ เหมือนเดิม
   
“ ต้องการเงื่อนไข ? ” ฟาร์คัสเดาสุ่ม

   “ จริงด้วย ! เงื่อนไขยังไงล่ะ ” คาร์บิลัสยิ้ม “ เก่งจังเลยยย ฟาร์คัสของข้า ! ”

   “ ถ้าเจ้ารู้แล้วก็ช่วยทำมันสักที ” ฟาร์คัสพูดด้วยเสียงจริงจัง
   
“ ก็ได้ๆ ” คาร์บิลัสหยิบเศษแก้วขึ้นมากำแน่นจนเลือดไหลออกจากฝ่ามือ สีหน้าของคาร์บิลัสไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดเหมือนกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บยังไงยังงั้น  “ ความทรงจำที่ซ่อนเร้น สิ่งที่ข้าเฟ้นหาจงปรากฎ อดีตที่ผ่านมาอย่างยาวนานเอ๋ย จงแสดงให้ข้าเห็น ! “”
   
เลือดที่ไหลอาบของคาร์บิลัสเปลี่ยนสีเป็นสีใสอย่างแปลกประหลาด

   ภาพบางอย่างที่ปรากฎในอากาศพานทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ

   ไม่เว้นแม้กระทั่งเอลล์ที่ถึงแม้จะมองไม่เห็นแต่เสียงที่ได้ยินก็ให้ความรู้สึกน่าขนลุก
   
เพราะสิ่งที่ปรากฎในความทรงจำของเมเออร์นั่นไม่ใช่ความทรงจำธรรมดา..

---------------------------------------------
หายไปนานคิดถึงคนอ่านนนน  :hao5:  ตอนนี้ก็ยังไม่ไปไหนเท่าไหร่  :beat:

ส่วนตอนพิเศษมาแน่ๆ ค่ะ แต่ขอแปะโป้งไว้ก่อน ลงตอนหลักก่อนน  :mew2:

 :man1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์น้าา

ปล. สงสารตัวเองกันทำไม 5555555555555555555555


   
   
   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 17 15 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 15-06-2015 22:59:21
สิ่งที่ปรากฏออกมาคืออะไรกันนะ? ลุ้นค่า

หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 17 15 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 15-06-2015 22:59:35
ขอเปลี่ยนจากตอนแรกจะเห็นใจคุณ Foggy Time ตอนนี้ขอมาเห็นใจพ่อลูกเอลฟ์ก่อนนะคะ

.........

น่าจะเป็นเมเออร์ตอนวัยรุ่นหรือเปล่านะ
(ปอลอ น้องแพะคาร์บบิลัสน่ารักสุดๆเลย ถ้าเป็นตุ๊กตาให้กอดก็คงดี T^T)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 17 15 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 16-06-2015 07:06:31
อั๊ยยะ  มาต่อละหายไปชะนาน คิดถึงเด้ออ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 17 15 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 16-06-2015 08:55:23
เกือบลืมชื่อฟาคัส5555.  เริ่มสงสารละตอนแรกสาปส่งไปซะเยอะเลย55555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 17 15 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 16-06-2015 09:36:17
มารอดูความจริง !!! ค้างง่าาาาาา :katai1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 17 15 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-06-2015 19:11:37
มาอีกๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 17 15 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 16-06-2015 19:48:29
แพะคาร์บีลัส อิอิ น่ารักเบาๆ
รอตอนต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 17 15 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Rambluesky ที่ 16-06-2015 21:02:32
ลุ้นๆ  :ling1:

รออ่านต่อนะครับ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 23 มิ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-06-2015 22:19:57
-- ตอนที่ 18 ---

   ภาพที่ปรากฎอยู่บนอากาศเป็นห้องคับแคบไร้ซึ่งสิ่งของที่ประดับตกแต่งในห้องมีเพียงโต๊ะกับเก้าอี้เก่าๆ ที่ผุพังตั้งอยู่กลางห้อง บนเก้าอี้ตัวเก่ามีร่างของผู้ที่ถูกดูความทรงจำนั่งอยู่ด้วยสีหน้าอึมครึม เพียงเวลาไม่นานเก้าอี้ที่ว่างเปล่าก็มีตราวงเวทโบราณหมุนริ้วอยู่ใต้เก้าอี้
   
ฉับพลัน
   
ห้องทั้งห้องได้กลายเป็นอีกห้องทันที
   
เพดานได้กลายเป็นสีขาวมุกมีโคมไฟไม้เลื้อยสีแปลกตาให้แสงสว่าง พื้นห้องได้เปลี่ยนเป็นพรมสีชาดจากที่เป็นเพียงพื้นที่มีฝุ่นเสมือนพรม ผนังห้อง ทุกสิ่งในห้องเปลี่ยนแปลงไปหมดราวกับว่าห้องคับแคบเมื่อกี้เป็นเพียงความคิดเล่นๆ ของใครสักคน 
   
“ สายัณห์สวัสดิ์ ท่านราชาภูต ” เสียงของผู้ที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงเอ่ยทักทายเมเออร์

“ เรียกข้ามาทำไมกัน นูร์ ” เมเออร์ถามด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

   นูร์แสยะยิ้มและทอดกายลงบนเก้าอี้บุนวม “ ท่านลืมไปแล้วหรือ ? สัญญาของเรา ”

   เมเออร์กัดฟันแน่นดวงตาแดงก่ำด้วยความแค้น “ มันยังไม่ถึงเวลา ”
   
นูร์หัวเราะเบาๆ “ คำสาปของท่านใกล้จะคลายลงแล้ว เมเออร์ ”
   
เมเออร์กำมือแน่น “ เจ้าหักหลังข้างั้นหรือ ”

   นูร์แสร้งเบิกตากว้าง “ หักหลัง ! เจ้าหาว่าข้าหักหลังงั้นเหรอ ” ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจแต่นัยน์ของนูร์กลับเย็นชา “ บุตรแห่งสงคราม ไม่มีอะไรที่ขวางกั้นได้หรอกนะ เมเออร์ ”

   เมเออร์ใช้เคียวชี้หน้านูร์ “ อย่าเรียกคำนั้นกับบุตรของข้า นูร์ ! ”

   นูร์แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนจนเมเออร์ถึงกับเผลอปล่อยเคียวลงอย่างไม่รู้ตัว “ ข้ามาเตือนเจ้าก็ดีแค่ไหนแล้ว เมเออร์ ยามใดที่บุตรแห่งสงครามลืมตาขึ้นมาเมื่อนั้นดินแดนภูตย่อมพินาศ ! ”

   เมเออร์ยืนจ้องมองไปที่เพดานห้องที่กลายเป็นสีดำ “ เพื่อบุตรของเรา เพื่อชีวิตของเจ้าที่เสียไป ข้าจะพยายาม.. ” 

   แล้วภาพที่ปรากฎในอากาศก็หายไปทันที

   “ บุตรแห่งสงคราม ? ” ฟาร์คัสพูดทวนออกมาด้วยน้ำเสียงงุนงง

   เมเออร์เบิกตากว้างเหลือบมองเอลล์ที่ยิ้มจางๆ

   เอลล์คลี่ยิ้มที่ดูเหมือนกับกำลังร้องไห้ ข้าพอจะเดาอะไรลางๆ ได้แล้ว “ ข้าจะเล่าตำนานของดินแดนภูติแห่งเจ้าฟัง ฟาร์คัส ” มือของเอลล์สั่นน้อยๆ
   
ลุกซ์ถลาเข้าไปหาเอลล์ด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างตรงหน้าเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่เห็นแววตาแต่การที่อยู่กับใครมาเป็นเวลานานทำให้รู้ว่าเอลล์กำลังร้องไห้อยู่ภายใน

   “ อย่าขัดจังหวะข้าสิ ลุกซ์ ” เอลล์แตะลุกซ์เบาๆ เพื่อไม่ให้คว้าตัวเองไปกอด และปล่อยให้ลุกซ์กอบกุมมือสั่นๆ ของตัวเองแทน

“ ตั้งใจฟังให้ดี ฟาร์คัส ”

   “ อืม ” ฟาร์คัสขานตอบ
   
ในอดีตครั้นที่ปีศาจยังคงทำศึกสงครามบนแผ่นดินภูติราวกับว่าตนเป็นเจ้าของดินแดน

ซึ่งในตอนนั้นราชินีภูตก็ได้ให้กำเนิดบุตรพอดี

เวลานั้นนับว่าเป็นเวลาที่ทั้งสมควรและไม่สมควร

เวลาที่สมควรคือบุตรผู้นั้นจะเป็นคนยุติสงครามนี้ลง
 
เวลาที่ไม่สมควรคือเวลานั้นไม่เหมาะสมกับการเติบโตในดินแดน
   
บุตรผู้นั้นเกิดมาพร้อมกับดวงตาสีเลือดแปลกจากภูตทั่วไป
   
การศึกยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี

จนกระทั่งบุตรผู้นี้เติบโตและกลายเป็นราชาแทนผู้เป็นพ่อ
   
เดิมบุตรผู้นี้จะใส่หน้ากากปิดบังใบหน้ามาตลอดเพื่อป้องกันการลอบโจมตี
   
เมื่อบุตรผู้นั้นถอดหน้ากากออก
   
ดวงตาข้างสีแดงกลับดูกระหายเลือดขึ้นมาทันทีที่เห็นปีศาจ
   
ชาวปีศาจที่สบตามองล้วนแต่กลายเป็นปีศาจคุ้มคลั่งไม่มีสติทำลายทุกสิ่ง
   
ราชาภูตผู้มีดวงตากระหายเลือดที่แม้จะทำลายปีศาจอย่างบ้าคลั่ง
   
แต่ฆ่าไปเท่าไรก็ดูจะไม่มีผลอะไร ปีศาจที่คลุ้มคลั่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
   
สุดท้ายราชาภูตก็ปลิดชีวิตตัวเองลงด้วยดาบของตัวเอง
   
เพราะรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถทำให้สงครามยุติดังความหวังของท่านพ่อที่ล่วงลับ
   
ผู้ที่ขึ้นรับตำแหน่งแทนคือผู้เป็นน้อง
   
มิลแลนด์ ผู้สร้างกำแพงไม้เลื้อยที่แข็งแกร่งที่สุด
   
สิ่งที่ยังกล่าวขานกันต่อมาคือ
   
บุตรแห่งราชาผู้มีดวงตาสีแดงกับสีอำพัน

ดวงตาสีอำพัน แทนกำลังที่ล้นเหลือ

ดวงตาสีแดงโกเมน แทนความกระหายเลือด

หากเจ้าได้พบเห็นอีกครั้ง

จงกล่าวขานว่าผู้นั้นคือ บุตรแห่งสงคราม
   
เอลล์เล่าจบก็ยิ้มออกมา “ การมองเห็นของข้าคงไม่จำเป็นแล้วล่ะ ”
   
ลุกซ์คว้าเอลล์มากอดแน่นหวังจะซึมซับความเศร้าโศกของเอลล์ “ มันก็แค่ตำนานงี่เง่าน่าเอลล์ ข้าเห็นดวงตาเจ้าก็ไม่ได้คลุ้มคลั่งนี่ ”
   
เมเออร์เงียบไปสักพัก “ ขอเพียงเจ้ามองไม่เห็นผู้อื่นมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก เอลล์ ” พ่อพยายามเต็มที่แล้วเอลล์.. ท่านแม่ของเจ้าก็ด้วย..
   
เอลล์สั่นไปทั้งตัวพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะกลั้นน้ำตาของตัวเอง “ ข้าอยากมองเห็น ! ท่านไม่รู้หรอกว่าการใช้ชีวิตกับสิ่งที่ข้าคุ้นเคยด้วยแต่มองไม่เห็นมันเจ็บปวดขนาดไหน  ” เอลล์ลืมตาขึ้นมา “ ข้าพยายามหาวิธีมองเห็นอีกครั้ง และข้าก็ใกล้ทำมันได้ ”  เอลล์เริ่มสูดหายใจลึกกลืนความอึดอัดในอกเพื่อที่จะพูดประโยคต่อไป “ แต่ข้าเป็นบุตรแห่งสงคราม.. ถ้าข้ามองเห็นก็เท่ากับว่าข้าจะทำให้ดินแดนภูตพินาศ ผู้ที่ไม่ใช่ชาวภูตจะคลุ้มคลั่งและทำลายดินแดนของข้า ”
   
ลุกซ์กอดร่างของราชาภูตที่เดิมทีแข็งแกร่งแต่ตอนนี้กลับอ่อนแอยิ่งกว่ารู้ความจริงกับพอยซ์ ร่างของเอลล์เหมือนกับอ่อนปวกเปียกจนยืนไม่อยู่
   
เอลล์พูดเสียงสั่น “ ข้าควรเลือกอะไรกันแน่.. .ระหว่างความเห็นแก่ตัวของข้ากับดินแดนภูต ” เมื่อพูดจบเอลล์ก็หลับตาลง “ ข้าเลือกไม่ได้.. ” พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
   
เมเออร์เม้มปากพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าที่เย่อหยิ่งอยู่เสมอตอนนี้ปรากฎความเสียใจออกมา

“ ตอนแรกข้าไม่เชื่อในตำนานบ้าๆ นี่.. แต่พอดูความทรงจำของท่านพ่อ.. ” เอลล์ฝืนยิ้ม “ ข้าเชื่อแล้วว่ามันคือความจริง.. ”

----------------------
แวะมาลงความทรงจำค่ะ  o22
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 23 มิ.ย 58 40 %
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 23-06-2015 23:02:35
 :ling2: :ling2:

เป็นเพราะเอลล์มีพลังมากเกินไปเลยไปกระตุกต่อมของปีศาจหรือยังไงนะ

ใส่คอนแทคซะเอลล์
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 23 มิ.ย 58 40 %
เริ่มหัวข้อโดย: Rambluesky ที่ 24-06-2015 20:58:19
^
^
^
 :z13:

จิ้มๆ

ใส่คอนแทค 555555555  :laugh:


รออ่านต่อนะครับ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 23 มิ.ย 58 40 %
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-06-2015 21:36:38
งื้อออออ สงสารนุ้งเอลล์
จะมีทางไหนช่วยได้มั่งน๊าาา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 23 มิ.ย 58 40 %
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 24-06-2015 22:49:41
ขอโหวด  สงสารดัฟ  แทนได้มะ  ใครๆก็ไม่สนใจดัฟเลยย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 28 มิ.ย 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 28-06-2015 21:38:18
-- 60 % --

“ เอลล์ บางทีเจ้าอาจจะไม่ได้เป็นบุตรแห่งสงครามนะ ” ลุกซ์ลูบหัวเอลล์อย่างอ่อนโยน “ ถ้าข้าจะบ้าคลั่ง ก็คงจะคลั่งรักกับเจ้าไงล่ะ ” ในประโยคหลังลุกซ์พูดดังเพียงกระซิบ

เรียกให้ใบหน้าของเอลล์ขึ้นสีแต่ก็ยังปรากฎร่องรอยความเสียใจอยู่ดี

คาร์บิลัสที่เงียบมาตลอดปริปากพูดบ้าง “เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับเจ้าว่าเจ้าจะเลือกอะไร ระหว่างดินแดนของเจ้าหรือความต้องการของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเลือกอะไร สิ่งนั้นย่อมส่งผลต่อตัวเจ้าเองทั้งนั้น ข้าบอกไม่ได้หรอกว่าเจ้าควรเลือกอันไหน  ”

ดัฟฟ์ที่ปกติไม่ค่อยทำอะไรนอกจากกินยังน้ำตาคลอตามเอลล์ร้องไห้งอแง “ เอ้ว เป็นไรง้า เดี๋ยวดัฟฟ์จะกินมันให้น้า ! ” ดัฟฟ์ถลาเข้าไปเกาะขาเอลล์
   
เอลล์กระตุกยิ้มบางลูบหัวดัฟฟ์ “ ไม่มีอะไรหรอกน่า ข้าแค่แสบตาเท่านั้นแหละ ดัฟฟ์ ” ถึงจะพูดอย่างนั้น เอลล์ในตอนนี้ยังยืนอย่างมั่นคงแบบปกติยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

   ฟาร์คัสยืนเงียบอย่างทำอะไรไม่ถูก เดิมทีฟาร์คัสไม่ใช่คนที่ปลอบคนอื่นเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วยิ่งสถานการณ์แบบนี้อีก ทำให้ฟาร์คัสไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสิ้นแต่แววตาฉายชัดซึ่งความเห็นใจในเอลล์ ข้าเข้าใจดีว่าการเป็นราชาหรือทายาทของราชานั่น แบกอะไรไว้มากมายเหมือนกับกระเป๋าหนักๆ ที่เจ้าต้องเอาใจใส่และดูแลมันให้ดี เพราะถ้าวันใดเจ้าทำมันหลุดมือเวลานั้นก็หมายถึงความพินาศของดินแดนเช่นกัน

   “ เอลล์ ” เมเออร์เรียกลูกของตัวเองเสียงเบา “ เจ้าอยากมองเห็นงั้นเหรอ .. ” ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจแต่เมเออร์ก็ยังถามมันออกมา
   
“ ข้าอยากมองเห็น.. ท่านพ่อ ” เอลล์ตอบเสียงเบา

   เมเออร์หลับตาลงอย่างครุ่นคิด เป็นเวลานานที่ข้าปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้ว่าบุตรของข้ามีลักษณะเช่นเดียวกับบุตรแห่งสงคราม มีเพียงส่วนน้อยที่ข้าไว้ใจเท่านั้นที่อนุญาตให้รู้สิ่งนี้ เวลานี้บุตรของข้ากำลังร้องไห้ออกมาอย่างอ่อนแอเพียงเพราะต้องการที่จะมองเห็น พ่อขอโทษ.. เอลล์ เมเออร์ย่อมรู้ดีว่าเอลล์ไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด เพราะผู้ที่สาปเอลล์ก็คือแม่ของเอลล์นั่นเอง.. 

ทำไมข้าจะไม่รู้ว่า บุตรของข้าต้องการจะมองเห็นแค่ไหน บ่อยครั้งที่ข้าเห็นเอลล์พยายามใช้ดวงตาที่ไร้ประกายใดๆ จับจ้องที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน มันเป็นสิ่งที่บีบหัวใจเมเออร์ไม่น้อย  เมเออร์เลือกที่จะปฏิบัติต่อเอลล์อย่างเข้มงวดเพื่อให้อีกฝ่ายเข้มแข็งขึ้นมา

   แต่ก็ดูเหมือนว่าสร้างได้เพียงเปลือกนอกเท่านั้น “ ข้าจะบอกวิธีถอนคำสาปกับเจ้า ” นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ข้ามอบให้เอลล์ได้ในฐานะของพ่อคนหนึ่ง.. ถึงแม้ข้าจะเป็นคนคิดเรื่องคำสาปก็ตาม

   “ ท่านเป็นสาปข้างั้นเหรอ ท่านพ่อ.. ” น้ำเสียงของเอลล์ไม่มีความดีใจปนอยู่สักนิด

   “ ไม่ใช่ข้าหรอกเอลล์ ” เมเออร์ลืมตาและยิ้ม “ แม่ของเจ้าต่างหากเอลล์ ”

   เอลล์เบิกตากว้างแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมามือข้างที่เกาะตัวลุกซ์ไว้กำแน่น  ท่านแม่ของข้าเสียไปตอนที่ข้าเกิดมาได้ไม่กี่วัน เดิมทีข้าคิดว่าท่านเสียเพราะร่างกายไม่แข็งแรงตามที่ท่านพ่อได้บอกไว้ การสาปผู้อื่นนั้นย่อมใช้พลังเวทและพลังชีวิตไม่น้อย
   
นั่นก็หมายความว่า ที่ท่านแม่เสียก็เพราะสาปข้านั่นเอง
   
เอลล์ตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัดจนดัฟฟ์ตกใจ

   “ เอ้ว อย่าร้องไห้ง้า เดี๋ยวดัฟฟ์จะกินน้ำตาน้า ! ” ดัฟฟ์กัดแง่มเข้าที่ชายเสื้อของเอลล์เพื่อประท้วง

   “ ที่แม่ของเจ้าสาปเจ้า ย่อมมีเหตุผลเอลล์ ” เมเออร์รีบพูดต่อ กลัวว่าหากพูดช้าไปกว่านี้เอลล์อาจจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “ ดวงตาของบุตรแห่งสงคราม ถ้าหากดวงตาสีโกเมนกลายเป็นสีเข้มส่อประกายระริกแสดงอารมณ์กระหายเลือดออกมา ผู้ที่บุกรุกที่ได้สบตามองจะบ้าคลั่ง ข้าไม่อยากให้เจ้ามีจุดจบเช่นเดียวกับบุตรแห่งสงครามหรอกนะเอลล์ ” เมเออร์พยายามกระเสือกกระสนออกจากพันธนาการของคาร์บิลัส

   คาร์บิลัสสะบัดมือเบาๆ สิ่งใช้พันธนการก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว

   เมเออร์ในตอนนี้ไม่ได้สนใจใครทั้งนั้นนอกจากบุตรของตัวเอง ทั้งลุกซ์ คาร์บิลัส ไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่ได้รับความสนใจ สิ่งที่เมเออร์เห็นในยามนี้คือสีหน้าเสียใจของผู้เป็นราชาแทนตัวเองในปัจจุบัน เมเออร์เดินเข้าไปใกล้เอลล์ใช้ฝ่ามือหยาบของตัวเองลูบหัวเบาๆ
   
เหมือนกับครั้งที่เอลล์ยังเด็ก

   “ การแก้ปัญหาของข้ากับแม่ของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อเจ้านัก เพราะเจ้าไม่ได้เป็นคนเลือก พ่อเลือกทางที่คิดว่าดีที่สุดให้เจ้า การที่เจ้าตาบอดจะให้ดวงตาของเจ้าทำให้ใครบ้าคลั่งไม่ได้ ถ้าหากพ่อไม่สาปเจ้าให้เจ้าสวมหน้ากากตลอดเวลาแทน หากเป็นแบบนั้นย่อมมีสักวันที่ลูกพลาดทำหน้ากากหล่น หากดวงตาของเจ้าสามารถทำให้ปีศาจบ้าคลั่งได้จริง สุดท้ายเจ้าอาจจะไม่เหลือชีวิตรอด ” 
   
เอลล์ค่อยๆ หยุดตัวสั่นนิ่งฟังอย่างตั้งใจ

   “ พ่อขอโทษ.. ที่ทำให้เจ้าตาบอด เอลล์ ” เมเออร์ผละมือออกจากหัวของเอลล์ “ ชีวิตของเจ้า เจ้าควรจะเป็นผู้เลือกเอง ไม่ใช่พ่ออย่างข้า ”  เมเออร์ก้าวถอยห่างออกจากเอลล์ ดวงตาของเมเออร์หรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าเอลล์มีนักโทษที่หนีออกจากคุกคอยประคองตัวอยู่

   เมเออร์คลี่ยิ้มจาง นั่นสินะ.. ที่เอลล์กล่าวไว้ อยากเห็นคนรัก ดูเหมือนว่าระหว่างที่ข้าเผลอนักโทษมังกรผู้นี้กับเอลล์มักจะแอบเจอกัน เอาเถอะ นั่นเป็นสิทธิ์ของลูกข้า จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ข้าไม่อยากจะทำให้เอลล์ต้องเสียใจอีกครั้งแล้ว “ คำสาปของเจ้านั้นรุนแรงเพราะสายเลือดเดียวกันเป็นผู้สาป วิธีแก้ก็ต้องใช้สิ่งเดียวกันเช่นกัน ” เมเออร์ไม่กล่าวอะไรกับความสัมพันธ์ของเอลล์และลุกซ์ “ การแก้คำสาปบทนี้เจ้าต้องใช้เลือดของราชาที่มีในตัวเจ้าผสมรวมกับเลือดของต่างเผ่าที่มีพลังมากทิ้งไว้หนึ่งคืนแล้วร่ายเวทบทแห่งแสงสว่างและความมืดมิด ”

   “ แค่นี้งั้นเหรอ ? ” ลุกซ์ถามแทนเอลล์

   เมเออร์ยิ้มเศร้าๆ “ ใช่ แต่ที่ยากมันก็ตรงที่ผู้ที่ต้องคำสาปเป็นคนร่ายบทเวทเองนั่นแหละ ” เมเออร์ถอดแหวนข้อมือของตัวเองออกมากำแน่น มีแสงสีทองทอวาปขึ้นมาจางๆ แหวนวงเล็กของเมเออร์ได้กลายเป็นคัมภีร์บางอย่างที่ดูลึกลับแม้หน้ากระดาษจะดูซีดจางไปบ้างแต่ก็ยังคงทอความขลังของมัน แต่สิ่งที่ประหลาดก็คือมีเถาไม้เลื้อยเกี่ยวพันกันอย่างหนาแน่นราวกับว่าไม่ประสงค์ให้ผู้ใดอ่าน
   
“ เจ้าเห็นไม้เลื้อยนี่หรือไม่ ? ” เมเออร์ถามสั้นๆ โดยไม่ต้องการคำตอบ “ มันเป็นสิ่งที่ใช้ป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่มีสายเลือดของราชาภูตเปิดมันได้ ”

   “ ก็แค่ให้เอลล์ใช้เลือดตัวเองหยดใส่มันก็น่าจะใช้ได้แล้วนี่ ท่านเมเออร์  ” ลุกซ์ถามด้วยสีหน้างงๆ
   
“ เจ้าสามารถเปิดมันได้แต่ไม่สามารถอ่านมันได้หรอกนะ อักษรเวทจะปรากฎให้อ่านก็ต่อเมื่อเจ้ามีสายเลือดของราชาภูตซึ่งมันก็จะปรากฎให้เห็นแค่คนเดียวเท่านั้น ”

   ลุกซ์แสดงสีหน้าเหยเก ข้าจะไปมีสายเลือดของเอลล์ได้ยังไงล่ะ “ แล้วทำไมท่านถึงไม่ถอนคำสาปให้เอลล์ เองล่ะ ”
   
เมเออร์ใช้มือนวดขมับตัวเอง “ ข้าใส่ข้อแม้เข้าไปอีกก็คือต้องเป็นสายเลือดของเอลล์เท่านั้น  ” เพราะยามนั้นข้าไม่ต้องการให้เอลล์สามารถมองเห็นได้และสามารถคำสาปนี้ได้ แต่ตอนนี้กลับต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อเอลล์ที่มักจะยิ้มจางๆ กลับร้องไห้ออกมาจนตัวโยน ทำให้เมเออร์ต้องเปลี่ยนความคิดและปวดหัวกับข้อแม้ตัวเองแทน เพราะต่อให้เอลล์เปิดอ่านได้ก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมองเห็นข้อความบนคัมภีร์

   ซึ่งตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร
   
ดูเหมือนว่าคำสาปของข้าจะร้ายแรงกว่าที่คิดไว้มาก

   มันกระทบถึงกระทั่งการถอนคำสาป
   
ถึงแม้ข้ามีเวลาใคร่ครวญมากกว่านี่ ข้าก็เลือกวิธีนี้อยู่ดีเพื่อบุตรของข้าจะได้ไม่มีจุดจบเป็นการจากลาชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกับบุตรแห่งสงคราม
   
เอลล์กลับมายืนตรงอย่างมั่นคงอีกครั้งแต่มือก็ยังถูกลุกซ์กุมอยู่ไว้หลวมๆ “ แต่ข้าก็มองมันไม่เห็นอยู่ดีนะ ท่านพ่อ.. ”
   
ดัฟฟ์เมื่อเห็นเอลล์กลับมามั่นคงเหมือนเดิมก็กระโดดโหยงแหยงไปรอบๆ พลางใช้สมองจิ๋วๆ คิดเรื่องที่ได้ยินจากพวกผู้ใหญ่คุยกัน สายเลือดเดียวกัน สายเลือดเดียวกัน อ๋า ข้ามีท่านแม่เป็นปีศาจอีกาใจร้ายกับท่านพ่อที่เป็นปีศาจแพะบ้าชอบเตะข้า ข้าไม่ชอบเลย ! ทำไมแพะข้าสั้นตัวเมื่อกี้ถึงได้วิ่งเร็วกว่าข้าอีก ต่อไปข้าจะวิ่งให้เร็วกว่าเดิม เพื่อที่จะได้ไปถึงแม่ได้ไวกว่าท่านพ่อ !

   คาร์บิลัสเหลือบมองอีกาหนุ่มที่ยืนทำสีหน้าหนักใจแทนสีหน้าปกติที่ติดจะเย็นชา ข้าอยากให้ฟารคัสห่วงข้าแบบนี้บ้างจัง  มันคงจะดีน่าดูเลยสินะ ถ้าฟาร์คัสไม่ถีบต่อยกระทืบข้าเหมือนทุกทีเวลาที่ข้าแค่แอบมือไวนิดหน่อย ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้สถานการณ์กำลังเคร่งเครียดป่านนี้ข้าอาจมือไวใส่ฟาร์คัสอยู่ ฮ่าๆ

   ดูเหมือนว่าคาร์บิลัสจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเหตุการณ์เท่าไหร่ เพียงแค่ให้คำแนะนำง่ายๆ กับสองพ่อลูกเท่านั้น สิ่งที่อยู่ในหัวของคาร์บิลัสส่วนใหญ่จะมีแค่ฟาร์คัส ฟาร์คัส ฟาร์คัส เต็มไปหมด ไม่แน่ใจเพราะทำงานหนักมากเกินไปหรืออะไร

   “ ถ้าจะเป็นสายเลือดเดียวกัน ” ดัฟฟ์หยุดกระโดดยืนนิ่งๆ ใช้ดวงตาสีแปลกของตัวเองมองลุกซ์กับเอลล์ “ ก็แต่งงานกันสิ แก๊ซ !  ดัฟฟ์อยากกินขนมชาวภูตอีก ”

   เอลล์สะดุ้งโหยง

   ลุกซ์ยิ้ม

   เมเออร์ขมวดคิ้วแน่น

   คาร์บิลัสหันไปยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ฟาร์คัส

   ฟาร์คัสมองโกรธๆ กลับ
   
มันใช่เวลามาเล่นไหม ! คาร์บิลัส

   คาร์บิลัสยักไหล่ยิ้มๆ
   
แล้วไงล่ะ ?
   
เจ้าจะลงโทษข้างั้นเหรอ ฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสขบกรามหันหน้าหนีแทนการตอบราชาปีศาจงี่เง่า
   
เมเออร์ถอนหายใจออกมา ถึงข้าเลือกที่จะไม่ก้าวก่ายเอลล์ในเรื่องของคนรัก แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะถึงขั้นแต่งงาน “ พิธีกรีดเลือดสาบานสินะ ที่เจ้ามังกรนี่จะพูด ” 

   “ แต่งงาน.. ” เอลล์ครางออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ถึงข้าจะรักลุกซ์ก็จริงแต่ช้าก็ไม่ได้คิดว่าจะได้แต่งงานกับอีกฝ่าย

   “ แต่งก็แต่งสิ ข้าไม่ขัดข้องอะไรอยู่แล้ว ” ลุกซ์ตอบเหมือนกับกำลังพูดเรื่องง่ายๆ แต่ดวงตาสีเพลิงทอประกายดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

   “ พรุ่งนี้เป็นคืนวันเพ็ญ ข้าว่าน่าจะเหมาะกับการแต่งงานนะ ” คาร์บิลัสพูดขึ้นซึ่งไม่แน่ใจว่ากำลังบอกลุกซ์หรือฟาร์คัสกันแน่

   ฟาร์คัสไม่สนใจ
   
ส่วนเมเออร์นิ่งเงียบไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา

   “ ขาหนมมมมมม ” ดัฟฟ์กระดี้กระด้าทันทีที่รู้ว่าจะมีการแต่งงาน

   ฟาร์คัสเหลือบมองดัฟฟ์ด้วยแววตาติดจะสงสาร “ ข้าคิดว่าแค่เอาพิธีกรีดเลือดมาก็น่าจะเพียงพอแล้วคงไม่มีงานฉลองหรอก ดัฟฟ์ ”
   
ดัฟฟ์น้ำตาคลอเตรียมจะร้องไห้โฮ

   “ โว้ย ! จะร้องอะไรนักหนา เดี๋ยวข้าไปหาขนมให้เจ้าเอง ไอ้มังกรบ้า ! ” คาร์บิลัสหงุดหงิดตะคอกใส่ดัฟฟ์

   ดัฟฟ์ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวแต่อย่างใด “ ฆ่าบี้ลัส ใจดีที่สุดเลยยยย ” แล้วยังถลาเข้าไปหาคาร์บิลัสอย่างผิดวิสัยปกติ เพราะค่าของขนมได้บังตาดัฟฟ์ไปแล้ว
   
คาร์บิลัสเตรียมจะถีบมังกรที่พุ่งเข้าใส่
   
แต่ฟาร์คัสไวกว่าคือยื่นขาไปสกัดดัฟฟ์ไว้จนกลิ้งขลุกๆ ไปหาเอลล์แทน
   
ดัฟฟ์เด้งตัวขึ้นปัดเศษดินทรายออกจากตัวและเงยหน้ามองเอลล์ที่ตอนนี้ดูเหมือนโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยสีหน้าเดิมที่ร้องไห้ตอนนี้ได้กลายเป็นปกติแล้ว “ เอ้ว ต้องให้ดัฟฟ์กินขาหนมน้า ! ”

   “ อืม ” เอลล์ยิ้มจางๆ ไม่แน่พรุ่งนี้ข้าอาจจะมองเห็นก็ได้ แววตาสะท้อนความคิดลุ่มลึกออกมา

   ชาวดินแดนภูตเอ๋ย..
   
ให้อภัยความเห็นแก้ตัวของข้าเถอะ
   
ข้าขอโทษ..
   
ถ้าหากดวงตาของข้าทำให้ปีศาจคลุ้มคลั่งจริง
   
ข้าจะยอมใช้สละชีวิตนี้เพื่อสร้างกำแพงป้องกันดินแดนของเราอีกครั้ง
   
ข้าสัญญา..

-----------------

 :hao5: หวามาช้ามากเลย ขอโทษค่ะ TT

 :L1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ  :man1:

--------------------
ช่วงตอบเม้น  :mc4:

คุณ บลูเชอรี่ / คุณ แรมบลูสกาย : ให้เอลล์ใส่คอนแทกเลยเหรอคะ 55555555 ใส่คู่กับลุกซ์เลย

คุณ ลิซซี่ (? ) : มีทางช่วยค่ะ  :hao6:

คุณ ยามาไนอเมะ : เพิ่มบทให้ดัฟฟ์แล้วค่ะ 55555555  :mc4:
   
 
   


   
   
 
   
   
   
   

   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 28 มิ.ย 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-06-2015 21:51:20
รอดูว่าจะแก้ให้เอลมองเห็นได้ยังไง
สู้ๆ นะเอลลล

ส่วนดัฟฟฟฟฟฟ เอะอะกินอย่างเดียวเลยนะลูกเอ้ยยย
ขอมาเลี้ยงที่บ้านได้ไหมเนี่ย ฮ่าาาาา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 28 มิ.ย 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Rambluesky ที่ 29-06-2015 22:04:07
รอติดตามนะครับว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป ^^  :L1: :pig4:

ลุ้นๆ  :ling1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 28 มิ.ย 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 29-06-2015 22:49:20
ดัฟดัฟดัฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ อั๊ยสสดัฟน่ารักทากมาย 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 28 มิ.ย 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 29-06-2015 23:09:46
ต้องเข้าหอป่าว อ้าวว คาร์บิลัส ลุกซ์นำแล้วนะะะ
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 28 มิ.ย 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 30-06-2015 21:52:31
ที่ไม่เม้นไม่ใช่ว่าไม่ตามนะแต่เล่นในโทร. คอมพัง...55 จะยังไงก๋ตามจนกว่าจะจบ(มั้ง) ล้อเล่น :L2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 28 มิ.ย 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 06-07-2015 13:10:00
คิดถึงแล้ววว มาไวๆน๊า
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 18 28 มิ.ย 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 06-07-2015 22:27:02
ตอนที่ 19
   
ภายใต้ดวงจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้าสีน้ำหมึก มีร่างของราชาภูติและมังกรไฟยืนเคียงกันอยู่ตรงกลางพื้นหินยกสูง บริเวณโดยรอบรกครึ้มด้วยหญ้ากับไม้พุ่มเตี้ยมีสัตว์ตัวเล็กวิ่งซอกแซกไปมา เบื้องหน้าของทั้งสองนั้นมีแก้วทรงสูงสีใสข้างกันมีมีดเงินสลักลวดลายงดงาม

“ เริ่มเลยไหม ? ” คาร์บิลัสถามเบื่อๆ เมื่อนั่งมาได้สักพักแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักที ข้าเบื่อเป็นเหมือนกันนะ ! อีกอย่างนี่ข้าต้องมาเป็นสักขีพยานงานแต่งใครก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ข้าไม่ได้แต่งด้วยนี่ !

   “ อืม ” เอลล์รับคำหยิบมีดด้ามงามมาถือ “ งั้นข้าเริ่มก่อนแล้วกัน ”
   
ลุกซ์ยิ้มบางไม่พูดอะไรแววตาทอประกายอ่อนโยน
   
เอลล์กดปลายมีดเข้าที่ข้อมือของตัวเองปล่อยให้เลือดหยดลงในแก้วโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่เลือดนั่นออกจนน่ากลัว พอได้ประมาณเกือบครึ่งแก้ว เอลล์ก็ร่ายเวทรักษาตัวเองเสร็จสรรพ์ ยื่นมีดให้ลุกซ์บ้าง
   
ลุกซ์รับมีดมาถือด้วยมืออีกข้างส่วนข้างที่ถนัดรวบข้อมือของเอลล์ขึ้นมาและแลบลิ้นเลียเลือดที่เปรอะไปทั่วข้อมือเพื่อทำความสะอาด แต่พอทำออกมากลับดูลามกแปลกๆ ลุกซ์เลียริมฝีปากเมื่อข้อมือของเอลล์กลับมาสะอาดเช่นเดิม
   
เอลล์หน้าแดง ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นแต่สิ่งที่สัมผัสมันกระตุ้นให้เขินอายซะอย่างนั้น
   เมเออร์เสตามองไปทางอื่นราวกับว่าไม่อย่างมองภาพตรงหน้า ซึ่งก็เป็นจริงดังที่ว่า เมเออร์ยังไม่ยอมรับชาวต่างเผ่านัก สิ่งที่ปลูกฝังจนอยู่ในกระแสเลือดไม่ใช่อะไรที่สามารถแปรเปลี่ยนได้ง่ายๆ นอกเสียจากเรื่องที่รุนแรงพอที่จะเปลี่ยนความคิดนั้นได้อย่างสิ้นเชิง
   
ฟาร์คัสยังคงมองอยู่แต่ก็รู้สึกกระดากไปด้วย เพราะมองจากที่นั่งตรงนี้พบว่าการกระทำของลุกซ์นั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนแต่ก็เจือความหยาบโลนไว้ด้วยเช่นกัน
   
ลุกซ์ขยับยิ้มจางกดมีดไปที่ข้อมือของตัวเองบ้าง แต่กดได้สักพักก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อไม่มีเลือดออกมาแม้แต่หยดเดียว “ ดูท่าข้าจะหนังเหนียวมากนะเนี่ย ” ทั้งๆ ที่กำลังพร่ำบ่นแต่มือข้างที่ถือมีดก็กดแรงมากขึ้นไปอีก
   
เอลล์ที่มองไม่เห็นภาพตรงหน้าได้แต่ยืนเงียบๆ
   
ลุกซ์กดจนเกือบสุดแรงเลือดถึงได้กระฉูดออกมาเหมือนน้ำพุ เลือดของลุกซ์เป็นสีแดงแกมส้มคล้ายอัญมณีมันไหลลงไปในแก้วตัดกับสีเหลืองจางของเอลล์ ลุกซ์ปล่อยให้เลือดไหลใส่จนเกือบเต็มแก้วก็เอาข้อมือขื้นมาเลียทันที
   
ลุกซ์ไม่พิสมัยเรื่องการรักษานัก แต่น้ำลายมังกรก็ถือว่าเป็นยารักษาอยู่กลายๆ เหมือนกัน แม้มันจะดูน่าขยะแขยงนิดหน่อยก็เถอะ แต่มันหายจริงๆ นะ เลียแผล่บสองแผล่บก็หายสนิทเกลี้ยงเกลาเหมือนกับถูกเวทรักษามาก็ไม่ปาน
   
เมเออร์เหลือบมองแก้วใบใสที่แสดงให้เห็นถึงความต่างเผ่าพันธ์อย่างชัดเจน  ” ปีศ—..  ลุกซ์ ” เมเออร์ชะงักไปครู่จึงพูดต่อ “ เขย่าให้มันเข้ากันซะ ”
   
“ อืม ” ลุกซ์รับคำหยิบแก้วทรงสูงเอียงไปมาเพื่อให้เลือดแพร่ซึมเข้าหากันใช้เวลาไม่นานเลือดทั้งสองก็กลายเป็นเนื้อเดียวที่มีสีแดงอมส้มอ่อนๆ น่าแปลกที่เลือดนั้นไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย  “ ดื่มมันเลย ? ”

   “ ครึ่งแก้ว ” เมเออร์ตอบสั้นๆ
   
ลุกซ์กระดกกินอย่างไม่นึกรังเกียจทันที แต่เมื่อกินเข้าไปกลับไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อยนอกจากความโล่งสบายตัวไปทั้งตัว ลุกซ์ยื่นแก้วให้เอลล์ที่ยิ่นมือมารอรับแก้ว “ รสชาติเหมือนกับน้ำซุปเลยล่ะ เอลล์ ” ลุกซ์พูดติดตลก
   
เอลล์ยิ้มจางไม่ตอบรับมันมาดื่มจนหมดแก้ว แต่เมื่อยืนได้สักพักก็ทำท่าเหมือนจะล้มอีกครั้งจนลุกซ์ต้องคอยประคองไว้ ตัวของเอลล์นั้นร้อนเหมือนดั่งถูกไฟลน

ลุกซ์ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
   
เมเออร์ไม่มีท่าทีตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า “ ร่างกายของปีศาจย่อมแข็งแรงกว่าชาวภูติอยู่แล้ว เมื่อรับอะไรเข้าไป อย่างมากเจ้าก็รู้สึกคันๆ เท่านั้น ”
   
กินเวลาหลายอึดใจกว่าที่เอลล์จะมายืนได้มั่นคงอีกครั้ง
   
“ ข้าต้องทำอะไรต่อ ท่านพ่อ ” เอลล์ถามบนใบหน้ามีเม็ดเหงื่อผุดจางเพราะความรู้สึกร้อนวูบวาบภายในร่างกาย
   
“ กล่าวคำสาบานและแลกเปลี่ยนความรู้ ” เมเออร์ตอบเสียงเรียบ
   
นี่คือเหตุผลที่ทำไมถึงต้องใช้พิธีกรีดเลือดสาบานของการแต่งงาน เดิมการแต่งงานของคู่บ่าวสาวจะมีการกล่าวสาบานเพื่อความรักที่มั่นคงของทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าหากเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนความรู้จะต้องดื่มเลือดของคู่บ่าวสาวลงไปและร่ายเวทประกอบ การแลกเปลี่ยนความรู้จะทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความรู้เหมือนกับที่อีกฝ่ายมี เป็นพิธีที่มีเพื่อความเสมอภาคอย่างแท้จริง แต่เพราะเวทนี้ค่อนข้างใช้พลังเวทมากจึงมักมีเฉพาะในวงศ์กษัตริย์หรือขุนนางระดับสูงเท่านั้น
   
เมเออร์ทำท่าอิดออดไม่ค่อยอยากออกไปนัก เพราะลึกๆ แล้วยังรู้สึกยอมรับในตัวปีศาจไม่ได้
   
คาร์บิลัสเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “ เดี๋ยวข้ารับหน้าที่เป็นผู้ทำพิธีให้เอง ” คาร์บิลัสอาสาและเดินไปยืนตรงหน้า ปล่อยให้เมเออร์ยืนอึ้งต่อไป
   
ราชาปีศาจจะทำพิธีแต่งงานให้กับราชาภูติ !? นี่เป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว เมเออร์ตัวสั่นกัดฟันกรอด ถึงจะยอมเอลล์ยังไงก็ยอมรับในตัวปีศาจไม่ได้อยู่ดี เมเออร์พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ถลาเข้าไปโจมตีราชาปีศาจ

   “ ข้าเริ่มแล้วนะ ” คาร์บิลัสพูดแต่สายตาเหลือบมามองฟาร์คัส “ ฟาร์คัส เจ้าจะร่วมด้วยก็ได้นะ ! ” และพูดด้วยความกระตือรือร้นอย่างล้นเหลือ
   
“ ไม่ล่ะ ข้ายังไม่อยากมีสมองเหมือนเจ้า ” ฟาร์คัสตอบ

   คาร์บิลัสแทบจะวิ่งหนีกลับเข้ากระต็อบของตัวเองด้วยความเจ็บปวด อะไรกันสมองของข้าไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นซะหน่อย โฮ  คาร์บิลัสหงอยลงทันตาเห็น
   
ฟาร์คัสกลอกตา “ มันใช่เวลาเล่นไหมคาร์บิลัส ” และพูดเสียงดุ
   
คาร์บิลัสเบะปาก “ ก็ได้ ” และยืนขึ้นอย่างองอาจผิดกับเมื่อกี้ลิบลับใช้สายตาดุดันจ้องเขม็งที่ลุกซ์ “ ปีศาจมังกรไฟเอ๋ย เจ้าตั้งใจจะเป็นคู่ชีวิตของราชาภูติหรือไม่ ”
   
ลุกซ์มองนายเหนือหัวของตัวเองด้วยแววตารับถือ บัดนี้นายเหนือหัวเป็นผู้ทำพิธีสำคัญให้แก่ตน ข้าผู้ซึ่งเป็นเบื้องขวาของราชาปีศาจ ลุกซ์ค้อมหัวลงต่ำเพื่อทำความเคารพและเงยขึ้นสบตาคาร์บิลัส “ แน่นอนอยู่แล้วครับ ท่าน ”

คาร์บิลัสไม่พูดอะไรกับน้ำเสียงที่ยังติดเล่นของลุกซ์ หันไปสบมองเอลล์ที่ไม่ได้ใส่หน้ากาก แววตาสีแปลกที่ไม่ทอประกายใดๆ 

“ แล้วเจ้าล่ะราชาภูตต้องการที่จะมีปีศาจมังกรไฟเป็นผู้อารักขา ผู้เป็นอีกชีวิตของท่านหรือไม่ ”

เอลล์ยิ้มบางตอบ “ ข้ารับ ” และตอบรับง่ายๆ
   
คาร์บิลัสนิ่งเงียบ “ แล้วอะไรต่อนะ ข้าขอนึกก่อน ”
   
ฟาร์คัสแทบเข้าไปเตะคาร์บิลัส
   
เอลล์กับลุกซ์ยิ้มแห้งๆ
   
ดัฟฟ์ทำหน้าเซ็ง
   
ส่วนเมเออร์..
   
“ เอลล์ ! นี่เจ้าจะแต่งกับไอ้ปีศาจมังกรไฟนี่เหรอ ! ข้ายอมรับไม่ได้ นี่มันไอ้พวกปีศาจที่มาทำลายดินแดนของเรา ถ้าหากเจ้าแต่งงานกับมันก็เท่ากับว่ายามที่มันมีศึกสงครามมันก็จะรบในดินแดนของเราอีกครั้ง ! ” เมเออร์ตะคอกเสียงดัง
   
“ ท่านพ่อ ท่านบอกเองว่าจะให้ข้าถอนคำสาป ” เอลล์ถามรอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าหายไปอย่างรวดเร็ว
   
เมเออร์กำมือแน่น ความรู้สึกในใจปั่นปวนไปหมด ทั้งเรื่องการมองเห็นของเอลล์ การแต่งงานกับปีศาจ สงคราม ทุกอย่างผสมปนเปกันไปจนเมเออร์แทบระเบิดความคลุ้มคลั่งออกมาผิดวิสัยเยือกเย็นหยิ่งทระนง

“ เจ้าอย่ารบที่ดินแดนนี่แล้วกัน คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสพูดเสียงเรียบ
   
“ ไม่มีใครกล้าท้าข้าสู้หรอกน่า ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสยิ้ม “ แต่ถ้าจะสู้ที่ดินแดนนี้ ข้าขอสู้บนเตียงกับเจ้านะ ! ”

ฟาร์คัสกัดฟันกรอดด้วยความอับอาย  “ คาร์บิลัส !! ” และคำรามชื่ออีกฝ่ายเสียงเหี้ยม
   
คาร์บิลัสยิ้มแหยๆ แย่แล้ว ข้าไปกระตุ้นต่อมโหดของฟาร์คัสซะได้ งั้นข้าหันมาสนใจผู้ที่มาขัดเวลาข้าคิดดีกว่า “ เรื่องมันผ่านมาเป็นชาติแล้ว เจ้าจะแค้นอะไรนักหนาวะ เมเออร์ อีกอย่างปีศาจอย่างพวกข้าไม่ได้เป็นคนทำซะหน่อย ที่ข้าทำมันก็แค่ทำลายคุกเจ้ากับลุกซ์ที่เคาะประตูบานใหญ่ของเจ้าเล่นเอง ”
   
การเคาะประตูที่คาร์บิลัสพูดถึงนั้นคือลูกไฟขนาดน้องๆ ของบ้านสักหลัง
   
เมเออร์ไม่ตอบอะไรเอาแต่นิ่งเงียบ
   
เป็นจริงดังที่ราชาปีศาจว่า เรื่องพวกนี้ผ่านมานานนัก แต่ความประมาทนั้นก็ไม่เคยปราณีใครเช่นกัน

----------------

 :katai5: น้ำจิ้มค่ะ # คิดถึงคนอ่านนน
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 19 6 ก.ค 58 40 %
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-07-2015 22:33:50
มารอหนูเอลมองเห็น สู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 19 6 ก.ค 58 40 %
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 06-07-2015 22:48:08
กุมขมับแทนเมเออร์

ชีวิตช่วงนี้วุ่นวายดีจริง
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 19 7 ก.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-07-2015 22:45:21
“ ข้าไม่รอเจ้ามาขัดข้าอีกรอบหรอกนะ อีกอย่างถ้ามีอีก ข้าจะเป็นคนถีบเจ้าออกไปเอง ” คาร์บิลัสพูดแกมขู่ “ อ้อ จริงสิ หลังจากสาบานนั่นเสร็จต้องจูบกันสินะ ถ้าจำไม่ผิด ” คาร์บิลัสยิ้มเมื่อนึกออก “ ประมาณนั้น พิธีพวกนี้เน้นเรียบง่ายเพราะมันแค่สาบาน แลกเปลี่ยนความรู้สิถึงจะงานหนักของข้า ”

เอลล์ยิ้มด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
   
“ เอาสิ รออะไรล่ะ ก่อนที่ข้าจะเบื่อแล้วกลับไปนอนที่ห้องกับฟาร์คัสนะ ” คาร์บิลัสพูดเซ็งๆ
   
ฟาร์คัสถอนหายใจเอย่างเหนื่อยหน่าย ร่ายเวทพึมพำเสียงเบาให้บริเวณโดยรอบปกคลุมด้วยขนนกสีดำลอยฟุ้งอยู่เต็มไปหมดคอยบดบังทรรศนียภาพต่างๆ
   
“ ฮัดชิ้ว ! ” ดัฟฟ์จามออกมาจนขนนกฟุ้งกระจายปลิวว่อนมั่วไปมากกว่าเดิม
   ลุกซ์ยิ้มเมื่อรู้ถึงเจตนารมณ์ของปีศาจอีกา นับว่าเป็นวิธีที่ค่อนข้างฉลาดทีเดียว ลุกซ์ค้อมหัวกระซิบชองหูเอลล์ “ ข้าทำเลยนะ ” ไม่รอให้เอลล์ได้ตอบลุกซ์ก็แนบริมฝีปากกับเอลล์ทันที
   เอลล์สะดุ้งกับสัมผัสแปลกใหม่ที่ได้รับ
   
ลุกซ์ดึงดันจูบต่ออีกหน่อยจนเอลล์เผลอเผยอปากให้ตนได้ลุกล้ำ
   
แต่แล้วทั้งสองก็ต้องผละออกจากกันทันทีเพราะความรู้สึกร้อนผ่าวที่บริเวณข้อมือข้างขวา บนข้อมือขาวซีดของเอลล์ปรากฎรอยตราเวทรูปมังกรเผยอปากพ่นไฟตามลำตัวของมันนั้นวิจิตรบรรจงจนเหมือนมันมีชีวิตอยู่จริงๆ สีสันแสบตาเหมือนดั่งไฟของลุกซ์
   ส่วนข้อมือของลุกซ์นั้นปรากฎเป็นรูปไม้เลื้อยที่ถักทอสานกันโดยมีตรงกลางเป็นมงกุฏรอบๆ มงกุฏนั้นมีสัตว์เล็กบางอย่างจำพวกนก ผีเสื้อ เกาะอยู่ตามเถาไม้ ดูสวยงามและสบายตา  ส่วนที่ดูน่าเกรงขามที่สุดคงเป็นดาบไขว้กันใต้มงกุฏที่ถึงแม้จะถักทอขึ้นมาจากไม้เลื้อยเหมือนกันแต่กลับดูทรงอำนาจและมีพลัง
   
“ อ้อ จริงสิเจ้าเป็นราชาภูตสินะ ” คาร์บิลัสพึมพำพูดกับตัวเอง “ น่าเบื่อชะมัด ”
   
น่าเบื่อ ?
   
เอลล์ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ความรู้สึกร้อนผ่าวบนข้อมือก็เป็นอีกอย่างที่ข้าไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ถ้าข้ามองเห็นมันก็คงดี
   และสิ่งที่ปรากฎหลังจากความคิดเอลล์ก็สมควรถือว่าเป็นเหตุผลให้คาร์บิลัสบ่น เพราะตอนนี้บนท้องฟ้าของดินแดนภูตเปลี่ยนสีจากสีน้ำหมึกกลายเป็นสีเหลืองอ่อนแกมเขียวดูแปลกตา พื้นต้นไม้โดยรอบก็เช่นกันล้วนเปลี่ยนสีสันจากสีปกติเป็นสีจัดคล้ายงานเฉลิมฉลอง เสียงนกร้องที่ร้องขับขานคล้ายกับกำลังแย่งกันบรรเลงเพลงสำคัญ สัตว์เล็กน้อยใหญ่ที่อยู่ในดินแดนภูตพากันออกมาเดินกันขวักไขว่ในปากคาบผลไม้เดินเรียงแถวหาผู้เป็นเจ้าของดินแดน เหมือนกับใช้ผลไม้แทนคำอวยพรของพวกมัน
   
ส่วนขนนกของฟาร์คัสก็สลายหายไปตั้งแต่ตอนที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี
   
เอลล์ขมวกคิ้วแน่นเมื่อรู้สึกฝีเท้าจำนวนมากขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไปเดินเข้ามาใกล้และวางอะไรบางอย่างตรงหน้าตัวเองและจากไป ซึ่งดูทีท่าจะไม่หมดง่ายๆ ด้วยฟังจากเสียงฝีเท้า “ เกิดอะไรขึ้นกัน ? ลุกซ์ ”
   
แววตาของลุกซ์มีความเสียใจพาดผ่านใช้มือกุมมือเอลล์เอาไว้ “ ผู้เป็นเจ้าของดินแดน เมื่อมีการแต่งงาน ผู้ร่วมอาศัยอยู่ในดินแดนนี้ย่อมออกมาแสดงความยินดีเสมอ ” ลุกซ์เหลือบมองท้องฟ้าที่ดูแปลกตากว่าทุกวัน
   
ผู้ที่เป็นเจ้าของดินแดนใดดินแดนหนึ่งถ้าหากมีการแต่งงานขึ้นมาก็จะมีสัญญาณบางอย่างที่ทำให้รู้กันทั้งอาณาจักรว่าราชานั่นได้แต่งงานแล้ว ให้ผู้อาศัยทั้งหลายออกมาร่วมเฉลิมฉลองเพื่อเป็นการแสดงความยินดีต่อองค์ราชา
   
“ ฮ้าว ~ วันนี้จะหมดไหมเนี่ย ข้าเบื่อแล้วนะ ” คาร์บิลัสบ่นดูสีหน้าเซ็งสุดขีด “ ฟาร์คัส ข้าว่าเรากลับไปนอนต่อดีกว่าเนอะ“
   
“ ข้าไม่ง่วง ” ฟาร์คัสตอบโดยไม่สนใจจะจ้องเอ็ดคาร์บิลัส เพราะสายตาค้างอยู่ที่เสือดาวหิมะที่ได้ยินว่าเป็นเพียงเรื่องกล่าวขาน แต่วันนี้เสือดาวหิมะที่ว่านั้นเดินกันออกมาจากป่าด้วยท่าทางองอาจเหมือนราชสีห์แล้วยังคาบอัญมณีล้ำค่าไว้ในปากอีก
   
“ ฟาร์คัส ! ” คาร์บิลัสหน้ามุ่ยเมื่อฟาร์คัสไม่สนใจ แล้วยอมร่ายเวทสั้นๆ ให้ตัวเองกลายเป็นแพะน้อยน่ารักทันที คาร์บิลัสวิ่งพรวดเข้าไปหาฟาร์คัสพยายามปั้นหน้าน่ารักน่าเอ็นดูสุดชีวิต
   
แต่ผลที่ได้รับจากฟาร์ตัวล้วนตรงข้ามกันเสมอ เหมือนกับน้ำกับไฟอะไรทำนองนั้น
   
ผลั่ก
   
คาร์บิลัสโดนฟาร์คัสเตะโด่งลอยไปหาเสือดาวหิมะที่กำลังค้อมหัวลงเคารพเอลล์
   
เสือดาวหิมะจ้องคาร์บิลัสด้วยสายตาไม่เป็นมิตรทันที นัยน์ตาสีฟ้าครามของมันทอประกายดุร้ายพร้อมแยกเขี้ยวใส่คาร์บิลัส มันส่งเสียงในลำคอขู่ซึ่งเสียงของมันก็คล้ายกับสิงโตคำรามอยู่กลายๆ
   
คาร์บิลัสในร่างแพะตัวเล็กยืนอย่างองอาจและร้องใส่มันบ้าง “ แบะ ! ”
   
ฟาร์คัสหลุดหัวเราะออกมา
   
สิ่งที่แปลกคือ เสือดาวหิมะเผ่นหนีไปทันทีหลังจากคาร์บิลัสร้องเสร็จ
   
ฟาร์คัสยังไม่หยุดหัวเราะเพราะภาพของคาร์บิลัสยังคงติดค้างอยู่ในหัว แพะที่ตัวเล็กกว่าเสือเป็นเท่าตัว มันพยายามยืนด้วยท่าที่ดูเท่ แต่เสียงที่ขู่กลับนั้นง้องแง้งเกินบรรยาย
   
คาร์บิลัสหู่ลู่ลงเศร้าๆ เมื่อเห็นฟาร์คัสขำแทนที่จะชื่นชม
   
ฟาร์คัสเอื้อมมือไปอุ้มแพะตัวเล็กหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ พบว่าดวงตาของเจ้าแพะนี้ทั้งดูวิงวอนและกระตือรือร้นในคราวเดียวกัน ซึ่ง
ถ้าหากเป็นตอนปกติฟาร์คัสคงแค่มองมันเฉบๆ แต่ตอนนี้เป็นแพะตัวอ้วนขนฟู “ รีบทำพิธีต่อไปเถอะ ” ฟาร์คัสใช้มือขยี้ขนฟูๆ ของคาร์บิลัสเผลอยิ้มจางออกมา
   
แพะในมือฟาร์คัสดูชื่นบานขึ้นทันตาเห็นและมันก็สามารถทำให้ฟาร์คัสอารม์เสียทันตาเห็นได้ทันทีเหมือนกัน คาร์บิลัสกลับมาใช้ร่างกลางอย่างกะทันหันใช้ช่วงที่ฟาร์คัสกำลังตกใจแอบจูบเบาๆ บนริมฝีปากฟาร์คัสและเผ่นออกมายืนไกลๆ
   
“ ทำพิธีต่อทั้งอย่างนี้แหละ ! ข้าขี้เกียจรอแล้ว ” คาร์บิลัสพูดด้วยสีหน้าชื่นบาน

ผิดกับฟาร์คัสที่หน้าบูด
   
คาร์บิลัสร่ายเวทโดยไม่สนใจว่าผู้ที่ตนทำพิธีให้สนใจอยู่หรือไม่ คาร์บิลัสวาดวงเวทโบราณที่เป็นพื้นฐานของเวททุกชนิดในโลกใบนี้ เป็นเวทที่เหมาะสำหรับใช้ทำพิธีกรรมต่างๆ กับผู้ที่ต่างสายเลือดหรือดินแดน  คาร์บิลัสกัดนิ้วตัวเองปล่อยให้เลือดหยดลงตรงกลางจนพื้นนั้นเจิ่งนองไปด้วยเลือดของคาร์บิลัส “ ข้าราชาแห่งปีศาจขอวิงวอนต่อท่านผู้สร้างโลกใบนี้ โปรดสดับฟังด้วยใจอันเมตตาของท่าน ปีศาจมังกรและราชาแห่งภูตผู้ตกลงปลงใจเป็นสายเลือดเดียวกัน ได้มีความประสงค์จะมีความเท่าเทียม ความรู้ที่สั่งสมมาอย่างยากลำบากนั้นจักแลกเปลี่ยนให้ทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียม โดยมีข้าผู้เป็นราชาแห่งปีศาจเป็นพยานและผู้ทำพิธี ! ” ขณะที่คาร์บิลัสร่ายเวท ทุกคำพูดของคาร์บิลัสกระตุ้นให้วงเวทบนพื้นหมุนริ้วอย่างรวดเร็วตัวอักษรโบราณสลับที่กันไปมาดูน่าสับสน สีสันของวงเวทที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนกับกำลังมึนงง “ เข้ามาสิ ! ” คาร์บิลัสตะโกนบอก
   
ลุกซ์จับมือเอลล์ด้วยรอยยิ้มจางพาเข้าก้าวเข้ามาในวงเวทของคาร์บิลัส
   
เมื่อผู้ที่มีความประสงค์จะแลกเปลี่ยนความรู้ก้าวขาเข้ามาในวงเวท ตัวอักษรโบราณที่เดิมทีสลับที่ไปมากลับเข้าที่ของมันอย่างรวดเร็วเลือดของคาร์บิลัสระเหยออกไปกลายเป็นไอสีทองแทรกซึมเข้าในตัวของเอลล์และลุกซ์ ตราวงเวทค่อยๆ หมุนช้าลงเรื่อยๆ พร้อมกับตัวอักษรโบราณที่ปรากฎขึ้นในอากาศทีละตัวและกลายเป็นไอสีแปลกตาแทรกซึมเข้าไปในตัวทั้งเอลล์และลุกซ์
   ความรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิดนั้นได้คุกคามทั้งเอลล์และลุกซ์เพราะความรู้ที่ได้รับมาอย่างกะทันหันของทั้งสองฝ่าย เอลล์และลุกซ์พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่เผลอร้องออกมาเพราะความรู้สึกที่เหมือนกับมีคนเอาอะไรมาทุบหัว
   
เอลล์ที่พอกดความรู้สึกเจ็บปวดทางร่างกายได้หันมาสนใจความรู้ที่ได้รับมา เอลล์เบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพบางอย่างที่ดูมีสีสันต่างจากเดิมที่มีเพียงสีดำน้ำหมึก
   
สีสันแปลกตากับสิ่งแปลกๆ ที่เอลล์ไม่รู้จักสักอย่างเดียว เอลล์เผลอน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ตนเห็นอยู่คือท้องฟ้าต้นไม้สิ่งต่างๆ ที่เคยใฝ่ฝันอยากรู้รูปลักษณ์ของมัน ที่เอลล์สามารถรู้ได้เพราะความรู้ของลุกซ์ที่แวบเข้ามาในหัวคอยอธิบายสิ่งต่างๆ ซึ่งเสียงของลุกซ์นั่นอ่อนโยนมากด้วย
   
ลุกซ์กัดฟันแน่นรับความรู้แปลกๆ ของเอลล์ที่ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะเป็นเสียงซะมากกว่า เพราะส่วนใหญ่นั้นจะเป็นสีดำสนิทดูอ้างว้าง ลุกซ์เหลือบไปมองเจ้าของความรู้ก็ต้องสะดุ้งเพราะเอลล์ร้องไห้อีกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ลุกซ์กำลังจะดึงอีกฝ่ายเข้ามาสวมกอดแต่พบว่าอีกฝ่ายมีรอยยิ้มจางบนใบหน้าจึงชะงักแขนไว้ก่อนและใช้มือเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้าออกให้ “ ร้องไห้ทำไมกัน เอลล์ ”
   
เอลล์ไม่ตอบเพียงแค่ยิ้มจางกุมมือลุกซ์หลวมๆ
   
คาร์บิลัสสูดหายใจลึกเมื่อวงเวทโบราณใกล้จะสลายไป เพราะมันสูบพลังเวทของคาร์บิลัสไปใช้ในการหล่อเลี้ยงสลับเปลี่ยนสลายความรู้อะไรต่อมิอะไรมากมายให้เอลล์และลุกซ์ โดยเมื่อมันใกล้สลายมันยิ่งดูเหมือนจะสูบพลังของคาร์บิลัสไปมากกว่าปกติ
   
ฟาร์คัสจ้องคาร์บิลัสด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าคร่ำเคร่งผิดวิสัยของคาร์บิลัส “ เจ้าไหวรึเปล่า ? คาร์บิลัส ”
   
คาร์บิลัสยิ้มตอบ “ แค่นี้ไม่ถึงครึ่งของครึ่งข้าด้วยซ้ำ ” และยืดอกเชิงอวด
   
ฟาร์คัสถอนหายใจเซ็งๆ
   
ส่วนดัฟฟ์ก็ร้องไห้โฮ ออกมาอีกครั้งเมื่อไม่มีใครสนใจ ( อีกแล้ว )
   
เมเออร์ไม่ได้พูดอะไรกับพิธีกรรมตรงหน้ายืนตัวแข็งวางตัวไม่ถูก ทำให้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในพิธีตั้งแต่ต้นจนจบ
   
สรุปได้ว่าการกรีดเลือดสาบานและแลกเปลี่ยนความรู้นั้นประสบผลสำเร็จไปได้ด้วยดี
   
โดยมีกองผลไม้อะไรต่อมิอะไรวางเต็มไปหมดตามบริเวณโดยรอบที่พวกสัตว์นำมาให้เอลล์เพื่อเป็นการร่วมยินดี
   
“ ต่อไปเป็นการร่ายเวทถอนคำสาป ” เมเออร์พูดขึ้นมาสั้นๆ โยนแหวนที่สวมติดตัวอยู่เสมอให้ลุกซ์
   
--------------------

ที่เห็นเป็นเพียงภาพความทรงจำของลุกซ์อะไรทำนองนั้นค่ะ   :mc4:

เริ่มมีหวังแล้วเอลล์ !  :mc4:

 :กอด1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์น้าา
   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 19 7 ก.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 07-07-2015 23:02:02
หลังถอนคำสาปงานช้างคงเกิด

ตอนนี้ขำคาร์บิลัสมากกกก แอบสงสารนิดๆที่ฟาร์คัสไม่ใยดีเลย


T T
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 19 7 ก.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Rambluesky ที่ 08-07-2015 20:37:15
สงสารคาร์บิลัส 55555  :laugh:

รออ่านต่อนะครับ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 19 7 ก.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 11-07-2015 08:50:14
คาบี้.....น่าสงสาร ฮืออออ ป.ล กลับไปอ่านตอนฟาคัสความจำเสื่อม  5555 :bye2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 19 7 ก.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 16-07-2015 12:36:58
ฆ่าบี้ลัส  นี่จริงๆเลยยยย  5555
 มาต่อได้แล้ว
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 20 18 ก.ค 58 50 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 18-07-2015 17:15:28
-- ตอนที่ 20  --

   ลุกซ์รับแหวนที่โยนมาได้อย่างแม่นยำซึ่งแหวนทันทีที่อยู่ในมือลุกซ์ก็ทอประกายแสงสว่างออกมาและค่อยๆ กลายเป็นคัมภีร์เก่าๆ ที่มีไม้เลื้อยพันรอบอยู่ ลุกซ์หยิบมีดอันเดิมที่ใช้กรีดข้อมือมากรีดนิ้วจนเลือดหยดลงบนคัมภีร์
   
ไม้เลื้อยที่พันขดไว้ค่อยๆ สลายกลายเป็นฝุ่นจนหมด ลุกซ์ใช้มือปัดฝุ่นที่ว่าออกแล้วเปิดดูด้านในอย่างระมัดระวังเพราะสภาพที่ไม่น่าทนมือทนเท้าสักเท่าไหร่ของหนังสือ
   
ลุกซ์ขมวดคิ้วแน่นเมื่อพบว่าหน้าแรกไม่มีอะไรเขียนอยู่เลยนอกจากสีเหลืองซีดของหน้ากระดาษ ลุกซ์พลิกหน้าไปเรื่อยๆ เพื่อหาเวทอะไรสักอย่างนั่นที่ใช้ถอนคำสาปเอลล์
   
แต่เมื่อหาไปก็ยังไม่เจออยู่ดี
   
ซึ่งจำนวนหน้ามันก็ไม่น้อยเลยทีเดียว
   
หน้าของลุกซ์เริ่มบูดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนหน้าที่มากขึ้นแต่ไม่พบอะไร

   “ หน้าสุดท้าย ” เมเออร์พูดเสียงเบา
   
“ แล้วทำไมท่านถึงไม่เขียนไว้หน้าแรกล่ะ ! ” ลุกซ์แทบคำรามใส่พลิกหนังสือไปหน้าสุดท้ายทันที
   
เมเออร์ไม่แสดงสีหน้าอะไรขณะที่พูด “ ข้าบันทึกผิดด้าน ”
   
ลุกซ์ไม่สนใจสิ่งที่เมเออร์พูดนั่งพิจารณาประโยคที่ไม่สั้นไม่ยาวแต่แต่ละตัวอักษรนั้นทรงอำนาจพอที่จะทำลายคำสาปที่สามารถสาปผู้ที่เป็นราชาแห่งภูต
   
ตัวอักษรแปลกๆ ที่ดูอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยอำนาจที่ยากจะหยั่งถึง

   ภาษาภูตโบราณ..
   
ถ้าหากไม่มีการแลกเปลี่ยนความรู้กับเอลล์ ข้าคงไม่มีปัญญาอ่านนี้แน่ๆ ลุกซ์จับหนังสือขึ้นมาอย่างเบามือตั้งสมาธิกับสิ่งที่กำลังจะเอ่ย
   
ข้าไม่รู้ว่าเอลล์สามารถอ่านภาษาภูตโบราณได้ยังไงทั้งๆ ที่ตาบอด
   
แต่คงลำบากมากแน่ๆ
   
“ แสงสว่าง เป็นสิ่งนำพาออกจากความดำมืดของจิตใจ ” ลุกซ์เว้นจังหวะช่วงสูดหายใจเข้าลึก “ ความมืด เป็นสิ่งที่มอมเมาผู้หลง
ผิดให้ดำดิ่งลงในความโสมม สองสิ่งนี้ล้วนเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ข้าผู้มีสายเลือดแห่งราชา ” ลุกซ์หยุดพิจารณาตัวอักษรเล็กๆ แล้วจึงพูดต่อ “ ข้าขอเลือกใช้แสงสว่างเพื่อถอนคำสาปจากความโสมมของผู้สาปด้วยเถิด ! ”
   
คัมภีร์แตกกระจายกลายเป็นฝุ่นทันทีและมันพุ่งเข้าไปยังร่างของเอลล์ ฝุ่นของคัมภีร์ทอประกายสีขาวแสบตาออกมาพร้อมๆ กับ

ดวงตาของเอลล์ที่ส่งแสงที่ดำทมิฬเรืองๆ ฝุ่นนั้นพุ่งเข้าไปในดวงตาของเอลล์พยายามกลืนแสงสีดำ แต่แสงสีดำนั้นก็ไม่ได้ยอมเช่นกันพยายามต่อต้านเอาไว้
   
เอลล์กัดฟันกุมดวงตาทั้งสองข้างไว้แน่นเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดยากจะบรรยาย
   
แต่ถ้าข้าหายเจ็บจากอาการนี้
   
ข้าก็จะมองเห็นสินะ !
   
เอลล์ยิ้มบางอย่างยินดี
   
กว้ากก
   
ฟาร์คัสเลิกคิ้วสูงดวงตาทอประกายเย็นเยียบ สิ่งที่ปรากฎตัวบนท้องฟ้าเป็นนกต่างๆ จำนวนมากมันบินหมุนวนไปมาเป็นฝูงก่อนที่กระจายไปทั่ว แต่กลับเป็นตัวหนึ่งที่ถลาบินลงมายืนบนพื้น
   
นกบอกลาง..
   
ฟาร์คัสตัวสั่นเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเลือกจะละทิ้งมา
   
ดวงตาของนกที่บินมาเกาะข้างล่างส่อแววอ่อนโยนก่อนที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์ ผมสีขาวปลายสีน้ำตาลที่มักจะถูกจัดทรงให้เรียบร้อยกับดวงตาเฉียบคมสีน้ำตาล
   
โรซ์เวล ฟาร์คัสครางชื่อในใจแต่ยังคงท่าทีเตรียมสู้ไว้ถ้าหากอีกฝ่ายจะโจมตี
   
“ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ฟาร์คัส ” โรซ์เวลยิ้มบางทักทายทำให้ใบหน้าเดิมที่ดูอ่อนโยนยิ่งอ่อนโยนมากขึ้นไปอีก
   
“ อืม ” ฟาร์คัสรับคำส่งๆ “ มีธุระอะไรกับข้า ”
   
โรซ์เวลหัวเราะเบาๆ กับความเย็นชาที่ได้รับ “ ไม่ว่าใครก็ตามว่าร้ายเจ้า แต่ข้าก็เชื่อว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าพ่อของตัวเองหรอกนะ ฟาร์คัส.. ข้ารู้จักเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิด ”
   
ท่าทีของฟาร์คัสอ่อนลง “ ช่างมันเถอะ ข้าละทิ้งมันไปแล้ว อย่าไปรื้อฟื้นมันขึ้นมาเลย ”
   
“ เอาเถอะ ถ้าเจ้าไม่อยากฟังข้าจะไม่พูดเรื่องนี้ แต่มีอีกเรื่องที่ข้าอยากให้เจ้ารับรู้ไว้ ” โรซ์เวลเหลือบมองราชาปีศาจข้างๆ
ฟาร์คัสแต่ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา “ เซอร์เคน ทอริค บาร์ลิน หายตัวไปอย่างลึกลับรวมถึงพวกที่สนับสนุนทอริคด้วย ทุกคนหายไปจนหมด ทำให้ตอนนี้ตำแหน่งราชาแห่งนกบอกลางยังว่างอยู่ ”
   
ฟาร์คัสหันขวับไปมองคาร์บิลัสทันที
   
คาร์บิลัสทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ 
   
โรซ์เวลยิ้มบางกับท่าทีของทั้งสองฝ่าย “ เดี๋ยวข้าต้องไปทำหน้าที่ต่อแล้วล่ะ อู้นานกว่านี้ เดี๋ยวข้าจะถูกคนอื่นๆ หักปีกเอา ” เมื่อพูดจบโรซ์เวลก็กลับกลายร่างกลายเป็นเหยี่ยวเช่นเดิมและโผบินไปยังท้องฟ้า
   
ฟาร์คัสจับอะไรบางอย่างในคำพูดของโรซ์เวลได้ถึงกับสะดุ้ง
   
สิ่งที่เขาปฏิบัติทำมาตลอด
   
การส่งสารความตาย !
   
ตูมมมมมมมมม !
   
เสียงระเบิดกัมปนาทดังขึ้นและเสียงอื่นๆ ดังตามกันมาเป็นทอดๆ  เสียงแต่ละเสียงล้วนบ่งชี้ให้เห็นว่ามีพลังมหาศาลทำลายอะไรสักอย่างอยู่
   
หลังจากผ่านความเจ็บปวดยากจะบรรยายเอลล์ลองลืมตาขึ้นมา
   
พร้อมๆ กับร่างของเมเออร์ที่กระอักเลือดออกมาจนล้มไปกองบนพื้น
   
รวมถึงกำแพงไม้เลื้อยยักษ์ด้านหลังที่เริ่มพังทลาย
   
สามสิ่งนี้เกิดขึ้นแทบจะพร้อมกัน
   
สีสันต่างๆ ที่ดูแปลกตาเดิมทีอยู่เพียงแค่ในความทรงจำของลุกซ์ที่ข้าเพื่งได้รับมา ตอนนี้กลับมองเห็นได้ชัดเจนด้วยดวงตาของข้า
   
ข้ามองเห็นแล้ว !
   
เอลล์น้ำตารื้นด้วยความดีใจ “ ข้ามองเห็นแล้ว ลุกซ์ ! ”
   
ลุกซ์ยิ้มกว้างโผเข้ากอดเอลล์จับจ้องดวงตาที่กำลังทอประกายความชีวิตชีวากว่าทุกครั้งที่ตนเคยเห็น
   
ฟาร์คัสถลาเข้าไปหาเมเออร์เมื่อพบว่าอีกฝ่ายเอามือกุมอกกระอักเลือดออกมา “ เกิดอะไรขึ้น  ”
   
เมเออร์ปัดมือที่ยื่นมาของฟาร์คัสออกอย่างไม่ไยดีและยืนเหยียดตรงอย่างหยิ่งทระนง เมเออร์เช็ดเลือดออกจากริมฝีปากตัวเอง “ มีอะไรบางอย่างทำลายกำแพงไม้เลื้อย ”
   
โฮกกกกกก
   
เสียงกู่ร้องของบางสิ่งที่ดังสนั่นจนพื้นดินแดนภูตถึงกับสั่นสะเทือน
   
เอลล์สะดุ้งโหยงมองหันไปมาอย่างตื่นตกใจ
   
ฟาร์คัสหันไปมองคาร์บิลัสที่ดูไม่ตื่นตกใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งยังดูเหมือนว่าคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้น “ เจ้ารู้อยู่แล้ว ? ”
   
คาร์บิลัสเมื่อรู้สึกถึงสายตาของฟาร์คัสก็ยิ้มซื่อๆ ให้ “ รู้สิ แต่ก็แปปเดียวเท่านั้นเอง ”
   
ฟาร์คัสขมวดคิ้วแน่น “ แล้วอะไรที่ทำลายกำแพงภูตอยู่ ”
   
รอยยิ้มจางหายไปจากคาร์บิลัส “ อสูร ”
   
ฟาร์คัสถึงกับพูดอะไรไม่ออก
   
อสูร.. ขึ้นชื่อด้านพละกำลังมหาศาลกับเวทมนตร์โจมตีถึงบางทีจะโง่เง่าไปบ้างแต่ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเข้าไปข้องเกี่ยวดีที่สุด เดิมทีอสูรนั้นมีดินแดนอาศัยอยู่แต่กลับชอบไปไล่ทำลายดินแดนอื่นเพื่อเพิ่มอาณาเขตของดินแดน ในครั้งสุดท้ายถูกดินแดนลึกลับเข้าโจมตีจนแตกพ่ายทั้งดินแดน ทำให้ตอนนี้อสูรเร่ร่อนอยู่ไปทั่วจนระบุถิ่นที่อยู่ไม่ได้

“ สงครามกำลังจะเกิด !! ” เสียงตะโกนดังลั่นพร้อมกับการปรากฎตัวของร่างคุ้นตาในความทรงจำของเมเออร์
   บุคคลผู้ไม่รู้ที่มาแน่ชัด
   
นูร์..
   
“ ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าอย่าชะล่าใจไป เป็นยังไงล่ะ !! ถ้าหากเจ้าเอาวิญญาณของเจ้ามาให้ข้าแต่แรก ทุกอย่างมันจะไม่เป็นแบบนี้ !! ” นูร์คำรามออกมาเสียงดังลั่นดวงตาขึ้นสีแดงก่ำบรรยากาศโดยรอบมีเสียงหวีดหวิวเหมือนเสียงกรีดร้องดอกไม้ต้นหญ้าแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว
   
เมเออร์เผลอก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว
   
“ เจ้าได้ยินไหม เมเออร์ ! เอาวิญญาณเจ้ามา !! ” นูร์ตะคอกเสียงดังลั่น
   
คาร์บิลัสสบมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ยินดียินร้ายอะไร

มันไม่ใช่เรื่องของข้ารวมถึงส่งผลต่อดินแดนข้าด้วย การช่วยเหลือผู้อื่นเดิมทีไม่ใช่นิยามของราชาปีศาจ คาร์บิลัสเหลือบไปมองฟาร์คัสเชิงว่าจะเอายังไง
   
ฟาร์คัสพยักหน้าเบาๆ เข้าใจสิ่งที่คาร์บิลัสต้องการจะสื่อ
   
ต้องช่วยสิ ราชาภูตคนนี้โดดเดี่ยวมานานเกินพอแล้ว

   -------------------------

  :z10: # คลานหลบคนอ่าน ขอโทษค่ะะะ  :hao5: อัพช้ามากเลย

ช่วงนี้หวัดระบาดเป็นๆ หายๆ มาหลายวันแล้ว พอจะแต่งบางทีก็ไข้ขึ้นเลยรีบนอนไวไปโดยปริยาย

 :mew1: ขอบคุณทุกยังติดตามกันน้า
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 20 18 ก.ค 58 50%
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 18-07-2015 21:59:27
โอ้ยตื่นเต้นง่าาาาาา
ปริศนาเยอะเหลือเกิ้น

เข้ามาสงสารนังคาร์บีลัสตามเคย :mew2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 20 18 ก.ค 58 50%
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-07-2015 22:23:51
ตอนแรกตกใจ นึกว่าถ้าเอลมองเห็นพ่อจะตายซะอีก
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 20 18 ก.ค 58 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 19-07-2015 22:43:12
“ โอ๊ย ทำไมเดี๋ยวนี้นกบอกลางมีแต่พวกไม่น่าสนใจฟะ ” วารันหน้ามุ่ยเมื่อบอกภารกิจให้นกตัวล่าสุดเสร็จซึ่งก็เป็นนกระดับขนนกทองที่ชื่ออะไรสักอย่างที่เจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจที่จะจำ
   
โซแวนยื่นแก้วชานมให้วารัน
   
“ ดีนะ ที่อย่างข้าก็มีเจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนแก้เบื่อบ้าง  ” แล้วก็หันไปยิ้มกว้างให้กับโซแวน วารันรับชานมที่เพิ่งสั่งให้โซแวนไปซื้อให้มาดื่มอย่างสบายใจ

   “ อืม ” โซแวนตอบส่งๆ

“ อะไรกัน นี่เจ้าเมินคำชมข้างั้นเหรอ ! โซแวน ” วารันชึ้หน้าโซแวนอย่างไม่จริงจังนัก
   
“ ต้องการให้ข้าตอบว่าอะไรล่ะ ? วารัน ” โซแวนขมวดคิ้วเซ็งๆ พลางเดินหนีไปอีกทางในมือเรียกเคียวคู่ใจออกมาเตรียมจะไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
   
วารันลุกพรวดออกจากเก้าอี้ตัวนุ่มกระโจนไปเกาะโซแวน “ โซแวน ! ข้าว่าเวลาว่างของพวกเราออกจะเยอะนะ ! ”
   
โซแวนถอนหายใจและมองวารันเซ็งๆ “ ผู้ควบคุมการเวลาหายไป 1 คน แล้วเจ้าคิดว่าใครล่ะจะมาทำหน้าที่แทนเจ้าไปชั่วคราว ”
   
วารันยิ้มแหยๆ “ น่า งานของพวกเรามันก็แค่ดูนู่นนี่นั้นเล่นๆ เอง ”
   
โซแวนไม่พูดอะไรพยายามแงะมือเหนียวๆ ของวารันออก
   
ความจริง
   
งานที่ว่าก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น
   
หากข้ายังอยู่ก็มีแต่โดนวารันปั่นหัวไปทั้งวัน
   
ข้าไม่เคยทันอีกฝ่ายเลยจริงๆ
   
“ อย่าทำเหมือนกับว่ามือของข้าเป็นของสแลงสิ มือของข้าออกจะนุ่มนิ่มน่าจับ ” วารันยอมปล่อยมือออกจากเอวของโซแวนและยืนเหยียดตรงใช้ดวงตาสีอำพันขี้เล่นของตัวเองจับจ้องที่หน้าของอีกฝ่าย “ ช่วงนี้เหมือนเจ้าแปลกไปนะ มีอะไรหรือเปล่า ? ”   
   
“ ไม่มี ” โซแวนตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด
   
วารันยิ้มบางเมื่อเห็นโซแวนไม่สบตาตนขณะที่พูด
   
ทำไมข้าจะไม่รู้ล่ะ
   
ว่าทำไมโซแวนถึงได้ทำอะไรให้ข้ามากมายขนาดนี้กัน
   
ทั้งๆ ที่เพื่อนกันคงไม่ทำให้กันขนาดนี้
   
โดนใช้ทำนู่นนี่จิปาถะอย่างกับทาส
   
แต่กลับไม่ปริปากบ่นสักคำ
   
“ เจ้างอนอะไรข้าอยู่หรือเปล่า ? ”
   
โซแวนหันกลับมามองวารันด้วยสายตาเย็นชา “ ข้าไม่ใช่ผู้หญิง ”
   
“ งั้นเจ้าเป็นอะไรไปล่ะ ” วารันเริ่มจะหงุดหงิด
   
“ ไม่ได้เป็น ”
   
“ นี่แหละ ที่เขาเรียกว่าเป็น ” วารันหน้ามุ่ย
   
โซแวนถอนหายใจเซ็งๆ “ ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เจ้าต้องการให้ข้าเป็นอะไรล่ะ วารัน ”
   
การโดนปั่นหัวทั้งวันไม่ใช่เรื่องสนุก
   
เหมือนกับข้าเป็นแมวเป็นไล่จับหนูอะไรแบบนั้น
   
หนูที่หลบหลีกเก่งชอบหลอกให้แมวพลาดท่าจนเจ็บตัวบ่อยๆ
   
วารันตีหน้าเศร้า “ เจ้าโกรธเรื่องเมื่อวานที่ข้าบอกว่าชอบเจ้าเหรอ ”
   
โซแวนแค่นเสียงขึ้นจมูกไม่ตอบอะไรวารัน
   
หน้าวารันกลับมาสดใสทันที “ ข้าเดาถูกแฮะ ถ้าครั้งนี้ข้าบอกว่ารักเจ้ามากล่ะ เจ้าจะเชื่อข้าไหม โซแวน ”
   
“ อย่าพูดเรื่องนี้อีก ถ้าเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ ” โซแวนพูดด้วยสีหน้าเย็นชาเดินหนีวารันตวัดเคียวใส่อากาศ
   
วารันถึงกับหน้าเสีย
   
แย่แล้ว
   
โซแวนโกรธข้าแล้ว !
   
ดูเหมือนว่าข้าจะแกล้งอีกฝ่ายแรงเกินไปแล้ว
   
วารันรีบวิ่งไปหาโซแวนและดึงชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ “ โซแวน อย่าโกรธข้าเลยนะ ”
   
โซแวนไม่สนใจวารันปัดมืออีกฝ่ายออก
   
ได้ !
   
ถ้าหากเจ้างอนข้า
   
ข้าง้อก็ได้
   
วารันตัดสินใจโน้มคอโซแวนลงมาแล้วประทับจูบเบาๆ บนริมฝีปากของอีกฝ่ายและพูดเสียงเบา “ ข้ารักเจ้านะ โซแวน ” พูดจบวารันก็ผละออกมา
   
โซแวนถึงกับตัวแข็งไปทันใด ใบหน้าหล่อเหลาของโซแวนขึ้นสีแดงก่ำอย่างผิดวิสัย
   
แววตาของโซแวนแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่า ไม่เชื่อในสิ่งที่วารันพูดแม้แต่น้อย
   
แต่จูบเมื่อกี้กลับกลบความรู้สึกทุกอย่างไปจนหมด
   
ต้องการมากกว่านี้..
   
คำๆ นี้กระจ่างชัดในใจโซแวน
   
แต่เชื่อได้จริงงั้นเหรอ ? กับคำพูดของอีกฝ่าย
   
วารันยิ้มกับท่าทางของโซแวน
   
น่ารักชะมัด
   
แค่ถูกข้าจูบนิดหน่อยยังหน้าแดงเลย
   
แต่มันก็แค่นี้
   
เพราะถ้าหากมากกว่านี้ข้าก็อายเป็นเหมือนกันนะ
   
“ เจ้าโกหกข้าอีกแล้วใช่ไหม วารัน ตอบมาตามตรง ” ใบหน้าขึ้นสีของโซแวนกลับมานิ่งเฉยได้อย่างรวดเร็วราวกับเมื่อกี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
   
วารันถอนหายใจเฮือก
   
ทีตอนข้าพูดความจริงเจ้าดันไม่เชื่อข้าอีก
   
ข้าไม่ทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะตามนิทานของมนุษย์เลย
   
ดูสิเจ้าหมาป่าโซแวนไม่ยอมเชื่อข้า
   
“ เจ้าก็รู้นี่ โซแวน ข้าเป็นพวกขี้แกล้ง ชอบหลอกเจ้าทำนู่นนี่ ” วารันหน้ามุ่ย “ แต่เมื่อกี้ข้าพูดจริงๆ นะ ”
   
“ ข้าควรเชื่อเจ้า ? ”
   
“ ใช่ ” วารันตอบ
   
"เจ้าโกหกข้าอีกแล้ว ” โซแวนถอนหายใจเหนื่อยๆ แววตาทอประกายเหนื่อยอ่อน “ ข้าคงไม่มาหาเจ้าสักพักนะ วารัน ”
   
เดี๋ยว ๆๆ
   
นี่เจ้าเข้าใจคำที่ข้าพูดบ้างหรือเปล่าวะ
   
วารันรู้สึกเซ็งสุดขีด อะไรกัน ขนาดพูดความจริงยังไม่เชื่อข้าอีกนะ โซแวน “ ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อข้าล่ะ ”
   
“ เจ้าชอบโกหกข้า ” โซแวนตอบหน้าตาย “ เมื่อวานเจ้าบอกว่าชอบข้าแล้วเจ้าก็มาบอกทีหลังว่าพูดเล่น ”
   
“ เจ้าอย่าสนใจเรื่องเล็กน้อยสิ เราควรจะอยู่กับปัจจุบันนะโซแวน ”
   
“ อดีตมีไว้ให้ศีกษา ”
   
วารันเริ่มทนไม่ไหว “ โอ๊ยยย ทำไมเจ้าไม่เชื่อข้า ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว ว่าเจ้าชอบข้า ! แต่ข้าก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เพราะมันสนุกดีที่ได้ปั่นหัวเจ้าเล่น เจ้าไม่ได้สังเกตรึยังไง นอกจากเจ้าแล้วข้าก็ไม่เคยให้คนอื่นมาที่นี้ มีเหตุผลอะไรที่ข้าอยากให้เจ้ามาหาข้าบ่อยๆ ก็ข้าชอบเจ้าไงล่ะ ไอ้โง่โซแวน ! ”
   
เป็นครั้งแรกที่คนด่าข้าว่าไอ้โง่...
   
โซแวนคิดเรียบๆ แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำลามถึงลำคอเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายรู้ว่าตนแอบชอบมาตั้งแต่แรกรวมถึงรู้ว่าวารันนั้นก็คิดเหมือนกัน
   
ทั้งๆ ที่ไม่เคยคาดหวังแท้ๆ
   
โซแวนดึงวารันเข้ามากอดแน่น
   
“ นี่เจ้าจะฆ่าข้ารึไงวะ ! โซแวน ข้าหายใจไม่ออกกก ” เสียงที่ออกมาฟังดูอู้อี้เพราะใบหน้าจมอยู่กับตัวโซแวน โซแวนยอมปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมกอด ผมสีเหลืองอ่อนของเจ้าตัวดูยุ่งเหยิงกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเมื่อถูกโซแวนใช้มืออีกข้างขยี้แรงๆ
   
“ หุบปากไป แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำถ้าเทียบกับสิ่งที่เจ้าหลอกข้า ” ทั้งๆ ที่ประโยคฟังดูรุนแรงแต่น้ำเสียงของโซแวนกลับแฝงไปด้วยความนุ่มนวล
   
“ ก็คนมันยอมให้ข้าหลอกเองนี่หว่า ช่วยไม่ได้ ” วารันพูดต่อ
   
“ ช่วยไม่ได้ เจ้าหลอกให้ข้ารักเอง ” โซแวนยิ้มจางๆ แววตาทอประกายความดีใจอย่างเห็นได้ชัด
   
“ หุบปากไป ” วารันหน้าขึ้นสีทำเสียงขึงขังเดินกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
   
โซแวนก้าวขาตามอีกฝ่ายไปทันที

-----------

TBC  :katai2-1:

ขั้นความวุ่นวายด้วยคู่วารันค่ะ หายไปนานคิดถึง

 :L2: ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ
   
   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 20 19 ก.ค 58 100%
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-07-2015 22:58:48
วารันดูซนจริงๆ ต้องให้โซแวนจัดหนักแล้วหล่ะแบบนี้ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 20 19 ก.ค 58 100%
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 19-07-2015 23:05:29
ดินแดนเอลฟ์ยังวุ่นวายอยู่เลย orz

แต่ดีใจกับโซแวนด้วยที่รักสมหวัง  :กอด1:

แต่สงสัยอีกอย่าง พวกที่ปฎิวัติที่ดินแดนนกบอกลางหายไปไหนหมด ฝีมือคาร์บิลัส???
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 20 19 ก.ค 58 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 20-07-2015 14:07:01
เค้าอยากได้ฉาก บู้ววววววว!!!!! จะเอ๊าาาาาาาาาา อสูรไรหว่าาาาาา เป็นแนวไหนสปอยหน่อย นูร์หรอ.....งืมๆๆๆ....คงไม่ใช้ว่าอสูรรูปร่างเหมือนคนแล้วมาหลงฟาคัสน๊าา  :ling1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 20 19 ก.ค 58 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Rambluesky ที่ 21-07-2015 08:36:56
เริ่มบู๊แล้ว 555

รออ่านต่อนะครับ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 20 19 ก.ค 58 100%
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-07-2015 04:00:12
รวดเดียวจบ. มาต่ออีกน้าาาา

ตามด้วยคน
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 20 19 ก.ค 58 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 24-07-2015 04:02:00
กำลังเตรียมอารมณ์พี้อมบู๊เต็มที่ เลื่อนลงมาเจอฉากพ่อแง่แม่งอน กรี๊ดเลยค่ะ ปรับฟีลไม่ทัน ขออ่านสองรอบ 555

พวกอสูรนี่ฝีมือพวกกบฎนั่นหรือเปล่า? หรือว่าฆ่าบี้ลัสสั่งเก็บพวกนั้นไปแล้ว? แต่แบบ ฆ่าบี้ลัสจะยอมให้ฟาร์คัสกลับไปเหรอ เราว่ายากนะ (หรือเฮียแกจะหนีออกจากบ้านไปอยู่ด้วย 555555)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 20 19 ก.ค 58 100%
เริ่มหัวข้อโดย: BoolinMini ที่ 27-07-2015 15:34:29
คาร์บี้ช่างเป็นพระเอกที่น่าสงสารจีจี เป็นราชาที่ดูอเลิทชอบกล 555

ว่าแต่อสูรนี่มาได้ไง หวังว่าคงไม่มีใครอยู่เบื้องหลังหรอกนะ

มาต่อไวไวนะคะ พึ่งได้ตามมาอ่าน สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 21 30 ก.ค 58 80%
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 30-07-2015 23:10:40
ตอนที่ 21

   “ อสูร ! ไอ้พวกสัตว์อสูรมันอยู่ข้างนอก ”
   
“ หนีเร็ว ! ”
   
โฮกกกก
   
เสียงกรีดร้องของภูตที่หนีกันจ้าละหวั่นดังกลบเสียงงานเฉลิมฉลองของท่านราชาภูตที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกวัน สัตว์ต่างๆ ที่เดิมทีออกมาแสดงความยินดีต่างพากันเร้นกายหนีไปยังที่ซ่อนของมัน เพื่อหลบเลี่ยงสงครามที่กำลังจะเกิด
   
สิ่งที่สัตว์เหล่านี้สัมผัสได้นั้นคือจิตสังหารจำนวนมหาศาลจากภายนอก
   
สิ่งที่ปกป้องพวกมันไว้ใกล้จะพังเต็มทน
   
สิ่งที่ทำได้คือการหลบซ่อนเท่านั้น !
   
ในขณะที่ข้างล่างนั้นมีการหนีกันวุ่นวายบนต้นไม้สูงกลับมีอาคันตุกะสองคนที่มาเยือนแล้วไม่ยอมกลับดินแดนเช่นเดียวกับอาคันตุกะบางคนที่ยังอยู่ต่อแม้จะถูกการกระทำไร้มารยาทของทหารภูต
   
“ อสูรเนี่ยนะ มันยังอยู่อีกเหรอวะเนี่ย ” คนแคระร่างเล็กจิ้ปากเซ็งๆ ในมือโยนที่ขุดแร่สีสว่างทำจากอัญมณีเล่น
   
“ เออสิ เจ้าจำตอนที่เราไล่มันไม่ได้รึไงกัน ไอ้โง่มารัส ” ระหว่างที่เจ้าตัวพูดก็จิบเหล้าแดงหมักอย่างดีจากแอปเปิ้ล
   
“ ข้าจะไปรู้ไหมล่ะ ไอ้งั่งเกททิน ” มารัสหักกิ่งไม้ใกล้ตัวขว้างใส่เกททิน
   
เกททินกระโดดหลบได้อย่างคล่องแคล่วแม้ขาที่มีนั้นจะสั้นมากก็ตาม เกททินเป็นคนแคระเช่นเดียวกับมารัสแต่เกททินมีจมูกที่ยื่นยาวออกมายาวกว่ามารัส ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติของชาวคนแคระที่จะมีส่วนต่างๆ แปลกๆ อย่างหูที่ยาวผิดรูป ตาที่ไม่เท่ากันในแต่ละข้าง แต่อย่าดูถูกชาวคนแคระเหล่านี้เป็นอันขาด
   
พวกเขานับว่าเป็นอัจฉริยะด้านการขุดแร่เลยทีเดียวทำให้คนแคระนั่นร่ำรวยมากจากการขายอัญมณีต่างๆ แต่สิ่งอื่นพวกเขาก็โดดเด่นเช่นกันอย่างการใช้อาวุธก็รวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน เวทมนตร์ประหลาดที่สาปออกมาได้ผลแปลกๆ
   
มารัสจิ้ปากและปรับหมวกของตัวเองให้เข้าที่ “ หลบไวเป็นลิงเชียว ”

   “ เจ้ามันช้าเกินไปต่างหาก ”
   
ครืนนนน
   
เสียงการพังทลายดังสนั่นจนได้ยินทั่วบริเวณ ไม้เลื้อยที่เดิมทีสานต่อกันอย่างแน่นหนาตอนนี้บางช่วงกลับหักลงจนเปิดช่องว่างให้ศัตรูได้กล้ำกรายเข้ามา
   
“ ดูเหมือนว่าจะเยอะกว่าครั้งที่พวกเราเจออีก ” เกททินเอามือป้องตาตัวเองขณะที่ส่องศัตรู
   
“ กลัวอะไร ยังไงพวกเราก็เผ่นกันได้อยู่ดี ” มารัสยิ้มแล้วขว้างกิ่งไม้ไปปักหัวอสูรที่บุกรุกเข้ามาใกล้
   
เกททินยักไหล่“ ไม่ล่ะ เดินเล่นกันให้สนุกกันก่อนดีกว่า ” และกระโดดพรวดลงจากต้นไม้ไปเกาะบนหัวของอสูร
   โฮกก
   
อสูรส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรงเพิ่อให้สิ่งที่มาเกาะได้หลุดกระเด็นออกไปพร้อมกันนั้นมือที่เต็มไปด้วยเล็บก็พยายามคว้าเช่นเดียวกัน
   
อย่างที่รู้ เกททินเป็นคนแคระ
   
ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะจับเกททินได้
   
“ จะเขย่าทำไมนักหนา ข้ามึนหัว ” เกททินหยิบมีดผลึกแร่ออกมาท่องเวทเบาๆ จนมันเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกลายเป็นมีดแล้วปักเข้าที่หัวอสูรจนมิดด้าม มีดของเกททินนั้นแผ่ไอเวทสีดำจางออกมาทำให้อสูรคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม เพราะที่มันส่งไอเวทจางออกมาคือพิษและเวทที่เกททินอัดเข้าไป
   
เพียงเวลาชั่วครูอสูรก็เสียการทรงตัวแล้วล้มพบไปบนพื้น
   
ดวงตาเบิกค้างกว้างอย่างน่ากล้ว
   
เกททินไม่เป็นเพียงคนแคระธรรมดาที่สามารถขุดแร่ดีๆ ได้ แต่ยังเป็นคนแคระที่มีชื่อเสียงด้านการใช้พิษผสานเวททำให้ศัตรูเป็นอัมพาต ตาย หรืออะไรก็ตามที่เจ้าตัวต้องการ !
   
เคยมีหลายครั้งที่เกททินมักถูกชักชวนจากดินแดนอื่นเพื่อไปเป็นทหาร
   
ฝีมือการต่อสู้ที่คาดเดาไม่ได้และน้อยคนที่สามารถทำได้
   
นั่นแหละ คือ เกททิน
   
“ อะไรกัน เจ้าควรฆ่ามันได้ตั้งแต่กระโดดลงมาแล้วนะ ” มารัสเหน็บขณะที่ใช้ดาบที่สูงและหนักกว่าตัวเองเป็นสองเท่าฟันตัวอสูรจนขาดเป็นสองท่อน
   
มารัสก็เช่นกันที่ไม่ใช่เป็นคนแคระที่เอาแต่ขุดแร่หาเงิน
   
มารัสมีจุดเด่นเรื่องการใช้ดาบโจมตีศัตรูและพละกำลังมหาศาล
   
ดาบที่ใช้อยู่มารัสเป็นคนหลอมขึ้นมา มันสามารถป้องกันเวทมนตร์ได้เกือบทุกชนิด ถ้าหากศัตรูไม่ได้มีฝีมือเทียบเท่าระดับราชา
   
“ เจ้าก็เหมือนกัน ทำได้แค่ฟันมันเป็นสองท่อน ไม่มีศิลปะในการต่อสู้สักนิด ” เกททินก้าวขาออกจากอสูรปัดฝุ่นที่เกาะเสื้อคลุมตัวยาวสีทึบภายในเสื้อประกอบด้วยขวดยาพิษขวดเล็กจำนวนมหาศาลจนนอกจากเจ้าตัวก็คงไม่รู้ว่าเป็นพิษประเภทใดบ้าง “ รู้จักไหม เพลงดาบน่ะ ถ้าเจ้าไม่รู้จักก็ไปดูพวกมนุษย์งี่เง่าตีกันซะ ”
   
มารัสตวัดดาบใส่เกททินแทนเพลงดาบที่อีกฝ่ายเรียกร้อง “ ทำไมข้าต้องเอากระบวนท่าไร้สาระพวกนั้นที่มีดีแค่ความสวยงามมาใช้แทนการโจมตีที่ทรงพลังล่ะ ! "
   
เกททินไม่ได้หลบเพียงแค่เปลี่ยนผลึกแร่ให้กลายเป็นโล่ป้องกันตัวเอง “ นักกวีแต่งกวีเพื่อความสุนทรีย์ แล้วนักดาบอย่างเจ้ามันสุนทรีย์เป็นไหม นอกจากจะเตี้ยแล้วเจ้ายังไม่มีรสนิยมอีกนะ มารัส ”
   
“ พวกที่วันๆ เอาแต่ชื่นชมยาพิษของตัวเอง ก็ไม่มีสิทธิว่าคนอื่นเหมือนกัน ”

   “ ยาพิษของข้าไม่ดีตรงไหนกัน ? เจ้าดูไม่ออกงั้นเหรอถึงสีที่งดงามของมัน สีแดงเลือดที่ก้ำกึ่งระหว่างความตายกับการมีชีวิต สีเขียวที่ดู—”
   
“ หยุดๆๆ ข้าไม่อยากฟังเรื่องงี่เง่าแบบนี้ มันทำให้ข้ารู้สึกโง่กว่าพวกอสูรอีก ” มารัสทำหน้าขยะแขยง
   
เกททินรู้สึกไม่สบอารมณ์จึงหยิบขวดยาพิษปาเข้าใส่มารัส

   “ เดี๋ยว ! ข้าจำกลิ่นนี้ได้ ! ไอ้บ้าเกททินนน นี่เจ้าโยนยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดใส่ข้างั้นเหรอออ ” มารัสสะดุ้งรีบหลบไปอีกทางส่งผลให้อสูรที่วิ่งมาข้างหลังโดนเข้าเต็มๆ
   
โฮกกกกกกกกก
   
อสูรกรีดร้องเสียงดังสนั่นจนพื้นดินสะเทือนมันพยายามสลัดพิษที่ติดอยู่บนตัวออกหวังจะบรรเทาความเจ็บปวดที่ได้รับ ผิวหนังขรุขระของอสูรนั้นค่อยๆ ละลาย มันกรีดร้องออกมาอย่างขวัญเสีย
   
“ ดีนะที่ข้าหลบทัน ไม่งั้นคงสภาพเดียวกับอสูรนี่แหงๆ ” มารัสถอนหายใจอย่างโล่งอก
   
ครืนนนน
   
เสียงคล้ายเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายของกำแพงไม้เลื้อย
   
ก่อนที่มันจะพังลงมาจนหมด
   
“ เฮ้อ นี่เราต้องไปหลบกันบนต้นไม้อีกแล้วเหรอ ” เกททินบุ้ยหน้าเซ็งๆ

“ เออสิ จะอยู่ให้โดนเหยียบรึไงเล่า ”
   
เพราะหลังจากกำแพงถล่มลงมาชาวภูต สัตว์ หรืออะไรสักอย่างก็ต่างพากันวิ่งกันมาทางที่เกททินและมารัสยืนอยู่ ซึ่งจำนวนมันก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย
   
“ หรือเจ้าจะอยู่ตบอสูรเล่นล่ะ ” มารัสพูดอย่างกระตือรือร้น “ ดีไม่ดีถ้าช่วยฆ่าจนหมด อาจจะโดนตบรางวัลให้ก็ได้ ! ”
   
“ ตามนั้นนั่นแหละ ขืนขึ้นไปบนต้นไม้อีก ข้าคงได้กลายเป็นกิ้งก่าแน่ ”

   
สิ้นเสียงการพลังทลายของกำแพงไม้เลื้อย
   
เรียกให้นูร์ดูคุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม “ เอาวิญญาณเจ้ามา !! ”
   
เมเออร์มองกลับด้วยสายตาเย็นชาในมือถือธนูง้างเล็งไปที่นูร์ “ ทำไมกำแพงถึงได้พังทลายล่ะ นูร์ ”
   
กรอดดดด
   
ร่างของนูร์ค่อยๆ เปลี่ยนรูปจากมนุษย์กลายเป็นอะไรบางอย่าง
   
ปีกยักษ์สีดำที่เว้าแหว่งในบางส่วน
   
หางที่ยืดยาวออกมาจนน่ากลัว
   
นัยน์ตาหมุนริ้วสีแดงเลือด
   
ชุดคลุมกายสีดำทมิฬ
   
พร้อมกับเคียวอันยักษ์ในมือ
   
“ ยมทูต ? ” ฟาร์คัสพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด
   
คาร์บิลัสมองนูร์เซ็งๆ “ ชุดนั่นน่าเกลียดชะมัด ไร้รสนิยมสิ้นดี ”

   ดัฟฟ์เอียงคอ “ หิวง่ะ ”
   
“ คิดเหรอว่าข้าจะเอาวิญญาณของเจ้ามาแลกกับการยืดอายุของกำแพงที่ไม่รู้ว่าจะพังวันไหนแบบนี้เหรอ เมเออร์ ”
   เมเออร์กัดฟันกรอด “ นี่เจ้าผิดคำสัญญางั้นเหรอ ”
   
“ สัญญานั่นไม่มีมาแต่แรกแล้ว ” แววตานูร์ทอประกายความสะใจ “ สิ่งที่ข้าควรได้ก็คือวิญญาณของเจ้าเท่านั้น ! ”
   
ฉับพลันนูร์ได้พุ่งเข้าไปหาเมเออร์และตวัดเคียวใส่
   
เพื่อที่จะดึงวิญญาณอีกครึ่งที่เหลืออยู่มา
   
แต่ก่อนที่จะถึงตัวเมเออร์กลับถูกกั้นด้วยกำแพงสีทอง
   
“ คิดจะทำอะไรพ่อของข้ากัน ! ” เอลล์ตะหวาดกร้าว
   
ความยินดีที่ได้มองเห็นนั้นยังอยู่
   
แต่ว่าหลังจากได้สติคืนกลับมาทำให้เอลล์ตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้สำคัญกว่าการมองเห็นของตนมากนัก ยิ่งมีผู้ที่จะมาเอาชีวิตพ่อของตนอีก
   
ยมทูต..
   
นูร์แสยะยิ้มตวัดเคียวฟันกำแพงออกจากขาดสะบั้น “ บุตรแห่งสงคราม ขอบคุณที่เจ้าเกิดมาพร้อมกับตำนานงี่เง่านะ ”
   
“ พูดบ้าอะไรของเจ้า ! ” เอลล์ตะคอกใส่อย่างผิดวิสัยที่มักจะอ่อนโยน
   
“ ความคิดเป็นสิ่งที่ทำร้ายผู้อื่นได้พอๆ กับอาวุธเลยล่ะ ” นูร์หัวเราะเสียงแหบ
   
ฟู่
   
ลุกซ์กลายร่างกลับเป็นมังกรแล้วพ่นไฟลูกยักษ์ใส่นูร์
   
แต่นั่นก็ไม่สามารถทำอะไรได้กับผู้ที่มีฐานะเป็นถึงยมทูตอยู่ดี
   
“ แต่เพราะอย่างงี้แหละมันถึงจะสนุก การเล่นสนุกกับชีวิตคนอื่นมันสนุกกับการเล่นอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ ” นูร์ควงเคียวไปมาก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นเฉียบคม “ หมดเวลาสำหรับการคุยเล่น ข้าไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น ” และตวัดเคียวใส่ไปในทางเมเออร์อีกครั้งโดยไม่สนใจเอลล์ที่ยืนขวางใหญ่

   หลังจากการตวัดเคียวของนูร์เกิดแสงสีดำสนิทส่งแผ่กลิ่นอายน่าขนลุกสิ่งที่อยู่รอบตัวจู่ๆ กลับแห้งเหี่ยว
   
เมเออร์เตรียมจะหลบแต่กลับพบว่าถูกพันธนาการไว้ที่ขา “ นูร์ !! ” เมเออร์คำรามชื่อออกมาอย่างเคียดแค้น
   
เอลล์กระโดดเข้าไปหวังจะบังพ่อเอาไว้
   
“ หลบไปซะ ! เอลล์ ” เมเออร์ใช้กิ่งไม้กั้นเอลล์เอาไว้ “ ต่อให้ข้าตายมันก็ไม่ได้ส่งผลออะไรมาก ราชาอย่างเจ้าไม่สมควรตายเพราะเรื่องแค่นี้ ! ”
   
แสงสีดำนั่นใกล้เมเออร์ขึ้นทุกทีแม้จะถูกสกัดไว้ทั้งจากลูกไฟของลุกซ์กับเวททั้งของฟาร์คัสและคาร์บิลัสก็ไม่สามารถต้านทานได้
   
สถานะของยมทูตไม่ใช่สิ่งที่สามารถต่อกรได้ง่าย
   
ก็เหมือนกับผู้ควบคุมกาลเวลาที่มีพลังมหาศาล
   
เรียกได้ว่านอกจากพวกเดียวกันแล้ว
   
ก็ไม่มีสิ่งไหนสามารถสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้ออีกแล้ว
   
แต่ก่อนที่เมเออร์จะถูกแสงสีดำนั่นทำร้าย กลับมีเคียวอีกอันขึ้นมาขวางไว้ได้ทัน !  พลังทั้งสองอย่างนั้นหักล้างกันจนหายไป
   
และปรากฎร่างของผู้ที่โผล่เข้ามาช่วยเมเออร์
   
นูร์เบิกตากว้างดวงตาขึ้นสีแดงก่ำกว่าเดิม “ พาซ ! ”
   
พาซขยับยิ้ม “ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ” พร้อมหรี่ตาลง “ ยมทูตผู้ทำผิดกฎ ”
   
นูร์เค่นเสียงเสียงขึ้นจมูก “ ไอ้พวกโง่ที่ทำตามหน้าที่ไม่มีสิทธิมาว่าคนรักอิสระอย่างข้า ”
   
“ เจ้าเกิดมาเพื่อทำงานให้กับท่านผู้นั้นนูร์ ” พาซพูดเสียงเย็น ใบหน้าที่ถูกปิดคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำกำลังแสดงสีหน้าโกรธจัด “ พวกเราเป็นสิ่งที่โชคดีได้รับพลังมากกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ไม่มีความรู้สึกเจ็บหิวหรือเหนื่อย ความตายก็ถูกยับยั้งไว้ ท่านผู้นั้นยังประทานความรู้สึกนึกคิดให้เราอีก ! สิ่งที่เราควรทำคือทำตามที่ท่านต้องการไม่ใช่การทำตามใจตัวเอง นูร์ ”
   
“ นั่นละสิ่งที่น่าเบื่อ เจ้าเคยลองลิ้มรสวิญญาณรึยัง ? ข้าว่ามันรสชาติดีใช้ได้เลยล่ะ ”
   
พาซเบิกตากว้าง “ เจ้า  ! ”
   
“ หึหึ นอกจากรสชาติดีมันยังทำให้ข้าอยู่ต่อได้โดยไม่ตั้งไปรับพลังวิญญาณจากแท่นบ้าบอนั่นด้วย ”
   
การที่ยมทูตจะคงอยู่ได้นั้นมีข้อแม้เช่นกัน
   
คือทุก 1 เดือนต้องมีสักวันที่ต้องไปยืนบนแท่นปล่อยให้แสงจันทร์และแสงอาทิตย์อาบร่างกายหนึ่งคืนเพื่อปรับสมดุลร่างกายไม่ให้มีความมีความมืดหรือความสว่างในตัวมากกว่ากัน
   
“ เจ้าทำให้วิญญาณพวกนั้นแตกสลายไปโดยไม่ใช่เหตุ ” บรรยากาศรอบตัวพาซเริ่มทำให้อากาศรอบตัวกรีดร้อง ซึ่งนั่นก็รุนแรงกว่าของนูร์เสียอีก “ ถ้าเจ้ายอมถูกจับตัวดีๆ ข้าจะไม่ลงมือหนัก ”

   “ ตลกร้ายแล้ว พาซ ข้าไม่ใช่มนุษย์จิตใจโลเลหรอกนะ ” นูร์แสยะยิ้มควงเคียวเล่น
   
ถึงแม้จะวางท่า
   
แต่ในใจกลับตรงกันข้าม

ร่างกายของนูร์ตอนนี้ค่อนข้างย่ำแย่

ถึงได้รีบจะเอาวิญญาณของเมเออร์มาปรับสมดุลร่างกาย
   
“ แล้วเจ้ากับข้าจะได้เห็นดีกัน ! ” พาซตะหวาดกร้าวตวัดเคียวใส่นูร์ทุกสิ่งที่ขวางทางล้วนแล้วแต่สลายกลายเป็นผุยผงยกเว้นแต่สิ่งที่พาซยกเว้นไว้
   
สิ่งมีชีวิตนั่นเอง

--------------

ค้างไว้ก่อน  :katai5:

ความจริงตั้งใจจะแต่งให้จบตอนแต่ปวดท้องง่ะ กินโค้กตอนท้องว่าง # ไม่เคยเข็ดสักที 555

เลยนอนหนีปัญหาซะเลย ยงยาก็ไม่มี  :hao5:   


   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 21 30 ก.ค 58 80%
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 30-07-2015 23:26:34
ตะหวาด > ตวาด

**

ตอนนี้นี่ตัวละครมีเพิ่มเยอะเลย ว่าแต่ทำไมคนแคระถึงอยู่ในเมืองเอลฟ์??? หรือเผ่าพันธุ์ทั้งสองอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว??

(อยากจิ้นนูร์พาซจัง จะมีหวังไหมเนี่ย  :mew2:)


ปอลิงคุณ Foggy Time ต้องตุนยาไว้มั่งนะค้าา พวกแก้ท้องเสีย ยาหวัด ลดกรด ฯลฯ ไรงั้น

ป่วยแล้วไม่มียานี่มันลำบากจริงๆ เพราะถ้าอยู่คนเดียวจะขยับตัวก็ลำบากเวลาป่วย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 21 30 ก.ค 58 80%
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-07-2015 10:52:07
ดัฟฟ์เอ้ยยยยยย เค้าสู้กันอยู่ รู้ไหมลูก 5555555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 21 31 ก.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 31-07-2015 23:37:25
--  :katai2-1: --

ถึงได้รีบจะเอาวิญญาณของเมเออร์มาปรับสมดุลร่างกาย
   
“ แล้วเจ้ากับข้าจะได้เห็นดีกัน ! ” พาซตวาดกร้าวตวัดเคียวใส่นูร์ทุกสิ่งที่ขวางทางล้วนแล้วแต่สลายกลายเป็นผุยผงยกเว้นแต่สิ่งที่พาซยกเว้นไว้
   
สิ่งมีชีวิตนั่นเอง
   
ก่อนที่คมเคียวจะมาถึงนูร์
   
นูร์ก็พบว่าตนเองได้หมดทางหนีเสียแล้ว
   
ทั้งราชาภูต มังกรไฟ ราชาปีศาจ ต่างขัดขวาง
   
หากช้าไปเพียงนิดอาจจะถูกสะบั้นวิญญาณเอาได้
   
นูร์เบิกตากว้าง “ หยุดเถอะๆ ข้ายอมแล้ว ” และยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
   
พาซแสยะยิ้มดีดนิ้วให้พลังที่ส่งไปนั้นหายไป “ คิดว่าจะแน่ ” แล้วเสกกุญแจมือที่แผ่ไอสีดำกรุ่นออกมา
   
นูร์แสร้งก้มหน้านิ่ง
   
และนั่นก็สะกิดให้ฟาร์คัสรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
   
“ มันกำลังจะหนีไปแล้ว ! ” วงเวทถูกแอบร่ายปรากฎสีจางอยู่บนพื้นถ้าหากไม่พิจารณาดีๆ คงไม่มีทางสังเกตเห็น
   
นูร์หัวเราะสั้นๆ “ เก่งดีนี่ อีกา วิญญาณของเจ้าก็คงไม่เลวเหมือนกันสินะ ” ใช้เวลาช่วงที่ทุกคนเผลอตวัดเคียวดึงวิญญาณฟาร์คัสออกมา
   
ฟาร์คัสทรุดฮวบไปบนพื้นทันที
   
คาร์บิลัสคำรามออกมาเสียงดังลั่นดวงตาขึ้นสีแดงก่ำ “ เจ้า !! ” แล้วกระโจนเข้าใส่นูร์
   
นูร์ยิ้มและปล่อยให้ตัวเองจมลงไปในวงเวทที่ร่ายไว้บนพื้นก่อนที่คาร์บิลัสจะมาถึงตัว
   
คาร์บิลัสร่ายเวทขึ้นมาอย่างรวดเร็วถล่มเข้าตรงที่นูร์หายไป
   
จนเกิดเป็นรูขนาดยักษ์บนพื้น
   
รอบตัวคาร์บิลัสเริ่มแปรเปลี่ยนบรรยากาศน่าขนลุกลุกลามไปทั่ว ทำให้หายใจได้ลำบาก สัตว์น้อยใหญ่เดิมที่หลบซ่อนอยู่บริเวณใกล้ๆ ต่างพากันหนีจาก
   
คาร์บิลัสยิ้มจางสติที่มีเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง
   
ดาบคู่ใจของคาร์บิลัสปรากฎขึ้นในมือเตรียมจะอาละวาดเพื่อทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
   
แววตาที่มักจะปรากฎความร่าเริงเมื่ออยู่กับฟาร์คัสได้หายไปแล้ว
   
และถูกแทนที่ด้วยความโกรธจัดแทน
   
“ มีวิธีตามไอ้ยมทูตเมื่อกี้ไปไหม ? ”
   
พาซยิ้มเมื่อรู้สึกถึงความโกรธของร่างตรงหน้า
   
เช่นเดียวกันกับข้า
   
ที่ตอนนี้กำลังโกรธจัดเหมือนกัน !
   
“ มี ! ” พาซตวัดเคียวเป็นรูปวงเวทแปลกตาเพื่อเปิดมิติให้อีกฝ่ายได้เข้าไป
   
ท่านผู้นั้นได้มอบความรู้เรื่องนี้ให้
   
เพื่อใช้ในการจับกุมยมทูตผู้ผิดกฎ !
   
คาร์บิลัสคำรามเสียงดังลั่นจนแผ่นดินสะเทือนกระโจนเข้าไปในวงเวททันทีโดยไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
   
ต่อให้ต้องตายข้าก็จะข้าฆ่ามัน !!
   
   “ แม่... ” ดัฟฟ์เขย่าแขนฟาร์คัสที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น “ หลับอยู่เหรอ ? ”
   
ใบหน้าของฟาร์คัสนั้นซีดเผือดพอๆ กับลมหายใจที่แผ่วเบา
   
เอลล์เดินเข้าไปใกล้ดัฟฟ์นั่งยองๆ ข้างๆ แล้วลูบหัวดัฟฟ์ “ อืม ฟาร์คัสหลับอยู่ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ดัฟฟ์ ”
   
“ ง้า นอนทำไมตอนนี้ ” ดัฟฟ์หน้ามุ่ย “ เมื่อกี้ยังตื่นอยู่เลยนี่นา ”

   ลุกซ์ถอนหายใจใช้หางเกี่ยวคอเสื้อดัฟฟ์มาเกาะหลังตัวเอง “ เจ้าก็หลับบ้างเถอะ ดัฟฟ์ ”
   
“ ตอนนี้สงครามกำลังเกิดขึ้น ไม่มีอะไรสำคัญเท่าบ้านเมืองของเราหรอกนะเอลล์ ” เมเออร์พูดด้วยความเย็นชา มือวาดวงเวทเคลื่อนย้ายขนาดยักษ์บนพื้นเพื่อย้ายร่างที่ถูกเอาวิญญาณไปด้วย
   
ถึงแม้จะรู้สึกสงสาร
   
แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาว่างที่จะสงสารใครขนาดนั้น
   
เพราะกำแพงได้พังลงมาแล้ว !

-------------
มาเต็มตอนแล้ว

ตอบเม้น  :katai2-1:

คุณบลูเชอร์รี่ : คนแคระที่โผล่เข้ามากะจะใช้เป็นมุมมองของคนภายนอกเกี่ยวกับสงครามค่ะ 5555 เพราะลำพังจะใช้เอลล์ก็คงไม่ได้ แต่จะมีส่วนสำคัญในเรื่องหรือเปล่าต้องดูกันต่อไปค่ะ XD  ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ  :man1: สรุปแจ็กพอตปวดท้องบิด 

คุณ lizzii : ดัฟฟ์มักจะเอ๋อผิดเวลา 5555  :hao7:

# รู้สึกหลังๆ คนเริ่มหาย  :hao5:

   
   
   
   


   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 21 31 ก.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 31-07-2015 23:42:19
 :z3:


ถึงคาร์บิลัสจะเป็นราชาปีศาจ แต่อีกฝ่ายเป็นยมทูต

จะฆ่าเขาได้ไหมเนี่ย  :z3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 21 31 ก.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-08-2015 00:31:22
งื้อออ!! เละสินะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 21 31 ก.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 02-08-2015 03:51:32
กล้ามากนะนูร์ที่ทำให้คาร์บิลัสโกรธ ดีใจกับเอลล์ตามองเห็นแล้ว ลุกซ์ก็จะไวไฟเกิ๊นนน
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 21 31 ก.ค 58 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 02-08-2015 12:56:16
มโนอสูรต่างจากความเป็นจิงอย่างแรง
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 22 7 ส.ค 58 - ครึ่งแรก -
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-08-2015 23:14:21
--- ตอนที่ 22 ---
   
ช่องว่างแห่งมิติเป็นสถานที่ที่ไม่มีสิ่งใดอาศัยอยู่แม้แต่อย่างเดียว เนื่องจากความว่างเปล่าของมัน พื้นดินสีเทาซีดที่แตกแขนงจนน่ากลัวว่าถ้าหากลงฝ่าเท้าแรงๆ สักครั้งพื้นที่บริเวณนั้นจะถล่มลงไป ท้องฟ้าสีดำมืดที่ไม่มีดาวหรือแสงสว่างประดับอยู่ ดีที่ยังมีดวงจันทร์ลอยนิ่งๆ ให้ความแสงสว่างอยู่ ช่องว่างแห่งมิตินั้นใช้เป็นสิ่งที่อยู่ระหว่างมิติกับมิติจะเรียกว่าเป็นจุดพักก็ได้
ความอ้างว้างน่าจะเป็นนิยามของสิ่งรอบตัวของฟาร์คัสในขณะนี้
   
“ หึ กลัวรึไง อีกา ” นูร์แค่นเสียงหึใช้ดวงตาสีแดงก่ำจ้องฟาร์คัสด้วยสายตาสมเพช
   ที่แห่งนี้
   
ไม่ว่ายมทูตตนไหนที่ข้าไม่อนุญาต
   
ก็ไม่สามารถลุกล้ำได้ทั้งนั้น !
   
ฟาร์คัสไม่ตอบอะไรราวกับเพิกเฉยคำพูดของนูร์
   
นูร์กัดฟัดกรอด “ อีกไม่นานก็ตายแล้ว ยังกล้าทำตัวแบบนี้กับข้าอีกนะ อีกา ”
   
ฟาร์คัสจ้องนูร์ด้วยแววตาเฉยชา
   
ไม่มีความกังวล เกรงกลัว หวาดหวั่น อะไรสักนิดในหัวของฟาร์คัส
   
มีแต่ความเบื่อหน่ายเท่านั้น
   
“ ทำไมข้าต้องทำตัวดีกับเจ้ากัน ? ”
   
นูร์หัวเราะออกมาเหมือนคำตอบที่ได้รับเป็นเรื่องตลก “ ความรู้สึกยามที่ถูกฉีกวิญญาณเป็นชิ้นๆ คงไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นะ อีกา ถ้าหากเจ้าทำตัวดีหน่อยข้าจะไม่ให้เจ้าทรมานมาก ”
   
ฟาร์คัสยิ้มบาง
   
ทำให้นูร์รู้สึกเสียวสันหลังวาบกับรอยยิ้มที่เห็น “ ยิ้มอะไรของเจ้า ”
   
“ ถ้าหากเจ้าสามารถฆ่าข้าได้จริง ป่านนี้วิญญาณของข้าคงไม่เหลือชิ้นดีแล้ว ”
   
นูร์กำเคียวในมือแน่นดวงตาวาวโรจน์ “ คิดว่ายมทูตอย่างข้าจะไม่มีปัญญาฆ่าเจ้างั้นเหรอ ? ถ้าเจ้าอยากตายตอนนี้ก็ได้ ข้าจะสนองให้เอง ! ”

ฟาร์คัสยังคงยิ้ม
   
สิ่งที่นูร์ไม่ได้สังเกตก็คือมือที่สั่นไม่หยุดของตัวเอง
   
ดวงตาสีแดงก่ำที่ริบหรี่ลงทุกที
   
และเคียวในมือที่เริ่มสลายกลายเป็นฝุ่น
   
เป็นสัญญาณว่า ตัวตนของนูร์ใกล้จะสลายไปเต็มทีนั่นเอง
   
ด้วยความโมโหนูร์ฟันเคียวใส่ฟาร์คัสแต่ฟาร์คัสในร่างวิญญาณก็สามารถหลบหลีกได้ทันทุกครั้ง
   
คมเคียวที่ตวัดแต่ละครั้งในอากาศ
   
แลกกับสิ่งที่เหลืออยู่ของนูร์
   
โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รับรู้โดยแม้แต่น้อย
   
ลมรอบตัวในพื้นที่พัดรุนแรง สิ่งที่สายลมพัดผ่านมีเพียงความอ้างว้างของสถานที่
   
นูร์ขบกรามแน่นเตรียมจะตวัดเคียวอีกครั้งแต่เมื่อสังเกตร่างกายตัวเองก็ต้องตกใจ “ เจ้า ! ”
   
“ มีอะไรงั้นหรือ ? ยมทูต ” ฟาร์คัสแค่นเสียงหึมองนูร์ด้วยสายตาเช่นเดียวกับนูร์ “ ไม่สิ.. อดีตยมทูต”
   
กรอดดดด !
   
เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นมาจากนูร์ กระดูกสันหลังของนูร์ได้โก่งโค้งขึ้นรวมถึงร่างกายส่วนอื่นที่ค่อยๆ เปลี่ยนรูปใบหน้าเดิมที่คล้ายมนุษย์ได้ยืดยาวเปลี่ยนเป็นหมาป่า ขาที่ยาวเก้งก้างค่อยๆ หดลงเปลี่ยนเป็นกลายเป็นขาของสัตว์ป่า สิ่งที่ยังคงเดิมคือ

ดวงตาวาวโรจน์ที่เต็มไปด้วยความโกรธ
   
เคียวของนูร์ที่ถูกโยนทิ้งได้ค่อยๆ เปลี่ยนรูปกลายเป็นหมอกสีดำและโอบล้อมตัวของนูร์ไว้เหมือนกับโล่ที่ใช้ป้องกันตัวเองจากอันตราย
   
ฟาร์คัสยังคงสุขุมเช่นเดิมแต่แววตานั้นเปลี่ยนไป
   
ความตื่นตระหนกเข้าครอบคลุมสติของฟาร์คัส
   
ใครจะไปรู้ว่า ยมทูตจะกลายร่างเป็นหมาป่าร่างยักษ์ได้ !
   
ฮื่ออออ
   
ร่างของหมาป่าส่งเสียงขู่ในลำคอและกระโจนเข้าหาฟาร์คัสในพริบตา
   
ฟาร์คัสกระโดดหลบแทบไม่ทันทำให้ไม่กล้ายั่วยุให้อีกฝ่ายโกรธมากขึ้นกว่านี้
   
เดิมที่การยั่วให้อีกฝ่ายโกรธเป็นอุบายของฟาร์คัสที่จะให้นูร์เผลอใช้พลังมากเกินตัวจนตัวเองหายไปโดยไม่รู้ตัว
   
หมาป่าที่รู้ว่าเป้าหมายสามารถหลบได้ทันก็หงุดหงิดกว่าเดิม กรงเล็บยาวงอกออกจากอุ้งเท้า ขนสีเทาเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีดำสนิท ไอหมอกหมุนริ้วเร็วกว่าเดิม และกระโจนเข้าใส่ฟาร์คัสอีกครั้ง !
   
ความเร็วของหมาป่าที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทำให้ฟาร์คัสหลบทันแต่ก็ไม่พ้นจนหมด
   
ทำให้บริเวณไหล่ถูกกรงเล็บของนูร์เข้าเต็มๆ รวมถึงไอหมอกสีดำสนิท
   
ไหล่ของฟาร์คัสที่ปกติมั้งจะตั้งอย่างสง่าผ่าเผยกลับลู่ลงผิดวิสัย
   
ฟาร์คัสกัดฟันกรอด ใช้มือกุมไหล่ไว้
   
ไหล่ของฟาร์คัสคล้ายมีอะไรบางอย่างลอยออกมาจางๆ
   
“ กรอดด กลัวละสิ อีกา !! ” นูร์พูดด้วยความสะใจ
   
ฟาร์คัสสูดหายใจลึกและจดจ่ออยู่กับการโจมตีของนูร์
   
ไม่สนใจแม้แต่จะปริปากพูดกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
   
นูร์ส่งเสียงคำรามออกมาดังลั่นจนพื้นดินสั่นสะเทือนสิ้นเสียงคำรามก็กระโจนไปหาฟาร์คัสด้วยความเร็วชั่วพริบตา
   
ซึ่งกว่าฟาร์คัสจะรู้ตัวก็พบว่าร่างยักษ์ของหมาป่านั้นถึงตัวแล้ว !
   
ฟาร์คัสหลับตาลงเตรียมรับความเจ็บปวดที่ได้รับ
   
เพราะรู้ดีว่าต่อให้หนีก็ไม่สามารถหลีกพ้นอยู่ดี
   
แต่ก่อนที่จะถึงตัวฟาร์คัสร่างของนูร์กลับถูกชนด้วยบางสิ่งอย่างรุนแรงจนกระเด็นไปไกล
   
กรอดด
   
นูร์ตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้นจ้องมองผู้ที่มาบุกรุกด้วยแววตาบ้าคลั่ง
   
เหมือนกับการสู้ครั้งสุดท้ายของนูร์
   
ทุ่มพลังทั้งหมดในการต่อสู้
   
แม้แต่สติปัญญาที่มีก็ยังหายไป
   
เหลือเพียงสัญชาตญาณในการต่อสู้
   
ซึ่งดูเหมือนว่าร่างของผู้บุกรุกก็กำลังบ้าคลั่งเช่นเดียวกันเพียงแต่ว่าร่างของผู้บุกรุกนั้นมีพลังมากมายมหาศาลให้ใช้
   
ร่างที่ว่านั้นก็คือ คาร์บิลัส นั่นเอง
   
“ นูร์ !!! ”  คาร์บิลัสคำรามลั่นพุ่งตัวเข้าไปหานูร์ในมือถือดาบที่ใช้ฟาดฟันศัตรู
   
คล้ายกับว่ารู้โดยสัญชาตญาณว่าไม่สมควรรับการโจมตีนี่ตรงๆ นูร์กระโจนหลบไปอีกฟากทันทีก่อนที่จะถูกดาบของคาร์บิลัสฟัน ไ
ไม่เสียเวลาเปล่านูร์กระโจนพุ่งเข้าใส่คาร์บิลัสหมายจะลอบกัด
   
คาร์บิลัสยกดาบขึ้นมากันคมเขี้ยวของหมาป่าได้ทันในเวลาเดียวกันนั้นก็ส่งลูกพลังเวทมหาศาลอัดเข้าไปที่ร่างชองนูร์ตรงๆ
   
นูร์กระเด็นไปกระแทกบนพื้นและกรีดร้องโหยหวนออกมาฟังดูน่าสยดสยองและน่าขนลุก
   
คาร์บิลัสยิ้มเหี้ยมออกมาเดินเข้าไปใกล้นูร์อย่างช้าๆ
   
คล้ายกับมัจจุราชผู้พรากเกี่ยววิญญาณ
   
แม้ว่าวิญญาณที่ว่านั้นคือยมทูตก็ตาม
   
ทั้งๆ ที่คาร์บิลัสเป็นเพียง ปีศาจ แต่พลังอำนาจที่มากล้นบวกกับความอ่อนแอของนูร์ในเวลานี้จึงส่งผลให้การฆ่านูร์สำหรับคาร์บิลัสไม่ใช่เรื่องยากทั้งในการตัดสินใจและปฏิบัติ
   
ก่อนที่คาร์บิลัสจะก้าวถึงร่างของนูร์กลับถูกขวางกั้นด้วยเคียวยมทูต
   
“ การฆ่ายมทูตไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะทำได้ ปีศาจ ” พาซบอกเสียงเรียบ
   
นัยน์ตาคาร์บิลัสขึ้นสีแดงเข้มด้วยความโมโหที่ถูกขัดขวาง
   
อย่างที่รู้
   
ในเวลานี้คาร์บิลัสมีเพียงความแค้นในหัวเท่านั้น
   
“ ถอยไป !! ” คาร์บิลัสตะคอก “ ฆ่าจะฆ่ามัน ! ”
   
พาซกระชับเคียวในมือ “ ไว้ข้าจะจัดการเอง ปีศาจ ”
   
คาร์บิลัสขบกรามจนขึ้นเป็นสันนูน
   
ก่อนที่คาร์บิลัสจะลงมือสู้พาซอีกคนก็ถูกจับมือเอาไว้ก่อน คาร์บิลัสสลัดมือทิ้งในทันทีจ่อดาบเข้าที่คอของผู้ที่จับแต่กลับถูกจับปลายดาบเบาๆ
   
“ ปล่อยสิ ” ฟาร์คัสพูดเสียงกระซิบ
   
คาร์บิลัสเผลอทำตามอย่างว่าง่าย ดาบในมือถูกฟาร์คัสดึงออกแล้วโยนไปข้างๆ แทน เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อใครอีก
   
“ กล้าสลัดมือข้าทิ้ง วันหลังอย่าหวังว่าเจ้าจะได้จับมันอีก ” ฟาร์คัสแค่นเสียงหึ
   
คาร์บิลัสยังคงยืนนิ่ง นัยน์ตาสีแดงก่ำหมุนริ้วอย่างงุนงง บรรยากาศรอบตัวยังคงทะมึนเช่นเดิม
   
ฟารคัสถอนหายใจเหนื่อยๆ “ ก็ได้ข้ายอมเจ้าสักครั้งก็ได้ ” ยอมหยิบมือคาร์บิลัสขึ้นมาจับอีกครั้ง กระชับมือที่จับ ส่วนข้างที่ว่างก็เช็ดเลือดบริเวณมุมปากให้คาร์บิลัสและเลียนิ้วที่ใช้ป้าย

   คาร์บิลัสก็เบิกตากว้างจ้องฟาร์คัสอึ้งๆ และบรรยากาศที่มีพิษภัยหรือทุกๆ อย่างที่เป็นไปในทางที่เกี่ยวกับการต่อสู้นั้นหายไปจนหมด
   
เหลือเพียง..
   
คาร์บิลัสคนเดิม
   
“ ฟาร์คัส ! ” คาร์บิลัสรวบตัวฟาร์คัสเข้ามากอดแน่น “ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เป็นอะไร เจ้ารู้ไหมว่าข้ากลัวแค่ไหน ตอนที่เจ้าหายไป ! ”
   
ฟาร์คัสยิ้มจางลูบหลังคาร์บิลัสเชิงปลอบประโลม “ ข้าไม่เป็นอะไร ”
   
คาร์บิลัสไม่ยอมปล่อยอ้อมกอดของตัวเองออกจากฟาร์คัส “ฟาร์คัส ข้าว่าข้ากับเจ้าแต่งงานกันดีไหม ไม่ก็อะไรก็ได้ ที่เวลาเจ้าหายไปข้าไปหาเจ้าได้ทันที ข้าไม่อยากเสียเจ้าไปอีกแล้ว ” ระหว่างที่คาร์บิลัสพูดนั้นคาร์บิลัสได้ตัวสั่นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
   
ใบหน้าเย็นชาอยู่เป็นนิจขึ้นสีแดงซับจาง “ งี่เง่า ”
   
คาร์บิลัสปล่อยอ้อมกอดออกมองหน้าฟาร์คัสด้วยความสลด “ เจ้าคิดอย่างงั้นหรอกเหรอ ข้าขอโทษ.. ”
   
ฟาร์คัสเริ่มจะหงุดหงิดบ้าง
   
ไอ้ราชาปีศาจที่โครตเก่ง เย็นชา โหดเหี้ยม เด็ดขาดเมื่อกี้หายไปไหน
   
ทำไมเหลือแต่เด็กอมมือไว้
   
“ เดี๋ยวค่อยคุยเรื่องนี้กัน คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสคว้ามือคาร์บิลัสมาจับอีกครั้ง เพื่อให้อีกฝ่ายเลิกทำสีหน้างี่เง่าสักที
   
คาร์บิลัสยิ้มเศร้าๆ ให้ฟาร์คัส
   
พาซยืนดูปีศาจทั้งสองแสดงความรักอย่างเงียบงัน

ช่างเป็นการแสดงความรักที่เร่าร้อนมาก พาซคิด

“ ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน ” พาซพูดด้วยสีหน้าเช่นเดิม เปลี่ยนเคียวในมือเป็นโซ่ล่ามนูร์ไว้ “ แผลที่ไหล่ของเจ้า พักผ่อนให้เพียงพอสักวันสองวันก็หายแล้ว พลังยมทูตของไอ้หมานี่ทำได้แค่ทำร้ายเจ้าแบบผิวเผินเท่านั้น ต่อให้ในร่างวิญญาณก็ไม่เป็นอะไร ”

ฟาร์คัสพยักหน้ารับใบหูขึ้นสีแดงก่ำ

ข้าลืมไปได้อย่างไรกันว่ามีคนอื่นนอกจากคาร์บิลัส

พาซจ้องฟาร์คัสสลับกับคาร์บิลัส “ ขออวยให้พรให้พวกเจ้าทั้งสองรักกันนานๆ นะ ลาล่ะ ”
ยังไม่ทันฟาร์คัสจะเอ่ยทักท้วงอะไรร่างของยมทูตทั้งสองก็ได้หายไปจากคลองจักษุ

เหลือเพียงราชาปีศาจที่ยังคงเซื่องซึม

“ งั้นกลับกันเถอะ ฟาร์คัส.. ” คาร์บิลัสวาดวงเวทลอกเลียนแบบพาซบนพื้น

ฟาร์คัสขมวดคิ้วไม่พอใจ “ เป็นอะไรของเจ้า คาร์บิลัส ”

“ เปล่า ” คาร์บิลัสยิ้มที่ดูแวบเดียวก็รู้ว่าฝืนยิ้ม

ฟาร์คัสถอนหายใจเฮือก

สักวันข้าต้องตายเพราะถอนหายใจเป็นแน่

ตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้คาร์บิลัส

โน้มคออีกฝ่ายลงมากดจูบเบาๆ บนหน้าผาก

“ ข้าบอกว่าค่อยคุยกัน ”

--------------------
รู้สึกว่าตอนนี้สัมผัสได้ถึงความราชินีแปลกๆ จากฟาร์คัส 5555555555  :hao6:



   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 22 7 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก --
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 07-08-2015 23:24:58
อุ๊ย

ฟาร์คัสมีดวงข่มสามีอยู่แล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงฮิมหรอก

แต่กำลังสงสัยว่า ถ้าแต่งงานกันแล้วจะไปหาอีกฝ่ายได้ทันที

แสดงว่าปกติไม่สามารถทำได้เหรอคะ? แบบว่าเป็นถึงราชาปีศาจแล้วน่ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 22 7 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก --
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 08-08-2015 00:26:08
แสดงความรักกันไม่สนใจใครเลยนะ ฟาร์คัสนี่แหละว่าที่ราชินีตัวจริง  :hao3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 22 7 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก --
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-08-2015 00:59:00
อ้อยยย!! อยากได้ครึ่งหลังแร้วววว
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 22 7 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง --
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 09-08-2015 16:49:26
-- ครึ่งหลัง --

“ เข้ามาเลย !! ” มารัสตะโกนเสียงดังลั่นแล้วกระโดดเข้าไปกลางวงอสูร

เกททินเบิกตากว้าง “ คิดว่าเก่งนักรึไง ไอ้งั่ง ถึงได้เข้าไปแบบนั้น !! ” กระโดดเข้าไปร่วมวงอีกคนเพราะรู้ดีว่า ถ้ามารัสเพียงคนเดียวคงไม่ไหวแน่ ถ้าถูกรุมล้อมไปด้วยอสูรมากมายขนาดนี้

“ เก่งไม่เก่ง ข้าฆ่าหมดนี้ได้แล้วกัน ฮะ ฮ่าๆๆ ” มารัสพูดพร้อมกับกระโจนใส่อสูรตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามา

โฮกกก

อสูรคำรามออกมามือที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังพยายามคว้าตัวมารัสที่พุ่งเข้ามา

มารัสตวัดดาบฟันมือของอสูรทิ้งทันที “ เห็นไหม ต่อให้มากันทั้งบางข้าก็ไหว ”

เกททินย่นคิ้ว “ งั้นก็ตามสบาย ข้าขอขึ้นไปจิบชาแถวนี้ก่อนแล้วกัน ”

“ เดี๋ยวๆๆ ข้าไปด้วย ข้าอยากลองกินเหล้าองุ่นของที่นี้ดู ” ในขณะที่พูดก็หลบอสูรอีกตัวที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับอีกตัว จนอสูรทั้งสองชนกันเอง พวกมันส่ายหัวมึนๆ นัยน์สีเลือดเข้มขึ้นเรียกพลังเวทออกมา

“ เตี้ยไม่พอแล้วยังง่ปล่อยให้อสูรมันใช้เวทย์อีก !! ” เกททินโวยวายเสียงดังลั่นเปิดเสื้อตัวเองควักหายาอย่างลนลาน

พละกำลังของอสูรไม่ใช่ปัญหา

ที่มีปัญหาจริงๆ คือเวทย์มนตร์ของอสูรต่างหาก !

พวกมันสามารถเรียกพลังเวทออกมาได้โดยไม่ต้องร่าย ในบางครั้งเวทที่มันใช้อาจจะแลกด้วยชีวิตของมันเองซึ่งผลของเวทก็..

ตูมมมมมม

“ เฮ้ย ! ” มารัสกระโดดโหยงด้วยความตกใจและกลืนน้ำลายลงคอดังเอือก

ไอ้พื้นข้างที่เขายืนตอนนี้ได้กลายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ยักษ์ ซึ่งถ้าเกิดหลบไม่ทันนี่คงไม่ได้ผุดได้เกิดไปอีกหลายชาติ

“ รอบที่แล้วที่เจ้าฆ่ามันได้สบายๆ เพราะเจ้าไม่เอาแต่เล่นจนปล่อยให้มันใช้เวทย์ไงล่ะ มารัส ” เกททินหยุดมือที่หายาและกล่าวตำหนิมารัส

“ เจ้าก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ยอมทำอะไรอสูร ”

“ ก็เจ้าบอกจะฆ่ามันไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไมข้าต้องเสียยาดีๆ ที่ข้าตั้งใจปรุงเพื่อช่วยเจ้าล่ะ ”

มารัสกลอกตา “ บอกข้าทีว่าเจ้ากับข้าเป็นคู่หูกัน ! ” และกระชับดาบในมือกระโจนเข้าไปหาอสูร ข้อมือของมารัสเกร็งจนเห็นเส้นเลือดได้ชัดเพราะการลงแรงในการฟันอสูร

“ เออสิ เจ้าโง่ ” เกททินถอนหายใจยอมหยิบยาออกมาจำนวนนึง “ เจ้าจะเอายังไง ระหว่างฆ่าเจ้าพวกนี้ต่อกับการไปคุยเล่น ”

“ คุยเล่นสิ ต้องนี้ข้าชักจะเบื่ออสูรแล้ว ”

หลังจากตกลงกันเสร็จเกททินก็ปายาที่ถือออกมาใส่พื้นทันที ส่วนมารัสที่รู้ดีว่าคู่หูตัวเองจะทำอะไรก็ชิงกระโดดออกมาก่อน

ตูม !

ยาของเกททินทำปฏิกิริยาอะไรบางอย่างจนเกิดการระเบิดลูกย่อมกับควันโขมงที่ทำให้ทรรศนียภาพรอบด้านไม่เหมาะสมแก่การต่อสู้อย่างยิ่ง

เกททินและมารัสรีบเผ่นออกจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว

“ เฮ้ยๆ เกททินเจ้าหินปราสาทนั่นไหม ”

“ เห็น ทำไมเจ้าจะไปยึดรึไง นี่มันดินแดนภูตนะไม่ใช่ดินแดนงี่เง่าที่แค่เตะราชาดินแดนนั้นแล้วจะยึดได้ ”

“ ด่าข้าอีกแล้ว ! ไอ้นักปรุงยานรกแตก ถ้าเจ้าหลับข้าจะเอายาของเจ้าไปทิ้งให้หมด ”

“ ถ้าเจ้าทำจริง ข้าคงต้องคู่หูคนใหม่ ! ”

“ คิดว่าทำได้งั้นเหรอ ยาพวกนั้นขอแค่ไม่โดนตัวไม่ได้กลิ่นก็ไม่มีปัญญาทำอะไรข้าได้แล้ว ”

ดวงตาของเกททินฉายแววความโกรธ “ จะลองไหมล่ะ ” 

เช่นเดียวกับมารัสที่กัดฟันกรอด “ ก็ลองดู ! ”

ก่อนที่ทั้งมารัสกับเกททินจะปะทะกันก็มีเสียงร้องไห้ดังขัดขึ้นมาก่อน

“ ฮืออ ข้าต้องหามันไม่เจอแน่ๆ โรซาน ” 

“ เจ้าจะร้องไห้ทำไม เอสเตอร์ ร้องไปมันก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นหรอกนะ กินเหล้าของข้าดีกว่า รสชาติอร่อยกว่าน้ำตาเจ้าเยอะ ”

“ ไม่ ! ท่านพ่อของข้าบอกว่าข้าคออ่อน กินไปมีแต่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ฮือๆ "

“ นี่มันไม่ใช่บ้านเจ้ากินๆ ไปเถอะ หรือจะให้ข้าเอามันยัดปากเจ้า ”

“ มันขม ! อย่าเอามาให้ข้ากินนะ ข้าไม่อยากกินน ฮือ คืนนี้ข้าจะไม่นอนกับเจ้า ”

“ เจ้าไม่นอนกับข้า ใครจะไปนอนกันเจ้ากัน ? ข้าว่าไม่มีคนปกติที่ไหนอยากนอนกับคนที่นอนไปร้องไห้ไปอย่างเจ้าหรอกนะ ”

“ ฮืออ ข้าขอโทษ โรซาน ข้านอนกับเจ้าก็ได้ ฮึก ”

เสียงคุยกันเป็นเสียงทุ้มต่ำของผู้ชาย

รวมถึงเสียงร้องไห้ด้วย

เกททินกับมารัสสบตากันอึ้งๆ หยุดการตีกันชั่วคราวค่อยๆ ย่องไปหาหาต้นกำเนิดเสียงที่ยังคงคุยกันอยู่

เป็นชายร่างโตผมยุ่งเหยิงสีน้ำตาลเข้มดวงตาสีเดียวกับสีผมในมือถือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กที่เอาแต่ซุกอยู่กับอกของชายร่างโต

แล้วไอ้เสียงร้องไห้เมื่อกี้มันมากจากไหน ?

เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในหัวทั้งเกททินและมารัส

และเพียงไม่นานก็ปรากฎคำตอบ

“ ฮือๆๆ ข้าว่าข้าหามันไม่เจอแน่เลยย ”

“ เจ้าพูดไปแล้ว ! จะพูดซ้ำทำไมวะ ”

“ โรซานเจ้าตะคอกใส่ข้า เจ้ามันแย่ที่สุด ฮือ ”

“ เอ้า จะให้ข้าชมเจ้าเหรอว่า พูดซ้ำอีกสิ ข้าอยากฟังมาก ข้าหาไม่เจอแน่เลย ตลก ! ”

“ ฮืออ ข้าเกลียดเหล้า มันทำให้เจ้าเปลี่ยนไป โฮ ”

“ โอ้ยยย ร้องอยู่ได้ หุบปากกก ”

“ ข้าหุบไม่ได้ ฮืออ ข้าหายใจไม่ออก ข้าเป็นหวัด ”

“ ปัญหาเยอะจังเลยโว้ยยยยย ”

ก่อนที่ชายร่างโตจะทุ่มสุนัขจิ้งจอกลงพื้น

เกททินกับมารัสตัดสินใจเดินเข้าไปขัดจังหวะก่อน “ เอ่อ.. พวกท่านจะไปที่ไหนกันงั้นเหรอ ? ” เกททินเป็นฝ่ายถาม

ชายร่างโตขมวดคิ้ว “ เอสเตอร์ ”

สุนัขจิ้งจอกกระดิกหูตอบ “ อะไร ”

พูดพร้อมหันซ้ายหันขวา  “ เจ้าได้ยินเสียงพูดเมื่อกี้นี้ไหม ”

“ ได้ยิน ”

เกททินถึงกับคิ้วกระตุก

ก็รู้อยู่หรอกนะว่าข้ามันเผ่าพันธุ์อะไร

“ ข้าอยู่นี่ ท่าน ”

ชายร่างโตหันขวับลงมาทันที “ อ้อ นี่ไง มีอะไรงั้นเหรอ ถ้าจะถามข้า ข้าตอบเลยละกันว่ากำลังเดินทางไปเรื่อยๆ เพื่อหาของนิดหน่อยน่ะ ”

มารัสตาเป็นประกายเพราะได้กลิ่นเหล้าองุ่นคละคลุ้งมาจากอีกฝ่าย “ ท่านดื่มเหล้างั้นเหรอ ? แลกกันกับข้าไหม ข้ามีเหล้าแอปเปิ้ลล่ะ ”

“ เอาสิ ตอนนี้ข้ากำลังเก็บแต้มกินเหล้าครบทุกดินแดนอยู่ ” ชายร่างโตพยักหน้ารับโยนจิ้งจอกในมือทิ้งแล้วหยิบเหล้าจากกระเป๋าสะพายเก๋าๆ ของตัวเองออกมา

เอสเตอร์ที่ไม่ทันตั้งตัวกลิ้งคลุกฝุ่นและไถลไปตามพื้น ทำให้สีขนขาวสว่างกลายเป็นสีเทาแทน นัยน์ตาสีขาวพระจันทร์มีน้ำตาตลอ “ โรซาน เจ้าโยนข้าทิ้งเหรอ ฮือออ ข้ามีดีไม่สู้เหล้าแอปเปิ้ลงั้นเหรอ ”

โรซานแค่นเสียงหึ “ ใช่ ” และรับเหล้าแอปเปิ้ลจากมารัสมาใส่กระเป๋าสะพาย

เอสเตอร์หูลู่ลงอย่าเสียใจซุกตัวกับหางของตัวเองจนเหมือนลูกบอลลูกนึง

“ สรุปว่าพวกท่านกำลังหาของอยู่สินะ ส่วนพวกข้ากำลังเดินทางหาประสบการณ์อยู่ ” เกททินสรุปออกมาสั้นๆ “ แล้วพวกท่านรู้ไหม ว่าที่นี้เกิดอะไรขึ้น ”

คนที่ตอบย่อมไม่ใช่เอสเตอร์ที่เซื่องซึมไปแล้วอย่างแน่นอน “ รู้สิ ก็อสูรที่ถูกควบคุมโดยใครสักคนบุกไงล่ะ ” โรซานกระดกเหล้าองุ่นจนหมดขวดแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างครุ่นคิด “ อา รู้สึกว่าจะเป็นพวกภูตกันเองเนี่ยแหละ ”

“ แล้วท่านรู้ได้ไง ? ”

โรซานหัวเราะลั่น “ รู้สิ แค่เข้าไปนั่งในร้านเหล้าข้าก็ได้อะไรดีๆ กลับมาเยอะแยะแล้ว อยากรู้อะไรล่ะ ? ราชาปีศาจที่มีอีกาเป็นชายา อดีตราชาภูตที่ชอบเอาแต่บ่นเวลาที่อาบน้ำ หรืออะไรล่ะ ฮ่าๆ ”

เกททินไม่ได้พูดอะไรต่อเมื่อเห็นโรซานค่อยๆ หยุดหัวเราะแล้วมองไปที่จิ้งจอก

“ เอสเตอร์ ? ” โรซานร้องเรียก

ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากจิ้งจอกตัวเล็ก

โรซานขวดเหล้าองุ่นใส่กระเป๋าของตัวเองเดินเข้าไปหาเอสเตอร์และนั่งยองๆ ตรงหน้าฝ่าย “ อย่างเงียบสิ ไม่งั้นข้าจะจับเจ้ายัดขวดเหล้านะ ”

จิ้งจอกตัวเล็กตัวสั่นแต่ยังคงไม่ยอมพูดอะไร

โรซานคลี่ยิ้ม “ งั้นก็.. ” หยิบจิ้งจอกตัวเล็กขึ้นมาด้วยมือเดียวและขว้างขึ้นไปในอากาศทันที

จิ้งจอกขาวเบิกตากว้างกรีดร้องดังลั่น “ ว้ากกกก ” รีบเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ดังเดิมใช้เวทลมค่อยๆ ประคองตัวเองลงมาเหยียบพื้น

“ โรซาน !  ” เอสเตอร์ตะคอกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำตานองหน้า

ทั้งมารัสและเกททินถึงกับอึ้งไปกับร่างมนุษย์ข้างร่างตรงหน้า

เป็นชายหนุ่มที่เตี้ยกว่าโรซานหนึ่งช่วงหัวมีใบหน้าหล่อเหลาบรรยากาศรอบตัวแผ่กลิ่นอายถึงความเป็นเชื้อพระวงศ์ นัยน์ตากับผมที่ตัดสั้นระตนคอเป็นสีขาวบริสุทธิ์แต่ตอนนี้ติดจะดูหม่นๆ เพราะดินที่เจ้าตัวเพิ่งไปคลุก อีกทั้งยังมีหูสีขาวกับหางพวกใหญ่ที่กำลังส่ายไปมาด้วยความไม่พอใจ ดูแล้วชวนรู้สึกให้อยากขยำหางอีกฝ่ายเล่น

“ เรียกข้าทำไม เอสเตอร์ ถ้าอยากกินเหล้าองุ่นก็หยิบจากกระเป๋าข้าได้เลย จุกไม้ธรรมดาเป็นของเมืองมนุษย์ ส่วนจุกไม้สีแหลืองอ่อนเป็นของแดนภูต ”

“ เจ้าอยากให้ข้าตายงั้นสิ ? ถึงได้โยนข้าไปแบบนั้น ฮือ เจ้ามันแย่ที่สุด ”

โรซานยักไหล่ “ เจ้านี่มันก็เป็นงี้แหละ ท่าน พวกท่านไปต่อเถอะ ข้ากับเอสเตอร์เป็นพวกเดินทางไปเรื่อยๆ น่ะ ”

“ เจ้าเมินข้าอีกแล้ว ฮือ ทำไมกันนะ ทำไมข้าถึงได้เลือกเจ้าเดินทางด้วย ”

ระหว่างที่เอสเตอร์กำลังคร่ำครวญกับตัวเองอยู่โรซานได้แอบหยิบเหล้าที่แรงที่สุดของตัวเองออกมาดึงฝาไม้สีแดงออกแอบไว้ข้างหลังตัวเอง “ มาหาข้าหน่อย ให้ข้าได้แสดงความขอโทษกับเจ้าบ้าง ”

เอสเตอร์เดินมาหาอย่างว่าง่าย “ เจ้ามีอะไรจะพูดงั้นเหรอ โรซาน ? ”

โรซานคว้าคอเอสเตอร์เอาไว้จับขวดยัดเยียดให้อีกฝ่ายดื่มทันที

เอสเตอร์เบิกตากว้างพยายามขัดขืนแต่ไม่เป็นผลจำต้องกลืนสิ่งที่อีกฝ่ายัดเยียดลงไปจนหมดขวด

โรซานยัดขวดที่ว่างเปล่าใส่กระเป๋าและผิวริมฝีปากอย่างอารมณ์ดี

ใบหน้าของเอสเตอร์ขึ้นสีแดงก่ำเนื่องจากแอลกอฮอล์ที่ได้รับ “ รู้อะไรไหม ! ข้าเกลียดที่สุดเลยเวลาที่มีใครสักคนร้องไห้ ที่ไม่ใช่ข้า ! ”

“ อืม แล้วไงล่ะ เอสเตอร์  ” โรซานพยักหน้ายิ้มๆ

“ มันทำให้ข้าหงุดหงิด เสียงพวกนั้นน่ารำคาญเป็นบ้า ” เอสเตอร์ส่ายหัว “ ตอนนี้ยิ่งมีอสูรบุกเข้าเมืองภูตอีก เสียงร้องไห้ดังระงม ข้าไม่ชอบมันเลย ยังดีที่มียังมีคนช่วยชาวภูตฆ่าอสูรบ้าง ไม่งั้นเสียงร้องไห้คงดังกว่านี้ ”

โรซานคลี่ยิ้มหยอกเย้าแววตาส่อถึงความเมามาย “ แล้วโรซานล่ะ เจ้าชอบโรซานไหม ”

เอสเตอร์คลี่ยิ้มและหัวเราะออกมา “ ชอบสิ ผมยุ่งเหยิงนั่นเหมือนกับใยแมงมุมแมงเลยล่ะ ฮ่าๆๆ ”

โรซานหน้าบึ้งทันใด “ เจ้าว่าใครหัวเป็นใยแมงมุม ”

“ เจ้าไง ฮ่าๆ ”

“ หุบปากไปซะ ” โรซานคำรามคว้าคออีกฝายเข้ามาประกบริมฝีปาก

เกททินและมารัสที่ยืนดูเงียบๆ ถึงกับสะดุ้ง “ เออ ข้าว่าเราไปกันต่อดีกว่าเนอะ เพื่อนยาก ” มารัสยิ้มแห้งๆ

“ ข้าก็ว่างั้น ไปปราสาทนั่นของเจ้าก็ได้ คงจะมีอะไรน่าสนุกอยู่แถวนั้นแหละ ปล่อยให้โรซานกับเอสเตอร์เขาปรับความเข้าใจกันเองดีกว่า ”

ว่าแล้วทั้งสองก็ออกไปจากที่แห่งนี้ทันที

เหลือไว้เพียงคนเมาทั้งสองที่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะการตีกันในคืนนี้

----------------------

TBC. ตาหน้าเป็นเอลล์บรรยายค่ะ  :katai2-1:

             :กอด1:






 

   


   
 



   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 22 7 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก --
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 09-08-2015 18:01:56
อุ๊ย

ฟาร์คัสมีดวงข่มสามีอยู่แล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงฮิมหรอก

แต่กำลังสงสัยว่า ถ้าแต่งงานกันแล้วจะไปหาอีกฝ่ายได้ทันที

แสดงว่าปกติไม่สามารถทำได้เหรอคะ? แบบว่าเป็นถึงราชาปีศาจแล้วน่ะ

ถ้าเป็นดินแดนทั่วไปก็ได้ค่ะ ท่านคาร์บี้ของเราไปได้หมด แต่อันนี้เป็นช่องว่างมิติที่มีแต่ยมทูตเปิดใช้ได้

ส่วนเรื่องการแต่งงานนี่จะอารมณ์แบบอยู่ไหนรู้หมดวาร์ปไปได้เลย เหมือนกับอีกครึ่งชีวิตอยู่กับอีกฝ่ายแล้ว  o13
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 22 9 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง --
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-08-2015 19:47:24
มีตัวละครเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว แถมไม่ค่อยแยแสกับเมืองที่กำลังถูกโจมตีอีกตะหาก

 :mew6:

ตอนนี้เมืองโดนทำลายไปกี่ % แล้วคะนั่น  :heaven

(อยากเห็นฟาร์คัสแต่งงานวุ้ยยยยยยยยยย)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 22 9 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง --
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 10-08-2015 12:28:11
ฟาร์คัสนางมาเหนือตลอด :hao7:
รู้สึกถูกใจคู่รักคอขวด(เหล้า)ที่เหมือนตัวประกอบนี่จังค่ะ โผล่มาแปปเดียว แต่รั่วได้ใจ o13
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 22 9 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง --
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 12-08-2015 09:20:57
เค้าชอบบบจิ้งจอกกกกกก มโนแปป...... :hao6:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 22 9 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง --
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-08-2015 03:08:54
โอ่ะ มีคนบงการ ฆ่ามานนนน
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 22 9 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง --
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 15-08-2015 01:23:05
คนบงการเป็นใครกันนะ? น่าสงสัยจัง

ป.ล. ฟาร์คัสนี่ มาดราชินีมาละ 55555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 23 17 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก --
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 17-08-2015 22:46:06
-- ตอนที่ 23 ---
   
ดินแดนภูต
   
เป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีสงครามครั้งใหญ่ของปีศาจ
   
ต่อให้มีการปิดกั้นตัวเอง
   
ความเจริญรุ่งเรืองที่ว่าก็ยังคงอยู่
   
ปราสาทขนาดยักษ์ที่ถูกก่อขึ้นมาด้วยอิฐสีแปลกตาตามตัวปราสาทประดับไปด้วยไม้เลื้อยที่เลื้อยออกเป็นรูปทรงต่างๆ ตามโครงที่ได้ก่อไว้ เป็นรูปมังกรเลื้อยบ้าง เพกาซัสบ้าง ทุกอย่างเข้ากันและหมดจด ไม้ยืนต้นขนาดหลายสิบคนโอบก็ถูกจัดมาอย่างลงตัวทำให้ดูสบายตาและขับให้ปราสาทดูเด่นขึ้นมาอีก

เพียงแต่ว่าในตอนนี้กลับตรงกันข้ามโดนสิ้นเชิง ปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นจากหินสีแปลกตาตอนนี้ถูกย้อมด้วยเลือดของชาวภูติ ธงสีเหลืองอ่อนประจำรัชกาลของเอลล์ที่ประดับอยู่ตามแนวรั้วเตี้ยๆ ถูกสีแดงเลือดย้อม ยอดแหลมของปราสาทที่ประดับด้วยไม้เลื้อยรูปเทวทูตตอนนี้ถูกแทนด้วยอสูรจำนวนมหาศาลเกาะอยู่แทนที่ พวกมันกู่คำรามออกมาอย่างลำพองใจใช้ดวงตาสีแดงก่ำจดจ้องเหยื่อที่อ่อนแอ่ข้างล่างและตะครุบเข้าไปเมื่อสบโอกาส

เสียงกรีดร้องอย่างเสียขวัญ

เสียงฝีเท้าที่ลงหนักเพราะการต้องหนีให้ไกลจากอันตราย

เสียงการต่อสู้เพื่อแลกชีวิต

ในตอนนี้คำว่า “ อสูร ” เป็นคำที่ทรงอิทธิพลที่สุดในดินแดนภูต

เพียงได้ยินคำนี้ก็ต้องเผลอตัวสั่นออกมา

การกระทำของอสูรที่ไล่เข่นฆ่าคนอื่นนั้น

โหดเหี้ยมเกินจะพรรณาได้

มีเพียงผู้ที่เก่งกาจเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับมันได้

บนพื้นในบริเวณปราสาทปรากฎวงเวทขนาดใหญ่และตามมาด้วยร่างของเมเออร์และคนอื่นๆ เมเออร์รีบเร่งฝีเท้าไปหาแม่ทัพที่
ดูแลเกี่ยวกับทหารทันที

เมเออร์ขบกรามแน่นร่างชราฉายแววเหนื่อยอ่อนแต่ไม่ย่อท้อออกมา

สิ่งที่เมเออร์กังวลที่สุดก็คือชาวภูต

เพราะชาวภูตนั้นแทบไม่มีพื้นฐานการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ

ผู้ที่จะสอบเป็นทหารหรือตำรวจเท่านั้นถึงจะจริงจังเกี่ยวกับการต่อสู้

การถูกปกป้องมาเป็นเวลายาวนานทำให้ชาวภูตลำพองใจคิดว่าการหยิบดาบขึ้นมาไล่ฟันผู้อื่นหรือใช้เวทโจมตีคนอื่นเป็นเรื่องของทหารไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

หนึ่งในผู้ที่ลำพองใจก็รวมถึงเมเออร์เช่นกัน

เดิมทีเมเออร์ตั้งใจจะซ่อมกำแพงไม้เลื้อยเพื่อชีวิตที่ยังคงสงบสุขเช่นนี้

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทัน

เมื่อถูกอสูรรุกรานเข้ามาซะก่อน

ร่างของอดีตราชาก็ยังคงก้าวเดินต่อไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคง

ไม่มีทีท่าจะหยุดชะงักแต่อย่างใด

“ หน้ากาก เจ้าว่าข้าควรจะใส่มันต่อไปดีไหม ลุกซ์ ”

ลุกซ์ในร่างมังกรเอาหัวถูไถเข้ากับตัวเอลล์ “ แล้วแต่เจ้าสิ ดวงตาของเจ้ามันไม่ได้ทำให้ใครคลุ้มคลั่งเหมือนกับตำนานงี่เง่านั้นหรอกนะ ”

ดัฟฟ์ที่กระโดดลงจากหลังลุกซ์และไปเกาะแขนฟาร์คัสอาสา “ ถ้าไม่เอาแล้วให้ดัฟฟ์กินก็ได้น้า ”

เอลล์ยิ้มบาง “ แต่ถ้าข้าใส่มันมาตลอดก็ใส่มันต่อไปดีกว่า ” และหยิบหน้ากากอันประณีตขึ้นมาสวม “ จริงดังที่ท่านพ่อของข้าว่า บ้านเมืองสำคัญที่สุด งั้นข้าคงต้องไปแล้วล่ะลุกซ์ ”

ลุกซ์เลียแผล่บเข้าที่หน้ากากของเอลล์จนหน้ากากเอลล์เกือบหลุด “ ไปเถอะเอลล์ เดี๋ยวข้าจะช่วยดูฟาร์คัสให้เจ้าเอง ”

“ อืม ” เอลล์พยักหน้ารับขณะที่จัดแจงหน้ากากของตัวเอง “ งั้นข้าขอตัวไปก่อนแล้วกัน ข้างนอกนี่คงวุ่นวายน่าดูแล้ว ” เสียงของเอลล์สลดลง

“ มันไม่ใช่ความผิดของเจ้านะ เอลล์ ”

เอลล์ฝืนยิ้มจางทั้งๆ ที่รู้ว่าลุกซ์คงมองไม่เห็น บริเวณพื้นเกิดแสงสีขาววาบนึงและนำพาร่างของเอลล์ไปจากสถานที่แห่งนี้
   
เช่นเดียวกับเมเออร์
   
ลุกซ์เหยียดยิ้มบาง
   
ทำไมกันนะ
   
ทั้งๆ ที่เอลล์ใกล้จะมีความสุขแล้วแท้ๆ
   
แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก
   
ตลกร้ายซะด้วย
   
ลุกซ์หลับตาลง
   
ข้ารู้ดีว่าเอลล์นั้นรู้สึกยังไงในตอนนี้ คงไม่วายโทษตัวเองอีกแน่ๆ
   
แต่ไม่ต้องห่วง เจ้ามีมังกรไฟผู้ซื่อสัตย์อยู่ตรงนี้ทั้งคน
   
ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าต้องโดดเดี่ยวแน่ !
   
เมื่อใช้ความคิดจนพอใจลุกซ์ก็ตัดสินใจหาอะไรทำ
   
และเหยื่อของลุกซ์ก็คือดัฟฟ์
   
“ เหลือกันแค่ข้ากับเจ้าแล้วนะ ดัฟฟ์ ” ลุกซ์พ่นไฟลูกใหญ่ใส่ดัฟฟ์
   
ถึงแม้มันจะไม่ติดไฟแต่ก็สร้างความตกใจต่อผู้พบเห็นได้พอสมควร
   
ดัฟฟ์สะดุ้งเฮือกและร้องออกมาอย่างตกใจ “ แง้ ไฟฟฟฟ ไฟไหม้ดัฟฟ์แน่แง้ ” ดัฟฟ์เอาหัวมุดเสื้อคลุมสีดำขลิบทางของฟาร์คัส
   
ลุกซ์เบิกตากว้างรีบกลายร่างตัวเองกลับมาเป็นคน “ เฮ้ยๆๆ ทำอะไรของแก ดัฟฟ์ เกิดท่านคาร์บิลัสรู้ว่าแกมามุดเสื้องี้ ข้าไม่ถูกฆ่าตายเอาเรอะ ! ” ลุกซ์รีบก้าวขายาวๆ เข้าไปใกล้แล้วดึงดัฟฟ์ออกมา
   
“ แง้งง !! ” ดัฟฟ์ส่ายหัวดุ้กดิ้กแหกปากดังลั่นมือที่เดิมที่เพียงจับตัวฟาร์คัสตอนนี้ถึงกับกอดเอวเอาไว้เลยทีเดียว
   
“ โอ้ยย ออกมาเหอะ ข้าขอร้องงง ” ลุกซ์โวยวายเสียงดัง ทำไมมันเหนียวนักวะ ไอ้มังกรดำเอ้ย !
   
“ ทำอะไรกัน ! ” เสียงตะโกนดังลั่นเป็นเสียงที่นับว่าคุ้นเคยของลุกซ์
   
ท่านคาร์บิลัสไงเล่า !
   
ลุกซ์ปล่อยมือจากดัฟฟ์ทันควันและยิ้มแหยๆ “ ไม่มีอะไรขอรับ ท่านคาร์บิลัส แค่ดัฟฟ์อยากกอดท่านฟาร์คัสเฉยๆ ”
   
แววตาของคาร์บิลัสฉายความอิจฉาออกมาครู่เดียวและหายไปในเวลาต่อมา “ อืม ” 
   
ลุกซ์เลิกคิ้วงงๆ
   
ท่านคาร์บิลัสปล่อยให้ดัฟฟ์รอดง่ายๆ งี้เลย ?
   
แต่เอาเถอะนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
   
“ แล้วเอ่อ.. วิญญาณท่านฟาร์คัสล่ะขอรับ ”
   
คาร์บิลัสหันไปมองร่างข้างๆ ตัวเองทันที มือที่คาร์บิลัสจับมาตั้งแต่ออกจากช่องว่างระหว่างมิตินั้นเย็นชืดแต่กลับให้ความรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่ถูกฟาร์คัสจูบคาร์บิลัสผู้แสนร่าเริงก็กลับมาทันใด เหมือนกับพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว “ ข้าเอามาแล้ว แต่เจ้าคงมองไม่เห็น ”
   
ฟาร์คัสในร่างวิญญาณขมวดคิ้วแน่นเมื่อพบว่าร่างของตัวเองกำลังถูกดัฟฟ์มุดเสื้อจนเสื้อที่ใส่อยู่แทบจะถลกขึ้นมาจนหมด ทั้งๆ ที่ตอนแรกข้าเห็นมุดแค่เสื้อคลุมแท้ๆ.. “ ปล่อยก่อนคาร์บิลัส ”
   
คาร์บิลัสปล่อยทันทีตามที่อีกฝ่ายต้องการและฉีกยิ้มซื่อๆ
   
“ อย่าลืมคุยกับข้าคืนนี้นะ ”
   
ฟาร์คัสถึงกับชะงักข้าที่กำลังก้าวเดิน “ ถ้าเจ้าพูดมากก็ไม่ต้องคุยแค่นั้นแหละ ”
   
สีหน้าของคาร์บิลัสเปลี่ยนเป็นสลดทันใด
   
“ เอ่อ.. ท่านคาร์บิลัสคุยกับท่านฟาร์คัสอยู่เหรอขอรับ ข้าไม่เห็นอะไรเลยนะ ” ลุกซ์หันซ้ายหันขวาพยายามหาร่างของปีศาจอีกา
   
คาร์บิลัสไม่ได้ตอบเพราะยังคงทอดสายตาน่าสงสารใส่ฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสไม่ได้สนใจแตะเข้าที่ร่างของตัวเองทันที
   
ความรู้สึกเหมือนถูกกระชากแรงๆ ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง
   
และลืมตาด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคย
   
การมีชีวิตนั่นเอง
   
แต่ความรู้สึกที่เด่นชัดของฟาร์คัสในตอนนี้คือเย็นท้องมากเนื่องจากการมุมเสื้อของดัฟฟ์
   
“ ออกไปจากตัวข้าเดี๋ยวนี้ดัฟฟ์ ” ฟาร์คัสพูดเสียงเย็นพร้อมเอนตัวขึ้นมานั่งดีๆ
   
“ แง้ ! แม่ตื่นแย้วว ดัฟฟ์กลัวไฟง้า ” ดัฟฟ์พูดเสียงอู้อี้เกาะเอวฟาร์คัสแน่นกว่าเดิม
   
“ มากลัวบ้าอะไรของเจ้า เจ้าก็พ่นมันได้เหมือนกันนั่นแหละ ” ฟาร์คัสเอ็ดเสียงดุพยายามใช้มือดึงดัฟฟ์ออกจากตัวซึ่งน้ำหนักก็ไม่ใช่น้อยๆ
   
ดูเหมือนว่าดัฟฟ์จะน้ำหนักขึ้นอีกแล้ว
   
ฟาร์คัสคิดในใจ

   “ แง้ แต่ดัฟฟ์กลัว สีส้มน่ากลัว ” ดัฟฟ์งอแง

--------------------------

 :katai5: # คลานมาอัพอย่างเชื่องช้า 5555

 :mew1: รักคนอ่านทุกคนจ้าา

ตอนหลังจากนี้มีแต่อะไรเครียดๆ คงหาอะไรสนุกแซมๆ ไปบ้างเพื่อไม่ให้เรื่องเครียดเกินไป   :hao3:

# ขอบคุณที่ยังติดตามกันค่ะ  :L1:


   
   
   

   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 17 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก--
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 17-08-2015 23:34:01
ชาวภูตนี่เอ้อระเหยดีจัง คิดว่าดินแดนตัวเองสงบสุขแล้วเลยไม่ค่อยเคร่งเรื่องการสู้รบเอาซะเลย

กว่าทหารตำรวจจะมาก็คงจบเรื่องแล้วม้างงงงงงงง :z3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 17 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก--
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-08-2015 00:27:38
งะดัฟนี่ป่วนไปหนาย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 17 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก--
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 18-08-2015 18:50:55
โฮกกกกก มังกรกลัวไฟ :hao7:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 17 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก--
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 18-08-2015 19:18:52
ดูเหมือนดัฟฟ์จะลืมไปแล้วว่าตัวเองก็เป็นมังกร//เป็นมังกรที่ำร้ประโยชย์ด้วย(ฮา)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 19 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง --
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 19-08-2015 22:45:43
-- ครึ่งหลัง --

ฟาร์คัสพ่นลมหายใจออกมาเซ็งๆ ยอมผ่อนปรนลง “ เลิกมุดเสื้อข้าได้แล้ว ถ้าจะกอดก็กอดข้างนอก.. ”
   
ดัฟฟ์ผลุบตัวเองออกมาอย่างง่ายดายและยิ้มกว้าง “ แม่ใจดีง้า ”
   
ฟาร์คัสถึงกับคิ้วกระตุก ไอ้มังกรขี้แยนี่หายไวพอๆ กับราชาปีศาจงี่เง่าเลย
   
ดูเหมือนว่ารอบตัวข้ามีแต่คนงี่เง่า..
   
ให้ตาย..
   
“ ฟาร์คัสๆ แล้วข้าล่ะ ! เจ้าให้แต่ไอ้มังกรงี่เง่านี่กอดเหรอ ข้าไม่ยอมนะ ! ” คาร์บิลัสหน้ามุ่ยเมื่อไอ้มังกรบ้ามันได้สิทธิพิเศษทั้งๆ ที่ข้าเองไม่ได้
   
“ หุบปากไป  เจ้าขาดความอบอุ่นนักรึไง ” ฟาร์คัสเหน็บและลุกขึ้นยืนพร้อมโยนดัฟฟ์ทิ้ง

คาร์บิลัสกลับมาเซื่อมซึมอีกครั้ง
   
จนฟาร์คัสเริ่มคิดว่าตัวเองมันเป็นตัวอะไรกัน
   
“ แง้ โยนดัฟฟ์ทำมาย ” ดัฟฟ์น้ำตาคลอวิ่งเข้ามาเกาะขาฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสกลอกตา “ ข้าจะไปหาเอลล์ พวกเจ้าจะไปด้วยไหม ? ”
   
“ เจ้าไปไหนข้าก็ไปด้วยอยู่แล้ว.. ” คาร์บิลัสตอบพร้อมยิ้มจาง
   
ลุกซ์หักนิ้วมือดังกร็อบๆ “ ไปสิ ถ้าไม่ไปแล้วเอลล์ของข้า จะสู้ได้ยังไง ? ในเมื่อดวงตาของเขายังอยู่ที่นี้ ”
   
คาร์บิลัสวาดวงเวทบนพื้นโดยไม่ต้องรับคำสั่งจากฟาร์คัส นิ้วที่วาดวงเวทนั้นรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ปรากฎเป็นวงเวทวงกลมสีดำลวดลายตัวอักษรที่ปรากฎเพียงแค่เห็นก็รู้ว่าเป็นภาษาของปีศาจทันทีเพราะว่าตัวอักษรที่ดูกดหนักไปซะทุกคำการตวัดที่หาความอ่อนช้อยไม่เจอ “ เข้ามาสิฟาร์คัส ”
   
ฟาร์คัสจับมือดึงมือดัฟฟ์จากขากางเกงมาจับมือแน่น “ คาร์บิลัส รู้สึกว่าช่วงนี้เจ้าจะดูเก็บกดกับคำพูดของข้าไปซะทุกคำเลยนะ ”
   
“ คิดอย่างงั้นเหรอ ? ไร้สาระนะ ข้าไม่งี่เง่าแบบนั้นหรอก ”
   
ลุกซ์เดินเข้ามาอยู่ในวงเวทเงียบๆ โดยเว้นระยะห่างให้ท่านๆ ทั้งสองคุยกันได้สบายๆ โดยไม่มีก้างขวางคอ ช่วงที่ยังว่างๆ ข้าก็คิดไปเรื่อยเปื่อย
   
ถ้าหากว่าเรื่องจบแล้ว ?
   
ข้ากับเอลล์จะเป็นยังไงกัน
   
ดัฟฟ์มองหน้าฟาร์คัสสลับกับคาร์บิลัสและตัดสินใจดึงมือของฟาร์คัสออก “ แม่ไม่ใจดีแล้ว ฆ่าบี้ลัสงอนแล้วเห็นไหม แก๊ซ ” และเดินไปหาคาร์บิลัส
   
คาร์บิลัสรู้สึกซาบซึ้งเงียบๆ “ งอนอะไรของเจ้า ไอ้มังกร ”
   
ดัฟฟ์แลบลิ้นใส่คาร์บิลัส “ ขี้โม้ง้า ดัฟฟ์รู้นะ ฆ่าบี้ลัส ! ”
   
“ ข้าขอโทษที่พูดแรงไปแล้วกัน เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าพูดแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ” ฟาร์คัสอดไม่ได้ที่จะขอโทษคาร์บิลัส ดูเหมือนว่าวันนี้
ข้าจะทำปีศาจงี่เง่างอนไปถึงสองรอบเชียว
   
คาร์บิลัสยิ้ม “ วันนี้ข้าก็แค่นอนน้อยไปหน่อยเท่านั้น อย่าคิดมากไปเลยฟาร์คัส ” ในขณะเดียวกันก็ดีดนิ้วเบาๆ

เรียกให้เกิดแสงสีดำทมิฬอาบไล้ไปทั่วบริเวณ
    
   
เอลล์กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ด้านหน้าของปราสาท
   
ที่ๆ ได้ยินเสียงอึกทึกเสียงกรีดร้องอะไรต่อมิอะไรผสมปนเปกันไปหมด
   
ระหว่างทางก็ใช้เวทรักษาภูตหรือจัดการอสูรที่บุกเข้ามา
   
นี่เป็นเหตุผลที่เอลล์ไม่ใช้เวทย์ในการเดินทางไปในชั่วพริบตา
   
เพื่อดูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับแดนภูตนั่นเอง
   
แต่ละอย่างที่เอลล์พบเห็นล้วนแต่เหมือนกริชปักเข้าที่หัวใจจนเลือดซึมออกมาอย่างช้าๆ
   
ร่างของภูตที่บาดเจ็บหรือตาย
   
ปราสาทต้นไม้ของประดับที่ย้อมไปด้วยเลือดจนหาความสวยงามไม่เจอ
   
ความพังพินาศของบ้านเมืองเป็นสิ่งที่เอลล์เห็นจนเผลอมองมันด้วยความไม่เข้าใจ
   
บางทีการมองไม่เห็นจะดีต่อข้ามากกว่า..
   
ในเมื่อการมองเห็นมีแต่ความเจ็บปวดเป็นสิ่งตอบแทน
   
เอลล์พยายามก้าวขาให้ไวกว่าเดิม
   
เพราะตอนนี้เหมือนกับมีโซ่หนักๆ มาล่ามขาเอาไว้
   
ข้าไม่เหมาะกับการเป็นกษัตริย์สักนิด..
   
ข้ามันแย่ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา
   
ฉะนั้นข้าจะรับผิดชอบมันด้วยชีวิตของข้า
   
เอลล์ตั้งปณิธานเงียบๆ กับตัวเอง
   
ข้าขอโทษ

ลุกซ์..
   
มังกรผู้เป็นที่รักของข้า
   
ดวงตาที่ทดแทนชีวิตของข้าในยามที่ข้าไม่มีสิ่งใด
   
โลกที่มืดมิดของข้าดูไม่น่าเบื่อเพราะเจ้าเลย ลุกซ์
   
“ ป้องกันแดนหน้าไว้ !! เดี๋ยวข้าจะลงไปจัดการพวกมันเอง ! ”
   
เอลล์สะดุ้งจากภวังก์ของตัวเองไปให้ความสนใจกับเสียงทุ้มต่ำที่ฟังแล้วรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว
   
เสียงของความเป็นผู้นำ
   
เสียงที่แค่ได้ยินก็รู้สึกว่าคนๆ นี้สามารถคุ้มครองเราให้ปลอดภัย
   
เอลล์เบิกตากว้างเมื่อมองเห็นร่างตรงหน้า
   
ชุดของกษัตริย์
   
มงกุฏไม้เลื้อยประดับด้วยอัญมณี
   
หน้ากากที่ประดิดประดอย
   
นั่นมันชุดของข้า !
   
เอลล์เพียงแค่คิดแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
   
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?
   
แล้วทำไมท่านพ่อของข้าถึงได้ไปยืนข้างคนผู้นี้กัน
   
ข้ามองด้วยความไม่เข้าใจ
   
หรือว่า..
   
ข้าไม่ได้เป็นกษัตริย์ของดินแดนภูตมาตั้งแต่แรกแล้ว..

--------------------

ขออภัยในความสั้นของตอนนี้ค่ะ  :hao5: แต่มันต้องตัดที่ตรงนี้ค่ะ 55555  :hao6:

   
   
   
   
   
   
   

   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 23 19 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 19-08-2015 22:50:38
 :a5:

ว๊อททททททททททท คนนั้นเป็นใคร  :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

ดูครอบครัวง้องแง้งกันแล้วมาเจอเรื่องพลิกล็อค เงิบเลยตรู
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 23 19 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-08-2015 23:20:00
งะ คืออะไรเนี่ย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 23 19 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 19-08-2015 23:40:29
นี่มันเกิดอะไรขึ้นนน
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 23 19 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 20-08-2015 00:00:30
ตัวละคลเริ่มเยอะมานิดๆแล้วก็ไปกันหมด

สรุปนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันนี้งงจุง :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 23 19 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 22-08-2015 18:11:32
โห่.........มาแต่ละตอน  :ling2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 23 19 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-08-2015 21:26:26
ใครกัน ??
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 23 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก--
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-08-2015 22:54:15
ตอนที่ 24
   
เวทของคาร์บิลัสพามายังป่าด้านนอกปราสาทซึ่งก็เป็นบริเวณใกล้ๆ กับที่เอลล์อยู่ เมื่อยืนได้มั่นคง ลุกซ์เปลี่ยนร่างตัวเองเป็นมังกรแล้วบินร่อนขึ้นไปในท้องฟ้าทันทีโดยไม่ได้พูดคำบอกลาอะไรสักอย่างกับเจ้านายของตัวเองแม้แต่น้อย
   
“ หึ เดี๋ยวนี้ความรักท่าจะบังตาลูกน้องของข้าแล้วล่ะ ” คาร์บิลัสเหยียดยิ้มขณะที่มองส่งมังกรไฟที่ตีปีกพึ่บพั่บล่วงหน้าไปก่อนอย่างรวดเร็ว
   
“ พูดอย่างกับว่าเจ้าสนใจ ” ฟาร์คัสพูดเรียบๆ พลางใช้สายตากวาดสายตามองรอบๆ
   
เป็นครั้งแรกที่ข้าอยู่ในสงครามจริงๆ
   
ร่องรอยการต่อสู้

รอยเลือดที่ดูสดใหม่ลากยาวอยู่บนพื้นชวนให้รู้สึกขนลุก

แววตาของฟาร์คัสของฟาร์คัสหม่นลง

ดีที่อย่างน้อยดินแดนของข้าก็ไม่ได้เกิดสงครามเช่นนี้

มีเพียงผู้เสียสละคนเดียวเท่านั้น

ฟาร์คัสตกอยู่ในภวังก์ของตัวเองและต้องสะดุ้งกับมืออุ่นๆ ที่กระชับเข้าที่มือของตัวเองอีกครั้ง ฟาร์คัสเหลือบมองเจ้าของมือก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังฉีกยิ้มซื่อๆ ให้อยู่

ราชาปีศาจงี่เง่า

ทั้งที่คิดแบบนั้นกลับเผลอยิ้มจางอย่างไม่รู้ตัว

“ แง้ แม่ ดัฟฟ์ได้กลิ่นไรไม่รู้ง้า ” ดัฟฟ์ย่นจมูกและกระตุกเสื้อฟาร์คัสหันซ้ายหันขวาหาต้นเหตุของกลิ่นที่ว่า

โฮกกกก

ไม่นานก็ปรากฎที่มาของกลิ่น มันปรากฎตัวพร้อมเสียงคำรามดังลั่น เป็นร่างกำยำของอสูรมันก้าวเดินด้วยขาที่ปกคลุมไปด้วยขน

ที่ยุ่งเหยิงบนหัวมีเขาสีดำคู่ยักษ์โค้งงอนไปด้านหลังนัยน์ตาสีแดงก่ำที่หมายเอาชีวิตผู้อื่น
ตัวของมันเปราะไปด้วยเลือด

และในปากของมันมีร่างของชาวภูตอยู่ !
   
ดัฟฟ์ย่นคิ้วเอามือหนีบจมูกตัวเองใช้นิ้วสั้นๆ ชี้ไปที้อสูร “ แง้ ! เหม็นนนนนน ” และพูดเสียงดังราวกับกำลังประณามอสูรอยู่
   
ฟาร์คัสถึงกับลมหายใจสะดุดไปครู่หนึ่ง
   
เมื่อพบว่าร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่
   
“ ช่— วยด้วย ” ร่างในปากของอสูรพยายามแค่นเสียงพูดกระท่อนกระท่อนขอความช่วยเหลือแม้ว่ามันจะทำให้เลือดไหลออกจากแผลมากกว่าเดิม
    
นัยน์ตาของอสูรเข้มขึ้นอย่างหงุดหงิดมันบดกรามทรงพลังใส่ภูต
   
ตาของชาวภูตเบิกกว้างแต่ไม่ได้กรีดร้องออกมา และใช้สายตาวิงวองมองมายังฟาร์คัสและคาร์บิลัส
   
“ คาร์บิลัส.. ” ฟาร์คัสเรียกชื่อคาร์บิลัสเสียงเบา
   
“ อืม ” คาร์บิลัสรับคำเสียงเข้มและปล่อยมือของตัวเองออกจากฟาร์คัส คาร์บิลัสย่างสามขุมเข้าไปหาอสูรโดยไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อยจนอสูรที่ยืนอยู่เผลอก้าวถอยหลังอย่างเผลอตัว
   
แม้ว่าสติปัญญาจะต่ำต้อย   
   
แต่สัญชาตญาณของอสูรก็บอกว่าร่างตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่จะต่อกรด้วยง่ายๆ
   
แววตาของคาร์บิลัสนั้นว่างเปล่า ไม่มีความสงสารอะไรใดๆ อยู่ในแววตา คาร์บิลัสยื่นมือออกไปในอากาศพลางท่องเวทเสียงเบา ฉับพลันอากาศเกิดการกรีดร้องเป็นเสียงหวีดหวิวมาพร้อมกับดาบสีดำทมิฬของคาร์บิลัส
   
คาร์บิลัสกระชับดาบในมือแน่น ไอเวททรงพลังแผ่จางๆ ออกมาจากดาบของคาร์บิลัสอย่างผิดวิสัย คาร์บิลัสไม่ชอบสงครามเข้าขั้นเกลียด
   
เพราะมันทำให้คาร์บิลัสสูญเสียพ่อกับแม่ของตัวเองไป !
   
ฮื่ออ
   
อสูรคำรามในลำคอยืนนิ่งๆ สิ่งที่มันเลือกทำไม่ใช่การพุ่งเข้าโจมตีเหมือนกับชาวภูตทั่วไป แต่เป็นการใช้เวทมนตร์ ใบไม้รอบตัวของอสูรนั้นหมุนริ้วจนมองไม่ทันฝุ่นลอยฟุ้งไปรอบๆ
   
แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาของคาร์บิลัส
   
โฮก
   
อสูรนั้นได้เสกไฟออกมาใส่ลมพายุที่ตัวเองเสก จนเกิดเป็นพายุเพลิงๆ ขนาดยักษ์ที่พร้อมจะเผาผลาญทุกชีวิตที่คิดจะฝ่าฟันไป
   
สีหน้าของคาร์บิลัสไม่ได้เปลี่ยนแม้แต่น้อย
   
คาร์บิลัสพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่อยและตวัดดาบใส่ลมพายุของอสูร
   
ตูม !
   
คมดาบของคาร์บิลัสไม่ได้เป็นเพียงคมดาบธรรมดา เพราะมันได้กลายเป็นพายุลูกย่อมสีดำที่หมุนริ้วไวกว่ามันกลืนค่อยๆ กินพายุไฟของอสูรจนเหลือเพียงตัวมันเอง คาร์บิลัสพุ่งตัวเข้าไปหาอสูรแม้ว่าจะมีพายุลูกย่อมของตัวเองขวางกั้นอยู่
   
เพราะฝุ่นที่ฟุ้งกระจายไปทั่วจนทรรศนียภาพย่ำแย่ทำให้อสูรทำได้เพียงยืนตั้งรับนิ่งๆ ใช้ดวงตาที่ทอประกายความหวาดกลัวมองจ้องไปรอบๆ
   
และนั่นโอกาสให้คาร์บิลัสฟันเข้าที่หัวของมัน
   
ไม่ทันได้กรีดร้องมันก็หลุดออกมาจากบ่าทันที เกิดเป็นภาพสยดสยองต่อผู้พบเห็น
   
คาร์บิลัสหันไปเห็นฟาร์คัสที่ยืนจ้องด้วยสีหน้านิ่งเรียบแต่มือนั่นสั่นอยู่น้อยๆ จึงเตะเข้าที่ร่างอสูรทำให้ร่างของอสูรกลายเป็นฝุ่นผงสีน้ำตาลเข้มปลิวไปตามลม คมดาบของคาร์บิลัสไม่เพียงจะฆ่าอสูรเท่านั้นมันยังใช้สลายพายุลูกยักษ์อีกด้วย
   
เหลือเพียงหัวของอสูรที่ในปากของมันมีร่างของชาวภูต
   
ฟาร์คัสรีบเดินเข้ามาใกล้ดึงตัวร่างของชาวภูตออกจากปากอสูรพร้อมกันนั้นก็ได้ใช้เวทรักษาไปด้วย ฟาร์คัสจ้องร่างในมือด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
    
เพราะร่างที่ได้รับบาดเจ็บเป็นผู้หญิง
   
อีกทั้งในอ้อมกอดนั้นยังมีเด็กตัวเล็กๆ ด้วย..
   
“ ขอบคุณ—พวกท่านมาก ” ชาวภูตพูดพร้อมรอยยิ้มจางพยายามใช้มือสั่นๆ ที่เปื้อนเลือดของตัวเองลูบหัวร่างที่หลับอยู่ในอ้อมกอด

“ อย่าพูดอะไรเลย มันจะทำให้แผลของเจ้า.. ” ฟาร์คัสพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น
   
ถึงแม้ว่าเย็นชาแต่ก็ใช่ว่าจะไร้หัวใจ
   
เวทที่ใช้รักษาภูตนั้นดูแล้วไม่ได้ผลอะไรเลยแม้แต่น้อยมีแต่จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เลือดไหลออกมามากกว่าเดิม จนฟาร์คัสไม่กล้าร่ายเวทรักษาต่อ
   
“ นางไม่รอดหรอก ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสพูดเสียงเรียบแต่กลับปรากฎสีหน้าอ่านยาก
   
คาร์บิลัสไม่ได้พูดเพื่อตัดรอนความหวังของฟาร์คัสแต่อย่างใด
   
เพียงแค่พูดความจริง
   
ดัฟฟ์เดินเข้าไปหาชาวภูตและใช้มือสั้นๆ ป้อมๆ ของตัวเองลูบหัวร่างในอ้อมกอดของชาวภูต “ เล่นกัน มาเล่นกัน ”
   
ฟาร์คัสเหยียดยิ้มเศร้าๆ ออกมากับร่างตรงหน้า
   
สงครามไม่เคยทำให้ใครมีความสุขจริงๆ
   
“ แค่ก ! ” ร่างของชาวภูตไอเป็นเลือดออกมาแต่ยังคงฝืนยิ้มจางๆ “ ข้าขอฝากนาซัสไว้กับพวกท่าน ” พูดพร้อมค้อมหัวลง “ ข้า..ขอร้อง ” แต่น้ำเสียงที่พูดกลับสั่นจนคนที่ฟังแทบร้องไห้
   
“ ได้สิ ” ฟาร์คัสพูดเสียงเรียบเอื้อมมือไปดึงตัวภูตที่อยู่ในอ้อมกอดมากอด
   
“ ขอบคุณพวกท่าน.. มาก ” ทั้งๆ ที่กำลังยิ้มแต่น้ำตากลับไหลออกมาจากดวงตา “ ข้าคงไม่มีชีวิตอยู่ต่อจนกระทั้งนาซัสโต แค่ก นาซัสเป็นเด็กผู้ชายที่น่ารัก ข้าเชื่อว่าเขาคงไม่ดื้อกับพวกท่านแน่ ”
   
คาร์บิลัสที่ยืนเงียบๆ มานานยอมปริปาก “ ข้ารับปากว่าจะดูแลเด็กคนนี้อย่างดี ”
   
รอยยิ้มโล่งใจเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่ปรากฎบนใบหน้าก่อนที่จะนอนแน่นิ่งไป
    
ดัฟฟ์วิ่งเข้ามาเกาะฟาร์คัส “ แง้ ดัฟฟ์อุ้มเอง ดัฟฟ์อุ้มเอง ”
   
ฟาร์คัสไม่พูดอะไรยอมยื่นนาซัสที่หลับอยู่ให้ดัฟฟ์ง่ายๆ “ อย่ากอดแรงไปล่ะ ดัฟฟ์ ” แววตาของฟาร์คัสยังคงเจือความเศร้า
   
ถึงแม้จะไม่รู้จักกันแต่ก็ถือว่าอิทธิพลทางอารมณ์พอสมควร
   
คาร์บิลัสเอามือลูบหัวฟาร์คัส “ ความตายเป็นสิ่งเจ้าคุ้นเคยไม่ใช่เหรอ ฟาร์คัส ? ไม่ว่าใครก็ตามก็ต้องประสบกับมัน อยู่ที่จะช้าหรือเร็ว เจ้าลืมไปแล้วเหรอ ”
   
ฟาร์คัสหลับตาลง “ ข้ารู้จักมันดี... ”
   
แต่ใครบ้างล่ะ จะไม่รู้สึกสลดใจเมื่อเห็นคนตายตรงหน้า
   
คาร์บิลัสตัดสินใจโน้มตัวลงไปจูบฟาร์คัสเพื่อดึงความสนใจ
   
แม้ว่าอาจจะถูกฟาร์คัสไล่กระทืบก็ตาม
   
ฟาร์คัสเผลอครางในลำคอแต่เมื่อได้สติก็ผลักร่างของคาร์บิลัสออกทันที ฟาร์คัสจ้องคาร์บัลสด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเย็น “ คาร์บิลัส ! ”
   
คาร์บิลัสยิ้มกว้างเรียกชื่อฟาร์คัสเสียงหวาน “ เรียกข้าทำไม ฟาร์คัส ”
   
ฟาร์คัสแค่นเสียงหึกัดฟันกรอด “ ช่างมันเถอะ รีบๆ ไปหาเอลล์กันได้แล้ว ”
   
“ ตามที่เจ้าต้องการ ฟาร์คัส ! ” คาร์บิลัสพูดเสียงร่าเริงก้าวนำไปก่อน “ เดินเท้าสักนิดก็ถึงแล้วล่ะ ”
   
“ แง้ น่าร้ากก ดัฟฟ์ มีน้องแล้ววว เย้ มีเพื่อนน ” ดัฟฟ์ยังคงตื่นเต้นอยู่
   
ฟาร์คัสเดินไปจับมือดัฟฟ์และก้าวตามไปด้วยความหงุดหงิดก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นอามณ์ปกติเมื่อลองไตร่ตรองสิ่งที่คาร์บิลัสกระทำ
   
ขอบใจ.. คาร์บิลัส
   
ฟาร์คัสเพียงแค่คิดแต่ไม่ได้พูดออกมาเพราะทิฐิที่ค้ำคอ   

-----------------
 :katai4: อัพตอนกลางคืนอีกแล้ว 555

# ทุกคนอย่าเพิ่งงงเต็กกันสิ 555
   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 23 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก--
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 23-08-2015 22:59:33
อืม..........

พ่อ(ราชาปีศาจ)+แม่(อดีตราชวงศ์นกบอกลาง)
ได้ลูกเป็นภูต

 :hao3:

แต่ยังไม่เฉลยว่าใครเป็นกษัตริย์ตอนนี้ ม่ายยยยยยยยยยยยยยย  :sad4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 23 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก--
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-08-2015 02:32:41
มีมาอีกคู่ใช้มั้ย คู่เด้กน้อยเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 23 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก--
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 24-08-2015 15:37:15
คู่ของดัฟหย่ออออ  :hao6:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 23 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก--
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-08-2015 15:49:45
ชอบอ่านเวลาดัฟฟ์พูดเป็นพิเศษอ่ะ น่ารักดี
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 23 ส.ค 58 -- ครึ่งแรก--
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 25-08-2015 00:15:36
ดัฟฟ์ มีน้องแล้ววว. 55555. น่ารัก ขอบดดัฟเยอะๆหน่อย อิอิ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 26 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 26-08-2015 22:20:26
เสียงลมหวีดหวิวเป็นเสียงที่ข้าไม่ได้ยินมานานรวมถึงเมฆก้อนกลมที่ลอยเอื่อยเวลาที่ข้าบินผ่านมักจะปลิวกระจายหายไปด้วย
   แต่ตอนนี้คงไม่เหมาะสำหรับการรำลึกความหลังของข้าสักเท่าไหร่
   
ข้ารีบตีปีกให้ไวขึ้นใช้ดวงตาสีเพลิงจดจ้องไปตามพื้นดินที่แม้ว่าจะเล็กนิดเดียวจากมุมมองของข้า แต่สำหรับมังกรไฟนั้นไม่ใช่ปัญหา ข้าพึมพำท่องเวทเสียงเบาเพื่อหาตำแหน่งของเอลล์ ในขณะที่ข้ากำลังร่ายเวทที่ข้อมือของข้าก็ปรากฎรอยตราเวทไม้เลื้อยของเอลล์ ใช้เวลาไม่นานข้าก็สามารถระบุที่อยู่ของเอลล์ได้ 
   
ข้าหรี่ตามองบริเวณหน้าปราสาทเมื่อเห็นร่างของเอลล์กำลังพูดอะไรสักอย่างข้างๆ มีเมเออร์ยืนกำกับอยู่ ข้ารีบร่อนลงมาหาเอลล์ทันที แต่เมื่อบินเข้าไปได้สักพักข้าก็ต้องขมวดคิ้ว
   
นี่ไม่ใช่กลิ่นของเอลล์
   
แล้วร่างตรงหน้านี่มันใครกัน !!
   
ลุกซ์เกือบจะคำรามเสียงดังลั่นด้วยความโมโห เมเออร์เอาใครมาแทนที่เอลล์ของข้ากัน ! แต่ก่อนที่จะได้คำรามลุกซ์ก็นึกขึ้นมาได้ก่อนว่า ขนาดข้าที่ไม่ใฃ่เอลล์ยังหงุดหงิดถึงขั้นนี้แล้วเอลล์ที่อยู่แถวๆ นี้ล่ะ ข้าร่ายเวทขึ้นมาอีกครั้งข้อมือร้อนวาบพร้อมกับบอกที่อยู่ของเอลล์อีกครั้ง
ข้างหลังพุ่มไม้นั่น !

ข้าร่อนลงด้วยความเร็วมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวและเปลี่ยนกลับเป็นมนุษย์เมื่อเท้าสัมผัสกับพื้นดิน ข้ารีบเดินเข้าไปหาเอลล์ ที่ยืนนิ่งค้างอยู่หลังต้นไม้
   
ทั้งๆ ที่ข้ายืนข้างหลัง
   
เเอลล์กลับไม่รู้สึกถึงข้าแม้แต่น้อย..
   
ข้าตัดสินใจสวมกอดเอลล์จากด้านหลัง ซึ่งเอลล์ก็ไม่ได้ขัดขืนข้าแต่อย่างใด เมื่อข้าสัมผัสกับมือของเอลล์พบว่ามืออีกฝ่ายนั้นเย็นเฉียบตัวที่สั่นน้อยๆ
   
“ ลุกซ์.. ”
   
เอลล์ครางชื่อลุกซ์ออกมาเสียงสั่นทั้งๆ ที่กำลังจ้องมองร่างกำยำในชุดคลุมกษัตริย์อย่างไม่ละสายตา “ เจ้าว่านั่นหมายความยังไง ? ”
   
“ ข้าก็ไม่รู้.. ” เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกเกลียดตัวเองที่โง่เขลาเกินไป “ แต่ข้าว่าพ่อของเจ้าอาจจะมีเหตุผลให้ไอ้นั่นมันปลอมตัวเป็นเจ้าก็ได้นะ ”
   
“ ข้าว่าเขายังมีคุณสมบัติการเป็นกษัตริย์มากกว่าข้าซะอีก ” เอลล์ยิ้มเยาะตัวเองทั้งๆ ที่แววตาทอประกายเสียใจ “ ท่าทาง คำพูด น้ำเสียง ทุกอย่าง เขามีทุกอย่างเหมือนที่ข้ามี แล้วยังดีกว่าข้าอีกด้วย ” เอลล์หลุบตาลงต่ำ ที่กล่าวไปนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่สมกับเป็นกษัตริย์ และเขาก็มีของอย่างว่าเช่นกัน..
   
มันไม่ใช่สิ่งที่ชาวภูตทั่วไปจะร่ำเรียนกัน
   
นอกเสียจากท่านพ่อของข้าจะช่วย..
   
ลุกซ์ดึงให้เอลล์หันมาสบตากับตัวเองและต้องเผลอใจสั่นไปเมื่อพบว่าดวงตาของเอลล์นั้นที่ถึงแม้จะไม่มีน้ำตาคลอหน่วงแต่ยังกลับแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ จนข้าที่มองยังรู้สึกสลดตาม
   
เจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันเมเออร์..
   
ไหนที่เจ้าบอกว่ารักเอลล์นักรักเอลล์หนาไง
   
ลุกซ์รวบตัวเอลล์มาซุกกับอกของตัวเองเพื่อไม่ให้แววตาเศร้าๆ แบบนั้นนานมากกว่านี้ ลุกซ์ยืนจ้องเขาคนที่เอลล์ว่าต่อเงียบๆ ในขณะที่มือกำลังลูบหัวเอลล์เบาๆ และต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างคุ้นตาของคนๆ นึง ไม่สิทุกคนเลยมากกว่า.. เดินเข้ามา
   
   
“ นาชัส น่าย้ากจังเลย ดัฟฟ์ไม่ให้แม่อุ้มหรอก แก๊ซ ” ดัฟฟ์ยังคงกระดี้กระด้าอุ้มร่างเล็กในมืออย่างทะนุถนอม
   
“ แล้วแต่เจ้าเถอะ ดัฟฟ์ ” ฟาร์คัสกลอกตา แค่มีเจ้าคนเดียวก็เบื่อเต็มทนอยู่แล้ว นี่ข้ายังต้องกระเตงลูกอีกคนอีกงั้นเหรอ
   
ให้ตาย..
   
ยังกับว่าข้าเป็นอีกาลูกดกยังไงยังงั้น
   
ฟาร์คัสพยายามคิดบ่ายเบี่ยงนอกเรื่องเพื่อไม่ให้รู้สึกสลดกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดจนเกินไป “ คาร์บิลัส ไหนเจ้าบอกใกล้ไง ”
   
คาร์บิลัสหันยิ้มให้ฟาร์คัสแล้วเดินต่อไป “ ไม่เชื่อข้างั้นเหรอ ฟาร์คัส คาร์บิลัสของเจ้าไม่มีทางโกหกเจ้าหรอกน่า ~ ”
   
ฟาร์คัสสูดลมหายใจลึกพยายามจะไม่สบถคำหยาบคายออกมา “ ข้าถามเจ้าว่าใกล้ถึงรึยังมาเกือบ 10 รอบแล้ว เจ้ายังมีหน้ามาบอกใกล้อีกนะคาร์บิลัส ”
   
“ ก็สำหรับข้ามันใกล้ๆ เองนี่ ” คาร์บิลัสหยุดเดินหันมาตอบฟาร์คัส
   
“ แล้วนิยามคำว่าไกลของเจ้ามันคืออะไรกัน ” ฟาร์คัสเริ่มหน้าเจื่อนด้วยความเซ็ง
   
คาร์บิลัสหยุดคิดสักพักจึงตอบ “ ก็คงจะประมาณดินแดนมนุษย์กับดินแดนปีศาจล่ะมั้ง ”
   
ฟาร์คัสแทบคำรามใส่คาร์บิลัส “ เออ แบบนี้ข้ารู้ว่าไกล แล้วปกติเจ้าเดินทางยังไงถึงได้เรียกที่เดินๆ อยู่นี่ว่าใกล้ ”
   
“ ปกติข้าใช้วงเวทน่ะ เดินแบบนี้ข้าไม่ค่อยทำหรอก เสียเวลาจะตาย ”

   “ เจ้าก็รู้นี่ คาร์บิลัส แล้วจะมาเดินทำไมวะ ” ฟาร์คัสเริ่มหงุดหงิด
   
“ เพราะถ้าหากใช้วงเวทบุกเข้าไปเลย ข้ากับเจ้าอาจจะโดนข้อหากบฎและถูกตามล่าสิ ”
   
“ ข้าว่าแค่เดินเข้าโทงๆ แบบนี้ก็โดนหาว่ากบฎได้แล้วนะ ”
   
“ อ้อ ความจริง ข้าอยากเปิดตัวแบบธรรมดาเฉยๆ น่ะ เบื่อแบบอลังการแล้ว ” คาร์บิลัสฉีกยิ้มกลบเกลื่อนอีกครั้ง ความจริงแล้วคาร์บิลัสก็เบื่อกับการเดินเช่นกันแต่เพื่อความปลอดภัยของฟาร์คัสจึงพาเดินต่อไปเรื่อยๆ ในระหว่างที่เดินก็แอบใช้เวทเข้าไปจัดการอสูรรอบๆ หรือย้ายศพที่อยู่ใกล้ๆ
   
ข้าไม่อยากเห็นฟาร์คัสของข้าต้องเศร้าหลายๆ ครั้งหรอกนะ
   
ป้องกันไว้ก่อนก็ดี
   
ทำให้ข้าพอฟาร์คัสลัดเลาะป่าวนเป็นวงกลมโดยไม่ลืมแอบเปลี่ยนทรรศนียภาพรอบๆ เพื่อไม่ให้ฟาร์คัสจับได้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วถ้าหากเดินออกไปตรงๆ ก็จะถึงพื้นที่ที่พวกเมเออร์อยู่แล้ว
   
เอาล่ะ
   
คงถึงเวลาแล้วแหละ

“ ถึงแล้วจริงๆ รอบนี้ ”

“ ดี ” ฟาร์คัสแค่นเสียงตอบพยายามมองผ่านต้นไม้รกครึ้มว่าข้างหน้าที่ตนจะไปนั้นมีอะไรอยู่จริงหรือไม่ แต่ไม่ถึงอึดใจก็พบว่าเป็นความจริง
   
กำแพงอิฐสูงสีเลือดหมูที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดบริเวณที่โล่งเตียนหน้ากำแพงเป็นคล้ายถนนสำหรับเข้าไปในประตูไม้ที่ถูกดูแข็งแรง คาร์บิลัสเดินนำเข้าไปก่อนที่จะหยุดที่หน้าประตูไม้และดีดนิ้วใส่ประตูไม้จนมันส่งเสียงคล้ายกล้ายแตก “ เจ้าทะลุมันไปได้เลย ตอนนี้มันใช้การไม่ได้แล้วล่ะ ”
   
“ เย้ ทะลุกำแพงๆ ” ดัฟฟ์ยิ้มกว้างตัวเริ่มอยู่ไม่สุข
   
คาร์บิลัสหันบอกดัฟฟ์เซ็งๆ “ ประตูได้อย่างเดียว ถ้าเจ้าอยากชนกำแพงตายก็เชิญ ”
   
“ เย้ ประตูๆๆๆ ” ดัฟฟ์เปลี่ยนคำพูดตาเป็นประกายกระโจนเข้าไปในประตูเป็นคนแรกทั้งๆ ที่ในมือยังกอดนาซัสแน่น
   
“ ... ” ฟาร์คัสเดิมที่ตั้งใจจะเข้าไปพร้อมกับดัฟฟ์ถึงกับพูดอะไรไม่ออกรีบเดินทะลุตามไปทันที

   คาร์บิลัสไหล่ลู่ลงอย่างหมดมาดและรำพันกับตัวเองเบาๆ “ ทำไมถึงไม่มีใครรอข้าบ้างล่ะ.. ” แต่ขาที่มีก็ยังคงทำงานได้ดีพาร่างของราชาปีศาจผ่านประตูไป
   
ภาพตรงหน้าทำเอาฟาร์คัสถึงกับพูดอะไรไม่ออก
   
ภาพเศษซากของอสูรและภูตกระจัดกระจายอยู่บนพื้น พื้นที่ในกำแพงคล้ายกับภายในนอกตรงที่มีป่าล้อมรอบสองฟากถนน แต่ที่ทำให้พูดไม่ออกจริงๆ ก็คือภาพที่ทหารภูตที่พร้อมใจกันชี้ดาบ หอก แคร่ มาที่คณะของฟาร์คัสเป็นเป้าเดียว
   
ทั้งๆ ที่คนยืนตรงนั้นคือเอลล์แท้ๆ..
   
ฟาร์คัสมองร่างในชุดกษัตริย์ด้วยความไม่เข้าใจ
   
เอลล์ นี่เจ้าจะทรยศความเชื่อใจของข้าอีกคนงั้นเหรอ..
   
“ นั่นไม่ใช่เอลล์ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสเดินมากระซิบหูฟาร์คัสและใช้มือหนาปิดตาฟาร์คัสไว้ทั้งสองข้างพร้อมร่ายเวทให้ฟาร์คัสไม่ได้ยินสิ่งที่ตนกำลังจะพูด เมื่อร่ายจบแววตาของคาร์บิลัสเปลี่ยนเป็นเด็ดขาดทันที “ ข้าไม่ชอบให้ใครมาชี้ดาบใส่ข้าแบบนี้ !! ” และคำรามทุ้มต่ำออกมาด้วยน้ำเสียงชวนให้คนฟังรู้สึกหวาดกลัวถึงขั้วหัวใจ
   
ฉับพลันเรื่องประหลาดก็ปรากฎ
   
เมื่ออาวุธในมือของทหารภูตนั้นร่วงกราวมากองบนพื้นเป็นเสียงดังก้องแก้งทั้งๆ ที่คาร์บิลัสไม่ได้ร่ายเวท โจมตีหรืออะไรใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมกันนั้นร่างของทหารภูตก็เข่าทรุดกันกองบนพื้นจนหมดสภาพไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ
   
เพราะความหวาดกลัวที่กัดกินหัวใจนั่นเอง
   
ร่างในชุดกษัตริย์ไม่ได้มีทีท่าผิดแผกไปแต่เดิมแม้แต่น้อยราวกับว่าไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับสิ่งที่คาร์บิลัสกระทำ
   
“ เสียงดังง้า แบบนี้ ! นาซัสตื่นแน่เลย แง้ ! “ ดัฟฟ์หน้ามุ่ยเอามือข้างนึงที่ว่างปิดหูนาซัส น่าเสียดายที่มือของดัฟฟ์เล็กเกินกว่าจะปิดได้เพราะหูของนาซัสได้ยาวผิดรูปตามปกติของชาวภูต
   
คาร์บิลัสไม่ได้สนใจดัฟฟ์ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความกดดันจ้องเข้าที่เมเออร์ตรงๆ
   
แต่เมเออร์ที่เป็นถึงอดีตราชาภูตย่อมไม่สะทกสะท้านใดๆ เพราะเลือดขัดติยะที่มีอยู่ในตัว
   
ต่อให้หวาดกลัวแทบสิ้นใจ ก็ห้ามแสดงออกมา !
   
“ ไว้ค่อยคุยเถอะ มันยังไม่ถึงเวลาที่จะเล่า.. ” เมเออร์จ้องตาตอบแต่ได้ไม่นานก็เผลอลมหายใจติดขัดด้วยความกลัวและเบือนหน้าหนีไปเอง
   
ทั้งๆ ที่เวลาอยู่กับอีกานั้นเหยาะแหยะ
   
แต่ตอนนี้กลับน่ากลัวยิ่งกว่ามัจจุราจซะอีก !
   
เมเออร์คิดเงียบๆ ในใจ
   
“ แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลา ! ข้าขอคำอธิบาย ” คาร์บิลัสพูดเสียงเย็น
   
เมเออร์เตรียมจะพูดประโยคเดิมออกมาอีกครั้ง
   
แต่กลับถูกมือของร่างชุดคลุมกษัตริย์ขวางหน้าไว้ก่อน
   
“ ได้สิ.. ถ้าเจ้าอยากรู้ ” เสียงทุ้มลึกบ่งบอกอารมณ์ได้ยากค่อยๆ หยิบหน้ากากของตนเองและดึงออกมาเผยให้เห็นใบหน้าที่กำลังแสยะยิ้ม
   
ฟาร์คัสสะดุ้งเฮือกเมื่อพบว่า
   
ใบหน้าของเขาผู้นี้เหมือนกับเอลล์ไม่ผิดเพี้ยน !

-----------------

อุ้ ทำอะไรอีกแล้วเรา 5555  :hao7:

ตอบคอมเมนต์ดีกว่า จะได้ไม่โดนนักอ่าน  :beat:

คุณ BlueCherries : ตอนนี้ก็ยังไม่เฉลยอยู่ดี 5555555555 เผลอๆ งงกว่าเดิมอีก

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : ใครรุกน้าา  :hao7:

คุณ Hang : ก็ไม่รู้สินะ XD

คุณ sirin_chadada : ดัฟฟ์เป็นเด็กที่น่ารัก น่าเอ็นดู ไม่ว่ามีอะไรโหดร้ายเกิดขึ้น แม่นางก็ยังคงสามารถคงคอนเซปต์ความแบ้วไว้ได้เช่นเดิมค่ะ 5555

คุณ yamanaiame : น้องแน่เหรอ  :mew3:
 
    
      
   
   
   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 26 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 26-08-2015 22:26:56
 o22


งงหนัก!!!

เกิดอะะไรขึ้นกันแน่

ฟาร์คัสมีแฝด?? ไม่มั้งงงงงงงงงงงงงงงงงงง  :katai1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 26 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 26-08-2015 22:57:07
คือ?? เมเออร์แอบไปไข่ทิ้งที่อื่นใช่ปะนี่ :serius2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 26 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-08-2015 00:27:57
นั้นอ่านที่ตอบมา โดนเด้กกินอีกละสินะดัฟ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 26 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-08-2015 12:05:20
เป็น fc ดัฟเต็มตัวเเล้วเรา ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 24 26 ส.ค 58 -- ครึ่งหลัง--
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 01-09-2015 13:55:26
ทำร้ายง่าาาาา :ling1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ บันทึกของคอร์ส
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 01-09-2015 22:05:10
 – บันทึกของคอร์ส –
   
อย่าเพิ่งฉงนใจว่าข้าคือใคร
   
ข้าเข้าใจดีว่าข้าเป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น
   
ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้าฟังแล้วกันก่อนว่าข้าคือใครก่อนที่จะร่ายยาวเกี่ยวกับบันทึกไร้สาระที่ข้าบันทึกมันเอาไว้ ไม่ว่าจะเรื่องน่าฉงนใจ หงุดหงิด หรือเรื่องบ้าบอคอแตก ข้าก็จะบันทึกมันถ้าหากว่านิ้วของข้าไม่อูมจนกำมันไม่ได้
   
ข้าเป็นปีศาจกระต่ายตัวอ้วนที่สุดในตระกูล ชุดที่ข้าใส่อยู่นั้นก็ต้องตัดพิเศษโดยเฉพาะเพื่อป้องกันไม่ให้มันเหมือนคนในตระกูลข้ารุ่นก่อนๆ ที่มารับงานราชาการกับราชาปีศาจแล้วชุดเกิดปริแตกตอนงานแต่งงานของท่านราชาปีศาจองค์ก่อน ซึ่งโชคดีที่ราชาปีศาจไม่ติดใจเอาความอะไรกับญาติของข้า
   
ข้ามีใบหูยาวสีขาวโพลนบนหัวของข้ามีหมวกใบเล็กที่ข้าได้มาเป็นของขวัญของท่านคาร์บิลัส มันเป็นหมวกใบเล็กสีดำที่ประดับด้วยแคแรทสีส้มสด ชุดที่ข้าใส่ชายเสื้อด้านหลังมันลากยาวถึงพื้น พวกปีศาจงี่เง่าชอบมาแกล้งเหยียบมันจนข้าสะดุดล้มบ่อยๆ
   
ข้าเกลียดเจ้าพวกนั้นทึ่สุด
   
อ้อ มันมีอยู่ในบันทึกด้วย ข้าจะเปิดให้พวกเจ้าอ่านแล้วกัน

วันที่น่าอับอายที่สุดของข้า
   
วันนั้นเป็นวันที่อากาศดีท้องฟ้ากระจ่างใส ข้าเดินถือเอกสารที่สูงท่วมหัวด้วยความเคยชินและกระโดดโหยงเหยงไปตามทางฮัมเพลงในลำคอเบาๆ
   
โฮกกกก
   
เสียงคำรามมาพร้อมกับร่างหมาป่ายักษ์ดวงตาสีแดงก่ำในปากของมันมีเลือดไหลหยดติ๋งๆ ใสพื้น
   
ข้าพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้โยนเอกสารในมือที่สำคัญกว่าชีวิตแล้วค่อยๆ หันกลังกระโดดหนีทันที ในระหว่างที่ข้ากระโดด
หนีกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าค่อยๆ ปลิวออกไป แต่ข้าก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเก็บมันขึ้นมาอยู่ดี
   
จนกระทั่งกระดาษในมือที่ข้าถือมาปลิวตกจนหมด ข้าตัดสินใจหันมาเผชิญหน้ากับมัน
   
เจ้าหมาป่าแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ข้า ในชั่วขณะหนึ่งเหมือนข้าเห็นซากของตัวเองในฟันคมๆ ของมัน
   
ใครปล่อยให้หมาป่านี่เข้ามาในคฤหาสน์นี่ได้กัน..
   
ข้ากลั้นหายใจจนพุงของข้าหยุดกระเพื่อม หางสั้นๆ ของข้ากระดิกไปมาอย่างประหม่า ข้าพยายามควบคุมสติที่มือลากนิ้วบนอากาศพร้อมท่องเวทป้องกันตัวเบื้องตัวที่เคยร่ำเรียนมา
   
ปิ้ง
   
ฮื่อออ
   
เจ้าหมาป่าดูไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิมเมื่อเวทที่ข้าร่ายทำให้มันมีดอกไม้งอกเพิ่มขึ้นมาบนหัว
   
ข้าลอบกลืนน้ำลายเอือก
   
ข้าใช้เวทมนตร์ได้ไม่คงที่นัก บางทีก็ออกมารุนแรง บางทีก็ออกมาปัญญาอ่อนเช่นนี้
   
พวกเจ้าเห็นถึงความน่าอับอายนี่ไหม
   
ข้าถอนหายใจ หยิบแครอทที่พกมาในเสื้อออกมาเคี้ยวหงับๆ เพื่อให้สติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาแทนที่ความอับอายในตอนนี้ โชคดีที่แถวนี้ไม่มีใคร
   
“ ว้าวว หมา ดัฟฟ์ชอบหมา แก๊ซซ ! ”

เล็กแหลมมาพร้อมกับร่างมนุษย์เด็กที่วิ่งมาทางหมาป่าด้วยความเร็วสูงและกระโจนไปเกาะหลังของหมาป่าทำให้ดูคล้ายกำลังควบกระทิงอยุ่ยังไงยังงั้น

อิ๋ง
   
เจ้าหมาป่าที่เดิมทีดูดุร้ายลู่หูที่ตั้งลงอย่างสิ้นท่าหมอบลงบนพื้น
   
กระต่ายตัวอ้วนหูลู่ลงอย่างเสียใจเมื่อรู้ว่าตนเองนั้นอ่อนแอยิ่งกว่าเด็กเสียอีก
   
ช่างน่าอายเหลือเกิน

   วันที่ท่านคาร์บิลัสนั้นสิ้นท่า
   
ถ้าจะให้กล่าวถึงท่านคาร์บิลัสที่ทุกคนในดินแดนปีศาจเคารพนั้นคงต้องเป็นคำว่า ทรงอำนาจ หล่อเหลา เด็ดขาด ไม่มีความปราณีอะไรใดๆ ต่อผู้ที่อยู่นอกเหนือของดินแดนตัวเอง อย่าว่าแต่ดินแดนเดียวกันเลยข้าว่า เพราะท่านคาร์บิลัสไม่เคยแม้แต่จะส่งยิ้มให้สักครั้งเพียงแต่กระทำทุกอย่างอย่างเอาใจใส่กับชาวปีศาจ ไม่ว่าปัญหาเล็กใหญ่ท่านก็จะช่วยไกล่เกลี่ยให้เสมอ เอาเป็นว่าข้าเคารพท่านคาร์บิลัสมาก แม้ว่าท่านคาร์บิลัสจะชอบอู้งานก็ตามที
   
ไม่สิ ดูเหมือนว่าข้าจะกล่าวอะไรผิดไป
   
มีอยู่ผู้นึงที่ท่านคาร์บิลัสยอมทุกอย่าง
   
เป็นอีกาที่เข้ามาอยู่ในดินแดนปีศาจได้ไม่นาน ผิวสีซีดตัดกับผมสีดำสนิทแววตาที่ไม่สื่ออารมณ์ใดๆ เป็นปกติ อ้อ ใช่ ก่อนที่อีกาจะเป็นแบบนี้ เคยเป็นอีกาผู้ร่าเริงมาก่อน แต่แบบนี้ก็ไม่เลว ข้าชอบความเงียบมากกว่า อีกาที่ข้าพูดถึงก็คือท่านฟาร์คัสนั่นเอง
   
ท่านคาร์บิลัสยอมท่านฟาร์คัสถึงขั้นยอมให้ถีบลงเตียงเลยทีเดียว
   
ข้าจะย้อนกลับไปในวันนั้นให้พวกเจ้า
   
วันนั้นข้าถือถาดชาสมุนไพรอุ่นๆ เคาะประตูขออนุญาตท่านคาร์บิลัสเช้าไปในห้อง ได้ยินเสียงตอบของท่านฟาร์คัสข้าก็ไม่ได้เอะใจ เดินพรวดเข้าไปทันเห็นภาพที่ท่านฟาร์คัสถีบท่านคาร์บิลัสที่นอนเอื่อยบนเตียงมากองบนพื้นอย่างสิ้นท่า
   
ท่านคาร์บิลัส..
   
ข้าครางชื่อเรียกในใจ ดวงตาเบิกกว้าง หูตั้งชันขึ้นอย่างตื่นตกใจ หางสั้นๆ ของข้าฟูขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
   
“ เอาชามาสิ คอร์ส ” ท่านฟาร์คัสเอ่ยเรียกข้าด้วยสีหน้าปกติทั้งๆ ที่เพิ่งกระทำอะไรบางอย่างไป
   
“ ขอรับ ” ข้าขานรับเดินอ้อมเตียงไปหาท่านฟาร์คัสและยื่นแก้วชาให้
   
“ ฟาร์คัสสส เจ้าปลุกข้าด้วยการถีบอีกแล้วเหรอ ! ”
   
ข้าเกือบสะดุ้งทำน้ำชาหกราดพื้นเมื่อร่างที่กองบนพื้นพุ่งพรวดเข้าไปหาท่านฟาร์คัสในชั่วพริบตา ท่านคาร์บิลัสสวมกอดเอวของท่านฟาร์คัสด้วยสีหน้าเสียใจ
   
ข้าพบว่าเมื่อท่านคาร์บิลัสมาอยู๋กับท่านฟาร์คัสแล้วมักจะแสดงอารมณ์ต่างๆ ที่ข้าไม่เคยในตอนปกติอยู่เสมอ ทำให้ข้าไม่ตกกับสีหน้าของท่านคาร์บิลัส ที่ข้าตกใจมีเพียงลูกถีบของท่านฟาร์คัสเท่านั้น
   
“ ข้าจะเอาชาราดหัวเจ้า ถ้าเจ้ายังไม่เอามือออกไปจากเอวข้า ” ท่านฟาร์คัสกัดฟันพูดเสียงเย็นใช้สายตาเชือดเฉือนคาร์บิลัส
   ท่านคาร์บิลัสเบ้หน้าเซ็งๆ ยอมปล่อยมือจากเอวของท่านฟาร์คัส “ ก็ได้ๆ ข้าไม่กอดก็ได้ ” และหันมาทางข้า “ ขอข้าสักแก้วสิคอร์ส ”
   
ข้าสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อถูกเรียกชื่อ “ นี่ขอรับท่านคาร์บิลัส ชาสมุนไพรที่ท่านชอบ ”
   
ท่านคาร์บิลัสตอบส่งๆ ในลำคอซดชาที่ข้านำมาให้หมดในครั้งเดียวและไปงอนง้อกับท่านฟาร์คัสต่ออีก
   
ข้าถอนหายใจจัดวางแก้วบนถาดให้ดีและตัดสินใจออกไปทำงานต่อปล่อยให้ท่านฟาร์คัสและท่านคาร์บิลัสได้มีเวลาส่วนตัวอีกครั้ง

โครม !!
   
เสียงดังกระแทกพื้นดังสนั่นจนพื้นสะเทือน
   
ร่างกระต่ายตัวอ้วนกระโดดโหยงรีบวิ่งแถ่ดๆ ออกจากห้องทันทีโดยไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกับมาดูด้วยซ้ำ !
   
“ คาร์บิลัส ! ”
   
เสียงคำรามเรียกชื่อนายเหนือหัวของข้าด้วยความโมโห
   
อา..
   
อย่างที่ข้าตั้งชื่อบันทึกอันนี้ไว้นั่นแหละ
   
วันสิ้นท่าของท่านคาร์บิลัส
   
เพราะข้าหาคำอื่นที่ดีกว่านี้มาใช้บรรยายไม่ได้

   วัน ไข่ๆ ของข้า
   
ข้าไม่ชอบกินไข่สักเท่าไหร่
   
เพราะมันมีกลิ่นเหม็นคาว
   
แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะเกลียดเค้กหรือทาร์ตไข่หรอกนะ
   
ข้าแค่ไม่ชอบตอนมันดิบๆ เท่านั้นแหละ
   
ในระหว่างที่ข้าเดินผ่านห้องทำงานของท่านคาร์บิลัสข้าแอบได้ยินเสียงคุยกันเล็ดลอดออกมา ซึ่งต้องขอบคุณหูยาวๆ ของข้าที่ทำให้ได้ยินมันชัดเจน
   
“ ฟาร์คัส ถ้าข้ากับเจ้ามีลูก เจ้าจะออกลูกเป็นไข่ไหม ? ”

   ข้าได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ
   
“ ไม่มีทาง !! ”
   
ก่อนจะกลายเป็นเสียงตะคอกและต่อมาด้วยการเสียงการต่อสู้กันในห้อง
   
พวกเจ้าไม่ต้องตกใจ ตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ได้ยินเป็นปกติจนข้าชินแล้วล่ะ
   
ข้าเลยเดินต่อไปเพื่อหาอะไรมายัดใส่ท้องที่เริ่มหิวอีกครั้ง


“ เจ้าเอามันไปฟักที ”

   “ ขอรับ ท่านฟาร์คัส ”

กระต่ายตัวอ้วนพูดพลางกระดิกหูตอบ
   
ข้าเงยหน้ามองร่างสูงของท่านฟาร์คัสยื่นมืออูมๆ ไปรับไข่สีขาวสนิทอันยักษ์มาถืออุ้มไว้ แขนสั้นๆ ของข้าเกือบจะโอบมันไม่มิดเลยล่ะ
   
ท่านฟาร์คัสหันซ้ายหันขวาก่อนที่จะพูดกับข้าอีกครั้ง “ ข้าฝากไว้กับเจ้า เจ้าอย่าบอกใครล่ะว่าข้าฝาก ” พูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่และรีบหายไปจากคลองจักษุทันที
   
ข้าเอียงคอคิดชูไข่ขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ จนดวงตาของข้าสะท้อนเป็นรูปเปลือกไข่
   
คงไม่ใช่ลูกของท่านฟาร์คัสหรอกนะ ?
   
เพราะเท่าที่ข้ารู้ อีกาในเมืองมนุษย์ออกลูกเป็นไข่นี่
   
ข้าเอาไข่ที่ท่านฟาร์คัสฝากมาไปไว้ในห้องของข้า ข้าเอาผ้าห่มมาสุมๆ ไว้ว่างมันไว้ที่ริมหน้าต่างโดยไม่ลืมเอาอะไรรั้งไข่เอาไว้ไม่ให้ตกลงมาแตก
   
ผ่านไปหลายเดือนจนข้าเกือบลืมไปแล้วว่ามีไข่อยู่ในห้องนอนโพรงไม้อุ่นๆ ของข้า
   
เปรี้ยะ
   
ข้ากระดิกหูเมื่อได้ยินเสียงอะไรแตก ข้าขยี้ตาย้ายร่างอ้วนๆ เดินเข้ามาดูต้นกำเนิดเสียงทันที เพราะยังมีอีกเสียงแตกอีกหลายเสียงดังต่อเนื่องพร้อมกับรอยแตกบนไข่
   
ข้าต้องเรียกท่านฟาร์คัสไหมนะ
   
แต่ไม่ดีกว่า ตอนกลางคืนท่านคาร์บิลัสห้ามให้ใครก็ตามย่างกรายไปแถวห้องท่านนี่
   
โผละ
   
ข้าชะงักค้างอยู่กับที่
   
เมื่อพบว่าไอ้สิ่งที่อยู่ในไข่เป็นร่างของกระต่ายตัวอ้วนสีขาวโพลนเหมือนกับข้าไม่ผิดเพี้ยน
   
ตาสีดำมันวาวดูซื่อๆ นั่น
   
นี่มันข้าชัดๆ
   
เจ้ากระต่ายจิ๋วเอียงคอกระโดดพรวดมาเหยียบบนหัวข้า

   “ ขอรับ ขอรับ นี่ขอรับ ท่านคาร์บิลัส ~ ”
   
ให้ตายเถอะ
   
นั่นมันคำพูดติดปากของข้า !

---------------------
ตกใจกับตอนพิเศษล่ะสิ 555555555555555  :hao7:

โครตขัดอารมณ์อึมครึมเรื่องเลยล่ะ :P

เอาเป็นว่าเอามาเบรคอารมณ์ก่อน มาอ่านอะไรสนุกๆ ชิวๆ บ้าง

 :L1: รักคนอ่านค่ะ อิอิ
   
        

   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : บันทึกไร้สาระของคอร์ส
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 01-09-2015 22:20:34
ไข่!!

ฟาร์คัสเอามาจากไหนคะนั่น ใช่ลูกของฟาร์คัสกับคาร์บิลัสป่าว??
(ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ผชจะท้องได้ไหม??)

อยากให้ทั้งสองคนมีลูกบ้าง เยอะๆเป็นโหลเลย  :hao3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : บันทึกไร้สาระของคอร์ส
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-09-2015 07:54:45
ฟาร์คัสเอาไข่ที่ไหนมาน่ะ คงไม่ใช่ลูกฟาร์คัสกับคาร์บิลัสนะ...คงแปลกพิลึก...ออกลูกเป็นกระต่าย(ที่อยู่ในไข่)เนี่ยนะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : บันทึกไร้สาระของคอร์ส
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 06-09-2015 17:58:57
โอ้ววววว อีกาออกไข่เป็นกระต่าย..... เอ๊ะ!ฟาคัสมีชู้หรอออออออออออออออ!!!!!!!!!!!!!!  :m31: (เพ้อเจ้อ555)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : บันทึกไร้สาระของคอร์ส
เริ่มหัวข้อโดย: NONSENSE ที่ 06-09-2015 20:39:18
Woww มาลงที่นี่ด้วยหรอคะ   
ติดตามอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : บันทึกไร้สาระของคอร์ส
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-09-2015 00:09:39
คืออารายยย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : บันทึกไร้สาระของคอร์ส
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 07-09-2015 06:04:08
ไข่นั้นนนนนน โถ่ถูกฟักผิดคน :mew6:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 7 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-09-2015 22:39:25
---- ตอนที่ 26 ----------
   
คาร์บิลัสคลายมือของตัวเองออกพร้อมสลายเวทที่ได้ร่ายเอาไว้ให้กับฟาร์คัส เดินเข้าไปยืนขวางหน้าฟาร์คัสเอาไว้เพื่อที่จะได้เป็นฝ่ายเจรจาให้แทน เพราะถ้าหากปล่อยให้ฟาร์คัสที่มีอารมณ์ละเอียดอ่อนเรื่องเพื่อนไปคุย อาจจะทำให้เกิดเรื่องได้
   เพราะดูๆ แล้วเอลล์ในร่างนี้แล้วเคี้ยวยากไม่ใช่เล่น..
   
เมเออร์สูดหายใจลึกข่มความหวาดกลัวที่ยังแผ่ออกมาจากราชาปีศาจ และตบมือเรียกความสนใจมาที่ตัวเอง “ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะมาสืบหาความจริง สงครามมันกำลังจะเกิด.. โปรดให้ความสำคัญกับมันก่อนเถอะ ”
   
เอลล์ในร่างปลอมๆ แค่นเสียงหึไม่พูดอะไรต่อสวมหน้ากากเข้าดังเดิมแล้วตะโกนเสียงดังลั่น “ ลุกขึ้นมา !! ตอนนี้อสูรมันบุกเข้าในปราสาทได้แล้ว สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือหาหัวหน้าพวกมัน ในระหว่างที่หาก็ไล่บี้พวกอสูรให้หมด ! ”
   
ทหารภูตที่ล้มกองกันบนพื้นรีบลนลานหยิบอาวุธของตัวเองยืนเหยียดตรงด้วยท่าทางที่ฝึกมาอย่างดี  “ ขอรับ !! ”   เสียงประสานกันของทหารภูตที่พูดพร้อมกันดังก้องฟังแล้วให้ความรู้สึกฮึมเหิม ผู้ที่เป็นหัวหน้าของทหารภูตในแต่ละหน่วยเดินแยกออกมาตกลงกันถึงพื้นที่ที่ตัวเองจะออกค้นหา ใช้เวลาไม่ถึงอึดใจทหารภูตก็แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่อันทรงเกียรติของตัวเองทันที
   
ตัวแทนของดินแดนที่จะปกป้องดินแดนของตัวเองจากอันตราย !
   
เมื่อเหลือเพียงพื้นที่ว่างๆ มีเพียงบุคคลที่ทรงอำนาจในดินแดนเหลืออยู่ ฟาร์คัสดึงชายเสื้อของคาร์บิลัสเป็นเชิงว่าให้ถอยไป
   
คาร์บิลัสยิ้มเจื่อน “ ฟาร์คัส เดี๋ยวข้าคุยให้ก็ได้ เจ้าไม่ต้องคุยเองหรอก ”
   
ฟาร์คัสไม่สนใจเดินอ้อมคาร์บิลัสมาเผชิญหน้ากับร่างในชุดกษัตริย์ที่ดูจะสูงกว่าปกติเกือบเท่าตัวมีเพียงการแต่งกายเท่านั้นที่คล้าย
   
“ .. ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสครางชื่อฟาร์คัสหงอยๆ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายก้าวผ่านตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย
   
หมับ ..
   
คาร์บิลัสเลิกคิ้วเมื่อรู้สึกถึงชายเสื้อตัวเองที่ถูกอะไรบางอย่างดึง
   
“ หิวง่ะ.. ฆ่าบี้ลัส ” ดัฟฟ์พูดในขณะที่เคี้ยวชายเสื้อของคาร์บิลัสแก้หิวไปพลางๆ
   
คาร์บิลัสแทบจะซัดดัฟฟ์กลับดินแดนปีศาจ “ ข้าขอถอนความคิดที่เผลอซาบซึ้งเจ้า ไอ้มังกรตะกละงี่เง่า ! ”
   
ดัฟฟ์คายชายเสื้อที่เต็มไปด้วยคราบน้ำลายออกและเบะปากใส่คาร์บิลัส “ บุ่ยยย ๆ ดัฟฟ์ไม่ได้ตะกละสักหน่อย ! ”
   
“ เงียบ ” ฟาร์คัสหันมาพูดใส่ดัฟฟ์กับคาร์บิลัสด้วยน้ำเสียงเย็นชาเจือความหงุดหงิด ทำให้ทั้งคาร์บิลัสและดัฟฟ์หุบปากฉับไม่กล้าพูดอะไรต่อทันที
   
เจ้าอีกานั่นมันน่ากลัวตรงไหนกัน 
   
เมเออร์คิดเงียบๆ ในใจ เมื่อเห็นราชาปีศาจที่เดิมที่แผ่รังสีอะไรบางอย่างชวนให้หายใจติดขัดแต่พอถูกเจ้าอีกานั่นเอ็ดนิดหน่อย

กลับกลายเป็นบรรยากาศเศร้าสลดรอบๆ แทน
   
ให้ตาย...
   
เมเออร์สบถเสียงเบา
   
“ เจ้าคือใครกันแน่ ? ” ฟาร์คัสมองหน้ากากที่คล้ายกับเอลล์ไม่ผิดเพี้ยนด้วยสายตาเย็นชา
   
ร่างในชุดกษัติรย์เอียงคอไปมาและพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ นั่นสินะ ข้าคือใครกัน ? ”
   
อารมณ์ของฟาร์คัสเหมือนถูกราดน้ำมันร้อนๆ ทำให้ตอนนี้ไฟเดิมทีที่เผาไหม้เกิดประกายไฟอยู่อย่างเงียบเชียบได้โหมขึ้นมาเป็นกองเพลิงขนาดย่อมที่โหมอย่างรุนแรง
   
“ ข้าให้ตอบอีกครั้ง !! ” ฟาร์คัสตะคอก ความสุขุมที่มีเริ่มไม่อยู่นิ่งเหมือนกับอารมณ์ของฟาร์คัส
   
ในชีวิตของฟาร์คัส
   
คำว่าเพื่อน นั้นหาได้ยาก เพื่อนคนแรกของฟาร์คัสก็คือบาร์ลิน แต่ก็ถูกหักหลังจนเหมือนกับปีกที่ใช้โผบินไปในท้องฟ้าหักไปหนึ่งข้าง สิ่งที่ช่วยพยุงฟาร์คัสไม่ให้คลุ้มคลั่งไปซะก่อนคือปีกอีกข้างที่มีคาร์บิลัสคอยประคับประคองไม่ให้เป็นอันตราย ปีกคู่เดิมที่ได้หักไปแล้วของฟาร์คัสกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่เมื่อฟาร์คัสยอมรับให้เอลล์เป็นเพื่อนของตัวเอง

ทำให้ฟาร์คัสค่อนข้างมีปฏิกิริยารุนแรงถ้าหากเพื่อนคนใหม่ที่มีเพียงคนเดียวของตัวเอง ผิดแปลกไปจากเดิม แล้วยังถูกสวมรอยโ
ดยใครสักคนแทนอย่างแนบเนียน
   
ข้าที่ไม่ใช่เจ้าของร่างยังรู้สึกโมโห
   
ถ้าหากเป็นเอลล์..
   
ฟาร์คัสหลับตาลงไม่อยากคิดถึงความรู้สึกของเอลล์
   
ทำไมข้าจะไม่รู้ล่ะ ถ้าถูกสวมรอยตำแหน่งเดิมทีที่ควรจะเป็นของตัวเองมันเป็นยังไง
   
“ ว้า จริงจังไปได้น่า ท่านปีศาจอีกา ~ ” หน้ากากถูกถอดออกมาอีกครั้งด้วยหน้าตาที่เปลี่ยนไป
   ฟาร์คัสกัดฟันกรอดเมื่อใบหน้าของเอลล์ถูกแทนที่ด้วยหน้าของตนเอง วาดนิ้วในอากาศเป็นตราเวทสีดำและดึงคทาเวทของตัวเองออกมาถือ “ ความอดทนของข้ามีจำกัด ” ฟาร์คัสพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่แววตานั้นตรงข้าม แววตาของฟาร์คัสกำลังแผดเผาความหงุดหงิดของฟาร์คัส
   
ใบหน้าของฟาร์คัสส่งสีหน้าอ่อนใจออกมา “ ไม่สนุกเลย อีกา ” พูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
   
คาร์บิลัสถึงกับกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่

น่ารัก !!
   
ข้าอยากให้ฟาร์คัสทำสีหน้าแบบนั้นบ้าง !!

อีกฝ่ายท่องเวทสั้นๆ เปลี่ยนใบหน้าของตัวเองอีกครั้ง ใบหน้าค่อยๆ เปลี่ยนรูป ใบหูเรียวยาวตามแบบฉบับชาวภูต ดวงตาที่หลับ

ไปลืมตาอีกครั้งด้วยดวงตาสีทองที่มีสีเขียวสดเจือปนอยู่

เอลล์ที่ผละออกมาจากลุกซ์แล้วแอบดูอยู่เงียบๆ ถึงกับสะดุ้งเฮือก

นั่นมันดวงตาที่มีแต่เชื้อสายกษัตริย์เท่านั้นที่จะมี !

“ หมายความว่ายังไงกัน .. ” เอลล์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นยิ่งกว่าเดิม ร่างที่มั่นคงสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตามีน้ำตาคลอหน่วง

ท่านพ่อตั้งใจคงจะเอาคนอื่นเป็นกษัตริย์แทนข้าอยู่แล้ว

ร่างที่เพียบพร้อมไปด้วยเวทมนตร์วิชาความรู้

ทั้งการค้าและการรบ

รวมถึงเชื้อสายกษัตริย์ที่เข้มข้น

บุคลิกลักษณะความเป็นผู้นำดินแดน

คนๆ นี้เหมาะกับการเป็นกษัตริย์มากกว่าข้าซะอีก..

“ ใจเย็นๆ เอลล์ เจ้าใจเย็นๆ ” ลุกซ์รีบจับไหล่ที่สั่นสะท้านของเอลล์ให้อยู่นิ่งๆ แต่ผลที่ได้ก็คือน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาเอลล์มากกว่าเดิม

เอลล์หลับตาลงอีกครั้งแต่น้ำตาก็ยังคงไหลออกมา

“ แท้จริงแล้ว.. ข้าคงเป็นแค่หุ่นเชิดสินะ ลุกซ์ ” เอลล์พูดเสียงสั่น

“ ไม่เอลล์ เจ้าไม่ได้เป็นหุ่นเชิดของใครทั้งนั้น เมเออร์น่าจะมีเหตุผลที่ใช้เจ้านั่นมาแทนเจ้าชั่วคราว ” ลุกซ์รีบพูดรัวเป็นพัลวัน

หัวใจของลุกซ์นั้นเย็นวาบ ราวกับถูกน้ำเย็นๆ สาด

เมเออร์ เจ้าทำร้ายเอลล์ของข้าอีกแล้ว !!

เอลล์คลี่ยิ้มแกะมือลุกซ์ออกและเดินนำช้าๆ ออกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับกษัตริย์ที่ท่านพ่อเลือกเอาไว้    

“ เอลล์ ! เจ้าจะไปไหน ” ลุกซ์ที่เพิ่งได้สติเพราะไม่คิดว่าเอลล์จะแกะมือตัวเองออกรีบก้าวยาวตามไปติดๆ ทันที

“ ก็ไปตามล่าหาหัวหน้าอสูรไงล่ะ ลุกซ์ ” เอลล์ยิ้มจางทั้งๆ ที่น้ำตายังคงไหลออกมาจากดวงตา

แววตาลุกซ์ส่อความเจ็บปวดออกมา “ งั้นขึ้นขี่หลังข้าเอาดีกว่า เจ้ายังไม่ต้องใช้เวทตอนนี้หรอก ” ลุกซ์กลายร่างกลับเป็นมังกรไฟพ่นลมหายใจที่เป็นประกายไฟออกมาเบาๆ ใส่เอลล์เชิงว่าขึ้นมาสิ

เอลล์ลูบหัวลุกซ์เบาๆ แล้วก้าวเหยียบขึ้นตามผิวขรุขระของมังกรไปนั่งตรงที่เป็นคอของมังกรที่พอมีกระจุกขนนุ่มพอได้จับยึดไม่ให้ร่วงตกลงไปบนพื้นซะก่อน เอลล์นอนราบลงบนตัวลุกซ์เอาหน้าซุกกับคอยาวๆ ของมังกร

ลุกซ์เหลือบหันมาดูเอลล์ไม่พูดอะไรโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและคำรามออกมาเสียงดังลั่นด้วยความฉุนเฉียว เพราะความเจ็บใจที่
ตนไม่สามารถทำอะไรได้

“ ลุกซ์... ” เอลล์กระซิบลุกซ์เสียงเบา

ฮื่อออ

ลุกซ์ส่งเสียงคำรามในลำคอเชิงรับรู้

“ ข้าว่าถ้าหากข้าตาบอด ข้าอาจจะไม่เจ็บปวดแบบนี้ก็ได้... ”

ลุกซ์ไม่ตอบอะไรกับคำพูดของเอลล์

เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เยียวยาราชาภูตได้ดีที่สุดตอนนี้คือ ความเงียบและใครสักคนที่อยู่ข้างกายเท่านั้น
   
   
“ เป็นยังไงล่ะ อีกา ~ ข้าหล่อใช่ไหมล่ะ หึ ” ร่างในชุดกษัตริย์คลี่ยิ้มออกมาด้วยหน้าตาคมคายผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งใบหน้าก็คล้ายกับเมเออร์สามถึงสี่ส่วน
   
ฟาร์คัสพูดอะไรไม่ออกไปพักนึง เมื่อพบว่าหน้าตาของเจ้านี่เหมือนกับเมเออร์มาก “ เจ้าเป็นอะไรกันเมเออร์กัน ? ”
   
“ บอกชื่อเจ้าก่อนสิแล้วข้าจะบอกชื่อข้า ” พูดพลางยิ้มกวนประสาท
   
ฟาร์คัสขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์เมื่อถูกเปลี่ยนเรื่องแต่ก็ยอมตอบ “ ฟาร์คัส ”
   
ร่างในชุดกษัตริย์ยิ้มกว้างอย่างถูกใจ “ ข้าชื่อฟลอยด์ เจ้าอีกา ถ้าเจ้าเบื่อๆ ราชาปีศาจมาหาข้าก็ได้นะ ! ”
   
คาร์บิลัสเดิมยืนดูเงียบๆ ถึงกับลุกลี้ลุกลนทันที “ อย่ามายุ่งกับฟาร์คัสของข้า ! ”
   
ฟลอยด์ก้าวเข้าไปหาฟาร์คัสอย่างนึกสนุกเดินเข้าไปหาฟาร์คัสยื่นมือไปหมายจะคว้าตัวฟาร์คัสมากอดแกล้งราชปีศาจ
   
แต่ก็ต้องชะงักมือที่เกือบจะคว้าแขนฟาร์คัสไว้ซะก่อน
   
เมื่อมีดาบที่แผ่กลิ่นอายน่าขนลุกออกมาขวางมือไว้
   
ดวงตาของคาร์บิลัสไม่มีกลิ่นอายการล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว พร้อมที่จะลงมือฟันให้มือของฟลอยด์ขาดทันทีถ้ากล้ายื่นมือมากกว่านี้
   
ฟลอยด์เก็บมือและยักไหล่ “ จริงจังไปได้น่า ท่านราชาปีศาจ ”
   
คาร์บิลัสไม่ตอบลดดาบลงมาเหน็บไว้ที่เอว
   
เมเออร์ที่ยืนเงียบอยู่นานตัดสินใจพูดตัดบท “ มีอะไรจะถามก็รีบถาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเล่นหรอกนะ ” ถึงเมเออร์จะพูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ในใจแทบจะบ้าคลั่ง ด้วยความวิตกกังวลว่าดินแดนของตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง สิ่งที่พอช่วยให้เมเออร์ไม่สติแตกไปก่อนคือฟลอยด์นั่นเอง
   
ถึงจะดูทำตัวเหลวไหล ไร้สาระ
   
แต่พอถึงเวลากลับมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกับพลังเวทย์ล้นเหลือพอๆ กับเอลล์
   
ทำให้เมเออร์ยังคงยืนรออยู่นิ่งๆ ได้
   
ฟาร์คัสไม่ถือสากับคำพูดเหน็บกลายๆ ของเมเออร์เพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังวิตกกังวล “ เจ้าเป็นอะไรกับเมเออร์กัน ”
   
ฟลอยด์ขยิบตาให้ฟาร์คัสข้างนึง “ ให้ข้ากอดทีนึงสิแล้วข้าจะบอก ”
   
ฟาร์คัสขมวดคิ้วครุ่นคิด
   
ส่วนคาร์บิลัส..
   
ชูดาบชี้หน้าฟลอยด์แล้วตะคอกเสียงดังลั่น “ อย่ามาทำรุ่มร่ามกับฟาร์คัสของข้า !! ”
   
ฟาร์คัสถอนหายใจเซ็งๆ
   
ไอ้คนที่มันทำรุ่มร่ามกับข้าบ่อยๆ มันก็เจ้าไม่ใช่เหรอคาร์บิลัส
   
ดัฟฟ์เดินเข้าไปใกล้ฟาร์คัสดึงชายเสื้อของฟาร์คัสมาเคี้ยวพร้อมถามคำถามที่สงสัย “ แม่ อุ่มอ้าม อืออะไอ แก๊ซ ”
   
ฟาร์คัสกลอกตาเมื่อรู้ว่าถึงคิวเสื้อของตัวเองที่จะโดนดัฟฟ์แทะ แต่ก็ตอบดัฟฟ์ด้วยความใจเย็น “ เจ้ายังไม่โตพอที่จะรู้จักมันหรอกดัฟฟ์ ”
   
ดัฟฟ์คายเสื้อฟาร์คัสเบะปาก “ แง้ ! ดัฟฟ์โตแล้ว !  น้องก็มี แก๊ซ ”
   
“ เจ้ารู้จักแต่คำว่าหิวก็พอแล้วล่ะ ”
   
“ แง้ หิว ! ” ดัฟฟ์เอียงคอและพูดต่อฟาร์คัส ก่อนที่จะลืมประเด็นที่ตัวเองสงสัยมุ่งเป้าไปที่ท้องที่ว่างเปล่าของตัวเองทันที “ แม่ ดัฟฟ์ หิวววว ”
   
“ ตอบข้าสักที ฟลอยด์ ”
   
ฟลอยด์ถอนหายใจเซ็งๆ “ ก็ได้ๆ ข้าว่าครอบครัวเจ้ามันวุ่นวายชะมัดเลย ” ฟลอยด์เว้นช่วงพูดสักพักหันไปสบตากับเมเออร์
   
เมเออร์พยักหน้ารับ หลังจากไตร่ตรองแล้วว่ายังไงก็ไม่ส่งผลอะไรอยู่ดี
   
“ ข้าเป็นลูกของเมเออร์อีกคน ” ฟลอยด์ตอบเสียงเรียบด้วยสีหน้าจริงจัง
   
ฟาร์คัสเลิกคิ้วสูงจ้องหน้าฟลอยด์สลับกับเมเออร์ทันที
   
พูดเป็นเล่น !?
   
เมเออร์คิ้วกระตุกเมื่อรู้สึกถึงสายตาหลายคู่จ้องมาที่ตัวเอง
   
ฟลอยด์หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “ ฮ่าๆ ข้าอำแค่นี้ก็เชื่อข้าอีก จริงๆ แล้วข้าเป็นลูกของน้องชายท่านเมเออร์น่ะ ” ฟลอยด์หยุดพูดกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด “ เขาเรียกอะไรน้า... อ้อ ใช่ ถ้ากับท่านเมเออร์ ท่านเมเออร์มีศักดิ์เป็นอาของข้า ส่วนข้ากับเอลล์เป็นลูกพี่ลูกน้องกันไงล่ะ ”
   
ฟาร์คัสถอนหายใจยาวๆ ออกมา
   
รู้สึกโล่งใจแปลกๆ ที่เมเออร์ไม่เอาคนนอกมาแสดงเป็นกษัตริย์แทนที่เอลล์
   
เพราะถ้าหากใช้ญาติมาทำ คงจะมีเหตุผลของเมเออร์
   
“ งั้นก็แยกย้ายกันดีกว่า ! ไปใครไปมันนะ แล้วเจอกัน ” ฟลอยด์ตะโกนบอกพร้อมกับวาดอักขระภาษาเวทบนอากาศ เมื่อมือของฟลอยด์หยุดเขียนมันก็กลายเป็นวงเวทในอากาศ ฟลอยด์กระโดดเข้าไป โดยมีเมเออร์กระโดดตามไปติดๆ เมื่อผู้ที่ต้องการจะโดยสารไปกับวงเวทของฟลอยด์หมดลง
   
ก็เหลือเพียงอาคันตุกะจากดินแดนปีศาจที่เหลือ..
   
“ งั้นก็ไปตามหาหัวหน้าของอสูรกันเถอะ ”
   
“ อืม ”
   
“ หิวว ง้า ”

----------

ตอนนี้รู้สึกทั้งหน่วงทั้งป่วนเลยล่ะ 555555 # ตีกันมั่วละ

 :mc4: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ

แถลงการณ์กับตอนไข่ไข่ : ฟาร์คัสไปขโมยไข่ที่คาร์บิลัสตั้งใจจะเอาฟักเป็นลูกค่ะ 55555 ไข่อันนี้มันพิเศษหน่อยคือถ้าใครเอามาฟักมันจะไปกลายเป็นแบบคนนั้น คือถ้าเลี้ยง 2 คน ก็จะเอาเอกลักษณ์ของทั้งสองคนมาใส่ ฟาร์คัสที่ยังไม่อยากมีลูกเพิ่มเลยเอาไปยัดให้กระต่ายน้อยของเราค่ะ  :z2:

 # ช่วงตอบเมนต์สุดมันสส์

คุณ BlueCherries : เรื่องนี้ท้องไม่ได้ค่ะ แหะๆ  :hao5: เพราะถ้าท้องฟาร์คัสนี่คงฟักไม่หวาดไม่ไหวเลยมั้ง 5555

คุณ sirin_chadada : ไม่ใช่ลูกฟาร์คัสค่ะ 555555 ฟาร์คัสเล่นชู้นะเนี่ย มีลูกเป็นกระต่ายเนี่ย

คุณ Hang : เล่นชู้กับฟลอยด์ดีกว่า  :hao7:

คุณ NONSENSE :  :man1:

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : ฟาร์คัสเล่นชู้ !!

คุณ NuTonKaw : แง่ะ แอบทายถูกนะคะเนี่ย  :really2:



   


      
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 7 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 07-09-2015 22:48:11
ญาติเอลล์ แต่เวทย์สูสีกับเอลล์ด้วยเหรอ?

แต่กวนประสาทสุดๆเลย ให้ตาย  :serius2:

(แอบคิดว่าจะให้ฟาร์คัสมีลูกเยอะๆ สงสัยจะกินแห้วซะแล้ว)

จบศึกนี้ฟาร์คัสให้รางวัลคาร์บิลัสก็ดีนะคะ ใช้แรงงานฮิมเยอะเหลือเกิน 555+
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 7 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 07-09-2015 22:58:52
ทำไมรู้สึกไม่ชอบฝอย ทำไมหว่าาา เหมือนจะมีปันหาตามมาด้วยละมั้ง  :ruready
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 7 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-09-2015 23:09:06
ญาติเอลล์ แต่เวทย์สูสีกับเอลล์ด้วยเหรอ?

แต่กวนประสาทสุดๆเลย ให้ตาย  :serius2:

(แอบคิดว่าจะให้ฟาร์คัสมีลูกเยอะๆ สงสัยจะกินแห้วซะแล้ว)

จบศึกนี้ฟาร์คัสให้รางวัลคาร์บิลัสก็ดีนะคะ ใช้แรงงานฮิมเยอะเหลือเกิน 555

คือพ่อของฟลอยด์เป็นน้องชายของเมเออร์ ซึ่งพลังเวทย์พวกนี้ก็ใกล้ๆ กันค่ะ แต่เกิดช้ากว่าเฉยๆ เลยอดเปนกษัตริย์ อิอิ แล้วฟลอยด์ที่เป็นลูกนี่ก็ฟลุ๊คได้พลังเยอะพอดี ก็เลยพอฟัดฟอเหวี่ยงกับเอลลฺได้
# จริงๆ อยากตอบตรงกว่านี้แต่มันไม่ได้ 55555 มันแบบบ จุ๊ๆ เนอะ  :mew1:
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 7 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-09-2015 00:09:24
หาตัวการให้เจอ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 7 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 08-09-2015 08:01:22
แงะ หิวว ดัฟฟ นี่จะหิวตลอดเวลาเลยน๊าาา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 9 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 09-09-2015 22:51:47
   “ ฮืออออออออ โรซานเจ้าทำให้ข้าเจ็บก้น ! ” เสียงจิ้งจอกตัวเล็กโวยวายปนร้องไห้ขณะที่กำลังโดนอุ้มอยู่ในมือของโรซาน
   
โรซานขมวดคิ้วหงุดหงิด ผมเผ้าสีเปลือกไม้ที่เมื่อคนผ่านสงครามมาดูจะยุ่งเหยิงมากกว่าเดิมเมื่อความหงุดหงิดเข้าครอบงำ “ โว้ย ใครจะไปรู้วะ ว่าเจ้าจะพูดมากขนาดนั้น ถ้าไม่โดนข้าปิดปากเจ้า เจ้าก็ไม่หยุดร้องสักที ”   จิ้งจอกตัวน้อยซุกหน้าแหลมๆ ของตัวเองเข้าไปในหางด้วยความอับอายมากกว่าเดิม “ ฮือ ! ใครใช้ให้เจ้ากรอกเหล้าใส่ปากข้าล่ะ เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าคออ่อน ”
   
โรซานหยิบหางของเอสเตอร์ขึ้นมาจนเอสเตอร์ห้อยต่องแต่ง “ ก็เจ้างอนข้านี่ ข้าก็ต้องทำให้เจ้าเปิดปากด้วยเหล้าสิ ”
   
เอสเตอร์ขนฟูกว่าเดิมด้วยความความไม่พอใจที่ถูกห้อยพยายามเอาเท้าตะกุยมือของโรซานที่ถือหางของตัวเองอยู่ “ ข้าเจ็บ ปล่อยข้านะ ! ”
   
“ งั้นก็ใช้ร่างมนุษย์ซะสิ ข้าชอบร่างนั้นของเจ้ามากกว่าร่างจิ้งจอกงี่เง่านี้เยอะ ”
   
“ ฮืออ ปล่อยข้า ข้าไม่อยากให้คนอื่นเห็นหน้าข้าตอนข้าร้องไห้หรอกนะ ” เอสเตอร์โวยวายเสียงสั่นพยายามอย่างยิ่งยวดในการดิ้น
   
โรซานปล่อยมือออกจากหางเอสเตอร์ตามที่อีกฝ่ายต้องการ
   
ซึ่งเอสเตอร์ที่กำลังจดจ่อกับการตะกุยมืออยู่นั้นก็ร่วงผลักลงไปทันทีโดยไม่มีการเตรียมพร้อมแต่อย่างใด
   
โรซานยิ้มเมื่อเห็นร่างของสุนัขจิ้งจอกดิ้นพล่านอยู่บนพื้น
   
“ ฮือ ! โรซาน ข้าโกรธเจ้าแล้ว !! ” ร่างของสุนัขจิ้งจอกกระโดดโหยงมายืนจ้องหน้าโรซานหางฟูฟ่องตั้งขึ้นเพราะความโมโหที่ถูกปล่อยโดยพลการ
   
“ ข้าขอโทษ เอสเตอร์ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ” โรซานพูดด้วยสีหน้าเศร้าสลดนั่งยองๆ ตรงหน้าเอสเตอร์ พลางก้มหน้ามองต่ำ

   “ เอ๋ .. ? ” หางฟูฟ่องค่อยๆ ตกลงแล้วเดินเข้าไปใกล้โรซาน “ โรซาน ? ” และเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความงุนงงเพราะการยอมจำนนที่ง่ายกว่าที่คิด
   
“ จ๋า !! ” โรซานขานรับเสียงเข้มแสยะยิ้มคว้าเข้าที่ตัวเองเอสเตอร์และขว้างออกไปทันที
   
เอสเตอร์เบิกตากว้างขณะที่ลอยละลิ่วด้วยความช็อค แต่สัญชาตญาณของร่างกายก็ยังคงทำงานได้ดีเอสเตอร์เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ทันใดค่อยๆ ลงมาเหยียบพื้นอย่างช้าๆ
   
“ โรซาน ! เจ้าขว้างข้าอีกแล้วนะ ฮืออ ” เอสเตอร์ชี้หน้าโรซานอย่างคาดโทษทั้งๆ ที่กำลังร้องไห้อยู่ “ เจ้าขว้างข้าเกือบร้อยรอบแล้วนะ ตั้งแต่ข้าเดินทางมากับเจ้า ฮือออ ”
   
โรซานยิ้มเผล่ “ ก็เจ้าในร่างนี้คุยด้วยง่ายกว่านี้ ”
   
“ ร่างไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ฮือ ข้าจะคืนร่างเป็นจิ้งจอกแล้ว ! ” เอสเตอร์เตรียมจะวาดมือในอากาศเรียกวงเวทของตัวเองออกมา
   
โรซานจับมือเอสเตอร์มากุมไว้ทันที “ ไม่เอาน่า เอสเตอร์ เจ้าในร่างนี้น่ารักคุยง่ายกว่าเยอะ เอางี้ถ้าวันนี้เจ้าอยู่ในร่างนี้ ข้าจะพยายามพูดดีๆ กับเจ้าแล้วกัน ”
   
เอสเตอร์เอียงคอไปมาอย่างครุ่นคิดถึงความคุ้มค่าที่จะทำ แต่เมื่อกลั่นกรองออกมาก็ได้ผลออกมาว่า “ ตกลงตามนั้นก็ได้โรซาน เจ้าสัญญาแล้วนะ ว่าจะไม่ด่าข้า ”
   
โรซานพยักหน้ารับ “ ตามนั้นนั่นแหละ ข้าแค่จะพยายามนะ ”

   เอสเตอร์ขมวดคิ้ว “ เจ้าเคยเห็นข้าเป็นเจ้าชายบ้างไหม โรซาน ” ดวงตาเริ่มแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
   
“ ไม่เลย ” โรซานบอกสั้นๆ
   
“ ฮืออออ ”
   
“ เอาน่า อย่างน้อยข้าก็ชอบเจ้าตอนร้องไห้นะ ” โรซานลูบหัวเอสเตอร์เบาๆ เชิงปลอบ “ เอาล่ะ พวกเราเดินทางกันต่อดีกว่า เดี๋ยวภารกิจของข้ากับเจ้าจะไม่เสร็จสักที ข้าอยากกลับไปนอนกินเหล้าสบายๆ ที่วังของเจ้าเต็มทนแล้ว ”
   
เอสเตอร์พยักหน้าหงึกหงัก ก้าวขาตามโรซานอย่างว่าง่าย
   
นี่เป็นเหตุผลที่ข้าชอบโรซานตอนไม่มีเหล้า
   
เพราะอารมณ์ของโรซานจะรุนแรงกว่าปกติเมื่อกินเหล้าเข้าไปแล้ว
   
แล้วแพะรับบาปก็คือข้าไงล่ะ ฮือออ
   
“ เอ้า ข้าไม่ได้ด่าเจ้า เจ้าก็หาเรื่องร้องไห้อีกได้อีกนะ !! ” โรซานโวยวาย
   
เอสเตอร์ไม่ตอบโรซาน
   
ทำไงได้ล่ะ มันเป็นนิสัยของข้าไปแล้วนี่
   
ฮืออออ

-------------

คิดถึงคู่นี้ค่ะ 55555555  :hao7: บทเลยตามมานิดหน่อย

ตอนหน้าเนื้อเรื่องเต็มๆ ค่ะ  :katai4:

* ภาพนิยายค่ะ XD
   



[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 9 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-09-2015 22:57:08
เอสเตอร์เด็กขี้แย

ผ่านมาแว้บๆแล้วก็ไป  :hao4:


(แอบตกใจที่โรซานชอบดึงหาง มันน่าจะเจ็บน่าดูเลยนะ จับแล้วเหวี่ยงเนี่ย)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 9 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-09-2015 01:33:40
ง้องแง้ง
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 9 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-09-2015 11:39:00
เอสเตอร์น่ารักกกกกก
ว่าแต่อย่าลืมหาอะไรให้ดัฟกินนะ 555555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 9 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 12-09-2015 18:06:49
รูปภาพ ..... โอ้ งามมมแท้แต่ดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร สีผมเหมือนกันไปหมดเบยยย :really2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 15 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 15-09-2015 22:49:35
-----ตอนที่ 26--------

ฮืมม
   
เสียงกู่คำรามในลำคอของลุกซ์ทำให้อากาศสั่นสะเทือนและผู้คนที่อยู่ข้างล่างต่างมองขึ้นฟ้าอย่างหวาดหวั่น ภาพมังกรขนาดยักษ์กางปีกกว้างจนบดบังทัศนียภาพบนท้องฟ้าทำให้พื้นที่ใต้ท้องนั้นดำมืดไปหมด นัยน์ตาสีเพลิงกลอกไปกลอกมาหาสิ่งที่ตนต้องการอย่างใจเย็นไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือกรีดร้องอะไรทั้งสิ้น
   
มีแต่ป่ากับอสูรธรรมดาเต็มไปหมด
   
มังกรไฟพ่นลมหายใจที่เป็นไฟออกมาทางจมูกอย่างหงุดหงิดจนเกิดเป็นเพลิงขนาดย่อมไหลลู่กลับไปด้านหลัง แต่คนที่นั่งด้านหลังก็ไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด เมื่อลูกไฟโลมเลียผ่านใบหน้าและหายไป

“ อย่าพ่นไฟสิ ลุกซ์ เจ้าจะทำให้ข้าร้อนกว่าเดิมนะ ” เอลล์เอ็ดเสียงดุแต่น้ำเสียงที่พูดยังแฝงความเหนื่อยล้าของเจ้าตัวไว้อย่างเต็มเปี่ยม ดวงตาที่เพิ่งจะกลับมามองเห็นอีกครั้งสั่นไหวอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ทั้งๆ ที่เจ้าตัวพยายามจะกดมันไว้ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการกระทำของตัวเอง
   
ลุกซ์ส่งเสียงคำรามในลำคอเชิงรับรู้แล้วจึงตอบ “ ก็มันน่าหงุดหงิดนี่ ข้าพยายามหาช่วยเจ้าก็มีแต่อะไรไม่รู้วิ่งพล่านเต็มพื้นไปหมด ทั้งสัตว์ทั้งอสูรจนข้าตาลาย ”
   
เอลล์ยิ้มแล้วดึงขนอ่อนนุ่มตรงคอลุกซ์ออกมากระจุกนึง
   
“ โฮกก !! ” ลุกซ์หลุดเสียงร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บทำเอานกที่เกาะต้นไม้แถวนั้นบินหนีกันอย่างจ้าละหวั่น “ ทำอะไรของเจ้าน่ะ เอลล์ ข้าเจ็บนะ ”
   
เอลล์โปรยขนของลุกซ์ให้ปลิวไปตามลมแล้วจึงพูด “ ข้าแค่ทำให้อารมณ์ของเจ้าจางลงสักหน่อยด้วยการดึงความสนใจไปที่ความเจ็บแทนไงล่ะ ”
   
“ บอกข้าดีๆ ก็ได้ ” หัวมังกรยักษ์เหลือบกลับมามองเอลล์ด้วยสายตาตัดพ้อเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะบินต่อ
   
เอลล์หลุดหัวเราะออกมาเสียงเบา “ อย่างน้อยเจ้าใจเย็นลง ”
   
ลุกซ์ไม่ตอบรับอะไรยอมกลับไปมองหาสิ่งที่ตนต้องการตัวข้างล่างอย่างตั้งใจด้วยใจที่เย็นลง
   
เมื่อกี้อาจจะความใจร้อนทำให้ข้าหงุเหงิดจนมองข้ามอะไรบางอย่างไปก็ได้
   
เอลล์น่าจะรู้ถึงความจริงข้อนี้เลยดึงอารมณ์ของข้ากลับมา
   
“ ดูๆ ไปแล้ว ท้องฟ้านี่สีสวยจังนะ ”
   
ลุกซ์สะดุ้งเกือบจะหยุดบินไปชั่วขณะนึง
   
ทำไมอยู่ๆ เอลล์ถึงพูดถึงเรื่องนี้กัน ?
   
ลุกซ์จึงอดรู้สึกเป็นห่วงเอลล์ไม่ได้
   
ราชาภูตของข้า..
   
เอลล์เหลือบมองท้องฟ้าสีกระจ่างใสแล้วยิ้มจางออกมา “ ข้าชอบสีฟ้าที่สุดเลยล่ะ มันให้ความรู้สึกสุขุม เป็นกลาง เปิดรับทุกคน ให้ความรู้สึกดีๆ เวลาที่มอง ”
   
“ ข้าชอบสีแดง ”
   
เอลล์พยักหน้าหงึก “ อีกอย่างที่ข้าชอบมัน เพราะมันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนเป็นอิสระ ” เอลล์หลุบตาลงต่ำลูบขนอ่อนนุ่มของลุกซ์เล่น “ เจ้าว่าไหม ถ้าหากข้าได้มองเห็นในช่วงเวลาที่ดีกว่านี้ก็คงดี ”
   
ลุกซ์ขยับปีกให้ช้าลงบินช้าลงกว่าเดิมเพื่อตั้งใจฟังสิ่งที่เอลล์กำลังจะพูด
   
“ ทำไมข้าต้องมองเห็นในวันที่เกิดสงครามกัน... ” เอลล์ยังคงยิ้มจางแต่น้ำเสียงนั้นสั่นไหว
   
ใครว่าราชาภูตเป็นผู้ที่เข้มแข็งที่สุดกัน
   
ใครๆ ก็สามารถอ่อนแอได้ทั้งนั้น
   
เมื่อเรื่องหลายเรื่องถาโถมเข้ามา
   
ก็ทรุดลงได้เหมือนกัน
   
“ อย่างน้อยเจ้าก็กลับมามองเห็นนะเอลล์ ” ลุกซ์พยายามเสียงอ่อนโยนแม้เสียงที่ออกมาจะคล้ายเสียงคำรามแหบๆ ของมังกร “ ข้าดีใจนะที่เจ้ามองเห็น มันไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะมองเห็นวันไหน แค่เจ้ามองเห็นข้าได้ยิ้มให้ข้าได้ ข้าก็ดีใจแล้วล่ะ ”
   
“ อืม ” เอลล์รับคำเบาๆ เผลอยิ้มจริงๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว เอลล์ตบหลังคอลุกซ์เบาๆ “ รีบหาเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคุยกันหรอกนะ ”
   
ลุกซ์ส่งเสียงในลำคออย่างขอไปทีด้วยอารมณ์ที่กระจ่างใส
   
ขอแค่เอลล์ร่าเริงก็พอ
   
ชีวิตข้าขอแค่นี้เท่านั้น
   
ปั่กๆๆ
   
อารมณ์ดีๆ เมื่อกี้หายไปพลันเมื่อมือที่ลูบคอเบาๆ อยู่ดีๆ แปรเปลี่ยนเป็นการตีหนักๆ แทน “ นั่นๆ ลุกซ์ เจ้าลงไปดูตรงนั้นหน่อย ! ”
   
ลุกซ์เหลือบมองทิศทางที่มือเอลล์ชี้และมองตามไปทันที
   
เป็นเหมือนหมู่บ้านแถบชนบทนอกปราสาทที่ดูเรียบง่ายน่าอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านกำลังถูกล้อมไปด้วยอสูร บ้านบางหลังถูกโจมตีพังไปกว่าครึ่ง ทางเดินที่ยุบเป็นหลุมไม่สามารถใช้สัญจรได้ ชาวภูตที่ดูเหมือนว่าหลงเหลืออยู่ไปรวมตัวกันที่กลางหมู่บ้านเป็นกระจุกหย่อมๆ ต่างพากันกอดกันกลมอย่างหวาดกลัว คนที่ยังคงยืนอยู่เป็นชาวต่างเผ่าชาวต่างๆ ที่ดูแปลกตาไม่เหมือนชาวภูต กำลังช่วยกันปกป้องชาวภูตกันอย่างสุดความสามารถแม้ว่ามีเพียงชาวภูตไม่กี่คนเท่านั้นที่ออกมาช่วยสู้
   
เสียงดาบฟาดฟันสลับกับการปล่อยเวทลูกย่อมใส่กัน เสียงความหวาดกลัวสลับกับเสียงด่าทอ ดังขึ้นมาถึงข้างบนชวนให้รู้สึกหดหู่ ลุกซ์เหลือบมองเอลล์อย่างรู้ความหมายบินถลาลงเกือบถึงพื้นแล้วพ่นอ้าปากพ่นไฟลูกยักษ์ใส่อสูรทุกตัวที่อยู่บนพื้น แม้ร่างจะขนาดใหญ่เทอะทะแต่ลุกซ์กับเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วไล่พ่นไฟใส่อสูรที่วิ่งโรมรัมเข้ามา
   
“ มังกร ! ” เสียงพร่ำเรียกจากผู้คนที่เหลือน้ำเสียงเจือด้วยความหวาดกลัวว่าเมื่ออสูรถูกฆ่าจนหมดตนเองจะกลายเป็นเป้าหมายต่อไปในการฆ่าของมังกร คมดาบเดิมที่ใช้ฟาดฟันอสูรเปลี่ยนมาชี้เข้าที่มังกรยักษ์อย่างไว้เชิง
   
อสูรที่ถูกไฟของมังกรที่เป็นถึงลูกน้องอันดับต้นๆ ของคาร์บิลัสเผาเข้าไป ทรุดตัวล้มกองบนพื้นอย่างสิ้นท่า แม้จะไม่กลายเป็นชี้เถ้าก็ตามแต่ตามเกล็ดแข็งๆ ที่ดูเหมือนสะท้อนการต่อสู้ได้ทุกอย่างเปลี่ยนเป็นสีเสนิทไม่ทอประกายแวววาวแต่อย่างใด
   
เอลล์ก้าวขาลงจากตัวมังกรและเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มจาง
   
พร้อมรูปลักษณ์ใหม่
   
เสื้อคลุมกษัตริย์ได้เปลี่ยนเสื้อนักเดินทางเรียบๆ สีโทนอ่อนสบาย ผมสีเหลืองอ่อนที่เดินทีปล่อยตามธรรมชาติถูกรวบลวกๆ ไว้ดูคล่องตัวกว่าปกติ ดวงตาสีโกเมนเปลี่ยนเป็นสีอำพันเช่นเดียวกับอีกข้าง ทิ้งรูปลักษณ์กษัตริย์ไปโดยสิ้นเชิง ส่วนหน้ากากเปลี่ยนเป็นสร้อยคอลวดลายแปลกตาแทน
   
กษัตริย์มีได้เพียงองค์เดียวเท่านั้น
   
หากมีสองคนนับว่าเป็นกบฎ
   
เอลล์คิดเช่นนี้จึงได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเอง
   
“ พวกเจ้าไม่เป็นอะไรนะ ” เอลล์มองดาบที่ชี้มาที่ตัวเองอย่างไม่หวาดหวั่น
   
คมดาบที่ชี้ไม่ได้เอาลงเพราะความไม่ไว้วางใจของผู้ที่ถือ “ พวกเจ้าเป็นใครกัน ? มาดีหรือมาร้าย ” คนแคระที่ถือดาบใหญ่กว่าตัวเองเป็นเท่าตัวเงยหน้าถาม
   
เอลล์เหลือบไปมองลุกซ์เชิงว่ากลับมาเป็นคนสักที
   
คอที่ชูไปมาอย่างองอาจของลุกซ์ตกลงมาทันที ลุกซ์อ้าปากพ่นควันออกมาจางๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นคนในเวลาไม่ถึงอึดใจ “ มาดีสิ ” ลุกซ์เดินเข้ามาเอามือแตะไหล่เอลล์นัยน์ตาสีเพลิงมองสำรวจพื้นที่รอบๆ
   
อย่างน้อยก็ไม่มีชาวภูตตาย..
   
“ ข้าจะเชื่อพวกเจ้าได้ยังไง ในเมื่อเจ้าสามารถฆ่าอสูรได้ง่ายๆ แบบนั้น  ถ้าหากพวกเจ้าต้องการฆ่าพวกข้าด้วยคงทำได้ง่ายๆ ” กษัตริย์ของเมืองมนุษย์ถามอย่างไม่ไว้ใจ

เอลล์ยังคงยิ้มตอบ “ ถ้าข้ามาร้ายจริง ข้าคงจะฆ่าพวกเจ้าไปพร้อมกันแล้วล่ะ ” ไม่พูดเปล่าเอลล์วาดวงเวทรักษาบนใต้เท้า อักขรแต่ละตัวเต็มไปด้วยความบรรจงการตวัดปลายตัวอักษรทำให้ดูแล้วรู้สึกถึงความอ่อนโยนของวงเวท
   
“ นั่นเจ้ากำลังทำอะไร !! ” ชาวภูตที่กอดกันกลมตะโกนถามดวงตาเบิกโพลงดวงความหวาดกลัวว่าจะถูกโจมตีอีกครั้ง ความหวั่นวิตกถาโถมเข้ามาในหัวทันที
   
เอลล์ไม่ตอบจนกระทั่งวาดอักขรเวทจนเสร็จเพื่อให้สิ่งที่ตนกำลังกระทำตอบคำถามแทน
   
ในช่วงขณะที่จะถูกตั้งข้อกังขาอีกครั้ง
   
ผู้ที่บาดเจ็บทั้งบริเวณก็รู้สึกถึงเวทรักษาอันอ่อนโยนและทรงพลังกว่าที่กำลังใช้รักษาตัวเองเป็นเท่าตัว เวทสีทองทักถอบนบาดแผลคล้ายภาพลวงตาแผลที่ฉีกขาดค่อยๆ เชื่อมกันจนสนิทอย่างน่าประหลาดจนเกิดเสียงอุทานด้วยความแปลกใจของผู้ที่บาดเจ็บ
   
“ แล้วคิดว่าข้ามาร้ายหรือเปล่าล่ะ ? ” เอลล์ยิ้มจางที่ช่วยขับกล่อมให้เจ้าตัวดูอ่อนโยนกว่าเดิม
   ลุกซ์ที่ยืนข้างๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากกอดทันที แต่ก็ยังคงยืนด้วยท่าทางเคร่งขรึมเพื่อความเป็นการเป็นงาน
   
“ ข้าเชื่อเจ้าก็ได้ ” คนแคระคนเดิมถอนหายใจลดดาบในมือลงและเก็บใส่ฝักดาบ “ ข้าชื่อมารัส พวกท่านล่ะ ? “
   
“ ข้า เอลล์ ส่วนนี่ ลุกซ์ ” เอลล์แนะนำแทนลุกซ์เสร็จสรรพ
   
มารัสพยักหน้าหงึกหงักอย่างขอไปทีและหันไปมองคู่หูของตัวเองที่กำลังขะมักเขม้นกับการราดยาพิษใส่อสูรที่ล้มกองกันเป็นเบืออยู่ข้างหลัง “ ใจคอเจ้าจะไม่แนะนำตัวเลยรึไง เกททิน ”
   
เกททินเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสานตาไม่สบอารมณ์และก้มลงสนใจสิ่งที่ตนกำลังทำต่อ “ ข้าชื่อเกททิน ”
   
เอลล์หันไปมองมนุษย์ที่นั่งกองอยู่บนพื้นหมดมาดไปโดยสิ้นเชิง แต่ไม่พูดอะไรเมื่อเห็นร่างที่เดิมชี้ดาบมาที่ตัวเองนั่งสัปหงกไปแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ หยักหน้าให้เอลล์เชิงทักทายแต่ไม่ได้แนะนำตัวแต่อย่างใด
   
เอลล์มองภาพตรงหน้าด้วยความดีใจ
   
เมื่อเห็นชาวภูตเปิดปากพูดคุยกับชาวดืนแดนอื่นอย่างเป็นปกติโดยไม่มีความหยิ่งทระนงเหมือนแต่เดิม สีหน้าเคร่งเครียดสลับกับยิ้มกว้าง
   
บางทีมันอาจจะไม่ได้มีข้อเสียเพียงอย่าวเดียว
   
มันอาจจะทำให้ชาวภูตเปิดใจมากยิ่งขึ้น
   
ลุกซ์เอามือหยาบลูบหัวเอลล์เมื่อรู้ถึงความรู้สึกของเอลล์
   
มารัสที่พยายามมองการแต่งตัวของเอลล์และคาดเดาว่าอีกฝ่ายมีฐานะแบบไหนและชาวอะไร พอทำเงินอะไรให้หรือไม่ หรือบอกแหล่งขายเหล้าก็ได้
   
ชุดดูดี ไม่เหมือนชาวภูตทั่วไป
   
อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีฐานะพอสมควร
   
เทียบกับการแต่งกายและพลังเวท
   
หูแหลมกับดวงตาสีทองธรรมดา
   
ให้ข้อมูลเพียงแค่เป็นชาวภูตเท่านัน้

มารัสถอนหายใจ ตัดสินใจบอกข้อมูลที่รู้มาให้กับเอลล์โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เพราะรู้ดีว่าสงครามที่เกิดขึ้นยิ่งปล่อยไว้นานจะยิ่งเรื้อรัง สู้รู้ตัวการจะช่วยให้จบมันได้ไวขึ้น ดีไม่ดีอาจจะได้การตบรางวัลด้วย “ เอลล์ ข้ารู้มาว่า ผู้นำอสูรพวกนี้เป็นขุนนาง ”
   
เอลล์ขมวดคิ้วเป็นปมหันกลับมามองมารัสด้วยความข้องใจ
   
“ ท่านโกหกข้ารึเปล่า ? ”
   
“ ขอสาบานด้วยความสัตย์จริงว่าข้าไม่ได้โกหก ”
   
เอลล์คิดด้วยความหนักใจ
   
พูดเป็นเล่น จะมีขุนนางที่คิดร้ายต่อดินแดนของตัวเองได้ลงคอขนาดนี้เชียวหรือ
   
“ อาจจะเป็นจริงก็ได้เอลล์ ” ลุกซ์พูดด้วยสีหน้าอ่านยาก “ เจ้าก็รู้นี่ว่า เราไม่สามารถอ่านใจใครได้เหรอกนะ ไม่อย่างงั้นกบฎจะเกิดขึ้นมาได้ยังไงล่ะ เอลล์ ”
   
เอลล์พยักหน้าสีหน้าเคร่งเครียด
   
ลุกซ์เอามือนวดหว่างคิ้วของเอลล์จนคลาย “ อย่าเครียดสิเอลล์ ถ้ามีจริงๆ เราก็แค่ลงโทษสถานหนัก . สงครามมันเกิดขึ้นมาแล้ว ตอนนี้เราแก้อะไรไม่ได้แล้วล่ะ เอลล์ สิ่งที่ได้ตอนนี้คือรีบยุติมันไงล่ะ ”

เอลล์ยิ้มตอบ
   
“ นั่นสินะ ”
   
“ ระวัง !! ”
   
อึ่ก...
   
ลุกซ์เบิกตากว้างเมื่อกลางลำตัวของตัวเองถูกทะลวงด้วยกรงเล็บแหลมคมของอสูร

----------------------
 :katai5: คลานมาอัพเงียบๆ
      
   
   
   
   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 15 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 15-09-2015 23:26:02
เห้ยยยยยยยยยยยยยย

 o22 o22

ทำไมลุกซ์โดนเสียบได้ล่ะเนี่ย เวงกำๆ มังกรน่าจะหนังเหนียวนะ รักษาตัวเองได้ไหมนั่น

 :hao5:

ลากเอลล์กลับไปอยู่กับฟาร์คัสเถอะค่ะ กลัวฮิมได้รับบาดเจ็บ

(ส่วนลุกซ์ก็หาหมอแถวๆนั้นรักษาไปก่อนละกัน อย่าเพิ่งตายเน้อ)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 15 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-09-2015 00:49:24
โง้วววว
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 15 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-09-2015 10:53:00
เอ้ยยยยยยยย ใครแทง
สถานการณ์กำลังจะดีอยู่แล้วเชียว
งื้อออ อย่าเป็นอะไรไปนะลุกซ์
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 18 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 18-09-2015 20:30:50
ลุกซ์ตอบโต้กลับทันทีด้วยการซัดอสูรออกไกลจนมันไถลไปกับพื้นและเผลอขมวดคิ้วเมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของอสูร
   
เอลล์มองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ แต่สติที่มียังคงแจ่มชัดไม่กระเจิดกระเจิงไปเพราะการฝึกฝนมาตลอดยามที่มองไม่เห็นอะไร ต่อให้เรื่องคอขาดบาดตายยังไงสิ่งที่พึงมีก็คือสตินั่นเป็นคำสอนที่เอลล์ถูกพร่ำสอนมาตลอด เอลล์ท่องเวทรักษาเยียวยาลุกซ์ทันทีโดยไม่คิดอะไรทั้งนั้น “ ลุกซ์ เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ ” เอลล์ไม่แม้แต่จะกำจัดศัตรูก่อนด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าลุกซ์จะตาย
   
ลุกซ์เอามือกุมท้องยิ้มแห้งๆ ให้เอลล์ “ คิดว่านะ ” แล้วหันหาตัวการทันที
   
ฮื่อออ
   
อสูรที่เดิมทีนอนกองอยู่บนพื้นกลับมายืนอย่างมั่นคงอีกครั้งเกล็ดไหม้ๆ ของมันเปลี่ยนเป็นสีดำมันวาวเขาบนหัวงอกยาวกว่าเดิมรวมถึงกรงเล็บที่ใช้ทะลวงท้องของลุกซ์
   
เลือดหยดลงบนพื้นเป็นวงกว้าง
   
ดูทั้งสวยและน่าสยดสยองในเวลาเดียวกัน
   
“ ทำไมมันถึงได้ฟื้นขึ้นมาอีกล่ะ !! ” กษัตริย์เมืองมนุษย์โวยวายชี้ดาบสั่นๆ ไปที่อสูรรอบตัวที่เริ่มล้อมกรอบเดินกันเข้ามาอีกครั้ง
   เกททินเหลือบมองด้วยสายตาเหยียดหยาม “ ใครจะไปรู้ล่ะ ไอ้งั่ง ! ” และหยิบยาพิษออกมาเตรียมไว้ในมือเพื่อที่จะโจมตีเมื่อมีโอกาส ที่เกททินไม่โยนยาพิษใส่อสูรทันทีเลยก็มีเหตุผลไร้สาระอยู่คือ เจ้าตัวงกยา ส่วนเหตุผลที่มีสาระคือต้องการดูเชิงอสูรก่อน
   
มารัสปักดาบบนพื้นดึงตัวเองขึ้นมายืนอีกครั้ง “ เฮ้อ ข้าว่าจะจิบเหล้าของโรซานซะหน่อย ยังจะมีก็อกสองอีก ”
   ส่วนชาวภูตและคนอื่นๆ ที่เพิ่งถูกรักษาไปหยกๆ ก็มานั่งรวมกลุ่มกันตรงกลางอีกครั้งจนหนาแน่น ปล่อยให้ผู้มาเยือนทั้งหลายออกแนวตั้งรับแทน
   
มันไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวอย่างที่ใครคิด
   
เพราะการพ่ายแพ้ในครั้งแรกมันได้ฝังใจชาวภูตไปแล้ว
   
ยิ่งภาพที่มังกรไฟที่ช่วยกำจัดอสูรให้ถูกอสูรทำร้ายเข้าอีกครั้ง
   
มันกระตุ้นให้ชาวภูตรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม
   
ทั้งๆ ที่คิดว่ามันกำลังจะดีขึ้นกลับแย่ลง
   
ชาวภูตก้มตัวลงกอดเข่าด้วยความรู้สึกผิดและกำมือแน่นเมื่อได้ยินเสียงคำรามอื้ออึงในลำคอของอสูร
   
ลุกซ์ลูบท้องที่เลือดยังไม่หยุดไหลของตัวเองเซ็งๆ
   
จะให้ข้าเลียมันก็ยังไงอยู่นะ
   
เวทรักษาของเอลล์ช่วยให้ไม่รู้สึกเจ็บแผลแต่แผลที่หน้าท้องของลุกซ์กลับไม่มีทีท่าจะสมานกันแต่อย่างใดยังคงเป็นเนื้อเหวะและเลือดที่ไหลออกมา
   
เอลล์หน้าซีดลงอย่างน่าเป็นห่วง “ ลุกซ์ทำไมมันถึงไม่หายละ ” มือสั่นๆ พยายามวาดวงเวทรักษาบนหน้าท้องให้ลุกซ์อีกครั้ง
   
ลุกซ์จับมือเอลล์ไว้และลูบมันเบาๆ “ ช่างมันไปก่อนน่า ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเอลล์ แผลแค่นี้จิ้บๆ สบายมาก ”
   
โฮก !
   
เหล่าอสูรคำรามออกมาเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมๆ เมื่อมีตัวเริ่มคำรามตัวอื่นก็เริ่มคำรามตามจนเกิดเป็นเสียงระคายยหูที่ฟังแล้วขนลุก
   
ลุกซ์ปล่อยมือจากเอลล์หันไปเผชิญหน้ากับอสูรที่เพิ่งทำร้ายตนไปหมาดๆ
   
และต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงพื้นที่สั่นสะเทือนจากการย่ำเท้าและลงฝีเท้าหนัก
   
ตึง... ตึง.. ตึง..
   
มันเป็นเสียงของตัวอะไรกันแน่.. ?
   
ลุกซ์ครางฮื่อในลำคออย่างตึงเครียดเมื่อเสียงฝีเท้าหนักหยุดย่ำลงทำให้พื้นที่ในบริเวณเงียบสนิทไม่มีเสียงอะไรแม้แต่อย่างเดียว
   
“ มันคืออะไร.. ” เด็กชาวภูตที่ยื่นหน้าออกมาดูต้นเสียงด้วยความอยากรู้และต้องเบิกตากว้างน้ำเสียงสั่นเพราะความกลัวที่จับขั้วหัวใจ
   
โฮกกกกกกก
   
เสียงคำรามดังลั่นจนพื้นดินสั่นสะเทือนใบไม้บนต้นไม้พริ้วไหวอากาศแปรปรวน
   
เอลล์ที่เดิมเพียงตั้งหน้าตั้งตารักษาลุกซ์รับหันหลังไปมองทันทีเพราะเสียงที่ว่ามันอยู่ข้างหลังเอลล์
   
นัยน์ตาสีแดงก่ำขนาดยักษ์กำลังเผชิญหน้ากับเอลล์
   
เอลล์เผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว
   
เพราะเพียงแค่ขนาดนัยน์ตานั้นก็มากกว่าเอลล์เป็นที่เท่าตัวแล้ว

ลุกซ์ที่เหลือบหันมามองบ้างถึงกับสะดุ้ง “ เฮ้ย เดี๋ยวๆ นี่เจ้าจะตัวใหญ่เกินไปแล้วนะ ”
   
แทนคำตอบของชาวภูตอสูรคำรามออกมาเสียงดังลั่นแขนทรงพลังปล่อยหมัดใส่เอลล์ทันที
   
เอลล์กระโดดหลบทันทีที่เห็นมืออสูรขยับ ในมือถือคทาเวทถักทอจากไม้เลื้อยชี้ไปที่อสูรด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว เอลล์สูดหายใจลึกกลืนความรู้สึกทั้งหมดลงไปหรือเพียงเพียงสมาธิจดจ่อกับการต่อสู้
   
เพราะในที่แห่งนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับอสูรนี้ได้
    
แสงสว่างทอประกายวาบจากคทาของเอลล์พร้อมกับการปรากฎตัวของงูสีขาวอมเหลืองขนาดยักษ์มันชูคอขึ้นขู่ฟ่อใส่อสูรและฉกไปที่ดวงตาของอสูรทันที
   
ร่างอสูรยักษ์คว้าหมับเข้าที่ตัวงูได้ทันควันแต่งูที่ถูกจับก็ไม่ได้สิ้นฤทธิ์แต่อย่างใดงับเข้าที่เกล็ดแข็งๆ อสูรพยายามอย่างยิ่งในการแทงเขี้ยวลงในเกล็ดให้จมลึกเพื่อปล่อยพิษร้าย นัยน์ตาของอสูรเปลี่ยนสีเป็นสีดำใช้กรงเล็บอีกของมืออีกข้างแทงเข้าที่หัวงู
   ในขณะเดียวกันนั้นเอลล์ก็ได้เปลี่ยนคทาเวทให้กลายเป็นดาบผสานเวทความหนักอึ้งของดาบบอกถึงความทรงพลังของดาบถ้าหากถูกแทงเข้าไปพลังของดาบก็จะประทุออกและสลายร่างของอสูรทันที เอลล์กระชับมือที่ถือดาบทั้งๆ ที่เริ่มเหงื่อผุดตามไรผม
   มารัสที่เดิมทีกำลังไล่ฟันอสูรที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเห็นดาบของเอลล์ก็โยนดาบในมือของตัวเองทิ้งทันที “ มาข้าเอง !! ” มารัสตะโกนเสียงดังลั่นพุ่งตัวไปหาเอลล์พร้อมกับยื่นมาออกไปรับดาบ
   
เอลล์เลิกคิ้วงงๆ ยื่นดาบที่ถือให้มารัสไปอย่างเผลอไผลเพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาแย่งดาบในมือ
   
มารัสแสยะยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ดาบที่ทรงพลังมาถือ แววตาของมารัสทอประกายความตื่นเต้นพุ่งตัวเข้าไปหาอสูรยักษ์ตามสัญชาตญาณทันที
   
อสูรหันมาทองมารัสทันทีและยื่นมือมาหมายจะคว้าตัวมารัสเอาไว้
   
เกททินเห็นภาพตรงหน้าถึงกับสะดุ้งจนตัวลอย “ โว้ยยยย ไอ้บ้ามารัส ตามีไว้ทำไมวะ ไม่เห็นไงว่ามันอันตราย ! ” ล้วงเอายาพิษในเสื้อท่องเวทเสริมความแม่นยำในการโยนและปาใส่ดวงตาของอสูรยักษ์ ซึ่งเมื่อปาเสร็จก็หลบกรงเล็บของอสูรที่สู้ด้วยอยู่ได้อย่างเฉียดฉิว
   
อสูรยักษ์ขว้างงูที่สิ้นฤทธิ์ในมือทิ้งไปและกุมดวงตาของตัวเองคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด เลือดค่อยๆ หยดไหลผ่านมือของอสูรจนทั้งมือของอสูรเต็มไปด้วยเลือด
   
“ เพราะว่าข้ารู้ไงว่าจะช่วยข้า ” มารัสยิ้มอย่างอารมณ์ดีกระชับดาบในมืออีกครั้งเตรียมจะฟันเข้าที่ตัวอสูรซ้ำอีกครั้ง
   เอลล์เบิกตากว้างพุ่งตัวเข้าไปคว้าคอเสื้อของมารัสและพาร่างของมารัสห่างออกมาจากอสูรทันที
   
“ โอ้ยย ปล่อยข้า เมื่อกี้ข้าจะฟันตามันได้แล้วนะเฟ้ย ” มารัสโวยวายตัวดิ้นขลุกขลักพยายามให้ขาที่เหยียบอยู่บนอากาศได้เหยียบพื้นอีกครั้ง
   
ลุกซ์จัดการใช้เวทไฟกับกรงเล็บที่งอกยาวออกมาจากนิ้วแทงเข้าที่ท้ายทอยของอสูรใกล้ตัวที่สุดและถอยห่างออกมายืนใกล้ๆ เอลล์ “ เจ้าเห็นอะไรกันเอลล์ ” โดยที่ไม่รู้ตัวเลือดของลุกซ์ค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นสีดำ
   
ในตอนนี้พื้นที่โดยรอบนั้นเหลืออสูรไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ยังคงส่งเสียงคำรามในลำคอเพราะในบางส่วนได้ถูกทั้งลุกซ์ เกททิน มารัส กษัตริย์เมืองมนุษย์ช่วยกันกำจัดกันไปเกือบหมดแล้ว โดยส่วนใหญ่ที่กำจัดก็คือลุกซ์
   
เอลล์พูดสั้นๆ “ มันกำลังคลุ้มคลั่ง ”
   
มารัสอ้าปากค้างชี้มือสั่นๆ ไปที่อสูรยักษ์ “ อย่าบอกนะถ้าข้าโดนไอ้หมอกดำๆ นั่นข้าจะเละ ”
   
เอลล์พยักหน้ารับ
   
“ ข้าต้องทำอะไรเอลล์ ” ลุกซ์ถามออกมาเพราะรู้ดีว่าเอลล์กำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ ใบหน้าสุขุมหายใจเข้าออกช้าเป็นสัญญาณบอกลุกซ์อยู่กลายๆ ลุกซ์อยู่กับเอลล์มานานจนสามารถอ่านความรู้สึกบนใบหน้าหรือเดาความคิดบางอย่างของเอลล์ออก แต่ก็แค่บางครั้งเท่านั้น
   
“ พวกเจ้ากำจัดที่เหลือไปแล้วกัน ข้าจะรับมือมันเอง ” เอลล์แย่งดาบในมือมารัสคืนและปล่อยตัวมารัสลงอย่างอ่อนโยน
   
ลุกซ์ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ เอลล์ เจ้าเพิ่งบอกกับข้าไปหยกๆ ว่ามันอันตราย แล้วนี่เจ้ายังจะรับมือกับมันคนเดียวอีกงั้นเหรอ ”
   
เอลล์หลุบตาลงมองไปที่ท้องของลุกซ์และยิ้มจาง “ อย่าลืมสิว่าข้าเคยเป็นอะไรมาก่อน ”
   
เลือดสีดำสนิทของลุกซ์ทำให้ใจของเอลล์ปวดหนึบ
   
เพราะฉะนั้นข้าจะไม่มีทางให้ลุกซ์ต้องบาดเจ็บไปมากกว่านี้
   
ลุกซ์ขมวดคิ้วงงๆ เหลือบมองหน้าท้องของตัวเองบ้าง “ เฮ้ย ! ทำไมเลือดข้าดำล่ะ ” ลุกซ์อุทานออกมาและเงยหน้าขึ้นมาหมายจะถามเอลล์ถึงสาเหตุ
   
แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
   
เพราะเอลล์ได้พุ่งเข้าไปหาอสูรยักษ์แล้ว !
   
ลุกซ์กัดฟันกรอดสบถกับตัวเอง
   
ข้ากลัวจริงๆ ว่าเอลล์จะพลาดทำร้ายตัวเอง
   
แต่ลำพังข้าตอนนี้คงมีแต่จะเป็นตัวถ่วง
   
ข้าเกลียดความอ่อนแอนี่ชะมัด
   
ทันทีที่เข้าใกล้ตัวอสูรได้เอลล์ก็เปลี่ยนจากดาบกลายเป็นหอกขว้างใส่อสูร อสูรยักษ์แสยะยิ้มทั้งๆ ที่ดวงตาข้างนึงถูกทำลายไปแล้ว มันใช้มือยักษ์ปัดป้องหอกของเอลล์
   
เอลล์ยิ้มเมื่อเป็นไปตามที่คิด หอกที่ถูกปัดออกแปรเปลี่ยนเสือตัวย่อมเมื่อเท้าของมันแตะพื้นก็กระโจนเข้าไปหาอสูรยักษ์ทันที หมอกสีดำสนิทรอบตัวอสูรยักษ์ค่อยเคลื่อนตัวของมันอย่างช้าๆ และหมุนริ้วพุ่งเข้าไปหาเสือเช่นกัน สัตว์ตระกูลแมวขนาดยักษ์คำรามออกมาดังลั่นเมื่อกระแทกตัวของกับหมอกของอสูร เอลล์ผุดยิ้มเมื่อเสือของตัวเองสลัดหมอกดำออกจากตัวได้อย่างสบายๆ อีกทั้งยังกัดเข้าที่หลังคอของอสูรได้แม่นยำ
   
อสูรยักษ์ใช้มือปัดป่ายไปทั่วอากาศรอบตัวเริ่มร้อนขึ้นทุกที
   
เอลล์ตะโกน “ ลุกซ์ ข้าฝากเจ้าดูแลด้วย อสูรมันกำลังเรียกเวทไฟออกมา ”
   
ลุกซ์ยิ้มรับคำขอสั่งดีดนิ้วเบาๆ เรียกให้เพลิงของตัวเองล้อมกรอบเป็นวงกลมปกป้องทุกสิ่งที่อยู่ภายในและมอดไหม้ศัตรูหรืออะไรที่ไม่เกี่ยวข้องที่กล้ำกลายเข้ามา
   
อสูรที่เหลือจำนวนไม่มากที่ถูกไฟอันร้อนแรงของลุกซ์กรีดร้องออกมาและวิ่งพล่านอย่างลนลานพยายามสลัดเพลิงที่ติดตามตัวออกอย่างบ้าคลั่ง
   
“ งั้นข้าขอออกไปตบพวกมันก่อนนะ จะได้หมดๆ สักที ” มารัสหันมาบอกลุกซ์ในมือถือดาบคู่ใจของตัวเองที่เพิ่งถูกโยนทิ้งอย่างน่าอนาถใจ “ อย่าเผาข้าล่ะ ” มารัสไม่ลืมบอกสิ่งสำคัญ
   
“ เออน่า ” ลุกซ์พยักหน้าส่งๆ
   
มารัสเมื่อได้รับคำอนุญาติของเจ้าของกำแพงเพลิงก็ฝ่าออกไปทันทีอย่างไม่เกรงกลัว และไล่ตามเก็บอสูรที่เหลืออย่างสนุกสนานราวกับว่ากำลังเล่นอยู่
   
เมื่อสิ่งที่ทำให้ห่วงหมดไปแล้ว เอลล์ก็ถอนหายใจออกมาเพื่อโยนความเมตตาของตัวเองทิ้ง “ ถึงเวลาที่จะกำจัดเจ้าแล้ว หัวหน้ากบฎ ! ” เอลล์สะบัดมือครั้งนึงเรียกให้ดาบของตัวเองปรากฎเพิ่มขึ้นมา
   
ฉับพลันพื้นที่โดยรอบก็ถูกลูกเพลิงยักษ์จากท้องฟ้าพุ่งเข้าชนทันที
   
ตูม !
   
เอลล์เบิกตากว้างเอามือป้องตาของตัวเองไว้ไม่ให้ตาพร่า เวทย์ป้องกันตัวปรากฎขึ้นป้องกันตัวเองโดยอัตโนมัติ เอลล์สะดุ้งเมื่อพื้นที่โดยรอบถูกเพลิงโลมเลียอย่างตะกละต้นไม้กลายเป็นสีดำทันควันพื้นดินแห้งกรอบแตกระแหง เอลล์ขบเคี้ยวฟันด้วยความโมโห วาดอักขระเยียวยาแผ่นดินออกมาพร้อมกัดนิ้วของตัวเองสลัดใส่อากาศ คล้ายกับเป็นการตอบรับของอักขระเวท มันส่งเสียงดังไพเราะออกมาครั้งนึงและประทับลงบนแผ่นดิน พื้นที่โดยรอบกลับมาเขียวขจีอีกครั้งและดุเหมือนจะอุดมสมบูรณ์มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เอลล์ไม่หยุดเพียงเท่านี้ร่ายเวทเรียกให้ฝนตกพรำไปทั่วบริเวณเพื่อดับไฟที่ยังหลงเหลือ
   
อสูรยักษ์กู่ร้องคำรามออกมาเมื่อเสือของเอลล์ไม่ได้ถูกไฟคลอกตายไปด้วยมันยังสามารถกัดเข้าที่ท้ายทอยจนจมเขี้ยว มันกระวนกระวายจนสามารถคว้าหมับเข้าที่เสือของเอลล์ได้แต่นั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรเพราะเสือของเอลล์ได้เปลี่ยนรูปอีกครั้งพุ่งเข้ามาที่ดาบของเอลล์
   
ดาบของเอลล์กำลังประทุพลังออกมาจนมีเสียงแปลบปลาบในอากาศ
   
แววตาของเอลล์ฉายแววความเด็ดเดี่ยวก่อนที่จะฟันเข้าที่หัวของอสูรจนขาดอย่างง่ายดายแม้ว่ามันจะมีขนาดเป็นสองเท่าของเอลล์ก็ตาม
   
ตุบ..
   
หัวของอสูรตกลงตรงหน้าของลุกซ์พอดี
   
“ น่าเกลียดชะมัด ” ลุกซ์มุ่ยหน้าเตะหัวอสูรออกไปจนกลิ้งไถลเข้าไปหากษัตริย์เมืองมนุษย์
   
“ เฮ้ยยย จะเตะมาที่ข้าทำไมเล่า ข้าไม่เอา ! ” กษัตริย์ชาวมนุษย์ลนลานวิ่งหนีไปอีกทางทันที
   
“ ใจเสาะ ” ลุกซ์ถอนหายใจเบื่อๆ และมองหาราชาภูตของตัวเอง แต่ยังไม่เรียกก็รู้สึกแรงกอดเข้าที่ข้างหลังพอดี หัวอุ่นๆ กำลังถูไถลุกซ์คล้ายกับกำลังอ้อนแต่ถ้าไม่ติดความรู้สึกเปียกๆ บนหลัง
   
“ ลุกซ์... ทำไมเลือดของเจ้ากลายเป็นสีดำล่ะ ” เอลล์ที่เด็ดเดี่ยวหายไปแล้วเหลือเพียงความอ่อนแออยู่เจือจาง
   
ลุกซ์ยิ้มดึงมือของเอลล์ออกเบาๆ “ หันมาคุยกันดีๆ เอลล์ ”
   
เอลล์ยอมปล่อยออกมาอย่างง่ายดาย
   
ลุกซ์ดีดนิ้วเพื่อคลายเวทกำแพงเพลิงของตัวเองออก “ เอาล่ะ เอลล์ เจ้าใจเย็นๆ ก่อนที่มันรักษาไม่ได้เพราะใจของเจ้ายังไม่สงบพอไงล่ะ ”
   
เอลล์พยักหน้าหงึกหงัก
   
“ เอาล่ะ สูดหายใจเข้าลึกๆ เอลล์ ” ลุกซ์ลูบหัวเอลล์พูดอย่างอ่อนโยน
   
เอลล์ทำตามที่ลุกซ์ว่าจนสงบลง
   
“ ร่ายเวทเลยเอลล์ ”
   
เอลล์ค่อยๆ ร่ายเวท แสงสีทองทักถอบนหน้าท้องของลุกซ์อย่างเชื่องช้าเลือดสีดำค่อยๆ ระเหยออกไปในอากาศ รอยยิ้มปรากฎบนหน้าเอลล์เมื่อหน้าท้องของลุกซ์กลับมาราบเรียบอีกครั้ง
   
“ เห็นไหม แค่ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปด้วยดีนั่นแหละ เอลล์ ”
   
เอลล์ไม่ตอบรับอะไรเพียงแค่ยิ้ม
   
“ เดี๋ยวก่อนพวกท่าน ” มารัสเอ่ยขัดสีหน้าส่อแววความหงุดหงิด “ ทำไมเสื้อผ้าของข้าตอนนี้มันไหม้ล่ะ !! ”
   
“ ก็เจ้าโดนเพลิงลูกนั่นของอสูรนี่ ไม่ตายก็ดีแล้ว ” เอลล์เป็นคนตอบ
   
มารัสหน้ามุ่ยชูอะไรบางอย่างในมือให้เอลล์เห็น “ มันปลิวมาโดนหัวข้าพอดีตอนเจ้าตัดหัวอสูร ”
   
เอลล์สะดุ้งลนลานเข้าไปหามารัส “ ขอข้าดูหน่อย ”
   
มารัสยื่นมันให้เอลล์ง่ายๆ
   
เอลล์รับมาดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียดรอยยิ้มบนใบหน้าหายไปอีกครั้ง

สิ่งที่อยู่ในมือเป็นตุ๊กตาไม้มีดวงตาและปากเป็นรอยกรีดลึกตรงกลางตัวมีสิ่งที่คล้ายเขาอสูรทะลุอยู่ “ ลุกซ์... ” เอลล์เรียกลุกซ์ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “ สิ่งที่ข้าเพิ่งฆ่าไปเมื่อกี้เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ”
   
ซึ่งนั่นก็หมายความสิ่งที่ข้าคิดนั่นผิดไป
   
อสูรยักษ์ที่ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นหัวหน้ากบฎนั้นเป็นเพียงหุ่นฟาง
   
แปลว่าหัวหน้ากบฎนั้นยังมีชีวิตอยู่
   
ลุกซ์ถอนหายใจเซ็งๆ หยิบตุ๊กตาไม้จากมือเอลล์ไปพิจารณา “ งี่เง่าชะมัด ”
   
มารัสกระโดดโหยงเหยงโบกไม้โบกมือเรียกความสนใจมาที่ตน “ เห็นไหมๆ ข้าบอกแล้ว ว่าชาวภูตนั่นแหละ เป็นหัวหน้ากบฎชัวร์ ”
   
“ ข้าจะรับฟังไว้แล้วกัน ” เอลล์ถอนหายใจบ้างเหลือบมองชาวภูตที่รวมกลุ่มกันเป็นวงล้อมขนาดใหญ่ “ งั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปที่ปราสาทส่วนในแล้วกัน ในนั้นน่าจะปลอดภัยกว่าที่นี้ ”
   
ชาวภูตที่นั่งกอดเข่าเผลออุทานกันออกมาอย่างตกใจเพราะในพื้นที่ปราสาทส่วนในนั้นมีเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะเข้าไปอยู่ในบริเวณนั้นได้ แต่ก็ไม่ได้มีใครก็ถามออกมาเพราะกลัวจะถูกเปลี่ยนใจ
   
เอลล์หลับตาลงใช้เวลาครุ่นคิดสั้นๆ แล้วเสกนกพิราบสีขาวออกมาในปากของมันคาบซองจดหมายที่ถูกเขียนด้วยอักขระเวท “ มารัส เจ้าจะไปปราสาทส่วนในด้วยไหม ”
   
มารัสพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด “ ไปสิ ไป ” เพราะนั้นคือเป้าหมายหลักของมารัสและเกททิน เกททินเหลือบมองมารัสและถอนหายใจเซ็งๆ เดินเข้าไปรวมกลุ่มกับภูต
   
“ งั้นเจ้าเอานกพิราบนี้ไปด้วยแล้วกัน ” เอลล์ลูบหัวมันเบาๆ และปล่อยให้มันบินพึ่บพี่บไปเกาะที่ไหล่ของมารัส “ เดี๋ยวเจ้านกพิราบนี้จะเป็นใบเบิกทางให้พวกเจ้าเอง ”
   
“ งั้นก็ลาล่ะ ถ้ามีโอกาสไว้มาจิบเหล้าด้วยกันล่ะ เอลล์ ลุกซ์ ” มารัสหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี
   
เอลล์ยิ้มรับวาดเวทเดินทางใต้เท้าของตัวเองด้วยอักขระขนาดใหญ่ก่อนที่จะกระทืบเท้าบนมันเบาๆ จนกลายเป็นวงเวทขนาดยักษ์เคลื่อนไปตรงกลางที่ชาวภูตยืนออกันอยู่
   
“ ลาล่ะ ” ลุกซ์บอกสั้นๆ
   
ส่วนชาวภูตคนอื่นๆ ที่อยู่ในวงเวทต่างยิ้มกว้างกันอยู่ดีใจบางคนถึงกับร้องไห้ออกมาเมื่อรู้ว่าตัวเองจะได้ไปอยู่ที่ปลอดภัยที่มีเพียงเชื้อพระวงศ์เข้าได้ แม้จะรู้สึกข้องใจในตัวของผู้ช่วยเหลือแต่ความดีใจก็กลบคำถามที่มีอยู่ในใจจนมิดแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่ยิ้มให้เอลล์
   
เอลล์ยิ้มบางโบกมือลาและเวทที่อยู่บนพื้นก็ทำงาน
   
แสงเหลืองนวลโฉบไล้ไปทั่วก่อนที่ทุกคนที่อยู่ในวงเวทหายไป
   
โดยที่ไม่มีใครสังเกตว่ามีชาวภูตผู้นึงสวมชุดคลุมปกปิดใบหน้าแสยะยิ้มอย่างพอใจ

-------------------

TBC.  :katai5:

ตอนนี้กินพลังชีวิตมาก 55555 ฉากสู้ก็เยอะเขียนย้ากยาก ปมที่มีอยู่ก็พันกันมากกว่าเดิมอีก

ไม่ได้เขียนฉากต่อสู้จริงๆจังๆ นานแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะสนุกไหม  :hao4:

  :L1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ

* ตอบเม้น

คุณ บลูเชอร์รี่ : ลุกซ์มีหมอส่วนตัวไม่ต้องหาใครหรอกค่ะ  :hao7:

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : เอ ตอบยังไงดี 5555 งั้นโง้ววววกลับแล้วค่ะ

คุณ lizzii : สถานการณ์ขึ้นๆ ลงๆ เป็นเรื่องปกติของเรื่องนี้เลยค่ะ 5555

# ไร้สาระ เป็ดเด็กช่างแล้วกรี้ด
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
      
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 18 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 18-09-2015 21:54:29
 :mew1:

มาแล้วววววว ตอนยาวด้วย ดีใจ  :hao5:

เนื้อเรื่องเริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่มีตัวร้ายออกมาซักกะคน

 :z3:

ถามคุณ Foggy Time นิดนะค้า ในเรื่องนี่ใครพลังเวทย์แกร่งที่สุด?

 :laugh:

หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 18 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 18-09-2015 22:05:57
:mew1:

มาแล้วววววว ตอนยาวด้วย ดีใจ  :hao5:

เนื้อเรื่องเริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่มีตัวร้ายออกมาซักกะคน

 :z3:

ถามคุณ Foggy Time นิดนะค้า ในเรื่องนี่ใครพลังเวทย์แกร่งที่สุด?

 :laugh:

แน่นอนว่าท่านคาร์บิลัสค่ะ 555555555555  :hao7:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 18 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 18-09-2015 22:12:28
...........

"พอง

พอง"

(http://vignette2.wikia.nocookie.net/clashofclans/images/5/50/If-you-know-what-i-mean.png/revision/latest?cb=20140726023420)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 18 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 18-09-2015 22:21:36
...........

"พอง

พอง"

(http://vignette2.wikia.nocookie.net/clashofclans/images/5/50/If-you-know-what-i-mean.png/revision/latest?cb=20140726023420)

เอ้ะ คืออะไรเหรอ 555555

 :katai5: # คลานหนี
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 18 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-09-2015 00:41:52
มันอยู่นั้นสินะตัวอันตราย ฆ่ามานนน!!
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 18 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 20-09-2015 11:21:55
จากการที่ข้าพเจ้าดูแล้ว อิตัวร้ายเป็นคนเก่าแก่แน่นอน....วางแผนให้พวกตัวเด่นๆไปอยู่ในวัง แล้วค่อยฆ่าเอลเพราะว่าเอลต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้แผนเสียได้ แล้วค่อยฆ่าคนอื่นที่อยู่ในวังให้หมด แล้วนางก็จะได้เป็นพระราชา ครองแผนดินโดยมีลูกสมุนคือพวกอสูร ที่ๆพูดมาคือการคาดการณ์(เดา)ไม่มีผลต่อเนื้อเรื่องแต่อย่างใด ถ้าข้าพเจ้าเดาผิด ขออภัยมาในที่นี้ ขอบคุนครับ
55555555  :hao7:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 27 27 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 27-09-2015 00:05:42
ตอนที่ 27

   “ ฟาร์คัส เจ้าว่าข้าเป็นคนยังไงเหรอ ” คาร์บิลัสถามยิ้มๆ ทั้งๆ ที่กำลังใช้ดาบฟันหัวอสูรจนขาดกระเด็นไปไกล
   
ชาวภูตที่ถูกช่วยชีวิตอ้าปากค้างตาเบิกกว้างมองราชาปีศาจหวั่นๆ กล่าวขอบคุณกระตุกกระตักวิ่งหนีไปทางอื่น
   
ฟาร์คัสขมวดคิ้วเมื่อพบว่าคาร์บิลัสถามคำถามไร้สาระ “ งี่เง่า ไม่สมกับเป็นราชาปีศาจสักนิด ถ้าหากบอกว่าเป็นสุนัขสักตัวข้ายังจะเชื่อมากกว่าอีก ”
   
คาร์บิลัสหน้าหงอลงทันตาเห็น “ งั้นเหรอ.. ก็ข้าเป็นแบบนี้นี่นา ”
   
ครั้งที่ 3
   
ฟาร์คัสถอนหายใจแรงๆ กับตัวเอง เจ้าทำให้ข้าดูกลายเป็นคนที่ใจร้ายนะ คาร์บิลัส ข้าไม่ได้เป็นคนใจร้ายอะไรขนาดนั้นสักหน่อย ฉะนั้นเลิกทำหน้าเหมือนจะตายซากได้แล้ว “ เออๆ ข้าขอโทษ ข้าขอพูดใหม่อีกรอบ ”

   คาร์บิลัสยิ้มยืนรอฟังด้วยแววตาสนอกสนใจ
   
ฟาร์คัสมองข้าเป็นยังไงกันนะ ?
   
ฟาร์คัสหน้าขึ้นสีเมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะพูด ให้ตาย.. ข้านี่มันงี่เง่าชะมัด “ เจ้าเป็นคนแรกที่อ่อนโยนกับข้า ไม่ว่าข้าจะทำอะไรเจ้าก็ยังคงอยู่ข้างๆ ข้า เจ้าเป็นราชาปีศาจที่โง่ งี่เง่า งอนไร้สาระ บางทีก็ฉลาดในบางเรื่องจนน่าหงุดหงิด แต่ข้าก็ไม่เคยโกรธเจ้าได้จริงจังสักที ” ฟาร์คัสเหลือบมองคาร์บิลัสที่จ้องตาแป๋วก็หยุดพูดไปสักพัก “ แค่นี้พอ ”
   
คาร์บิลัสหัวเราะออกมาเสียงเบาอย่างพอใจ “ แต่ข้ามองว่าเจ้าเป็นอีกาที่น่ารักที่สุดนะ ”
   
ฟาร์คัสคิ้วกระตุก “ หุบปากไป ”
   
คาร์บิลัสยิ้มรับกับความหงุดหงิดของฟาร์คัสก่อนจะพุ่งไปคว้าตัวฟาร์คัสขึ้นมาอุ้มกระโดดออกจากที่พื้นที่ยืนอยู่ “ อย่ายืนบื้อ ไอ้มังกรโง่ ” คาร์บิลัสเอ็ดดัฟฟ์
   
ดัฟฟ์อ้าปากหวองุนงงแต่ก็รีบวิ่งด้วยขาสั้นๆ ตามออกมา
   
ฟาร์คัสกำลังจะกล่าวคำด่าใส่คาร์บิลัสด้วยความหงุดหงิด
   
เหตุผลที่ทำให้คาร์บิลัสอุ้มฟาร์คัสก็ปรากฎขึ้นมา
   
ตราเวทขนาดยักษ์ปรากฎตรงบริเวณที่เดิมทียืนกันอยู่ตัวอักษรเวทปรากฎขึ้นทีละตัวแสงวูบวาบชวนแสบตาต่างสีผลัดกันทอประกายตามตัวอักษรที่ปรากฎ
   
“ ปล่อยข้าลง ” ฟาร์คัสพูดเสียงเย็น
   
คาร์บิลัสหน้ามุ่ยยอมปล่อยฟาร์คัสยืนดีๆ อย่างทะนุถนอม
   
นกพิราบสีขาวเป็นสิ่งที่แรกที่ปรากฎออกมาจากวงเวทมันบินพึ่บพั่บมาเกาะฟาร์คัส ใช้หัวไถออดอ้อนราวกับคุ้นเคยกับฟาร์คัสมานาน
   
ฟาร์คัสเผลอยิ้มหยิบตัวนกพิราบออกจากไหล่มาถือไว้ สบมองดวงตาสีเหลืองอำพัน
   
นกเวทย์ของเอลล์
   
สาเหตุที่เจ้านกพิราบมาคลอเคลียกับฟาร์คัส คงจะเป็นเพราะเป็นเผ่าพันธุ์นกเช่นเดียวกับมัน ยิ่งขนาดตัวที่ใหญ่กว่าทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยอยากเข้ามาคลอเคลีย
   
ถึงแม้จะเป็นเพียงเวทย์มนตร์
   
แต่ก็ยังคงสัญชาตญาณสัตว์เอาไว้อยู่ดี
   
“ ข้าว่าเจ้าเป็นพวกเนื้อหอมแน่ๆ เลยฟาร์คัส ” คาร์บิลัสหน้ามุ่ย “ ดูสิ ไม่ว่าตัวอะไรก็ชอบมาคลอเคลีย มายุ่งกับเจ้า อย่างล่าสุดก็ไอ้ราชาบ้าบอเมื่อกี้ ข้าว่าข้าต้องหึงเจ้าตายแน่ๆ ” คาร์บิลัสขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง
   
“ เจ้าจะหึงข้าทำไมกัน ในเมื่อเจ้ากับข้ายังไม่ได้เป็นอะไรกัน ” ฟาร์คัสแค่นเสียงหึ
   
“ อ๋า เจ้าเรียกความสัมพันธ์นี้ว่าไม่ได้เป็นอะไรกันงั้นเหรอ ฟาร์คัส ”
   
“ ใช่  เจ้าคิดไปเองคนเดียวทั้งนั้นแหละ ”
   
บางทีฟาร์คัสก็รู้สึกสนุกกับการราชาปีศาจอยู่เหมือนกัน
   
หน้าหงอยๆ นั่นทำให้ฟาร์คัสรู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก
   
คาร์บิลัสแสยะยิ้มทำเอาฟาร์คัสสะดุ้งในใจ
   
ยิ้มอะไร ?
   
คาร์บิลัสดึงตัวฟาร์คัสเข้ามาใกล้โน้มหัวลงจูบฟาร์คัสกดหัวอีกฝ่ายไม่ให้ขยับไปไหน เจ้านกพิราบสีขาวตีปีกพึ่บพั่บบินว่อนไปมาอยู่สักพักก่อนจะเปลี่ยนที่พำนักใหม่เป็นหัวของดัฟฟ์
   
ดัฟฟ์เหลือบมองเจ้านกบนหัวแล้วเช็ดน้ำลายที่ปาก
   
“ กินไม่ได้ๆ เดี๋ยวท้องเสีย แก๊ซ ”
   
ดัฟฟ์พูดพึมพำเหมือนกับกำลังปฏิญาณกับตัวเอง
   
มีน้องแล้วดัฟฟ์ต้องเป็นพี่ที่พึ่งพาได้
   
ถ้าดัฟฟ์ท้องเสียใครจะดูแลนาซัสล่ะ
   
ดัฟฟ์ไม่ได้สนใจสิ่งที่คาร์บิลัสกำลังกระทำแต่อย่างใด ความสนใจของดัฟฟ์พุ่งไปที่นาซัสจนหมดทำให้ดัฟฟ์ไม่เห็นภาพที่ชวนให้กลายเป็นมังกรใจแตกไปซะก่อน
   
คาร์บิลัสลุกล้ำเข้าไปในปากของฟาร์คัสอย่างอุกอาจ
   
ฟาร์คัสไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะมัวแต่มึนงงอยู่เผลอครางในลำคอก่อนที่จะได้สติ แววตาที่มึนงงเปลี่ยนผันเป็นเด็ดขาด มือเตรียมจะต่อยคาร์บิลัส
   
คาร์บิลัสผละออกมาทันทีแม้จะรู้สึกเสียดายก็ตาม

ถึงจะอยากทำอะไรแค่ไหน
   
แต่สภาพร่างกายต้องมาก่อน
   
เพราะดูๆ แล้วฟาร์คัสอาจเอาข้าถึงตาย
   
“ คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสเรียกเสียงเย็นสายตาเย็นชาถึงขีดสุด
   
คาร์บิลัสสะดุ้งลูบหลังเย็นวาบ “ มีอะไรงั้นเหรอ ฟาร์คัส ”
   
“ เดี๋ยวเจ้าก็รู้ !! ” ฟาร์คัสคำรามออกมา อารมณ์ดีๆ ที่มีหายไปจนหมดแทนที่ด้วยความหงุดหงิดจนแทบบ้า
   นี่ไม่ใช่เวลาที่ควรจะมาเล่นด้วยซ้ำ
   
นกพิราบสีขาวตกใจจนบินพึ่บพั่บกลับไปยังวงเวทที่มันเพิ่งออกมา มันบินไปเกาะเข้าที่ไหล่ของมารัสดังเดิม
   
ฟาร์คัสชะงักไปสักพักเมื่อมีชาวภูตอยู่เต็มไปหมด แล้วยังมีอริของข้าอีก..
   
กษัตริย์เมืองโฮรัสสะดุ้งสุดตัวเมื่อสบตาเข้ากับฟาร์คัสพอดี ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาด้วยความกลัว กลัวว่าถ้าหากมองนานอีกสักนิดจะถูกราชาปีศาจข้างๆ ฆ่าตาย
   
คาร์บิลัสยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของมนุษย์ที่กล้าจะทำร้ายฟาร์คัส
   
นี่ละ
   
ผลของการปองร้ายคนของราชาปีศาจ
   
มารัสลูบตัวของนกพิราบที่ตอนแรกบินหนีหายไประหว่างที่กำลังอยู่ในวงเวท มารัสเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยม เก่งกาจ ที่สุดในตอนนี้
   
ราชาปีศาจ !
   
มารัสสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าจะเจอราชาปีศาจได้ง่ายๆ หันไปมองหน้าเกททินก็พบว่าอีกฝ่ายหน้าซีดเผือดเช่นเดียวกับตน
   
เอายังไงดี
   
การสื่อสารระหว่างสายตากำลังเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน
   
เกททินมารัสแลกเปลี่ยนบทสนทนากันสักพักได้ความคือเผ่นเถอะ อย่าอยู่เลย
   
มารัสลูบตัวนกพิราบเป็นครั้งสุดท้ายแล้วขว้างมันใส่กษัริย์เมืองโฮรัส ใช้ขาสั้นๆ วิ่งถี่ยิบกระโดดโหยงเหยงหายไปพร้อมกับเกททิน
   
คาร์บิลัสเลิกคิ้วงงๆ
   
นี่ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ ?
   
“ อย่าลืมสิ ว่าเจ้ามีฐานะเป็นอะไร คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสพูดเบื่อๆ เจือความหงุดหงิดที่ยังคงอยู่
   
คาร์บิลัสทำท่าคิดไปสักพัก “ อ๋อ ใช่ ข้ามีฐานะเป็นสวามีของเจ้าไงล่ะ ฟาร์คัส ”
   
“ พูดให้มันดีๆ ” ฟาร์คัสกำมือแน่นเพื่อไม่ให้เผลอพลั้งมือไปทำร้ายคาร์บิลัสเพื่อระบายอารมณ์
   
ทั้งๆ ที่ข้าไม่ได้อยากจะหงุดหงิด แต่คาร์บิลัสก็ชอบทำให้ข้าหงุดหงิดจนได้
   
ราชาปีศาจงี่เง่า
   
“ นี่พวกเจ้าจะนิ่งกันอีกนานไหม จะไปไหนก็ไปสิ ” คาร์บิลัสเปลี่ยนเรื่องหันมาให้ความสนใจกับภูตที่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับตัวไปไหนรวมถึงกษัตริย์นั่นด้วย
   
เมื่อได้รับคำอนุญาตชาวภูตก็วิ่งกันจ้าระหวั่นไปยังปราสาทเพื่อไปยังส่วนในที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้สำหรับดินแดนภูต

   กษัตริย์เมืองโฮรัสเพิ่งได้สติสบมองฟาร์คัสกับคาร์บิลัสหวาดๆ วิ่งตามชาวภูตไปทันที
   
นกพิราบสีขาวบินร่อนขึ้นไปบนท้องฟ้าและโฉบนำไปยังปราสาทก่อนทันทีเพื่อใช้แทนคำอนุญาตจากนายของมัน
   
คาร์บิลัสขมวดคิ้ว
   
“ มีอะไรงั้นเหรอ ? ” ฟาร์คัสเอ่ยถามเมื่อเห็นใบหน้าที่ปกติปัญญาอ่อนของคาร์บิลัสเคร่งเครียด
   
“ ข้าว่าตามพวกนั้นไปดีกว่า ข้ารู้สึกเหมือนจับอะไรแปลกๆ ได้ ” คาร์บิลัสแสยะยิ้มบนหลังปรากฎปีกคู่ยักษ์สีดำสนิทดูน่าเกรงขาม
   
ฟาร์คัสยิ้ม
   
มีประโยชน์เหมือนกันนี่..
   
ฟาร์คัสเรียกปีกขนกาของตัวเองออกมาบ้างปีกขนาดพอดีตัวเหยียดกางออกคลายความเมื่อยขบหลังจากห่างหายการใช้งานไปนาน
   
ดัฟฟ์มองซ้ายมองขวาก็พบว่าทั้งแม่และฆ่าบี้ลัสเรียกปีกของตัวเองออกมา
   
แก๊ซ ข้าก็มีปีกเหมือนกันน้า
   
ดัฟฟ์หลับตานึกถึงปีกมังกรของตัวเอง
   
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรปรากฎ
   
น้ำตาเริ่มนองหน้าดัฟฟ์
   
ฟาร์คัสส่งสีหน้าเหม็นเบื่อใส่ดัฟฟ์ “ เจ้ายังเด็กอยู่ ไม่ต้องร้องไห้ไปหรอก ถ้าเจ้าทำอะไรไม่ได้ ” ฟาร์คัสสะบัดข้อมือเบาๆ ทำให้บนหลังของดัฟฟ์มีปีกมังกรคู่เล็กงอกออกมาบ้าง
   
“ เอาล่ะ งานนี้พวกเราจะไปอย่างเงียบเชียบนะ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ จับหนูที่แอบอยู่ในกลุ่มแมวให้ได้ ! ”
   
เหตุผลที่คาร์บิลัสไม่ใช่เวทข้ามไปยังปราสาทเลยเพราะว่าต้องการแอบตามกลุ่มภูตเมื่อกี้เพื่อดูสิ่งปกติอย่างเงียบเชียบ

   
“ เจ้าควรจะเปรียบว่าแมวที่แอบอยู่ในกลุ่มหนูดีกว่านะ คาร์บิลัส ”
   
“ ก็เจ้านั่นสำหรับข้าเป็นแค่หนูนี่นา ”
   
“ ... "

----------------
ตอนนี้อัพดึกมาก   :katai5:

เป็นตอนเต็มของคาร์บิลัสฟาร์คัสชัดๆ 55555 # บอกทีว่าคาร์บิลัสคือพระเอกใช่ไหม  :mew3:

 :กอด1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์จ้า
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 18 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 27-09-2015 00:08:34
ว้ายยยยย จิ้มๆๆๆๆ  :z13:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 26 ก.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 27-09-2015 09:35:08
 :monkeysad:

น่าสงสารคาร์บิลัส

ฮิมเป็นพระเอกที่รันทดที่สุดของปีนี้เลยค่ะ 555555 โดนฟาร์คัสเมิน เย็นชา แกล้ง แถมจะแอ้มทีต้องคิดหน้าคิดหลังระวังฟาร์คัสโกรธ

จบศึกนี้ยังไม่รู้ว่าฟาร์คัสจะให้รางวัลอะไรฮิมบ้างหรือเปล่าเลย จุ๊ๆๆๆ

;p ยังยืนยันว่าคาร์บิลัสเนี่ยเป็นพระเอกนะคะ ฮิฮิ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 30 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 30-09-2015 21:35:21

ข้าเป็นเด็กขี้อิจฉา..
   
ข้ารู้ตัวเองดี
   
เพราะฉะนั้นข้าก็จะทำให้ข้าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดซะ เพื่อที่ข้าจะได้ไม่อิจฉาอีกต่อไป
   
ต่อให้ต้องเหยียบหัวใจของใครก็ตาม

   
ภูตตัวเล็กผมสีเหลืองอ่อนถูกหวีอย่างเนียนกริบในตอนเช้าแต่ในขณะนี้มันกำลังยุ่งเหยิงคล้ายกับกำลังประท้วงอยู่กลายๆ ว่าขัดต่อนิสัยของเจ้าตัว
   
มือเล็กเกาะอยู่ที่ข้างต้นไม้หัวแอบยื่นไปดูภูตเด็กพอๆ กันกำลังฝึกเวทกับอาจารย์ของตัวเองอยู่
   
“ ยื่นมือของท่านออกมาแล้ววาดวงเวท ” เสียงทุ้มแหบต่ำกล่าว
   
ร่างที่ยืนตรงหน้าของร่างชรายื่นมือสั่นๆ ของตัวเองออกไป ลงมือวาดวงเวทตามที่บอก แต่สิ่งที่ได้ออกมากลับไม่ใช่วงเวทเป็นการเขียนที่กระจัดกระจายราวกับว่าไม่ได้จดจำในสิ่งที่เรียน
   
“ ท่านยังจำมันไม่ได้อีกหรือ ” เสียงราบเรียบแต่คำกล่าวที่ดูสุภาพแฝงไปด้วยคำตำหนิ
   
“ ขะ ข้าขอโทษ ” ว่าพลางก้มหน้านิ่ง สมองพยายามจดจำถึงสิ่งที่ตนเพิ่งได้ร่ำเรียน การวาดมือในอากาศเป็นตัวอักษรเวทง่ายๆ
   
ฟลอยด์แค่นเสียงหัวเราะหึ
   
อ่อนแอ
   
ไม่เหมาะสมกับการเป็นกษัตริย์ของเมืองนี้สักนิด
   
ร่างชราเหลือบมองมาทางต้นไม้ขวับ ดวงตาสีน้ำตาลกวาดไปมาเพื่อสำรวจถึงสิ่งผิดปกติที่รู้สึกได้เมื่อครู่ ก่อนที่จะกลับไปสนใจร่างของนักเรียนตัวเองอีกครั้งเมื่อพบว่าไม่มีอะไร
   
ภูตร่างเล็กถอนใจฟู่อย่างโล่งอก บนหัวเต็มไปด้วยเศษใบไม้ เมื่อกี้เขาเพิ่งใช้เวทเข้าแทรกซึมไปในต้นไม้เพื่อไม่ให้ถูกร่างชราจับได้
   
ฟลอยด์ขบกรามด้วยความหงุดหงิด
   
ถ้าหากข้ามีพลังเวทมากกว่านี้คงไม่ต้องทำอะไรน่าอดสูแบบนี้
   
ถ้าหากเจ้านั่นไม่กำเนิดขึ้นมาล่ะก็
   
ตำแหน่งก็ต้องเป็นของข้า
   
ไอ้ภูตตาบอด

   
เดิมทีเรื่องของเอลล์ ฟลอยด์เพิ่งมารู้ตอนแอบติดตามอาจารย์ของตัวเอง
   
เพราะท่านอาจารย์ที่เขาชอบมักจะปลีกตัวไปสอนใครบางคนอยู่เสมอและในช่วงหลังก็ห่างหายไปเลย เขาที่เพิ่งเจอครั้งล่าสุดก็ลองแอบติดตามไปด้วยเวทที่เพิ่งถูกสอนไปหยกๆ
   
อย่าดูถูกข้าเชียว
   
ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่ว่าที่กษัตริย์แต่พลังเวทย์ของข้าก็ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน
   
ฟลอยด์ลอบติดตามท่านอาจารย์อย่างเงียบเชียบและต้องตกใจเมื่อมาถึงสถานที่นัดพบของท่านอาจารย์และใครบางคนที่ว่า
   
ลานประลองที่ไม่ได้ใช้แล้วถูกปรับสภาพใหม่ให้กลายเป็นลานฝึกหรูหรา
   
ท่านอาจารย์ค้อมกายเคารพเจ้าเด็กภูตนั่นก่อนจะเรียกเจ้านั่นว่าเอลล์
   
ทำไมต้องทำความเคารพเด็กนั่นกัน ?
   
ท่านเป็นถึงอาจารย์ที่เก่งด้านที่เวทย์ที่สุดในโรงเรียนเชียว
   
ฟลอยด์พยายามเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบและแอบฟังบทสนทนาของท่านอาจารย์
   
“ ท่านเป็นถึงว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปเลยนะขอรับ ท่านเอลล์ ”
   
คำพูดนอบน้อมของท่านอารจารย์ฟังขัดหูข้า
   
ว่าที่กษัตริย์ !?
   
ไอ้เด็กตาสองสีท่าทางอ่อนแอนี่เนี่ยนะว่าที่กษัตริย์
   
ตลกร้ายแล้ว !

   
หลังจากนั้นฟลอยด์ถึงได้รู้ว่าเอลล์นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง
   
ว่ากันว่า
   
สายเลือดเดียวกันยังไงก็เกลียดกันไม่ลงอยู่ดี
   
คงจะเป็นข้อยกเว้นสำหรับฟลอยด์
   
เมื่อฟลอยด์รู้เรื่องนี้ก็ฝึกฝนตัวเองทันที
   
เวทย์ที่เดิมทีมีไม่พอสูสีเอลล์ก็สูสีกับเอลล์เพราะการฝึกฝนอย่างหนักของฟลอยด์
   
ความเกลียดของฟลอยด์ก็เช่นกัน
   
ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกทียามที่ได้ยินชื่อ การกระทำ ของอีกฝ่าย
   
จวบจนกระทั่งวันนึงที่อีกฝ่ายได้ขึ้นเป็นราชาของดินแดน
   
ทุกสิ่งในดินแดนกำลังเฉลิมฉลอง รอยยิ้มประดิษฐ์ของฟลอยด์ถูกส่งไปให้ร่างภายใต้หน้ากากสวยงาม
   
ยิ้มให้ตายก็ไม่เห็นหรอก
   
พวกโง่
   
ฟลอยด์ให้นิยามกับผู้ที่ส่งยิ้มให้กับราชาของดินแดนตัวเอง
   
แล้ววันหนึ่งวันที่ฟลอยด์ต้องการก็ได้มาถึง
   
การได้เป็นกษัตริย์
   
ถึงแม้จะเป็นเพียงการปลอมตัวแต่นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
   
ความเกลียดของฟลอยด์ถูกปิดบัดด้วยท่าทางขี้เล่น ขี้แกล้ง
   
ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ยกเว้นเพียงแต่เจ้าตัว
   
การเล่นเป็นกษัตริย์ชั่วคราวสำหรับฟลอยด์แล้วเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
   
เพื่อประกาศว่าตัวเองนั้นมีดีกว่าไอ้ภูตตาบอดอ่อนแอ ทั้งพลังเวทย์ การบัญชารบ การเรียกขวัญกำลังใจ ไม่ใช่ไปมุดหัวอยู่ในที่ปลอดภัยรอพันธมิตรที่อีกฝ่ายต้องการนักหนาออกมาช่วย
   
ลึกๆ แล้วฟลอยด์เห็นด้วยกับการทำพันธมิตร
   
แต่ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ไอ้ภูตอ่อนแอนั้นต้องการ
   
ข้าก็จะต่อต้านมัน

------------

ตอนนี้สั้น 5555555 แต่อยากเล่าที่มาของฟลอยด์ที่ทุกคนชอบค่ะ  :mew1: # รึเปล่า

 :L1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ
      
   
       
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 30 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 30-09-2015 21:39:31
เงิบ

ฟลอยด์นี่จะเป็นคนทรยศหรือเปล่านะ?

เบื้องหลังมีกันกี่คน??

หนูเอลล์แค่เกิดมาก็โดนหมั่นไส้ละ อาภัพจริงๆ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 30 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-09-2015 22:56:14
เหมือนพลิกอีกแล้วววว
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 30 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 04-10-2015 11:45:49
ฝอยเป็นเคะแน่ๆแกเป็นเคะแน่ฝอย...ฉันรู้ฉันเห็น... o18
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 26 30 ก.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 05-10-2015 18:33:12
เงอะะะะะะ เด็กขี้อิจฉาาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 28 5 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 05-10-2015 22:40:18
--- ตอนที่ 28 ---
   
แค่ระยะเวลาสั้นๆ ..
   
ข้าก็รู้สึกถึงความมีอำนาจ
   
ถ้าหากข้าใช้อำนาจนี้ในการกระทำสิ่งต่างๆ ที่ข้าอยากทำเพื่อแดนภูต
   
คงจะดีไม่น้อย
   
ฟลอยด์เหยียดยิ้มกับตัวเอง กระชับเสื้อคลุมรุ่มร่ามของกษัตริย์ที่เลียนแบบมาจากคนที่ตัวเองเกลียดนักหนา เหลือบมองอดีตราชาภูตที่มองมานิ่งๆ
   
“ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ” เมเออร์พูดเสียงเรียบ ร่างชราร่างนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ย่อมมองผู้อื่นออกว่าซุกซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ในจิตใจ “ แต่ข้าจะทำเป็นไม่เห็นไปก่อน เพื่อดินแดนภูต ”
   
ฟลอยด์ยิ้มรับ

รู้ก็ดี
   
อย่าขัดขวางข้าเป็นพอ
   
“ ข้าว่าแกนนำหลักคงจะลอบเข้าไปข้างในแน่ๆ ไปยังที่เก็บดาบศักดิ์สิทธิ์ ” แววตาของฟลอยด์เปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อพูดถึงสิ่งสำคัญของดินแดนภูต
   
ดาบศักดิ์สิทธิ์..
   
ว่ากันว่าเป็นดาบที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับดินแดนภูต ซึ่งจะนำมาใช้แค่ในพิธีสำคัญๆ ของดินแดนภูตเท่านั้น ในเวลาปกติจะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีด้วยยามพิทักษ์แห่งดาบ เป็นวิญญาณเอลฟ์เผ่าพันธุ์ที่คงเหลืออยู่จากสงครามปีศาจ ซึ่งวิญญาณเอลฟ์ในตอนนี้ก็น่าจะใกล้สลายไปแล้ว
   
มีหลายสิ่งในดินแดนภูตที่ถูกผูกชีวิตไว้กับกำแพงไม้เลื้อย
   
เพราะคิดว่ามันจะดำรงอยู่เป็นอมตะ
   
จึงผูกชีวิตไว้กับมัน
   
ภูตบางตนทำสัญญากับกำแพงไม้เลื้อย จนมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่าปกติเป็นเท่าตัวทั้งๆ ที่ภูตปกติก็อายุยาวอยู่แล้ว แต่เวทบทนี่ค่อนข้างเสี่ยงถ้าหากใช้มัน
   
หากกำแพงภูตพังทลาย
   
ชีวิตย่อมหาไม่เช่นกัน
   
ราชาของดินแดนภูตส่วนใหญ่จึงไม่ผูกชีวิตไว้กับมัน
   
เพียงแค่ดูแลมันอย่างดีมาเรื่อยๆ
   
“ งั้นข้าก็ขอตัวก่อนแล้วกัน ” ฟลอยด์โน้มตัวอย่างนอบน้อม
   
เมเออร์แค่นเสียงเหอะ
   
แววตาของฟลอยด์เปลี่ยนเป็นเฉียบคมแต่ก็ไม่ได้ทำให้เมเออร์สะดุ้งแต่อย่างใด ฟลอยด์กระโดดไปบนต้นไม้ใช้เวทพยุงตัวมุ่งหน้าไปยังส่วนในของปราสาท
   
เมเออร์มองตามร่างที่ตนใช้เป็นกษัตริย์แทนเอลล์และถอนหายใจ
   
ข้ารู้ดีว่ามันเสี่ยงถ้าจะใช้เจ้านี่
   
แต่ถ้าหากไม่ใช้มันดินแดนภูตคงวอดวายได้ง่ายๆ
   
เมเออร์ไม่เคยเชื่อใจลูกของตัวเอง
   
ถึงจะมีพลังเหลือเฟือแต่กลับใช้ไปในทางที่แม้แต่ข้ายังไม่อาจเข้าใจ
   
ทำไมถึงไม่สร้างกำแพงขึ้นมา ?
   
เป็นคำถามคาใจเมเออร์มาตลอด
   
เมเออร์ไม่เคยยอมรับแนวคิดของเอลล์เรื่องพันธมิตร
   
ไม่เคยแม้แต่จะให้มันมาอยู่ในความคิดด้วยซ้ำ
   
เสี่ยงเกินไป
   
จนกระทั่งมันสายเกินไปอย่างตอนนี้
   
แต่เมเออร์ไม่โทษเอลล์
   
เพียงแค่ใช้คนอื่นมาเป็นตัวแทนเท่านั้น
   
เมเออร์รู้ดีว่ามันอาจจะทำให้เอลล์ต้องเสียใจ
   
แต่สำหรับเมเออร์แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดในฐานะกษัตริย์มีเพียงดินแดนภูตเท่านั้น
   
เปรียบกับตาฃั่ง
   
ดินแดนภูตคงหนักจนตาชั่งพัง
   
ความรู้สึกของเอลล์คงเพียงแค่ฝุ่นผงเท่านั้น

   
การเดินทางของฟลอยด์กินเวลาไม่นานมากนักเพราะเจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจจะลงไปดูพื้นที่เสียหายสักเท่าไหร่ ยามใดที่เจออสูรขวางทางก็เพียงฆ่ามันในพริบตา สะบัดข้อมือเบาๆ ใช้เวทเยียวยาเบื้องต้นเมื่อผ่านภูตที่บาดเจ็บ
   
แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับแปลก
   
ชาวภูตหายเป็นปกติทันทีเพียงแค่เคล็ดยอกนิดหน่อย
   
เรียกความเลื่อมใสต่อองค์กษัตริย์กลับมาได้ทันที
   
ฟลอยด์เพียงยิ้มอย่างพอใจ
   
มันจะยากแค่ไหนเชียว
   
กลับการแย่งตำแหน่งจากพวกอ่อนแอ
   
ตูม !!
   
เสียงระเบิดดังขึ้นไกลๆ เรียกให้ฟลอยด์หันไปสนใจ ความคิดแวบเข้ามาในทันทีคือการดึงความสนใจ ฟลอยด์ไม่หยุดการเดินทางแต่อย่างใด หนำซ้ำยังเร็วยิ่งกว่าเดิมจนเท้าเหยียบอยู่ตรงหน้าประตูปราสาทส่วนใน
   
“ ท่านราชา !! ” ชาวภูตที่เฝ้ายามอุทานออกมาพร้อมกันอย่างตกใจน้อมตัวทำความเคารพ เนื้อตัวหมดจดทำให้รู้ว่ายังไม่มีอสูรหรือกบฎใดๆ สามารถเข้ามาถึงได้ในปราสามส่วนใน
   
เพราะยามเฝ้าประตูคงไม่คณามือพวกมัน
   
แววตาของฟลอยด์เย็นเยียบจับจ้องไปยังผู้รักษาตัวประตูอย่างกดดัน“ เปิดประตูให้ข้า ”
   
ภูตที่เฝ้ายอมสะดุ้งเพราะราชาภูตของตนเดิมมักจะเป็นผู้ที่อ่อนโยนสุภาพเสมอแต่ในตอนนี้กลับแข็งกระด้างเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว ภูตยามทั้งสองอนุมานว่าอาจจะเป็นผลมาจากศึกสงครามจึงตอบรับกันอย่างขันแข็งและเปิดประตูให้ทันทีโดยไม่ตรวจสอบแต่อย่างใด
   
เพียงแค่กลื่นอายเวทของบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็มากพอให้รู้สึกสั่นสะท้านแล้ว
   
ร่างในชุดกษัตริย์เข้าไปด้านในทันที ทิ้งไว้เพียงรอยจางๆ สำหรับผู้พบเห็น ความเร่งรีบความฟลอยด์มาพร้อมกับความร้อนรนในจิตใจ กลัวว่ากบฎอาจจะเป็นขุนนางภายในแทรกซึมเข้ามาและอาจไปถึงดาบศักดิ์สิทธิ์ก่อน
   
นกพิราบสีขาวที่กำลังเกาะอยู่บนหัวของกษัตริย์เมืองโฮรัสตีปีกเข้ามาขวางกั้นฟลอยด์ราวกับกำลังทักทาย ตีปีกบินว่อนไปมาตามสัญชาติญาณ ขนปีกสีขาวปลิวว่อน
   
ฟลอยด์เบิกตากว้างใช้มือปัดนกพิราบออกทันที หยุดชะงักร่างของตัวเองไว้กลางอากาศ
   
นกพิราบที่ถูกแรงตบจากฟลอยด์ร้องแกว้กๆ เหมือนประท้วง ขนปีกของมันร่วงไปแถบหนึ่งเลยทีเดียว มันสะบัดหัวสองสามทีและบินร่อนกลับไปซุกอยู่ที่หัวสีน้ำตาลของกษัตริย์เมืองโฮรัสเช่นเดิมโดยไม่สนใจคำสบถด่าของเจ้าของหัวแต่อย่างใด
   
ฟลอยด์ที่เดิมทีเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาไปข้างหน้าเพื่อไปยังที่ซ่อนลับของดาบศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ได้สังเกตพื้นที่โดยรอบแต่อย่างใดว่า เพราะคิดว่าเพียงในบริเวณนี้ย่อมมีเพียงชาวภูตชั้นสูงระดับขุนนางหรือเจ้านายอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง แต่พอสังเกตกลับพบว่ามีชาวภูตธรรมดากับพวกต่างดินแดนเกาะกันเป็นกลุ่ม กลุ่มใหญ่เป็นกลุ่มของชาวภูตธรรมดาที่กำลังชี้มาทางเขาพร่ำเรียกถึงชื่อกษัตริย์อย่างศรัทธา ส่วนอีกกลุ่มเล็กๆ คือภูตชั้นขุนนางกับเจ้านายเกาะกลุ่มกันส่งสีหน้าไม่พอใจราวกับกำลังประท้วงว่าเขาผิด
   
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?
   
ใบหน้าภายใต้หน้ากากงุนงงถึงขีดสุด ร่อนตัวลงมาเหยียบบนพื้นระหว่างสองกลุ่ม ในหัวคิดไต่ตรองถึงสิ่งที่เห็นตั้งแต่เข้ามาที่แห่งนี่
   
ฟลอยด์เบิกตากว้างเมื่อรู้ถึงเหตุผลที่ทำให้ชาวภูตธรรมดาเข้ามาอยู่ในปราสาทส่วนในได้
   
นกพิราบสีขาวแทนคำอนุญาติ
   
ไอ้โง่ !!
   
ดวงตาของฟลอยด์ขึ้นสีแดงก่ำด้วยความโมโห เพราะการเอาคนนอกเข้ามาข้างในก็เหมือนกับว่าชักศึกเข้าบ้านอยู่กลายๆ ที่ปราสาทส่วนในอนุญาตให้เพียงขาวภูตระดับขุนนางกับชั้นสูงๆ ชั้นอื่นอยู่ได้เพราะความไว้ใจ
   
แล้วในกลุ่มนี้มันมีพวกแปลกแยกไหม
   
ฟลอยด์คิดอย่างโมโหกวาดสายตาภายใตหน้ากากมองรวมๆ ทั้งกลุ่ม
   
เเสียงเดิมทีที่มีทั้งเสียงสรรเสริญ เสียงจอแจคุยกัน เปลี่ยนเป็นเงียบกริบทันที
   
ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดแม้แต่นิดเดียวเมื่อเห็นราชาของตัวเองกำลังใช้สมาธพิจารณาอะไรบางอย่าง
   
ไม่มี
   
ไม่มี
   
ไม่มี !!
   
ฟลอยด์แทบคำรามออกมาด้วยความโมโห แต่ยังอยากรักษาภาพลักษณ์กษัติรย์อันทรงเกียรติของตัวเองไว้ กวาดสายตาไปรอบๆ พบเพียงแววตาชื่นชมของชาวภูติที่มีต่อเขาเท่านั้น ส่วนดินแดนจ้องมาอย่างหวาดๆ เหมือนกับกำลังหวาดกลัว
   
ช่างมัน
   
ฟลอยด์ตัดสินใจไปยังที่ซุกซ่อนดาบศักดิ์สิทธิ่ปล่อยให้กบฎที่อาจแทรกซึมเข้ามาอยู่ในนี้ต่อไป เพราะลองชั่งน้ำหนักในหัวดูถึงความสำคัญของทั้งสองอย่างแล้ว
   
ดาบศักดิ์สิทธิ์มีพลังเวทย์มหาศาลจนไม่สามารถควบคุมมันได้
   
เพราะถ้าควบคุมมันได้อาจจะเป็นอันตรายต่อทุกชีวิตในดินแดนภูต
   
เพราะดาบศักดิ์สิทธิ์ได้ผนึกพลังเวทย์ของบุตรแห่งสงครามไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะตาย
   
นับว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่บุตรแห่งสงครามทิ้งไว้ให้กับดินแดนภูต
   
"คาร์บิลัสเจ้าจะรีบอะไรนักหนาวะ ! ” เสียงตะโกนดังลั่นพร้อมกับเสียงกระแทกเข้ามาของประตู พายุลูกย่อมพัดเข้ามาจนข้องในห้องโถงปลิวว่อน ขนนกทั้งสีดำและสีขาวปลิวว่อนตัดกัน รางผ้าม่านสีทองส่งเสียงกึกๆ หมวกชาวภูตปลิวว่อน
   
ผู้ที่ทำให้เกิดทั้งพายุ ความยุ่งเหยิง ทรงผมทรงใหม่ กำลังหัวเราะอย่างไม่มีพิษมีภัยให้กับอีกาของตัวเอง “ ก็ข้าอยากรู้นี่นาว่า ใครเป็นหนูในแมว ”
   
“ เออ ” ฟาร์คัสกระแทกเสียงหงุดหงิด ในมืออุ้มดัฟฟ์ที่มีปีกแต่กลับบินได้ช้าจนน่ารำคาญจนต้องกระเตงมาด้วย
   
“ หนูสกปรก หนูสกปรก ” ดัฟฟ์พูดอย่างร่าเริงในมือยังคงอุ้มนาซัสอย่างเหนียวแน่น
   
ฟลอยด์ถึงกับสะดุ้งเมื่อพบว่าคนที่บุกรุกเข้ามาข้างในเป็นคนที่เพิ่งแยกกันมา “ เข้ามาทำอะไร ? ” น้ำเสียงที่ใช้เป็นน้ำเสียงเด็ดขาดไม่มีความล้อเล้นใดๆ
   
ฟาร์คัสเลิกคิ้วงงๆ  เมื่อกี้ยังเล่นกับข้าอยู่เลย ตอนนี้เปลี่ยนบทเป็นกษัริย์แล้วสินะ ฟาร์คัสหันไปสบตาคาร์บิลัสเชิงให้อีกฝ่ายตอบแทนตัวเองเพราะขี้เกียจ
   
“ พวกข้ามาล่าหนู ” คาร์บิลัสตอบเสียงเรียบไร้ความขี้เล่นเหมือนกับว่าไม่ใช่บุคคลเดียวกับที่เพิ่งหัวเราะไป ดวงตาสีเทาจองเขม็งไปยังบุคคลหนึ่งในกลุ่มภูตทันที
   
เจอแล้ว
   
คาร์บิลัสคิดในใจแต่ยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมานอกจากส่งสายตาไปหาฟาร์คัสเชิงอวด
   
ฟาร์คัสกลอกตาเซ็งๆ “ เออ ไอ้เก่ง ”
   
คาร์บิลัสยิ้มออกมาทันที
   
“ หนูอะไรของพวกเจ้า ” น้ำเสียงส่อถึงความงุนงง ซึ่งคำถามของฟลอยด์ก็ตรงกับความคิดของใครหลายๆ คนในที่แห่งนี้
   
ร่างที่ถูกคาร์บิลัสจ้องแสยะยิ้มชูมือขึ้นสองมือเชิงยอมแพ้ “ ว้า แย่จัง โดนจับได้ซะแล้ว ” สิ้นคำพูดก็เกิดระเบิดควันทันที
   
คาร์บิลัสกระพือปีกเพียงครั้งเดียวแรงๆ ฝุ่นที่ว่าก็หายไปจนหมด
   
ตรงกลางปรากฎร่างที่เพิ่งทำระเบิดควันไป
   
ดิ้นขลุกขลักด้วยสีหน้าไม่พอใจปากพึมพำบ่นคำหยาบคายขัดกับใบหน้าหมดจด
   
“ เป็นถึงราชาปีศาจ ก็จับได้ดิ เจ้าโกงข้า ! ”
   
คาร์บิลัสไม่เล่นกับหนูจึงกำมือแน่นทำให้เวทบ่วงรัดแน่นยิ่งกว่าเดิม
   
เสียงฮือฮาของชาวภูตที่เพิ่งเดินทางมากับบุคคลต้องสงสัย คุยกันเสียงดังเพราะไม่คิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะเป็นหนูอย่างที่ราชาปีศาจว่า การวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนยังอยู่ในหัว
   
“ เงียบ ! ” คาร์บิลัสตวาดพร้อมแผ่กลิ่นอายปีศาจของตัวเองออกไป
   
ครอบงำจิตใจที่อ่อนแอของชาวภูตให้หวาดกลัวจนไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาให้รำคาญ
   
ฟลอยด์กัดฟันแน่นหลับตาเรียกพลังของตัวเองออกมาต้านคาร์บิลัสแต่ก็ไม่เป็นผลจึงเลือกที่จะตั้งรับแทนปล่อยให้กลิ่นอายครอบงำตัวและผ่านไป
   
หนูที่ถึงจับอยู่ใกล้กับคาร์บิลัสมากที่สุดกลับไม่ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าเอาแต่โวยวายอย่างไม่พอใจ “ โกงๆๆ เจ้ามันโกงที่สุดเลย ราชาปีศาจ ! ” ไม่แน่ใจเพราะยังคงรู้สึกขัดใจหรืออะไรถึงได้ลืมกลัวอะไรบางอย่างที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกาย
   
ฟาร์คัสเริ่มรำคาญจึงปริปากพูดบ้าง “ โกง บ้าอะไรของเจ้า ก็ไอ้แพะงี่เง่านี่มันเก่ง ส่วนเจ้ามันอ่อนแอเอง ช่วยไม่ได้ ”
   
น้ำตาถึงกับคลอเบ้าเมื่อโดนคำพูดจี้ใจดำ
   
“ ฮือๆๆ เจ้ามันแย่ที่สุด ท่านลุงของข้ายังไม่เคยตำหนิ ข้าแบบนี้เลย ”
   
“ ก็นั่นมันลุงเจ้า ไอ้โง่ ” ฟาร์คัสพูดอย่างเย็นชา ไม่สงสารเด็กภูตตรงหน้าแต่อย่างใด
   
“ ฮืออ โกงๆๆ คอยดูนะ ถ้าลุงข้าได้ดาบเมื่อไหร่พวกเจ้าไม่รอดแน่ ! ” เพราะความน้อยใจปนโกรธทำให้เผลอพูดความลับที่ถูกเก็บงำเอาไว้อย่างเผลอตัว ร่างที่โดนตราหน้าว่าเป็นหนูเบิกตากว้างร้องไห้ออกมาทันที “ ฮืออ ถ้าท่านลุง รู้ว่าข้าพูด ท่านต้องเอาข้าตายแน่ๆๆ ฮืออ ”
   
ฟลอยด์ยื้มเมื่อได้เบาะแสมาอย่างไม่ตั้งใจ “ งั้นช้าขอฝากเจ้าเด็กนี้ไว้ก่อนแล้วกัน ”  ค่อยมารีดเค้นถึงลุงของมันทีหลัง สิ่งที่รู้ในตอนนี้คือมีภูตใฝ่สูงบางตนกำลังมุ่งหน้าไปเอาดาบเช่นเดียวกับเขา !
   
สิ้นความคิด ฟลอยด์มุ่งหน้าไปต่อทันที
   
ไม่สนใจจะพูดอะไรไร้สาระอีกต่อไป
   
ภาพต่างๆ กลายเป็นภาพเลือน ก่อนจะค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ
   
มีผลมาจากความเร็วของฟลอยด์และสถานที่
   
สถานที่ที่เก็บดาบไว้คือชั้นใต้ดิน
   
มีเพียงกษัตริย์และขุนนางไม่กี่คนที่รู้เท่านั้น
   
ทุกอย่างตีวงแคบลงมาเรื่อยๆ ทำให้ฟลอยด์สามารถค้นหาตัวหัวหน้ากบฎได้ไม่ยาก
   
ฟลอยด์ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
   
ถ้าหากข้ากำจัดหัวหน้ากบฎได้ ข้าก็อาจจะได้ตำแหน่งกษัตริย์มาครอง !

   
เอลล์เผลอชะงักขาที่ก้าวเดิน ผมสีเหลืองอ่อนพลิ้วตามลม
   
“ มีอะไรงั้นเหรอ เอลล์ ” ลุกซ์หันหน้ามาถาม
   
เอลล์ไม่ตอบเพียงหลับตาเพราะรู้สึกถึงพลังอะไรบางอย่าง
   
กลิ่นหอมจากน้ำหอมดอกไม้โบราณ ?
   
กลิ่นคาวเลือดปีศาจกลบรุนแรงจนเอลล์ขมวดคิ้ว
   
พลังเวทย์อ่อนโยนที่คุ้นเคย
   
เอลล์เบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าผู้ที่มาเยือนคือใคร
   
ผู้พิทักษ์ดาบ !
   
เอลล์ลืมตาขึ่นมาพอดีกับการปรากฎตัวของเอลฟ์ผู้พิทักษ์ดาบ
   
รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้เอลล์โดยไม่มีคำพูดอะไร สีของวิญญาณจางลงจากที่พบการล่าสุดอย่างน่าใจหาย
   
หนึ่งในสิ่งที่ถูกผูกไว้กับกำแพงไม้เลื้อย..
   
ดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกทำพันธะสัญญากับกำแพงโดนท่านมิลแลนด์
   
ผู้สร้างกำแพงไม้เลื้อย
   
“ หน้าเจ้าดูซีดลงนะ เอลล์ ” เสียงทุ้มแหบพร่าฟังแล้วรู้สึกถึงความนุ่มนวลดังแผ่วเบาราวกับขนนกที่ตกลงบนนุ่น
   
“ ทะ ท่านเฮฟฟิน ” เอลล์ครางในลำคออย่างไม่เชื่อสายตา “ แล้ว ท่านเอาดาบศักดิ์สิทธิ์มาด้วยทำไมกัน ? ”
   เฮฟฟินยิ้มมุมปากยื่นดาบในแนวขวางให้กับเอลล์มือข้างนึงจับด้ามมือข้างนึงประคองปลายแหลมคม “ ฝากไว้ที่เจ้าไงล่ะ เอลล์ ”
   
“ ท่านหมายความว่ายังไงกัน ? ” เอลล์ไม่กล้ารับมา
   
“ ข้ากำลังจะหายไปแล้วล่ะ ” เฮฟฟินยิ้ม “ ดาบที่ข้าพิทักษ์มานานฝากไว้กับเจ้าแล้วกัน ”
   
“ ข้าไม่กล้ารับไว้หรอก ท่านเฮฟฟิน ”

   “ รับไว้สิ เวลาข้ามีไม่มากหรอก เอลล์ ” เฮฟฟินกล่าวเร่งรัด
   
เอลล์ถึงยอมยื่นมือไปรับดาบมาถือ
   
เฮฟฟินยิ้มอย่างพอใจ “ ให้มันกับคนที่คู่ควร เอลล์ ”
   
กล่าวทิ้งท้าย
   
ก่อนที่จะหายไป
   
กลับคืนสู่วัฎจักรอันคดเคี้ยว
   
เอลล์จ้องดาบในมือด้วยความหนักใจ
   
พลังอำนาจที่แผ่ออกมานั้นแค่ถือเขายังรู้สึกหวาดๆ แต่ก็รู้สึกว่าควบคุมมันได้เหมือนกับคทาเวทที่ใช้อยู่เป็นประจำ ราวกับว่าเคยเป็นเจ้าของมาก่อน
   
ลุกซ์มองหน้าเอลล์สลับกับดาบ
   
“ งานหนักอีกแล้วสิ ”
   
และถอนหายใจ

------------------

TBC.  :katai5:

# หมายเหตุชื่อตอน ตั้งเองงงเองค่ะ 555555555 เอาเป็นว่าตอนนี่ตอน28 แล้ว ตอนอื่นที่ 26 ไรงี้เราเบลอค่ะ

สงสัยจะอัพดึกเกินไป สมองเลยงงๆ

# คุยเล่นกับคนอ่าน

ทำไมมีแต่คนว่าฟลอยด์เป็นเด็กขี้อิจฉาาา  :sad4: แต่เราชอบนางค่ะ 55555 

   
   
   
   

   
   
   
   

   

   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 28 5 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 05-10-2015 22:58:45
ฟลอยด์ไม่ได้ทรยศ

แล้วที่ทรยศนี่ใคร

ปอลิง งานนี้ฟาร์คัสใช้งานคาร์บิลัสจนคุ้มเลย สงสัยคาร์บิลัสจะเข้าข่ายเกลียมัวซะแล้ว โฮะๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 28 5 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 06-10-2015 22:57:28
งง เล็กน้อยเมื่อถึงฉากจับหนู. แต่ทำไมคาเล็กเตอร์หนูคล้ายจิ้งจอก =.,=
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 28 5 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-10-2015 23:26:28
ผู้พิทักษ์ดาบออกมาไม่กี่ประโยค แต่ภาพในหัวมาเป็นฉากๆ เลยอ่ะะะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 28 5 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-10-2015 03:49:25
มันจะโอเคเนาะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 11 ต.ค 58 -ครึ่งแรก-
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 11-10-2015 23:13:14
--- ตอนที่ 29 ----
   
เสียงผ้าคลุมกษัตริย์ถูกลมพัดตีแรงจนเกิดเสียงดังเช่นเดียวกับหน้ากากที่สวมอยู่ใกล้จะปลิวออกจากใบหน้าเต็มทน ฟลอยด์แทบจะระเบิดพลังที่ตัวเองมีทั้งหมดพุ่งเข้าไปและกระแทกตัวเข้ากับประตูลับห้องใต้ดินที่เก็บรักษาดาบเอาไว้
   
โครม !!
   
ประตูที่เดิมที่ถูกผูกไว้กับกำแพงเช่นเดียวกับเฮฟฟินแตกเป็นเสี่ยงๆ
   
นัยน์ตาของฟลอยด์ขึ้นสีแดงก่ำเมื่อกวาดตามองไปยังแท่นสลักโบราณแล้วไม่พบอะไร
   
ไม่มีดาบ
   
ฟลอยด์ขบเคี้ยวฟันด้วยความโมโหเพราะลงมาแล้วไม่เจอกระทั่งไอ้กบฏตัวนั้นด้วย
   
แล้วผู้พิทักษ์ดาบล่ะ ?
   
ห้องสี่เหลี่ยมตัดขนาดเท่ากันทุกสัดส่วนถูกเขียนด้วยอักขระเวททุกกระเบียดนิ้วไม่เว้นกระทั้งโคมไฟที่ส่องไฟสลัวติดๆ ดับๆ ใกล้จะแตกเต็มทน ทุกอย่างในห้องนี้กำลังสั่นสะเทือนพร้อมกับกำแพงด้านนอกที่ถูกทำลายไปทีละส่วน อักขระเวทเริ่มขยับเคลื่อนไปมาชวนให้ตาลายแสงสว่างบ้างมืดบ้างปรากฏวูบวาบ
   
ตายไปแล้วมั้ง
   
ฟลอยด์จิ้ปากเซ็งๆ เข้ามาในนี้ไม่เจออะไรเลยนอกจากห้องพังๆ สักห้อง ฟลอยด์ตัดสินใจกลับไปห้องโถงอีกครั้ง แต่พลันสายตาถูกอะไรบางอย่างเรียกให้สนใจเอาไว้ก่อน
   
ภูตร่างเล็กกำลังเดินลงบันไดมาอย่างรีบเร่ง
   
“ ทะ ท่านฟลอยด์ ”
   
ไซริน .. ภูตที่คอยดูแลเอลล์
   
แววตาของฟลอยด์ฉายแววดุร้าย “ เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่ ! ” มือคว้าคออีกฝ่ายทันที
   
ไซรินตะเกียกตะกายหน้าซีดเผิอด “ ขะ ข้าจะมาดูว่าดาบศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ไหม ”
   
ฟลอยด์แค่นเสียงหึ “ ในเมื่อเจ้าเอาไป เจ้าจะดูทำไมล่ะ ”
   
ไซรินขมวดคิ้วโกรธๆ “ ถ้าข้าเอาไป ข้าจะอยู่ให้เจ้าจับทำไม ” ดินแดนภูตเป็นสิ่งสุดท้ายที่ไซรินคิดจะทรยศ จะมีสักกี่คนกันที่จะทรยศดินแดนที่ตัวเองถือกำเนิดได้ลงคอ ความพินาศที่เกิดกับดินแดนตัวเองไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เหมือนกับการจิบชากินขนมหรอกนะ
   
“ ไม่รู้ล่ะ เจ้าถือว่าเป็นผู้ต้องสงสัย ” ฟลอยด์หนีบไซรินไว้ด้วยแขนข้างเดียวกึ่งวิ่งกึ่งบินอีกครั้งเพื่อไปยังห้องโถง ไปเค้นคอไอ้เจ้าเด็กงี่เง่าเอาแต่โวยวายว่าโกง
   
“ ดีจริงๆ ลงมาดูดาบก็โดนจับ ” ไซรินบ่นพึมพำกลอกตาเซ็งๆ
   
ฟลอยด์ไม่สนใจเสียงบ่น เร่งฝีเท้าของตัวเองให้ว่องไวมากขึ้น

   
“ โกงๆๆ อีกาบ้า ปีศาจบ้า ” หนูก็ยังคงโวยวายต่อไปน้ำตาเม็ดใสนองหน้า “ เมื่อไหร่ลุงข้าจะมาเนี่ย ข้าเบื่อถูกจับแล้วนะ ไม่สนุกเลยสักนิด ฮือๆ ”
   
ฟาร์คัสข่มอารมณ์ไม่ให้ตัวเองเผลอลงไม้ลงมือให้อีกฝ่ายเงียบ สีหน้าฉายชัดถึงความรำคาญถึงขีดสุด
   
คาร์บิลัสใช้เวทสานกลายเป็นพัดพัดให้ฟาร์คัสอย่างเอาใจ โดยไม่สนสายตาที่มองมาแม้แต่น้อย “ ฟาร์คัส เอาน้ำเย็นๆ ไหม เดี๋ยวข้าหามาให้ ”
   
“ ไม่ เอาเก้าอี้มาก็พอ ”
   
“ ได้ๆ ” คาร์บิลัสฉีกยิ้มดีดนิ้วเรียกเก้าอี้เวทออกมาพร้อมโต๊ะ คาร์บิลัสเดินไปดึงเก้าอี้ให้ฟาร์คัสนั่งลงก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงข้างๆ
   
“ ง้า เก้าอี้ดัฟฟ์ล่ะ ฆ่าบี้ลัส ” ดัฟฟ์ทำหน้างงใส่คาร์บิลัส
   
“ ไม่มี ” คาร์บิลัสยักไหล่

   “ แง้ ใจร้ายที่สุด ” ดัฟฟ์เริ่มร้องไห้วิ่งไปหาฟาร์คัส ให้ฟาร์คัสปลอบแต่ฟาร์คัสไม่ปลอบเอาขึ้นมานั่งตักตัวเองตัดความรำคาญ จับจ้องไปที่หนูที่เป็นกุญแจสำคัญไปยังหัวหน้ากบฏ “ จะบอกได้รึยัง ? ลุงเจ้ามันใครกันแน่ ข้าจะได้ปล่อยๆ ให้จับกลับบ้านไปกินนม ”
   
หนูหันขวับมองฟาร์คัสตาวาวโรจน์ “ ฮือ ! อย่าคิดนะว่า ข้าจะบอกเจ้าน่ะ อีกาบ้า ข้าไม่ใช่คนขายพี่ขายน้องหรอกนะ รู้ไว้ด้วย ”
   ฟาร์คัสคิ้วกระตุก “ แล้วจะเอายังไง ถ้าไม่บอก ก็ช่วยหุบปากของเจ้าด้วย ข้ารำคาญ ”
   
“ ไม่ ! ” จมูกรั้นขึ้นสูง “ ข้าจะร้องจนกว่าพวกเจ้าจะปล่อยข้าไปไม่ก็ลุงมารับข้า ! ” นัยน์ตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาเตรียมจะเปิดฉากแหกปากโวยวาย
   
อย่างที่รู้ฟาร์คัสเกลียดกันถูกหยามหน้ามากที่สุด
   
“ ถ้าเจ้ายังไม่หุบปาก อย่าหาว่าข้าไม่เตือน ”
   
ฟาร์คัสพูดเสียงเรียบ
   
หนูชะงักทันควันหัวเราะแหะๆ
   
อีกานี่น่ากลัวชะมัด
   
หนูกลืนน้ำลายเอือก หุบปากฉับ เมื่อสบกับนัยน์ตาสีเทาข้างกายอีกา
   
แววตาที่ฉายชัดว่าสามารถฆ่าตนได้ในพริบตา
   
หลุบตาลงต่ำไม่กล้าปริปายพูดอะไรต่อ
   
ฟาร์คัสแค่นเสียงเหอะเมื่อหนูตรงหน้าไม่กล้าพูดอะไรอีก สายตาเย็นชามองสำรวจรอบห้องโถงพบว่าชาวภูตเอาแต่จับกลุ่มกันอยู่ตัวสั่นงันงก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาหรือแม้แต่พูดคุยกันด้วยซ้ำ ฟาร์คัสเลิกคิ้วงงๆ “ เจ้าทำอะไรชาวภูตพวกนี้ คาร์บิลัส ” หันไปมองที่น่าจะเป็นต้นเหตุ
   
คาร์บิลัสหัวเราะแหะๆ “ ก็เจ้าชอบเงียบๆ ข้าก็เลยทำให้พวกนี้กลัวจนพูดไม่ได้เฉยๆ ” แววตาทอประกายออดอ้อนเหมือนอยากได้คำชม
   
ฟาร์คัสเพียงสบกับมันเฉยๆ แต่ไม่สนใจ “ เลิกทำซะ ”
   
คาร์บิลัสหงอยลงทันควันพร้อมกับเลิกแผ่แรงกดดันจากตัวเองไป
   
อากาศที่หนักอึ้งได้ให้ไปทันควัน ชาวภูตหอบหายใจกันอย่างตะกละตะกลาม เสียงพูดคุยจอแจดังขึ้นทันทีแต่ไม่มาก สายตาเหลือบมามองอาคันตุกะจากแดนปีศาจหวั่นๆ เป็นพักๆ
   
ราชาปีศาจน่ากลัวสมคำร่ำรือจริงๆ..
   
แต่ไม่ใช่เวลาที่อยู่กับอีกาของตัวเองน่ะนะ
   
ฮื่อออ
   
เสียงคำรามในลำคอดังสนั่นจนกระจกห้องโถงสั่นสะเทือน ชาวภูตบางคนถึงกับอุดหูเพราะทนฟังเสียงไม่ไหว มาพร้อมกับการเปิดประตูครั้งที่สองที่เปิดตัวได้อลังการกว่าฟาร์คัสซะอีก
   
ร่างมังกรไฟยักษ์ก้าวย่างเข้ามาข้างในอย่างเชื่องช้า หัวโตๆ ของมันบดบังร่างบนหลังของมันได้อย่างมิดชิด ดวงตาสีแดงเพลิงกลอกไปมาเมื่อพบเป้าหมาย หัวของมันยื่นเข้าไปใกล้กับราชาปีศาจ อ้าปากกว้างเผยให้เห็นฟันแหลมคมเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบ ชาวภูตบางคนถึงกับร้องกรี๊ดด้วยกลัว และการแสดงของมังกรก็ปิดท้ายด้วยการพ่นไฟลูกยักษ์ใส่นายของตนทั้งตัว

“ เจ้าอยากโดนข้าเตะใช่ไหม ลุกซ์ ” คาร์บิลัสพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

   มังกรยักษ์สั่นหัวทันทีก่อนจะย่อตัวลงให้เอลล์ได้ลงมาจากหลัง
   
เอลล์คลื่ยิ้มทักทายฟาร์คัสที่มองมางงๆ
   
“ นั่นเจ้า ? เอลล์ ? ” ฟาร์คัสเรียกงงงๆ เหมือนกับบ่นกับตัวเองซะมากกว่า

   “ อืม ข้าเอง ” เอลล์หัวเราะเสียงเบา “ แล้วเจ้าจับเด็กนั่นมัดทำไม ”
   
ฟาร์คัสมองหนูที่ตอนแรกตัวสั่นงั่นงกตอนนี้มองตอบเอลล์ด้วยรอยยิ้มร่าเริง “ กบฏ ”
   
เอลล์สลดลงทันควัน หัวใจหนักอึ้งทันที

แม้แต่เด็กก็ยังก่อกบฏงั้นเหรอ..
   
นี่มันแย่เกินไปแล้ว
   
เอลล์ยิ้มปกปิดความเศร้าในใจ “ แล้วคนที่สวมชุดกษัตริย์นั่นแหละ เจ้าเห็นเขาไหม ? ”
   
“ เจ้ากำลังพูดถึงฟลอยด์สินะ เจ้านั่นเพิ่งจะวิ่งลงไปเอาดาบ ข้าคิดว่าสักพักก็คงจะขึ้นมา ” ฟาร์คัสพูดพร้อมจิบชาที่คาร์บิลัสยื่นให้ อีกมือยัดขนมใส่ปากดัฟฟ์
   
ฟลอยด์.. ?
   
จริงสิ ใบหน้านั้นที่ข้าเห็นข้าก็ควรรู้แต่แรกแล้ว แต่เพราะมัวแต่ตกใจข้าถึงไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง
   
แต่ก็ดีแล้วล่ะ
   
หลายครั้งที่ฟลอยด์มักจะแสดงความสามารถของเขาให้ข้าเห็น
   
เขาเหมาะกับตำแหน่งกษตัริย์มากกว่าข้า
   
เอลล์กำมือแน่น พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านไปไหล
   
มือหยาบๆ ถูกวางแปะบนหัวเอลล์
   
“ อย่าลืมข้าสิ เอลล์ เจ้ายังมีข้า” ลุกซ์ยิ้มกว้าง ลูบหัวเอลล์เบาๆ
   
ลุกซ์สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ถูกปิดบังไว้
   
อย่าลืมสิ มังกรตัวนี้รู้จักเจ้ามากว่าที่เจ้าคิดนะเอลล์
   
“ แล้วดาบนั้นคือ ? ” คาร์บิลัสถามบ้างเมื่อรินชาให้ฟาร์คัสเสร็จและเห็นเข้าพอดี
   
ดาบเล่มยาวที่แผ่อำนาจบางอย่างออกมา แม้กระทั่งราชาปีศาจอย่างข้ายังรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจมากมายที่ดาบนั้นครอบครองไว้ ดาบเล่มที่ว่าถูกเหน็บไว้ที่ข้างเอวของเอลล์ถูกปกปิดด้วยปลอกดาบไม้ธรรมดา
   
เอลล์หยุดคิดไปสักพัก มองไปรอบๆ พบว่ามีเพียงชาวภูตธรรมดากับอาคันตุกะที่เขารู้จัก
   
ไม่น่ามีปัญหาอะไร
   
เอลล์คิดอย่างนั้น
   
“ ดาบศักดิ์สิทธิ์น่ะ ”
   
“ อ้อ.. ” คาร์บิลัสรับคำอย่างขอไปที เอาจริงๆ คาร์บิลัสก็พอเดาได้ว่าดาบที่พลังอำนาจแบบนี้ที่อยู่ในดินแดนภูตก็มีอยู่ดาบเดียวล่ะนะ
   
แต่ไม่ใช่สำหรับหนูกบฏตัวนึง

   “ เจ้า ! เจ้าเอาดาบของลุงข้ามาแล้วนี่เอง ลุงข้าถึงไม่ได้มาช่วยข้าสักที ” หนูโวยวายอีกรอบเสียงดังพยายามขืนตัวออกจากเชือกที่รัดแน่น

--------------------------------

ในที่สุดคาร์บิลัสก็ได้มีโอกาสทำคะแนนบ้าง ถึงแม้จะเหมือนเป็นทาสไปหน่อยก็เถอะ 55555

สงสารนาง  :hao5:


ตอบเม้น  :katai2-1:

คุณ BlueCherries : ดูไปเรื่อยๆ ค่ะ ไปตอนนี้ก็ตอนหน้าก็รู้ตัวกันแล้วว ส่วนคาร์บิลัสเรียกว่าเทิดทูเมียดีกว้า่ค่ะ ใช้คำว่ากลัวดูน่าสงสารและโหดร้ายเกินไปสำหรับนาง 5555

คุณ Hang : เป็นหนูสำหรับคาร์บิลัส แต่หูจิ้งหางนี่จิ้งจอกเลยมั้ง คิดๆ ไปก็คิดถึงเอสเตอร์จัง..

คุณ lizzii : น่าสงสารท่านเฮฟฟินที่ย้อนประวัติเหมือนวารันไม่ได้ ไม่งั้นคงมีต่อพิเศษกันบ้าง # จะว่าไป ทุกคนลืมวารันแล้ว555

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : คิดว่าโอเคค่ะ  o13


ขอบคุณทุกคอมเมนต์จ้า  :กอด1:


   

   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 11 ต.ค 58 -ครึ่งแรก-
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 11-10-2015 23:23:41
 :m20:

สมน้ำหน้าคาร์บิลัส ไม่ยอมเสกเก้าอี้ให้ดัฟฟ์ เลยโดนฟาร์คัสจับอุ้มนั่งตักแทน  :laugh:

อิจฉาล่ะเซ่ *3*


****

ตกลงใครเป็นลุงเด็กตัวกระเปี๊ยกเนี่ย ลึกลับดีจริงๆ (น้องเป็นกบฏแน่เหรอคะ?? ดูเด็กเกินไปนะ -..-)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 11 ต.ค 58 -ครึ่งแรก-
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-10-2015 02:54:06
ลุงหนูคือใครกันแน่
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 11 ต.ค 58 -ครึ่งแรก-
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 12-10-2015 22:59:28
เอลล์ขมวดคิ้ว “ ดาบของลุงเจ้า ? ลุงเจ้าเป็นใคร ”
   
หนูกบฏยืดอกยิ้ม “ หึ ! “
   
ฟาร์คัสถอนหายใจเซ็งๆ
   
“ ลุงของข้าก็เป็นว่าที่ของกษัตริย์ดินแดนนี้คนต่อไปยังไงล่ะ ! ลำพังแค่พวกทหารภูตของพวกเจ้ามันอ่อนแอจะตาย สู้กองทัพอสูรของลุงข้าเปล่าละ แข็งแกร่งที่สุดเลยล่ะ ข้าชอบอสูรที่สุด อสูรใจดี ”
   
ภูตที่ชอบอสูร ?
   
คำพูดแปลกๆ ของเด็กภูตทำให้เอลล์ฉุกใจคิดบางอย่าง
   
แปลว่าเจ้าเด็กภูตนี่อาจจะอาศัยอยู่กับอสูร
   
ลุงของเจ้าเด็กนี่ ต้องเกี่ยวข้องกับอสูรแน่ๆ แต่ใครล่ะ ใครที่ทำงานเกี่ยวกับการป้องกันดินแดนจากอสูร
   
“ ข้าอยากรู้ชื่อกษัตริย์เจ้าจัง เจ้าหนู ” ลุกซ์ก้าวเท้าเข้าไปใกล้นั่งยองๆ ระดับสายตาเดียวกับหนูกบฏ
   
หนูกบฏแลบลิ้น “ ใครจะบอกให้โง่ล่ะ ! ”
   
ลุกซ์ตบหัวเจ้าหนูกบฏดังเพี๊ยะ
   
น้ำตาคลอเบ้าทันที
   
“ คุยกับผู้ใหญ่เขาไม่ให้แลบลิ้นนะเจ้าหนู มันไม่น่ารัก ”
   
ลุกซ์ยิ้มยิงไฟเลิกคิ้วกวนๆ ถือไพ่เหนือกว่า
   
“ ฮืออ ท่านลุงงง ท่านมาช่วยข้าสักทีสิ ข้าเบื่อพวกผู้ใหญ่งี่เง่านี้ ”
   
คาร์บิลัสคิ้วกระตุก
   
คนที่ด่าข้าได้มีเพียงฟาร์คัสเท่านั้น
   
“ พูดว่าอะไรนะ ไอ้หนู อยากโดนข้าด้วยใช่ไหม ”
   
พูดเสียงเหี้ยม
   
หนูกบฏที่โดนรุมจากหลายฝ่ายร้องไห้โฮ
   
ใครจะไปทนได้ทั้งมังกรไฟ ทั้งราชาปีศาจรุม
   
แค่ไม่กลัวจนวิญญาณหลุดจากร่างก็ดีแค่ไหนแล้ว
   
“ เอลล์ ! ”
   
เอลล์หันขวับไปยังต้นเสียงทันที ใบหน้าเจือความตกใจ
   
ไซรินผู้ที่ดูแลเขามาตลอดถูกฟลอยด์จับตัวเอาไว้
   
“ เจ้าจับไซรินไว้ทำไมกัน ? ท่านราชา ”
   
น้ำเสียงเอลล์ไม่มีความผิดปกติใดๆ
   
แต่แววตาเศร้าหมอง
   
ฟลอยด์แสยะยิ้มภายใต้หน้ากาก “ ช่วยไม่ได้ ข้าเจอมันตอนลงไปเอาดาบนี้ ” ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นดาบที่ถูกเหน็บไว้ที่ข้างตัวเอลล์
   
ทำไมเอลล์ถึงได้มีดาบนั่น
   
อย่าบอกนะว่ามันเป็นคนทำทุกอย่าง
   
แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

สารเลว !
   
ฟลอยด์กัดฟันกรอดโยนไซรินทิ้งเข้าไปประชิดตัวกับเอลล์  มือเรียกดาบออกมาแนบไปที่คอของเอลล์ ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา
   
ถ้าหากผู้ที่ตั้งรับไม่ใช่เอลล์คงถูกฟันจนคอขาดง่ายๆ
   
น่าเสียดายที่คนที่ว่านั้นคือเอลล์
   
เอลล์เรียกคทาเวทของตัวเองมากันได้ทัน แววตาฉายชัดที่ความไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ลูกพี่ลูกน้องทำร้ายตัวเอง “ เจ้าโจมตีข้าทำไม ”
   
“ ยังจะกล้าถาม ! ” ฟลอยด์ตะคอก “ ดาบอยู่ในมือแบบนั้นนอกจากแกจะเป็นใครไปได้วะ ที่ทำทุกอย่างให้เป็นแบบนี้ ตำแหน่งกษัตริย์ที่มีไม่พอรึไง ? อยากทำลายดินแดนนี้ด้วยงั้นสิ ” ดวงตาของฟลอยด์วาวโรจน์เหมือนมีกองไฟสุมไว้ข้างใน “ ข้ามีแกเป็นราชาไอ้ดินแดนนี้ก็ล่มจมเกินพอแล้ว ! ”
   
เอลล์สะอึกกับคำพูดของฟลอยด์
   
หมายความว่ายังไง ?
   
ลูกพี่ลูกน้องของข้ากำลังคิดว่าข้าทรยศดินแดนตัวเอง
   
ทำลายดินแดนของตัวเอง
   
ข้าไม่เคยทำอะไรบ้าๆ แบบนั้น
   
ความสุขุมของเอลล์ถูกโยนทิ้งออกไป ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าความหวังดีต่อดินแดนภูตมาตลอดจะถูกตีความกลายเป็นแบบนี้
   
“ ข้าไม่ทำอะไรแบบนั้น ! ” เอลล์ตะคอกกลับระเบิดพลังเวทใส่ฟลอยด์จนอีกฝ่ายกระเด็นออกไป เอลล์รุกไล่ตามต่อ คทาเวทถูกปักลงบนพื้นฉับพลันไม้เลื้อยจำนวนมหาศาลได้ปรากฎบนพื้นมันรีบเลื้อยไปตามพื้นพยายามไขว่คว้าไปไปที่ร่างของฟลอยด์
   
ฟลอยด์แค่นเสียงเหอะ “ แล้วมันจะเป็นอะไรไปได้ ? ยอมรับความจริงสิ ” ใช้ดาบฟันไม้เลื้อยที่กล้าจะพันธนการขาของเขา ดาบในมือมีไฟลุกโชติช่วงไล่ตัดไม้เลื้อยบนพื้นถูกชี้หน้าเอลล์   
   
“ เอลล์ ไม่มีทางทรยศดินแดนตัวเอง ” ลุกซ์เดินเข้ามาขวาง นัยน์ตาสีเพลิงดูมอดไหม้กว่าทุกครั้ง มือปรากฎกรงเล็บมังกรยาว ไฟสีแดงก่ำโลมเลียไปตามตัว
   
ลุกซ์รู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถตั้งรับฟลอยด์ได้
   
พลังของอีกฝ่ายมากกว่าตัวเอง
   
แต่ลุกซ์ก็ยังอยากเข้าไปขวางอยู่ดี
   
เพื่อจะได้ปกป้องภูตของตัวเอง
   
แม้จะได้ไม่มาก
   
แต่ก็ยังจะอยากทำมันอยู่ดี
   
ฟลอยด์ตวัดดาบใส่ลุกซ์ ลุกซ์ใช้แขนที่ปรากฏรอยเกล็ดมังกรกันเอาไว้ แผลถลอกเกิดขึ้นบนผิวลุกซ์แต่ลุกซ์ไม่สนใจมัน ใช้กรงเล็บพุ่งเข้าใส่ท้องอีกฝ่าย แต่ฟลอยด์ก็สามารถกระโดดหลบไปตั้งหลักได้ก่อน
   
อารมณ์คุกกรุ่นกำลังปะทุ
   
ห้องโถงกำลังจะกลายเป็นสนามรบ
   
ชาวภูตกับชาวอาคันตุกะโดยรอบพากันไปกระจุกกันตรงมุมห้องตั้งแต่เห็นราชาของตัวเองขึ้นเสียงใส่ร่างในชุดเดินทาง เสียงหวีดร้องดังเป็นช่วงๆ เมื่อไฟได้โลมเลียเข้าไปใกล้แต่ก็ถูกดับได้ก่อนโดยภูตสักคนที่พอสามารถใช้เวทน้ำดับมันได้
   
ฟาร์คัสกำลังวิเคราะห์เหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสุขุม

เหตุผลที่ฟาร์คัสไม่เข้าไปช่วยเอลล์ เพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายสามารถรับมือกับฟลอยด์ได้ ซึ่งถ้าหากเพลี่ยงพล้ำก็ให้คาร์บิลัสหรือลุกซ์เข้าไปช่วยได้อยู่ดี
   
ฟาร์คัสจิบชาอึกนึง รสชาติหวานๆ ช่วยให้ความคิดของฟาร์คัสแล่นได้ดีขึ้น
   
สายตาเหลือบไปมองหนูกบฏพบว่ากำลังสนุกกับการต่อสู้อันตระการตา
   
ยังไงไอ้ลุงของหนูนี่ก็น่าจะมาช่วยล่ะมั้ง
   
คงจะไม่นานนักหรอก
   
ในเมื่อดาบมันไม่ได้อยู่ที่นั้น ลุงของเจ้านี่คงจะวิ่งเต้นน่าดู
   
คนที่ครอบครองดาบแบบนี้ได้มีไม่กี่ประเภท
   
ไม่เก่งจนน่ากลัว ก็เป็นเจ้าดินแดนนั่นแหละ
   
ครืนนนนนนน
   
ปราสาททั้งปราสาทกำลังสั่นไหว
   
มีบางอย่างกำลังทำลายปราสาท
   
การต่อสู้ถูกระงับเอาไว้ทันที
   
ฟลอยด์หันไปมองเอลล์ทันควัน “ เจ้าทำอะไรน่ะ ! ”
   
เอลล์เริ่มจะหงุดหงิดเมื่ออะไรๆ ก็ดูเหมือนว่าฟลอยด์จะเห็นว่าเขาผิดไปหมด “ ข้าไม่ได้ทำ ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ”
   
ฟลอยด์ไม่ได้พูดอะไรต่อกระโดดหลบเศษหินที่ร่วงกราวลงมาจากเพดาน โคมระย้าเอียงไปมาอย่างรุนแรง เหมือนกำลังบอกกลายๆ ว่ามีบางอย่างกำลังเกาะอยู่บนเพดาน
   
เอลล์มองชาวภูตที่กำลังตัวสั่นหวาดกลัวอย่างเป็นหัว เอ่ยพึมพำท่องเวทเสียงเบาเรียกเวทป้องกันมาคลุมชาวภูตทั้งหมดเอาไว้
   
เศษหินหรือกระเบื้องจึงทำได้เพียงตกมาให้ตกใจเล่นเท่านั้น
   
ไม่สามารถทำอันตรายใดๆ กับชาวภูตได้
   
“ ท่านลุง  มาช่วยข้าแล้ว ฮ่าๆ พวกเจ้าตายแน่ ” เจ้าหนูกบฏหัวเราะ ตาเป็นประกายเมื่อมีร่างสวมชุดคลุมยาวสีดำสนิททั้งตัวกระโดดลงมาจากด้านบนลงมาย่างเท้าใกล้ตัวเอง “ ท่านลุงช่วยข้าด้วย ”
   
ร่างที่โดนเรียกว่าท่านลุงไม่ได้สนใจถึงคำร้องขอ
   
หนูกบฏสะดุ้ง “ ท่านลุงช่วยข้าด้วยสิ ข้าถูกจับไว้ ” น้ำเสียงเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
   
ดวงตาสีแดงก่ำภายใต้ชุดคลุมสบเข้ากับหนูกบฏแต่ไม่ได้พูดอะไร ย่างเท้าเข้าไปใกล้เอลล์อย่างช้าๆ เสียงฝีเท้าหนักแน่นย่ำลงบนพื้นชวนขนลุก
   
ลุกซ์ตั้งจะขวางไว้แต่กลับเข้าไปไม่ได้
   
ขาทั้งสองข้างถูกตรึงโดยเงา
   
“ ส่งดาบมา ” เสียงเสียดหูดังเล็ดลอดออกมาจากลำคอ
   
เอลล์ไม่ตอบเพียงทอดสายตามองอีกฝ่ายนิ่ง
   
“ อย่าให้ข้าพูดอีกครั้ง ” เสียงเจือความโมโห
   
“ ถ้าข้าบอกว่าไม่ล่ะ ” เอลล์กระชับมือที่จับคทาเวทย์ของตัวเอง
   
“ หึหึหึ ” ร่างในชุดคลุมหัวเราะออกมา

หลังของเอลล์เย็นวาบ
   
ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกเอลล์ถึงเรื่องร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น
   
“ ถ้าชอบเล่นสงครามประสาทกับข้า มันก็ได้... ” ร่างในชุดคลุมวาดมืดในอากาศ เกิดหลุมอากาศสีดำหมุนริ้ว มือใต้ชุดคลุมคว้าดึงบางอย่างออกมาอย่างแรง
   
ตุบ..
   
ปรากฏร่างของภูตชราที่หายใจโรยรินแต่แววตาที่ปรากฏไม่ได้อ่อนล้าแต่อย่างใด
   
เอลล์เบิกตากว้าง
   
“ ท่านพ่อ !! ”
   
เอลล์เกือบจะถลาเข้าไปหาเมเออร์
   
“ อย่าคิดแม้แต่จะเข้ามา ท่านเอลล์ ” เท้าหยาบเหยียบลงบนหลังเมเออร์
   
เมเออร์กัดฟันแน่น นึกอยากกัดลิ้นตายเพราะความอดสูในตัวเอง
   
“ จะ เจ้า ” เอลล์ทำอะไรไม่ถูก เรียกอีกฝ่ายเสียงสั่น
   
“ เอาดาบมา ” คำกล่าวเดิมถูกย้ำเตือนอีกครั้ง
   
“ ไม่มีทางที่ข้าจะยกมันให้เจ้า ! ” เอลล์ตะคอก
   
สิ่งนี้สำคัญเกินกว่าจะให้ใครครอบครอง
   
ร่างในชุดคลุมออกแรงขยี้ปลายเท้าจนร่างข้างใต้กระอักเลือดออกมา
   
“ อย่าให้ข้าพูดซ้ำ ”
   
“ จะพูดไม่พูดมันก็เรื่องของเจ้า ” เอลล์พุ่งตัวเข้าไปหาฟาดคทาในมือใส่อีกฝ่าย ปากท่องเวทอย่างรวดเร็ว
   
ร่างในชุดคลุมล้วงอะไรบางอย่างออกจากชุดคลุมและกำแน่นจนเลือดไหลย้อมสิ่งนั้น
   
โฮกกกก
   
เเสียงกู่ร้องของอสูรดังลั่น ปรากฏตัวในห้องโถงทันทีและพุ่งกระโจนเข้าใส่เอลล์ที่พุ่งเข้ามา เอลล์ยกเท้าถีบร่างอสูรจนปลิวไปกระแทกกำแพง กระโดดหลบอสูรจำนวนมหาศาลที่กำลังกระโจนลงมาจากหลังคาเพื่อเป็นกองทัพสนับสนุนร่างในชุดคลุม
   
ลุกซ์สบถถึงเวทที่พันธนการขาของตัวเองเอาไว้
   
เขาไม่สามารถทำลายมันได้ !
   
เอลล์เปลี่ยนจากคทาเวทเป็นดาบแทนเพื่อใช้ในการโจมตี เอลล์กระโจนเข้าไปฟาดฟันอสูรที่พุ่งเข้าไปใกล้เวทที่ตัวเองปกป้อง

ภูตที่อ่อนแอ เหลือบมองพ่อของตัวเองเป็นพักๆ
   
ท่านพ่อ..
   
เอลล์ไม่สามารถบุกเข้าไปถึงตัวเมเออร์ได้
   
อสูรมีมากเกินไป
   
การเข้าไปใกล้นั้นอันตรายเกินไป
   
เอลล์กำลังรอคอยจังหวะ
   
ร่างในชุดคลุมยังคงสนุกกับการขยี้ปลายเท้าบนแผ่นหลังเมเออร์
   
บนพื้นปรากฏรอยเลือดเจิ่งนอง
   
“ บัดซบ ! ” ฟลอยด์โวยวายเสียงดังพุ่งตัวเข้าไปกระแทกเอลล์ออกจากวิถีการโจมตีของอสูรที่บังเอิญโจมตีเอลล์ในช่วงจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ “ ถ้าจะสู้ก็ตั้งใจให้มันดีๆ หน่อย ”
   
เอลล์งุนงงไปสักพักเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
   
“ เออ ! สู้ก่อน ” ฟลอยด์กระแทกเสียงตอบ
   
เดิมทีฟาร์คัสกับคาร์บิลัสไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรเพื่อดูว่าทั้งสองฝ่ายจะเจรจาอะไรกัน
   
เรื่องนี้เป็นเรื่องภายใน
   
ควรจะสะสางกันให้จบๆ
   
แต่กว่าจะรู้ตัวไอ้ตัวการกบฏก็จัดการเรียกอสูรลงมากวาดล้างซะแล้ว
   
คาร์บิลัสสบตากับฟาร์คัสเชิงขอนุญาต
   
มือของเจ้าไม่ควรเปื้อนเลือดสกปรกพวกนี้หรอก
   
ราชาปีศาจอย่างข้าจะรับมันไว้เอง
   
ดาบสีดำทมิฬแผ่กลิ่นอายออกมารุนแรง อสูรที่เดิมทีอาละวาดไล่จู่โจมทุกอย่างที่เป็นสิ่งมีชีวิตชะงักอยู่กับที่ ตัวสั่นงั่นงกอย่างหวาดกลัว
   
คาร์บิลัสพุ่งเข้าไปหากองทัพอสูรในพริบตา ลงปลายดาบบนจุดอ่อนอย่างแม่นยำ เกล็ดแข็งๆ ของอสูรดูจะเปราะบางไปเลยเมื่อเทียบกับความคมของดาบคาร์บิลัส
   
แผละ..
   
เสียงศีรษะของอสูรตกกระทบพื้นก่อนจะถูกกลบด้วยเสียงร่างยักษ์ๆ ของมันล้มบนพื้นเป็นเสียงโครมอีกที

อสูรที่เกาะอยู่บนหลังคาชะงักทันควันเมื่อสบเข้าหาดวงตาสีเทากระหายเลือด
   
มันค่อยๆ ถอยกลับก่อนจะวิ่งหนีไปทันที
   
เอาชีวิตตัวเองให้รอดจากสัตว์กระหายเลือดกว่าตัวมันเอง
   
ที่มีนามว่า “ คาร์บิลัส ”
   
“ เหอะๆๆ ” เสียงหัวเราะดังออกมาจากบุคคลที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองดังลั่น
   
หมวกชุดคลุมตกลงมาจากหัว นัยน์ตาสีแดงก่ำหมุนริ้วเหมือนกำลังเสียสติ
   
ลมหายใจของเอลล์สะดุด
   
เมื่อร่างที่ว่าเป็นร่างของอาจารย์ตัวเอง !

----------------------------------

วันนี้ไม่อัพห้าทุ่มครึ่ง เย้  :katai2-1:


ตอบเม้นดีกว่า ><

คุณ  BlueCherries : ว่าจะจัดตอนให้คาร์บิลัสสักตอนค่ะ 555555 เอาให้หายอิจฉาเด็กสักที สงสัยดัฟฟ์ ส่วนน้องหนูเป็นจริงๆ ค่ะ  :sad4:

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : ลุงหนูปรากฏตัวแล้ว  :mew3:

   
   
   
   
   

   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 12 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 12-10-2015 23:12:22
ว๊อทททททททททททททท


ทำไมท่านอาจารย์ถึงทรยศ

T T

ท่านจารย์สอนทั้งเอลล์ สอนทั้งฟลอยด์


งานนี้จะหมู่หรือจ่าเนี่ย  :hao4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 12 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-10-2015 23:29:51
ท่านอาจารย์เนี่ยนะ
เห้อออออ หักมุมสุดๆ
สงสารแต่เอล เจอเรื่องช้อคซ้ำซ้อนไม่รุ้กี่รอบแล้ววว
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 12 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-10-2015 02:28:21
เห้อ!! โลภจิงๆ เพื่ออะไร
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 29 12 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 14-10-2015 12:15:20
เป็นนิยายแฟนตาซีที่ดราม่าตั้งแต่ต้นเรื่ิอง =,.=
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 14 ต.ค 58 -ครึ่งแรก-
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 14-10-2015 23:49:35
ตอนที่ 30
   
เอลล์พูดอะไรไม่ออก
   
แววตาฉายความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
   
ท่านอาจารย์...
   
ที่ผ่านมาหมายความว่ายังไงกัน
   
เพราะอำนาจที่ท่านต้องการถึงได้ทรยศแบบนี้งั้นเหรอ ?

   “ ผิดหวังกับข้างั้นสิ ? ” บุคคลที่นับได้ว่าเป็นอาจารย์ทั้งของฟลอยด์และเอลล์ถามเสียงเรียบ ดวงตาเดิมที่เป็นสีอำพันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ใบหน้าที่ปกติเค้าความชราเอาไว้ได้หายไปจนหมดสิ้น กลายเป็นใบหน้าอ่อนเยาว์มีรอยแผลถากยาวครึ่งใบหน้า

   ราวกับว่าการเล่นเป็นอาจารย์คือการแสดง

“ ดูเหมือนว่าการแสดงของข้าจะสมบูรณ์แบบดี ”

แสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ
   
น้ำเสียงไม่มีความร้อนรนแม้ตัวเองจะตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง
   
ซากอสูรเกลื่อนพื้นไม่ได้ทำให้วิตกแต่อย่างใด
   
“ ท่านอาจารย์รัฟฟ์.. ” ฟลอยด์ตะโกนเรียกเสียงสั่น
   
ฟลอยด์เคารพในตัวรัฟฟ์มากถึงขั้นยอมทำทุกอย่างถ้าอีกฝ่ายต้องการอะไร
   
ฟลอยด์ยอมรับว่าตัวเองตกใจมาก
   
มือที่ถือดาบปล่อยอย่างไม่รู้ตัว
   
ลิ้มรสการถูกหักหลังเป็นครั้งแรก
   
รัฟฟ์คลี่ยิ้มรับ “ มีอะไร ฟลอยด์ ” หรี่ตามองเหยียดหยาม “ ลูกศิษย์ที่วันๆ เอาแต่จ้องจะขึ้นครองบัลลังก์กษัตริย์ ”
   
ฟลอยด์สะอึกพูดอะไรไม่ออก
   
คาร์บิลัสสบตากับฟาร์คัสเชิงปรึกษา
   
ไม่สามารถตัดสินใจว่าจะทำอะไรกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
   
การทรยศหักหลังจากคนที่ไว้ใจ
   
เป็นเรื่องเลวร้าย
   
คนที่ให้คำปรึกษาได้ดีที่สุดคงจะเป็นฟาร์คัส ที่เคยลิ้มรสการถูกหักหลังจากเพื่อนสนิทที่สุดของตัวเอง
   
ความขมเฝื่อน รสเค็มจุกอยู่ในลำคอยังคงคั่งค้างอยู่ในความรู้สึกของฟาร์คัส
   
อาการหน่วงในใจเกิดขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงเริ่องนี้
   
พยายามลืมแต่ก็ทำไม่ได้
   
เวลาที่เป็นเพื่อนกันมานั้นยาวนานเกินไป
   
ความสัมพันธ์ก็เหมือนดาบสองคม
   
หยั่งลึกลงไปในความรู้สึก

   ยากที่จะลืม
   
ฟาร์คัสอ่านสิ่งที่ส่งผ่านมากับสายตาคาร์บิลัสออกและถอนหายใจเหนื่อยๆ
   
ปัญหาภายในพวกนี้มันละเอียดอ่อน
   
อะไรสักอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่นิด
   
ทุกอย่างล้วนได้รับผลกระทบเป็นความเจ็บปวด
   
“ เจ้าต้องการอะไร ” ฟาร์คัสวางถ้วยชาลงบนโต๊ะย่างเท้าเข้าไปใกล้รัฟฟ์ เว้นระยะห่างในระยะที่สามารถหลบได้ถ้าหากอีกฝ่ายลอบโจมตีทีเผลอ
   
รัฟฟ์มองคาร์บิลัสด้วยหางตา “ บอกให้ราชาปีศาจเก็บดาบนั่น ”
   
ฟาร์คัสพยักหน้าให้คาร์บิลัสที่จ้องมา
   
คาร์บิลัสเบ้หน้าเซ็งๆ โยนดาบขึ้นไปในอากาศ ปล่อยให้ความว่างเปล่ากลืนกินดาบหายไป
   
รัฟฟ์ยิ้มอย่างพอใจ กลิ้งแหวนที่เปรอะเลือดเล่นในอุ้งมือ “ อยากฟังจริงๆ งั้นเหรอ ”
   
เอลล์กลืนน้ำลายฝืดๆ ในลำคอ อยากจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อตอบโต้ แต่กลับพูดไม่ออก ความรู้สึกในหัวตีกันวุ่นวายถึงการกระทำของท่านอาจารย์
   
ฟาร์คัสเริ่มจะรำคาญ “ เจ้าต้องการอะไร รีบๆ พูดมาสักที ”
   
ฉับพลันแววตาของรัฟฟ์เย็นเยียบ “ สำรวจกริยาหน่อย อีกา ”
   
สิ่งเดียวที่รัฟฟ์ไม่สามารถแก้ไขได้คืออายุของตัวเอง
   
อายุที่มากกว่าเมเออร์ทำให้การกระทำไร้ความเคารพกระตุ้นความโมโหให้ประทุ
   
ฟาร์คัสไม่แสดงท่าทีอะไรเมื่อถูกตำหนิ
   
เพราะไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ
   
“ อสูรไม่ใช่สัตว์โง่เขลาอย่างที่พวกเจ้าเข้าใจ ” รัฟฟ์หลับตาลง “ เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและชื่นชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ การท้าดินแดนเกิดขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสนองความต้องการ ”
   
ทุกคนในพื้นที่ต่างงุนงงกับคำพูดของรัฟฟ์
   
อสูรถูกตราหน้ามาอย่างยาวนานว่าโง่เขลาไม่มีสติปัญญา
   
มีเพียงสัญชาตญาณและพลังที่แข็งแกร่ง

“ ข้าถูกหัวหน้าอสูรเก็บไปเลี้ยง ” ใบหน้าของผู้มีพระคุณปรากฏแว่วในความทรงจำของรัฟฟ์ “ ข้าถูกทิ้งไว้ที่ด้านนอกกำแพงและหัวหน้าอสูรก็เป็นคนยื่นมือเข้ามาช่วยข้า ” น้ำเสียงเจือความนับถืออยู่กลายๆ “ เขาให้ที่อยู่ ที่พักพิง คอยสอนสิ่งต่างๆ กับข้า อย่างไม่นึกรังเกียจ เลี้ยงข้าเหมือนกับเป็นลูกแท้ๆ ”
   
เมเออร์สะดุ้งอยู่ในใจเริ่มรู้สึกถึงเค้าลางความจริงบางอย่างที่กำลังปรากฏ
   
รัฟฟ์ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับกัดฟันคล้ายข่มอารมณ์ที่ประทุภายใน “ ตอนนั้นเอง ที่กำลังเดินทางผ่านแถวดินแดนภูต จู่ๆ พวกภูตมันก็มาถล่มฆ่าพวกข้า !! ” มือรัฟฟ์กำแน่น “ หัวหน้าอสูรเป็นคนตั้งรับไม่ให้พวกภูตอย่างพวกเจ้าฆ่าชาวอสูรหมด ทุกคนหนีหัวซุกหัวซุน ญาติพี่น้องอสูรของข้าก็ตายจนหมด ที่เหลือก็สติฟั่นเฟือนจนหลังๆ เหลือเพียงสัญชาตญาณในการดำรงชีวิต ”
   
เอลล์เบิกตากว้างตะลึงกับสิ่งที่ตัวเองกำลังรับรู้ 
   
แววตาที่ทั้งเคียดแค้นและเศร้าโศกไม่ใช่สิ่งที่ปั้นขึ้นมาได้ง่ายๆ
   
นอกเสียว่ามันจะเป็นความจริง
   
รัฟฟ์แค่นเสียงหึ มองสิ่งมีชีวิตทุกอย่างด้วยแววตาเฉยชา เศษซากอสูรที่กองบนพื้นไม่ได้ทำให้รัฟฟ์เสียใจแต่อย่างใด เวลาได้กล่อมเกลาจนความรู้สึกที่มีต่ออสูรเจือจางลงจนแทบไม่มี การพูดคุยกับผู้ที่สติเฟื่อนอย่างไม่รู้จบไม่ใช่สิ่งที่รัฟฟ์ทนได้ 
   
สิ่งที่ยังคงแจ่มชัดในความทรงจำของรัฟฟ์
   
คือการแก้แค้นให้กับผู้มีพระคุณของตัวเอง !

-------------------

มาครึ่งตอนแบบง่วงๆ  :katai5:

ตอบเมนต์ๆ

คุณ  BlueCherries : งานนี้สารวัตรเลยค่ะ 55555555555

คุณ lizzii : หักมุมอีกแล้วว :P

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : ตอนนี้มีเฉลย ><

คุณ  Hang : จะว่าไปก็จริง ดราม่าตั้งแต่ต้นเลยแฮะ  :hao4: งั้นตอนท้ายๆ ต้องปิดด้วยฉากหวานสวีดวิ๊ดวิ้วของฟาร์คัสกับคาร์บิลัส 55555  :hao7:
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 14 ต.ค 58 -ครึ่งแรก-
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 14-10-2015 23:56:02
 :z3:

อึ้ง เงิบ

ถ้ารัฟฟ์โดนอสูรเลี้ยงมา แต่ปล่อยให้อสูรมาบุกดินแดนภูตแล้วกลายเป็นศพแบบนี้ แสดงว่าที่ทำไปทั้งหมด เพื่อล้างแค้นให้กับคนที่เลี้ยงรัฟฟ์มา (น่าจะเป็นพ่อบุญธรรม?)


แล้วตอนนี้รัฟฟ์จะทำไงต่อล่ะเนี่ย  :really2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 14 ต.ค 58 -ครึ่งแรก-
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-10-2015 23:57:30
เอานุ้งดัฟมาคั่นเวลาหน่อยเร็ววววว
งื้ออออออ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 14 ต.ค 58 -ครึ่งแรก-
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 15-10-2015 20:54:50
หน่วงเกิน ขอตอนพิเศษเบาๆสบายๆคั่นโหน่ยยยย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 17 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 17-10-2015 13:43:16
เมเออร์ไม่กล้าปริปากพูดอะไรเหน็บแหนม
   
ความทรงจำในวัยเด็กปรากฏชัด
   
ตอนที่พ่อของตัวเองพาไปรบกับพวกอสูร
   
ความฮึมเหิมในตอนนั้นของทหารภูตยังตราตรึงใจของเมเออร์ กลิ่นคาวเลือดเสียงกรีดร้องกลายเป็นดนตรีสำหรับทหารภูตที่เก่งกาจ คนที่ตัดหัวหัวหน้าอสูรนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนเลย
   
เป็นพ่อของเมเออร์นั่นเอง..
   
ไม่แปลกที่รัฟฟ์จะเคียดแค้นกับดินแดนภูตขนาดนี้
   
เมเออร์เหยียดยิ้มกับตัวเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีมูลเหตุมาก่อนจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาลอยๆ
   
เคยมีคำพูดที่ว่าการกระทำในวันนี้ส่งผลถึงอนาคต
   
เมเออร์ตระหนักได้ถึงความจริงข้อนั้น หลับตาลงยอมรับสิ่งที่รัฟฟ์ต้องการจะกระทำ ดินแดนภูตนั้นต่อให้เสียเขาไปสักคนก็ไม่ได้มีผลอะไรมากมาย ร่างของเมเออร์นั้นเปราะบางกว่าที่เห็นภายนอกมาก วิญญาณที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวทำให้การฟื้นฟูสภาพร่างกายที่บอบช้ำทำได้ยาก
   
ต่อให้ไม่ฆ่าตอนนี้
   
อีกไม่นานข้าก็ต้องตายอยู่ดี
   
“ ฆ่าข้าสิ อึ่ก รัฟฟ์ ” เมเออร์พยายามเงยหน้าขึ้นมาพูด ใบหน้าครึ่งนึงถูกเลือดอาบ จับจ้องไปยังร่างที่เดิมเคยไว้ใจที่สุด
   
รัฟฟ์ส่ายหน้า “ ถ้าเจ้าตายง่ายๆ ก็ไม่สนุกสิ รอดูความพินาศของดินแดนเจ้าดีกว่า ” หยิบมีดจากเสื้อคลุมปาดเข้าที่ข้อมือตัวเองปล่อยให้มันหยดใส่แหวนที่กำลังส่องแสงสีแดงจางๆ อย่างกระหายเลือด
   
ท้องฟ้าเกิดการแปรปรวนทันใด เมฆก้อนทึบเคลื่อนมาบดบังแสงแดดอย่างเงียบเชียบ อากาศรอบกายเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ เหลือเพียงความเงียบงัน
   
คาร์บิลัสลอบหยิบดาบตั้งรับไว้ทันที
   
อากาศหนักอึ้ง จนหายใจลำบาก
   
ราวกับว่ากำลังมีบางอย่างช่วงชิงอากาศไป
   
เอลล์กัดริมฝีปากครุ่นคิดไปสักพักก่อนจะหยิบดาบศํกดิ์สิทธิ์ออกมาถือ ชี้หน้าไปยังรัฟฟ์ แววตาเฉียบขาด ไม่เหลือเค้าความอาลัยใดๆ อีกฝ่ายอีกต่อไป
   
ถึงแม้จะเป็นท่านอาจารย์ แต่ดินแดนภูตนับว่าสำคัญกว่า
   
ความรู้สึกที่มีมีแต่จะทำให้ข้าประมาทเท่านั้น
   
เอลล์เลือกที่จะทิ้งความรู้สึกไป
   
ต่อให้ต้องลงมือฆ่าอีกฝ่าย
   
ข้าก็จะยอมทำ !
   
ฮื่อ...
   
เสียงสูดหายใจดังหนักแน่นแต่ยังไม่รับรู้ถึงตัวตน
   
ทุกคนมองรอบตัวอย่างระแวงยกเว้นเพียงแต่รัฟฟ์
   
ฮื่ออ..
   
เสียงนั้นดังปรากฏอีกครั้งที่ข้างหลังของฟลอยด์
   
ฟลอยด์สะดุ้งหันขวับไปมองด้านหลัง
   
แต่ไม่เห็นอะไรแม้แต่อย่างเดียวกว่าจะรู้ตัวก็ล้มกองไปบนพื้น
   
เช่นเดียวกับชาวภูตคนอื่นๆ หรือแม้แต่มนุษย์ ล้มทรุดกองไปบนพื้น
   
หลับใหลไม่ได้สติ
   
มีเพียงอาคันตุกะจากดินแดนปีศาจกับบุคคลอีกสองสามคนเท่านั้น
   
“ กา... ”
   
เสียงอีกาดังขึ้นแผ่วเบา
   
บนไหล่ของฟาร์คัสปรากฏอีกาพร้อมคทาในมือ
   
นัยน์ตาสีดำของมันกลอกไปมาตามร่างที่เคลื่อนที่ผ่านไปผ่านมาอย่างรวดเร็ว มองเห็นเพียงของบางอย่างสีดำขนาดยักษ์วิ่งอยู่ไวๆ
   
“ ไม่เลว ” รัฟฟ์เอ่ยชม บุคคลที่สามารถดำรงอยู่ได้ในขณะนี้
   
เวทมนตร์ที่ทำให้หลับได้อย่างง่ายดายเพียงแค่สูดเข้าไป
   
ถ้าหากพลังเวทย์หรือไหวพริบไม่เพียงพอที่จะตั้งรับ
   
ก็จะเข้าสู่อ้อมกอดของนิทรา
   
โฮกกก
   
เสียงคำรามดังลั่นพร้อมกับร่างยักษ์กระโจนเข้าที่หลังของฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสแค่นเสียงเหอะ ไม่ได้ก้าวหลบแต่อย่างใด วาดคทาเป็นแนวทแยง แสงสว่างจากวงเวทที่ถูกวาดปรากฏ อีกาบนไหล่ฟาร์คัสพุ่งตัวไปกระแทกกับวงเวท
   
กลายร่างเป็นเสือดำขนาดยักษ์พุ่งกระแทกร่างที่พุ่งเข้ามา
   
ผลั่ก...
   
เสือดำของฟาร์คัสถูกกระแทกมากองข้างตัวฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสสบมองร่างที่ยืนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา
   
ดวงตาเลื่อนลอยของอสูร
   
ร่างยักษ์ที่เห็นกล้ามเนื้อได้ชัดเจน
   
เขาโค้งงอเป็นเกลียวสีดำทมิฬ
   
กับรอยถูกฟันบนลำคอ
   
เลือดหยดซึมลงบนพื้น
   
เมเออร์เผลอตัวสั่น เพราะร่างที่รัฟฟ์อัญเชิญมา
   
ไม่ใช่ใครที่ไหน
   
นอกจากร่างที่ถูกท่านพ่อสังหารไป !
   
“ จะ เจ้า... ” 
   
“ มีอะไร ? ” รัฟฟ์แสยะยิ้มรับขยี้ปลายเท้าบนหลังเมเออร์
   
ความแค้นแจ่มชัดในหัว
   
“ อึก.. ” เมเออร์เผลอไอเลือดออกมาอีกครั้ง
   
อย่างที่รู้กันว่า รัฟฟ์แทบไม่เหลือความอาลัยอาวรณ์กับความรู้สึกใดๆ แล้ว เป้าหมายชีวิตเหลือเพียงการแก้แค้น การทำให้ดินแดนภูตพินาศเช่นเดียวกับกลุ่มอสูรของตัวเอง
   
รัฟฟ์ลืมแม้กระทั่งความเลวร้ายในสิ่งที่ตัวเองกระทำ
   
อย่างการนำศพของผู้มีพระคุณมาใช้
   
เวลากัดกินความคิดของรัฟฟ์ช้าๆ แต่ลงแรงหนัก
   
ความคิดแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้
   
ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
   
ทำให้รัฟฟ์กลายเป็นอีกคน
   
จากคนที่สุขุมเยือกเย็น
   
เป็นอีกบุคคลที่แม้แต่ตัวรัฟฟ์เองยังไม่รู้จักดี
   
เอลล์ไม่สนใจอสูรที่รัฟฟ์อันเชิญมา กระโจนเข้าใส่รัฟฟ์
   
การเห็นพ่อของตัวเองโดนทำร้ายไม่ใช่เรื่องที่เอลล์จะทนได้
   
ดาบศักดิ์สิทธิ์กวัดแกว่ง
   
รัฟฟ์เตะร่างของเมเออร์เข้าไปรับคมดาบแทน
   
เอลล์เบิกตากว้างชะงักดาบรับร่างของพ่อตัวเองมาด้วยแขนข้างเดียว
   
รัฟฟ์หัวเราะ “ เอาเลย ! ฆ่ามัน “ ตะโกนสั่งผู้มีพระคุณตัวเอง
   
อสูรร่างยักษ์ไม่ตอบแต่กระโจนเข้าไปหาทันที เวทย์มนต์สีดำทมิฬล่องลอยขึ้นจางๆ บนกรงเล็บ
   
“ คาร์บิลัส ! ” ฟาร์คัสตะโกนเรียกเพราะรู้ดีว่าตัวเองคงจะตั้งรับมันไม่ทัน แต่เสือสีดำของฟาร์คัสก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ พุ่งตัวเข้าไปขวางทางไว้
   
มือทรงพลังคว้าตัวเสือที่พุ่งเข้ามา เวทมนตร์สัมฤทธิ์ผลพุ่งเข้าครอบตัวสัตว์ตระกูลแมวขนาดยักษ์ทันที เสือของฟาร์คัสคำรนในลำคอตะเกียกตะกายพยายามหยันยืนขึ้นมาอีกครั้งหลังจากโดนทุ่มลงพื้นเป็นหลุมยักษ์
   
คาร์บิลัสไม่ตอบฟาร์คัสเช่นกัน โยนดาบของตัวเองพุ่งไปหาร่างอสูร ร่ายเวทเปลี่ยนดาบให้กลายเป็นมังกรยักษ์ตะครุบเข้าที่ร่างอสูร
   
ฮึ่มม
   
อสูรคำรามใส่มังกรที่ชนตัวเองจนต้องชะงักอยู่กับที่ ขนาดตัวที่ใกล้กันทำให้อสูรไม่สามารถจับร่างศัตรูทุ่มลงบนพื้นเช่นเดียวกับเสือดำได้
   
รัฟฟ์ขบเคี้ยวฟัน
   
เป็นอีกครั้งที่อยู่ในสถานการณ์เป็นรองเพราะอีกฝ่ายเยอะกว่า
   
คล้ายกับรับรู้อารมณ์ของรัฟฟ์
   
อสูรกู่ร้องคำรามเสียงดังลั่น เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ฟาร์คัสที่อยู่ใกล้แทนทันที
   
ฟาร์คัสสะดุ้งเบิกตากว้าง
   
เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นเป้าหมายต่อไป
   
กว่าจะรู้ตัว
   
ร่างของอสูรก็กระโจนเข้ามาใกล้
   
ฟาร์คัสกำลังจะร่ายเวทป้องกันตัว
   
ก็ถูกกรงเล็บของอสรูฟันเข้าที่ไหล่
   
ฟันขบแน่นกลั้นเสียงเจ็บปวด
   
แววตาของคาร์บิลัสกระหายเลือดทันที บรรยากาศรอบตัวหนักกว่าเดิม ดาบของคาร์บิลัสคล้ายจะมีเสียงกรีดร้องด้วยความโมโห
   
“ ฆ่าบี้ลัส ! ถอยไป แก๊ซ ” ดัฟฟ์กระโจนเข้าใส่อสูรก่อนคาร์บิลัส
   
เตะเข้าที่หน้าผากอสูร
   
ก่อนจะถูกอสูรจับจนห้อยต่องแต่ง
   
“ แง้ ! ” ดัฟฟ์งอแงในมือกอดนาซัสแน่น
   
รัฟฟ์มองภาพตรงหน้าอึ้งๆ   
   
เด็กตัวเล็กๆ ที่กระโจนเข้ามาช่วยอย่างไม่กลัวตาย
   
ภาพความทรงจำที่ถูกซุกซ่อนไว้ในส่วนลึกปรากฏในหัว
   
“ ห้ามยุ่งกับท่านพ่อข้านะ ” ภูตตัวเล็กเอากิ่งไม้มาไล่ตีหมาป่าที่เข้ามาใกล้พ่อของตัวเอง
   
รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งให้รัฟฟ์ มือขยี้หัวด้วยความเอ็นดู
   
“ ข้าไม่เป็นอะไรหรอกน่า ”
   
ความรู้สึกที่เคยหายไปกลับมาแทรกแซงหัวใจที่ว่างเปล่า
   
รัฟฟ์เผลอน้ำตาไหลไม่รู้ตัว
   
ตัวสั่นเทิ่ม
   
ในความเป็นจริงตัวตนเดิมของรัฟฟ์ไม่ได้หายไป
   
เพียงแค่ถูกทับถมเอาไว้ในส่วนลึก
   
ร่างอสูรยักษ์ค่อยๆ จางหายไป
   
รัฟฟ์ทรุดตัวกองบนพื้น
   
กอดตัวเองไว้นิ่งๆ
   
จิตใจที่แตกสลายถูกกระตุ้นด้วยกริชความทรงจำ
   
ย้ำลึกถึงความสูญเสีย
   
“ ท่านพ่อ ท่านพ่อ ”
   
รัฟฟ์คร่ำครวญใจลอย
   
เป้าหมายของรัฟฟ์มีไว้เพียงเกี่ยวรั้งไม่ให้ตัวเองสติฟั่นเฟือน
   
“ แก๊ซ ? ” ดัฟฟ์ตกแปะมายืนบนพื้น เห็นร่างที่ทรุดบนพื้นร้องไห้ก็เดินเข้าไปใกล้ มือเล็กๆ ลูบหัวปลอบโยนในฉบับเด็กๆ “ ไม่เป็นไรนะ แก๊ซ ” คลี่ยิ้มสดใส
   
สติสัมปัชญะถูกกระชากกลับเข้ามาในหัวรัฟฟ์ด้วยคำพูดสั้นๆ
   
ของเด็กตัวเล็กๆ
   
การกระทำทุกอย่างผุดขึ้นมาในหัวรัฟฟ์
   
จิตใจหนักอึ้งกับสิ่งที่ตัวเองกระทำไป
   
แต่ไม่ได้รู้สึกผิดถึงเรื่องแก้แค้น
   
รัฟฟ์หยัดตัวเองขึ้นมายืนช้าๆ ขยี้หัวดัฟฟ์เชิงขอบคุณ
   
“ แก๊ซ ” ดัฟฟ์ยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายเลิกร้องไห้แล้วส่งยิ้มให้ตัวเอง
   
เมื่ออสูรที่ทำร้ายฟาร์คัสหายไปเหลือเพียงนายของมัน
   
คาร์บิลัสโกรธมากเตรียมจะพุ่งเข้าไปฆ่าอีกฝ่ายให้เป็นชิ้นๆ แต่ถูกฟาร์คัสกอดเข้าข้างหลังซะก่อน “ พอแล้ว คาร์บิลัส แผลแค่นี้ข้าไม่ตายหรอกน่า ”
   
น้ำเสียงที่ถึงแม้จะไร้อารมณ์
   
ทำให้คาร์บิลัสสงบลงอย่างประหลาด
   
คาร์บิลัสกัดฟันกรอด “ เห็นแก่เจ้า... ” เก็บดาบเข้าฝัก แกะมือของฟาร์คัสออกสบมองบาดแผลลึกบนไหล่ สะกดกลั้นอารมณ์เดือดพล่านในตัว
   
มันกล้าทำร้ายฟาร์คัสของข้า..
   
อีกครั้งที่ข้าทำให้ฟาร์คัสบาดเจ็บ
   
แค่ปกป้องคนที่ข้ารักแค่นี้ ข้ายังทำไม่ได้
   
ข้าจะเป็นราชาปีศาจไปทำไมกัน
   
คาร์บิลัสทนดูบาดแผลไม่ได้
   
แผลลึกตอกย้ำถึงความอ่อนแอของตัวเอง
   
ทิ้งภาพลักษณ์ของราชาปีศาจที่แข็งแกร่ง
   
ฆ่าศัตรูได้เหมือนผักปลา
   
ฟาร์คัสถอนหายใจเซ็งๆ ยืดตัวลูบหัวคาร์บิลัสเชิงปลอบ “ มันก็แค่อุบัติเหตุ คาร์บิลัส ”
   
“ ข้าขอโทษ ” คาร์บิลัสหันกลับมามองหน้าฟาร์คัสชั่วครู่ก่อนจะหลุบตาลงต่ำ
   
“ ขอโทษเรื่องอะไร ”
   
“ ... ”
   
“ ข้ายังไม่ตาย ฉะนั้นเจ้าไม่ต้องขอโทษอะไรทั้งนั้น ”
   
“ ถ้าเจ้าตายล่ะ .. ” เสียงแหบแห้งหลุดมาจากลำคอของคาร์บิลัส
   
ฟาร์คัสยิ้ม
   
“ ข้าเชื่อว่าราชาปีศาจอย่างเจ้าไม่ปล่อยให้ข้าตายง่ายๆ หรอก ”
   
กดจูบแผ่วเบาบนริมฝีปากและผละออกมาทันที
   
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เอลล์จึงเลิกสนใจรัฟฟ์หันมาสนใจพ่อของตัวเอง
   
ลมหายใจรวยริน
   
เอลล์พยายามร่ายเวทรักษาสุดความสามารถ
   
แต่ก็ไม่เป็นผล
   
ทั้งร่างและวิญญาณของเมเออร์บอบช้ำเกินไป
   
ที่ยังคงหายใจได้อยู่ก็ถือว่ามากพอแล้ว
   
เมเออร์คลี่ยิ้ม ยกมือสั่นๆ ของตัวเองลูบหัวเอลล์
   
เอลล์น้ำตาไหลพรากพูดอะไรไม่ออก
   
เห็นความเจ็บปวดในแววตา
   
เมเออร์ตระหนักถึงเวลาที่เหลือน้อยของตัวเอง
   
“ เอลล์.. ข้าเคารพการตัดสินใจของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ตาม ”
   
ทิฐิที่มีค่อยๆ หายไป
   
ลดความข้องใจในการกระทำต่างๆ ของเอลล์
   
อย่างการสร้างพันธมิตรก็ให้ข้อดีไม่เลว
   
แต่พ่ออย่างข้ากลับทำมันพัง
   
“ เอลล์.. พ่อขอโทษ อึก ”
   
เมเออร์พยายามพูด
   
เอลล์กอดเมเออร์แน่น
   
“ สิ่งที่เจ้าพยายามทำขึ้นมา ข้าเผลอทำลายไปแล้ว ”
   
ลมหายใจของเอลล์สะดุด
   
ทวนความทรงจำในหัว
   
พบว่าอาคันตุกะจากต่างแดนนั้นเหลือน้อยจนน่าตกใจ
   
เหลือเพียงไม่กี่เผ่าเท่านั้น
   
“ พ่อขอโทษ..  ”
   
เมเออร์สบมองดวงตาเศร้าๆ ของเอลล์
   
เอลล์ยิ้มตอบ “ ข้ารู้ว่าท่านทำเพื่อดินแดนภูต ”
   
ไม่ว่าข้าหรือท่านพ่อ ก็ให้ความสำคัญกับดินแดนภูตทั้งนั้น
   
เมเออร์พยายามแค่นยิ้มออกมาแต่ทำไม่ได้ ความเจ็บปวดร้าวไปทั้งวิญญาณทำให้เมเออร์เผลอส่งสีหน้าเจ็บปวดให้เอลล์แทน
   
“ ขอรับ ท่านพ่อ ” เอลล์รับคำเสียงสั่น
   
เมเออร์ไม่ตอบรับอะไรครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
   
คล้ายกับวิญญาณจะแตกเป็นเสี่ยง
   
เมเออร์หลับตาแน่นกระอักเลือดออกมาคำโต
   
“ ข้ารักเจ้านะ เอลล์ .. ”
   
คล้ายคำกล่าวลาครั้งสุดท้าย
   
ลมหายใจถูกช่วงชิงไป
   
เหลือเพียงร่างชราอดีตราชาดินแดนภูตนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
   
ลุกซ์เดินเข้าใกล้เอลล์ที่ก้มหน้าซ่อนน้ำตาของตัวเอง ลุกซ์ลูบหัวเอลล์เบาๆ “ ทำให้เรื่องนี้จบก่อนเถอะ เอลล์ ปัญหามันยังไม่จบ ”
   
เอลล์พยักหน้าหงึกหงักปาดน้ำตาตัวเองออกลวกๆ
   
“ ข้าจะพยายาม ”
   
ให้คำมั่นเสียงแผ่วเบา
   
“ ไม่ต้องกลัว.. ”
   
ลุกซ์ให้กำลังใจก่อนที่จะเดินไปเตะร่างที่ปลอมตัวเป็นราชาภูตในตอนนี้
   
“ โอ๊ย ! ”  ฟลอยด์ร้องเสียงดังลั่น ตาสว่างทันที ลุกพรวดมองหน้าลุกซ์เอาเรื่อง
   
ลุกซ์มองหน้าเอลล์ยิ้มบาง
   
เพราะรู้ดีถึงสิ่งที่เอลล์กำลังคิด
   
เอลล์ยิ้มตอบ
   
ไม่ว่ายังไงลุกซ์ก็อ่านข้าก็ทะลุปรุโปร่งจริงๆ
   
รัฟฟ์ไม่ได้หนีไปแม้ว่าจะมีโอกาสให้ตัวเองหนี
   
ไม่อยากเป็นพวกอ่อนแอที่เอาแต่หนีปัญหา
   
กระทำมันขึ้นมาและยอมรับในสิ่งที่ตัวเองกระทำ
   
รัฟฟ์แค่นยิ้ม
   
“ ลงโทษข้าตามสมควรเถอะ ”
   
คงจะไม่พ้นการประหารชีวิตเป็นแน่
   
“ ฆ่ามัน ! ฆ่ามันเลย ” ฟลอยด์โวยวาย น้ำเสียงเอาเรื่อง
   
ฟลอยด์เป็นอีกคนที่โกรธมากกับการกระทำของรัฟฟ์
   
เป็นอีกคนที่รักดินแดนภูตกว่าใครๆ
   
เอลล์ไม่สนใจในสิ่งที่รัฟฟ์พูด
   
ดวงตาสองสีของเอลล์สะท้อนภาพของภูตหน้าตาอ่อนเยาว์แต่อายุล่วงเลยมานาน
   
“ ความตายไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีหรอกนะ ” น้ำเสียงนุ่มของเอลล์ไม่เจืออารมณ์โกรธใดๆ
   
การกระทำของรัฟฟ์มีผลมาจากกระทำของภูตเช่นกัน
   
ฉะนั้นจะโทษอีกฝ่ายเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้
   
โลกใบนี้ไม่มีสิ่งที่ผิดหรือถูกที่สุด
   
“ แล้วจะทำอะไรกับข้าล่ะ เอลล์ ? ”
   
“ ท่านอาจารย์ก็ต้องทำหน้าที่ของท่านต่อไปสิ  ”
   
รัฟฟ์เลิกคิ้วงงๆ
   
“ อาจารย์ ? ”
   
เอลล์ยิ้มเมื่อเห็นสีหน้างุนงง “ ใช่ ท่านต้องดำรงตำแหน่งอาจารย์ไปตลอดชีวิตของท่านเพื่อชดใช้ความผิด ”
   
รัฟฟ์พยักหน้า
   
“ และท่านยังต้องไปช่วยฟื้นฟูดินแดนภูตให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ” เอลล์มองปราสาทของตัวเองที่ถล่มลงมาเศร้าๆ “ ทุกชีวิตที่ท่านทำให้สูญเสีย ข้าจะไม่เอาความท่าน แต่ข้าขอให้ท่านทุ่มเทกับดินแดนภูตในทุกๆ ด้านที่ท่านสามารถทำได้ ”
   
เป็นบทลงโทษที่เบาจนน่าแปลกใจ
   
รัฟฟ์คิด
   
“ ท่านคงจะแปลกใจที่บทลงโทษของท่านมีเพียงเท่านี้ ” เอลล์เหลือบมองท่านพ่อของตัวเอง “ แต่ข้าเข้าใจดีว่าความสูญเสียที่ท่านเผชิญอยู่.. ไม่ใช่เรื่องที่ทำใจรับได้ง่าย  ซึ่งต้นเหตุทั้งหมดก็มาจากภูต ”
   
รัฟฟ์มองร่างลูกศิษย์ของตัวเอง
   
ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองไม่มีความอาลัยหรืออะไรในตัวลูกศิษย์แม้แต่นิดเดียว
   
ตรงกันข้าม
   
เมื่อความรู้สึกที่ซุกซ่อนปรากฏขึ้นมาในจิตใจ
   
รัฟฟ์รู้สึกภูมิใจในตัวเอลล์แปลกๆ
   
เอลล์โตขึ้นกว่าเดิมมากจริงๆ
   
หลังจากที่พบกันครั้งล่าสุด
   
รัฟฟ์หัวเราะออกมาเบาๆ “ ข้ายอมรับบทลงโทษนี้ ไม่ว่าเจ้าจะสั่งให้ข้าไปฆ่าไปทำอะไร ข้าก็จะยอมทำทั้งนั้นเพื่อดินแดนภูต ”
   
กลับเข้าสู่อ้อมกอดดินแดนถิ่นกำเนิดของตัวเอง
   
ในฐานะนักโทษ
   
“ ท่านอาจารย์ ข้าจะลงเวทไว้กับท่านเพื่อเป็นคำสัญญา ท่านจะยินยอมไหม ” เอลล์หยิบดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาถือ พลังอำนาจมหาศาลไหลเวียนในตัวดาบ
   
“ ได้สิ ” รัฟฟ์ปล่อยมือออกจากหัวดัฟฟ์อย่างว่าง่าย เดินเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าเอลล์
   
ฟลอยด์แทบจะเข้าแย่งดาบเอลล์เพื่อตัดหัวอีกฝ่ายในจังหวะนี้
   
แต่ถูกทั้งคาร์บิลัสและฟาร์คัสขวางทางไว้
   
จึงทำได้แค่มองตามอย่างหงุดหงิด
   
เอลล์หลับตากระชับดาบในมือ ดาบในมือของเอลล์เปลี่ยนรูปทันทีหลอมเหลวจนคล้ายน้ำเหนียวหนืด ก่อนจะถูกหล่ออีกครั้งในรูปของปลอกคอสีทอง เอลล์กดปลอกคอเข้าที่คอของรัฟฟ์เบาๆ ปลอกคอสีทองส่งแสงเรื่อในลำคอของรัฟฟ์ ในมือของเอลล์ปรากฏดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ขนาดเล็กลงกว่าครึ่ง
   
“ ถ้าหากท่านทำอะไรก็ตามที่ทรยศต่อดินแดนภูต ปลอกคออันนี้บั่นคอของท่านอย่างไม่มีข้อแม้ ”
   
“ อืม.. ” รัฟฟ์สัมผัสกับโลหะสีทองเย็นๆ บนลำคอตัวเอง
   
คงต้องหาผ้าพันคอมาปกปิดเอาไว้
   
เอลล์หันมาสนใจฟลอยด์บ้าง
   
สบเข้ากับแววตาขุ่นเคือง
   
“ มองอะไร ”
   
ถามเสียงขุ่น
   
เอลล์ถอนหายใจรับรู้ถึงความโกรธของฟลอยด์ เดินไปหยุดยืนตรงหน้าอีกฝ่าย สูดหายใจเรียกสติของตัวเองไตร่ตรองกับการตัดสินใจของตัวเองครั้งสุดท้าย
   
กระชับมือที่จับดาบ
   
ฟลอยด์เบิกตาโพลง
   
หรือว่ามันประหารข้า
   
“ นี่เจ้า ! ”
   
เอลล์ยื่นดาบให้กับฟลอยด์
   
ฟลอยด์งงงแต่ก็เผลอรับมาถือ “ หมายความว่ายังไง ? ”
   
“ ข้ามอบตำแหน่งกษัตริย์ให้เจ้าไง ” เอลล์ยิ้ม
   
“ หะ ” ฟลอยด์รับคำ
   
แต่ในหัวยังไม่เข้าใจ
   
เอลล์มันให้ตำแหน่งราชากับข้า ?
   
บ้าน่า มันไม่ใช่สิ่งที่อยากจะให้ก็ให้กันได้ง่ายๆ นะ
   
ข้าฝันรึเปล่า
   
“ เจ้าอยากได้มัน ข้าก็จะให้กับคนที่เหมาะสม ” เอลล์ยิ้มบาง
   
เพราะข้านั้นไม่ได้เหมาะสมกับการราชาดินแดนภูตสักนิด
   
การกระทำเห็นแก่ตัวที่ข้ากระทำตอกย้ำถึงความอ่อนแอของข้า
   
ถ้าหากดวงตาของข้าทำให้ปีศาจหรือผู้อื่นคลุ้มคลั่ง
   
คงจะมีผู้สูญเสียมากกว่านี้
   
ข้ามันเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะเป็นราชาให้กับใคร
   
หลังจากเรียงเม็ดความคิดในหัวเสร็จก็พูดข่มเอลล์ “ รู้ตัวก็ดี ข้าต้องเป็นกษัตริย์ได้ดีกว่าเจ้าแน่ ” กวัดแกว่งดาบในมือเล่นอย่างย่ามใจ
   
“ แต่ยังไงเจ้าก็ต้องมีผู้ควบคุมอยู่ดี ” เอลล์หัวเราะ “ ไซริน ข้าขอฝากท่านควบคุมเขาไว้ด้วยแล้วกัน ” ตะโกนบอกไซรินที่ซุกซ่อนตัวในกลุ่มชาวภูต
   
ไซรินค่อยๆ คลานออกมา ไม่ได้หลับใหลตามไปแต่อย่างใด
   
“ ได้สิ ท่านเอลล์ ” รับคำเสียงใส “ แต่ถ้าหากเจ้านี่ทำอะไรไม่ดีข้า ข้าจะทำอย่างไรล่ะ ” คิ้วขมวดเคร่งเครียด
   
“ ฟ้องท่านอาจารย์สิ ”
   
ฟลอยด์สะดุ้งหันขวับไปมองไซริน “ ข้าไม่กลัว ! ”
   
ไซรินยักไหล่ “ เอาเถอะ มีชาวภูตอีกมากที่ข้ารู้จักและมากฝีมือ ถ้าหากเรียกมาช่วยพร้อมกัน เจ้านี้ก็ไม่น่ารอดหรอก ”
   
“ ขอบคุณนะ ไซริน ” เอลล์พูดเสียงนุ่มมองฟลอยด์ตรงๆ “ ฉะนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติเจ้าที่เป็นกษัตริย์คนใหม่แทนที่ข้า ข้าจะไม่อยู่ในดินแดนนี้แล้วกัน ”
   
ฟลอยด์ชะงักความคิดของตัวเอง ที่กำลังกู่ร้องถึงความดีใจที่ความพยายามมาอย่างยาวนานของตัวประสบผล “ เจ้าจะไม่อยู่ในดินแดนนี้ ? ”
   
มืออุ่นๆ ที่กระชับกับมือของเอลล์
   
ทำให้เอลล์มั่นใจในคำตอบของตัวเอง
   
“ อืม ข้าจะไปอยู่ดินแดนปีศาจกับมังกรไฟ ”
   
ฟลอยด์เงียบกับคำตอบของเอลล์
   
ความสัมพันธ์ที่เห็นได้ชัดระหว่างมังกรกับภูต
   
ฟลอยด์เงียบไปนานมาก “ ข้าขออวยพรให้พวกเจ้ามีความสุข ” และพูดประโยคที่คิดว่าตัวเองไม่คิดจะพูดกับอีกฝ่ายมาก่อนในชีวิต
   
ประโยคที่ออกมาใจจริง
   
ไม่ใช่การเสแสร้งหรือจิกกัดเหมือนดังทุกที
   
“ ขอบคุณ ”
   
รับคำขอบคุณของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
   
รัฟฟ์พูดบ้าง “ ข้าก็ขออวยพรให้เจ้ามีความสุขมากเช่นกัน ”
   
เอลล์ยิ้มรับอายๆ
   
ให้ตายข้าหลับไปตอนไหนกัน ?
   
อันตรายๆ
   
เสียงพูดคุยเริ่มดังขึ้นเมื่อเวทมนตร์ของอสูรหายไป
   
สติหวนคืนสู่เจ้าของร่าง
   
คล้ายสัญญาณบอกถึงเวลาที่สมควร
   
เอลล์ทอดมองรอบตัวด้วยแววตาอ่อนโยน ซึมซับความรู้สึกการเป็นราชาดินแดนครั้งสุดท้าย เผลอน้ำตาไหลเมื่อเห็นร่างของท่านพ่อทอดร่างอยู่บนพื้น
   
เอลล์ร้องไห้ออกมา
   
เสียงสะอื้นดังแผ่วเบา
   
ลุกซ์รวบตัวเอลล์มากอดแน่น ปลอบโยนอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำปลอบประโลม
   
คาร์บิลัสวาดวงเวทเคลื่อนย้ายบนพื้นพร้อมๆ กับดึงตัวฟาร์คัสมากอดไว้ด้วยแขนข้างเดียว มืออีกข้างคว้าคอเสื้อดัฟฟ์ที่งอแงจะเล่นกับนักโทษภูต เมื่อทุกร่างที่ต้องการจะไปยังดินแดนปีศาจอยู่ในวงเวทครบ คาร์บิลัสเอ่ยร่ายเวทจบปล่อยให้วงเวทนำพากลับไปยังดินแดนปีศาจ
   
เหลือไว้เพียงผู้ที่ดำรงอยู่
   
ได้ใช้ชีวิตต่อไป
   
แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด
   
เพิ่มเติมสิ่งที่ขาดหาย
   
ให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

--------------------------

 :katai5: ตอนนี้ย้าวยาว 5555 เพราะเป็นตัวเคลียร์ปมด้วยแหละเลยยาวมาก

ใครมีอะไรสงสัยถามได้น้า ตอนนี้แต่งตอนเบลอๆ บ้างตื่นบ้าง หลายวันเลย

ตอนนี้ถือได้ว่าเป็นตอนจบของภาค์เอลล์ได้เลยแฮะ

เดี๋ยวตอนหน้าจะแต่งตอนอยู่แดนปีศาจแล้วก็อาจลามไปยังดินแดนนกบอกลางด้วย

# แต่ตอนนี้ไปนอนดีกว่า ง่วงมาก  :katai5:

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ  :L1:


--- ตอบเมนต์ ----

คุณ BlueCherries : ตอนนี้เฉลยหมดเลย ><

คุณ lizzii : มาแล้ว แก๊ซ !

คุณ rayaiji : ง่า ไม่เห็นตั้งนาน นึกว่าเลิกอ่านแล้ว 5555  :man1: // กอด



   
   
   
   
   
   
      
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 17 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 17-10-2015 14:59:28
จบเรื่องชะทีนะ เอลล์.แก๊ชชชช
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 17 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 17-10-2015 16:39:23
อุ่ยยย จำเราได้ด้วยยย 555 เราแอบตามอ่านอยู่เรื่อยๆล่ะ แต่อ่านในโทรศัพท์ไงมันพิมพ์ยาก เลยไม่ค่อยได้ตอบ  อยากให้ฟาร์คัสไปถล่มดินแดนนกบอกลางจุงงง
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 17 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 17-10-2015 17:24:58
แปะ

ตอนนี้อยุ่เกาะ ยังไม่มีเวลาอ่านเลย เดะพรุ่งนี้เมนท์นะคะ จุฟๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 17 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 17-10-2015 17:26:13
ไม่รู้จะเม้นไรดี  งั้นตามเม้นบนไป  ไปถล่มดินแดนนกบอกลางกันเถอะ!!
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 17 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-10-2015 18:40:16
ดัฟฟ หล่อมากลูกกกกกกก !!!!
พระเอกชัดๆ ฮ่าๆ มีการบอกให้คาบิรัสหลบด้วย ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 17 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 17-10-2015 22:17:10
รวดเดียวจบ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 30 17 ต.ค 58 -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-10-2015 01:26:54
แร้วจะเปงไงต่อไปน้อออ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 31 25 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 25-10-2015 23:36:21
------ ตอนที่ 31 -------------
   
การกลับมาของราชาปีศาจถูกป่าวประกาศโดยไร้คำพูด พลังเวทย์มหาศาลของราชาปีศาจทำให้ชาวปีศาจรู้สึกได้ถึงการกลับมา ขุนนางที่เฝ้ารอราชาปีศาจกลับมารีบเร่งพากันมายังห้องโถง
   
“ ท่านคาร์บิลัส ! ” เสียงตะโกนโวกเหวกโวยวายดังขึ้นท่ามกลางความปิติยินดีที่เจ้าดินแดนกลับมาสักที
   
แต่เจ้าดินแดนที่ว่าไม่ได้มีสีหน้ายินดีอะไรถามออกมาเบื่อๆ “ อะไร ”
   
ฟาร์คัสหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคาร์บิลัส คาร์บิลัสหันมองฟาร์คัสขวับเปลี่ยนสีหน้าเป็นสีหน้าหงอยๆ แทน
   
คาร์บิลัสรู้ดีถึงชะตากรรมของตัวเองหลังจากกลับมาดินแดนปีศาจ
   
เพราะไอ้พวกขุนนางพวกนี้จะจับเขาขังไว้ในห้องทำงาน บังคับขู่เข็ญให้อ่านให้อนุมัติเยอะแยะไปหมด จนเริ่มเบื่อตำแหน่งราชาปีศาจของตำเองที่ได้มา
   
“ เดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าแล้วกัน ” ฟาร์คัสปรับสีหน้ากลับมานิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์
   
คาร์บิลัสถึงยิ้มออกทำท่าจะกระโจนเข้าไปกอดไม่สนใจสายตาใครหน้าไหน
   
“ ข้าขอเวลาสักครู่ขอรับ ท่านคาร์บิลัส ” ชาคอสก้าวออกมาจากวงขุนนางที่มายืนออกันเต็มไปหมด เหตุผลเดิมที่พวกนี้มายืนออกันก็เช่นเดียวกับครั้งที่แล้วคืออยากได้อะไรสักอย่างจากคาร์บิลัส เช่น ตำแหน่ง ความเอ็นดู แต่น่าเสียดายที่คงไม่มีอะไรแบบนั้นให้กับขุนนางพวกนี้
   
ในฐานะคนสนิทของราชาปีศาจ ชาคอสรู้ดีว่าทุกอย่างที่ท่านคาร์บิลัสมีถูกมอบให้กับอีกาข้างๆ ไปแล้ว แต่นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของท่านคาร์บิลัส ข้าไม่มีความจำเป็นต้องให้ความใส่ใจมากนัก
   
“ มีอะไร ชาคอส ” เมื่อคนถามเป็นชาคอสสีหน้าของคาร์บิลัสเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยไม่ถึงกับเบื่อหน่ายอย่างตอนแรก
   
“ ท่านช่วยปลดเจ้ามังกรของท่านออกด้วย ”
   
คาร์บิลัสทำท่าคิดสักพักเพราะลืมไปแล้วว่าตัวเองทำอะไรไว้ “ อ้อ ได้ๆ ” ก่อนจะดีดนิ้วดังเป๊าะ
   
ฮืมมมมม
   
เสียงกู่คำรามดังสนั่นจนตึกทั้งตึกสะเทือน เหมือนกับเป็นคำกล่าวลาอยู่กลายๆ ก่อนจะหายไป
   
ชาคอสถอนหายใจโล่งอก เมื่อมังกรของท่านคาร์บิลัสหายๆ ไปสักที ขนาดเขาที่ว่าเป็นคนสนิทยังถูกจับจ้องจนทำอะไรลำบาก

สิ่งที่ชาวปีศาจหวาดกลัวในตอนนี้คงจะเป็นดวงตาจับผิดขนาดยักษ์ของเจ้ามังกรสีดำเนื้อตัวขาดวิ่นเป็นช่วงๆ เห็นโครงกระดูก
ชัดเจนในส่วนที่ไม่มีเนื้อ เกาะอยู่บนปราสาทตัวใหญ่ขนาดที่ว่าแทบจะคลุมท้องฟ้า กลิ่นอายวิญญาณรุนแรง ถึงแม้จะมองเห็นมันเกาะอยู่แต่ไม่สามารถจับต้องมันได้ สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ คือมันสามารถฆ่าคนที่คนทำอะไรผิดแปลกไปจากปกติที่ควรทำ อย่างการคิดจะก่อกบฏในช่วงที่นายของมันไม่อยู่...

“ มังกร ? ” ฟาร์คัสทวนงงๆ

คาร์บิลัสยิ้มยืดอดเชิงอวด “ เป็นมังกรที่ข้าช่วยไว้น่ะ มันก็เลยสาบานว่าจะอยู่เป็นข้ารับใช้ของข้าจนกว่าข้าจะตาย แต่ตอนนี้มันตายแล้วล่ะ เหลือแต่ร่างวิญญาณที่ซื่อสัตย์ไว้ ถ้าเจ้าอยากเจอมันข้าเรียกมันออกมาได้นะ ”

ฟาร์คัสขมวดคิ้วกับสายตานับร้อยคู่ที่จ้องมาทางตัวเองอย่างกดดัน วอนขอ รวมถึงสายตาของชาคอสที่ดูจะรุนแรงกว่าคนอื่นๆ สักหน่อย ในสายตาที่มองมาสื่ออย่างรุนแรงว่า อย่าแม้แต่จะเรียกมันออกมา !

“ ไม่ดีกว่า ข้าง่วงแล้ว ” ฟาร์คัสยอมรับคำขอจากพวกขุนนาง และได้รับคำขอบคุณเป็นสายตาชื่นชมยินดีทันที ความขุ่นข้องหมองใจของขุนนางส่วนใหญ่หายไปจนหมด

เพราะไอ้มังกรที่ว่ามันน่ากลัวจริงๆ เกิดเรียกออกมาอีกรอบคงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ

“ งั้นก็ไปนอนกันเถอะ แต่เจ้าต้องนอนห้องข้านะ ฟาร์คัส ~ ” คาร์บิลัสแทบจะร้องออกมาเป็นเพลง ดึงแขนฟาร์คัสเตรียมจะลากไปห้องตัวเอง

ฟาร์คัสขืนตัวเริ่มรู้สึกหงุดหงิดในความร่าเริงที่มากเกินไปของคาร์บิลัสแปลกๆ “ แล้วเอลล์กับลุกซ์ล่ะ เจ้าส่งสองคนนั้นไปไหน ”

“ ก็กลับบ้านลุกซ์สิ เจ้ามังกรโง่นั่น ไม่ได้กลับบ้านเป็นนานแล้ว เกิดที่บ้านรู้ว่ามันกลับมาแล้วไม่ยอมกลับบ้าน มีหวังปราสาทของข้าต้องถูกเผาแน่ๆ ”

“ แง้ ! ฆ่าบี้ลัสด่าดัฟฟ์โง่ง้า ” ดัฟฟ์ร้องไห้งอแงดิ้นออกจากแขนคาร์บิลัส กระโดดลงมาเหยียบพื้นวิ่งไปหาบุคคลที่น่าจะปลอบได้ดีที่สุดอย่างฟาร์คัส

ฟาร์คัสกลอกตา “ เจ้าโง่ คารบิลัสไม่ได้ด่าเจ้า ”

ดัฟฟ์ชะงักขา น้ำตาไหลพราก  แม้แต่แม่ก็ยังด่าว่าข้าโง่... ฮึก ! ดัฟฟ์เริ่มไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครดี ได้แต่กอดนาซัสที่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นแต่อย่างใดแน่น

ฟาร์คัสกับคาร์บิลัสสบตากัน

เจ้าปลอบดัฟฟ์สิ เจ้าทำให้ดัฟฟ์ร้องไห้  !

สายตากร้าวของฟาร์คัสบอกเช่นนั้น

แต่ข้าไม่ถนัดเลี้ยงเด็กนี่นา ฟาร์คัส 

คาร์บิลัสมองกลับด้วยสายตาหวานชื่น 

ระหว่างที่พ่อและแม่กำลังสื่อสารกันทางสายตา ก็มีร่างที่ดัฟฟ์พอจะพึ่งได้ผ่านมาพอดี

กระต่ายตัวอวบอ้วนใส่ชุดทำงานเคี้ยวแครอทดังแจ๊บๆ เดินกระโดดโหยงเหยงมา หูตั้งขึ้นเชิงแปลกใจที่เห็นมังกรดำร้องไห้จึงเดินมาหามือที่เต็มไปด้วยขนปุกปุยลูบหัวดัฟฟ์เบาๆ เชิงปลอบ “ อย่าร้องสิ ”

ดัฟฟ์กลั้นเสียงสะอึกสะอื้นซุกหัวลงกับหน้าท้องของคอร์ส

เป็นอันว่าปัญหาคลี่คลายไปแล้วเรื่องนึง
   
คาร์บิลัสคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ในหัวเกิดความคิดดีๆ “ คอร์ส ข้าฝากเจ้าเอาดัฟฟ์ไปเลี้ยง เพราะข้ากับฟาร์คัสจะพักผ่อน ข้าเหนื่อยมาก ข้าไม่ต้องการที่จะทำงานตอนนี้ ” ประโยคหลังพูดเสียงเย็นจ้องชาคอสตรงๆ
   
ในใจชาคอสสบถคำด่าราชาปีศาจอย่างดุร้าย กองเอกสารที่ทำค้างไว้มันจะล้นห้องทำงานของข้าแล้ว แต่สิ่งที่ตอบออกไปได้มีเพียงคำตอบเดียว “ ขอรับ ” ช่วยไม่ได้ข้าเป็นเพียงคนสนิท ไม่ได้เป็นราชาดินแดนหรือชายาของราชาปีศาจ จะทำอะไรได้นอกจากรับคำสั่ง
   
“ ได้ขอรับ ท่านคาร์บิลัส ” คอร์สตอบรับด้วยการผงกหัว “ เจ้ามังกร กินแครอทไหม ? ” พร้อมหยิบแครอทออกมาจากเสื้อยื่นให้กับมังกรดำ
   
ดัฟฟ์แทบจะร้องไห้โฮด้วยความซาบซึ้ง รับมากินทันที
   
ซึ่งหลังจากนี้คนที่ดัฟฟ์ติดแจคงจะเป็นเจ้ากระต่ายอ้วนแทน..
ถึงจะพูดว่าง่วง แต่มันก็เป็นคำแก้ตัวส่งๆ เท่านั้น ความจริงฟาร์คัสรู้สึกแค่เพลียนิดหน่อยจากการใช้พลังเวทย์สู้กับเจ้าอสูรนั่น ฟาร์คัสอยากจะเถียงกับคาร์บิลัสเรื่องนอนคาร์บิลัส แต่ขุนนางที่อยู่กันเต็มห้องก็ทำให้ฟาร์คัสรู้สึกกระดากอายไม่น้อย เลยต้องยอมๆ ไป “ ไปห้องเจ้าสักที ”
   
คาร์บิลัสยิ้มรับ “ ได้สิ ” เดินนำไปอย่างกระตือรือร้นโดยมีฟาร์คัสเดินด้วยสีหน้าหงุดหงิด
   
ทิ้งให้เหล่าขุนนางยืนเก้อกันอีกครั้ง...
   
ดูท่าพวกมันคงต้องตั้งใจทำงานมีผลงานดีๆ แทนการประจบแล้วมั้ง
   
คิดเหมือนกันก่อนจะพากันแยกย้ายกลับไปทำงานดังเดิม
   
ทันทีที่เข้ามาในห้องได้คาร์บิลัสก็โผกอดฟาร์คัสแน่นทันที ซึ่งฟาร์คัสยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกปล่อยให้คาร์บิลัสกอดหน้าที่ยังคงเย็นชาแดงก่ำถึงลำคอเมื่อถูกซุกไซร้ตรงลำคอ
   
ตอนปกติฟาร์คัสมักจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนจึงไม่ได้รู้สึกเขินอายสักเท่าไหร่
   
แต่รอบนี้คาร์บิลัสเป็นคนเริ่ม
   
“ ปล่อยข้า! ” ฟาร์คัสพยายามขืนตัวออกแต่ดูจะยากเย็นเมื่อแขนของคาร์บิลัสแทบจะกลายเป็นปลาหมึกเกาะตัวไว้แน่น
   
“ รางวัลของข้าไง.. เจ้าลืมแล้วเหรอ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสกระซิบข้างหูน้ำเสียงแหบพร่า
   
ฟาร์คัสนึกหงุดหงิดที่ตัวเองให้คำสัญญาบ้าๆ ไว้
   
เหมือนหลุมฝังตัวเองยังไงยังงั้น
   
“ แค่จูบพอ.. ตอนนี้ข้าไม่พร้อมที่จะทำอะไรทั้งนั้น ”
   
คาร์บิลัสไม่ตอบยอมผละออกมาอย่างว่าง่ายยืนจ้องฟาร์คัสนิ่งๆ
   
ฟาร์คัสคิ้วกระตุก ทั้งๆ ที่ข้ายอมให้ถึงขนาดนี้  “ เป็นอะไรของเจ้า ไม่พอใจรึไง ”
   
“ เจ้าเริ่มสิ ในเมื่อเจ้าเป็นคนเสนอมันให้ข้า ” พูดพร้อมยิ้มมุมปาก สายตาพราวระยับ
   
ทำไมข้าเหมือนเห็นเขากับหางปีศาจของไอ้หมางี่เง่านี่งอกออกมากัน..
   
ฟาร์คัสคิดในใจอย่างหงุดหงิด ยอมเดินเข้าไปใกล้โน้มคอเสื้อของคาร์บิลัสลงมาแนบริมฝีปากบนอีกฝ่าย แต่พอจะผละออกกลับถูกคาร์บิลัสรั้งเอวไว้พร้อมกดหัวไม่ให้หนีไปไหน
   
ไอ้ปีศาจเวร
   
ฟาร์คัสสบถในใจเมื่อถูกรุกล้ำเข้ามาในริมฝีปาก ฟาร์คัสเข่าอ่อนไม่รู้ตัว หน้าแดงก่ำ
   
เมื่อทำจนพอใจคาร์บิลัสก็ผละออกมา ยิ้มอย่างพอใจ เมื่อทำอีกาจองหองหมดท่า
   
ซึ่งถ้ากลับมาปกติเมื่อไหร่
   
ข้าไม่รอดแน่ๆ
   
คาร์บิลัสลอบกลืนน้ำลายเอือก ยิ้มตอบสายตาที่จ้องมาอย่างกินเลือกกินเนื้อ “ เจ้าจะนอนนี่ ? งั้นเดี๋ยวข้าไปส่งที่เตียงแล้วกัน ”
   
“ เออ ! ” กระแทกเสียงตอบ
   
คาร์บิลัสประคองฟาร์คัสไปนอนที่เตียง
   
เอาเถอะพอมาคิดๆ ดูแล้ว รางวัลที่ข้าได้รอบนี้ก็ไม่เลว..
   
ครั้งหน้าข้าจะเป็นคนเสนอรางวัลให้เจ้าบ้างแล้วกัน
   
ฟาร์คัส
   
   

“ เฮ้ย ! นั่นข้าตาฝาดหรือเปล่า ! ”
   
เสียงตะโกนดังลั่นมาจากปากน้องชายแท้ๆ ของลุกซ์ ร่างสูงมีลูกมังกรไฟเกาะอยู่บนหัว ผมถูกตัดสั้นไถจนเกือบเกรียนเพราะเจ้าตัวไม่ชอบอากาศร้อน ซึ่งตอนนี้ก็วิ่งถลาเข้าไปโถมกอดพี่ชายของตัวเอง
   
“ อะไรนะ ! ลุกซ์ เจ้าจิ้งจกที่หายตัวไปเป็นชาติงั้นเหรอ ”
   
“ พูดเป็นเล่น ข้านึกว่ามันตายไปแล้วซะอีก ”
   
เสียงตะโกนบอกกันดังลั่น
   
เพราะลุกซ์หายตัวไปนานมากจนทุกคนคิดว่าตายไปแล้วไม่ก็เที่ยวเล่นจนหายหัวไปไม่ยอมกลับบ้าน ตอนนี้กลางหมู่บ้านที่ลุกซ์ยืนอยู่เลยออไปทั้งมังกรไฟในร่างมังกรสลับกับร่างมนุษย์ล้อมกรอบแน่น
   
ลุกซ์เป็นลูกชายคนโตของหัวหน้าหมู่บ้านจึงเป็นที่รู้จักและเป็นที่รักของคน เนื่องด้วยหลายๆ อย่าง พวกนิสัยใจดีมีน้ำใจชอบแซวนู่นนี่นั่นไปทั่วเป็นที่เอ็นดูไม่น้อย
   
ลุกซ์หัวเราะเสียงดังลั่นตบหลังน้องชายตัวเองดังปั่กๆ “ ไม่เบานี่หว่า ข้าไม่อยู่แปปเดียวเจ้ามีทั้งลูกทั้งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านไปแล้ว ”
   
นัยน์ตาสีเพลิงเช่นเดียวกับลุกซ์ทอประกายความไม่สบอารมณ์
   
“ เพราะพี่นั่นแหละ ไม่ยอมกลับมาสักที ท่านพ่อเลยจับข้าเป็นแทนเนี่ย ”
   
ลุกซ์ยิ้มกว้าง “ ดีสิ เพราะพี่ไม่ได้อยากเป็น ฮ่าๆ ”
   
น้องชายเซ็งได้ไม่นานก็หัวเราะตาม ความยินดีที่พี่ชายของตัวเองกลับมานั่นมีมากกว่าความไม่สบอารมณ์
   
เสียงจอแจเสียงดังถามไถ่ถึงเหตุผลที่หายไปสุขภาพความเป็นอยู่ แต่ยังไม่ได้ลามถึงบุคคลข้างๆ ที่ยืนอมยิ้ม สายตาอยากรู้อยากเห็นจดจ้องแต่ไม่กล้าเอ่ยถึง เพราะบางอย่างที่ดูสูงค่าจนเกินเอื้อม ลุกซ์ไล่ตอบทีละคำถามอย่างใจเย็นพูดติดตลกในบางคำตอบ เหลือบมองเอลล์ส่งยิ้มให้เป็นพักๆ
   
มาเป็นครอบครัวเดียวกันนะเอลล์..
   
ลุกซ์บอกกับเอลล์เช่นนั้นก่อนที่จะถึงบ้านเกิดตัวเอง
   
ก่อนที่กลายเป็นความเงียบงัน เมื่อร่างชราสองร่างก้าวเข้ามา เค้าโครงหน้าที่เหมือนกับลุกซ์เกือบสามในสี่ส่วนมาพร้อมรอยยิ้ม    “ ยินดีต้อนรับกลับมา ลุกซ์ ”
   
ลุกซ์ยิ้มกว้าง “ ครับ ท่านพ่อ ”
   
ผู้เป็นฝ่ายถามยิ้มตอบและถามคำถามในใจทุกคนในบริเวณนี้ออกมา “ แล้วนี่ล่ะ ? ใครกัน ”
   
เอลล์สะดุ้งพยายามยิ้มให้อย่างประหม่า
   
ลุกซ์ที่รู้ตัวดีว่าต้องโดนถามแน่ๆ และมั่นใจว่าตัวเองจะตอบได้ฉะฉาน แต่พอตอบออกไปจริงๆ .. “ อะ เอลล์ น่ะ เขาเป็นเอ่อ... ” พูดไปหูแดงไป เพราะลุกซ์ไม่เคยมีแฟนมาก่อนสักครั้งตอนที่อยู่หมู่บ้าน เรียกได้ว่าเอลล์คือแฟนคนแรกเลยทีเดียว
   
“ พอเถอะ ข้าว่าข้ารู้แล้วล่ะ ” แม่ลุกซ์หัวเราะหุๆ นึกเอ็นดูในตัวเอลล์ที่ดูเรียบร้อยดี “ ว่าแต่  เอลล์ เนี่ยใช่ที่เป็นราชาภูตหรือเปล่าจ๊ะ ลุกซ์ ”  ซึ่งคำถามนี้ก็ลองถามเล่นๆ ดูเท่านั้น เพราะมองจากพลังอำนาจบางอย่างในตัวก็ชวนให้ขบคิดไม่น้อย
   
ลุกซ์พยักหน้าหงึกหงัก
   
ส่วนมังกรไฟที่เหลือก็สะดุ้งโหยงกับแถบ
   
เพราะรู้ดีว่าราชาภูตนั่นเก็บตัวอยู่แต่ในปราสาทเย็นชากับดินแดนอื่นมากๆ
   
อย่างที่รู้
   
หมู่บ้านมังกรไฟอยู่นอกเมือง ไอ้ข่าวนี้ก็ตั้งแต่รุ่นเมเออร์ด้วยซ้ำ เป็นหมู่บ้านที่รับรู้ข่าวสารช้าที่สุด
   
“ ฮะ นี่พี่หายไปแปปเดียว พี่เอาราชาภูตกลับด้วยเลยเหรอ !  ” เป็นน้องชายของลุกซ์ที่ได้สติคนแรกตะโกนดังลั่น

“ แล้วทหารภูตจะตามมาแดนปีศาจไหมเนี่ย แต่ท่านคาร์บิลัสแข็งแกร่งมากคงไล่กลับไปได้ ”

“ ขโมยอะไรไม่ขโมย ขโมยราชาภูตกลับมาเนี่ยนะ ลูกข้านี่มีสมองเหมือนมีก้อนหินในหัวเลย ”

“ แย่แล้วๆ ลุกซ์ขโมยราชาภูตมา ! ”

เอลล์หลุดหัวเราะออกมาจริงจัง เสียงหัวเราะดังผะแผ่ว

เสียงอึกทึกถึงค่อยๆ สงบลง

“ ข้ามากับลุกซ์เอง ” เอลล์ยิ้มน้อยๆ “ ข้าไม่ได้ถูกลักพาตัวมา ข้าเป็นคนรักของลุกซ์ ” เป็นเอลล์แทนที่เป็นคนพูดออกมา ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งกษัตริย์มานานเลยพอกดความประหม่าของตัวเองให้จมหายไป

เสียงฮิ้วดังลั่นหลังจากจบประโยคของเอลล์

ถ้อยคำล้อเลียนลุกซ์เหมือนคำต้อนรับกลายๆ

เอลล์ถูกต้อนรับให้มาอยู่ด้วยทันทีในฐานะที่เป็นคนรักของลุกซ์ ได้อยู่ในบ้านหลังย่อมท้ายหมู่บ้านที่ถูกสร้างไว้นานแล้วเป็นของขวัญที่น้องชายลุกซ์สร้างไว้รอพี่ชายของตัวเองกลับมาอยู่ มีสวนดอกไม้เล็กๆ ขึ้นเป็นสีสันสดใส

ถือว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเอลล์

ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเหมือนตอนเป็นกษัตริย์

กระทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ

พร้อมกับมังกรไฟของตัวเอง


“ เฮ้ เจ้าโซแวน ! ไหนขนมข้า เจ้าบอกจะซื้อมาให้ข้าไม่ใช่เหรอ ” วารันพูดขณะเคี้ยวหมากฝรั่งดังหงับๆ เป่าลมเข้าไปจนเป็นลูกโป่ง

“ เจ้ากินมันไปหมดแล้ว มันจะเหลือได้ไง ” โซแวนส่งสีหน้าเหม็นเบื่อให้วารัน

วารันขมวดคิ้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้โซแวนเป่าลมจนกระทั่งหมากฝรั่งแตกใส่หน้าโซแวนดังโผละ

โซแวนคิ้วกระตุกพยายามอย่างยิ่งไม่ให้เท้ากระตุกตาม

“ เจ้าได้ข้าแล้วเปลี่ยนไปนี่ ! ฮือๆ ” วารันทรุดตัวลงนั่งกอดเข่า น้ำเสียงสะอึกสะอื้นแต่หารู้ไม่ว่าน้ำตาไม่ได้ออกแม้แต่หยดเดียว

โซแวนรู้จักวารันดีแต่ก็ไม่วายพยายามง้อ “ ข้าไม่ได้ได้เจ้าแล้วเปลี่ยนไปสักหน่อย อีกอย่างข้าไปได้เจ้าตอนไหน วารัน แค่ข้าจูบเจ้ายังไม่ยอมเลย ”

เมื่อแผนไร้สาระของตัวเองไม่สำเร็จวารันจึงเลิกนั่งกอดเข่าไปนอนเล่นบนโซฟาแทน “ ช่วยไม่ได้ เจ้าไม่ยอมทำตามที่ข้าต้องการนี่นา ”

“ ใครมันจะไปทำได้วะ ” โซแวนสบถ เพราะไอ้สิ่งที่วารันต้องการนั้นทำโครตยาก อย่างการซื้อโดนัทชื่อดังของมนุษย์ที่มีแถวต่อยาวเหยียดให้กันทุกวัน ไปขอลายเซ็นคนแต่งหนังสือที่ตายไปเป็นชาติจนเขาต้องลำบากไปหาร่างที่วิญญาณนั้นไปเกิดลักลอบเอาความทรงจำช่วงแต่งหนังสือมาใส่แล้วให้เซนต์ซึ่งถ้าหากทำจริงๆ คงไม่วายถูกจับยัดเข้าต้นไม้บ้านี่เป็นคนที่สองแน่ ยังไม่เพียงเท่านี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ฟังแล้วปวดประสาท จนโซแวนหมดอารมณ์ไปเลยทีเดียว

“ เห็นไหม ! เจ้าไม่ตามใจข้า เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ” วารันพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด พอเห็นสีหน้าถมึงทึงของโซแวนก็หลุดหัวเราะ “ ฮ่าๆ หน้าเจ้านี่มันขำชะมัด อยู่กับเจ้าข้าไม่เคยเบื่อสักที ”

โซแวนถอนหายใจเหนื่อยๆ มาหยุดยืนข้างวารัน

วารันทิ้งหมากฝรั่งลงถังขยะใกล้ๆ อมยิ้มถาม “ มีอะไร ? ” เงยหน้ามองร่างที่ทั้งสูงทั้งหนามายืนบังจนมิด

“ ขอรางวัลให้ขี้ข้าอย่างข้าบ้าง ” โซแวนพูดเสียงเรียบสีหน้าจริงจัง

“ ทำไมข้าต้องให้ล่ะ ” วารันถามกวนๆ เหยียบเท้าโซแวนเบาๆ เชิงยียวน

“ ถ้าไม่ให้ข้าก็จะชิงมันเอง ” โซแวนล็อกคอวารันไว้อย่างดุดัน เหมือนกับสิงห์ที่กำลังจะตะครุบกวางให้เป็นเหยื่อของตัวเอง

“ เฮ้ยๆ ” วารันเริ่มไปไม่ถูกแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน 

ใครจะไปรู้ว่าในหัวของวารันคิดอะไร ?

โซแวนให้นิยามเช่นนั้น

วารันขยับหน้ารับจูบโซแวน

ลึกๆ แล้ววารันก็ต้องการเหมือนกัน

// ข้ามารับข่าวสาร //

เสียงขัดจังหวะดังขึ้นทำเอาทั้งวารันและโซแวนขมวดคิ้ว

โซแวนเลียริมฝีปากนัยน์ตาเต็มไปด้วยความราคะ

เช่นเดียวกับวารัน

โครตจะเซ็ง วารันคิดในใจ แต่หน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่ถ้าเกิดท่านผู้นั้นเกิดจับได้ว่าเขาอู้มีหวังอาจจะถูกทำโทษให้ไปทำอะไรที่น่าเบื่อกว่านี้แน่ๆ

เอาเหอะ ได้คนรับใช้มาคนนึง ข้าก็พอใจแล้วล่ะ


กระต่ายตัวอ้วนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขะมักเขม้นตั้งแต่ปลอบให้หายร้องไห้ยันกล่อมนอน โชคดีที่ที่บ้านของคอร์สมีน้องเยอะมาก เลยมีพื้นฐานการเลี้ยงเด็กมาบ้าง คอร์สยิ้มเมื่อดัฟฟ์กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม

“ ดัฟฟ์รักคอร์สที่สุด ! ” ดัฟฟ์พูดออกมาอย่างร่าเริง

“ อืม ข้าก็รักเจ้าเหมือนกัน ดัฟฟ์ ” คอร์สพูดด้วยความเอ็นดู

“ แต่น้อยกว่านาซัสน้า ดัฟฟ์รักนาซัส ! ”

“ อืม นาซัสก็นาซัส ” ดวงตาสีทับทิมจดจ้องร่างภูตเด็กด้วยความเอ็นดูเช่นเดียวกัน แต่กลับรู้สึกมีบางอย่างที่สะกิดใจมาโดยตลอด ซึ่งเขาก็นึกไม่ออก..

“ นาซัสชอบนอนมาก แก๊ซ ! ตั้งแต่อยู่กับดัฟฟ์ ไม่เคยตื่นเลย ” ดัฟฟ์หัวเราะแหะๆ
คอร์สเบิกตากว้างถลาเข้าไปจับชีพจรของนาซัสอย่างตื่นตระหนกก่อนจะถอนหายใจฟู่

ชีพจรปกติ..

ยังมีชีวิตอยู่

แต่ไร้ซึ่งกลิ่นอายของชีวิต …

คอร์สสะดุ้งโหยงหูตั้งไม่รู้ตัว ปากบ่นพึมพำ “ แย่แล้วๆๆ ”

เพราะนั่นหมายความว่า

วิญญาณของนาซัสไม่ได้อยู่กับร่าง !


------------------------------------------

มาอัพหลังจากหายไปอาทิตย์  :katai5:

ตอนนี้หลายคู่มาก มีคู่ที่ถูกหลงลืมไปนานด้วย 5555555

 :กอด1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์จ้า

# โพลแอบจับคนซุ่มได้ 5555555 :hao7:
   

 


    
   
   
   
 
   

   


   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 31 25 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 25-10-2015 23:45:33
 :really2:


งง แล้ววิญญาณโดนพาไปไหน

แต่ร่างยังมีชีวิตอยู่

แปลกชะมัด

ปอลอ ฟาร์คัสโหดร้ายกะดัฟฟ์มากกกกกกกกเลยค่า แงๆ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 31 25 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 26-10-2015 09:14:26
แล้วหายไปเที่ยวที่ไหนกันล่ะเนี่ยยย 5555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 31 25 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 26-10-2015 12:03:35
อาจจะตกระหว่างทาง  = =
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 31 25 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-10-2015 18:04:25
ดัฟฟฟฟ ไว้ป้าจะซื้อแครอทไปฝากนะ หุหุ
ปล.ตกลงที่กะเตงน้องไปมานี้คิดว่าน้องชอบนอนม๊ากกก มากเฉยๆ หรอลูก
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 31 25 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-10-2015 00:03:29
ไหงงั้นละนี่ นาซัสอยู่ไหน
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 31 25 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 27-10-2015 00:27:20
เห้ยยยยย   นาซัสสส วิญญาณหายไปไหนลูก

ปล.สงสัยมานานแล้ว ทำไมฟาคัส ทำตัวให้หงุดหงิดตลอดเวลาอ่ะ แบบไม่ลำคานตัวเองหลอ เหอะๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 31 25 ต.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 02-11-2015 23:03:38
--------- ตอนที่ 32 ------------
   
กระต่ายตัวอ้วนรีบกระโดดโหยงเหยงไปห้องของราชาปีศาจทันที ด้วยฐานะที่เป็นคนสนิทอีกคนของราชาปีศาจ จึงสามารถผ่านทหารยามเฝ้ารักษาการได้อย่างง่ายดาย
   
เอาล่ะ
   
ข้าจะเคาะล่ะนะ
   
คอร์สเรียกขวัญกำลังใจตัวฟู่ๆ อุ้งมือสีขาวกำแน่นเตรียมจะลงแรงเคาะ
   
“ คาร์บิลัส  ไปทำงาน “
   
” แต่ข้าง่วงแล้วอ่า “
   
“ ... งั้นก็นอนไป ”
   
โครม !!
   
“ ข้าบอกว่าแค่จูบ ไอ้แพะบ้า ”
   
“ ข้ารู้นะ ว่าเจ้าไม่พอ ~ ”
   
คอร์สสะดุ้งหูตั้งไม่รู้ตัว
   
ข้าว่าค่อยพรุ่งนี้แล้วกัน
   
ดูเหมือนว่าท่านคาร์บิลัสคงจะไม่ว่างมาคุยอะไรกับข้าเท่าไหร่
   
ถึงจะเป็นห่วงนาซัส
   
แต่ข้าก็หวงชีวิตกระต่ายของข้านะ

   
ร่างของคาร์บิลัสนอนเลื้อยอยู่บนเตียง ผ้าห่มถูกห่มไว้ลวกๆ ปิดบังร่างกายสมส่วนที่สวมเสื้อผ้าอยู่ไม่กี่ชิ้น ข้างตัวเป็นปีศาจอีกาที่นอนพิงหัวเตียงจ้องกระต่ายกระดิกหูไปมานิ่ง มือที่ถูกซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มกระชับแน่น
   
แก้มของฟาร์คัสขึ้นสีฝาดแต่เจ้าตัวไม่พูดอะไร คงสีหน้าเย็นชา
   
ในใจสบถคำด่าหวังจะระบายความอาย
   
“ เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า เจ้าเด็กภูตนี่ไม่มีวิญญาณ ” คาร์บิลัสเกยคางบนหมอนนิ่ม เปลี่ยนจากการจับมือเป็นการลูบมือแทน สัมผัสเบาเพื่อยั่วเย้า
   
“ ขอรับ ข้าไม่ได้กลิ่นอายวิญญาณเลย แต่ฃีพจรก็ยังคงปกตินะขอรับ ”
   
คาร์บิลัสหลุดยิ้มเมื่อมือที่โดนลูบชักหนี “ แปลว่า เจ้าเด็กภูตนั่น วิญญาณคงไม่ได้อยู่กับตัวสินะ ”
   
“ ขอรับ ท่านคาร์บิลัส ปกติถ้าหากไม่วิญญาณสถิตอยู่ที่ร่างชีพจรจะอ่อนมาก แต่นาซัสกลับเต้นปกติเหมือนคนปกติเลย ”
   
นัยน์ตาสีเทาฉายแววครุ่นคิดสักพัก ความรู้ที่สั่งสมมาต่างพากันถาโถมเข้ามาให้ข้อมูลในเวลาไม่ถึงอึดใจ หลังจากวิเคราะห์ออกมาคาร์บิลัสก็ได้คำตอบ
   
ร่างที่ไร้วิญญาณ
   
แต่ร่างยังปกติ
   
มีเพียงสิ่งเดียวที่อธิบายเหตุการณ์นี้ได้ในหัวคาร์บิลัส
   
“ เจ้าเคยได้ยินเรื่องการถูกตรองจำของจิ้งจอกหรือเปล่า ” คาร์บิลัสแค่นยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงเรื่องนี้
   
สีหน้ายุ่งยากถูกเผยออกมาเมื่อได้ฟัง
   
“ ไม่เคยขอรับ ”
   
คาร์บิลัสเหลือบมองฟาร์คัสที่ส่งสายตาคาดคั้นคำตอบมาก็ยอมเล่าแต่โดยดี ทั้งๆ ที่ตอนปกติถ้าไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เกี่ยวข้องกับคาร์บิลัส คาร์บิลัสไม่มีทางใจดีด้วยอย่างแน่นอน   
   
อย่างการเล่าตำนานก็ไม่ใช่วิสัยปกติของคาร์บิลัสเช่นกัน
   
เอาเถอะ ตำนานนี้คงจะเป็นพวกเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่รู้
   
ตำนานจิ้งจอกขาวผู้ถูกตรองจำในขุมนรก
   
ความผิดของมันคือการเกิดมาดีเกินไป
   
เนื้อตัวขาวบริสุทธิ์ ทำให้มีผู้คนมาแย่งชิง
   
จิตใจที่บริสุทธิ์ ทำให้เทวดาละอายใจต่อการทำหน้าที่จนทิ้งหน้าที่ไปตามๆ กัน
   
นัยน์ตาสีทอง ที่ทำให้ผู้คนหลงใหลจนไม่สามารถทำอะไรต่อได้
   
จิ้งจอกขาวพยายามใช้ชีวิตปกติของมัน
   
เหมือนกับจิ้งจอกตัวอื่น
   
แต่ผลร้ายที่ตามมาเรื่อยๆ
   
ทำให้พระเจ้าตัดสินใจขังมันไว้ในขุมนรกอันแข็งแกร่ง

   
ไม่สามารถมีเผ่าพันธุ์ไหนสามารถทำลายได้
   
นอกจากพระองค์เอาเท่านั้น
   
โลกที่ไร้จิ้งจอกขาวจึงกลับมาปกติสุขอีกครั้ง
   
ทิ้งจิ้งจอกขาวคร่ำครวญอย่างไม่เข้าใจ
   
ทุกค่ำวันและคืน
   
ขนสีขาวกลายเป็นสีดำทมิฬ
   
จิตใจที่บริสุทธิ์บิดเบี้ยว
   
พร้อมจะฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้า
   
พระเจ้าตกใจกับผลที่ตามมา จึงรีบปล่อยจิ้งจอกขาวกลับไปดังเดิม
   
หวังลึกๆ ว่าจะกลับมาเหมือนเดิม
   
เพราะสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดสามารถรังสสรค์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น การปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงเป็นหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่เขามอบชีวิตให้
   
แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันใด
   
ที่ขนสีดำจะกลับมาเป็นขนสีขาวอีกครั้ง
   
จิ้งจอกขาวกลับมาพบกับข่าวคราวที่ทุกคนที่ตนรู้จักตายไปแล้ว
   
คำพูดสั้นๆ เอ่ยออกมา
   
“ ข้าเกลียดเจ้า ”
   
ก่อนเนื้อเรื่องทั้งหมดจะถูกตัดจบ
   
เป็นเพียงตำนานค้างๆ คาๆ หาข้อเท็จจริงไม่ได้
   
ที่คาร์บิลัสอ้างมาใช้ประกอบคำพูด เป็นเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นที่ตรงประเด็น
   
“ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการตรองจำ ? แล้วจิ้งจอกนั่นพูดแค่เกลียดเจ้าเนี่ยนะ ”
   
คาร์บิลัสหัวเราะแห้งๆ “ ก็ท่านแม่ข้าเล่าไว้แค่นี้นี่นา จบแค่อะไรเกลียดๆ เนี่ยแหละ ”
   
คอร์สกระดิกหูไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ
   
“ สรุปคือวิญญาณของนาซัสถูกตรองจำไว้สินะ ”
   
“ ใช่ ฟาร์คัสของข้าเก่งที่สุด ! ” คาร์บิลัสพุ่งตัวเข้าไปโผกอดเอว ซุกหน้ากับเอวอ้อนๆ
   
ช่วงนี้เขารู้สึกว่าฟาร์คัสใจดีขึ้น
   
ถึงจะดูปากร้ายเหมือนเดิม
   
แต่ก็อ่อนโยนขึ้นอยู่ดี
   
ดูสิปกติชอบถีบข้าตอนนี้ก็ปล่อยให้ข้ากอดได้แล้ว
   
ถ้าไม่นับเมื่อวานที่ข้าพยายามทำอะไรต่อนะ
   
“ แล้วจะทำยังไงดีล่ะขอรับ นาซัสจะตายไหม ” คอร์สถามด้วยสีหน้ากังวล
   
“ ไม่ตายหรอก อยู่มาขนาดนี้ได้ก็ต้องอยู่ต่อไปได้นั่นแหละ ” น้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สาอะไรทำให้ฟาร์คัสรู้สึกตะหงิดใจไม่ได้
   
แม่ของนาซัสฝากมาดูแลไม่ใช่เหรอ ?
   
เจ้าก็ควรทำหน้าที่พ่อที่ดีสิ
   
“ เจ้าต้องทำอะไรสิ มันเป็นหน้าที่ของผู้ปกครอง ”
   
“ แค่งานของข้าก็ล้นหัวแล้ว ข้ากระดิกตัวไปไหนไม่ได้หรอก ” คาร์บิลัสหน้าบูด สิ่งที่บอกฟาร์คัสเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เขาหมดวันลาพักร้อนแล้ว
   
เหลือแต่ต้องกลับมาทำงาน ทำงาน ทำงาน
   
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คาร์บิลัสเกลียดที่สุด
   
น่าเบื่อ
   
คอร์สลังเลอยู่สักพัก ชั่งใจถึงสิ่งที่ตัวเองคิด “ ในช่วงที่ท่านนำวิญญาณนาซัส กลับมา ข้าจะช่วยดูงานให้ท่านแทนก็ได้ขอรับ ”
   
ซึ่งงานนี่จะทำให้คอร์สนอนไม่เต็มอิ่มไปเกือบเดือนแน่ๆ
   
วันทั้งวันจมปลักกับเอกสารร้องเรียน ร้องขอ นู่นนี่นั่น รอการอนุมัติจากราชา
   
จะได้เขาเป็นคนประนีประนอมให้เลื่อนออกไปก่อน
   
หรือไม่ก็อนุมัติแทนในบางเรื่องที่ไม่สำคัญ
   
โชคดีที่คอร์สได้รับการไว้วางใจค่อนข้างมากจากคาร์บิลัส
   
เพราะคอร์สเป็นกระต่ายที่ถูกราชาปีศาจองค์เก่ามาชุบเลี้ยงเพื่อรับใช้
   
“ ไป ฟาร์คัส หนีเที่ยวกันเถอะ ฮ่าๆ ” คาร์บิลัสลุกพรวดร่าเริงทันที เสื้อชุดต่างๆ ปรากฏขึ้นมาเต็มยศ คาร์บิลัสแทบจะกระโดดโลดเต้นกระดี้กระด้า
   
ครั้งนี้จะได้ไปเที่ยวแบบไร้ก้างขวางคอกันจริงๆ จังๆ สักที
   
มังกรโง่ฝากไว้กับคอร์ส
   
ฟาร์คัสกลอกตาแต่ก็ยอมร่ายเวทเปลี่ยนชุดตัวเองจากชุดนอนเป็นชุดปกติของตัวเอง
   
“ เบื่อแบบนี้หรือเปล่า แค่เปลี่ยนเป็นแบบชาวปีศาจให้ได้นะ ” คาร์บิลัสอาสายิ้มตาหยี เพราะไอ้ชุดที่เขาเสกให้คงไม่ใช่ชุดรุ่มร่ามแน่นอน
   
น้อยชิ้นสิดี
   
“ ข้าพอใจกับแบบนี้ ” ตัดบทเย็นชา “ เจ้าจะไปไหน ไม่ดูอาการของนาซัสรึไง คอร์สอุตส่าห์ทำงานแทนเจ้าเพื่อให้เจ้าช่วยนาซัสนะ ไม่ใช่ให้เจ้าไปเที่ยวอีกรอบ ”
   
หูล่องหนบนหัวของคาร์บิลัสพลันลู่ลงอย่างน่าสงสาร
   
“ ข้าก็ตั้งใจจะไปอยู่แล้ว.. ”
   
น้ำเสียงเสียใจอย่างสุดซึ้ง
   
ฟาร์คัสถึงยอมผ่อนเสียงดุๆ ลง “ งั้นก็ไปสิ ” แตะมือเข้าที่หัวเบาๆ
   
คาร์บิลัสถึงได้ยิ้มอีกรอบ “  เจ้าอยู่ห้องเดิมหรือเปล่า คอร์ส ”
   
คอร์สสะดุ้งเมื่อบทสนทนาถูกโยนมาถึงตนเอง
   
ระหว่างที่กำลังตั้งใจแทะแครอท ไม่ก้าวก่ายความสัมพันธ์หวานเชื่อมของนายตน
   
“ ขะ ขอรับ อยู่ที่เดิมขอรับ ”
   
“ งั้นก็ดี ! ” คาร์บิลัสดีดนิ้วดังเป้าะตราเวทเคลื่อนย้ายปรากฏในอากาศ คว้าตัวฟาร์คัสมากอดแน่นไม่สนใจสีหน้าเหม็นเบื่อ ก่อนจะหายตัวไป
   
ทิ้งกระต่ายตัวอ้วนเคี้ยวแครอทดังแจ๊บๆ
   
“ อืม... ”
   
คอร์สมองทอดไปไกล
   
นี่ข้าต้องทำงานแทนราชาปีศาจจริงๆ เหรอ

   
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังแว่วในห้อง มังกรดำในร่างมนุษย์หลับสนิทไปเรียบร้อยแล้วอีกทั้งยังน้ำลายยืดผ้าห่มห่มอยู่เพียงข้อเท้าเท่านั้นเนื่องจากการนอนดื้นเกินพิกัด
   
ฟาร์คัสอดมองเฉยๆ ไม่ได้เดินไปกระชับผ้าห่มให้
   
ส่วนคาร์บิลัสกำลังเพ่งสมาธิกับร่างของนาซัส
   
วิญญาณที่ถูกตรองจำ..
   
ตรองจำที่ไหนล่ะ
   
คาร์บิลัสแตะมือบนหน้าผากนาซัส หลับตาสดับฟังเสียงภายในหัวของตัวเอง พยายามคว้าทุกความเป็นไปได้ที่โผล่เข้ามาในหัว ไม่ทิ้งไปแม้แต่อย่างเดียว
   
มาจากดินแดนภูตก็จริงแต่ไม่มีกลิ่นอายภูตในไอวิญญาณจางๆ แม้แต่น้อย
   
แปลว่านี่อาจจะเป็นเพียงร่างรองรับวิญญาณเท่านั้น
   
วิญญาณเจ้าของร่างเดิมตอนนี้อาจจะหายไปแล้วตลอดกาล
   
การตรองจำโดยที่มีร่างรองรับเป็นเหมือนคำสาป
   
ผู้ถูกตรองจำเป็นอมตะ หากจะกลับมาเป็นสามัญก็สามารถทำได้
   
แต่ต้องสังเวยวิญญาณเจ้าของร่างรองรับเมื่อถึงเวลา
   
ยกร่างให้กับผู้ที่เหมาะสม
   
การเลือกร่างที่อาศัยนั้นไม่คงที่
   
มักจะสุ่มไปเรื่อยๆ
   
คล้ายการจับหมากพลู
   
แต่ไม่ว่าร่างไหนหากร่างที่ถูกตรองจำกับมาอาศัย
   
โดนไม่มีข้อแม้
   
ความสูญสิ้นตัวตนจะเข้าคุมคามทันที   
   
ซึ่งดินแดนที่มีชื่อเสียงเรื่องการตรองจำ
   
มีเพียงดินแดนเดียวเท่านั้น
   
“ เราจะไปเที่ยวเผ่ามารกัน ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาสีเทาฉายแววความยุ่งยากใจ ในใจรู้สึกท้อแท้ ไม่อยากไปสักเท่าไหร่
   
ถ้าจะไปเที่ยวเผ่ามารสู้ไปเที่ยวกับคนแคระทั้งวันยังดีกว่าอีก
   
“ ทำไมต้องไปเผ่ามาร ”
   
“ ข้าว่าจะไปสอบถามข้อมูลสักหน่อย ดินแดนนี้ค่อนข้างมีชื่อด้านนี้ ดีไม่ดีอาจจะถูกตรองจำที่นี่ด้วยก็ได้ ”
   
โชคดีที่เวทตรองจำแบบมีร่างมารองรับใช้ยากมาก เปลืองพลังเวท
   
ไม่ค่อยใช้กันแพร่หลาย
   
มีเพียงเผ่ามารใช้ในการทำสิ่งต่างๆ เท่านั้น
   
สามารถตีวงการสืบหาได้อย่างง่ายดาย
   
ไปไม่มีทางเสียเที่ยวอย่างแน่นอน
   
อาจจะได้เบาะแส เงื่อนงำ หรืออะไรบางอย่างที่มีประโยชน์
   
“ อ้อ.. ” ฟาร์คัสตอบ มองผมสีเหลืองอ่อนด้วยความสงสาร
   
ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เล่นอย่างเต็มที่
   
วิญญาณของเจ้าเด็กนี่ก็หายไปซะแล้ว
   
“ ไปกันเถอะ ข้าไม่อยากเสียเวลา ” ฟาร์คัสลากขามาหยุดยืนข้างๆ คาร์บิลัส “ จะเสกมังกรวิญญาณนั่นไหม ถ้าจะเสก ก็เสกเลยแล้วกันเดี๋ยวเจ้าจะลืมเสก กลับมาตำแหน่งราชาถูกแย่ง ”
   
“ ตำแหน่งข้าไม่ได้เปลี่ยนง่ายขนาดนั้นซะหน่อย ” คาร์บิลัสบ่นอุบ “ มังกรผู้ให้คำสัญญาต่อข้าเอ๋ย จงออกมาทำหน้าที่ของเจ้า เฝ้าระวังภัย จับจ้องผู้กระทำผิดทุกฝีก้าว ”
   
ฮื่ออออออออออ
   
เสียงคำรามตอบรับดังลั่น
   
พร้อมกับการสั่นของตึก
   
“ มาอีกแล้ววว ฮืออ ”
   
“ มังกรบ้าเอ้ย ทำไมน่ากลัวขนาดนี้ ”
   
“ อย่า ! ข้าขอโทษ ข้าจะไม่ด่าเจ้าแล้ว มังกรกระดูก”
   
เสียงทั้งสบถทั้งขอโทษขอโพยดังจอแจไปทั่วปราสาทของคาร์บิลัส
   
คาร์บิลัสยืดอก “ เนี่ยแหละ สิ่งที่ข้าทำได้และคนอื่นก็กลัวข้ามากด้วย ”
   
ข้าสงสารพวกลูกน้องของเจ้าชะมัด
   
ฟาร์คัสทำเพียงคิดในใจ
   
“ อืม ”
   
ส่วนคาร์บิลัสตอนนี้ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว นอกจากการร่ายเวทไปดินแดนของมาร ในหัวก็วิตกถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
   
มารคล้ายกับปีศาจ
   
เพียงแต่ว่ามารนั้นจะเน้นไปในทางสายการชักจูงจิตใจให้หลงผิด ความสามารถนี่ค่อนข้างน่ากลัว แต่โชคดีที่เผ่ามารนั้นมีจำนวนอยู่ไม่มากเท่าไหร่
   
แต่ก็ถือว่าอันตรายอยู่ดี
   
คาร์บิลัสเคยมาเที่ยวอยู่ครั้งนึง ตอนวันเกิดของใครสักคนในดินแดนมารที่คาร์บิลัสจำไม่ได้หรือไม่อยากจำชื่อ
   
และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้คาร์บิลัสกังวลตอนนี้
   
เจ้านั่นจะจำข้าได้ไหม ?
   
ระหว่างที่คิดจนปวดหัวก็มาถึงดินแดนมารไม่รู้ตัว แล้วยังถูกดึงจากแนวชายแดนไปในเขตปราสาททันที ราวกับรอคอยคาร์บิลัสมานานแสนนาน
   
“ คาร์บิลัส !! ในที่สุดเจ้าก็กลับมารับรักข้า ! ” เสียงสูงแหลมปรี๊ดดังลั่น วิ่งเข้ามาโถมกอดใส่คาร์บิลัสแน่น 
   
คาร์บิลัสอ้าปากค้าง
   
ไม่นะไม่
   
อย่ามายุ่งกับข้า
   
ฟาร์คัสยิ้มเย็นเยียบ รู้สึกหงุดหงิดบอกไม่ถูก
   
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
   
ภาพหญิงสาวที่หน้าตาสวยที่สุดที่เขาเคยพบกำลังกอดราชาปีศาจแน่น ร้องไห้โฮๆ ปากพร่ำบ่นเกี่ยวกับความรักที่รอคอยมานานและกลับมาอีกครั้ง
   
แล้วยังไม่ยอมโวยวายอีก..
   
แววตาของฟาร์คัสแทบจะเฉือนเนื้อคาร์บิลัสเป็นชิ้นๆ
   
เหงื่อเย็นผุดเต็มหลังคาร์บิลัส
   
คาร์บิลัสไม่กล้าหันไปมองฟาร์คัส
   
เพียงแค่จิตสังหารยังทำให้ข้ากลัวขนาดนี้ ถ้าหันไปจ้องตรงๆ ข้าได้คลายเข่าไปขอขมาฟาร์คัสแน่ ฮือๆ ข้ารักเจ้านะฟาร์คัส รักที่สุดเลย
   
“ ปล่อยข้า ! ข้ามีคนในหัวใจแล้ว ” คาร์บิลัสสลัดตัวไม่กี่ครั้งก็หลุดออกมาได้
   
แต่น้ำตานองหน้าของหญิงสาวก็ทำเอาคาร์บิลัสทำอะไรไม่ถูก
   
สีหน้าเหี้ยมเกรียมของทหารมารจ้องมา
   
ทำเอาคาร์บิลัสไม่รู้จะหันไปพึ่งทางไหนดี
   
ที่สันติที่สุด
   
ข้าไม่ได้กลัวใครหรอกนะ
   
เพียงแค่กลัวว่ามันจะเกิดสงครามแย่งข้าเฉยๆ

----------------------

 :katai5: หายไปนาน


ฟาร์คัสนี่อารมณ์เหมือนคนปากไม่ตรงกับใจค่ะ ปากอย่างใจอย่าง ที่ดูหงิดหงิดเหมือนจะใช้เป็นการกลบเกลื่อนมากกว่า 

:mew3:
   
   
   
   
   

   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 32 2 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 02-11-2015 23:59:50
ฟาร์คัสหึง!!


ขอแบบหึงโหดระดับสิบเลยนะคะ~


แต่สงสารจิ้งจอกมาก พระเจ้าตัดสินใจแย่มากๆที่เอาไปขัง

อยากรู้จะเป็นยังไงต่อแล้ว~
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 32 2 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-11-2015 03:01:50
งานเข้า
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 32 2 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-11-2015 08:00:23
ฟาคัสหึงแรงด้วย หุหุ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 32 2 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 03-11-2015 09:07:25
เหอะๆ งานเข้าชะแล้ว ฆ่าบี้ลัส
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 32 2 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 06-11-2015 10:36:21
เหยยยยยย เค้าอยากเห็นคนปากไม่ตรงกับใจหึงโหดๆอ่ะค่ะ :z1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 32 2 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 06-11-2015 17:35:35
จิ้งจอกหย่อออ  หรือจะเป็นไอตัวนั้นอะ  ชื่อไรนะ ที่งอแงบ่อยๆอะ   :ling2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 33 10 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 10-11-2015 23:22:48
--- ตอนที่ 33 -----
   
หงุดหงิด...
   
ยิ่งเห็นหน้าที่กอดหมับแขนคาร์บิลัสอีกรอบ
   
เผลอกำหมัดแน่นไม่รู้ตัว
   
ฟาร์คัสขบกราม มองคาร์บิลัสตาขวาง นึกอยากเรียกอีกาออกมารุมจิกจนตัวพรุน
   
“ ฟะ ฟาร์คัส เจ้าใจเย็นๆ ” คาร์บิลัสยิ้มประนีประนอม อีกาสุดรักสุดสวาทของตัวเอง
   
ที่หึงข้า ข้าก็ดีใจอยู่หรอกแต่อย่าถึงขนาดฆ่าข้าชดเชยความผิดเลย ฮือๆ
   
“ คาร์บิลัส นี่เจ้าลืมคำขอของข้าแล้วงั้นเหรอ ” พูดเสียงเครือน้ำตานองหน้า ผมสีแดงอ่อนเกือบชมพูคลอเคลียแขนคาร์บิลัส เสิ้อผ้าลูกไม้พุ่มที่หรูหราสมกับฐานะราชินีของดินแดนมารยับยู่ยี่เมื่อถูกคาร์บิลัสสลัดออกหลายๆ ครั้ง
   
โอ๊ย
   
หันไปทางไหน ก็ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงจริงๆเลยให้ตาย
   
คาร์บิลัสยิ้มแห้ง
   
ฝั่งหนึ่งก็ฟาร์คัสที่รัก ฝั่งหนึ่งก็พันธมิตรสำคัญของดินแดนตั้งแต่สมัยอดีตกาล
   
ข้าจะทำยังไงดีเนี่ย
   
เกิดเป็นคาร์บิลัสช่างลำบากจริงๆ
   
“ คำขออะไรกัน คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสถามเสียงเย็น นัยน์ตาสีดำดูเข้มขึ้นจากอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
   
“ มันเป็นความลับระหว่างข้ากับคาร์บิลัส ! เจ้าไม่เกี่ยว ” เจ้าของดินแดนแว้ดใส่ฟาร์คัสทั้งๆ ที่น้ำตายังนองหน้า
   
“ ข้าไม่ได้ถามเจ้า ” ตอบเสียงเรียบ
   
แต่คาร์บิลัสจับความฉุนเฉียวในน้ำเสียงได้
   
ไม่ว่ายังไง ฟาร์คัส ! ก็สำคัญกว่าข้าที่สุด
   
เสียใจด้วยนะ คาเลน
   
คาร์บิลัสสลัดแขนราชินีของดินแดนมารออกอีกรอบโผเข้ากอดฟาร์คัสแน่น ฝังหัวฟาร์คัสให้ซุกกับอกตัวเอง “ ข้ามีคนรักแล้ว คาเลน อีกอย่างข้าไม่ได้รับปากซะหน่อยว่าจะรับปากสัญญาวันเกิดของเจ้าซะหน่อย เจ้ามั่วแล้ว ”
   
คนที่ถูกสลัดถูกย้ำอีกครั้งด้วยคำพูดโหดร้าย ราวกับเป็นธนูล่องหนปักเข้าตามตัวทีละดอก คาเลนน้ำไหลพรากรับผ้าเช็ดหน้าที่คนรับใช้คนสนิทยื่นให้มาซับน้ำตาและผลุดลุกขึ้นด้วยตัวเอง
   
“ ข้าผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ คาร์บิลัส ”
   
ยังคงสะอึกสะอื้น
   
ตั้งหน้าตั้งตารอคาร์บิลัสมานาน หลังจากที่วันเกิดได้ขอให้อีกฝ่ายแต่งงานกับตน แต่คาร์บิลัสตะโกนลั่นว่าไม่แล้วก็หนีกลับดินแดนไปเลย คาเลนเลยตีความไปว่าขอเวลาคิด จนรู้ตัวอีกทีจากเป็นเพียงทายาทของดินแดนจนกลายเป็นราชินีก็ยังคงเฝ้ารอคำตอบจากคาร์บิลัสอยู่ดี
   
แต่ใช่ว่าระหว่างที่รอจะไม่สนใจชายอื่น
   
เปลี่ยนคนคบไปเรื่อยๆ หากใครไม่ถูกใจก็ถูกไล่ออกจากวังถูกสั่งห้ามให้หลับมาทำงานเกี่ยวกับวังอีก
   
ทำให้คาเลนไม่เจ็บปวดเท่าที่ควร
   
แต่ก็ยังคงหน่วงในอกอยู่ดีกับระยะเวลาที่รอคอย
   
“ ปล่อยข้า แพะโง่ ” ฟาร์คัสสบถพยายามดึงตัวเองออก
   
คาร์บิลัสยิ่งกอดแน่นไม่ยอมปล่อย “ ข้าขอโทษนะ คาเลน ที่ไม่ได้รักษาสัญญา หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ ”
   
แต่ดูเหมือนทหารมารผู้รักดินแดนยิ่งชีพจะไม่ยินยอม
   
อาวุธที่ดีที่สุดถูกตีวงล้อมกรอบคาร์บิลัส
   
แม้ว่าจะเป็นถึงอาคันตุกะสำคัญของเจ้าของดินแดน
   
แต่การกระทำอะไรใดๆ ที่ทำให้คาเลนเสียใจ ไม่ได้อยู่ในวิสัยของเหล่าทหารจะรับได้
   
พวกเขามีเพียงไม่มากจึงรักกันยิ่งชีพ ยิ่งองค์ราชินีเทิดทูนราวกับเป็นพระเจ้าคอยบรรดาลรังสรรค์สิ่งต่างๆ ความสามารถในการชักจูงที่เก่งกล้ากว่ารุ่นไหนๆ เป็นที่โด่งดัง เพียงแต่ว่าไม่ค่อยได้ใช้
   
ไม่มีใครรู้ถึงเหตุผล
   
นอกจากเจ้าตัว
   
“ แต่มันก็ไม่เสมอไปหรอกนะ ” คาเลนแสยะยิ้มขับให้สีหน้าที่เหมาะจงดูงดงามกว่าเดิม นิ้วเรียวกรีดยาวไปมา บนอากาศเกิดเป็นร่องรอยคล้ายกับการเอาสีมาขีด
   
“ เจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะ ” คาร์บิลัสยึดตัวฟาร์คัสไว้แน่น
   
มันคือการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งของคาร์บิลัส เพราะถ้าหากฟาร์คัสหลุดออกมาได้มีหวังข้าต้องตายแน่ๆ กว่าจะทำให้อารมณ์หึงสงบลง เลือดในกายข้าคงจะไม่เหลือสักหยด
   
นัยน์ตาสีเทากลอกไปมาสลับระหว่างทหารผู้ภักดีสลับกับเจ้าของดินแดนที่กำลังทำอะไรสักอย่าง
   
คาร์บิลัสไม่ค่อยสันทัดเกี่ยวกับเวทของมารเท่าไหร่ รู้จักและพอใช้เป็นแค่ผิวเผิน อย่างที่รู้เผ่ามารมีคนอยู่จำนวนน้อยย่อมหวงความรู้เป็นธรรมดา ถ่ายทอดกับชาวมารเท่านั้น ส่วนเผ่าอื่นอย่าหวัง
   
ทำไมมันทำให้ข้ารู้สึกเสียวสันหลังชอบกล
   
หนังตาขวาคาร์บิลัสกระตุกถี่
   
“ ข้าบอกว่าให้ปล่อย ! ” ฟาร์คัสตะคอกผลักตัวคาร์บิลัสออกได้สำเร็จ สีหน้ายังไม่เปลี่ยนแปลง การโดนกอดไม่ได้ทำให้ฟาร์คัสอารมณ์เย็นลงแต่อย่างใด
   
คำพูดแดกดัน
   
สายตาที่ส่อถึงความไม่เป็นมิตร
   
ฟาร์คัสจ้องเจ้าของดินแดนที่กำลังส่งยิ้มหวานมาเขม็ง
   
คล้ายกับการประกาศสงครามไร้คำพูด
   
แกร้ง
   
เสียงทหารมารขยับอาวุธพร้อมเพียงกันชี้ไปที่ฟาร์คัส แววตาเย็นชาไร้อารมณ์
   
“ ไหนๆ เจ้าก็กลับมาหาข้าแล้ว ครั้งนี้ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าหลุดมือไปอีกครั้ง ” คาเลนพูดเสียงเบาแต่ทั้งฟาร์คัสและคาร์บิลัสต่างได้ยินกันอย่างชัดเจน  “ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมตกลงกับข้าดีๆ ก็... ” ปรายตามองคาร์บิลัสด้วยกามอารมณ์
   
ฟาร์คัสขยับตัวไปขวางหน้าคาร์บิลัสจ้องตอบเขม็ง
   
“ ชิงตัวมาแล้วกัน ” พูดเสียงเรียบ
   
สิ่งที่แรกที่มีปฏิกิริยากับคำพูดของคาเลนคือภาพวาดบิดเบี้ยวในอากาศ เปลี่ยนสีจากสีขาวเป็นสีแดงก่อนจะกลายเป็นกลุ่มหมอกสีสดพุ่งเข้าไปหาคาร์บิลัส
   
“ เดี๋ยวๆๆ  นี่มันอะไรเนี่ย ” คาร์บิลัสสะดุ้งรีบใช้เวทลมปัดเป่าออกตามสัญชาตญาณ
   
คาเลนหัวเราะคิกคักกับท่าทีตกอกตกใจของคาร์บิลัส “ ตกใจอะไรกัน ก็แค่เวทเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ”
   
ฟาร์คัสยืนนิ่ง
   
ถูกทหารมารล้อมกรอบ
   
ถ้าหากลงมือความสัมพันธ์ระหว่างแดนปีศาจกับแดนมารอาจจะขาดสะบั้น
   
ฟาร์คัสจึงไม่กล้าลงมืออะไร ยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้ถูกดูถูกเล่นๆ
   
คาร์บิลัสยังไม่ลงมือ ข้าก็จะไม่ทำอะไร
   
ฟาร์คัสมองตามคาร์บิลัสที่กำลังกระโดดโหยงเหยงหนีหมอก เหมือนสุนัขทิ่วิ่งหนีเวลาจะโดนจับไปอาบน้ำยังไงยังงั้น ด้วยความอนาถใจ
   
เหลือเค้าความเป็นราชาปีศาจไว้บ้างเถอะ..
   
“ ถ้าข้าโดนหมอกนี่ มันจะเป็นยังไง คาเลน ! ” คาร์บิลัสตะโกนถามขณะที่วิ่งตาเหลือก หมอกบ้าๆ นี่ทั้งพัดทั้งเอาเวทถล่มคืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายไป
   
“ เรื่องอะไรข้าจะบอกล่ะ ” คาเลนแลบลิ้นด้วยท่าทีน่ารัก
   
ฟาร์คัสกำหมัดแน่น
   
“ อย่ามายุ่งกับเขา ”
   
คาร์บิลัสไม่ใช่ของเจ้า !
   
“ ทำไมล่ะ เจ้าไม่ใช่แม่ของข้าสักหน่อย ที่จะมาสั่งข้าได้ อีกา... ” คาเลนแดกดันด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่ในท่อนคำที่เรียกอีกานั้นเย็นเยียบ
   
ใช่ว่าจะไม่รู้ถึงข่าวคราวกับอีกาตรงหน้า
   
ปีศาจอีกาที่ราชาปีศาจนำติดตัวกลับมาด้วยพร้อมกับสถานะใหม่ ที่ไม่ได้ถูกเอ่ยปากออกมาแต่ชาวปีศาจก็รู้กันดีว่าหมายความว่าอย่างไร
   
แต่ข้าเป็นคนเจอคาร์บิลัสก่อน และคาร์บิลัสก็ให้สัญญากับข้าด้วยนะ
   
ถึงข้าจะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากมายที่โดนพูดใส่ว่ามีคนรักแล้ว
   
ซึ่งข้าที่มีฐานะถึงราชินีมารย่อมรู้สึกอยู่เฉยไม่ได้ ความอยากเอาชนะขึ้นครอบงำพร้อมกับความรู้สึกอุ่นฟุ้งในใจพร้อมปรากฏภาพที่คาร์บิลัสเคยทำไว้กับตน
   
ที่คาเลนชอบคาร์บิลัสมากถึงขนาดที่รอมาหลายๆ ปีก็มีที่มาอยู่..
   
ย้อนไปในสมัยตอนงานวันเกิดของคาเลน
   
ตอนนั้นทั้งสองเป็นเพียงเด็กเท่านั้น คาร์บิลัสเป็นเพียงทายาทที่อยู่รั้งท้ายของตระกูล ส่วนคาเลนเป็นทายาทที่มีตำแหน่งอยู่แล้ว
   
ตอนนั้นคาเลนหลงทางอยู่ไปเจอกับคาร์บิลัสที่กำลังเพลิดเพลินกับการไล่ชิมอาหารทุกอย่างในงาน
   
“ เจ้ากินขนาดนั้นเดี๋ยวก็อ้วนหรอก ”
   
คาเลนแหย่หวังจะผูกมิตร
   
“ อย่ามายุ่ง ! ”
   
คาร์บิลัสอารมณ์ไม่ดีเผลอกระชากเสียงใส่ แต่คาร์บิลัสในวัยเด็กนั่นน่ารักเกินกว่าจะทำให้น่ากลัว ไม่ว่าจะแสดงท่าทางยังไงก็ทำให้น่ารัก
   
คาเลนจึงชอบคาร์บิลัสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
   
ไม่แน่ใจเพราะอะไรถึงได้ชอบขนาดที่ว่าขอให้คาร์บิลัสมาแต่งงานด้วย
   
แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
   
คาเลนเฝ้าหวังมาตลอด ว่ามันเป็นเพียงคำพูดตัดบทสนทนาเท่านั้น
   
แต่สิ่งที่มาทำลายความหวังคือการมีตัวตนของอีกาบ้าๆ ตรงหน้า
   
ข้าชอบเขามาก่อนเจ้าด้วยซ้ำ !
   
ฟาร์คัสแค่นเสียงหึ ไม่หวาดหวั่นกับทหารมารยืนล้อมกรอบ “ ใช่ ข้าไม่ใช่แม่เจ้า แต่เขาเป็นของข้า ข้าย่อมจะสั่งให้คนนอกอย่างเจ้าเลิกยุ่งได้อยู่แล้ว ”
   
น้ำเสียงยียวนฉุดให้อารมณ์เจ้าของดินแดนโมโห กลุ่มหมอกสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเพลิงเข้าจู่โจมคาร์บิลัสอย่างรวดเร็ว “ ใช่ ตอนนี้อาจจะเป็นของเจ้า แต่หลังจากนี้เขาจะเป็นของข้า ” แผดเสียงออกมาดังลั่นห้องโถง แสงสว่างในห้องริบหรี่ สิ่งที่พอมีแสงมีเพียงกลุ่มหมอกสีเพลิงที่แตกสะเก็ดออกมาเป็นสะเก็ดไฟจริงๆ
   
สัญชาตญาณของคาร์บิลัสยังคงใช้ได้ดี
   
กระโดดโลดเต้นหนีได้อย่างสบายๆ
   
เพราะฐานะที่เป็นถึงราชาปีศาจ ความสามารถย่อมไม่ใช่ที่หาได้ทั่วไป
   
ในใจของคาร์บิลัสลิงโลด ที่ฟาร์คัสบอกว่าตัวเองเป็นของฟาร์คัส ยิ่งคิดคาร์บิลัสก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ออร่าความร่าเริงผุดขึ้นประปรายรอบตัวทั้งๆ ที่กลุ่มหมอกตอนนี้ได้กลายเป็นลูกไฟยักษ์ลุกไล่อย่างไม่ลดละ
   
ฟาร์คัสมองตามคาร์บิลัสพูดอะไรไม่ออก
   
ทำไมข้าต้องชอบไอ้แพะปัญญาอ่อนนี้ด้วยวะ
   
คาร์บิลัสรู้สึกถึงสายตาของฟาร์คัสจ้องมา ก็โบกไม้โบกมือให้ถ้าหากไม่ได้วิ่งหนีลูกไฟอยู่คงไม่วายส่งจูบให้ฟาร์คัสด้วย
   
ปัญญาอ่อน..
   
ฟาร์คัสคิดแบบนั้นแต่กลับเผลออมยิ้มและกลายเป็นหน้าเหวอ
   
เมื่อไอ้แพะปัญญาอ่อนมันสะดุดขาตัวเองหน้าคว่ำ แล้วลูกไฟก็กระโจนเข้าไปตระครุบทั้งตัว ไม่มีกลิ่นเหม็นไหม้เล็ดลอดออกมา ประกายไฟแตกสะเก็ดออกมาวาบใหญ่สะท้อนความกังวลของฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสทำท่าจะกระโดดเข้าไปหาคาร์บิลัส แต่ก็ถูกกักตัวเอาไว้ ขยับไปไหนไม่ได้ทำได้เพียงถลึงตาใส่คนที่เสกลูกไฟ
   
คาเลนไม่ยี่หระกับท่าทางของฟาร์คัส
   
เฝ้ารอกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยใจที่จดจ่อ
   
พลังเวทย์ที่ข้าเก็บงำมานาน
   
ได้ใช้สักที
   
พูดพลางยิ้มงดงาม
   
ทำเอาทหารภูตตกอกตกใจมองกันตาค้าง ฟาร์คัสรีบใช้โอกาสนี้กระโจนเข้าไปหาคาร์บิลัสที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ลูกไฟยักษ์ได้หายไปแล้วเหลือเพียงความร้อนอุ่นๆ ตามร่างกายของคาร์บิลัส
   
“ คาร์บิลัส ? คาร์บิลัส ” ฟาร์คัสเขย่าตัวราชาปีศาจที่ตัวอ่อนปวกเปียก
   
“ อืมม ” เสียงครางในลำคอดังแผ่วออกมาจากลำคอ พร้อมลืมตาขึ้นมาจ้องฟาร์คัสเขม็งด้วยสายตาเย็นชา
   
ฟาร์คัสสะดุ้งกับสายตาของคาร์บิลัส
   
“ คาร์บิลัส ? ”
   
ครางชื่อออกมา
   
“ ใช่ นั่นชื่อของข้า แล้วเจ้าเป็นใครถึงกล้ามาเรียกข้า ” น้ำเสียงดุสีหน้าไม่มีเค้าความขี้เล่นใดๆ คาร์บิลัสมองมือที่จับแขนตัวเองด้วยสายตาตำหนิ “ ปล่อย ข้าจะกลับไปหาคนรักของข้า ”
   
ฟาร์คัสเผลอปล่อยมือไม่รู้ตัว
   
ทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
   
ล้อข้าเล่นรึเปล่า ? เจ้าแพะโง่เนี่ยนะ จะกล้าพูดแบบนี้กับข้า
   
ล้อเล่นใช่ไหม...
   
เนื้อตัวสั่นเทาไม่รู้ตัวเมื่อคาร์บิลัสเดินออกไป
   
คอแห้งผาก
   
เมื่อหยุดยืนข้างคาเลน แขนหนาที่เคยกอดเขาไว้เต็มแรงเมื่อกี้กอดคาเลนหมับ
   
คาเลนมองมาทางฟาร์คัสแสดงถึงความเหนือกว่าของตัวเองด้วยการเอาหัวซุกเข้ากับตัวคาร์บิลัส
   
และการกระทำนั้นนั่นเอง
   
ที่ทำให้ฟาร์คัสได้สติ
   
ว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไป
   
“ เจ้าทำอะไร คาร์บิลัส ”
   
พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เย็นชา
   
สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้ที่สุดคือสติ ต้องควบคุมมันเอาไว้ให้ได้
   
ไม่เช่นสถานการณ์ของข้าจะต้องตกเป็นรอง
   
และไม่มีทางจะกลับมากุมชัยชนะได้อีก
   
ข้าไม่รู้ว่าคาเลนทำอะไรกับคาร์บิลัส แต่คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับพลังของมารที่ใช้ควบคุมจิตใจ แววตาสีเทาของคาร์บิลัสดูพร่ามัวไม่หมดจดเช่นปกติ
   
ราวกับกำลังต้องมนต์
   
“ ข้าตอบเจ้าแล้วข้าได้อะไรล่ะ อีกา ” คาเลนหัวเราะเยาะด้วยความสะใจ อาการที่พยายามปกปิดความกังวลของฟาร์คัสทำให้คาเลนอารมณ์ดีไม่หยอก
   
หมาจนตรอกที่รอให้สิงโตขย้ำ
   
ต่อให้ออกแรงสู้เพียงใด
   
ก็ไร้ประโยชน์
   
ฟาร์คัสชะงักกับคำถาม
   
ข้าไม่มีอะไรแลกเปลี่ยนสำหรับคำตอบสักนิด
   
นัยน์ตาสีเทาที่จ้องมา ไร้ความทรงจำที่เคยมาทำให้ฟาร์คัสรู้สึกเจ็บ
   
เกิดอะไรขึ้นกับข้ากัน
   
ข้าต้องเข้มแข็งสิ

อย่าปล่อยให้ไอ้ราชินีบ้าบอมาปั่นหัวเอาได้
   
ยังไงแพะติ๊งต๊องนั่นก็ต้องจำข้าได้อยู่แล้ว
   
“ ข้าไม่มี แต่ข้ามีสิทธิ์ที่จะรู้ในฐานะอาคันตุกะที่มากับราชาปีศาจ ”
   
“ ข้ามากับเจ้างั้นเหรอ ? ” ผู้ที่ถูกกล่าวถึงจ้องฟาร์คัสนิ่ง จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำที่สั่นระริก พยายามค้นหาสิ่งที่ซ่อนไว้ภายใน
   
ข้าไม่เห็นอะไรนอกจากความกังวลกับความหึงหวง
   
ข้ามีลูกน้องที่เขลาเช่นนี้ด้วย ?
   
“ ข้าไม่ยักจำได้ว่ามากับเจ้า อีกา ”
   
ตัดบทเย็นชาก่อนจะเผลอกุมหัวตัวเอง
   
อาการแปรปรวนในใจบางอย่างตีตื้นจนยืนแทบไม่อยู่
   
คาเลนประคองตัวคาร์บิลัส “ ก็ได้ข้าบอกเจ้าก็ได้ ในฐานะอาคันตุกะ ” ยิ้มหยัน “ ข้าเพียงแค่ใช้เวทสะกดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ถือว่าเป็นของรับขวัญการมาเยือนดินแดนของคาร์บิลัสแล้วกัน ” ก่อนจะเลียริมฝีปาก “ ไม่สิ มาในฐานะสามีของข้าต่างหาก ”
   
สิ้นคำของคาเลน   
   
เส้นความอดทนของฟาร์คัสขาดผึง
   
กระโจนเข้าใส่คาเลนทันที !!

------------------------------

ตอนนี้ศึกชิงคาร์บิลัส 55555555555 # เบื่อคนฮอตจริงๆ

ตอบเมนต์ ♥

คุณ  BlueCherries : ตอนนี้หึงแรงมาก กระโจนเข้าไปตบ 5555

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : จบงานนี้ไม่รอดแน่...

คุณ  lizzii : คาร์บิลัสหลบภัยด่วน  :katai5:

คุณ yamanaiame : ตายสถานเดียว  :hao7:

คุณ tsubasa_6927 : หึงแรงจนกลัวว่าคาร์บิลัสจะโดนตื้บตายก่อน 555

คุณ Hang : ตัวนั้นชื่อเอสเตอร์ค่ะ แต่ไม่เกี่ยวกัน นางเอสเตอร์เป็นแค่จิ้งจอกหิมะน่ารักๆ ชอบปั้นสโนแมน
   
   

   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 33 10 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-11-2015 23:49:45
ถ้ามนต์คลายเมื่อไหร่คาร์บิลัสตายแน่ 5555

เหมือนเห็นคำผิดสองที่อ่ะ
- ตอนนั้นคาเลนหลง ทอง อยู่
- หากไม่ได้วิ่ง หนู ลูกไฟอยู่
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 33 10 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 13-11-2015 01:29:02
อยู่ๆก็โชว์ปัญหาครอบครัวซะงั้น55555
แต่แหม ตอนนี้ปล่อยให้ฟาร์คัสแย่งชิงกะเค้าไปก่อน
ถอนมนตร์ได้เมื่อไหร่ คาร์บิลัสตายแน่นอน :katai3:

ปล.#ทีมคนปากแข็ง
ปลล. อยากเห็นแพะน้อยโดนกระทืบ ก๊ากกกกกกก
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 33 10 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 15-11-2015 15:37:37
อยากมุดเข้าไปในโทรศัพท์ แล้วกะทืบราชินี = =
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 34 16 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 16-11-2015 21:39:54
-- ตอนที่ 34 ---
   
คาร์บิลัส
   
เจ้าจะยอมให้มารบ้านี่ควบคุมเจ้ารึไง
   
แพะโง่ !
   
เมื่อความสุขุมหายไปทิ้งไว้เพียงความเดือดดาลของปีศาจอีกา ฟาร์คัสบุกรุกไล่เข้าไป อีกาตัวย่อมถูกเสกออกมาฝูงใหญ่ เข้าไล่จิกไล่ทำร้ายทหารมารเพื่อถ่วงเวลาให้กับนายของมัน ฟาร์คัสโถมเข้าไปหาคาเลน
   
แต่กลับถูกคาร์บิลัสขวางทางเอาไว้
   
ดาบสีดำสนิทแผ่กลิ่นอากาศมาคุจ่อที่คอหอยของฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสกัดฟันกรอด
   
“ คาร์บิลัส ถอยออกไป ”
   
นัยน์ตาสีเทากับสีดำจ้องกันอย่างไม่ลดละ
   
เพียงแต่ของฟาร์คัสนั้นเจือทั้งความแข็งกร้าวและกังวล
   
ผิดกับคาร์บิลัสที่มีเพียงความเฉยชา
   
“ ทำไมข้าถึงต้องฟังเจ้าด้วย อีกา ? ”
   
“ เจ้าตอนนี้กำลังถูกคาเลนควบคุมอยู่ เจ้าถอยไปเพราะผู้ติดตามอย่างข้าจะช่วยเจ้าเอง ”
   
คำว่าผู้ติดตามทำให้ฟาร์คัสรู้สึกโหวงในอกไม่น้อย
   
สงสัยข้าจะถูกคาร์บิลัสถือหางมานานจนชินกับตำแหน่งพิเศษล่ะมั้ง
   
คนที่ปกติมักจะเดินตามข้าตอนนี้กลับเป็นข้าซะเองที่ต้องเดินตาม
   
ความรู้สึกนี้แย่ชะมัด
   
คาร์บิลัสขยับยิ้มเย็นลดปลายดาบลงรวบตัวคาเลนมากอด “ ข้าก็คือข้า คาร์บิลัส ราชาปีศาจที่ทุกคนต่างพากันหวาดกลัว ไม่มีอะไรสามารถควบคุมข้าได้นอกจากตัวข้าเองหรอกนะ ” และมองฟาร์คัสเหมือนเป็นเพียงเหลือบไร “ ไม่รู้อะไรที่ดลใจข้า ให้เอาเจ้ามาด้วย ”
   
ฟาร์คัสนิ่งกับคำพูด
   
คล้ายกับการถูกเอาน้ำเย็นๆ สาดเข้าที่หน้า
   
“  ทั้งๆ ที่อ่อนแอแต่ก็แสร้งทำเป็นแข็งแกร่ง ไม่เด็ดขาด ทำเหมือนว่าข้าเป็นเพื่อนเล่น ”
   
มือของฟาร์คัสสั่นเทา
   
อีกาที่กำลังไล่จิกมารหายไปเหลือเพียงขนนกสีดำลอยฟุ้ง
   
“ เป็นเพียงอีกาก็จงอยู่แค่ในรังของเจ้าเถอะ ”
   
“ คาร์บิลัส ! ”
   
ฟาร์คัสตะคอกเสียงดังลั่น พุ่งตัวเข้าไปต่อยหน้าขึ้นสีแดงแสดงถึงความโกรธจัดของเจ้าตัว
   
ทั้งๆ ที่รู้ว่าคาร์บิลัสกำลังถูกควบคุม
   
สิ่งที่แสดงออกมาไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
   
และเป็นโชคร้ายใหญ่หลวงที่มันไปสะกิดต่อมของฟาร์คัสเข้าอย่างจัง
   
หมัดรุนแรงถูกหลบได้ง่ายๆ แล้วยังเตะฟาร์คัสให้ล้มกองบนพื้น เหยียบเข้าที่แผ่นหลังออกแรงขยี้ปลายเท้า หน้าของฟาร์คัสถูกฝังลงบนพื้น
   
พร้อมหยดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่รู้ตัว

   
ห้องคับแคบมืดสนิทไม่มีสิ่งที่ให้แสงสว่างแม้แต่นิดเดียว ลูกกรงร่ายเวททับหากเพียงแค่สัมผัสก็จะถูกทำให้หลับไหลไปทันที พื้นหินขัดสกปรกขาดการทำความสะอาดมานาน สิ่งที่เหล่าใช้เป็นสถานที่ตรองจำอีกาผู้เป็นอาคันตุกะจากดินแดนปีศาจ
   
โดยที่ผู้เป็นนายไม่คัดค้านอะไรแม้แต่นิดเดียว
   
ฟาร์คัสเผลอสบถคำหยาบคายเมื่อตื่นขึ้นมามองอะไรไม่เห็น
   
กา กา กา
   
อีกทั้งยังกลายเป็นอีกาด้วย
   
ในเวลาที่ร่างกายบาดเจ็บหนักฟาร์คัสมักจะกลับเป็นร่างอีกา
   
ร่างอีกาตัวย่อมที่ใหญ่กว่าที่ถูกเรียกมาใช้ลุกขึ้นยืนสองขาพยายามขยับตัว ก็ต้องเผลอร้องกาๆ ด้วยความเจ็บปวด ขนสีดำที่ใช้ปกปิดร่างกายทำได้เพียงแค่ปกปิดรอยฟกช้ำม่วงที่เกิดจากการทำร้ายของราชาปีศาจ
   
ฟาร์คัสจึงนอนแผละลงไปบนพื้นเหมือนเดิม
   
ตอนนี้ทั้งร่างกายและจิตใจไม่สามารถทำงานได้เช่นปกติ
   
ฟาร์คัสหลับตาทบทวนตัวเอง
   
ข้าในตอนนี้ลำพังรักษาตัวเองยังทำไม่ได้ พลังเวทในตัวเหมือนจะใช้ไม่ได้ซะดื้อๆ ที่ใช้ไม่ได้คงจะเป็นเพราะคุกบ้าๆ มืดๆ นี่
   
ข้าจะทำยังไงดี
   
ท่านพ่อ
   
ร่างทั่งร่างสั่นเทา ความหวาดกลัวและสิ้นหวังกัดกินฟาร์คัสช้าๆ

   
ข้ากำลังอยู่ที่ไหนกัน ?
   
หมอกมัวลอยฟุ้งทั่วบริเวณแม้แต่มือของตัวเองยังเห็นได้ไม่ชัดเจน
   
คาร์บิลัสใจลอย รู้สึกสติทำงานไม่เต็มที่
   
ทำไมข้าถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวข้านั่นไม่ใช่ของข้ากัน
   
ครุ่นคิดไปสักพักก็รู้สึกเบื่อจึงนอนใหม่อีกรอบ
   
คงจะไม่มีอะไรหรอกมั้ง ข้าอาจจะกำลังนอนหลับฝันอยู่
   
จะว่าไปข้าคิดถึงฟาร์คัสจัง ~
   
ยิ้มบางแล้วหลับตาลงนอนบนเตียงนุ่มที่ถูกเสียงด้วยเวท

“ คาร์บิลัส ข้ารักเจ้า ”
   
เสียงของคาเลนดังก้องในพื้นที่หมอกมัว
   
ปลุกคาร์บิลัสให้ตื่นขึ้นมางัวเงีย
   
นี่ไม่ใช่เสียงของฟาร์คัสนี่นา
   
ข้าไม่ต้องการความรักของคนอื่นที่ไม่ใช่ฟาร์คัสหรอกนะ !
   
รู้ไว้ด้วย พวกงี่เง่า ความรักของราชาปีศาจล้ำค่ามากกว่าอัญมณีหายากซะอีก
   
“ อืม ข้าก็รักเจ้า ”
   
น้ำเสียงเฉยชาดังตอบ
   
คาร์บิลัสสะดุ้งโหยงตื่นเต็มตา
   
ข้าจะไปรักคาเลนได้ไง ! ในเมื่อข้ามีฟาร์คัสอยู่แล้ว คาร์บิลัสหน้าซีด แย่แน่ๆ ฟาร์คัสต้องฆ่าข้าแน่
   
“ ฉะนั้นท่านช่วยยืนยันความรักของท่านด้วย ”
   
น้ำเสียงยั่วเย้า
   
“ ได้สิ ”
   
คาร์บิลัสตกใจแทบสิ้นสติ นี่มันอะไรวะเนี่ย ทำไมเสียงของข้าถึงได้ตอบรับคำเชิญชวนบ้าๆ นี่ละ
   
ไม่นะ !
   
ข้าไม่ยอม
   
คาร์บิลัสเรียกดาบเวทออกมา ร่ายเวทยาวเหยียดแข่งกับบทสนทนาล่อแหลม
   
“ ที่ห้องของข้าดี ? หรือท่านชอบที่ไหน ”
   
คำพูดของคาเลนทำให้คาร์บิลัสรู้สึกโกรธมาก

ข้ารู้แล้วว่าตัวเองกำลังถูกคาเลนควบคุม
   
ไม่รู้ว่าตัวข้าเผลอทำอะไรไปบ้างแล้ว ไม่แน่ที่ฟาร์คัสไม่โผล่ออกมาขัดจังหวะคงจะถูกจับไปไว้ที่ไหนสักที่
   
อย่าให้เวทของเจ้าหายไป คาเลน
   
นัยน์ตาสีเทาเป็นประกายกร้าวน่าขนลุก
   
ข้าจะตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อ
   
คาร์บิลัสปักดาบเวทลงบนพื้นจนมิดด้าม

ครืนนน
   
สถานที่ที่คาร์บิลัสอยู่นั่นคือจิตใจส่วนลึก ถ้าจะหลบหนีออกไปได้มีแต่ต้องใช้เวทรุนแรงกระชากสติเจ้าของร่าง
   
“ ทำอะไรของเจ้า ! ”
   
คาร์บิลัสตะคอกเมื่อสติกลับมาแจ่มชัด สิ่งที่ตัวเองทำไปเกิดขึ้นเป็นฉากๆ ในหัว
   
ฟาร์คัส..
   
เจ้าอยู่ที่ไหนกัน
   
ข้าขอโทษ
   
คาเลนตกใจเมื่อนัยน์ตาที่เลื่อนลอยกลับมีสติกระจ่างใสแต่ก็ไม่ได้วิตกกังวล
   
“ พักผ่อนเพียงพอแล้วงั้นเหรอ คาร์บิลัส ข้าคิดว่าท่านจะพักผ่อนนานกว่านี้ซะอีก ”
   
“ อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง เจ้าเอาฟาร์คัสไปไว้ไหน ถ้าเจ้าไม่ยอมทำตามในสิ่งที่ข้าต้องการ ” คาร์บิลัสแทบจะคำรามออกมา “ ก็หาตัวราชินีคนใหม่ได้เลย ! ”
   
คาเลนอมยิ้ม
   
“ ท่านจะเอาข้าอยู่กับท่านใช่ไหม ? ข้าดีใจมากเลยล่ะ ”
   
ตัวของคาร์บิลัสสั่นเทา
   
เขาแพะปรากฏบนศีรษะพร้อมกับปีกปีศาจลากยาวบนพื้น
   
นัยน์ตาสีเทาหมุนริ้ว
   
“ ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ! ”
   
เสียงตะคอกทำให้อากาศสั่นสะเทือน
   
คาร์บิลัสไม่ใช่คนใจเย็น
   
แต่ผู้ที่ยังคงสุขุมกว่าคือคาเลน

เสื้อที่เหลืออยู่น้อยชิ้นไม่ได้ทำให้ความมั่นใจในตัวของคาเลยลดลง ปลายนิ้วเกี่ยวสายเสื้ออ้อยอิ่ง “ ทำไมข้าต้องรอโอกาสจากท่านละ คาร์บิลัส ”
   
คาร์บิลัสไม่ตอบพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้อาละวาด
   
“ ว่ากันว่าถ้าหลงมาอยู่ในถิ่นแมว ” คาเลนมองคาร์บิลัสด้วยสายตาหวานเชื่อม “ ต่อให้เป็นราชสีห์ก็รอดออกไปยาก ”
   
คาร์บิลัสกระชากดาบออกมาจากในอากาศ พุ่งเข้าไปหาคาเลนหมายจะฟันตัวเพื่อเป็นคำเตือน
   
แต่จู่ๆ กลับทรุดลงไปกองบนพื้นดังเดิม
   
สติถูกฟาดและดึงด้วยบางสิ่ง
   
“ สวัสดี ท่านคาร์บิลัส ”
   
พร้อมรอยยิ้มแสยะ
   
การปรากฏตัวของสิ่งที่คาร์บิลัสซ่อนลึกไว้ในจิตใจ

   

ฟาร์คัสนอนนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ขยับไปไหน คิดอะไรไม่ออก รู้สึกถึงความตื้อๆ ในอกที่เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออกเหมือนกับมีน้ำท่วมอยู่ข้างใน
   
สิ่งนั่นคงจะเรียกว่าน้ำตา
   
ในตอนนี้ฟาร์คัสเหลือเพียงคาร์บิลัส
   
ดินแดนที่เคยถือกำเนิดก็ไม่สามารถกลับไปได้เมื่อตัดสินใจหันหลังให้
   
ถ้าหากคาร์บิลัสปฏิเสธฟาร์คัส
   
นั่นก็เท่ากับว่าฟาร์คัสจะไร้ที่พึ่งพิงทันที
   
อาจจะต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งในดินแดนที่ไม่รู้จัก เสี่ยงอันตราย ถ้าโชคร้ายก็อาจจะถูกฆ่าได้ง่ายๆ เพราะความหวงถิ่นของแต่ละดินแดน
   
ข้าจะทำยังไงดี
   
ลำพังแค่หนีออกไปข้ายังไม่มีแรงด้วยซ้ำ
   
ฟาร์คัสซุกหัวเข้ากับตัวเอง พยายามดึงความอบอุ่นของร่างกายเผื่อแผ่มันยังหัวใจที่เย็นเฉียบ
   
ตึก ตึก
   
เสียงฝีเท้าก้าวออกไปพร้อมกับการพูดคุยทักทาย
   
ก่อนจะเปลี่ยนผู้เฝ้าประตูเป็นอีกคน
   
ดวงตาที่เริ่มคุ้นชินกับความมืดเห็นทหารมารยืนคุมเชิงอยู่กลายๆ หันหลังให้กับลูกกรงในมือถืออาวุธเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือถ้าหากมีความช่วยเหลือก็จะสกัดกั้นเอาไว้
   
ฟาร์คัสนอนนิ่งดังเดิม
   
รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร
   
ถ้าหากคาร์บิลัสไม่ต้องการข้า
   
ข้าก็คงเป็นเพียงแค่ปีศาจอีกาผู้ถูกตรองจำเท่านั้น
   
หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหยดลงบนพื้น
   
ฟาร์คัสสบถด่าถึงความอ่อนแอของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ห้ามน้ำตาที่ไหลออกมาเพื่อบรรเทาความปวดหนึบในอก ก่อนจะแค่นยิ้มเยาะในโชคชะตาของตัวเอง
   
อีกาผู้โชคร้าย
   
ที่ทำได้แค่นอนรอความตาย
   
ฟาร์คัสหลับตาลง ปล่อยสติเลือนหายไปกับความมืด
   
ถ้าหากข้าฝันดีก็คงจะดี
   
   
“ ฟาร์คัส ”
   
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นในรัตติกาล มือหนาค่อยๆ ประคองตัวอีกาขึ้นมาแนบกับตัวแผ่วเบา ในหัวนึกถึงเจ้าของผมสีเหลืองยุ่งเหยิงซึ่งถ้าหากเขายกขึ้นมาแรงๆ คงไม่วายโดนด่าและงอน
   
อีกาในมือไม่มีทีท่าว่าจะตื่นแต่อย่างใดทำให้ผู้ควบคุมกาลเวลาอย่างโซแวนรู้สึกเซ็ง
   
ไม่ตื่นก็ไม่ตื่น
   
โซแวนย่างเท้าออกจากห้องขังสบายๆ ตัดหน้ายามเฝ้าประตูที่แข็งค้างท่าเดิม ละอองน้ำในอากาศที่หยุดเคลื่อนไหว ประตูห้องขังถูกปิดด้วยเวทของเซอร์เคน มุมห้องมีร่างอีกาที่จำลองเหมือนต้นแบบไม่ผิดเพี้ยนที่ทำขึ้นจากดินผสมฟางปิดทับด้วยเวทง่ายๆ
   
ร่างผู้คุมกาลเวลาเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ชมเมืองมารเพลินๆ ต้นไม้แห้งขนาดยักษ์ถูกประดับประดาไปด้วยไฟเทศกาล ดินแดนมารไม่มีประชากรมากนักเพื่อเศรษฐกิจที่หมุนเวียนจึงยอมเปิดให้ต่างเผ่าเข้ามาอาศัยและสามารถจัดเทศกาลตามดินแดนของตัวเองได้ตามใจชอบแต่ต้องได้รับคำอนุมัติจากองค์ราชินีก่อน ถือว่าเป็นเสน่ห์ไปอีกแบบสำหรับเมืองมารที่มีวัฒนธรรมผสมกัน
   
แต่นักท่องเที่ยวที่มานั้นต้องมีผู้นำเที่ยวเป็นชาวมารที่ไว้ใจได้อย่างน้อยนึงคน เพื่อไม่ให้ถูกล่อลวงเข้าไปกรรโชกทรัพย์เอาง่ายๆ โดยรวมแล้วก็มีทั้งมารที่นิสัยดีและไม่ดีปะปนกันไปเหมือนดินแดนอื่น
   
โซแวนวางร่างของฟาร์คัสไว้ตรงหน้าของร่างที่แต่งกายแปลกประหลาด
   
เสื้อคลุมลากยาวถึงพื้นลายสก็อต
   
หมวกปีกสีเทา
   
ในมือถือแว่นขยาย
   
ซึ่งข้าคุ้นๆ ว่าเหมือนเคยเห็นในเมืองมนุษย์
   
แต่ช่างเถอะ จะอะไรก็ช่าง วารันบอกให้นำมาให้กับท่านผู้นี้ก็ท่านผู้นี้
   
มือหนาขยับไปมาบนร่างของฟาร์คัส ละอองสีทองลอยรอบตัวร่างของอีกา
   
เวทรักษาที่หายสาบสูญ
   
เนื้อฟกช้ำของฟาร์คัสหายเป็นปกติอย่างนาอัศจรรย์
   
“ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ ฟาร์คัส ”
   
พูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด
   
เพราะไม่ได้เป็นคนคิดเอง เพียงแค่รับฝากวารันมาพูดเท่านั้น
   
ถึงแม้ว่ากำลังหลับอยู่ก็เถอะ
   
โซแวนตวัดปลายเคียวเรียกหลุมมิติ มองฟาร์คัสครั้งสุดท้ายเชิงลาก่อนจะถูกกลืนหายไปในอากาศ
   
เวลากลับมาเดินอีกครั้ง
   
“ ฮะ ฮะ ฮ่า ! ข้าคือนักสืบที่สามารถสืบได้แต่สักกะเบือยันเรือรบ ถ้าใครสนใจเรียกใช้บริการข้า ข้าจะยินดีมาก ! ” พูดจบก็หัวเราะฮ่าๆ ต่อ และเปลี่ยนเป็นอุทาน “ เฮ้ย ! อีกา ” รีบกุลีกุจอเข้าไปประคองขึ้นมาอุ้ม
   
ยิ้มอย่างพอใจ
   
“ นักสืบกับอีกาคู่ใจ ! ข้าต้องเป็นนักสืบที่ดังที่สุดในดินแดนมารแน่ !”

-------------

 :katai5:


ตอบเมน์ต ♥

คุณ  lizzii : ขอบคุณสำหรับการแจ้งคำผิดค่า  :man1:

คุณ     tsubasa_6927 : คาร์บิลัสคงไม่โดนกระทืบค่ะ 555555 ต้องไปปลอบใจ

คุณ  Hang : ตอนนี้นางแผลงฤทธิ์กว่าเดิมอีก  :fire:
   

   
   

   
   

   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 34 16 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-11-2015 21:58:26
คาบิลัสทำไมง่อยงี้อ้ะะะะ โกรธ!!!
ทำให้ฟาคัสเจ็บได้ยังไงกัน ถึงจะโดนมนต์ก็เถอะะะ งื้ออออ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 34 16 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 16-11-2015 22:49:16
เงิบ และ เงิบ


ฟาร์คัสไปติดอยู่กับใครล่ะเนี่ย?
(วารันกับโซแวนน่ารักอีกแล้ว)

เอิ่ม.... งวดนี้ไม่กล่าวถึงคาร์บิลัสละกัน~
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 34 16 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 16-11-2015 23:03:34
เกลียดราชินี คาบี้ไร้ประโยชน์มาก = =  ขอเวทแรงๆสักบทให้ราชินี ไม่สิต้องเรียกว่าคำสาป ประมานว่า หากราชินีรักใคร ใครคนนั้นก็จะมาเป็นคนสังหารราชินีเองไรเทือกนั้น ในที่นี้ขอยกหน้าที่ให้คาบี้ แต่ไม่รู้ว่ามันจะตื่นเมื่อไหร่  :katai1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 34 16 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-11-2015 00:57:50
จะยังไงน้ออ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 34 16 พ.ย 58
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 17-11-2015 03:33:44
ทั่นราชาปีศาจผู้เหี้ยมโหด ไร้ประโยชน์มาก ณ จุดนี้
คืิออะรายยยย ปล่อยกาน้อยให้ไปตกในมือหนุ่มอื่นละเห็นม้ายยยยยยยยย รีบๆเบย กระทืบราชินีคาเลนให้ไว (เค้าอยากเห็นเหตุการณ์นองเลือด5555) :katai1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 35 22 พ.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 22-11-2015 00:04:40
ตอนที่ 35
   
“ โฮ่ ! นายท่านตรงนั้นน่ะ สนใจจะสืบชีวิตใครหรือเปล่า !? ข้าขอเสนอช่วยท่าน หรือจะสืบหาสิ่งของที่หายไปก็ได้เหมือนกัน ค่าบริการข้าคิดไม่แพงคิดตามความยากง่ายของงาน ฉะนั้นจ้างข้าเถอะ  ”
   
“ ฮือ ข้าต้องกินข้าวกับเกลืออีกแล้วเหรอ ”
   
“ ทำไมช่วงนี้ไม่มีคนทำของหายเลย ให้ตายสิ เจ้าว่างั้นไหมอีกา ”
   
“ นอนมากไปข้าจะจับเจ้าปิ้งแทนแล้วนะ ! ”
   
“ ตื่นๆๆ ”
   
ร่างอีกาขยับตัวยุกยิกด้วยความรำคาญแต่ก็ยอมลืมตาขึ้นมามองคนที่บังอาจปลุกขึ้นมา
   
มนุษย์ ?
   
ฟาร์คัสส่งเสียงกางงๆ
   
แล้วงงกว่าเดิมเมื่อรู้ตัวเองไม่ได้อยู่ในคุกมืดนั่นแล้วแต่อยู่ในอ้อมกอดมนุษย์ร่างโปร่งคนนึง
   
ทำไมข้าถึงออกมาได้ล่ะ
   
“ ตื่นสักทีนะเจ้าน่ะ ” มนุษย์ลูบหัวอีกาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู แววตามึนงงของมันดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก “ มาช่วยข้าทำมาหากินซะดีๆ ” และเอาอีกามาวางแปะบนไหล่ตัวเอง
   
ฟาร์คัสตกใจแต่ก็พยายามพยุงตัวเกาะบนไหล่เล็บปลายคมจิกเข้าเสื้อแน่น สบมองหน้าด้านข้างที่มีรอยกระประปราย
   
หรือว่ามนุษย์ผู้นี้จะเป็นคนช่วยข้าออกมา
   
เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ราชาปีศาจอย่างคาร์บิลัสยังขัดขืนไม่ได้
   
ต้องเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าทุกอย่าง
   
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏแว่วในความทรงจำฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสชะงักความคิดไปสักพัก
   
วารันสินะ

รู้สึกดีใจที่ยังมีวารันคอยช่วยเหลือ
   
เห็นทีข้าจะต้องหาอะไรฝากไปให้บ้างแล้วสิ
   
ผู้ควบคุมการเวลา..
   
ความรู้สึกอุ่นๆ ฟุ้งในอกฟาร์คัส
   
มนุษย์คนนี้ก็คงไม่วายจะเป็นคนที่ช่วยข้าต่ออีกทอดสินะ
   
รู้สึกอุ่นใจได้ไม่นานก็ตระหนักเว่าราชาปีศาจนั้นได้ถูกคาเลนควบคุม แล้วยังทำร้ายตัวเองอีก
   
ฟาร์คัสตัวสั่นเทิ้ม
   
“ เป็นอะไรอีกา เจ้าดูซึมๆ นะ ” ร่างนักสืบจับชะงักขาที่กำลังก้าวเดิน ลูบหัวอีกาที่เกาะบนไหล่เบาๆ “ ถ้าเจ้าเจ็บคอ เจ้าจะซบข้าไปก่อนก็ได้นะ ข้าไม่รีบ ตอนนี้ยังเช้ามีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะหาลูกค้ามาจ้างข้า ! ” พูดพร้อมควงแว่นขยายในมือเล่นและบ่นพำพำกับตัวเอง ด้วยความคิดที่ว่าอีกาคงไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูด
   
“ อีกามันเจ็บคอได้ด้วยเหรอวะ ? ”
   
“ ช่างมันๆ ตอนนี้ข้าหิวมากเลย หาลูกค้าดีกว่า ”
   
เริ่มต้นการแหกปากเรียกลูกค้าอีกรอบ
   
อีการ่างย่อมตอบรับคำเชิญของนักสืบด้วยการซุกตัวอยู่กับคอเสื้อ พยายามหาที่พึ่งให้กับตัวเอง ความมั่นใจหยิ่งผยองถูกกำลังสั่นคลอน
   
ราชาปีศาจมีอิทธิพลกับฟาร์คัสมากกว่าที่ฟาร์คัสคิด
   
โดยที่แม้แต่เจ้าตัวยังไม่รู้
   
คอเสื้อปกแข็งกลิ่นคลุ้งถึงความเก่าและสกปรกทำเอาฟาร์คัสชะงักอารมณ์เศร้าหมองของตัวเอง กลับมายืนมั่นคงดังเดิม กลิ่นตุๆ ที่โชยออกมาทำให้รู้สึกคลื่นเหียนมากกว่าเศร้า
   
ฟาร์คัสจับจ้องการกระทำของมนุษย์ที่ได้ช่วยตนเองไว้ ส่งเสียงเรียกความสนใจอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ราวกับกำลังเล่นสนุกอะไรบางอย่างที่ดูจะเกินเลยไปสักหน่อย จนแม้แต่อาหารดีๆ สักมื้อยังไม่มีอากาสได้กิน
   
เสียงบ่นคร่ำครวญบอกทุกอย่างถึงสถานะของเจ้านักสืบบ้าๆ นี่
   
ให้ตาย
   
งี่เง่าชะมัด แทนที่จะทำตัวเคร่งขรึมให้ดูน่าเชื่อถือ แต่การกระทำเหมือนเด็กเล่นขายของแบบนี้ใครมันจะไปจ้างเจ้าล่ะ
   
ไม่รู้ทำไมเจ้านักสืบนี่ทำให้ข้านึกถึงบางคน
   
โง่เง่า ไร้สาระ บ้าบอ
   
ฟาร์คัสสะบักไล่ความคิดของตัวเองออกไป เหยียดปีกออกสุดความยาวเพื่อคลายความขี้เกียจ ไซร้ขนนิดหน่อยให้ดูเป็นอีกาน่าเกรงขามไม่ใช่ ไก่บ้านสักตัวออกมาบินตีปีกพั่บๆ
   
ข้าไม่ได้คืนร่างอีกานานขนาดไหนแล้วนะ
   
นัยน์ตาสีดำสะท้อนประกายสว่างจ้าของดวงอาทิตย์ ท้องฟ้าสีแดงก่ำเมฆลอยเต็มท้องฟ้าคอยบดบังความร้อน ก่อนจะตีปีกขึ้นสูงไปบนท้องฟ้า
   
สูดหายใจลึก
   
คิดถึงการขับขานในสายเลือดดั้งเดิมของตัวเอง
   
แล้วต้องชะงักไป
   
เพราะไอ้ปกติที่ขับขานนั้นคือการแจ้งเตือนความตาย หากขับขานชาวมารอาจจะเข้าใจว่าข้านำพาความชั่วร้ายมาให้
   
ฟาร์คัสจึงทำเพียงแค่ตีปีกไปบนท้องฟ้า ร่ายเวทที่มีความอลังการและสวยๆ สักบทแทน  ฟารคัสร้องกาออกมาเบาๆ เป็นอันจบการร่ายเวท บนตัวของฟาร์คัสกรุ่นไปด้วยสีดำทมิฬ ไม่ว่าจะตีปีกบินไปทางใดก็ทิ้งลวดลายแปลกประหลาดไว้บนอากาศ ผ่านไปชั่วครู่ลวดลายประหลาดก็กลายเป็นมังกรเล็กจิ๋วร้องแก๊ซๆ บินตามฟาร์คัสเป็นฝูงใหญ่ เรียกความตื่นตาตื่นใจจากฝูงชนด้านล่าง ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ต่างพากันหยุดเดินจับจ้องการกระทำของอีกา
   
ไม่เพียงผู้คนที่ตื่นตาตื่นใจ
   
แม้แต่คนที่ตั้งตนเป็นคู่ใจกับอีกาก็ตกใจเหมือนกัน
   
ฟาร์คัสค่อยๆ ร่อนลงมาเกาะที่ไหล่ของนักสืบเช่นเดียวกับมังกรที่ลงมาเหยียบกระโดดโหยงเหยงพื้นที่ด้านข้างทีละตัว ซึ่งเมื่อแต่ละตัวเข้าใกล้กันก็ถูกรวมเป็นตัวเดียวกันและค่อยๆ ตัวใหญ่ขึ้นจนเป็นขนาดยักษ์
   
มังกรที่เปลี่ยนไปจากจิ๋วไปยักษ์ส่งเสียมฮึมฮำในลำคอและค้อมหัวลงเชิงลาผู้ชมทั้งหลายก่อนจะค่อยๆหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
   
บนพื้นที่ทางเดินเงียบกริบ ไม่มีเสียงลมหายใจ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเมื่อครู่เป็นสิ่งเหลือเชื่อ เมื่อทุกคนกลับมาได้สติเสียงตอบรับกลับมาเป็นเสียงโห่ฮิ้ว
   
ตรงหน้าของนักสืบปรากฏเหมวกใบโตสีดำสนิท
   
เงินหลายสกุลจำนวนมากถูกโยนมาใส่หมวกจนเต็มและล้นออกมา สีทองสีเงินอำพันต่างๆ เป็นประกายวายวับเมื่อถูกแสงแดดต้อง
   
“ เจ้ามีชื่ออะไรน่ะ การแสดงของเจ้า ถ้าหากนำไปแสดงต่อหน้ากษัตริย์ของข้า ท่านต้องชอบแน่ๆ ” ร่างชราโผล่พรวดออกมาจากวง
   
“ จริงด้วย เจ้าชื่ออะไรน่ะ ”
   
หลายคำถามจู่โจมร่างนักสืบจนพรุนไปทั้งตัว
   
อะไรกัน ?
   
ข้าอยากเป็นนักสืบนะ
   
ไม่ใช่พวกการแสดงเปิดหมวกสักหน่อย !
   
“ ชาร์เลส ข้าชื่อ ชาร์เลส พวกเจ้าอยากรู้เรื่องอะไรอีกไหม ข้าสืบให้พวกเจ้าได้นะ ”
   
“ ไม่ล่ะ ข้าสนใจแค่การแสดงของเจ้า ”
   
“ ถ้ามีครั้งหน้าเจ้าช่วยประกาศที่กระดานด้วย ข้าจะมาดูอีก ”
   
คำตอบที่ได้รับทำเอาร่างนักสืบอยากทรุดลงไปนอนบนพื้นด้วยความเจ็บปวด
   
สักพักใหญ่ๆ ฝูงชนจึงเริ่มซาและหายไปจนหมด
   
ฟาร์คัสบินถลาลาจากไหล่มาเกาะบนหมวกที่เต็มไปด้วยเงิน
   
“ หรือว่าข้าควรจะเลิกเป็นนักสืบมาเปิดหมวกจริงๆ เนี่ย ฮือๆ ” ชาร์เลสคร่ำครวญแต่มือไม่ได้หยุดกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าสะพายแม้แต่วินาทีเดียว
   
ลาขาดล่ะ เกลือคลุกข้าว
   
ฟาร์คัสหัวเราะหึเบาๆ ก่อนจะร่ายเวทกลับมาเป็นร่างมนุษย์ดังเดิม
   
ทำเอาชาร์เลสตกใจจนเผลอปล่อยเหรียญร่วงกราวดังกรุ๊งกริ๊ง
   
“ เจ้าอีกา ! กลายเป็นคนได้งั้นเรอะ ! ”
   
ชี้หน้าฟาร์คัสด้วยมือสั่นๆ
   
ฟาร์คัสยิ้มมุมปากตอบ
   
งี่เง่าสิ้นดี
   
“ ข้าขอถือว่าเงินที่ข้าหาได้พวกนี้ ” นัยน์ตาสีดำจดจ้องชาร์เลสเขม็ง “ เป็นค่าจ้างสำหรับการสืบหาแล้วกัน ”
   
ชาร์เลสทิ้งอาการสั่นทุกอย่างไปโดยปริยาย ค้อมตัวรับด้วยท่าทีสง่างาม
   
ในที่สุดลูกค้าที่ห่างหายจากครั้งล่าสุดไปนานก็ปรากฏตัวสักที !
   
“ ได้สิ นายท่าน ”
   
-------------------------------------------------
หวาย ฟาร์คัสมีกิ้ก 555555555555555

# คาร์บิลัสอยู่หนใด
   
   
   
   
   
   

   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 35 22 พ.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-11-2015 00:24:47
มีลูกน้องใหม่ อิอิ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 35 22 พ.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 22-11-2015 00:45:06
ราชินีเคะคืนชีพ



นักสืบกิ๊กก๊อกจะสืบอะไรได้บ้าง~?
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 35 22 พ.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 22-11-2015 04:20:23
หวายย เค้าเจอคนใหม่แล้วอะ 555
#คนเก่าไม่รักดี มีใหม่ได้เว่ย(ไม่เกี่ยว)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 35 22 พ.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-11-2015 09:33:06
เสร็จแน่คาร์บิลัส
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 35 22 พ.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 26-11-2015 22:44:53
โต๊ะไม้เก่าๆ ถูกปูทับด้วยผ้าปูเต็มสีน้ำตาลเข้มเข้ากับบรรยากาศสลัวในร้านอาหาร เสียงตะโกนคุยกันข้ามไปข้ามมาสลับกับเสียงเคี้ยวอาหารหงุบหงับ ดนตรีที่ถูกเปิดดูจะไม่ได้รับความสนใจจากนักชิมทั้งหลาย
   
“ อืมๆ เจ้ากำลังหมายความว่าให้ข้าช่วยตามวิญญาณนาซัสกลับมาสินะ งั่มๆ ”
   
ชาร์เลสพูดไปกินไปด้วยความหิวโหยจานอาหารที่กองจานล้นจานสะอาดเอี่ยมอ่องเนื่องจากการกินที่เก็บทุกเม็ดไม่ให้เหลือแม้แต่คราบ
   
จะว่าความงกของเจ้าตัวก็ไม่ได้
   
เพราะที่ผ่านมาใช้ชีวิตแร้นแค้นมาก
   
ชาร์เลสไม่ได้เป็นนักสืบที่โด่งดัง ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นแค่การแสดงปาหี่ธรรมดาไม่มีอะไร คนที่จ้างวานมักจะเป็นเด็กเล็กๆ ที่ทำของเล่นหาย
   
ฟาร์คัสไม่ได้เอ่ยตำหนิการกินของชาร์เลสที่ดูมากเกินไป แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าชาร์เลสเหมือนดัฟฟ์ชะมัด กินไม่อิ่มสักที ราวกับกระเพาะในท้องรั่ว
   
“ เจ้าสืบได้หรือเปล่าล่ะ ”
   
จุดมุ่งหมายหลักที่มาดินแดนมารคือการช่วยนาซัส
   
ถึงแม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้าก็ต้องทำมันให้สำเร็จ..
   
ฟาร์คัสรู้สึกหน่วงในอกเมื่อนึกถึงราชาปีศาจ
   
แย่ชะมัด
   
“ ได้สิ ได้แน่นอน ” ชาร์เลสรับคำขึงขังกลืนขนมปังชิ้นสุดท้ายและวางช้อนส้อมลงกับจาน
   
“ เจ้าต้องการข้อมูลอะไรอีกไหม ? ข้าจะให้เท่าที่ให้ได้แล้วกัน  ”
   
ฟาร์คัสไม่เคยจ้างวานนักสืบให้สืบหาอะไรสักอย่างมาก่อน
   
พยายามคาดคะเนถึงสิ่งที่นักสืบน่าจะต้องการ
   
ชาร์เลสหยิบหมวกปีกที่วางบนโต๊ะมาสวม ใช้มือปรับให้เอียงเล็กน้อย
   
“ ข้าอยากจะดูร่างของนาซัสนะ แต่มันอาจจะเสียเวลาเกินไปถ้าต้องไปถึงแดนปีศาจ ”
   
ฟาร์คัสเบือนหน้าหนี
   
“ ข้ากลับไม่ได้ ”
   
ชาร์เลสเลิกคิ้วงงๆ แต่ไม่ได้ซักไซ้เพราะคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวของลูกค้า
   
“ ข้ามีวิธีดู แต่ท่านต้องตกลงกับข้าก่อนว่าจะไม่เอาเรื่องข้า ”
   
ร่างนักสืบยิ้มแหยๆ
   
ฟาร์คัสขมวดคิ้วแต่ก็ยังไม่กล้าพยักหน้าให้คำตกลง
   
“ เจ้าจะทำอะไร ? ”
   
“ ข้ารับประกันว่ามันไม่อันตรายหรือคุมคามต่อเจ้าแน่นอน ขอเพียงเจ้ายอม ข้าก็จะได้รีบทำและจบมัน ทุกคนสบายใจ เจ้าได้วิญญาณนาซัสไวขึ้น ข้าได้เงินไงล่ะ ”
   
ร่างปีศาจอีกาส่งเสียงอืออาในลำคอเชิงรับรู้
   
“ ทำอะไรก็ทำ ”
   
กล่าวตัดบทเพราะขึ้เกียจเสียเวลาตามที่ชาร์เลสว่า
   
ชาร์เลสยิ้มมุมปาก ดีดนิ้วเบาๆ ทำให้เกิดมนต์ลวงตาล้อมรอบในอาณาเขตเพื่อป้องกันสายตาผู้ที่นั่งกินอาหารโต๊ะอื่นๆ ที่อาจจะตกใจนิดหน่อย
   
ฟาร์คัสรู้สึกงุนงนเล็กน้อยเมื่อเห็นเวทสีทองจางๆ ครอบตัวทั้งตัวเองและนักสืบเหมือนเปลือกไข่ ก่อนจะเบิกตากว้าง เมื่อคางถูกมือเชิดขึ้นให้รับกับริมฝีปากที่แนบลงมา
   
ลิ้นร้อนที่รุกเข้ามาทำเอาฟาร์คัสสะดุ้งโหยง
   
เวร !!
   
ไอ้นักสืบนี่มันจูบข้า
   
เสียงเพลงปลุกเร้าอารมณ์ดิบดังแว่วในร้านอาหาร เข้ากันดีกับอารมณ์ฟาร์คัสที่เริ่มจะเดือดดาล
   
ข้าขยับไม่ได้ !
   
ฟาร์คัสคิดด้วยความหงุดหงิด
   
ดวงตาพร่ามัวเป็นพักๆ
   
รู้สึกงุนงงเหมือนกับกำลังถูกดึงอะไรในหัวไปโยนเล่น
   
ฟาร์คัสส่งเสียงครางฮือเมื่อถูกลูบท้ายทอยเบาๆ
   
“ เจ้าเก่งมากนะ ฟาร์คัสที่ผ่านเรื่องพวกนั้นมาได้ ”
   
ชาร์เลสเอ่ยชมหลังจากผละมานั่งที่เดิม

เดี๋ยว ?
   
เดี๋ยวก่อน
   
ฟาร์คัสสะบัดหัวพยายามดึงสติที่กระเจิดกระเจิงให้เข้าที่
   
“ อย่าบอกนะว่าเมื่อคือวิธีการสืบของเจ้า !! ”
   
หันไปตะคอกเสียงดังลั่น
   
นัยน์ตาขึ้นสีแดงก่ำเช่นเดียวกับหน้าที่มีเลือดฝาดจางๆ
   
ชาร์เลสพยักหน้าแกนๆ คลายมนต์ที่ร่ายไว้ออก โบกมือให้พนักงานสนใจแล้วชี้แก้วในมือที่บรรจุด้วยไวน์ชั้นเลิศที่พร่องไปมากเชิงว่าเอาอีกแก้ว
   
“ เจ้าเอาด้วยไหม ? ”
   
ฟาร์คัสแค่นเสียงหึตอบจ้องหน้านักสืบเขม็ง
   
ต้องการคำตอบของการจู่โจมเมื่อกี้
   
ชาร์เลสยิ้มซื่อตอบแล้วยักไหล่
   
“ นั่นล่ะ วิธีการสืบของข้า รู้หมดไส้หมดพุงดี แล้วตอนนี้ข้าก็รู้แล้วด้วยว่าจะหาวิญญาณนาซัสยังไง ”
   
ฟาร์คัสหน้าบึ้ง
   
เป็นทางลัดที่เลวร้ายจริงๆ
   
“ ใจเย็นๆ ก่อนสิ อีกา ”
   
ชาร์เลสยื่นขนมกับแกล้มที่ยังเหลืออยู่ไม่กี่ชิ้นให้ฟาร์คัส
   
“ แต่ข้ามีวิธีช่วยราชาปีศาจของเจ้านะ ”
   
ฟาร์คัสชะงักคำสบถในลำคอ
   
“ คาร์บิลัส ? ”
   
ชาร์เลสอมยิ้ม ค้างมือที่ยื่นขนมรูปสี่เหลี่ยมให้
   
ฟาร์คัสยอมหยิบขนมจากมือชาร์เลส
   
การรับขนมมาถือได้ว่าเป็นข้อตกลงได้กลายๆ
   
ฟาร์คัสยอมรับการช่วยเหลือของชาร์เลส
   
แต่ก็อดนึกสงสัยในใจไม่ได้
   
“ เจ้าคือใครกันแน่ ”
   
ร่างนักสืบยักไหล่ ยิ้มมีภูมิ
   
ฟาร์คัสเผลอเกร็งตัว
   
“ ข้าก็เป็นแค่นักสืบที่ใกล้เป็นนักสืบชื่อดังที่มีแต่คนรู้จักไงล่ะ ! ”
   
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกลอกตาแทน
   
งี่เง่าพอๆ กับคาร์บิลัส
   
ให้ตาย

------------

กิ๊กปรากฎตัวแล้วนะคาร์บิลัส ถ้านางรู้นี่คงอกแตกตาย 55555555555

 :man1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ   
   
   
   
   
   
   

   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 35 26 พ.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 26-11-2015 22:50:11
อย่าเพิ่งไป~ มันสั้นเกิน


ค้างงคาาาใจ~


ปอลอ กิ๊กฟาร์คัสเก่งกว่าที่คิด ฮิมเป็นใครหนอ?
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 35 26 พ.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-11-2015 22:51:34
เป็นใครกันแน่เนี่ย ชาเลส
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 35 26 พ.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-11-2015 01:03:10
เอาอีกกกกก
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 35 26 พ.ย 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 29-11-2015 11:06:34
เอาคนนี้เป็นพระเอกได้มุ้ยย คาบี้ไร้ประโยชน์เกินไป 5555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 36 29 พ.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 29-11-2015 22:35:47
ตอนที่ 36
   
คนที่มีฐานะถึงทายาทราชาปีศาจ
   
สมควรที่จะหวาดกลัวอะไร  ?
   
อำนาจที่อาจโดนกบฏฉกไป
   
การถูกฆ่าเพื่อแย่งชิงตำแหน่ง
   
สงครามกลางเมืองในเยาว์วัย
   
พ่อแม่ที่สูญเสียไปโดยไม่รู้ตัว
   
อะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งคาร์บิลัสได้สัมผัสในวัยเด็ก
   
แต่เห็นจะน่ากลัวที่สุด
   
คงจะเป็นขุนนางนำข่าวสารมาแจ้งคาร์บิลัส
   
โดยที่ในมือนั้นถือหัวทั้งสองมาด้วย !!
   
“ ว่าไง คาร์บิลัส ไม่ได้เจอกันนานเชียว ”
   
ร่างสูงใหญ่บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นเต็มไปหมดผมสีแดงก่ำเขากับโค้งคู่ยักษ์
   
คาร์บิลัสสะดุ้ง
   
หายใจติดขัดด้วยความกลัว
   
การที่คาร์บิลัสในวัยเยาว์พยายามฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
   
ถ้าหากไม่พบกับฟาร์คัสก่อน
   
ชีวิตของคาร์บิลัสคงไม่ดำเนินมาถึงตอนนี้
   
จิตใจของคาร์บิลัสแตกเป็นเสี่ยงเมื่อรู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองตายลงด้วยน้ำมือขุนนางที่ไว้ใจ
   
ร่างของราชาปีศาจค่อยๆ หันไปมอง
   
พยายามสู้กับความหวาดกลัวของตัวเอง
   
“ เด็กน้อย อย่าได้เถลไถลไปไกลสิ ”
   
มือหนาที่เต็มไปด้วยเลือดยื่นเข้ามาใกล้คาร์บิลัสหมายจะลูบหัว
   
คาร์บิลัสตวัดดาบขึ้นมาตั้งรับ
   
ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเรียกดาบได้
   
อีกทั้งยังรู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง
   
มือขนาดเล็กลงทุกอย่างดูสูงใหญ่ไปหมด
   
“ บัดซบ !! ”
   
คาร์บิลัสตวาดดังลั่น
   
ตอนนี้ข้ากลายเป็นเด็กไปแล้ว
   
ขนาดร่างกายเท่ากับตอนที่สงครามกำลังเกิดขึ้น
   
“ เจ้าพูดว่าอะไรนะ ? คาร์บิลัส นี่เจ้ากล้าด่าข้างั้นเหรอ ”
   
น้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
   
“ เจ้าตายไปแล้ว ! ดักลาส อย่าได้มายุ่งกับข้าอีก ” คาร์บิลัสพยายามตอกย้ำทั้งร่างตรงหน้าและตัวเอง
   
ทุกอย่างมันจบไปแล้ว
   
ผู้ที่เกลียดชังดักลาสมีมากมาย
   
ความประมาทส่งผลให้ดักลาสตายหลังจากที่ฆ่าพ่อแม่คาร์บิลัสไปได้ไม่นาน
   
“ ข้า ? ข้าเนี่ยนะ ตาย เข้าใจผิดแล้ว คาร์บิลัส ”
   
ดักลาสกระโจนเข้ามาใกล้คาร์บิลัสใช้ดาบขนาดยักษ์จี้คอ
   
“ ตราบใดที่ความหวาดกลัวของเจ้ายังไม่หายไป ข้าก็ยังคงมีชีวิตนิรันดร์ ”
   
คาร์บิลัสใช้มือปัดปลายดาบออกรุนแรงจนมันกระเด็นมันบนพื้น
   
คมแหลมของมันบาดมือคาร์บิลัส
   
แต่คาร์บิลัสไม่สนใจ
   
“ ฉะนั้นวันนี้ก็จะเป็นวันตายของเจ้าแล้วกัน !! ”
   
คาร์บิลัสรู้ดีว่าถ้าหากตัวเองไม่สามารถลบความกลัวในจิตใจออกไปได้
   
มันจะไม่มีทางที่เขาสามารถกลับออกไปควบคุมตัวเองได้อีก
   
คาเลนเลือกที่จะนำสิ่งที่ข้าหวาดกลัวมาใช้ควบคุมข้า
   
นับว่าเป็นการเลือกที่ฉลาด
   
เพียงแต่ว่าถ้าหากข้าสามารถหลุดออกไปได้
   
ชีวิตของนางอาจจะหาไม่ !
   
“ คิดว่าแค่นี้ ข้าจะกลัวเจ้างั้นหรือ เด็กน้อย ” ดักลาสยิ้มแสยะ ในมือถือคทาเวทสีดำสนิท “เวลาที่ผ่านไปยาวนาน ทำให้เจ้ามีความรักโง่ๆ ”
   
“ อย่าได้กล่าวหาความรักของข้าแบบนั้น ” คาร์บิลัสตวาดกร้าว
   
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิมาว่าฟาร์คัสของข้าทั้งนั้น
   
ความรักของข้านั้นเป็นของฟาร์คัส
   
“ โฮ่ แต่ก็ดีไม่น้อย ที่ทำให้เจ้าโตขึ้น ” ดักลาสผิวปากเงยหน้ามองท้องฟ้าขมุกขมัวแล้วยิ้มเย็นเยียบ “ อีกาโง่ๆ ไม่เหมาะสำหรับการโบยบินในท้องฟ้าหรอกนะ ”
   
ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่ดักลาสเป็นจากคทากลายเป็นธนูยักษ์
   
ปล่อยลูกธนูไปยังอีกาที่กำลังบินโฉบไปมา
   
คาร์บิลัสพุ่งตัวเข้าไปสกัดลูกธนู
   
ร่างในวัยเยาว์ของคาร์บิลัสนั้นอ่อนแอ
   
ทำให้ลูกธนูที่สมควรโดนปัดป้องด้วยเวทถูกปักเข้าที่ไหล่
   
หัวของลูกธนูฝังลึกเลือดไหลทะลักออกมา
   
คาร์บิลัสยิ้มที่ยังคงเห็นอีกาโบยบินอยู่บนท้องฟ้า
   
ฟาร์คัส...
   
“ กับอีแค่การสอยอีกาลงมา มันไม่ยากเท่าการเปิดประตูหรอกนะ คาร์บิลัส ”
   
ฉับพลันร่างที่กำลังโบยบินบนท้องฟ้ากลับร่วงลงมาเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยเหวอะ
   
ขนปีกสีดำปลิวว่อน
   
คาร์บิลัสเบิกตากว้างถลาเข้าไปหา
   
เนื้อตัวสั่นเทา
   
ยื่นมือสั่นๆ จะลูบตัวอีกา
   
กลับถูกดักลาสขวางเอาไว้ด้วยปลายดาบ
   
คาร์บิลัสมองตาขวาง คำรามออกมาในลำคอด้วยความฉุนเฉียว
   
มวลพลังมหาศาลกำลังแทรกซึมกลับมาในตัวคาร์บิลัส
   
ความโกรธนั้นสามารถทำลายความกลัว
   
ในช่วงเวลาสั้นๆ
   
อาจจะทำให้คนอ่อนแอกลายเป็นสัตว์ร้ายผู้โหดเหี้ยม
   
ดักลาสเลิกคิ้วคาดไม่ถึง
   
“ แต่ไม่ทันแล้วล่ะ คาริบิลัส ”
   
ตวัดปลายดาบฟันอีกาทันที !
   
กา !!
   
ร่างอีการ้องดังลั่นก่อนที่จะแน่นิ่งไป
   
“ ดักลาส !!! ”
   
คาร์บิลัสตะโกนดังลั่น
   
เสียสติ
   
พุ่งกระโจนเข้าใส่
   
เลือดไหลตามทาง
   
การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างดุเดือด แม้ว่าร่างของราชาปีศาจจะเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ แต่พลังที่ค่อยๆ ฟื้นกลับมาทำให้รุกไล่ดักลาสอย่างไม่ลดละ
   
ถึงคาร์บิลัสจะรู้ว่าเป็นเพียงความทรงจำในหัวของตัวเอง
   
ฟาร์คัสไม่ได้ตายจริงๆ
   
 แต่ก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาที่ไหลเป็นทาง
   
อีกาที่เคยช่วยข้าไว้ถูกขุนนางเลวๆ ฆ่า
   
แม้จะไม่ใช่เรื่องจริง
   
แต่ข้าก็ยอมไม่ได้

---------------------

คาร์บิลัสมาแล้วววว  :katai5:

หลังจากห่างหายไป 1 ตอน 55555

นายคือพระเอกจริงเหรอ กิ๊กคาร์บิลัสโผล่แปปเดียวก็ได้จูบแล้วนะ XD

   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 36 29 พ.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 29-11-2015 22:42:34
อดีตของคาร์บิลัสค่อนข้างเหมือนกับของฟาร์คัสเลย

ทุกราชวงค์นี่จุดจบไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ที่ว่าอีกาเคยช่วยไว้... น่าจะเป็นก่อนเริ่มเรื่องหรือเปล่าคะ?
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 36 29 พ.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 29-11-2015 22:48:11
อดีตของคาร์บิลัสค่อนข้างเหมือนกับของฟาร์คัสเลย

ทุกราชวงค์นี่จุดจบไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ที่ว่าอีกาเคยช่วยไว้... น่าจะเป็นก่อนเริ่มเรื่องหรือเปล่าคะ?

ย้อนไกลมากค่ะ อันนี้ 55555555555555

ตั้งแต่สมัยคาร์บี้ยังเด็กนุ่น
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 36 29 พ.ย 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-11-2015 00:52:08
สู้ๆนะแจ้ะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 36 1 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 01-12-2015 20:19:58
“ เจ้าคิดว่าทหารมารจะเชื่อพวกเราจริงๆ เหรอ ”
   
ฟาร์คัสถามสีหน้าเหม็นเบื่อ ตอนนี้กำลังใส่ชุดแบบเดียวกับชาร์เลสไม่ผิดเพี้ยนเพราะยืมมาใส่ ขนาดตัวที่ต่างกันไม่มากทำให้ฟาร์คัสใส่ได้พอดี
   
“ เชื่อสิ พวกเขาเคยว่าจ้างข้าด้วยนะ ” ชาร์เลยยิ้มประกอบคำพูดยื่นหมวกให้ “ รับไป ถ้าไม่มีหมวกนักสืบก็ไม่ใช่นักสืบหรอกนะ ”
   
ฟาร์คัสยอมรับมาสวม
   
ในใจยังนึกสงสัยอยู่ดี
   
ชาร์เลสเป็นใครกันแน่ ?
   
แต่ในเมื่อเขาไม่ยอมตอบตรงๆ ข้าก็จะไม่ซักไซร้
   
ความลับหากเจ้าตัวไม่อยากบอกก็คงจะเค้นได้ยาก
   
ถึงแม้จะรู้สึกขาดทุนกับการโดนสืบก็เถอะ
   
บัดซบสิ้นดี
   
ฟาร์คัสกับชาร์เลสหลังจากฝากท้องกับร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองมารเสร็จก็กลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้านของชาร์เลสก่อน ส่วนตอนนี้ก็กำลังเดินทอดน่องกันไปยังปราสาทของเมืองมาร
   
ในฐานะของนักสืบส่วนตัวของราชินีมาร
   
ชาร์เลสบอกว่ารู้จักคาเลนเพราะเคยโดนจ้างให้หาของอยู่ครั้งนึง
   
แต่ครั้งล่าสุดที่เจอกันคงจะนานพอตัว
   
ฐานะการกินอยู่ที่แร้นแค้นน่าจะเป็นคำตอบสำหรับเรื่องนี้
   
“ สวัสดีนายท่าน ข้ามาพบองค์ราชินี ” ชาร์เลสถอดหมวกค้อมตัวให้กับทหารเฝ้าประตู
   
ซึ่งทหารมารคนอื่นๆ ก็ลนลานรับการคำนับ
   
เห็นได้ชัดถึงความเคารพและเลื่อมใสในตัวชาร์เลส
   
ฟาร์คัสเดินตัวลีบพยายามไม่ปริปากพูดอะไร
   
กลัวว่าจะถูกจับได้
   
เรื่องแปลกก็คือทหารมารไม่สามารถจับอะไรผิดปกติจากตัวฟาร์คัสได้เลย
   
ฟาร์คัสเหลือบมองร่างสูงที่เดินข้างหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
   
ดูท่าความลับที่ซุกซ่อนไว้ของชาร์เลสอาจจะมากกว่าของข้ากับของคาร์บิลัสรวมกันอีกมั้ง ?
   
ชาร์เลสเดินตรงไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ
   
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังก้องห้องโถงที่ว่างเปล่า
   
ทางพรมแดงยาวมีทหารมารยืนเรียงรายคอยอารักขาผู้เป็นนายจากอาคันตุกะหรือใครต้องการที่จะมาร้องเรียนพูดคุยกับนายเหนือหัวของตน
   
ชาร์เลสหยุดยืนตรงหน้าบัลลังก์ยกสูงของคาเลน
   
“ นายของพวกเจ้าล่ะ ? นางนัดข้ามาที่นี่ ”
   
จากนักสืบกลายเป็นนักต้มตุ๋น ปั้นเรื่องราวสดๆ ร้อนๆ ด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด
   
เงินนี่มันซื้อคนได้จริงๆ
   
ฟาร์คัสอดเหน็บในใจไม่ได้
   
นึกภาวนาไม่ให้มีใครจ้างชาร์เลสมาประทุษร้ายตัวเอง
   
ผู้ที่น่าจะเป็นคนสนิทของคาเลนแสดงสีหน้างุนงงแต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของชาร์เลสก็พยักหน้ารับ ยอมเดินเข้าไปในประตูหลั
งบัลลังก์
   
ฟาร์คัสขยับตัวเข้าไปใกล้ชาร์เลสแอบกระซิบกระซาบ
   
“ ถ้าโดนจับได้ เจ้าจะทำยังไง ”
   
ชาร์เลสพูดยิ้มๆ
   
“ ก็หนีสิ จะอยู่ให้โดนจับรึไง หรือถ้าเจ้าคิดว่าหนีไม่ทันก็สามารถใช้จูบแลกกับค่าการพาเจ้าหนีได้นะ ”
   
สีหน้าของฟาร์คัสมึนตึงทันที
   
นัยน์ตาสีดำเย็นเยียบ
   
ฉายชัดถึงความไม่พอใจ
   
“ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้า อย่าได้เล่นหัวข้า ชาร์เลส ”
   
ชาร์เลสจึงหัวเราะแห้งๆ ตอบ   
   
“ น่า ข้าก็แค่พูดเล่นเอง จริงจังไปได้ ”
   
ฟาร์คัสไม่เสียเวลาปริปากตอบอีก
   
เพราะคนสนิทของคาเลนได้เดินกลับมาแล้ว
   
“ ท่านคาเลนมีความประสงค์ให้วกท่านมาพรุ่งนี้ ตอนนี้ท่านกำลังพักผ่อนกับสวามีอยู่ ”
   
ชาร์เลสหัวเราะฮ่าๆ
   
“ งั้นเหรอ เดี๋ยวข้ามาพรุ่งนี้แล้วกัน ”
   
แต่แผ่นหลังกลับรู้สึกเย็นเฉียบ
   
สัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุจากปีศาจอีกาใกล้ๆ
   
“ ใจเย็นสิ อีกา ข้ามีเวลาให้เจ้าไปแหกอกคาเลนแน่ๆ แต่ช่วยเวลาที่เหมาะสมก่อนได้ไหม ”
   
ฟาร์คัสไม่ตอบ จ้องจนแทบจะทะลุผนัง
   
คาเลน...
   
เป็นครั้งแรกที่โกรธมากถึงขนาดนี้
   
ข้าไม่รู้ว่าจะเรียกอาการนี้ว่าอะไร
   
เพียงแค่นึกถึงคาร์บิลัสที่ร่วมเตียงกับคาเลน ก็ทำให้ข้ารู้สึกอย่าฆ่าทั้งสองฝ่ายแล้ว
   
ทั้งฝ่ายที่บังอาจทำให้คาร์บิลัสควบคุมตัวเองไม่ได้
   
ทั้งคาร์บิลัสที่อ่อนแอไม่เหลือเค้าราชาปีศาจ
   
ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตาม
   
มันทำให้ข้าหงุดหงิดมาก
   
มือเผลอกำแน่น
   
ข้าจะไม่พลาดท่าเป็นครั้งที่สองอีก
   
แค่ครั้งเดียวก็ทำให้ข้ารู้สึกอดสูเกินพอแล้ว
   
“ ลาล่ะทุกท่าน ”
   
ชาร์เลสค้อมหัวรอบทิศด้วยท่าทีน้อมนอบ ยิ้มเจ้าเล่ห์มุมปากโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
   
ในจังหวะที่ทุกคนค้อมตัวให้ความเคารพ ชาร์เลสก็ฉวยโอกาสดึงแขนฟาร์คัสกระโจนเข้าไปยังประตูหลังบัลลังก์ทันที ไม่มีใครรู้สึกถึงการมีตัวตนของอาคันตุกะอีกต่อไป
   
ถูกทำให้ลืมถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
   
ฟาร์คัสเบิกตากว้างแต่ก็ไม่ขืนตัว
   
ชาร์เลสสะเดาะประตูอย่างรวดเร็ว กระแทกเบาๆ ให้เปิดออกแล้วผลักฟาร์คัสเข้าไปก่อน และตามด้วยตัวเอง
   
กริ๊ก
   
ประตูถูกปิดสนิทแนบแน่นพร้อมลงกลอน
   
“ เจ้าไม่ใช่นักสืบ เจ้ามันหัวขโมยชัดๆ ชาร์เลส ”
   
ชาร์เลสไหวไหล่ตอบยิ้มอารมณ์ดี
   
“ นักสืบมากความสามารถมีสเน่ห์จะตาย ”
   
“ จะมีไม่มีก็ช่าง นำทางข้าไปหาคาร์บิลัสเดี๋ยวนี้ ”
   
คำสั่งชัดเจนพร้อมแววตาเร่งเร้า
   
หัวขโมยชี้ไปยังประตูห้องใกล้ๆ ลวดลายการแกะสลักดูประณีตจนแม้แต่เด็กยังรู้ว่าต้องเป็นห้องของผู้ที่มีฐานะสูงส่งเป็นแน่หาใช่สามัญชนธรรมดา
   
ฟาร์คัสกระแทกตัวเปิดประตูทันที
   
สำรวจรอบห้อง ฝีเท้าลงหนักด้วยความโมโห ก่อนจะหยุดฝีเท้าอยู่หน้าเตียงยักษ์
   
บนขมับของฟาร์คัสมีเส้นเลือดปูดโปน
   
คาเลนกำลังนอนอยู่ข้างคาร์บิลัสที่กำลังเปลือยอก
   
“ คาเลน !! ”
   
ฟาร์คัสตะคอก ดาบในมือถูกเรียกมาไม่รู้ตัวจี้เข้าที่ลำคอขาวของราชินีของดินแดน
   
“ คาร์บิลัสเจ้าเสียงดังจัง ” คาเลนบ่นง่วงๆ
   
เมื่อวานยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
   
ทั้งๆ ที่ไม่มีสติควบคุมร่างกาย
   
แต่เหมือนสัญชาตญาณบางอย่างทำงาน
   
เอาแต่ขัดขืนข้าตลอด
   
สิ่งที่พอทำได้คือการนอนข้างๆ
   
“ ฟาร์คัส.. ”
   
เสียงครางดังแผ่วเรียกความสนใจของฟาร์คัส
   
สีหน้าเจ็บปวดทั้งโกรธแค้น
   
ทำให้ฟาร์คัสตัดสินใจไม่ถูก
   
ระหว่างการลงมือแก้แค้นกับการไปช่วยคาร์บิลัสก่อน
   
“ ให้ข้าคุมคาเลนก่อนก็ได้ ”
   
ชาร์เลสยิ้มแย่งดาบในมือฟาร์คัสไปจี้คอคาเลนเอง
   
ฟาร์คัสสบตากับชาร์เลส
   
ไม่ได้พูดอะไรออกมา
   
ไม่มีความลังเลอะไรอีก
   
ฟาร์คัสกอดคาร์บิลัสแน่น
   
“ ตื่นได้แล้ว แพะโง่ ”
   
พร้อมคำเรียกที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับคาร์บิลัส
   
“ ชาร์เลส !! ”
   
เสียงกัดฟันเรียกร่างนักสืบไม่ได้ทำให้ฟาร์คัสหันไปสนใจ
   
ความเจ็บปวดที่ปรากฏบนสีหน้าของคาร์บิลัสสำคัญกว่าอย่างเห็นได้ชัด
   
จากคำเรียกปกติไม่อาจปลุกคาร์บิลัสได้ ฟาร์คัสจึงเปลี่ยนเป็นเขย่าตัวแรงๆ แทน จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถปลุกขึ้นมาได้ ราวกับว่าราชาปีศาจนั้นหลงใหลการนอนจนไม่อยากตื่นขึ้นมาพบใคร
   
“ มีวิธีที่ข้าพอจะปลุกคาร์บิลัสไหม ? ”
   
ฟาร์คัสหันไปปรึกษาชาร์เลส
   
“ มีสิ ” ชาร์เลสพูดยิ้มๆ “ จูบไงล่ะ ”
   
ฟาร์คัสชั่งใจไม่ถึงอึดใจ
   
ก็ตัดสินใจทำตามคำแนะนำ
   
กดริมฝีปากบนริมฝีปากหนา
   
หลับตาพยายามรู้สึกถึงตัวตนของอีกฝ่าย
   
ในชั่วขณะหนึ่ง
   
เหมือนได้ถูกดึงเข้าไปในโลกของคาร์บิลัส


“ ดักลาส !! ”
   
คาร์บิลัสยังคงตะโกนก้องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การลงดาบที่แรงขึ้นทุกทีมาพร้อมกับความเหนื่อยล้า
   
ดักลาสแสยะยิ้มโผล่ผลุบเข้าไปใกล้ร่างอีกาก่อนจะกระทืบซ้ำจนดังกร็อบ
   
เส้นเลือดคาร์บิลัสปูดโปน
   
โมโหที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้
   
ความมุทะลุประทุรุนแรงก่อให้เกิดความพลาดพลั้ง
   
คาร์บิลัสเสียจังหวะการฟัน
   
จนดักลาสสบอากาศใช้ดาบบั่นคอ
   
คาร์บิลัสขบกรามพยายามตั้งดาบขึ้นรับ
   
แต่ก็ไม่อาจทันเวลา
   
เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้กินเวลาเกินกว่าเสี้ยววินาที !
   
เคร๊ง !!
   
ดาบของดักลาสกระเด็นออกไปพร้อมกับหัวที่ขาดตกกระทบกับพื้น
   
ร่างที่ยังคงเหลือค่อยๆ ทรุดลงสิ้นท่า
   
และแน่นิ่งไป
   
คาร์บิลัสมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา
   
เกิดอะไรขึ้น ?
   
คาร์บิลัสครางในลำคอ
   
และเผลอหันไปสบมองกับร่างอีกาที่แหลกละเอียดบนพื้น
   
ฟาร์คัส..
   
คาร์บิลัสเผลอน้ำตาไหลด้วยความหงุดหงิดและเศร้าโศก
   
ผลุ่บ
   
“ เป็นอะไร คาร์บิลัส ”
   
ฟาร์คัสนั่งลงสวมกอดคาร์บิลัสแน่น
   
“ อย่าร้องไห้สิ เจ้าเคยบอกข้าไม่ใช่งั้นเหรอ ”
   
เมื่อรู้ว่าใครเป็นคนกอด คาร์บิลัสก็เผลอกอดตอบแรงด้วยพละเกินร่างกาย
   
“ เบาๆ สิ ”
   
ปีศาจอีกาบ่นแต่ไม่ได้คลายอ้อมกอด
   
“ ฟาร์คัส ”
   
คาร์บิลัสกล่าวเลื่อนลอย
   
ก่อนที่ใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
   
ขอบคุณที่ช่วยข้าอีกครั้งนะ


-------------------

เผลอแปปเดียว เดือนสุดท้ายของปีซะแล้ว   :hao4:   


   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 36 1 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 01-12-2015 20:31:33
 :hao4:

นั่นสิ ตกลงชาร์เลสเป็นใครกันแน่ ? เหมือนทุกอย่างช่างง่ายดายจริงๆ (ตอนหน้าคาร์บิลัสคงโมโหแล้วก็ดีใจเอามากๆเลย ฟาร์คัสจูบตัวเอง และ......โดนคนอื่นจูบ อิอิ  :o8:)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 36 1 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-12-2015 22:33:29
ฟื้นมาๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 36 1 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 01-12-2015 23:18:47
ชิส์ ทำไมยังไม่อยากยกโทษให้  55555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 36 1 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 02-12-2015 21:52:04
คาบี้ไร้ประโยชชชช
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 36 1 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 02-12-2015 22:11:39
คิดถึงดัฟ. อิอิ คาร์บี้ รีบฟื้นสิ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 36 1 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-12-2015 22:34:48
ตอนนี้สนใจชาเลสมากกกกก
ปล่อยให้คาบิลัสอ้อนฟาคัสไปก่อน คึคึ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 37 7 ธ.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-12-2015 10:03:04
ตอนที่ 37
   
ฟาร์คัสผละออกมาเมื่อรู้สึกมือที่เริ่มคืบคลานไปใต้เสื้อ
   
ไอ้แพะเวรนี่มันตื่นแล้ว
   
“ เล่นบ้าอะไรของเจ้า ! ” ฟาร์คัสพูดเสียงดุไม่กล้าลงไม้ลงมืออะไรกับคาร์บิลัส
   
“ ก็ข้าคิดถึงเจ้านี่ ” คาร์บิลัสยิ้มหน้าระรื่นก่อนจะหุบฉับเมื่อเห็นคาเลน “ เจ้าออกไปก่อนฟาร์คัส ข้าขอคุยกับคาเลนเอง ” น้ำเสียงกับแววตาของคาร์บิลัสเย็นเยียบเหมือนกับสัตว์ร้ายที่หลุดจากพันธนาการ
   
ทิฐิของราชาปีศาจนั้นสูงนัก
   
หากไม่ใช่ปีศาจอีกา
   
จงอย่าได้กล้ามาเล่นกับมัน
   
การที่คาเลนเอาความกลัวของคาร์บิลัสมาเล่น
   
ถือได้ว่าเป็นการเหยียบหัวเลยทีเดียว
   
ชาร์เลสยิ้มยอมถอยห่างออกจากคาเลนมายืนข้างฟาร์คัสแทน
   
รอดูเรื่องสนุกที่กำลังเกิดขึ้น
   
“ เจ้ากล้าดียังไงถึงกล้าทำแบบนี้กับข้า !! ” คาร์บิลัสกุมคอคาเลนแน่นเล็บคมเจาะลึกในลำคอ “ ถ้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีตั้งแต่สมัยพ่อแม่ข้า เจ้าอย่าหวังว่าจะได้มีความสุขกับบัลลังก์ราชินีโง่ๆ นี่ ! ”
   
คาร์บิลัสไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นชายหรือหญิง
   
ผิดก็คือผิด
   
ต้องยอมรับการผลที่ตามมาทั้งหมด
   
คาเลนหน้าซีดเผือดเอามือจับมือของคาร์บิลัสพยายามจะดึงออก “ จะ เจ้าเคยสัญญาจะแต่งงานกับข้านะ คาร์บิลัส อย่าทำแบบนี้สิ ”
   
“ ไอ้คำสัญญานั่นไม่ได้อยู่ในหัวข้าตั้งแต่ข้ารู้จักกับฟาร์คัส ”
   
นัยน์ตาของคาเลนเป็นประกายกร้าวเมื่อไดยินชื่อของปีศาจอีกาใกล้ๆ
   
ต้นเหตุที่ทำให้ทุกอย่างพังทลาย
   
“ อย่าจ้องฟาร์คัสของข้าด้วยสายตาแบบนั้น ” คาร์บิลัสตะคอกถ้าสามารถฆ่าคาเลนตอนนี้ได้คงฆ่าไปแล้ว ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโมโห อารมณ์คุกรุ่นยังเต็มอก
   
ฟาร์คัสเห็นท่าทีของคาเลนก็อดสงสารไม่ได้
   
หญิงมากรักผู้โง่เขลา
   
ข้าแทบไม่เห็นความรักที่เจ้าต้องการจะให้กับคาร์บิลัสด้วยซ้ำ
   
มีเพียงความละโมบและความอยากเอาชนะ
   
ร่างปีศาจอีกาเดินไปแตะไหล่ของคาร์บิลัสเชิงให้หยุด
   
“ อย่างน้อยนางก็เป็นถึงราชินีมารนะ คาร์บิลัส ”
   
ฟาร์คัสพยายามพูดไกล่เกลี่ย
   
แม้ว่าตนก็มีเรื่องต้องสะสางเช่นเดียวกัน
   
การโดนกักขังในคุกนั่นไม่ใช่เรื่องตลก
   
น้ำตาที่ข้าเสียไป
   
เจ้าสามารถทดแทนได้งั้นหรือ ?
   
แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้ฟาร์คัสปล่อยวาง
   
ความเคียดแค้นไม่เคยให้ประโยชน์กับใคร
   
ถ้าหากข้าแก้แค้นตอนนี้ไม่นานคาเลนก็ต้องตามมาแก้แค้นข้ากลับ
   
สู้ปล่อยให้มันจบแบบนี้แล้วข้าค่อยไประบายกับคาร์บิลัสก็ยังทัน
   
ส่วนคาร์บิลัสจะไประบายกับใครต่อ
   
ก็แล้วแต่แพะโง่แล้วกัน
   
“ เจ้าจะยอมปล่อยนางไปงั้นเหรอ ” คาร์บิลัสหันกลับมาถามฟาร์คัสด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลต่างจากเมื่อกี้ราวกับฟ้ากับเหว
   
“ อืม ข้าขี้เกียจมีปัญหาเยอะ ”
   
คาร์บิลัสหน้ามุ่ยฉายชัดถึงความไม่พอใจยอมปล่อยมือออกจากคอของคาเลน
   
“ แค่กๆๆๆ ”
   
คาเลนหอบหายใจอย่างตะกละตะกลาม บนลำคอของปรากฏรอยมือแดงก่ำพร้อมเลือดที่หยดซึมไหลเป็นทาง สีหน้าของราชีนีมารในตอนนี้หวาดกลัวราชาปีศาจสุดขั้วหัวใจ
   
ไม่มีความละโมบหลงใหลอะไรเหลืออยู่อีก
   
เพราะเมื่อกี้หากไม่ถูกปีศาจอีกาปรามไว้
   
ลำคออาจจะขาดสะบั้นเมื่อถูกกำแรงๆ
   
“ ไม่พอใจ ? ”
   
ฟาร์คัสถามเสียงเรียบ
   
“ เปล่า ”
   
สีหน้าของคาร์บิลัสยังเหมือนเดิม จ้องคาเลนเขม็งเหมือนกับพยัคฆ์ร้ายที่ยังไม่ได้สนุกกับการฆ่าเหยื่อ
   
“ พอๆ เจ้าไม่ต้องแค้นขนาดนั้น ข้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ”
   
ฟาร์คัสถอนหายใจเดินมาหยุดยืนหน้าราชาปีศาจแล้วชกเข้าที่อก
   
แต่มันก็ไม่ได้ทำคาร์บิลัสสะทกสะท้านแต่อย่างใด
   
คาร์บิลัสเลิกคิ้วเชิงคำถาม อารมณ์ขุ่นมัวจางลงแทนที่ด้วยความสงสัย
   
“ ข้อหาเจ้าเหยียบข้า ”
   
ฟาร์คัสชกเข้าที่อกอีกครั้งด้วยแรงที่มากกว่าเดิมจนคาร์บิลัสรู้สึกจุก
   
“ ข้าหาที่ทำให้ข้าร้องไห้ ”
   
ฟาร์คัสยิ้มมุมปาก
   
กำหมัดแน่นชกเข้าทีอกด้วยแรงที่คิดว่าแรงที่สุด
   
“ ข้อหาที่ทำให้ข้ารักเจ้า ”
   
คำสารภาพที่เอ่ยออกมาอย่างผิดวิสัย
   
แต่หมัดก็ถูกหยุดด้วยมือของคาร์บิลัสง่ายๆ คาร์บิลัสรวบตัวฟาร์คัสเข้ามากอดแน่นซุกหัวกับคอ “ ข้าขอโทษ ฟาร์คัส ข้าขอโทษ ”
   
หน้าของคาร์บิลัสระรื่นอย่างเห็นได้ชัด
   
ลืมทุกอย่าง
   
คำสารภาพรักที่ไม่คิดว่าได้ยินจากอีกฝ่ายถูกเอ่ยมาแบบนี้
   
ไม่ดีใจก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
   
พอสารภาพเสร็จฟาร์คัสจะใช้ข้าไปทำอะไรต่อข้าก็ยอม
   
ราชาปีศาจตอนนี้ได้กลายเป็นหมาตัวโตผู้ภักดีซะแล้ว..
   
ฟาร์คัสผลักคาร์บิลัสออก
   
ถอนหายใจเซ็งๆ
   
หน้าแดงก่ำ
   
คำพูดสุดท้ายก็แค่ใช้เปลี่ยนเรื่องเท่านั้น
   
ไม่มีอะไรมากกว่านั้นจริงๆ
   
“ โฮ่ ฟาร์คัส ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมข้านะ ” ชาร์เลสเอ่ยเรียกความสนใจมาที่ตัวเอง
   
“ เจ้า ? ”
   
“ ก็แค่นักสืบที่ข้าจ้างมาเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก ” ฟาร์คัสเป็นฝ่ายตอบคำถามแทน เมื่อเห็นสีหน้ากรุ้มกริ่มไม่น่าไว้ใจของชาร์เลส
   
“ จูบของอีกาเจ้าหวานใช้ได้นะ  ท่านว่าไหม ท่านราชาปีศาจ ”
   
ฉับพลันแววตาจากเจือความอยากรู้ได้กลายเป็นความหึงหวง
   
คาร์บิลัสดึงฟาร์คัสมากอดแน่นอีกรอบ
   
“ หมายความว่าไง ! เจ้าจูบกับมันงั้นเหรอฟาร์คัส ”
   
คาร์บิลัสตั้งแง่กับชาร์เลส ถ้าหากขู่แง่งๆ ได้คงขู่อย่างไม่ลืมอาย
   
ซึ่งนั่นทำใหฟาร์คัสกลอกตาด้วยความรู้สึกเซ็งจัด
   
“ ตอบข้าสิ ! ”
   
คาร์บิลัสเร่งเร้า
   
“ เออ ข้าจูบชาร์เลสไป ”
   
คาร์บิลัสกอดฟาร์คัสแน่นกว่าเดิม
   
“ เจ้าจะทิ้งข้าไม่ได้นะฟาร์คัส ! ข้าไม่ยอมจริงๆ ด้วย ข้าไม่ดีตรงไหน เจ้าถึงได้ไปหามัน ถ้าหากเจ้าไปอยู่กับมัน ข้าจะฆ่ามันให้ดู ! ”
   
“ สนุกมากไหม ชาร์เลส ? ”
   
ฟาร์คัสไม่ได้สนใจจะตอบคาร์บิลัสแม้แต่นิดเดียว หันไปถามนักสืบเสียงเย็น
   
“ อะไรกัน ข้าก็แค่พูดในสิ่งที่คิดเท่านั้นเอง ”
   
ชาร์เลสหัวเราะตอบหยิบหมวกปีกของตัวเองออกและค้อมตัวเคารพคาร์บิลัส
   
“ ขออภัยที่ทำให้ท่านหงุดหงิดใจ ข้าไม่ได้คิดอะไรใดๆ กับอีกาของท่านแม้แต่นิดเดียว ”
   
“ แล้วทำไมต้องจูบ ? ”
   
นัยน์ตาสีเทาจ้องชาร์เลสเขม็งหวังว่าจะอ่านสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน
   
“ มันก็แค่วิธีการดึงความทรงจำมาวิธีนึงเท่านั้น ท่านคาร์บิลัส ” ชาร์เลสยืดอกด้วยท่วงท่าสง่างาม “ ถ้าหากท่านจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ ? ข้าก็มีวิธีมากมายนำเสนอท่านนะ ”
   
บุคคลตรงหน้าไม่ใช่บุคคลธรรมดา
   
ผู้ที่อ่านความทรงจำได้นั้นเป็นเพียงเรื่องเล่า
   
มีคนหลายคนกล่าวอ้างว่าตัวเองสามารถอ่านความทรงจำผู้อื่น
   
แต่สำหรับชาร์เลสแล้ว
   
ข้าคิดว่าไม่ใช่การกล่าวลวงแน่นอน
   
ผมสีน้ำตาลอ่อนกับดวงตาสีแปลกอย่างสีเงินภายในนัยน์ตามีรูปดวงดาวจักรราศี
   
ตลอดชีวิตข้าไม่เคยเห็นนัยน์ตาเช่นนี้มาก่อน
   
“ ท่านคือใครกันแน่ ? ”
   
บรรยากาศของชาร์เลสเหมือนผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างยาวนาน
   
คาร์บิลัสรู้สึกเช่นนั้นถึงได้ถามออกไป
   
เลิกแสดงอาการหึงหวง
   
เพราะแววตามยามที่ทอดมองพวกเขานั้นเหมือนกับผู้ใหญ่สักคนกำลังหยอกเด็ก
   
“ ทำไมมีแต่คนอยากรู้ว่าข้าเป็นใครกันล่ะเนี่ย ” ชาร์เลสถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ ข้าก็บอกอยู่ว่าข้าเป็นแค่นักสืบธรรมดาๆ คนนึงเท่านั้น ”
   
คำตอบรูปแบบเดิม
   
คาร์บิลัสไม่ได้ถามอะไรต่อในเมื่อผู้พูดไม่อยากตอบ นัยน์ตาสีเทาพลันสบเข้ากับแววตาหวาดกลัวของราชินีมารที่มองมา
   
คาเลนสะดุ้งเฮือก ลนลานวิ่งหนีออกจากห้องไปทันที
   
“ แล้วจะเอายังไงต่อดี ? ” คาร์บิลัสหันไปถามฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสมองคาร์บิลัสด้วยสายตาตำหนิ
   
แม้แต่เรื่องสำคัญที่นำพาให้มาอยู่ในดินแดนนี้เจ้าก็สามารถลืมมันได้
   
“ ตามหาวิญญาณของนาซัส ”
   
ราชาปีศาจยิ้มแห้งๆ ตอบ

“ ก็ข้าเพิ่งตื่นนี่ มันก็ต้องมีลืมบ้างสิ ”
   
“ ถ้าหากข้าลืมว่าเจ้าเป็นใครบ้างล่ะ ? “
   
“ แบบนั้นข้าคงจะเสียใจมาก ”
   
คาร์บิลัสมองปีศาจด้วยสีหน้าน่าสงสาร
   
“ เจ้าไม่สงสารข้าบ้างเหรอ ”
   
“ ไม่  ”
   
นับวันราชาปีศาจยิ่งกวนขึ้นทุกวัน
   
“ ท่านรู้แล้วนี่ว่าวิญญาณของนาซัสอยู่ที่ไหน นำทางไปสิ อย่าให้เงินที่ข้าหามาได้ต้องสูญเปล่า ”
   
ชาร์เลสยิ้มมุมปาก
   
ราชาปีศาจกับอีกาทะเลาะกันให้ความบันเทิงดีไม่หยอก
   
ไม่เสียแรงที่ช่วยจริงๆ
   
“ ได้สิ ”

-----------------------
และชาร์เลสยังคงเป็นปริศนาต่อไป  :katai5:

ตอบเมนต์ ~

คุณ BlueCherries : ใครถามก็ไม่ยอบสักที 55555

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : ฟื้นแล้ววว

คุณ Hang : หมั่นไส้คาร์บิลัสล่ะสิ 5555

คุณ valenna yy : พอฟื้นแล้วน่าจะมีประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิมนิดนึง  :hao7:

คุณ yamanaiame : ช่วงนี้ดัฟฟ์บทหล่นหายยาวๆ # ดัฟฟ์ : แง้ !

คุณ lizzii : ลึกลับน่าค้นหา  :-[



   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 37 6 ธ.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 07-12-2015 10:44:56
 :z3:

ชาร์เลสเป็นผู้คุมเวลาอีกคนป่ะคะ?

......เดาแหลกเลยตอนนี้ 555555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 37 6 ธ.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-12-2015 12:01:14
ชาร์เลสดูคูลมากอ่ะ ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเท่ห์จุงงง
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 37 6 ธ.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 08-12-2015 22:06:48
“ ฟาร์คัสว่าไปเจ้าใส่ชุดของนักสืบนี่ก็น่ารักดีนะ ” คาร์บิลัสเอ่ยขึ้นมาในขณะที่กำลังไล่ตามชาร์เลสที่มุ่งหน้าไปก่อน ลมส่งเสียงหวีดหวิวพัดรุนแรงไม่ได้เป็นอุปสรรคของการคุยกับระหว่างราชาปีศาจและอีกา
   
“ เรื่องของข้า ”
   
ฟาร์คัสตัดบทดื้อๆ
   
คาร์บิลัสอดกลั้นยิ้มไม่ได้เมื่อไอ้คนที่ตัดบทนี่แก้มแดงขึ้นมา
   
ทำไมเรื่องของเจ้าแล้วเจ้าต้องหน้าแดงล่ะ ฟาร์คัส ?
   
ราชาปีศาจคิดอย่างอารมณ์ดีก่อนจะมาเป็นบูดเมื่อเข้าสู่เขตชุมชน จำต้องแยกจากฟาร์คัสเพื่อหลบหลีกผู้คนพลุกพล่าน เหตุผลที่ไม่ใช่เวทมนตร์เพราะยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่ถ้าเกิดใช้อาจจะไปโผล่แถบบริเวณชายแดนแล้วต้องเดินเท้าเข้ามากันเอง
   
ส่วนนักสืบนั่นน่ะเหรอ ?
   
ข้าเสนอแล้วว่าให้ใช้เวทย์ก็ไม่สนใจ
   
วิ่งไปเลย
   
เสียงร้องอุทานดังลั่นเมื่อมีคนสังเกตเห็นว่าเป็นราชาปีศาจ
   
จากผู้คนที่เดินกันพลุกพล่านรอบนี้เปลี่ยนเป็นมดแตกรัง
   
ใครๆ ล้วนแต่กลัวราชาปีศาจกันทั้งนั้น มีแต่อีกาเท่านั้นที่ดูจะไม่กลัวคาร์บิลัสตั้งแต่แรกพบ
   
ร่างนักสืบหันไปมองผู้ว่าจ้างทั้งสองก็หลุดยิ้ม ถึงจะผ่านผู้คนมาได้ง่ายดายแต่ก็ชวนมึนหัวอยู่เหมือนกัน กว่าจะฝ่ามาถึงข้าคงอีกสักพัก “ อย่าหลงล่ะ ! ถ้าหลงข้าไม่ตามกลับมารับพวกเจ้าหรอกนะ ” 
   
“ เจ้าก็รอพวกข้าสิ ! ” ราชาปีศาจโวยวาย
   
ชาร์เลสไหวไหล่รับ
   
ช่วยไม่ได้
   
พวกเจ้าไม่คุ้นชินกับโลกใบนี้เท่าข้า
   
จะทำอะไรใหม่ๆ ก็เชื่องช้าไปหมดนั่นแหละ
   
ฉับพลันนัยน์ตาจักรราศีเกิดประกายวาบเป็นแสงเรืองรองเหมือนดวงดาวที่ปรากฏอยู่บนท้องนภา
   
ชาร์เลสย่างเท้าไปข้างหน้า ทุกสิ่งรอบกายเคลื่อนไหวเชื่องช้าไปหมด ราวกับเวลาไม่ใช่เรื่องที่สามารถควบคุมเขาได้ บนพื้นมีดวงดาวนำทางในสิ่งต้องการจะรู้
   
อาคันตุกะมากมายเห็นชาร์เลสต่างพากันหลีกทางให้โดยไม่รู้ตัว แม้แต่เท้าก็ไม่กล้าย่างผ่านเส้นทางของดวงดาวนำทาง
   
ในสายตาของของฟาร์และคาร์บิลัส
   
ชาร์เลสอาจจะเดินว่องไว
   
ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วเจ้าตัวกำลังเดินทอดน่องตามเส้นทางบนพื้น 
   
ด้วยอารมณ์ที่ดียิ่ง
   
งานง่ายๆ มีค่าจ้างใครจะไม่อารมณ์ดีบ้าง ?
   
จูบของอีกาก็ให้รสไม่เลว
   
แก้เบื่อข้าได้ดีทีเดียว
   
แต่ก็ได้เพียงเท่านั้น
   
มีผู้คนมากมายที่ยังระลึกอยู่ในความทรงจำของข้า
   
แต่ผู้ที่ดูจะเด่นชัดในความทรงจำข้าที่สุด
   
คงจะเป็นท่านผู้นั้น
   
ผู้โอบอ้อมอารีย์ที่สร้างข้าขึ้นมา
   
ให้ความรู้ ให้ความสามารถต่างๆ กับข้า
   
ข้าสามารถทำได้ทุกอย่างเช่นเดียวกับท่านผู้นั้นทำได้
   
แต่ก็ยังคงเป็นด้อยในด้านพลัง
   
ท่านผู้นั้นมองข้าเป็นเพียงเด็กผู้หนึ่งเท่านั้น
   
ทั้งๆ ที่ข้าไม่เคยมองท่านแบบนั้นเลย
   
ไม่เคยจริงๆ
   
เคราะห์ดีที่ท่านไม่อ่านใจใครพร่ำเพื่อ
   
เพราะมันอาจจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่หลวงสำหรับข้า
   
ข้าอาจจะโดนกำจัด

ในเมื่อท่านไม่รู้ในสิ่งที่ข้าคิด งานเกือบทุกงานล้วนผ่านมือข้ามาหมดแล้วทั้งสิ้น งานสุดท้ายที่ข้าได้ทำคือการนั่งลบเพิ่มความทรงจำในมิติยักษ์สักมิติ มีคนที่ทำหน้าที่เดียวกับข้าอีกนับไม่ถ้วน เพราะสิ่งที่ท่านผู้นั้นสร้างขึ้นมาไม่ได้มีเพียงข้า อีกนับล้านชีวิตนับล้านสายพันธุ์ล้วนถูกสร้างเช่นเดียวกัน
   
และในบางที
   
ข้าก็อดเสียใจไม่ได้
   
ข้าไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับความใจดีของท่าน
   
ความใจดีครั้งสุดท้ายของท่านสำหรับคือการให้ข้าเกษียณ
   
ให้ข้าสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ใจอยาก
   
หลังจากการตรากตรำทำงานนานจนจำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่
   
รู้ว่าในหัวมีเพียงท่านแจ่มชัดในความทรงจำ
   
ข้ารู้ว่าสิ่งที่ข้าหวังไว้ในใจไม่มีทางเป็นจริงจึงเลือกที่เดินทางไปทุกดินแดน
   
สนุกกับการใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย สิ่งที่เคยเห็นในความทรงจำของผู้ที่โดนข้าเพิ่มลบความทรงจำปรากฏเต็มไปหมด ในบางทีก็ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนลืมเลือนฐานะที่แท้จริงของตัวเองไป
   
หลายครั้งที่ข้าได้รับบทเป็นกษัตริย์ของสักดินแดน
   
หลายครั้งที่ข้ารับบทเป็นสัตว์เลี้ยงของขอทาน
   
วันใดที่ข้าเบื่อข้าก็จะแสร้งตายเพื่อมาเริ่มชีวิตใหม่
   
ในตอนนี้ข้ามาเริ่มชีวิตครั้งที่เท่าไหร่ข้าไม่อาจจะได้
   
ข้าเล่นเป็นนักสืบที่เคยเห็นในแดนมนุษย์
   
มันน่าจะให้ความรู้สึกดีไม่หยอก
   
การหาของหรือสืบเรื่องใครก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า
   
ร่างนักสืบหยุดฝีเท้าหน้ารูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนมาร
   
สิ่งที่ข้าไม่เคยเปลี่ยนสักครั้ง
   
คือชื่อที่ท่านผู้นั้นมอบให้ข้า
   
ชาร์เลส
   
บุรุษผู้มีอิสระ
   
ชาร์เลสแค่นหัวเราะในลำคอ
   
แต่ไม่มีสักครั้ง
   
ที่ครั้งจะเป็นอิสระจากห้วงความคิดที่รักท่าน
   
ท่านโฟเทียส

----------------------
ตอนนี้เฉลยที่มาแม่นางชาร์เลสแล้วว

ตอบเมนต์

คุณ BlueCherries : แฮ่ ไม่ใช่  :hao6: # ปล. แง เรื่อง sweet cheese อะไร ไม่รู้จากกกก 55555

คุณ lizzii : ทุกอย่างคูล  :a9:   
   

   
   
   
   
   
   
   

   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 37 8 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 08-12-2015 23:11:48
แปะ จอง


zzzzz
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 37 8 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 08-12-2015 23:41:14
อยากเห็น 'ทั่นราชาปีศาจผู้ยิ่งหย่าย' โดนว่าที่ภรรยาคิดบัญชีหนักๆเลยค่ะ. น้ำตาอีกาไม่ได้เห็นกันง่ายๆนะเฟร่ยยยย!!!! :katai4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 37 8 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 09-12-2015 00:18:36
ชาเลส  เคะหรอลูก?  55555 :hao7:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 37 8 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-12-2015 01:16:29
งะ ซับซ้อนไปอีก!!
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 37 8 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-12-2015 07:18:45
ท่านโฟเทียสนี่ใครนะ
แต่เดี๋ยวนะ แม่นางชาร์เลส หื้มมมม เคะซินะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 38 15 ธ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 15-12-2015 20:54:25
ตอนที่ 38
   
ข้ามีหนึ่งคำถามสำหรับพวกท่าน
   
สิ่งใด ?
   
ที่จะสามารถกักขังบางอย่างโดยที่ไม่มีใครกล้ามาทำลาย
   
มันปลอดภัยยิ่งกว่าการนำมังกรมาเป็นผู้พิทักษ์
   
ไม่ต้องซ่อมบำรุงอะไรใดๆ ก็สามารถยืนหยัดต่อได้อย่างยาวนาน
   
สิ่งใดกัน ?
   
   
คาร์บิลัสกับฟาร์คัสตามมาในเวลาไม่นาน มายืนข้างๆ ชาร์เลสที่กำลังจ้องรูปปั้นนิ่ง
   
รูปปั้นสลักจากหินบางอย่างที่เมื่อต้องแสงจะกลายเป็นสีดำแต่ถ้าหากไม่แสงจะกลายเป็นสีขาว นับว่าเป็นเรื่องประหลาดของดินแดนมารเพราะนอกจากรูปปั้นนี้ก็ไม่สามารถหาหินที่ว่าได้จากที่ใดอีก ไม่มีใครรู้ว่ามันมีคุณสมบัติอะไรด้วยซ้ำ รู้เพียงว่ามันถูกแกะสลักเป็นราชามารที่ยืนองอาจใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลมีเหยี่ยวเกาะอยู่ที่ไหล่ มือถูกยื่นไปข้างหน้าราวกับกำลังร่ายมนต์อะไรบางอย่าง รอบรูปปั้นนั้นมีควันสีม่วงอมฟ้าลอยฟุ้งพร้อมกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆ
   
มีผู้คนมากมายกำลังทำความเคารพด้วยความชื่นชม ดอกไม้นับพันดอกถูกวางไว้ในบริเวณที่จัดไว้ให้ การทำความเคารพราชามารก่อนที่จะเริ่มกระทำอะไรใดๆ ในดินแดนมารถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ คล้ายกับการมาขออนุญาตเจ้าของดินแดน
   
เรื่องประหลาดอีกเรื่องคือ ไม่มีใครล่วงรู้ถึงชื่อของราชามาร รู้เพียงฐานะเท่านั้น
   
ตำนานกล่าวกันว่าชื่อนั้นได้ถูกกลืนหายไปพร้อมกับเวลา
   
แต่ผู้ที่รู้เรื่องทั้งหมดเช่นข้าย่อมไม่หลงเชื่อตำนานงี่เง่านี่
   
ชาร์เลสทอดมองรูปปั้นด้วยหัวใจปวดหนึบ
   
ท่านทำอะไรไว้กัน     
   
ท่านโฟเทียส
   
“ รูปปั้นนี่มีอะไร ” คาร์บิลัสมองด้วยความรู้สึกมึนงง
   
กลิ่นอายเวทรุนแรงมาก
   
ทั้งแสงสว่างและมืด
   
ไล่ตะครุบกันราวกับกำลังสับสนภายใน
   
ถ้าหากว่าข้าไม่ราชาปีศาจ คงไม่สามารถรับรู้ได้
   
หมอกลอยฟุ้งกับกลิ่นพวกนี้ใช้ในการปกปิดและเบี่ยงเบนความสนใจ
   
ผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ย่อมถูกมอมเมาไม่รู้ตัว
   
หลงศรัทธาในบางอย่าง
   
ที่มีบางอย่างซ่อนไว้ภายใน
   
“ เจ้าน่าจะลองสร้างไว้กลางเมืองดูบ้าง ”
   
ฟาร์คัสที่หาความไร้สาระได้ยาก จู่ๆ กลับพูดออกมา
   
แต่สีหน้าก็ไม่ได้ต่างจากเดิมนัก
   
“ ไม่เอา ข้าไม่ชอบให้ข้ามาทำอะไรแบบนี้หรอก ขนลุกจะตายชัก ”
   
คาร์บิลัสทำหน้าแหยงลูบแขนป้อยๆ
   
ดูเหมือนว่าฟาร์คัสจะไม่รับรู้ในสิ่งที่ข้ารู้สึก
   
ราชาปีศาจสบกับนัยน์ตารูปจักรราศี
   
ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายก็รู้สึกถึงพลังที่ว่าเช่นเดียวกัน
   
แต่สีหน้าเจ็บปวดนั่นข้าไม่อาจเข้าใจได้
   
“ เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า ชาร์เลส ”
   
ชาร์เลสฝืนยิ้มตอบ
   
“ ข้าไม่เป็นไร ”
   
สูดหายใจลึก
   
ทำงานสิ อย่าเอาท่านโฟเทียสมาทำให้เสียงาน
   
ชาร์เลสสะบัดมือเบาๆ เรียกให้ดวงดาวบนพื้นที่ไม่มีใครเห็นถักทอเป็นมนตราเพื่อป้องกันให้บุคคลภายนอกล่วงรู้ มนตราที่จะทำให้ผู้อยู่ภายในหายไปราวกับอากาศไม่มีตัวตนไม่สามารถรับรู้ได้ ถือว่าเป็นเวทมนตร์ชั้นยอด หาไม่ได้ในดินแดนสักดินแดนที่มีอยู่
   
มนตราที่มีเพียงข้ารับใช้ของท่านผู้นั้นได้ร่ำเรียน
   
“ สิ่งที่เจ้าตามหาอยู่ในรูปปั้นนี่ หากต้องการที่จะปลดปล่อยเจ้าก็จะต้องทำลายมัน ขอเพียงให้ส่วนใดส่วนหนึ่งแตกแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็เหลือเฟือที่พอจะทำให้มนตราของรูปปั้นนี่หายไปได้ ”
   
คาร์บิลัสเบิกตากว้าง
   
“ เจ้าหมายความว่าข้าต้องทำลายสิ่งนี้ ? ”
   
สิ่งที่เป็นที่นับถือของดินแดนภูตมาอย่างยาวนาน
   
เป็นที่โด่งดังจนแม้แต่ข้าที่อยู่ถึงดินแดนปีศาจยังรับรู้ถึงการมีอยู่ของรูปปั้นนี่
   
สำหรับชาวมารแล้วรูปปั้นนี่กับดินแดนมารเป็นของคู่กัน
   
ชาร์เลสพยักหน้าตอบ
   
“ บุคคลที่สร้างสิ่งนี้ขึ้นมานั้นฉลาดมาก ใช้ประโยชน์จากความศรัทธาในการตรองจำบางสิ่ง ”
   
คงจะเป็นเช่นเดียวกับข้าสินะ
   
ความรักที่ถูกใช้ประโยชน์ในการทำงาน
   
ไม่ว่าท่านจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
   
“ ถ้าคาร์บิลัสทำลายมัน มันก็จะกลายเป็นคำประกาศศึกสงคราม ”
   
ฟาร์คัสให้ความเห็นอย่างสุขุม
   
ข้าเคยมาที่ดินแดนมารอยู่ครั้งนึง
   
ก็ได้ยินคำสรรเสริญถึงสิ่งนี้
   
มันจะคุ้มค่าพอจริงๆ เหรอ..
   
กับการนำวิญญาณนาซัสคืนมาแต่จะเกิดสงครามขึ้น
   
สงครามไม่เคยนำพาสิ่งดีๆ มาให้
   
ฟาร์คัสคิดด้วยความเศร้าหมอง
   
ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นทั้งนั้น
   
คาร์บิลัสบีบมือฟาร์คัสเบาๆ เชิงให้กำลังใจ
   
มองตากันด้วยความหนักใจ
   
ร่างนักสืบโยนหมวกทิ้ง
   
เหยียบมันด้วยปลายเท้า
   
แค่นหัวเราะหึๆ เสียงเบา
   
“ หมดเวลาสำหรับบทนักสืบของข้าแล้วสินะ ”
   
ฟาร์คัสกำลังจะอ้าปากถามก็ต้องชะงัก
   
เสื้อคลุมนักสืบลายสก็อตแปรเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีขาวที่ประดับด้วยแผนที่ดวงดาวจักราศีสีทอง ผมสีน้ำตาลถูกแทนที่ด้วยผมสีขาวอมน้ำเงินดำ ปีกสีขาวปลายทองยาวระพื้นเหยียดออกก่อนจะพับเก็บเรียบร้อย
   
“ อย่าได้พูดอะไรใดๆ นับจากนี้ ”
   
ชาร์เลสยิ้มขำๆ
   
สีหน้าอึ้งสนิททั้งอีกาทั้งราชาปีศาจทำให้รู้สึกขบขันอยากบอกไม่ถูก
   
จะตกใจอะไรนัก
   
ก็แค่คนที่ทำงานให้ท่านผู้นั้นเท่านั้น
   
“ ข้าเลือกที่จะปลดปล่อยวิญญาณที่น่าสงสารนี่ หวังว่าพวกท่านจะดูแลพวกเขาอย่างดี ให้คุ้มค่าพอกับสิ่งที่ข้าอาจจะได้รับ ”
   
เรื่องราวจิ้งจอกขาวนั้นข้าได้ยินมาตั้งแต่จำความได้
   
เวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนาน
   
คงจะทำให้บุคคลผู้นึงคลุ้มคลั่งเสียสติ
   
จิ้งจอกขาวนั้นโชคดีที่พอประคองสติไว้ได้ครึ่งนึง
   
ขนสีดำในบางคราก็แปรเปลี่ยนเป็นสีขาว
   
โชคร้ายที่ท่านผู้นั้นไม่ได้สังเกตถึงสิ่งนี้
   
มันเคยถูกปลดปล่อยจากขุมนรก
   
แต่ก็ถูกกักขังอีกครั้ง
   
ด้วยสาเหตุที่ว่าท่านผู้นั้นกลัวว่าจะไปทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่นที่ท่านสร้างเข้า
   
ความเกลียดเคียดแค้นที่พอจะทุเลาลงไปในคราแรกประทุใหม่
   
จนตอนนี้ขนที่พอเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้นั้น
   
ตอนนี้ในเวลาส่วนใหญ่จึงกลายเป็นสีดำ
   
สติที่คงเหลืออยู่น้อยนิดแต่แรงกล้าพยายามต่อต้าน
   
เกิดเป็นกลิ่นอายเวทที่คาร์บิลัสรับรู้ได้
   
ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะได้รับการปลดปล่อยจากพันธการโหดร้ายนี่
   
ท่านจิ้งจอกขาว
   
ชาร์เลสแค่นยิ้ม
   
ข้ารู้ดีว่าถ้าหากข้าปลดปล่อยสิ่งนี้ด้วยพลังที่แท้จริง
   
ท่านโฟเทียสอาจจะลงโทษข้าเพราะกระทำในสิ่งที่นอกเหนือขอบข่ายของข้า
   
แต่ข้าก็ไม่ต้องการให้สิ่งใดนอกจากข้ามาทุกข์ทรมานจากกระทำของท่านหรอกนะ
   
มีเพียงข้าที่รับรู้และเจ็บปวดก็เพียงพอแล้ว
   
“ ทำให้เขาสงบให้ได้ล่ะ คาร์บิลัส ฟาร์คัส ”
   
คำกล่าวลาครั้งสุดท้ายสำหรับผู้ว่าจ้าง
   
อา...
   
ชาร์เลสน้ำตาคลอ
   
ข้ายังกินไม่หนำใจเลยให้ตาย
   
เงินที่ยังเหลือในกระเป๋าข้าก็ยังไม่ได้ซื้อหมวกใบใหม่ซะด้วย
   
ช่างเถอะ
   
วารันยังกล้าทั้งหนีไปพักร้อนทั้งแหกกฎ
   
ข้าจะลองดูบ้างก็ไม่เลว
   
หรือลึกๆ ในใจแล้วข้าเอาแต่ฝันถึงท่านโฟเทียสกัน ?
   
อยากจะอยู่ในสายตา
   
แม้ว่าท่านจะไม่เป็นของข้าก็ตาม
   
ชาร์เลสร่ายเวทเสียงเบา ดาวที่อยู่บนพื้นค่อยๆ ถักทอเป็นนกพิราบสีสันของมันแปลกตาเช่นเดียวกับดวงดาวบนฟากฟ้า ดอกไม้กลีบทองที่ชาร์เลสแอบขโมยมาจากห้องของท่านโฟเทียสถูกขยี้และโปรยลงบนหัวนกพิราบ
   
เศษละอองกลีบดอกไม้ค่อยๆ แทรกซึมไปทั่วตัวของมัน จากสีของดวงดาวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทอง
   
สิ่งใดก็ตามที่ได้อยู่ร่วมกับท่านโฟเทียสเป็นเวลานานย่อมซึมซับพลังมาโดยไม่รู้ตัว
   
ฉะนั้นในตอนนี้นกพิราบที่กำลังซุกไซร้ขนตัวนี้นั้นเปียมไปด้วยพลังของท่านโฟเทียส
   
ถึงแม้จะน้อยนิดถ้าเทียบกับพลังทั้งหมดของท่าน
   
แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดรอยร้าวบนรูปปั้น
   
“ ไป ” ชาร์เลสออกคำสั่ง
   
เจ้านกส่งเสียงเบาๆ เชิงรับรู้ มันตีปีกขึ้นไปเกาะบนหัวของรูปปั้น
   
“ เฮ้ย ! นก ?! ”
   
ผู้คนที่เริ่มเห็นนกพิราบของชาร์เลสก็แตกตื่น
   
เพราะไม่เคยสิ่งมีชีวิตใดกล้าย่างกรายเข้ามาใกล้รูปปั้นนี่มาก่อน
   
“ หรือว่าจะเป็นลางเกิดอาเพศ ! แย่แล้วๆ ”
   
“ บ้าน่า ข้าว่ามันก็แค่นกธรรมดาเท่านั้น ”
   
“ แต่มันมีสีทองนะ ”
   
“ เออ สีอะไรมันก็นก ”
   
นกที่ถูกกล่าวถึงโยกหัวไปมากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะตัดสินใจจิกเข้าที่หัวของรูปปั้น
   
แกร๊ก
   
รอยร้าวปรากฏขึ้นจุดเล็กๆ
   
“ กะ เกิดอะไรขึ้นกัน ”
   
ในเวลานี้หมอกไม่สารถใช้ปกปิดอะไรได้อีก
   
แม้แต่เด็กยังรู้สึกถึงกลิ่นอายเวทนี้ได้
   
รวมถึงความเคียดแค้นรุนแรงที่แปรเปลี่ยนจิตสังหารรุนแรงด้วย !
   
แกร๊ก
   
รอยร้าวลามไปเรื่อยๆ ส่วนเจ้านกที่พอทำภารกิจเสร็จก็สลายหายไปในทันที
   
ฮื่ออออ
   
เสียงขู่คำรามในลำคอดังลั่น
   
สะกดให้ทุกชีวิตที่อ่อนแอกว่าหยุดการเคลื่อนไหว
   
แข้งข้าสั่น
   
เท้าที่เต็มไปด้วยกรงเล็บพยายามตะกายออกจากรอยร้าว
   
ฮื่อออ
   
รูปปั้นที่เคยตั้งอย่างมั่นคงตอนนี้กลับกำลังเอนไปเอนมาอย่างน่ากลัว
   
“ อีกไม่นานเจ้าจิ้งจอกขาวจะหลุดจากพันธนาการ พวกเจ้าเตรียมตัวจับมันไว้ให้ดีๆ ความบ้าคลั่งของมันทำให้พละกำลังความว่องไวของมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ถ้าหากหลุดออกไปได้ย่อมเป็นอันตรายกับทุกชีวิต ”
   
นี่คงจะเป็นสาเหตุที่ท่านโฟเทียสเลือกที่จะกักขังเจ้าจิ้งจอกนี่อีกครั้ง
   
ทั้งๆ สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น
   
ถ้าหากท่านไม่ทำเกินกว่าเหตุ
   
ไม่ยอมที่จะเชื่อใจเจ้าจิ้งจอกขาว
   
อีกไม่นานท่านคงจะรู้ว่าพันธนการที่ชาญฉลาดของท่านถูกทำลาย
   
และคงตามมาจับข้า
   
เสียดายชะมัด
   
ที่ข้าจะไม่ได้เที่ยวเล่นแล้ว
   
แต่ไม่รู้ทำไมเช่นกันที่ลึกๆ แล้วรู้สึกดี
   
ชาร์เลสคลี่ยิ้มเมื่อรู้สึกถึงพลังงานมหาศาลบางอย่างที่จะมาถึงตัว
   
รู้ตัวเร็วดี
   
สมกับผู้สร้างโลกใบนี้
   
ชาร์เลสค้อมตัวให้กับฟาร์คัสและคาร์บิลัส
   
“ ถ้าหากมีโอกาสข้ากับพวกเจ้าคงจะได้มีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง ”
   
แรงบีบตรงคอทำให้คำพูดที่ออกไปอู้อี้
   
มนตราเวทหายไปในชั่วพริบตา
   
พร้อมกับร่างของนักสืบกำมะลอ
   
   
ฟาร์คัสพูดไม่อะไรไม่ออกนับตั้งแต่เห็นชาร์เลสในรูปลักษณ์จริงๆ
   
นอกจากวารันที่เป็นผู้ควบคุมกาลเวลาแล้วข้ายังได้มีโอกาสเจอคนอื่นอีก
   
จะนับว่าเป็นโชคก็คงไม่ใช่
   
เพราะอีกฝ่ายได้ทิ้งระเบิดเอาไว้ด้วย
   
จิ้งจอกบ้าคลั่งที่อาศัยอยู่ในรูปปั้น
   
หวังว่าจะไม่ใช่จิ้งจอกในตำนานนั้นนะ
   
แกร๊ก
   
ส่วนหัวของจิ้งจอกสามารถออกมาได้เป็นส่วนแรก นัยน์ตาสีแดงก่ำทั้งดวงตาจดจ้องทุกอย่างด้วยความดุร้าย เขี้ยวคมถูกแสยะ ขนสีดำของมันเป็นประกายแวววาว
   
ฟาร์คัสหน้าเจื่อนลงเมื่อความคิดถูกยืนยัน
   
ดูเหมือนว่าวิญญาณของนาซัสจะไม่ใช่แค่วิญญาณที่ถูกตรองจำทั่วไป
   
 เป็นถึงวิญญาณที่ถูกเล่าขานเป็นตำนาน
   
แค่แรงอาฆาตของมันก็ทำให้ข้าหายใจลำบากแล้ว
   
การที่จับมันได้คงเป็นเรื่องยาก
   
“ ไม่ต้องห่วง เชื่อมือข้าเถอะ ฟาร์คัส ” คาร์บิลัสฉีกยิ้มเอาดาบคู่ใจพาดไว้บนไหล่ จ้องร่างจิ้งจอกเขม็ง “ มันก็แค่วิญญาณจิ้งจอกเท่านั้น ”
   
ฟาร์คัสแค่นเสียงหึ
   
“ เอาให้เก่งเหมือนอย่างที่พูดแล้วกัน ”
   
“ ดูถูกราชาปีศาจคนนี้เกินไปแล้ว  ”
   
คาร์บิลัสยิ้มเหี้ยม
   
“ กับแค่การจับลูกหมา ไม่ต้องเหนื่อยเจ้าหรอก ! ”
 
----------------
เทศกิจคาร์บิลัสมาแล้ว 555555555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 38 15 ธ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 15-12-2015 21:37:17
อืมมมมมมมมม

โฟเทียสนี่เป็นนายเหนือหัวของชาร์เลส แล้วรวมถึงโซแวนกับวารันด้วยใช่ไหมคะ?

แล้วโฟเทียสเป็นใครล่ะนี่ หรือเราอ่านข้ามไปหว่า??

(แอบสงสารชาร์เลสเบาๆ  :hao5:)

หวังว่าเทศกิจคนนี้จะไม่อู้งานนะ หุหุ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 38 15 ธ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-12-2015 21:43:06
ทำให้ได้อย่างปากพูกแระกัน!!
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 38 15 ธ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-12-2015 23:03:27
ชาเลสทรมานไปไหมกับความรู้สึกที่เป็นอยู่อ่ะ
สงสารจัง
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 38 15 ธ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 15-12-2015 23:42:55
น้องหมาท่าจะโหดแหง่มๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 39 24 ธ.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 24-12-2015 23:33:38
ตอนที่ 39
   
รูปปั้นแตกเป็นเสี่ยงเมื่อจิ้งจอกหนีออกมาได้ นัยน์ตาสีแดงก่ำจดจ้องรอบตัว หางส่ายไปมา
   
ฮื่ออ
   
คำรามในลำคอก่อนจะกระโจนไปหาผู้คนที่ยืนอยู่ใกล้
   
หวังจะฆ่าเพื่อลดความบ้าคลั่งของตัวเอง
   
แต่ก็ถูกสกัดกั้นไว้ด้วยดาบของคาร์บิลัส
   
ราชาปีศาจแค่นยิ้มเมื่อจิ้งจอกดูอารมณ์ไม่ดีกว่าเดิม
   
“ ยอมให้ข้าจับซะดีๆ ”
   
คาร์บิลัสพุ่งตัวเข้าไปหาจิ้งจอก ไม่เกรงใจใครอีกต่อไป ไม่สนว่าจะเหยียบตัวหรือข้ามหัวใคร

จะยอมเป็นพื้นให้เหยียบหรือโดนจิ้งจอกฆ่าล่ะ ?
   
การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับแมวที่ไล่จับหนู คาร์บิลัสเกือบจะคว้าหางจิ้งจอกได้แต่มันก็ไถลตัวไปตามพื้นในเสี้ยวนาทีสุดท้าย ก่อนจะกระโดดไปทางอื่น
   
คาร์บิลัสเริ่มจะทนไม่ไหว
   
คำรามเสียงต่ำ ปีกสีดำถูกกางออก เข้าถึงตัวจิ้งจอกอย่างรวดเร็ว
   
แต่จิ้งจอกที่ว่านั้นไม่ได้เป็นเพียงชื่อเล่าขาน
   
พื้นรอบตัวติดไฟขึ้นมาอย่างรวดเร็วและยังลามต่อไปเรื่อยๆ ราวกับกำลังสร้างกำแพงเพลิงป้องกันไม่ให้คาร์บิลัสผ่านไปได้พร้อมกันนั้นมันยังกระโจนหนีไปทางอื่น
   
แม้ว่ามันจะตั้งรับได้แต่คงจะเพียงได้ไม่นาน
   
การหนีไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับผู้ที่ต้องการจะชนะ
   
สัญชาตญาณเจือสติเล็กน้อยบอกกับจิ้งจอกเช่นนั้น
   
คาร์บิลัสไม่สนใจเพลิงที่กำลังโลมเลียตัวเอง มือหนาจับเข้ากับหางของจิ้งจอกขาว
   
“ จับได้แล้ว ! ฟาร์คัส ข้าจับได้แล้ว ! ”
   
“ ฮือ ! ข้าโดนจับ ฮือออ ช่วยข้าด้วย ”
   
จิ้งจอกขาวพยายามตะเกียกตะกาย
   
คาร์บิลัสเริ่มรู้สึกงงกับท่าที่ของจิ้งจอกขาวและเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
   
เมื่อกี้มันตัวสีดำ !
   
คาร์บิลัสโยนจิ้งจอกขาวทิ้งทันที
   
“ ไอ้แพะโง่ ”
   
ฟาร์คัสบ่นอุบในขณะที่ตัวเองพยายามดักทางไม่ให้จิ้งจอกดำได้หนีไปไหน แต่ก็ทำได้เพียงแค่นี้ ฟาร์คัสไม่ได้มีเวทมนตร์หรือพละกำลังเหลือเฟือเฉกเช่นราชาปีศาจ
   
“ ข้า ข้าดูผิดนิดหน่อย ” คาร์บิลัสมาทันได้ยินฟาร์คัสบ่นพอดีก็หน้าจ๋อยแต่ตัวได้เข้าร่วมวงต่อสู้เรียบร้อย
   
“ รีบๆ จับ ก่อนที่เขาจะเผลอไปทำอันตรายใครเข้า ”
   
“ แน่นอน ! ”
   
คาร์บิลัสรับคำขันแข็ง ชี้ดาบไปที่จิ้งจอกขาว “ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเสียเลือดเท่าไหร่แต่ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้ข้าจับดีๆ ข้าก็ไม่รับประกันถึงความปลอดภัยของตัวเจ้านะ ”
   
นัยน์ตาสีเทาฉายแววความจริงจังไม่มีวีแววความขี้เล่นอีกต่อไป
   
หูไม่รับฟังเสียงอะไรอีก
   
มีสมาธิกับการไล่จับจิ้งจอกในตำนาน
   
แกร๊ง !
   
เสียงดาบปะทะกับกรงเล็บจิ้งจอกดังลั่น จิ้งจอกที่ถึงแม้ตัวเล็กแต่พละกำลังกลับสวนทาง
   
มือที่จับดาบชา
   
คาร์บิลัสรู้สึกแต่ไม่พูดอะไร
   
ในเมื่อจับยากนัก..
   
“ ข้าไม่สนใจแล้ว ! ”
   
พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนราวกับกำลังตอบรับราชาปีศาจทั้งๆ ที่นี้เป็นดินแดนของมาร
   
ทุกคนรวมถึงฟาร์คัสต่างรู้สึกตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่ราชาปีศาจกระทำ
   
สิ่งมีชีวิตบางอย่างคล้ายสิงโตตะกายออกมาจากพื้นดินนับสิบตัวแต่ละที่ที่ปรากฏนั้นล้วนเกิดใต้บ้านหรือของกำบัง พื้นดินราคาแพงจากหินอ่อนแตกยับรวมถึงข้าวของต่างๆ
   
โฮกก
   
สิงโตนับสิบตัวคำรามดังกึกก้องไม่รอคำสั่งจากนายมันก็กระโจนเข้าใส่จิ้งจอกทันที จิ้งจอกกระโดดหลบแต่ก็ไปลงบนวงเวทของคาร์บิลัส เมื่อร่างที่ต้องการได้เข้ามาข้างในเวทก็ทำงานทันที
   
เพลิงสีดำค่อยๆ ลุกไหม้ไปตามขนของจิ้งจอก
   
จิ้งจอกพยายามตะเกียกตะกายออกจากวงเวทแต่ก็ไม่สัมฤทธิ์ผล
   
เพลิงสีดำทำให้ร่างกายบอบช้ำและสร้างพันธนการไว้
   
จิ้งจอกดำตัวสั่นเมื่อเรื่องกำลังจะเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม
   
อิสระที่มันได้รับกำลังจะหายไป

ฉับพลันตามันเหลือกค้าง
   
เวทของคาร์บิลัสแตกเป็นเสี่ยง
   
สิงโตกระโจนเข้าไปรุมกัดจิ้งจอกแต่ก็ถูกสลัดออกทำได้เพียงรอยถลอก
   
จิ้งจอกเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าเดิม
   
มันกระโจนเข้าไปหาเด็กมารที่กำลังนั่งกอดเข่าตัวสั่นไม่มองสิ่งใด
   
ฮื่อออออ
   
ฟันเรียงกันเป็นระเบียบอ้ากว้าง
   
รอให้เลือดสีสวยมาละเลง
   
คาร์บิลัสพุ่งตัวไปหาได้ทันดาบฟันที่หางจนขาดไปครึ่ง
   
ความเจ็บปวดกระชากให้มันเลิกสนใจเด็กกลับมาสนใจราชาปีศาจ
   
ศัตรูหลักในตอนนี้ของมัน
   
มันไม่รอช้ากระโจนเข้าไปใส่คาร์บิลัส
   
ดาบสีดำถูกตั้งลำรอให้จิ้งจอกได้ลิ้มรส
   
แต่มันกลับฉลาดพอที่จะใช้หางปัดดาบทิ้งปลายหางสัมผัสกับมือคาร์บิลัส
   
ความรู้สึกเจ็บปวดพุ่งพรวดในตัวคาร์บิลัส
   
ภาพความเศร้าโศกในชีวิตปรากฏพลัน
   
คาร์บิลัสสลัดหัวเรียกสติ
   
ภาพทุกอย่างในหัวถูกแทนที่ด้วยอีกา
   
อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่าง
   
แค่ข้ามีฟาร์คัสก็เพียงพอแล้ว
   
ดาบที่เกือบจะหลุดมือถูกคาร์บิลัสคว้าไว้ได้ทันแล้วยังเปลี่ยนเป็นโซ่พันธนาการจิ้งจอกขาวทันที
   
คาร์บิลัสใช้ดาบเฉือนข้อมือตื้นๆ
   
ปล่อยให้เลือดหยดลงบนตัวจิ้งจอก
   
มันดิ้นพล่านทุกครั้งที่เลือดของราชาปีศาจต้องตัวมัน
   
สิงโตที่ถูกเรียกใหม่ค่อยๆ แห้งและกลายเป็นกองดินบนพื้น
   
“ หมดฤทธิ์สักที ”
   
ฟาร์คัสถอนหายใจ
   
“ แล้วเจ้าทำอะไร ”
   
จดจ้องบาดแผลเป็นมือคาร์บิลัสด้วยแววตาตำหนิ ไม่ทันรู้ตัวก็คว้ามือคาร์บิลัสมาใช้เวทรักษาจนหายเหลือเพียงแผลรอยกรีดบางๆ
   
“ ข้าก็แค่ทำให้พันธนการของข้ารุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ”
   
คาร์บิลัสยิ้มกว้างตอบ
   
“ ข้าเก่งไหม ”
   
ถามคำถามคล้ายกับเด็กไม่รู้จักโต
   
ฟาร์คัสหลุดยิ้มทั้งๆ ที่กำลังปั้นหน้าเครียด
   
“ เออ. .เก่ง ”
   
คาร์บิลัสกำลังจะโผเข้ากอดฟาร์คัสอ้อนๆ ก็ต้องชะงักตัวเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู
   
“ ฮืออ โรซาน ! เจ้าดูสิ หางของข้าแทบจะขาดอยู่แล้ว ฮือ ถ้ามันขาดล่ะ ข้าจะทำยังไงดี ”
   
จิ้งจอกขาวร้องไห้โฮๆ ขณะที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของชายร่างโตผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิง
   
“ มันจะไปขาดได้ยังไง อย่าโง่ไปหน่อยเลย เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าแค่คิดไปเอง ”
   
“ แต่ว่าข้าเจ็บจริงๆ นะ ฮือ เจ้ารักข้าจริงๆเหรอ ทำไมเจ้าถึงเอาแต่ทับถมข้ากัน ”
   
“ มันคนละส่วนกัน จิ้งจอกโง่ อยากโดนอีกไหม ? รับรองว่าเจ้าได้รู้แน่ว่าข้ารักหรือไม่รักเจ้า ”
   
“ ฮือ ทำไมข้าต้องโดนเจ้าปีศาจน่ากลัวนั่นจับด้วยนะ ”
   
“ ข้าจะไปรู้เจ้าไหม ”
   
“ เจ้าหมายถึงข้าสินะ ”
   
คาร์บิลัสพูดเสียงเย็น
   
โรซานไม่ตกใจแค่เลิกคิ้วน้อยๆ
   
ส่วนเอสเตอร์..
   
“ ว้ากกกก ! เจ้าปีศาจ เจ้าปีศาจจริงๆ ด้วย ฮืออ ปล่อยข้าไปนะ โรซาน ”
   
จิ้งจอกตัวเล็กอ้าปากกว้างตาเบิกโพลงน้ำตาคลอพยายามตะเกียกตะกายออกออกจากอ้อมกอดโรซานสุดชีวิต
   
ฟาร์คัสมองนิ่งด้วยอารมณ์ราบเรียบ
   
คาร์บิลัสรู้สึกถึงสายตาฟาร์คัสก็หยุดแกล้ง
   
“ พวกเจ้าเป็นใคร ”
   
ฟาร์คัสเป็นคนเปิดประเด็น
   
และโรซานเป็นคนตอบ “ นักเดินทางน่ะ ข้ากับจิ้งจอกนี่เดินทางร่อนเร่ไปทั่ว ”
   
น่าแปลกที่สองคนนี้ดูเข้ากันแปลกๆ
   
จนคาร์บิลัสคิ้วกระตุก
   
“ พวกเจ้าไม่ต้องบอกข้าก็ทราบถึงฐานะดี ”
   
โรซานยิ้ม
   
ผมยุ่งเหยิงสีน้ำตาลไม่ได้ทำให้หน้าตาดูแย่ลงแต่อย่างใด
   
คาร์บิลัสตัดสินใจกอดฟาร์คัสแน่น
   
“ ฟ่าร์คัสเป็นของข้า เจ้าห้ามคุยกับฟาร์คัส ถ้าหากต้องการจะรู้อะไร จงถามราชาปีศาจอย่างข้า ”
   
ทั้งๆ ที่ท่าทีไม่ให้แต่น้ำเสียงและความจริงจังที่ปรากฏในคำพูดขับกล่อมให้คาร์บิลัสดูน่าเชื่อถือ
   
ฮื่อออ
   
จิ้งจอกสีดำคล้ายกับกำลังถูกลืมไป ครางในลำคอด้วยความเจ็บปวด
   
พันธนาการของราชาปีศาจทำให้มันหมดเรี่ยวแรงแล้วยังปวดบริเวณที่ถูกพันธนาการ
   

--------------------
 :katai5: ง่วงง

ตอบเมนต์ ♥

คุณ  BlueCherries : คนเดียวกันค่ะ อารมณ์เหมือนคนสร้างโลกอะไรแบบนี้เลยค่ะ ><

คุณ  •♀NoM!_KunG♀• : ทำได้แบบทุลักทุเล  :laugh:

คุณ lizzii : สมหวังยากมาก  :ling3:

คุณ Hang : โหดยังไงฆ่าบี้ลัสก็จับได้ 55555    
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 39 24 ธ.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-12-2015 00:04:07
สมกะเปงแพะโง่ 5555+ เอ๋อตลอดแค่ได้ยินเสียงเมีย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 39 24 ธ.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 26-12-2015 22:32:05
กำลังนึกว่า ถ้าตอนที่คาบี้ กำลังสนใจจิ้งจอก จะได้ยินเสียงฟาคัสปะ  5555.
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 39 26 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 26-12-2015 23:11:24
โรซานหัวเราะในลำคอ
   
ดูท่าข่าวลือจะเป็นจริง
   
“ ไม่ต้องห่วงว่าข้าจะแย่งอีกาของท่านหรอก แค่มีจิ้งจอกงอแงนี่ข้าก็เกินพอแล้ว ”
   
จิ้งจอกที่ถูกกล่าวถึงหูตั้งข้างนึงแต่ตัวยังคงสั่นงกพยายามกลั้นสะอื้น
   
ฟาร์คัสตั้งใจจะผลักคาร์บิลัสออกแต่ก็ลังเลกลัวว่าจะโดนเจ้าแพะขี้น้อยใจนี้งอนอีก จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย “ งั้นข้ากับแพะโง่นี้ขอตัวกลับแล้วกัน ”
   
“ คาร์บิลัส ข้าชื่อคาร์บิลัส เจ้าลืมแล้วเหรอ ข้าไม่ใช่แพะโง่สักหน่อย ”
   
คาร์บิลัสพูดอ้อนๆ เอาหน้าซุกกับคอฟาร์คัส
   
แต่ฟาร์คัสไม่ได้ใจเย็นขนาดนั้น
   
“ มีขอบเขตหน่อย คาร์บิลัส ”
   
พูดเสียงเย็น
   
คาร์บิลัสสะดุ้งยิ้มแหยๆ
   
“ อา งั้นข้ากับเอสเตอร์ขอตัวเหมือนกัน ” โรซานยิ้มค้อมตัวให้ตามมารยาท “ ถ้าโชคดีเราอาจจะได้พบกันอีก ”
   
ฟาร์คัสยิ้มตอบ
   
“ ขออวยพรให้ท่านโชคดี ”
   
พร้อมถองศอกใส่คาร์บิลัสให้พูดอะไรบ้าง
   
“ อุ่ก โชคดีๆ ไม่ต้องมาหาข้าที่ดินแดนด้วย ”
   
โรซานหัวเราะดังลั่น
   
“ ท่านนี่ยิ่งกว่าข่าวลือซะอีก ”
   
ก่อนที่จะหายไปในพริบตา
   
“ ข่าวลือ ? ” คาร์บิลัสทวนงงๆ “ ข่าวลือข้ากับเจ้างั้นเหรอ ”
   
ไม่ว่าดินแดนใดย่อมมีการแลกเปลี่ยนข่าวสารกันระหว่างนักเดินทาง
   
ข่าวที่ดูเด็ดดวงดังที่สุดเห็นจะเป็นข่าวราชาปีศาจกับชายา
   
ไม่เพียงที่ชาวปีศาจจะสนทนาถึงเรื่องนี้กันสนุกปากแต่นั้นรวมถึงดินแดนอื่นรับรู้ด้วย
   
ฟาร์คัสผลักคาร์บิลัสออกหน้าแดง
   
“ เออสิ พวกปีศาจบ้าๆ มันลือข้ากับเจ้าไปไหนต่อไหนแล้ว มีแต่เจ้านั่นแหละที่ไม่สนใจว่าเขาจะพูดอะไรกันบ้าง ”
   
คาร์บิลัสยิ้มเจ้าเล่ห์
   
“ ทำไมข้าต้องสนใจล่ะ ในเมื่อข่าวพวกนั้นไม่มีความจริงอยู่แม้แต่น้อย ”
   
ความจริงคาร์บิลัสก็เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น
   
หูตาของราชาปีศาจต้องไวเพื่อตั้งรับกับเหตุไม่คาดฝัน

ฟาร์คัสไม่ตอบเดินไปคว้าจิ้งจอกดำที่นอนร้องหงิงๆ หมดสภาพขึ้นมาอุ้ม
   
“ หรือว่าเจ้าอยากทำให้มันเป็นจริงล่ะ ? ”
   
ในข่าวลือโดนลือว่าเป็นชายาสุดรักสุดสวาทของข้า
   
ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเหมือนเป็นเพียงเพื่อนร่วมเตียงเท่านั้น
   
ดีที่ไม่มีใครรู้ถึงสถานะนี้ของข้า
   
ไม่เช่นนั้นตำแหน่งราชาปีศาจของข้าคงโดนหัวเราะเยาะแน่
   
ฟาร์คัสตีหน้านิ่ง “ รีบๆ กลับดินแดนสักที ”
   
แต่ใครล่ะ จะไปรู้จักฟาร์คัสเท่าข้า ?
   
แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว
   
“ เจ้าจะแวะไปดินแดนเจ้าไหม ? ”
   
คาร์บิลัสยิ้มจางแต่นัยน์ตาเย็นเยียบและถูกซ่อนอย่างรวดเร็วเมื่อฟาร์คัสสบตา
   
“ เจ้าหมายถึงนกบอกลาง ? ”
   
ฟาร์คัสถามเสียงเบามองปลายเท้าของตัวเอง
   
ข้าไม่มีความมั่นใจพอที่จะกลับไปเหยียบดินแดนนั้นอีก
   
ข้าทิ้งมันไปแล้ว
   
ผู้คนอาจสาปแช่งข้าที่กลายมาเป็นปีศาจแทนการทำหน้าที่ของสายเลือดตัวเอง
   
แต่นึกสงสัยในคำพูดของรุ่นพี่โรซ์เวลเช่นกัน
   
ทอริค เซอร์เคน บาร์ลิน รวมถึงผู้สนับสนุนต่างๆ หายตัวไปอย่างลึกลับ ?
   
“ ไม่ต้องกังวล ข้ากับเจ้าจะลอบเข้าไป ”
   
ฟาร์คัสพยักหน้าไม่ได้ปัดมือที่ลูบหัวตัวเองทิ้ง
   
“ รีบไปจะได้รีบกลับ ร่างของนาซัสต้องการวิญญาณ ”
   
คาร์บิลัสรวบตัวฟาร์คัสเข้ามากอดหลวมๆ
   
วงเวทเคลื่อนย้ายปรากฏบนพื้นเป็นลวดลายนกสยายปีกเหมือนกับที่ฟาร์คัสเคยใช้ไม่ผิดเพี้ยน
   
เวทบทนี้คาร์บิลัสลอบจดจำตั้งแต่ครั้งที่เจอกันครั้งแรก
   
แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้เนื่องจากยังยุ่งๆ กับการดึงอำนาจกลับมาที่ตัวเอง
   
รู้ตัวอีกทีก็เป็นวันที่ฟาร์คัสได้โผล่มาที่ปราสาทของตัวเอง
   
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
   
คาร์บิลัสเป็นคนสั่งให้ปีศาจชราที่ใกล้จะตายมาไว้ในวัง
   
ถึงจะดูเลวร้าย
   
แต่มันเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น
   
ครอบครัวของปีศาจชราได้รับผลตอบแทนอย่างงามด้วยเงินก้อนโตและสวัสดิการเลี้ยงดูตลอดชีวิต
   
ภาพคุ้นเคยปรากฏตรงหน้าฟาร์คัส
   
ที่ๆ ข้าเคยอยู่ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้
   
ฟาร์คัสอ้าปากหายใจลำบาก รู้สึกจุกในลำคอ ตาแสบร้อน
   
ลึกๆ แล้วฟาร์คัสยังคงยึดติดกับดินแดนอยู่
   
ไม่มีใครสามารถลืมสถานที่ตัวเองถือกำเนิดได้จริงๆ
   
แต่แล้วความเจ็บปวดที่ถูกตราหน้าว่าทรยศก็ร้อนฉ่า
   
จิ้งจอกในมือถูกคาร์บิลัสดึงออก
   
แทนที่ด้วยจูบเบาๆ บนหน้าผาก
   
“ ไม่มีอะไรทำร้ายตัวเจ้าได้นอกจากตัวเจ้าเองนะ ฟาร์คัส ”
   
ฟาร์คัสกอดคาร์บิลัสแน่นสูดหายใจลึก
   
พยายามปล่อยใจให้ว่าง
   
คาร์บิลัสปาดน้ำตาออกจากหางตาฟาร์คัส
   
“ คนที่กระทำผิดย่อมได้รับผลที่กระทำ ”
   
“ เจ้าทำอะไรกับพวกเขากันแน่ ”
   
ฟาร์คัสรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมไม่พ้นราชาปีศาจนี่แน่
   
“ สบายใจได้ ข้าไม่ได้ฆ่าพวกเขา ”
   
คาร์บิลัสยิ้มซื่อ
   
“ เพียงแค่ทำให้หมดความศรัทธาในตัวเองก็เท่านั้น ”
   
ฟาร์คัสอดรู้สึกหวั่นๆ ในตัวราชาปีศาจไม่ได้
   
แต่ไม่ได้รู้สึกกลัว
   
“ ข้าจะไม่บอกเจ้าทุกอย่างว่าข้าทำอะไรกับพวกมันบ้าง ”
   
เสียงของคาร์บิลัสในขณะที่กล่าวถึงกลุ่มคนทรยศแฝงไปด้วยโทสะ
   
“ นรกบนดินคงจะเหมาะสำหรับพวกมัน ”
   
คาร์บิลัสแสยะยิ้มเหี้ยม
   
“ หุบเหวนรก ”    
   
ฟาร์คัสสะดุ้งหน้าซีดเผือด
   
เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าหากใครได้ตกลงไปแล้วไม่มีทางขึ้นมาได้อีก เหวที่ลึกจนมองเห็นเพียงธารไฟเล็กๆ ที่แผดเผาตลอดเวลากับหมอกดำทึบปกคลุม เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการทรมาน เพียงแต่ว่าสถานที่นั้นเข้าถึงได้ยากมาก มีคำล่ำลือมากมายเกี่ยวกับเสียงกรีดร้องที่ยังคงดังแว่วขึ้นมา
   
“ ก่อนที่พวกมันจะโดนโยนลงไป ข้าก็แค่ทำให้มันรู้สึกแบบเดียวกับเจ้า ” คาร์บิลัสพูดเบาๆ “ เจ้ารู้แค่นี้ก็พอแล้วฟาร์คัส ที่เหลือมีแค่พวกมันรับรู้ก็พอ ”
   
การเป็นศัตรูกับราชาปีศาจไม่ใช่เรื่องฉลาด
   
ความโหดเหี้ยมที่ไม่ได้แสดงกับฟาร์คัสไม่ได้หมายความว่าไม่มี
   
ไม่เช่นนั้นคาร์บิลัสคงจะไม่โดนหวาดกลัวแบบนี้
   
“ อืม ”
   
ฟาร์คัสรับคำในลำคอ
   
ถึงแม้ข้าจะรู้สึกโกรธคนพวกนั้น
   
แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเอาชีวิต
   
หากไม่เจอกันอาจจะไม่รู้สึกอะไร
   
แต่คาร์บิลัสคงไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับข้า
   
“ เจ้ากลัวข้ารึเปล่า ? ”
   
เสียงดังแผ่วเบาที่ข้างหูฟาร์คัส
   
คำพูดที่เต็มไปด้วยความหมายแฝง
   
เว้าวอนให้ฟาร์คัสยอมรับในอีกตัวตนนึงของคาร์บิลัส
   
พร้อมกันนั้นก็เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตนเอง
   
“ กลัว ”
   
ร่างของคาร์บิลัสสั่นจนฟาร์คัสรู้สึกได้ อ้อมกอดเช่นเดียวกันถูกปล่อยออก
   
ฟาร์คัสมองหน้าคาร์บิลัสแทบไม่เชื่อสายตา
   
แพะโง่ยิ้มแต่น้ำตาไหลออกจากดวงตา
   
“ งั้นเหรอ.. ”
   
น้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง
   
“ ข้ายังพูดไม่จบ ไอ้แพะโง่ ”
   
ฟาร์คัสโน้มคอคาร์บิลัสลงมา
   
“ กลัวแพะโง่อย่างเจ้า อย่าทำให้ข้าขำไปหน่อยเลย ”
   
ก่อนจะจูบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง

-------------
ทำไมฟาร์คัสแมน 55555555555555

ตอบเมนต์ ~

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : เมียแกล้งก็เชื่อเมียอีก 55555   

คุณ Hang : เสียงเมียทั้งทีได้ยินอยู่แล้ว  :hao7:

   
   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 39 26 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 26-12-2015 23:35:58
 :mew4:


คาร์บิลัสได้กำไรเป็นอีกหนึ่งจูบ


เห้อออออออ ช่วงนี้คาร์บิลัสมีแต่ได้กับได้เน้อ  :z2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 39 26 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-12-2015 00:17:03
ยอมอยู่คนเดียวสิน้าา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 39 26 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 29-12-2015 02:55:06
สงสารจิ้งจอกเหะ โดนเมินมา2ตอนละ  5555  :m20:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 40 7 ธ.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-01-2016 23:20:29
ตอนที่ 40
   
กึก
   
“ ขออภัยที่ขัดจังหวะนะ ฟาร์คัส ”
   
เสียงฝีเท้าดังขัดจังหวะทำให้ฟาร์คัสผลักตัวคาร์บิลัสออกทันทีอย่างไร้เยื่อไย
   
ฟาร์คัสหน้าแดงก่ำเมื่อภาพที่ตอนแรกเป็นภาพปราสาทไกลๆ ตอนนี้กลับมาอยู่ซะตรงกลางห้องโถง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยนกบอกลางมากมายคล้ายกับวันที่ฟาร์คัสละทิ้งตัวตนของตัวเองไป
   
บัดซบ !
   
ปีศาจอีกาถลึงตามองคาร์บิลัสที่ตอนแรกบอกว่าจะดูอยู่ไกลๆ
   
“ ก็ข้าอยากให้เจ้ารู้นี้ว่า มันเปลี่ยนไปแล้ว ”
   
คาร์บิลัสยิ้มตอบ
   
“ อย่าลืมสิว่าข้าเป็นใคร ผู้ที่กระทำผิดสิควรจะโดนขับไล่ ไม่ใช่เจ้า ”
   
“ ก็ตามที่คาร์บิลัสพูดนั่นแหละ ”
   
โรซ์เวลยิ้มอ่อนโยน ซึ่งก็เป็นเจ้าของเสียงฝีเท้าด้วย
   
“ ข้าเชื่ออยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนทำ ฟาร์คัส ”
   
ฟาร์คัสนิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก มองไปรอบๆ ตัว สบกับแววตาที่เคยมองมาอย่างเกลียดชังและตำหนิ ตอนนี้เต็มไปด้วยความชื่นชมแต่ก็มีความกระอักกระอ่วนเจืออยู่เช่นกัน
   
ใครบางที่ไม่เห็นคู่รักแสดงความรักต่อการแล้วไม่เขินอาย ?
   
โชคดีที่ฟาร์คัสไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้
   
ไม่รู้ตัวก็เผลอยิ้มออกมา
   
ความรู้สึกที่เหมือนกับได้กลับบ้านฟุ้งในอก
   
คนๆ แรกที่นึกถึงเมื่อถึงดินแดนนกบอกลางนอกจากเขาก็คงเป็นใครไปไม่ได้
   
ผู้ควบคุมกาลเวลา..
   
ถ้าหากไม่มีวารันข้าก็คงจะไม่มีความสุขแบบตอนนี้
   
ข้าอาจจะยังคงใช้ชีวิตกับความแค้น
   
ไม่ข้าก็เซอร์เคนที่จะต้องตาย
   
“ ข้าขอไปรับสารนะ ”
   
กล่าวขึ้นด้วยความกระตือรือร้นเหมือนกับเด็กๆ
   
“ ไปสิ ข้าไปด้วย ”
   
คาร์บิลัสกระแซะฟาร์คัส
   
“ ทำตัวตามสบายเถอะ ในเมื่อที่นี้ก็คือบ้านของเจ้าแต่แรกอยู่แล้ว ”  โรซ์เวลหัวเราะเบาๆ
   
ฟาร์คัสสนองคำพูดทันทีด้วยการหายไปในพริบตาพร้อมกับร่างราชาปีศาจ
   
ทิ้งให้โรซ์เวลกระพริบตาปริบๆ ท่ามกลางนกบอกลางที่เหลือ
   
พวกเขาเคยถูกราชาปีศาจเรียกมารวมตัวกันหลายครั้ง
   
ราวกับว่าคาร์บิลัสเป็นราชานกบอกลางซะเอง
   
พูดคุยเกี่ยวกับการราชาองค์ใหม่บ้าง ความเข้าใจผิดบ้าง แล้วแต่ที่ราชาปีศาจจะสรรหามาพูดคุย
   
แรกเริ่มก็ไม่ยินยอมเท่าไหร่เพราะเป็นการบังคับ แต่เรื่องส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวกับดินแดนของตนเอง
   
ทำให้ยอมวางใจในตัวราชาปีศาจ
   
ถ้าหากคาร์บิลัสอยากได้คงจะยึดไปแต่แรกแล้ว
   
แต่นี่ปล่อยไป
   
นอกจากความเมตตาจะเรียกว่าอะไร ?
   
   

“ บู่ววว ทำไมเจ้าไม่ยอมซื้อชาเย็นให้ข้าสักที ! ” วารันขมวดคิ้วขว้างปากกาใส่โซแวน
   
โซแวนรับปากกาแล้วโยนคืนให้วารันด้วยสีหน้าเย็นชา
   
“ เจ้าเพิ่งจะกินไปเมื่อวานเองนะ ”
   
“ ข้าบอกซื้อมาเยอะๆ เจ้าซื้อมาแก้วเดียว มันจะพอท้องข้าซะที่ไหน ”
   
“ ผู้ควบคุมกาลเวลาต่อให้ไม่กินอะไรก็ไม่มีทางหิว เจ้าจะกินมันไปทำไม ”
   
ไม่ว่าเปล่าถลาเข้ามาหาร่างที่นอนย้วยบนเก้าอี้
   
ทำเอาวารันสะดุ้งเกือบตกเก้าอี้
   
สีหน้าที่เดิมทีมุ่ยอยู่แล้วมุ่ยกว่าเดิมประมาณสิบเท่า
   
“ เจ้าไม่เข้าใจในศิลปะของการกินเอง ช่วยไม่ได้ ”
   
“ เจ้ากำลังว่าคนที่ซื้อของให้เจ้ากินทุกวันอยู่ ”
   
โซแวนยิ้มมุมปากจับข้อมือข้างนึงแน่น
   
“ แล้ว ? ก็เจ้าเป็นเบ๊ข้าก็ต้องว่าได้สิ ”
   
วารันคลี่ยิ้มยียวน
   
โซแวนแค่นเสียงหึโน้มหัวลงไปกระซิบข้างหู
   
“ ถ้าอยากให้ข้าไปต่อคิวซื้อชาโง่ๆ นั่นก็เอาค่าจ้างมา ”
   
“ ไม่ล่ะ เจ้าเพิ่งจะเอาไปเมื่อวันก่อน ”
   
ผลักหน้าโซแวนออกก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างคุ้นตา
   
“ ฟาร์คัส ! ”
   
วารันเรียกด้วยความดีใจลืมไปโดยสิ้นเชิงว่ากำลังตีกับเบ๊ของตัวเองอยู่
   
ฟาร์คัสได้ยินเสียงเรียกก็ยิ้มตอบ
   
“ ข้าดีใจที่ได้พบท่านอีก ”
   
“ ข้าก็ดีใจเหมือนกัน ไม่เจอกันนานเจ้ายังน่าเอ็นดูเหมือนเดิม ”
   
ถึงแม้เสียงที่ออกไปจะแปลกๆ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกของผู้พูด
   
ปีศาจอีกาค้อมหัวให้กับต้นไม้ต้นยักษ์ตรงหน้า   
   
“ ข้าขอขอบคุณท่าน ที่ช่วยชี้ทางให้ข้า.. ”
   
วารันยิ้มกว้างแม้ว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม
   
“ ไม่ต้องขอบคุณหรอก ข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ข้าสามารถทำได้เท่านั้น ”
   
โซแวนมองวารันด้วยสีหน้าเย็นชา
   
โซแวนไม่ได้ผูกพันหรือสนใจอะไรฟาร์คัสเท่าไหร่ เห็นเพียงว่าเป็นอีกาที่วารันเอ็นดูและเขาไม่ได้มีหน้าที่ไปเอ็นดูตาม ทำให้รู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ที่คนรักของตัวเองต้องกลายเป็นแบบนี้เพื่อคนที่ไม่เคยทำประโยชน์อะไรเลย
   
“ ทำได้ ? ทำได้ที่ว่าแลกกับการที่เจ้าตัองอยู่ในนี้  ไม่คุ้มเลยสักนิด ”
   
ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มขี้เล่น ข้าไม่รู้ว่าวารันจะซ่อนความเจ็บปวดอะไรไว้รึเปล่า
   
คนรักอิสระอย่างวารันเหมือนกับนกที่บินไปทั่ว
   
การโดนทำโทษเช่นนี้ก็เหมือนการขังนกอยู่ในกรง
   
วารันยิ้มแห้งๆ ตอบโซแวน
   
“ ข้าขอบคุณท่านจริงๆ ”
   
“ ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ ถ้าอยากจะขอบคุณข้าจริงๆ เจ้าก็ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี่ให้ดีแล้วกัน ”
   
“ มีข้าอยู่ด้วยก็ถือว่าดีแล้ว วารัน ”
   
คาร์บิลัสตอบอย่างมั่นใจ
   
“ ฟาร์คัสอยู่กับท่านคงจะปวดหัวทั้งวัน ”
   
ฟาร์คัสเผยพยักหน้ากับคำพูดวารันไม่รู้ตัว
   
อยู่กับแพะโง่นี่แล้วปวดหัวจริงๆ นั่นแหละ
   
คาร์บิลัสหงอยลงทันที
   
“ ข้าทำให้เจ้าปวดหัวงั้นเหรอ ข้าจะพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น.. ”
   
ไอ้แพะบ้านี่หงอยอีกแล้ว
   
ฟาร์คัสกลอกตา
   
“ เจ้านี่มันซึมง่ายชะมัด ข้าขี้เกียจจะง้อเจ้าแล้วนะ ”
   
แล้ววิธีง้อก็มีแต่แบบเดิมๆ
   
เพราะคิดอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออก
   
ได้ยินแบบนั้นคาร์บิลัสก็หงอยลงกว่าเดิมก่อนจะฝืนยิ้มกว้าง
   
“ ข้าอารมณ์ดี ! ”
   
“ ปัญญาอ่อน ”

-----------------

กะผิดแฮะ ตอนนี้จบภาค 555555  :z6:

แต่ก็มีตอนพิเศษเป็นน้องดัฟฟ์เข้าโรงเรียน กำลังคิดๆ อยู่ว่าจะเขียนเป็นเรื่องยาวดีหรือแค่ตอนพิเศษ 2 ตอน  :really2:   


ตอบเมนต์ ♥

คุณ BlueCherries : แต่ก็ไม่ได้กินฟาร์คัสสักที 555555 ( สงสารเบาๆ )

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : อยู่คนเดียว อยู่ลำพัง หว่าเว้ ~ ♪

คุณ Hang : ตอนนี้ก็โดนเมินอีกเช่นเคย เป็นตัวประกอบไม่ดีเช่นนี้เอง 5555

   
   
   
   
   
 
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 40 7 ธ.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-01-2016 23:36:55
เอ้ยยย จบภาคคืออัลลัยยยยย
คิดถึงนุ้งดัฟืขอยาวๆ เลยน๊า คึคึ

ปล ชอบมาก ศิลปะของการกิน แบบ หยุดขำไม่ได้ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 40 7 ธ.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 08-01-2016 23:16:34
จบภาคแล้ววว  ในที่สุดก็ตามอ่านจนจบ(ภาค)  รู้สึก  เหนื่อยมากก มีหลายตอน  สนุกทุกตอนน. ตอบในนี้ละกันเรื่องใหม่เดี๋ยวตามอ่านน้าาาา.
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 40 7 ธ.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 08-01-2016 23:26:24
เด๋ยวๆๆๆๆๆๆๆๆ

อะไรคือจบภาคคะ? หมายถึงภาค์ฟาร์คัส-คาร์บิลัส?

จะมีคู่อื่นต่อช่ายม้ายยยยยยยยยย  :hao7: :hao7: :hao7:


ฮิ้วววววววว  :mc4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 40 7 ธ.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-01-2016 00:14:07
ต้องมีต่ออีกเยอะๆนะ จะดูแพะโง่
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 40 7 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 09-01-2016 23:40:54
เอามือผลักหัวคาร์บิลัส
   
วารันหลุดขำเมื่อเห็นสภาพของราชาปีศาจ
   
ทั้งๆ ที่อยู่กับข้าดูน่าเกรงขามมากแท้ๆ ตอนอยู่กับฟาร์คัสเหมือนกับว่าเป็นคนละคน
   
ขืนข้าลองเอามือผลักหัวบ้างคงไม่วายโดนเอาดาบฟันแขนขาด
   
แต่ก็ดูเหมาะกับฟาร์คัสดี
   
โดนราชาปีศาจที่เหมือนจะปัญญาอ่อนกวนทั้งวัน
   
วารันคิดเรื่อยเปื่อยก่อนจะสะดุ้งเมื่อจำได้ว่าภาพล่าสุดที่ไปส่องดินแดนปีศาจเป็นยังไง
   
“ พวกเจ้ารีบกลับแดนปีศาจเลย ! ตอนนี้วุ่นวายมาก ”
   
น้ำเสียงร้อนรน
   
“ กบฏ ? ”
   
คาร์บิลัสเลิกเล่นและพูดเสียงเย็น นัยน์ตาดุร้าย
   
“ ไม่ล่ะ ไม่ใช่กบฏ รีบๆ กลับไปก่อนที่ปราสาทเจ้าจะถล่ม ”
   
ฟาร์คัสยังคงงงเป็นอีกาตาแตก ตามไม่ทันในสิ่งที่เกิดขึ้น
   
แต่ราชาปีศาจไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นิดเดียวเพราะเป็นเรื่องของดินแดนตัวเอง หยิบจิ้งจอกที่นอนบนพื้นรวบตัวฟาร์คัสขึ้นมาอุ้มด้วยมือข้างเดียว “ ข้าขอตัวก่อน ขอบคุณสำหรับข่าวสาร ”
   
โซแวนลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ พร้อมกับถาม “ มันมีอะไร ? ”
   
วารันยิ้มแห้งๆ
   
“ ปัญหาครอบครัวน่ะ ”


โฮกกกกก
   
มังกรดำสองตัวคำรามดังลั่นก่อนจะโถมใส่กัน ตัวหนึ่งมีชีวิตและตัวหนึ่งไร้ชีวิต โชคดีที่ปราสาทของคาร์บิลัสสร้างจากวัสดุที่แข็งพอจึงไม่เป็นอะไรมาก แต่บ้านขุนนางที่เหลือ..
   
“ โอ้ยยย แค่ตัวเดียวข้าก็จะบ้าตายอยู่แล้ว จะมาทำไมอี้กก ”
   
ปีศาจแกะโหยหวนดังลั่นไม่ต่างจากคนอื่นๆ
   
“ บ้านข้า บี้แบนหมดแล้ว ฮือๆ ไปกัดกันที่อื่นเถอะ ”
   
“ ท่านคาร์บิลัสช่วยด้วย ช่วยข้าด้วยย ”
   
โครม !
   
มังกรดำที่มีไอวิญญาณอยู่เต็มเปี่ยมตกกระทบพื้นกลางเมืองจนยุบเป็นหลุมใหญ่ มังกรไร้วิญญาณพ่นไฟใส่ทันทีเมื่อสบโอกาส ปีกที่ขาดวิ่นกระพือแรงเพื่อโหมให้ไฟของมันแรงขึ้น
   
“ แก๊ซซซ ! ”
   
มังกรดำตัวเล็กกว่าเกือบเท่าตัวบินพั่บๆ มาก่อนจะบินไปชนหน้ามังกรไร้วิญญาณ
   
สัตว์อารักขาของคาร์บิลัสพยายามสลัดดัฟฟ์ออกไม่ทำร้ายเพราะรู้ว่าเป็นครอบครัวของคาร์บิลัส แต่เมื่อสลัดเมื่อไหร่ก็ไม่หลุดสักทีตัดสินใจอ้าปากรวบรวมไฟสีดำทมิฬจนหมุนริ้ว
   
ดัฟฟ์สะดุ้งในความร้อนรีบบินไปอยู่ข้างๆ มังกรดำตัวยักษ์
   
นัยน์ตาไร้วิญญาณจ้องดัฟฟ์กับมังกรดำนิ่งราวกับกำลังพิจารณาพร้อมกับตำหนิ
   
พลังในปากยังคงหมุนริ้ว
   
ก่อนจะหายไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงที่รู้จัก
   
“ อย่าพ่นมันออกมา มันจะทำให้ปราสาทข้าเป็นรอยดำ ”
   
คาร์บิลัสพูดเบาๆ แต่กลับดังก้อง โยนจิ้งจอกในมือให้กับคอร์สที่ยืนอยู่ไกลๆ ได้อย่างแม่นยำ
   
“ แก๊ซๆๆๆ  ”
   
ดัฟฟ์เห็นฟาร์คัสก็ดีใจมากส่ายหางไปมาพร้อมร้องเสียงดัง

ฟาร์คัสหลุดยิ้ม
   
แพะโง่กับดัฟฟ์นี่เหมือนกันชะมัด
   
ลูกหมาดีๆ นี่เอง
   
ไอ้แก๊ซๆ ที่ร้องอยู่คงไม่วายพูดว่าแม่
   
แต่ปฏิกิริยาของมังกรดำที่บุกรุกข้างๆ กลับแปลกไป มันชะงักก่อนจะมองฟาร์คัสนิ่ง
   
ฟาร์คัสจ้องกลับอย่างไม่กลัวเกรง
   
ราชาปีศาจข้ายังไม่กลัวทำไมข้าจะต้องกลัวกับแค่มังกรดำ
   
ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อนหันไปเอาหัวถูไถดัฟฟ์
   
“ แก๊ซ ๆ ” ดัฟฟ์เอาหัวไถตอบก่อนจะไล่งับหางเล่น
   
“ เจ้ารู้จักงั้นเหรอ ดัฟฟ์ ? ”
   
ฟาร์คัสถามด้วยความงุนงง
   
ดัฟฟ์หันขวับทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองและเปลี่ยนร่างเป็นคนนั่งบนหลังมังกรดำ “ รู้จักสิ แก๊ซ แม่ แม่ดัฟฟ์ ! ” ดัฟฟ์นอนราบพยายามกอด
   
คาร์บิลัสถอนหายใจหน้าเซ็งสุดขีด “ ข้าก็นึกว่าเกิดเรื่องอะไร ”
   
แต่ฟาร์คัสไม่ได้เซ็งเหมือนคาร์บิลัส
   
เพราะการที่แม่ของดัฟฟ์มาหาดัฟฟ์นั่นไม่เท่ากับว่ารับตัวงั้นเหรอ ?
   
ถึงจะดูแลไม่ดีเท่าที่ควรแต่ฟาร์คัสก็ยอมรับว่าตัวเองเอ็นดูดัฟฟ์เหมือนกัน
   
“ เจ้าจะเอาคืนไปงั้นเหรอ ”
   
ฟาร์คัสถามเสียงเรียบไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าในใจนั้นตรงกันข้าม
   
ดัฟฟ์เป็นหนึ่งในสิ่งที่ฟาร์คัสเริ่มไว้ใจและเอาใจใส่
   
มังกรดำร่างยักษ์พ่นควันออกมา เมื่อควันจางลงก็ปรากฏร่างผู้หญิงตาคมผมสีดำสนิทเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์อุ้มดัฟฟ์ที่ฟาร์คัสคิดว่าตอนนี้หนักเหมือนหมูสักตัวได้สบายๆ
   
“ สบายใจได้อีกา ข้าไม่เอาคืนหรอกน่า ”
   
พูดพร้อมหัวเราะเบาๆ เอามือยีหัวดัฟฟ์จนฟูฟ่อง
   
“ ธรรมเนียมของมังกรดำคือการปล่อยให้เอาชีวิตรอดเองเมื่อถึงเวลา มันสนุกกว่าการเติบโตแบบปกติจะตายไป ”
   
“ หิว แก๊ซ ”
   
ดัฟฟ์งับแขนแม่แท้ๆ ตัวเองและแทะ โชคดีที่ร่างมนุษย์ของมังกรดำหนังแข็งพอๆ กับตอนเป็นมังกรมันจึงไม่ระแคะระคายอะไรมากมาย
   
“ แล้วเจ้าจะสู้กับมังรข้าไปทำไม ” คาร์บิลัสถามพร้อมดีดนิ้วให้เจ้ามังกรที่ว่าหายไป
   
“ ก็ข้าอยากรู้น่ะสิว่าลูกข้า ได้พ่อแม่คนใหม่ที่เก่งกาจพอที่จะสอนเขาหรือเปล่า ”
   
คาร์บิลัสยิ้ม
   
“ ฐานะราชาปีศาจเพียงพอไหม ? ”
   
คนที่ถามได้ยินคำตอบก็หัวเราะลั่น “ เกินพอเลยล่ะ เจ้าหนูนี่โชคดีกว่าข้าเยอะ ตอนข้าอายุเท่านี้ข้ายังต้องเอาชีวิตรอดในป่าไฟอยู่เลย ท่านพ่อของข้าเล่นโยนไปในที่แบบนั้น ข้าเลยได้แต่เรียนรู้เอง ”
   
บาดแผลบนร่างตอกย้ำถึงคำพูด
   
“ แต่ก็ดีแล้วล่ะ มีคนดีๆ มาดูแล เผ่าพันธุ์เราจะได้ไม่จนตรอกอยู่กับความรู้เดิมๆ ”
   
บนสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
   
แต่ไม่ว่าใครที่เห็นสีหน้าก็ล้วนดูออกว่าเศร้าใจอยู่ไม่น้อย
   
ใครบ้างที่จะไม่เสียใจเมื่อต้องทิ้งลูกของตัวเองไป
   
ธรรมเนียมที่มีมาแต่ดั้งเดิมไม่สามารถปฎิเสธได้
   
ยอมหักใจตัวเองเพื่อทำมัน
   
เพื่อเผ่าพันธุ์
   
บนโลกใบนี้เต็มไปด้วยความเชื่อที่แตกต่าง การกระทำที่แตกต่าง และจุดประสงค์ที่แตกต่าง การทำสิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งนั้นเช่นกัน
   
“ ข้าจะดูแลดัฟฟ์อย่างดี ”
   
เมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นฟาร์คัสไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้
   
ผู้ฟังที่ได้ยินแบบนั้นยิ้มยิงฟัน
   
“ ลูกข้าอ้วนเป็นหมูแบบนี้ย่อมมาจากการเลี้ยงดูที่ดีอยู่แล้ว พวกเจ้าสิต้องทำใจ ลูกข้ากินจุมาก หิวทั้งวัน ”
   
ฟาร์คัสพยักหน้ารับซึมๆ
   
นี่ไม่เท่ากับว่าข้าเอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงเลยงั้นเหรอ ?
   
แย่ชะมัด
   
“ อย่าเศร้าสิ อีกา ! มังกรดำขึ้นชื่อเรื่องความสันโดษและการผจญภัย การผจญภัยที่ต้องระวังหน้าระวังหลังมันไม่สนุกหรอกนะ  ”
   
“ ถ้าแม่ของดัฟฟ์ว่าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องคิดมากหรอก ฟาร์คัส ”
   
คาร์บิลัสเข้าประชิดตัวฟาร์คัสเอามือลูบหัว
   
อีกาของข้า
   
“ เอาล่ะ ! ถึงเวลาที่ข้าจะต้องไปต่อแล้ว ” มือที่ยีหัวเปลี่ยนเป็นลูบใบหน้าดัฟฟ์เบาๆ ด้วยความรักใคร่ กระซิบเสียงเบา “ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ โคลบี้ ”
   
ดัฟฟ์เลิกแทะแขนเปลี่ยนเป็นน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่าแม่ตัวเองจะทิ้งตัวเอง
   
“ แง้ ทิ้งดัฟฟ์ อีกแล้ว ”
   
“ มังกรดำเจ็บปวดเพื่อเติบโต โคลบี้ ”
   
จูบหน้าผากดัฟฟ์ก่อนจะสาวเท้ามาใกล้ฟาร์คัส
   
“ ข้าขอฝากพวกท่านด้วย ถ้ามีโอกาสข้าจะมาเยี่ยมอีก ”
   
พูดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าซ่อนน้ำตาที่คลอหน่วง
   
“ เป็นเกียรติของข้า ”
   
คาร์บิลัสตอบเสียงมั่นคง นัยน์ตาทอประกายระยับเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก
   
“ เขาจะเป็นราชาต่อจากข้า ราชาปีศาจมังกรดำ เจ้าของปีศาจทั้งมวล ”
   
แม่ของดัฟฟ์ลมหายใจสะดุดเมื่อได้ยินดังนั้นก่อนจะยิ้ม
   
ยิ้มทั้งน้ำตาของความดีใจ
   
“ ขอบคุณท่าน ขอบคุณท่านมาก ”
   
มังกรดำไม่เคยมีประวัติว่าได้เป็นราชามาก่อน
   
ถ้าหากดัฟฟ์ได้เป็น
   
ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งต่อเผ่าพันธุ์
   
มือที่เคยสั่นค่อยๆ บรรเทาและบรรจงยื่นดัฟฟ์ให้กับอีกา
   
“ ฮึก แม่ อย่าทิ้งดัฟฟ์ อยู่ด้วยกัน แง้ อยู่ด้วยกันสิ ”
   
มือสั้นๆ พยายามคว้าแขนแม่ของตัวเอง
   
“ ข้าฝากโคลบี้.. ไม่สิดัฟฟ์ด้วยนะ ”
   
“ อืม.. ”
   
ฟาร์คัสกอดดัฟฟ์แน่นรั้งตัวไม่ให้ไปหาแม่จริงๆ ของตัวเอง จนกระทั่งลับสายตาถึงหยุดแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น ฟาร์คัสลูบหลังเบาๆ
   
“ จริงรึเปล่า ? ที่เจ้าจะให้ดัฟฟ์เป็นราชาต่อจากเจ้า ”
   
คาร์บิลัสพยักหน้ายิ้มๆ
   
“ จริงสิ ถ้ามังกรบ้านี่เป็นราชาแทนข้าได้ ข้ากับเจ้าก็เอาเวลาไปเที่ยวกันสองต่อสองได้ทุกวันเลย ! ”
   
“ ไอ้แพะเวร ”
   
ฟาร์คัสสบถ
   
ข้าก็คิดว่าเจ้ารักดัฟฟ์มากซะอีก
   
“ แต่ข้ารักเจ้านะ ”
   
คาร์บิลัสอารมณ์ดีมากเมื่อวาดฝันว่าอนาคตจะได้ไปเที่ยวกับฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสเมื่อเจอคำตอบแบบนี้ก็ไปไม่ถูกได้แต่นิ่งเงียบ
   
“ จะว่าไปทำไมข้าถึงไม่เห็นบ้านพวกขุนนางล่ะ ”
   
คาร์บิลัสหันซ้ายหันขวาเห็นแต่เศษซากไม้กับหินที่แหลกละเอียด
   
“ ท่านคาร์บิลัส ในที่สุดท่านก็กลับมา ”
   
ชาคอสวิ่งมาเป็นคนแรกพร้อมเอกสารในมือที่สูงท่วมหัว
   
“ นี่เป็นเอกสารด่วนขอรับ ต้องการคำอนุมัติตอนนี้เลย ข้าผัดพวกเขามาหลายครั้งแล้ว  ”
   
ขุนนางที่เพิ่งเสียบ้านไปหมาดๆ ร้องไห้โฮวิ่งมาหาคาร์บิลัส
   
“ ฮือๆๆ ช่วยด้วย ท่านคาร์บิลัส บ้านข้าบี้แบนแล้ว ”
   
ก่อนจะตามด้วยคนอื่นๆ มากมายที่ต้องการให้คาร์บิลสกระทำสิ่งต่างๆ
   
คาร์บิลัสหันไปมองฟาร์คัส
   
ฟาร์คัสยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าจะร้องไห้ของราชาปีศาจ
   
เป็นการต้อนรับกลับบ้านที่อบอุ่นชะมัด

----------------------------
จบภาคนี้แล้วเย้  :mc3: ภาคนี้เหมือนจะมีเพื่อแสดงให้เห็นว่าฟาร์คัสรักแพะโง่จริงๆ ละลายความปากไม่ตรงกับใจให้หายไป

ตอนหน้าจะเป็นตอนของดัฟฟ์ ที่ยังคงคิดไม่ออกว่าจะเป็นตอนพิเศษดีหรือภาคดี ภาคจะเขียนยากกว่า  :z3: แต่ก็สนุกดีถ้าเขียน

คาร์บิลัสยังไม่มีบุญได้กินฟาร์คัสเลย ไว้ภาคหน้าไม่ก็ตอนพิเศษต้องได้สักตอนแหละน่า  :o8:

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามถึงตอนนี้ค่ะ  :กอด1:

ตอบเมนต์ ~

คุณ lizzii : จบภาคนี้ แต่ภาคต่อนี่ยังไม่แน่ชัด  :mew2: ( ยังหาพลอตไม่ได้ 555555 คิดออกแค่ดัฟฟ์เข้ารร. เอง)

คุณ Hang : ดีใจที่ชอบน้าา  :mew1:

คุณ BlueCherries : แพะโง่ยังไม่ได้กินอีกา ต้องมีต่อสักหน่อยค่ะ  :hao7: ภาคนี้เป้าหมายหลักคือการเอาวิญญาณคืนให้ร่างนาซัส พอได้คืนก็ถือว่าจบภาคพอดี ( ภาคละ 10 ตอนชัดๆ 5555 เอลล์ 20 แน่ะ 0.0 )  ส่วนคู่อื่นยังไม่รู้เลยจะเขียนคู่ไหนดี  :really2: เยอะมาก

คุณ •♀NoM!_KunG♀• :  :man1: รอชมแพะโง่กินอีกากันค่ะ  :haun4:
   
   
   

   
   
   
   
   
   
 
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 40 9 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 10-01-2016 00:04:52
ภาคหน้าตัวละครหลักยังจะเป็นคาร์บิลัส-ฟาร์คัสอยู่ไหมคะ?

มีลูกคือดัฟฟ์สินะ  :hao7:

หึหึ คาร์บิลัสแผนสูงจริ๊งงงงงงงง :laugh:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 40 9 ธ.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-01-2016 00:39:28
เอาเป็นภาคไปเลยยยยยยย ดัฟน่ารัก อิอิ

มังกรกะจิ้งจอก ใครจะกินใครนะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 40.1 [ เสริมตอน 40 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 10-01-2016 09:24:57
ตอนที่ 40.1
   
พั่บๆๆ
   
เหยี่ยวสีดำตีปีกบินเข้าไปหาคาร์บิลัสจนจะเกือบกระแทกหน้า
   
คาร์บิลัสสบถแล้วจับตัวเหยี่ยวให้อยู่นิ่งๆ
   
“ มีอะไร ? ”
   
เหยี่ยวสีดำใช้สำหรับการสื่อสารของดินแดนมาร..
   
“ จงอธิบายในสิ่งที่เจ้ากระทำต่อดินแดนของข้า หากข้ายังไม่ได้รับคำอธิบายใน 2 วันนี้เห็นทีว่าความสัมพันธ์ครั้นบรรพุบุรุษคงต้องสะบั้น ! ”
   
เมื่ออ่านจบคาร์บิลัสก็เหลือบมองต้นเหตุที่กำลังนั่งดินอาหารอยู่กับดัฟฟ์เงียบๆ
   
จิ้งจอกขาวนรกแตกเอ๊ย !
   
หลังจากที่ข้าโยนจิ้งจอกขาวให้คอร์ส เจ้ากระต่ายอ้วนก็รู้หน้าที่ของตัวเองดีคือการเอาวิญญาณไปใส่ในร่าง แต่เมื่อข้ามาถึงห้องก็พบว่าเจ้าจิ้งจอกเอาแต่นอนนิ่งไม่ยอมเข้าร่างของตัวเอง ข้าเลยต้องจับมันแนบกับร่างไร้วิญญาณของนาซัสซะ มันดิ้นพล่านเหมือนโดนน้ำร้อนลวกกรีดร้องดังลั่น
   
หลังจากนั้นร่างของนาซัสจะลืมตาขึ้นมาพร้อมกับหูและหางจิ้งจอกสีขาวที่ส่ายไปมา ทิ้งสายเลือดภูตให้หายไปเหลือเพียงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง หน้าตาของนาซัสไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายนอกจากตาที่ดูเหมือนจิ้งจอกมากขึ้นเท่านั้น
   
“ ในนั้นเขียนว่าอะไร ? ”
   
ฟาร์คัสที่นั่งคั่นระหว่างเด็กสองคนถาม
   
“ ประกาศสงครามน่ะ ”
   
คาร์บิลัสผลุดลุกขึ้น
   
สงครามพรากคนที่ข้ารักไปเกินพอแล้ว
   
ถึงข้าจะมั่นใจว่าถ้าเกิดขึ้นสงครามขึ้นมาข้าจะชนะก็ตาม
   
“ แล้วเจ้าจะตอบว่า ”
   
“ ไม่ไงล่ะ เปลืองเวลาจะตายกับสงครามโง่ๆ ที่ได้ดินแดนเพิ่มมาดินแดนนึงพร้อมกับเสียคนของเราไปตั้งเท่าไหร่ ชาวปีศาจไม่สมควรตายเพราะเรื่องแบบนี้เท่าไหร่หรอก ”
   
ฟาร์คัสพยักหน้ารับก่อนที่จะก้มหน้าก้มตากินต่อไม่สนใจจะพูดอะไรต่อ
   
“ เจ้าจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าข้าจะไปไหน ”
   
คาร์บิลัสมองฟาร์คัสอย่างคาดหวัง อย่างน้อยคำอวยพรหวานๆ ก็ยังดี
   
“ ก็ไปเคลียร์เรื่องที่เจ้าทำไว้ไง ข้าจะถามทำไมในเรื่องที่ข้ารู้อยู่แล้ว ? ”
   
“ ... ”
   
คาร์บิลัสเลยต้องกลั้นกลืนความเสียใจไปดินแดนมารคนเดียว
   
ทันทีเท้าเข้ามาในดินแดนก็ถูกดึงตัวไปอยู่กลางเมืองทันที ที่ๆ เคยมีที่ตั้งของรูปปั้นข้างซากปรักหักพังมีคาเลนที่ยืนรออยู่พร้อมทหารนับร้อยนายอาวุธครบมือ
   
คาเลนเมื่อเห็นราชาปีศาจก็สาวเท้าเข้าไปหาทันที นัยน์ตาทอประกายโกรธขึ้ง คาเลนถึงแม้จะดูงี่เง่าแต่เธอไม่เคยนำเรื่องส่วนตัวมาร่วมกับเรื่องเกี่ยวกับดินแดน
   
ความบาดหมางอับอายทุกอย่างที่เคยทำเป็นการส่วนตัวกับคาร์บิลัส จึงถูกลืมไป
   
เหลือเพียงความภักดีต่อดินแดน
   
“ เจ้าทำลายรูปปั้นทำไม ? ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยมาสักการะมันในวันเกิดของข้าอยู่นะ ท่านคาร์บิลัส “
   
น้ำเสียงที่เคยหวานเชื่อมเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ
   
“ เจ้าเคยได้ยินตำนานจิ้งจอกขาวไหม ? ”
   
คาเลนชะงักกับคำตอบ ใช้เวลาครุ่นคิดสักพักจึงจะพยักหน้า
   
“ จิ้งจอกสีขาวถูกผนึกอยู่ในรูปปั้น ข้าเลยช่วยปลดปล่อยมันออกมา ”
   
เจ้าของดินแดนมารโกรธจนตัวสั่นเมื่อฟังคำตอบ   
   
“ เจ้ากำลังเล่นอะไรอยู่คาร์บิลัส !! เอาตำนานที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่ามาตอบในสิ่งที่เจ้าทำ ! ”
   
คาร์บิลัสไม่ตอบโต้กลับด้วยอารมณ์เดียวกัน
   
เพราะเข้าใจดีว่าหากระเบิดอารมณ์กลับคงไม่วายเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ
   
“ พยานหลักฐานที่เห็นจิ้งจอกขาว ข้าคิดว่ามีมากพอที่จะยืนยันคำพูดของข้า ”
   
“ ใคร ! ใครเห็นว่าไอ้จิ้งจอกนั่นออกมาจากรูปปั้น ”
   
ชาวมารที่ยืนอยู่รอบๆ ไม่มีใครกล้าขยับตัวเมื่อเห็นสายตาของคาเรน
   
“ สรุปว่ามีใครเห็นไหม ! ”
   
“ ขะ ข้าเห็น ”
   
ร่างมารตัวเล็กยกแขนตัวเองเรียกความสนใจ
   
คาร์บิลัสยิ้ม
   
เด็กมารที่ฟาร์คัสช่วยไว้
   
“ เจ้าแน่ใจงั้นเหรอ ว่าเจ้าเห็นจิ้งจอกขาวนั่น ? อย่าคิดจะโกหกตั้งแต่เด็กนะ ”
   
เด็กน้อยส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ ข้าแน่ใจ !  ข้าเห็นจิ้งจอกสีดำ มันจะกินข้า แต่ราชาปีศาจช่วยข้าไว้ ”
   
สีดำ ?
   
ในตำนานได้กล่าวถึงสิ่งนี้เช่นกัน
   
“ เด็กจะไม่พูดปดหรอกนะ คาเรน ”
   
“ แต่เจ้าทำลายรูปปั้นนั่นไป ! จะให้ข้าทำยังไง ? มันสำคัญกับดินแดนมารพอๆ กับการมีอยู่ของข้าเลยนะ ! ”
   
“ เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่เจ้าสักการะอยู่นั้นชื่ออะไร ? ทำอะไรให้ดินแดนมารบ้าง ? พวกเจ้าถูกทำให้เชื่อว่าเขาคือราชามาร บทกวีเก่าๆ สรรเสริญในสิ่งที่เขากระทำแต่ไร้หลักฐาน นักกวีสามารถเขียนอะไรก็ได้ สิ่งที่เจ้ากำลังเชื่ออาจจะเป็นแค่สิ่งที่กวีเขียนขึ้นมาเพื่อเติมเต็มในสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ รูปปั้นนี่สร้างจากอะไรยังไม่มีใครรู้เลย อย่าอ้างว่าเวลา ถ้าพวกมารสร้างขึ้นมาจริงคงจะมีบันทึกแล้ว ขนาดปราสาทข้าที่ว่าเก่าพอๆ กับเจ้ายังมีบันทึกอยู่เต็มห้องสมุดเลย ”
   
คาเลนพูดอะไรไม่ออก
   
“ เจ้าก็รู้นี่ว่าตำนานของจิ้งจอกน่าเศร้าขนาดไหน เป็นเจ้าไหมล่ะ ที่ถูกพันธนการไว้ในรูปปั้น ตั้งแต่ก่อตั้งดินแดนมารจนถึงตอนนี้ ความเหงา ความเศร้าโศก ความเคียดแค้น ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความสันโดษ ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อข้าว่าจิ้งจอกที่ข้าพูดถึงมีจริง ก็จงมาดูกับตาที่ดินแดนของข้า ห้องรับรองของข้ายังว่างอยู่ ” คาร์บิลัสละสายตาจากคาเลนมาที่ชาวมาร “ พวกเจ้าจะยึดติดกับรูปปั้นไปทำไม ? ไม่สู้เคารพนายของดินแดนเจ้าไม่ดีกว่าหรือ คาเลนเป็นราชินีองค์ปัจจุบันของดินแดนเจ้า มีอยู่จริง ไม่มีทางที่นักกวีคนใดจะสร้างขึ้นมาในจินตนาการได้ ”
   
คาร์บิลัสนอกจากพละกำลังมหาศาลก็ยังเป็นนักพูดที่ดี
   
“ ข้าขอปฏิเสธจะทำสงครามกับดินแดนมารเพราะเรื่องรูปปั้นนี่ ไตร่ตรองให้ดีถ้าคิดจะไม่เชื่อข้า ”
   
ราชาปีศาจค้อมกายสง่างาม
   
“ ข้าคงต้องไปแล้ว ชายาของข้ายังรอร่วมโต๊ะกับข้าอยู่ ”
   
ไม่รอให้ใครพูดอะไรคาร์บิลัสก็กลับทันที

   
หลังจากวันนั้นสองสามวันก็มีเหยี่ยวขาวบินมาเกาะบนเก้าอี้ของคาร์บิลัส
   
บอกเล่าถึงรูปปั้นของตัวเองที่มีขึ้นแทนที่สวยมากและพยายามเชิญชวนให้มาอีก ความกลัวในตัวคาร์บิลัสหายไปแล้ว คาเลนกลับมาชอบคาร์บิลัสใหม่ด้วยความชอบที่มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว หลงใหลในความสง่างามของราชาปีศาจแม้ว่าจะรู้ว่ามีชายาอยู่แล้ว ผู้คนในเมืองมารเชื่อในสิ่งที่คาร์บิลัสพูดจึงไม่ถือสาเอาความอะไร จิ้งจอกที่พวกเขาเห็นนั้นแทบจะพรากชีวิตพวกเขาไป หากไม่ได้ราชาปีศาจช่วยไว้ก็เอารอดเช่นกัน เมืองมารจึงมีรูปปั้นคาเลน ของบูชาคือดอกไม้เสื้อผ้าและของสวยๆ งามๆ คาเลนจะมารับด้วบตัวเองทุกเดือน
   
ฟาร์คัสแย่งจดหมายในมือคาร์บิลัสไปอ่าน สายตากรอกไปกรอกมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นคำชวนก็จ้องคาร์บิลัสนิ่ง
   
คาร์บิลัสสะดุ้ง
   
“ ไม่ๆๆ ข้าไม่ไปหรอก จะไปทำไม ไปแค่ในวันเกิดก็พอแล้ว ”
   
ฟาร์คัสรับคำในลำคอเชิงรับรู้ก่อนจะยื่นเด็กสองคนในมือที่พามาด้วยให้กับคาร์บิลัส
   
“ พ่อ พ่อ ”
   
นาซัสที่ดูเหมือนว่าความทรงจำจะหายไปหมดพูด
   
“ แก๊ซ หิว อยากกินน่องไก่ ! ”
   
ดัฟฟ์เกาะขาคาร์บิลัสข้างนึง
   
ส่วนนาซัสที่ตัวเล็กกว่าเกาะดัฟฟ์อีกที
   
คาร์บิลัสมองหน้าฟาร์คัสเลิกลั่ก
   
“ ข้าจะไปนอน เด็กพวกนี้น่ารำคาญ ข้าไม่ได้นอนมาสองวันแล้ว ”
   
ฟาร์คัสพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึงทิ้งให้คาร์บิลัสดูแลเด็กน้อยสองคนไว้
   
“ ทำไมราชาปีศาจอย่างข้าต้องมาเลี้ยงเด็กอย่างพวกเจ้าด้วย ”
   
คาร์บิลัสถอนหายใจเซ็งๆ

-------------------
เคลียร์ปมที่ยังเหลือค่ะ 5555

ตอบเมนต์ ♥

คุณ BlueCherries : ยังอยู่ค่ะ แต่บทน่าจะน้อยลง โฟกัสไปที่น้องดัฟฟ์กับเพื่อนในวัยเรียนทั้งหลาย 55555 ยังลังเลอยู่ว่าจะทำเป็นภาคดีไหม คุณบลูเชอร์รี่ว่าเป็นภาคดีไหมคะ  :really2:

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : เชียร์ได้นะคะ ว่าอยากให้กินใคร ตอนนี้ยังไม่ได้วางไว้เลยว่าใครจะกินใคร  :o8:    
   
   
      
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 40.1 [ เสริมตอน 40 ]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-01-2016 11:16:26
ฮ่าๆๆๆ กลายเป็นคุณพ่อฟูลไทม์ซินะคาร์บิลัส
ส่วนตำแหน่งราชาปีศาจนี่เป็นงานพาร์ทไทม์ ดีๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 40.1 [ เสริมตอน 40 ]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-01-2016 13:09:28
55555++ ให้ดัฟโดนกิน
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 41 # ครึ่งแรก 16 ม.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 16-01-2016 23:43:02
ตอนที่ 41
   
แจ๊บๆ
   
คอร์สเคี้ยวแครอทหงุบหงับนับเลขในใจ
   
“ แง้ แม่ ดัฟฟ์หิว ”
   
ดัฟฟ์งอแงเกาะขาฟาร์คัสที่นั่งอ่านเอกสารข้างคาร์บิลัส
   
“ หิว หิว ”
   
ส่วนนาซัสเกาะคาร์บิลัสทวนคำ
   
“ เจ้าเพิ่งจะกินไป ดัฟฟ์ ”
   
ฟาร์คัสผลักหัวดัฟฟ์ออกด้วยความรำคาญ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของวัน
   
“ แง้ ข้ากำลังโต ต้องกินเยอะๆ ”
   
“ กิน กิน ”
   
เป็นคาร์บิลัสที่ทนไม่ไหว
   
“ ข้าไม่ไหวแล้ว ! คอร์สเจ้าจะเอาเด็กสองคนนี้เข้าโรงเรียนไปเลย ไม่ต้องรอปีหน้าแล้ว เอามันวันนี้ตอนนี้เนี่ยแหละ ! ” คาร์บิลัสคำรามออกมาดังลั่น แค่เอกสารที่กองพะเนินก็ทำให้ราชาปีศาจหงุดหงิดพออยู่แล้ว
   
คอร์สโยนแครอทเข้าปากคำเดียว
   
เป็นไปตามที่ข้าคิด
   
“ ขอรับ ท่านคาร์บิลัส ”
   
กระต่ายตัวอ้วนค้อมหัวรับ ลากเด็กทั้งสองออกจากห้องตามบัญชาของคาร์บิลัส
   
เดิมทีการจะเข้าเรียนในโรงเรียนปีศาจมักจะรับทุกต้นปีเพื่อให้การศึกษาเป็นไปในรูปแบบเดียวกัน จะได้ไม่มีผู้ตกค้างในแต่ละรุ่นให้ยุ่งยาก แต่ในเมื่อผู้ปกครองของทั้งสองเป็นถึงราชาปีศาจ
   
กฎก็ไม่สามารถทำอะไรได้
   
   

“ เจ้านี่มันใจร้ายชะมัด ” ฟาร์คัสอดบ่นไม่ได้รู้สึกห่วงเด็กสองคนนั้นไม่น้อย
   
“ จะให้ข้าทำยังไง ขืนยังอยู่มีหวังงานของข้าก็คงไม่มีวันเสร็จ และข้าก็ต้องอยู่แต่ในนี้ไม่มีโอกาสได้ไปอยู่ห้องนอนของเจ้ากับข้า ” คาร์บิลัสพูดออดอ้อนไม่มีความสลดแฝงในสีหน้านักนิด
   
“ หุบปากไป ”
   
ฟาร์คัสพูดเสียงขุ่น
   
ชาคอสดูเหมือนจะรู้ใจเจ้านายตัวเองดี ถึงได้ทำให้ห้องนอนเก่าข้ากลายเป็นที่เก็บเอกสารของคาร์บิลัสที่รกจนหาที่ว่างไม่เจอ หากข้านอนในนั้นคงถูกเอกสารทับตาย
   
“ แต่ข้าอยากคุยกับเจ้า คงทำไม่ได้หรอก ”
   
คาร์บิลัสหัวเราะเบาๆ เซ็นอนุมัติคำขอของเจ้าเมืองนึงถึงการลดหย่อนภาษี
   
“ ข้าดูอยากคุยกับเจ้า ? ”
   
ฟาร์คัสวางเอกสารลงตรงหน้าคาร์บิลัสดังปัก
   
“ เอกสารเกี่ยวกับการเชิญเจ้าไปเป็นประธานเปิดประตูทางเชื่อมดินแดนมนุษย์ ”
   
คาร์บิลัสตาพราวระยับเซ็นอนุมัติโดยไม่ต้องคิด
   
คนยื่นเอกสารถึงกับหลุดขำ
   
“ เรื่องเที่ยวขอให้บอกจริงๆ ”
   
“ แน่นอน อยู่แต่ในห้องข้าคงได้เป็นปีศาจอ้วนๆ ทำอะไรไม่เป็นนอกจากกินกับเซ็นเอกสารพวกนี้ ” คาร์บิลัสพยักเพยิดไปข้างหลังที่ยังเหลืออีกเยอะ ผลของการอู้อันยาวนานสัมฤทธิ์ผลก็ตอนนี้เนี่ยแหละ
   
“ เป็นราชาปีศาจต้องยุ่งกับเอกสารเยอะถึงขนาดนี้เชียว ”
   
ปีศาจอีกาคิ้วขมวด      
   
ถ้าเป็นแล้วต้องเจอเอกสารเยอะขนาดนี้ ต่อให้ได้ตำแหน่งมาข้าก็ไม่เอา
   
“ ความจริงมันก็ไม่ได้เยอะอะไรมาก ใจความสำคัญมีเพียงหน้าแรกส่วนที่เหลือก็อย่างที่เจ้าเห็น คำสรรเสริญเยินยอข้าทั้งนั้น พวกเจ้าเมืองพวกนี้หวังเงินหวังตำแหน่งจากข้า คอร์สก็คงจะเห็นแก่ที่ยอมเขียนมือมาเลยไม่ได้สรุปมาให้ข้าเหมือนทุกที ”
   
ฟาร์คัสครางในลำคอรับ
   
“ ข้าไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน ”
   
พูดจบขาก็ก้าวทันทีไม่รอฟังคำตอบจากคาร์บิลัสว่าจะไปด้วยไหม
   
“ เจ้าจะทิ้งข้าไว้ในห้องคนเดียวจริงๆ เหรอ ”
   
คาร์บิลัสจ้องฟาร์คัสเศร้าๆ
   
หน้าห้องทำงานของคาร์บิลัสมีชาคอสกับทหารฝีมือดีเฝ้าอยู่ไม่ให้ราชาปีศาจหนีออกไปง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงถ้าคาร์บิลัสอยากจะหนีไปจริงๆ ก็หนีได้
   
เพียงแต่ว่าฟาร์คัสกับชาคอสสนิทกันอย่างน่าตกใจ
   
ชาคอสถึงได้ฝากให้ฟาร์คัสมานั่งเฝ้าคาร์บิลัสทำเอกสาร
   
ส่วนตัวเองก็ยืนหน้าห้องอีกแรงป้องกันในกรณีที่ราชาปีศาจไม่ไว้หน้าชายา หนีออกจากปราสาทไปอู้ที่อื่น
   
น่าเสียดายเพราะมันคงไม่เกิดขี้น
   
ราชาปีศาจตอนนี้รักและเทิดทูนอีกาของตัวเองมากๆ
   
จะให้ขัดใจก็คงไม่ใช่เรื่อง
   
“ แล้วจะให้ข้าหิวตายอยู่ในห้อง ? ”
   
“ ข้าสั่งให้เอาเข้ามาก็ได้ ”
   
ฟาร์คัสชั่งใจ แต่พอเห็นสายตาเศร้าๆ ของราชาปีศาจก็ใจอ่อน
   
เป็นหมาหรือแพะกันแน่
   
ฟาร์คัสคิดเซ็งๆ
   
“ เจ้าจะกินอะไร เดี๋ยวข้าบอกชาคอสเอง ”
   
คาร์บิลัสยิ้มมั่นใจ
   
“ ฟาร์คัส ! ”
   
เจ้าของชื่อขมวดคิ้ว “ อย่ามาเล่นลิ้นนัก คาร์บิลัส ” แต่หูกลับแดงก่ำเมื่อนึกถึงรสจูบเมื่อวาน
   
คาร์บิลัสหัวเราะ
   
“ หึๆ จะเอาอะไรก็เอามาเถอะ ข้ากินได้หมดนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นเจ้าให้ข้ากิน ข้าจะดีใจมาก ”
   
เชื่อเลยว่าถ้าข้าได้กินอีกา เอกสารพวกนี้ข้าสามารถทำเสร็จได้ในวันเดียว
   
ปัง
   
ประตูถูกปิดเสียงดังลั่น
   
แต่ก็คงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่
   
เฮ้อ

ราชาปีศาจถอนหายใจเศร้าๆ
   

“ แก๊ซ ! ” ดัฟฟ์อุทานตาโตเมื่อปรากฏอยู่ในโรงอาหารของโรงเรียนปีศาจ มีร้านขายอาหารเปิดเต็มทุกแรงเต็มไปด้วยอาหารของเผ่าปีศาจแต่ละเผ่ามีตั้งแต่ปกติยังไม่ปกติ ช่วงนี้เป็นช่วงพวกเที่ยงพอดีทำให้แต่ละร้านมีคิวปีศาจต่อกันยาวเหยียด โต๊ะอาหารสำหรับกินข้าวก็เต็มไปด้วยปีศาจที่กำลังนั่งกินเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นที่ๆ วุ่นวายมากที่สุดแห่งหนึ่งของโรงเรียน
   
ปีศาจส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับผู้ที่ปรากฏกลางโรงอาหารทันที เสื้อผ้าธรรมดาที่ไม่ใช่ชุดโรงเรียนทำให้ปีศาจหลายตนอดข้องใจในตัวดัฟฟ์กับนาซัสไม่น้อย กฎของที่นี้มีมากมายรวมถึงการเรียนที่นี้ก็ต้องสวมเสื้อนักเรียนของที่นี้ ถือเป็นการแก้ปัญาหาความเหลื่อมล้ำของฐานะไปในตัว
   
แต่ก็ไม่มีใครตั้งคำถามอะไรอยู่ดี เพียงแค่จับจ้องด้วยความตะลึงงันเมื่อเห็นกองจานที่ว่างเปล่าข้างตัว ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เจ้ากระต่ายอ้วนเพิ่งจะวางไป
   
“ ดัฟฟ์ เจ้าจะตะกละไปไหน ”
   
คอร์สอดบ่นไม่ได้ เขาเพิ่งจะวางไปเองนะ นี่ต้องไปต่อคิวรับอาหารอีกแล้วเหรอ
   
“ แก๊ซ กินอีกๆ ”
   
ดัฟฟ์ไม่สนใจคำพูดของคอร์ส แทะกระดูกที่มีเนื้อติดอยู่น้อยนิดรอ
   
“ เฮ้อ ก็ได้ ”
   
หูกระต่ายของคอร์สลู่ลงอย่างจนใจ ก่อนจะกระโดดโหยงเหยงไปต่อคิวให้
   
เมื่อผู้ปกครองชั่วคราวเดินไป ก็มีปีศาจตัดสินใจเดินเข้ามาผูกมิตรด้วย
   
“ เจ้าเป็นนักเรียนใหม่เหรอ ? ”
   
ยื่นมือขวาที่เต็มไปด้วยขนปุกปุยออกไป
   
ดัฟฟ์มองเอียงคองงๆ
   
“ นักเรียนอะไร แก๊ซ ดัฟฟ์มากินข้าวเฉยๆ ”
   
พูดพร้อมชี้พุงตัวเอง
   
ปีศาจที่ถามชะงักไปสักพัก
   
“ แค่กินข้าวเจ้าคงไม่ถ่อมาถึงที่นี้หรอก เจ้าคงจะโดนถีบส่งมาล่ะสิ ข้าเคยเห็นคนโดนแบบเจ้าอยู่ ” พูดกลั้วหัวเราะ
   
-----------
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 41 # ครึ่งแรก 16 ม.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 17-01-2016 00:19:13
 :laugh:


ดัฟฟ์ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วคะเนี่ย วันๆมีแต่กินนอน น่าอิจฉาชะมัดเลย

 :serius2:

จบจะเรื่องฟาร์คัส-คาร์บิลัสแล้วเหรอคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 41 # ครึ่งแรก 16 ม.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-01-2016 00:26:29
เข้าเรียนละหรา 5555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 41 # ครึ่งแรก 16 ม.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 19-01-2016 23:32:06
ดัฟฟ์หน้างอ
   
“ แง้ แม่ ไม่ทำอย่างนั้นหรอก ”
   
ยัดเนื้อแกะเข้าปาก
   
“ ไม่ต้องอายหรอกน่า เรื่องปกติ เจ้าดื้อเขาก็จับยัดโรงเรียนก็ถูกแล้ว ”  มือที่ตั้งใจจะจับมือเปลี่ยนเป็นตบหลังเชิงรู้ทัน
   
“ ข้าไม่ดื้อซะหน่อย แก๊ซ เจ้าสิงโตบ้า ”
   
คนถูกเรียกสิงโตบ้าถึงกับตาโต
   
“ เจ้าดูออกงั้นเหรอ ! เจ้าดูออกเหรอว่าข้าเป็นสิงโต ”
   
หนึ่งในกฎของการเรียนโรงเรียนปีศาจคือให้คงร่างมนุษย์ไว้อย่างน้อยสักส่วนเพื่อไม่ให้กินพื้นที่ในโรงเรียนมาก เกิดมังกรดำอย่างดัฟฟ์มาเรียนในร่างจริงคงไม่วายเรียนได้แค่คนเดียว ทำให้ร่างของปีศาจสิงโตนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับเสือเท่าไหร่ จึงมักจะถูกเข้าใจผิดอยู่เสมอ   
   
“ แน่สิ แก๊ซ กลิ่นเจ้าเหม็นสาบพวกสัตว์กินเนื้อนี่ ”
   
ดัฟฟ์ทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะหันไปถามนาซัส
   
“ เจ้าได้กลิ่นไหมล่ะ นาซัส ”
   
นาซัสกระพริบตาปริบๆ ไม่ได้ตอบ
   
ดัฟฟ์จึงตีความเอาเองว่านาซัสเห็นด้วย
   
“ นาซัสก็ได้กลิ่น แก๊ซ เห็นไหม เจ้าเป็นสิงโต ”
   
ปีศ่าจสิงโตยิ้มแหยๆ ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือเปล่า
   
ในใจคิดอยากจะสูดกลิ่นตัวเองซะตอนนี้
   
ข้าอาบน้ำแล้วนะ !
   
จะไปมีกลิ่นสาบพวกนั้นได้ยังไง
   
“ เจ้ากินอิ่มรึยัง ดัฟฟ์ นาซัส ข้าจะได้พาเจ้าไปตัดชุด ” คอร์สวางถาดอาหารจานใหญ่ตรงหน้าดัฟฟ์ เหลือบมองปีศาจตัวเล็กที่เหมือนจะเป็นเพื่อนใหม่ของดัฟฟ์
   
“ ไว้เจ้าค่อยมาเล่นกับดัฟฟ์ตอนเข้าเรียนแล้วกัน ”
   
ว่าพลางกระดิกหู หยิบแครอทออกมาแทะรอ
   
ปีศาจสิงโตพยักหน้าเล็กๆ รับ
   
“ ข้าชื่อกริสเซลนะ ! ข้าถือว่าพวกเจ้าเป็นเพื่อนข้าแล้ว ”
   
โฮกกก
   
เสียงคำรามดังลั่นจนอากาศสั่นสะเทือน
   
มีผลต่อทุกชีวิตที่อยู่ในโรงอาหาร มองอาหารกันอย่างเสียดายแต่ก็วิ่ง บิน ร่ายเวท อออกจากโรงอาหารกันจ้าละหวั่น
   
“ หวา ! เข้าเรียนแล้ว ข้าต้องรีบไปแล้ววววว ”
   
กริสเซลตกใจจนหัวฟูจนคล้ายแผงคอสิงโต รีบวิ่งไปยังประตูใหญ่ทันที เท้าเล็กๆ พยายามก้าวให้ยาวสุดชีวิตเพราะรู้ดีว่าหากเข้าสายจะพบกับบทเรียนอะไร
   
“ แก๊ซ ? ”
   
ดัฟฟ์ร้องงงๆ
   
เพราะเหลือเพียงโต๊ะเดียวที่กำลังกินอาหารอยู่
   
“ เดี๋ยวเจ้าจะเข้าใจเองว่าถ้าไปช้าจะเจออะไร ”
   
คอร์สกระดิกหูอารมณ์ดี
   
เพราะผ่านจุดๆ นี้มาแล้ว

   

“ ท่านคอร์ส เอ่อ ท่านช่วยทำให้ท่านดัฟฟ์อยู่นิ่งๆ ได้ไหม ” ปีศาจแกะที่กำลังเอาสายวัดพันรอบอกยิ้มแหยๆ เนื่องจากพอพันอกไปได้สักพักดัฟฟ์ก็จะหมุนตัวจนสายพันรอบตัวไปหมดเส้น ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่ดัฟฟ์เล่นแบบนี้
   
“ สนุก สนุก เล่นอีกสิ แก๊ซ ”
   
ดัฟฟ์กระโดดโลดเต้นในขณะที่นาซัสนั่งนิ่งรอ
   
นาซัสวัดตอนก่อนดัฟฟ์จึงเสร็จไปนานแล้ว
   
คอร์สเคี้ยวแครอทครุ่นคิดสักพัก
   
“ ดัฟฟ์ ถ้าหากเจ้าอยู่นิ่งๆ ไม่ยอมเล่น ข้าจะลองคุยกับท่านฟาร์คัสให้เจ้าได้นอนด้วยคืนนึง ”
   
พลันตัวมังกรปีศาจหยุดชะงักทันที
   
เหมือนกับว่ามีกาวแปะที่เท้า
   
“ นาซัส นาซัสนอนด้วย แก๊ซ ! ”
   
“ ขอรับ พร้อมนาซัส ”
   
คอร์สมองปีศาจแกะเชิงให้ทำต่อและหยิบแครอทอันใหม่ออกมาแทะรอ

   

“ ไม่อร่อยเลย แก๊ซ ” ดัฟฟ์คายชายเสื้อตัวเองทิ้งเมื่อถูกยัดใส่ชุดสีดำปล่อยชายเสื้อลวดลายเรียบๆ บนกระเป๋าเสื้อมีเข็มกลัดเริ่มต้นสีชมพูหวาน
   
คอร์สถอนหายใจลูบหัวดัฟฟ์เบาๆ
   
“ ข้าจะฝากเจ้าไว้กับผู้อำนวยการโรงเรียนแล้วกัน ไว้วันหยุดโรงเรียนในแต่ละอาทิตย์เจ้าค่อยไปหาท่านฟาร์คัสนะ ”
   
ด้วยความเป็นเด็กดัฟฟ์จึงไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่คอร์สพูดเท่าไหร่ จุดสนใจพล่านไปทั่วรอบห้องที่คล้ายห้องทำงานของคาร์บิลัส แต่มีตู้เอกสารที่ดูเป็นระเบียบมากกว่า รูปปั้นผู้ก่อตั้งโรงเรียน ถ้วยรางวัลที่ไปแข่งกับดินแดนอื่นบ้าง คนละโรงเรียนบ้างคละๆ กันไป
   
นาซันนั่สนิ่งตาแป๋วมองเก้าอี้ที่ว่างเปล่าตรงหน้านิ่ง
   
“ ขออภัยที่มาช้า พอดีว่าข้ายุ่งๆ กับงานกีฬาโรงเรียนที่กำลังจะจัดนิดหน่อยน่ะ ” ร่างผู้อำนวยการร่างยักษ์โผล่ออกมาจากอากาศร่วงปุลงบนเก้าอี้ ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยขนสัตว์รุงรังผสมสลับกับเกล็ดสีดำ เขาสองคู่บิดงอสวยงามประดับบนหัว เสื้อที่สวมใส่เป็นสีดำลวดลายเป็นสีทอง บนหน้าอกประดับด้วยเข็มกลัดและเหรียญเกียรติยศมากมาย ใบหน้าที่เป็นมนุษย์ปกติฉีกยิ้มใจดีเมื่อเห็นเด็กใหม่สองคน
   
“ เด็กของท่านคาร์บิลัส มีแต่ไม่ธรรมดา ” พูดจบก็หัวเราะเสียงทุ้มต่ำดังก้อง นัยน์ตาสีเทาขลิบฟ้าจดจ้องอย่างสนใจ
   
“ ตามที่ข้าเรียนไป ท่านคาร์บิลัสได้ฝากฝังเด็กสองคนนี้ให้ท่านดูแล ” คอร์สเอามือปุกปุยแปะไหล่ทั้งสองคน “ หากมีปัญหาอะไร ท่านสามารถเรียกข้าได้ตลอดเวลา ”
   
“ แน่นอน แน่นอน เกิดปัญหาย่อมต้องเรียกผู้ปกครอง แค่ผู้ปกครองของเด็กพวกนี้มันยิ่งใหญ่เกินทน ข้าคงจะได้กลายเป็นผู้ปกครองเด็กพวกนี้แทนซะมากกว่า ”
   
ท่านคาร์บิลัสแม้จะดูเย็นชา ไม่สนใจใคร แต่เมื่อถึงเวลาเข้าหาชาวปีศาจกลับใจดีอย่างเหลือเชื่อ เป็นกันเองราวกับว่าไม่ใช่ราชาปีศาจที่โหดเหี้ยมอย่างที่ดินแดนอื่นลือกัน ผู้อำนวยการคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่ได้สัมผัสถึงตัวตนของคาร์บิลัสที่ภักดีต่อดินแดนมากก็รู้สึกสนิทใจกับคาร์บิลัสไม่น้อย การพูดจาล้อเล่นจึงผุดออกมาจากปากบ่อยๆ แต่ไม่ใช่ในเชิงที่เสียหาย
   
“ ข้าขอฝากท่านด้วย ”
   
คอร์สค้อมหัวรับผลุดลุกขึ้น
   
ยังมีงานอีกมากที่เขาต้องทำ แม้ในใจจะยังอยู่ดูแลเด็กสองคนนี้ก็ตาม
   
“ แง้ คอร์ส ไปไหนง้า ”
   
ดัฟฟ์สะดุ้งดึงชายเสื้อคอร์สไว้
   
คอร์สยิ้มจนใจ
   
“ ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ ”
   
ดึงมือดัฟฟ์ออกอย่างนุ่มนวล รีบกระโดดหนีออกจากห้องทันที
   
“ คอร์ส ! ”
   
นาซัสเผลอเรียกเสียงดังพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง
   
หลังจากนั้นก็เกิดความวุ่นวายในห้องทันที
   
ดัฟฟ์วิ่งพรวดจะตามไปในขณะที่นาซัสพยายามตะเกียกตะกายลงจากเก้าอี้สูง
   
แต่โชคร้ายของเด็กทั้งสองที่ตำแหน่งผู้อำนวยการไม่ได้เป็นแค่ชื่อ มือหนาหยิบสองคนขึ้นมาอุ้มด้วยความเอ็นดู “ อยู่โรงเรียนใช่ว่าจะแย่สักหน่อย พวกเจ้าก็กลัวกันไปได้ ”
   
“ โรงเรียนอะไร บู่ว ดัฟฟ์จะกลับบ้าน ! ”
   
ดัฟฟ์เอาฟันแทะแขนคีมที่หนีบตัวเองไว้แน่นแต่ก็ไม่เป็นผล
   
นาซัสยังคงจ้องไปที่ประตูสีหน้าเศร้าๆ
   
“ อยู่แต่ในห้องข้าเจ้าคงจะเบื่อ ลองไปสนามประลองสิ รับรองว่าเจ้าต้องเปลี่ยนใจแน่  ”
   
น่าเสียดายที่ผู้อำนวยการไม่รู้ว่าควรพาดัฟฟ์ไปชมรมทำอาหารจะได้ผลมากกว่า
   
“ แง้ เหม็นง้า ”
   
ดัฟฟ์สำลักค่อกแค่กกลิ่นตัวของผู้อำนวยการนั้นแรงเกินทน
   
“ รู้ไหมว่าเจ้าไม่ใช่คนแรกที่พูดเรื่องนี้กับข้า ฮ่าๆ ”
   
หัวเราะรับไม่มีความอายแฝงอยู่แต่อย่างใด
   
“ ท่าน..ชื่ออะไร ”
   
นาซัสนั่งตัวแข็งพูดเสียงเบา
   
“ กิลเบิร์ต ” ผู้อำนวยการยิ้มมุมปาก “ แต่เรียกข้าว่า โกโก้ อย่างพวกนักเรียนเรียกก็ได้ ”
   
ที่มาของชื่อนี้ไม่ใช่อะไร เพราะกิลเบิร์ตไปดินแดนมนุษย์แล้วติดใจกับโกโก้มากเลยเอาเผยแพร่ที่โรงเรียน ส่วนตัวเองก็กินทุกวัน รวมถึงเป็นพรีเซนเตอร์ขายด้วย
   
“ ... ”
   
นาซัสนั่งนิ่งงันไม่ตอบ
   
ส่วนดัฟฟ์เอามืดปิดปากปิดจมูกแน่นพูดเสียงอู้อี้
   
“ ปล่อยข้าลงน้า แก๊ซ ”

   

ตูม
   
ฉับพลันพื้นได้กลายเป็นหลุมยักษ์ ผู้ที่สร้างความเสียหายในครั้งนี้ยังคงอยู่บนอากาศ ตีปีกเสียงดังลั่น อ้าปากคำรามขู่เมื่อศัตรูได้บุกเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมดาบสั้น
   
เคร้ง
   
เวทป้องกันถูกร่ายออกมาในชั่ววินาทีสามารถสกัดดาบที่อาบยาพิษได้ทันท่วงที
   
ดาบสั้นถูกแปรเปลี่ยนเป็นดาบยาว เจ้าของดาบจับดาบแน่นออกแรงกดรุนแรงเพื่อที่จะทำลายวงเวททำให้เกิด ประกายไฟจากพลังที่ต่างขั้วรุนแรง
   
ดัฟฟ์จดจ้องสิ่งเกิดขึ้นอย่างตื่นเต้น ลมหายใจขาดชั่ว ราวกับสัญชาตญาณได้ถูกปลุกขึ้นมา
   
วงเวทป้องกันเปลี่ยนสีจากสีดำเป็นสีขาวประกายไฟกลายเป็นสายฟ้าลามตามไปดาบ ดาบด้ามยาวถูกปล่อยทิ้งทันทีกลายเป็นมีดสั้นเล็กๆ จำนวนมาก โจมตีเข้าทุกด้านของเวทป้องกัน
   
ปีศาจภายใต้วงเวทป้องกันกัดฟันกรอดด้วยความโมโห เวทไฟสีดำลุกท่วมตัวมันก่อนที่วงเวทป้องกันจะแตกสลายไป มีดสั้นแทงเข้าทีเนื้อแต่ก็ไม่เป็นผล ปีศาจในร่างสัตว์สี่เท้าขี้โมโหกระโจนใส่เจ้าของดาบ แม้ว่าดาบนั้นจะชี้มาทางตัวเอง
   
มือที่จับดาบกระชับแน่น รอยสักบนตัวเรืองแสงสีดำ ดาบอวลด้วยละอองเวทที่ดึงจากตัว หางปลายแหลมส่ายไปมา ยิ้มมุมปาก ออกแรงฟันใส่ตัวอริ
   
ฉึก
   
ทั้งสองฝ่ายผละออกจากกันทันที ค้อมหัวให้กันตามข้อตกลงที่ให้กันไว้
   
หากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดบาดแผลถือว่าเป็นการจบการประลอง
   
แต่ครั้งนี้กลับได้ทั้งสองฝ่าย
   
บนหน้าของสัตว์สี่เท้ามีรอยกรีดของดาบ ส่วนเจ้าของดาบมีรอยกรงเล็บตรงข้อมือถากๆ นับได้ว่าเป็นแผลที่ไม่ร้ายแรงเท่าที่ควร
   
เสียงปรบมือสลับกับเสียงเฮดังลั่น
   
มันเป็นการประลองของระดับสีเงิน
   
“ รู้สึกสนใจมาขึ้นรึยังล่ะ ดัฟฟ์ ” ผู้อำนวยการหัวเราะเมื่อเด็กสองคนนิ่งไปเลย
   
“ งื้อ น่าหนุก ” ดัฟฟ์รู้สึกตื่นเต้นจนอยู่เฉยไม่ได้
   
โรงเรียนดูน่าสนุกกว่าที่ปราสาทฆ่าบี้ลัสเยอะเลย แก๊ซ !
   
ดัฟฟ์เริ่มจะยอมรับการมาเรียนในโรงเรียน
   
“ งั้นก็ดี วันนี้แหละข้าจะจับเจ้าไปทดสอบที่ลานประลอง ดูว่าเจ้าอยู่ในระดับไหน ”
   
ดัฟฟ์ก้มมองเข็มกลัดสีชมพูแป๋นของตัวเอง
   
“ แก๊ซ ดัฟฟ์ไม่อยากได้สีชมพู ง้า ”

-------------
ภาคดัฟฟ์นี่จะอารมณ์โรงเรียนเวทมนตร์ ทำนู่นนี่นั่นไปเรื่อย

ตอบเมนต์ ♥

คุณ  BlueCherries : 7-8 ขวบค่ะ ของฟาร์คัสกับคาร์บิลัสนี่จะแทรกไปในบางตอนค่ะ ไหนๆ ก็ไม่มีก้างแล้ว  :o8:

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : จะได้กลายเป็นราชาปีศาจคนต่อไป   :mc4:   
   
   
   
   
   

   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 41 # ครึ่งหลัง 19 ม.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-01-2016 00:13:31
ลูกชายคนโตก็น่าหยิก ลูกชายคนเล็กก็น่าเอ็นดู
โรงเรียนจะรายเป็นหน้ากลองไหมเนี่ย ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 41 # ครึ่งหลัง 19 ม.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-01-2016 00:52:41
นาซัสไหวมั้ยลูก ดัฟสนุกทุกอย่าง
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 41 # ครึ่งหลัง 19 ม.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 20-01-2016 08:22:12
 :really2:

หูวววววววววว

ดัฟฟ์7-8ขวบเองเหรอคะ แล้วตอนนี้นาซัสอายุเท่าไหร่เอ่ย? อายุร่างกายกับสมองไปด้วยกันหรือเปล่านิ?  :ruready
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 41 # ครึ่งหลัง 19 ม.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 21-01-2016 23:40:09
อ้ายยยยยยยยยย. เรื่องฝั่งน้องเสือก็น่าดู    ฝั่งดัฟก็น่าสน  ปล.ที่หายไปนานเพราะไม่รู้ว่าอัพ  55555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 41 # ครึ่งหลัง 19 ม.ค 58
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 25-01-2016 01:55:54
แล้วเมื่อไรซาบิลัสจะได้กินฟาคัสสักที
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 42 27 ม.ค 58 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 27-01-2016 23:40:28
ตอนที่ 42
   
“ ท่านฟาร์คัส ”
   
ชาคอสเอ่ยเรียกฟาร์คัสที่กำลังจะกลับเข้าห้องหลังจากสั่งอาหารไป
   
“ มีอะไร ชาคอส ”
   
ฟาร์คัสหยุดยืนตั้งใจฟัง เพราะลูกน้องคนสนิทของคาร์บิลัสเป็นคนจริงจังเวลาจะพูดอะไรก็ชอบพูดแต่เรื่องจริงจัง ฉะนั้นจะสนิทกับฟาร์คัสก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะต่างฝ่ายก็เป็นคนจริงจังอยู่แล้ว
   
ชาคอสยิ้มมีเล่ห์สนัย
   
“ ข้ามีเรื่องจะเล่าให้ท่านฟัง บทสนทนาผ่อนคลายของพวกข้า  ”
   
ฟาร์คัสหงกหัวเบาๆ เชิงให้เล่าแต่ในใจก็อดรู้สึกแปลกใจที่ชาคอสพูดเรื่องไม่จริงจัง
   
“ บนโต๊ะอาหารที่ท่านคาร์บิลัสไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าอยู่ที่ใด มักจะมีคนเปิดประเด็นเกี่ยวกับเรื่องของท่านกับท่านคาร์บิลัสอยู่เสมอ ต้องยอมรับว่าในบางคราข้าก็เป็นคนเปิดประเด็นเช่นกัน ”
   
เรื่องของข้า ?
   
ข้ากับคาร์บิลัส ?
   
ฟาร์คัสเลิกคิ้วงุนงง
   
“ ท่านคาร์บิลัสได้ชื่อว่าเป็นราชาปีศาจที่เกรียงไกรย่อมมีผู้คนมากมายหมายปอง เหล่าปีศาจส่งลูกมาหาท่านคาร์บิลัสเมื่อรู้ข่าวว่ายังไม่มีคู่หมั้นหมาย แต่ท่านคาร์บิลัสก็ปฏิเสธกลับไปทุกรายเพียงเพราะว่ามีคนอยู่ในใจอยู่แล้ว ”
   
ชาคอสพูดไปยิ้มไป
   
“ ข้าเองก็คาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผู้ใด พอท่านคาร์บิลัสใช้ข้าไปตามสืบเรื่องของท่านข้าก็กระจ่าง เป็นท่านนั้นเองที่ทำให้ท่านคาร์บิลัสไม่มีใครสักที แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นที่ข้าอยากเล่าให้ท่านฟัง ”
   
“ เจ้าต้องจะบอกอะไรข้ากันแน่ ”
   
ฟาร์คัสหน้าแดง
   
ไอ้แพะบ้านี่มันตามสืบเรื่องของข้านานเท่าไหร่แล้ว
   
“ ข้าเป็นชาวปีศาจย่อมสรรเสริญราชาปีศาจ แต่เมื่อเห็นท่านราชาของข้าเดินตามหลังท่านต้อยๆ บ้าง ง้อบ้าง งอแงใส่ท่านบ้าง มันทำให้พวกข้าแปลกใจพอสมควร แต่ที่เห็นจะดูน่าเห็นใจและตลกที่สุดคงจะเป็นตอนที่ท่านไล่ท่านคาร์บิลัสออกจากห้องนอน ” 
   
ชาคอสหลุดหัวเราะเมื่อนึกถึงสีหน้าหงอยๆ ของราชาตัวเอง
   
ตอนนั้นเขาเดินไปเจอพอดีตอนเกือบเที่ยงคืน ช่วงนั้นยุ่งๆ กับการเดินงานเอกสารที่ท่านคาร์บิลัสเพิ่งอนุมัติไป
   
สีหน้าแบบปกติที่ไม่คิดว่าจะมาจากราชาตัวเอง
   
ถือเป็นประเด็นที่ใช้ในการสนทนาที่สนุกมาก
   
“ เอาแต่พูดว่าจะกอดข้า ข้ารำคาญเลยไล่ออกจากห้องไป ”
   
ฟาร์คัสแก้ต่างให้ตัวเองแต่กลับเหมือนขุดหลุมให้ลึกมากกว่าเดิม
   
“ สิ่งที่ข้าอยากจะพูดคือ ข้าอยากให้ท่านสงสารท่านคาร์บิลัสบ้าง เขารอท่านมานานมากแล้ว ”
   
คาร์บิลัสไม่ได้เอ่ยขอหรือให้รางวัลอะไรกับการกระทำแบบนี้ของชาคอส
   
เขาสมัครใจที่จะทำเอง
   
ใครบ้างจะไม่สงสารราชาปีศาจที่มีชายาเหมือนไม่มีล่ะ ?   
   
“ รีบไปเอาอาหารไป ”
   
ฟาร์คัสตัดบทหนีเข้าห้อง
   
โดยที่ลืมไปว่าห้องที่ตัวเองเข้านั้นมีคนที่โดนนินทาอยู่
   
“ ทำไมเจ้าหน้าแดงล่ะ ฟาร์คัส เจ้าไปทำอะไรมา ”
   
คาร์บิลัสเข้าถึงฟาร์คัสอย่างว่องไว เอามืออังคออังหนาผาก
   
“ เจ้าไม่ได้ตัวร้อนนี่ ! เจ้าเขินใคร เจ้านอกใจข้าหรอก แค่ข้าอยู่กับเอกสารนานกว่าเจ้า เจ้าก็ทิ้งข้าแล้วเหรอ ”
   
เริ่มด้วยเสียงโวยวายก่อนจะค่อยๆ แผ่วลง
   
ฟาร์คัสกลอกตา   
   
ความรู้สึกเขินหายไปในพริบตา
   
“ ข้าจะเอาเวลาไหนไปนอกใจเจ้า ? ”
   
“ งั้นก็แปลว่าเจ้าเขินข้าล่ะสิ ! เจ้าเขินข้าเรื่องอะไร ให้ข้ารู้ได้ไหม ”
   
คำตอบของฟาร์คัสทำให้มีคาร์บิลัสกระดี้กระด้า
   
“ เจ้าไม่ต้องรู้สักเรื่องได้ไหม ”
   
“ งั้นข้าจะหึงเจ้า ข้าจะไม่ให้เจ้าเจอใครนอกจากข้า ”
   
แค่คิดว่าต้องอยู่แต่ในห้องนี่ก็รู้สึกเบื่อแล้ว
   
“ เดี๋ยวก็รู้เอง ไม่ต้องสงสัยให้มันมาก เจ้ารีบทำงานของวันนี้ให้เสร็จ เผื่อว่าพรุ่งนี้จะได้ออกไปเดินเล่นบ้าง ”
   
“ ข้าจะรีบทำ ”
   
คาร์บิลัสพยักหน้าหงึกๆ นั่งทำด้วยความกระตือรือร้นกว่าปกติเป็นเท่าตัว
   
คำว่าเดี๋ยวก็รู้เองนี่มันก็หมายความว่าอีกไม่นาน
   
อีกไม่นานก็คืออาจจะวันนี้
   
เรื่องที่ฟาร์คัสใม่ยอมบอกข้าตรงๆ แบบนี้ทำให้ข้าอดรู้สึกสนุกไปด้วยไม่ได้
   
อีกาของข้ากำลังเขินอายเรื่องของข้าในเรื่องไหนกันนะ ?
   

   
“ ให้ข้าทำอะไร แก๊ซ ! ”
   
ดัฟฟ์พูดอย่างตื่นเต้นเมื่อมาอยู่ในสนามประลองที่เมื่อกี้เพิ่งเกิดการต่อสู้ไปหมาดๆ
   
ผู้อำนวยการกอดอกโคลงหัวไปมาครุ่นคิด
   
“ นั่นสิ ปกติพวกที่สอบเข้าก็จะมีครูมาทดสอบความสามารถ แต่ตอนนี้ทุกคนคงจะยุ่งๆ งั้นเจ้าก็ทำยังไงก็ให้ข้าเป็นแผลให้ได้แล้วกัน เจ้าหนู ”
   
เริ่มมีเสียงฮือฮาเมื่อเห็นผู้อำนวยการอยู่ในสนามประลองเพราะปกติผู้อำนวยการโกโก้ที่ว่านี้ไม่ค่อยจะแสดงฝีมือให้เห็นสักเท่าไหร่ จากที่เตรียมจะแยกย้ายไปเรียนกันต้องกลับมานั่งกันที่เดิม
   
การได้เห็นการต่อสู้ของยอดฝีมือเป็นอะไรที่ควรค่าแก่การดูอยู่แล้ว
   
แต่ว่า..
   
“ แก๊ซ ! เหม็น ข้าไม่ทำ ”
   
ดัฟฟ์หน้างอเอามือปิดจมูก
   
กิลเบิร์ตหัวเราะรับไม่ถือสา
   
“ งั้นเจ้าก็ลองสู้กับหุ่นไล่กาดูแล้วกัน เจ้ามีอะไรแสดงมันออกมาให้หมด เพราะเจ้าหุ่นนี่แข็งแกร่งมากต้องใช้พลังงานมากในระดับนึงเลยทีเดียวกว่าจะพัง ”
   
แม้ว่าการต่อสู้ตัวต่อตัวจะเก็บข้อมูลได้ง่ายกว่าแต่ผู้อำนวยการก็ตามใจผู้เรียนอย่างดัฟฟ์
   
เพราะเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆ
   
“ ได้เลย แก๊ซ ! ”
   
ดัฟฟ์ตาเป็นประกายก่อยจะคืนร่างเป็นมังกรดำ
   
“ เฮ้ย ! ดัฟฟ์ !! ”
   
กิลเบิร์ตเบิกตากว้าง ลืมบอกดัฟฟ์ไปอย่างว่าห้ามคืนร่างขนาดเกินกว่าที่โรงเรียนกำหนด ไม่เช่นนั้นจะ..
   
“ แก๊ซๆๆๆ ”
   
ดัฟฟ์ร้องลั่นด้วยความไม่พอใจเมื่อตัวเองเป็นมังกรที่ตัวขนาดเท่าไก่สักตัว
   
นาซัสหลุดหัวเราะ
   
“ ดัฟฟ์ ดัฟฟ์สู้ๆ ”
   
พยายามชูไม้ชูมือให้กำลังใจ
   
ดัฟฟ์ในร่างมังกรหันมองด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะกระโจนไปกัดหัวหุ่นไล่กาที่ถูกปักอยู่กลางสนาม แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ มังกรดำจึงเริ่มต้นการพ่นไฟ กัด กระโดดทับ สารพัดอย่างที่จะคิดออก
   
นักเรียนปีศาจที่ตั้งใจจะดูผู้อำนวยการก็เบ้หน้ากันเซ็งๆ เมื่อนอกจากไม่ได้ดูผู้อำนวยการแล้วยังมานั่งดูลูกมังกรเล่นกับหุ่นไล่กา จึงเริ่มพากันทยอยกันออกจากลานประลอง
   
ดัฟฟ์นอนแอ่กบนพื้นแลบลิ้นหอบด้วยความเหนื่อยหมดสิ้นความเป็นมังกรดำ
   
หุ่นไล่กาทั้งแข็งทั้งไม่อร่อยเลย แก็ซ !
   
แต่ข้าไม่ได้อยากได้สีชมพู ง้า
   
มังกรดำจึงค่อยๆ คลานไปหาหุ่นไล่กาเริ่มต้นแทะตั้งแต่โคน แทะไปจนครู่ใหญ่ๆ ถึงได้มีเสียงดัง
   
แกรก
   
โคนไม้หุ่นไล่กาแตกค่อยๆ แตกก่อนจะลามไปยังฟางที่ดูเหมือนว่าไม่ได้สร้างจากฟางปกติ
   
โครม
   
หุ่นไล่กาแตกออกจากกันกองบนพื้นเป็นกองโต
   
“ หือ ? เจ้าทำลายมันได้แล้วเหรอ ”
   
ผู้อำนวยการหาวหวอดขยี้ตามองดัฟฟ์ง่วงๆ
   
“ ใช่ ! แก๊ซ ข้าทำลายมันได้แล้ว ”
   
ดัฟฟ์หน้างอถึงขีดสุด
   
“ อ่า งั้นเอาสีเหลืองไปแทนแล้วกัน ”
   
กิลเบิร์ตล้วงเอาเข็มกลัดที่ยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อยื่นให้ดัฟฟ์
   
ดัฟฟ์ถึงได้ยิ้มออก
   
“ แก๊ซ สีเหลืองก็ดีกว่าสีชมพู ”
   
รับเข็มกลัดไปใส่ด้วยความกระตือรือร้น
   
ผู้อำนวยการยิ้มเอ็นดู
   
จะสีชมพูหรือสีเหลืองก็ไม่มีผลอะไรทั้งนั้น
   
เพราะดูแล้วดัฟฟ์ไม่มีทักษะด้านการต่อสู้อะไรนอกจากสัญชาตญาณ ภาษาการเขียนก็ใช่ว่าจะสามารถอ่านได้เขียนได้ ดูๆ แล้วต้องปูพื้นฐานใหม่ตั้งแต่แรก
   
รวมๆ แล้วคือดัฟฟ์ต้องเข้าเรียนตั้งแต่ชั้นเล็กสุดของโรงเรียนเลยทีเดียว
   
ชายเสื้อถูกกระตุกกิลเบิรต์ถึงก้มมองด้วยความสงสัย
   
“ ข้า ข้า ก็อยากได้ ”
   
ดวงตาสีกระจ่างที่ดูทรงอำนาจแปลกๆ เอ่ยขอ
   
“ เอาสิ ”
   
ยื่นเข็มกลัดอีกอันให้
   
“ พรุ่งนี้เตรียมตัวให้ดี ข้าจะพวกเจ้าไปปล่อยแล้ว ”
   
ผู้อำนวยการหัวเราะหึๆ ในลำคอ
   
ในกรณีของดัฟฟ์กับนาซัสเหมาะกับห้องพิเศษที่สุด
   
พิเศษที่ว่าไม่ได้มีความหมายในเชิงดีเลยแม้แต่น้อย
   
เป็นห้องที่รวบรวมปีศาจไว้หลากหลายทั้งดีและไม่ดี ส่วนใหญ่เกรดออกมากันไม่ดีเลยต้องมาอยู่ห้องนี้กัน เป็นห้องปูพื้นฐานพิเศษสำหรับพวกควบคุมยาก
   
ท่านคาร์บิลัสต้องการให้ดัฟฟ์กับนาซัสเติบโต
   
มีความคิดความอ่านละเอียด
   
คงจะมีแต่วิธีนี้ที่เห็นผลชัดที่สุด
   
คือ การประสบมันด้วยตนเอง

   

“ ฟาร์คัส ! ข้าทำงานเสร็จแล้ว ”
   
คาร์บิลัสยิ้มกว้างขณะพูด
   
ขุมนรกแห่งเอกสารหมดยุคไปแล้ว ฮ่าๆ
   
ณ ตอนนี้มีเพียงเรื่องของข้ากับฟาร์คัสเท่านั้น
   
เอกสารอะไรอย่ามาข้องเกี่ยวกับข้าอีกเลย
   
“ ฟาร์คัส ? ”
   
คาร์บิลัสเมื่อกี้พูดโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าฟาร์คัสหลับรอไปนานแล้ว
   
“ สงสัยว่าข้าจะทำเพลินไปหน่อย ”
   
พูดพร้อมหัวเราะเบาๆ
   
ที่ข้าค้างไว้ก็จัดการจนหมดแล้ว ช่วงนี้ถ้าข้าขยันทำเรื่อยๆ ตามเวลา เวลาว่างของข้าก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ ถึงเวลานั้นข้าจะพาฟาร์คัสไปเที่ยวดินแดนปีศาจให้ได้
   
ของขึ้นชื่อของดินแดนนี้ไม่ได้มีแค่ข้าหรอกนะ
   
มือหยาบบรรจงลูบหน้าอีกาที่ปกติมักจะคิ้วขมวดเสมอ ในตอนนี้กลับดูผ่อนคลายดูไม่มีพิษมีภัยเหมือนปกติ
   
น่ารัก..
   
คาร์บิลัสกลืนน้ำลายเอือกสลัดหัวตัวเอง
   
ไม่ได้ๆๆ ข้าจะกินอีกาไม่ได้
   
ราชาปีศาจสอดมือเข้าใต้ตัวอีกาก่อนจะเอามาอุ้มแนบอก
   
ถึงขนาดตัวจะดูใกล้ๆ กันแต่ฟาร์คัสก็ตัวเล็กกว่าคาร์บิลัสอยู่ดี

-----------------

 :katai5: แอบตื่นเต้น นี่อาจจะเป็นตอนที่ฝันของคาร์บิลัสเป็นจริง 555555

ตอบเมนต์ ♥

คุณ BlueCherries : ของดัฟฟ์นี่กะอายุไว้ประมาณประถมต้นๆ ค่ะ >< ส่วนนาซัสนี่ร่างนี้เหมือนเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ความทรงจำเก่าหายไปหมดแล้ว เหลือไว้แค่ร่างเพียวๆ ซื่อๆ เด็กกว่าดัฟฟ์ 2-3 ปีค่ะ

คุณ Hang : เวสเปอร์น่ารัก  :impress2:

คุณ nightsza : ตอนนี้ก็ไม่แน่  :hao6:
   
   
   
   
   
   
      
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 42 28 ม.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 28-01-2016 23:15:50
คาร์บิลัสพาฟาร์คัสกลับห้องตัวเองโดยไม่ได้สนใจคนอื่นเลยแม้แต่น้อย
   
สมบัติของราชาปีศาจ
   
ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศก็รู้ทั่วกัน
   
แต่ภาพแบบนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยจนชาวปีศาจชินชากันไปแล้ว
   
“ ไม่อยากเชื่อเลยว่า ข้าจะได้เจ้ามาอยู่ข้างกายเหมือนที่วาดฝันไว้ตอนเด็กๆ ”
   
คาร์บิลัสลูบผมนุ่มสีขนกาก่อนแนบจูบลงบนริมฝีปาก
   
ราชาปีศาจรู้อยู่แก่ใจว่ามันคือการลักหลับ
   
แต่ข้าก็อยากทำมันอยู่ดี
   
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้อีกาของข้าใจแข็งแบบนี้
   
การเปลืองเนื้อเปลืองตัวเพียงเล็กน้อยคงจะไม่เสียหาย
   
คาร์บิลัสขบกรามกรอดเมื่อรู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง จึงยอมปล่อยจากริมฝีปากนุ่มหันไปซุกไซร้กับคอแทน กลิ่นกายหอมจางๆ ทำให้สติราชาปีศาจพร่ามัวเผลอทำรอยบนคอไป
   
เสียงครางในลำคอดึงของฟาร์คัสดึงสติของคาร์บิลัสกลับมาในทันที
   
คาร์บิลัสหน้าซีด
   
ถ้าฟาร์คัสเห็นรอยนี่ต้องโกรธมากแน่ๆ
   
คาร์บิลัสเตรียมจะผละออกแต่กลับถูกชายเสื้อเอาไว้
   
“ ..ฟาร์คัส ? ”
   
ราชาปีศาจเรียกไม่เต็มเสียง
   
ฟาร์คัสหลับตาด้วยหน้าที่คิ้วขมวดแต่หูกลับแดงก่ำ
   
“ อยากทำอะไรก็ทำ ”
   
นี่คงจะเป็นการยอมมากที่สุดของฟาร์คัสแล้ว
   
คาร์บิลัสยิ้มกว้างก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
   
“ ข้าถือว่าเจ้าอนุญาตแล้วนะ ”
   
--------
ฉับ 555555555555555 :mc1:

   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 42 28 ม.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-01-2016 23:29:19
เดี๋ยวววววววว
มาสั้นๆ แล้วตัดฉับ คืออัลลัยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 42 28 ม.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Malila ที่ 28-01-2016 23:33:39
เพิ่งมาอ่านนน  ตัดฉับจริงๆ 55555 หวังว่าคาร์บิลัสจะสมหวัง  รอมานานนนน
ชอบดัฟฟ์มากกกกกก  แก๊ซซซซ  :impress2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 42 28 ม.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-01-2016 03:20:17
โอ่ะ!! เส้ดโจร
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 42 28 ม.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 29-01-2016 04:46:42
หะ...ห่ะ..โหดร้ายยยยยย   :a5:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 42 28 ม.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 29-01-2016 08:50:10
= = อย่าบอกนะว่าตัดฉับแล้วเป็นเช้าวันต่อมา~

หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 42 28 ม.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-01-2016 16:12:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 42 28 ม.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 05-02-2016 22:35:43
ขอแค่ตัดฉับแล้วไม่ใช่มาแพลนกล้องไปโคมไฟ แต๊นนนนน เช้าวันต่อมา อะไรแบบนั้นก็พอค่ะ เค้าลุ้นมา40กว่าตอนแล้ว :hao5:  ได้เมียซักทีเถอะบักคาบี้เอ๊ยยยยย อย่าแบบ อยู่ๆป๊อดนะเฟ้ยยยยย กาน้อยเค้าเปิดทางให้ขนาดนี้แล้ว รีบทบต้นทบดอกเร็ว!!!!
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 42 28 ม.ค 58 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-02-2016 23:07:15
ตอนที่ 43

เช้าแล้ว 55555555

กำ ไม่ใช่ๆ  :hao6:



เมื่อได้รับคำอนุญาตคาร์บิลัสก็ไม่รอช้า ใช้ทักษะการเปลื้องผ้าทันที มือหยาบไล่แกะกระดุมที่มีอยู่น้อยนิด แกะปมเชือกของเสื้อคลุมปลดมันออกอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็สามารถทำให้ฟาร์คัสไม่เหลืออะไร
   
ฟาร์คัสสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกตัวอีกทีตัวเองก็เปลือยแล้ว
   
“ ไอ้แพะเวร นี่เจ้าไปฝึกแบบนี้มาจากไหน ”
   
ตวาดกร้าวหน้าแดง
   
คาร์บิลัสก้มกระซิบข้างหูพูดเสียงแหบพร่า
   
“ ก็ฝึกกับเจ้าตอนที่เจ้าหลับยังไงล่ะ ”
   
ฟาร์คัสยังไม่ทันได้ด่าก็ถูกกลบด้วยจูบของแพะโง่ซะก่อน ฟาร์คัสในตอนนี้นอนอยู่บนเตียงทำให้ไม่สามารถผละออกได้ทำให้จูบครั้งนี้ดุดันกว่าทุกครั้ง
   
คาร์บิลัสในเวลานี้ไม่ใช่หมาขี้อ้อนอีกต่อไป
   
มือลูบอกของฟาร์คัสหยาบโลนอย่างที่อยากทำมาตลอด 
   
ฟาร์คัสทุบอกคาร์บิลัสเมื่อเริ่มหายใจไม่ออก คาร์บิลัสยอมผละออกและก้มลงไปซุกไซร้คอของฟาร์คัสแทน ฟาร์คัสครางฮือเมื่อถูกขบกัดที่ลำคอซ้ำที่รอยเดิม
   
“ เจ้าเป็นหมารึไง มากัดข้า ”
   
ฟาร์คัสเอามือลูบรอยแต่ก็ถูกคาร์บิลัสตรึงเอาไว้เหนือหัว
   
“ มากกว่าหมาข้าก็เป็นได้ ”
   
คาร์บิลัสหัวเราะ ลูบสีข้างอีกาเบาๆ
   
สัมผัสเพียงเล็กน้อยจากราชาปีศาจกลับทำให้ฟาร์คัสสะดุ้งเฮือก
   
“ จุดอ่อนของเจ้าอยู่ตรงนี้สินะ ”
   
ฟาร์คัสไม่ได้ตอบพยายามกลั้นเสียงครางของตัวเอง
   
สัมผัสผะแผ่วชวนให้รู้สึกประหลาด
   
มือของคาร์บิลัสค่อยๆ ลากจากสีข้างลงไปยังส่วนล่างที่ไม่เคยมีใครได้สัมผัสมันมาก่อน
   
ฟาร์คัสหลับตาหันหน้าหนี รู้สึกเขินอายเกินกว่าจะทนดูได้
   
ราชาปีศาจยิ้มบางกับท่าทางที่หาได้ยากในเวลาปกติ ก้มลงจูบอีกาอีกครั้งลิ้นสอดรุกไล่เข้าไปข้างในอย่างเชี่ยวชาญจนฟาร์คัสตัวอ่อนยวบ มือเปลี่ยนจากลูบสิ่งนั้นเป็นลูบสะโพกหยอกเย้า
   
“ ข้ารักเจ้านะฟาร์คัส ”
   
คาร์บิลัสพูดเสียงกระซิบค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปสำรวจข้างในตัวฟาร์คัส
   
 ฟาร์คัสสะดุ้งเมื่อความอึดอัดที่จู่โจม
   
“ แล้วเจ้าล่ะ ? รักข้ารึเปล่า ”
   
ฟาร์คัสจ้องหน้าคาร์บิลัสด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์แต่แดงก่ำ
   
“ อึก แล้วแต่เจ้าจะคิดแล้วกัน ”
   
คาร์บิลัสหัวเราะ
   
คำตอบนั้นชัดเจนดีอยู่แล้ว
   
ถ้าหากฟาร์คัสไม่รักข้า คงจะไม่เลือกที่จะมาอยู่กับข้าแต่แรก
   
และคงไม่มีวันยอมให้ข้าทำแบบนี้
   
ถ้าหากไม่ได้รักข้า
   
สีหน้าของฟาร์คัสเปลี่ยนแปลงเมื่อข้าเพิ่มนิ้วเพื่อขยายช่องทาง
   
ข้าพยายามค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ครั้งแรกระหว่างข้ากับฟาร์คัสเป็นความทรงจำดีๆ
   
แม้ว่ามันจะทำให้ข้าทรมานมากก็ตาม
   
ความเครียดเขม็งอยู่เพียงส่วนเดียวทำให้คาร์บิลัสควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่
   
ข้าอยากจะกินอีกาเต็มทนแล้ว..
   

คาร์บิลัสเอื้อมมือหยิบของบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้ใต้เตียงมาเป็นเวลานานแต่ไม่มีโอกาสได้ใช้สักที
   
ขวดที่บรรจุด้วยของเหลวใสถูกเปิดออก
   
กลิ่นหอมดอกไม้ลอยแตะจมูกทำให้ฟาร์คัสลืมตาขึ้นมาดูด้วยความสงสัยแต่พอเห็นว่าเป็นอะไรก็อดเหน็บราชาปีศาจไม่ได้ “ นี่เจ้าเก็บของพรรค์นี้ไว้ใต้เตียงนอน ? ”
   
“ แน่สิ เผื่อว่าวันใดเจ้าจะใจดียอมให้ข้ากิน จะได้ไม่ติดขัดไง ”
   
คาร์บิลัสยิ้มรับในขณะที่บรรจงทาลงบนสิ่งนั้น
   
มันจะไม่ทำให้ฟาร์คัสเจ็บมากนัก
   
ฟาร์คัสพูดไม่ออก
   
วันๆ แพะโง่นี่คิดแต่เรื่องแบบนี้กับข้ารึไงกัน
   
อีกาคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยพยายามไม่ใส่ใจกับที่ราชาปีศาจกำลังทำแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อสติถูกกระชากกลับมาด้วยความเจ็บของส่วนล่าง ฟาร์คัสกัดฟันกำผ้าปูเตียงแน่น
   
“ ผ่อนคลายหน่อย ฟาร์คัส.. ”
   
คาร์บิลัสไม่ผลีผลามทำอะไรต่อ
   
“ เจ้ามาโดนเองไหมล่ะ ”
   
ถลึงตามองคาร์บิลัส
   
ทั้งๆ ที่ข้าพอทำใจมาแล้วว่ามันจะต้องเจ็บ
   
แต่ไม่คิดว่ามันจะเจ็บขนาดนี้
   
คาร์บิลัสก้มลงจูบอีกาเพื่อไม่ให้พูดอะไรอีก
   
เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันบนเตียง
   
ที่มีแต่ข้าที่เป็นรองหรอกนะ !
   
ฟาร์คัสไม่ได้ขัดขืนหลับตาจูบตอบ อดยอมรับไม่ได้ว่ารู้สึกดีไม่น้อยจนเผลอผ่อนคลายลง
   
และนั่นก็เป็นโอกาสของคาร์บิลัสได้จู่โจม
   
คาร์บิลัสแทรกตัวเข้าไปในตัวฟาร์คัสทันที่เมื่อสบโอกาส
   
ฟาร์คัสเจ็บจนน้ำตาคลอ
   
“ ไอ้แพะเวร !! ”
   
“ ข้าชื่อคาร์บิลัสเรียกคาร์บิลัสสิ ”
   
คาร์บิลัสที่ดูเหมือนจะสติค่อยๆ หลุดออกไป
   
ขยับกายเข้าออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะดุดันขึ้นเรื่อยๆ
   
ซึ่งมันก็ทำให้ฟาร์คัสหลุดครางเพราะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
   
ขาของฟาร์คัสถูกคาร์บิลัสบังคับให้เกาะเกี่ยวเอวหนาไว้
   
“ เรียกชื่อข้าสิ ”
   
คาร์บิลัสกระซิบเสียงแหบพร่า
   
“ คะ คาร์บิลัส อือ ”
   
ฟาร์คัสเผลอเรียกโดยไมรู้ตัว
   
สติของฟาร์คัสพร่ามัวเมื่อถูกราชาปีศาจรุกไล่
   
ดุดันแต่ก็แฝงความอ่อนโยนไว้ในบางครา
   
ดวงจันทร์ยังคงกระจ่างบนท้องฟ้า
   
รัตติกาลในคืนนี้คงจะยาวนานกว่าทุกวัน

   

เกือบค่อนวันกว่าที่ฟาร์คัสจะตื่นขึ้นมา ฟาร์คัสหยัดตัวขึ้นด้วยความงัวเงีย แต่ก็ต้องตื่นเต็มตาเมื่อความรู้สึกเจ็บเสียดที่ตีตื้นขึ้นมา
   
ภาพเมื่อคืนปรากฏในหัวขึ้นมาเป็นฉากๆ ราวกับกำลังตอกย้ำในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานว่าเกิดขึ้นจริง
   
ฟาร์คัสกุมขมับหน้าแดงก่ำ
   
นี่ข้าทำเรื่องน่าอายลงไปจริงๆ งั้นเหรอ
   
ไอ้ราชาปีศาจเวรนั่นก็คึกเหลือเกิน
   
เห็นข้ายอมอ่อนให้ก็เต็มที่จนข้าแทบจะตายคาเตียง
   
ฟาร์คัสค่อยๆ หยั่งขาลงเหยียบพื้นกลับพบว่าขาของตัวเองสั่นจนไปไหนต่อไม่ได้
   
นี่มันแย่ชะมัด
   
ถอนหายใจเซ็งๆ ล้มตัวนอนบนเตียงเหมือนเดิม
   
ห้องทั้งห้องเงียบสงบดูสุขุมจนไม่เหมือนว่าเมื่อคืนเพิ่งผ่านสมรณภูมิบางอย่างมา
   
ฟาร์คัสทนความเงียบได้ไม่นอนก็เริ่มรู้สึกง่วงจึงดึงผ้าห่มมาห่มปิดร่างเปลือยๆ ของตัวเองแล้วจึงนอนต่อ
   
ปัง
   
บานประตูถูกกระแทกให้เปิดจนเกิดเสียงดังลั่น
   
ฟาร์คัสสะดุ้งเฮือกรีบหันมาดูทันที
   
“ ฟาร์คัส ! เจ้าตื่นรึยัง ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะจัดงานแต่งงานของเจ้ากับข้า ข้าลองปรึกษากับชาคอสดูแล้ว ในเดือนหน้าเป็นฤกษ์ดี  ”
   
คาร์บิลัสพูดรัวและเร็วด้วยความตื่นเต้น สีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา
   
ผิดกับฟาร์คัสที่ติดจะซีดเซียว
   
ฟาร์คัสมองคาร์บิลัสตาขวาง
   
“ งานแต่งบ้าอะไร  ”
   
ทำอะไรไม่ปรึกษาข้าสักนิด
   
แต่งงาน ?
   
งานเอิกเกริกที่มีสักขีพยานมากมายเป็นชาวปีศาจงั้นเหรอ
   
ข้าไม่ได้อยากได้มันสักนิด !
   
น่าอายจะตาย
   
“ งานแต่งของเราไง เวลาเจ้าไปไหนมาไหน เจ้าก็จะถูกปฎิบัติแบบเดียวกับข้า  ”
   
คาร์บิลัสปิดประตูดังลั่น นั่งลงบนเตียงดึงมือฟาร์คัสไปแนบแก้มตัวเอง
   
“ หรือเจ้าเกลียดข้า..”
   
คาร์บิลัสพูดเศร้าๆ
   
“ ข้าว่าข้าเคยพูดเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้วนะว่าข้าไม่ได้เกลียดเจ้า อีกอย่างสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมันไม่ได้ทำให้เจ้ามั่นใจในตัวข้ามากขึ้นเลยรึไง ถ้าเจ้าคิดแบบนั้น ก็ไม่ต้องมายุ่งกับข้าอีก ”
   
ฟาร์คัสขมวดคิ้วเป็นปมในขณะที่พูด
   
ส่วนคาร์บิลัสสะดุ้งดึงมือของฟาร์คัสไปจูบเบาๆ ที่ปลายนิ้ว
   
“ ข้าก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง ”
   
พร้อมพูดด้วยสีหน้าน่าสงสาร
   
“แต่เรื่องงานแต่งงานของจริงจังนะ ข้าเพิ่งจะตัดสินใจได้ตอนที่เจ้าหลับอยู่ ”
   
“ จัดไปแล้วมันได้อะไรกัน ? ”
   
“ ได้สิ ได้เยอะด้วย ”
   
คาร์บิลัสเมื่อเห็นฟาร์คัสสนใจก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันที
   
“ เจ้าจะได้อภิสิทธิ์ทุกอย่างเช่นเดียวกับข้า เจ้าต้องนอนกับข้า ต้องอยู่ห้องเดียวกับข้า กินอาหารร่วมโต๊ะกับข้า แม้แต่ตอนอาบน้ำเจ้าก็ต้องอยู่กับข้า ! ”
   
“ แพะเวร เจ้ารู้จักคำว่าเวลาส่วนตัวไหม ? ข้าไม่ใช่ฝาแฝดเจ้านะถึงต้องอยู่กับเจ้าตลอดเวลา ”

---------------

รอบนี้ไม่ตัดก็ได้ 55555  :hao3:

คาร์บิลัสนี่ดีใจจนน้ำตาไหลเลยมั้งเนี่ย 40 กว่าตอนกว่าจะได้กิน
   
   
   
   
   
   
   
   
      
   
   
   
   
      
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 43 7 ก.พ 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 07-02-2016 23:34:04
เลือดกระฉูด


คาร์บิลัสสมหวังซะที

แต่ว่าแต่งงานนี่ก็ดีนะ~ ฟาร์คัสสนใจไหมจ๊ะ??
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 43 7 ก.พ 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-02-2016 23:42:58
เท่าที่ฟังๆ ดู คาบิลัสดูจะได้ประโยชน์จากงานแต่งเยอะที่สุดเลยนะ ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 43 7 ก.พ 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 07-02-2016 23:44:19
ปลื้มปริ่ม เหมือนลูกสาวมี ซะมีเป็นตัวเป็นตน #โบกมือลาเอกราชของฟาคัส   :bye2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 43 7 ก.พ 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Malila ที่ 08-02-2016 07:45:15
เฮ้  จุดพลุฉลองแปบบ  ปลื้มปริ่ม :mew4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 43 9 ก.พ 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 09-02-2016 23:36:36
ฟาร์คัสขมวดคิ้วในสิ่งที่คาร์บิลัสกำลังเสนอให้กับตัวเอง
   
มันมีแต่เจ้าแพะโง่ได้กับได้ไม่ใช่เหรอ ?
   
“ มันดีจริงๆ นะ ”
   
ฟาร์คัสเม้มปากครุ่นคิดแต่พอเห็นสีหน้าคาดหวังของคาร์บิลัสก็ใจอ่อน
   
ข้าเกลียดตัวเองที่แพ้สายตาแบบนี้ชะมัด
   
“ ถ้าจะจัดก็จัดแบบเงียบๆ คนน้อยแล้วกัน ข้าไม่อยากป่าวประกาศหรอกนะว่าเป็นชายาใคร ”
   
ให้ข้าเหลือความเป็นชายให้กับตัวเองบ้างเถอะ
   
คาร์บิลัสตาโตดีใจจนแทบกระโดดตัวลอย
   
“ แน่นอน ! นอกจากคนสนิทข้าจะไม่เชิญใครมาทั้งนั้น ”
   
“ มีเรื่องแค่นี้ใช่ไหม ข้าจะได้นอนต่อสักที ”
   
ฟาร์คัสพูดเบื่อๆ
   
อดหมั่นไส้ราชาปีศาจในใจไม่ได้
   
ดูดีใจซะเหลือเกิน
   
ข้ากะจะหลับอีกครั้งเผื่อว่าตื่นมาอาการเจ็บนี่จะบรรเทาลง
   
“ ไม่แค่นี้หรอก ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำด้วย ”
   
พูดพร้อมรวบตัวฟาร์คัสไปอุ้มอย่างง่ายดาย
   
“ ใครบอกว่าช้าจะอาบตอนนี้ ข้าจะนอน ”
   
ฟาร์คัสต่อยไหล่คาร์บิลัสเบาๆ เชิงให้ปล่อยลงบนเตียงเหมือนเดิม
   
อาบน้ำในห้องน้ำกับแพะนี่ไม่ได้ทำให้ข้าวางใจสักนิด
   
ถ้าเกิดไอ้แพะนี่เป็นแบบเมื่อวานอีก ข้าคงได้กัดลิ้นตายจริงๆ
   
“ ไว้ใจข้าเถอะ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก ”
   
คาร์บิลัสพูดราวกับอ่านความคิดของฟาร์คัสออก
   
“ ข้าขอยาจากพอยส์มาแล้ว มันจะทำให้อาการของเจ้าดีขึ้น ”
   
ฟาร์คัสขบกรามกรอดหน้าแดง
   
นี่ไม่เท่ากับว่าตะโกนบอกคนอื่นเลยรึไงว่าเมื่อคนเกิดอะไรขึ้น ?
   
“ ข้าจะนอน เจ้าจะไปไหนก็ไป ”
   
ฟาร์คัสพยายามขืนตัวออกแต่ความเจ็บที่มีอยู่ก็ปรามเอาไว้
   
คาร์บิลัสวางฟาร์คัสลงบนเตียงอย่างว่าง่าย
   
“ งั้นให้ข้าเช็ดตัวให้เจ้านะ ! ข้าจะทายาให้เจ้าด้วย ”
   
พูดด้วยรอยยิ้มซื่อแต่ตากลับพราวระยับ
   
ฟาร์คัสกระตุกยิ้มเย็นชาตอบ
   
“ กลับไปทำงานเถอะ ท่านราชาปีศาจ ข้าดูแลตัวเองได้ ”
   

“ แม้แต่ลุกเจ้ายังลุกไม่ไหว นับประสาอะไรกับการดูแลตัวเอง ? ”
   
คาร์บิลัสพูดด้วยรอยยิ้มมีเล่ห์สนัย
   
ราวกับกำลังทิ้งคราบของหมาร่าเริงไป
   
กลายเป็นหมาป่าร่างโตที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อทุกเวลาที่สบโอกาส
   
“ ... ข้าจะนอน ”
   
ฟาร์คัสไม่สามารถปฏิเสธในสิ่งที่คาร์บิลัสพูดได้
   
เพราะทุกสิ่งที่กล่าวมานั้นล้วนเป็นความจริง
   
และเหนื่อยจะเถียงแล้ว
   
ตัดบทด้วยการดึงผ้าห่มมาคลุมโปง
   

เสียงหัวเราะดังแว่วข้างหูพร้อมสัมผัสอ่อนโยนที่หัว
   
“ ไว้ตอนเย็นข้าจะมาอีกครั้งแล้วกัน ”
   
   

“ แก๊ซ ! ข้าชื่อดัฟฟ์ เป็นมังกรดำ ”
   
ดัฟฟ์พูดหน้าชั้นเรียนหลังจากโดนครูประจำชั้นสั่งให้แนะนำตัวเอง
   
ห้องที่ดัฟฟ์กับนาซัสได้อยู่นั้นเป็นห้องเรียนสี่เหลี่ยมจัตุรัสห้องทั้งห้องถูกทาด้วยสีดำต่างจากห้องเรียนอื่นที่เป็นสีสว่างอย่างสีขาวหรือสีครีม  สาเหตุก็มีตั้งแต่ห้องนี้มักก่อเรื่องจนเลือดเลอะกำแพง ทำห้องระเบิด เผาห้อง ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนส่งผลไม่ดีต่อห้องเรียน ผู้อำนวยการจึงตัดสินใจเอาสีดำทาเพื่อตัดปัญหาการมานั่งขัดเลือดหรือสีออก
   
“ เจ้าจะร้องแก๊ซทำไม นั่นฟังดูเชยชะมัด ! ”
   
ปีศาจพรายน้ำหัวเราะหึมองดัฟฟ์เหยียดๆ    
   
ดัฟฟ์หันขวับจ้องหน้าคนว่าเขม็ง
   
“ มีปัญหารึไง ? เด็กใหม่ ”
   
เสียงแหบห้าวตะโกนถามจากหลังห้อง
   
“ พอๆ พวกเจ้าจะตีกันค่อยตอนหมดคาบ ข้าขี้เกียจหักคะแนนพวกเจ้า แค่นี้ก็จะตกกันอยู่แล้ว ”
   
ครูประจำวิชาไม่ได้ตกใจแต่อย่างใดเพราะความชินชา
   
“ เจ้าแนะนำตัวกันเสร็จแล้วก็ไปนั่งเลยแล้วกัน กลางห้องที่ว่างสองที่นั่นแหละ เจ้านั่งไปเลย ”
   
ปีศายพรายจ้องครูเอาเรื่องเพราะที่ๆ ว่าคือที่เพื่อนเขา
   
“ ที่นั่งนี่มีคนนั่งอยู่แล้วนี่ ครู ! โนแลนกับลาสต์ !! ”
   
“ พวกเจ้าน่ารำคาญจัง แก๊ซ ”
   
ดัฟฟ์ส่ายหน้าถอนหายใจเซ็งๆ และนั่งลงข้างปีศาจพรายส่วนนาซัสก็นั่งข้างตัวเองอีกที
   
“ เจ้าว่าไงนะ ? ดัฟฟ์ ”
   
พรายน้ำแสยะยิ้มน้ำแข็งค่อยๆ จับตัวหนาบนมือ
   
ดัฟฟ์ไม่สนใจสิ่งที่พรายน้ำพูดเพราะสนใจครูที่กำลังพูดอยู่
   
“ ในเทอมนี้ ครูจะเปิดชมรมทำอาหารถ้าพวกเจ้าสนใจก็เข้ากันได้ ”
   
ครูประจำวิชาพูดอย่างขอไปทีเพราะคิดในใจ ว่ายังไงๆ ก็นักเรียนห้องก็ไม่มีทางเข้าชมรมทำอาหารอยู่แล้ว ชมรมที่เด็กพวกนี้เข้ากันก็มีแต่ชมรมบ้าเลือดทั้งนั้น
   
“ ข้าเข้า ! ข้าเข้า แก๊ซ !! ”
   
ดัฟฟ์ยกมือสูงอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำว่าอาหาร
   
“ ชมรมปัญญาอ่อน ”
   
คนที่พูดเป็นปีศาจเจ้าของเสียงแหบห้าวเมื่อกี้ ผมสีแดงเพลิงถูกรวบไว้หลวมๆ ตาสีแดงมองดัฟฟ์เขม็งเหมือนกับเจาะจงว่ากำลังว่าใคร
   
ดัฟฟ์มองขวับก่อนจะแลบลิ้นใส่
   
“ ข้าไม่แบ่งพวกเจ้าหรอก แก๊ซ ! ”
   
ดัฟฟ์ตีความในสิ่งที่ปีศาจมังกรเพลิงว่าไว้ผิดคิดว่าอิจฉาและอยากกินด้วย
   
“ เจ้า !! ”
   
มังกรเพลิงแทบจะถลาเข้ามาใส่ดัฟฟ์แต่ก็ถูกสายตาของครูปรามไว้
   
“ สรุปว่ามีแค่ดัฟฟ์กับนาซัสนะที่เข้าชมรมครู ส่วนคนอื่นถ้าสนใจก็มาแจ้งกับครูได้ ”
   
ถึงแม้ครูกำลังพูดอยู่ แต่สายตาคนในห้องกลับบรรจบอยู่ที่ดัฟฟ์
   
แต่ละสายตาล้วนไม่เป็นมิตรมีเพียงไม่กี่คู่เท่านั้นที่ไม่แสดงท่าทีเกลียดชังหรือหมั่นไส้
   
“ วันนี้คงไม่มีอะไรมาก ครูแค่มาแจ้งเรื่องนี้เท่านั้น เวลาที่เหลือพวกเจ้าจะทำอะไรก็ทำ ”
   
เมื่อครูย่างเท้าออกไปจากห้อง
   
ก็เหลือเพียงดัฟฟ์ที่นั่งอยู่กลางวงล้อม นั่งตาแป๋วจดจ่อรอเรียนวิชาต่อไปด้วยความตื่นเต้นไม่ใส่ใจใครทั้งนั้น
   
“ ดัฟฟ์ ”
   
ปีศาจมังกรเพลิงหยุดยืนหน้ามังกรดำพร้อมยิ้มแสยะ
   
ดัฟฟ์เอียงคอถาม
   
“ มีอะไร แก๊ซ ”
   
“ เวลาที่มีนักเรียนมาใหม่ในห้อง พวกข้าจะรับน้อง ”
   
วงล้อมค่อยๆ แน่นขนัดมากขึ้นเรื่อยๆ
   
ห้องพิเศษนี้ถนัดเรื่องการใช้กำลังที่สุด
   
“ ฉะนั้นพวกข้าจะรับน้องเจ้าไง !! ”
   
ผลั่ก !
   
-----

ฟาร์คัสได้ออกเรือนสักที  :hao5: ทำไมรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนเจ้าสาวเนี่ย 5555

ส่วนดัฟฟ์เจอสมรภูมิเดือดซะละ
   
   
       
   
   
      
   
   
   
   
      
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 43 9 ก.พ 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-02-2016 00:27:58
เอ้าาาาาา เด็กๆ อย่ามาแกล้งนุ้งดัฟกะนาซัสของป้านะ !!!
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 43 9 ก.พ 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-02-2016 00:32:33
ใครแกล้งดัฟท์ นาซัสจัดกานนนน
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 43 9 ก.พ 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 10-02-2016 08:17:48
ไอ้หยา ดัฟฟ์โดนล้อม!!!

แต่ดัฟฟ์นี่เป็นนักเรียนที่ดีนะคะ ตั้งใจเรียนจริงจัง

(อยากเห็นดัฟฟ์อบขนมวุ้ย)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 43 9 ก.พ 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 16-02-2016 02:19:29
ในที่สุด ก็ได้เห็นฉากที่รอคอย  :z1:
ดีใจด้วยนะคาบิลัส หุงข้าวแดงจ้าาาาาา!!!!!

ว่าแต่น้องดัฟฟ์จะเหวอไปมั้ยอะ ว่าที่ราชาองค์ต่อไปเป็นแบบนี้ ดินแดนปีศาจจะไม่เป็นไรจริงๆหรือ :ruready
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 19 ก.พ 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 19-02-2016 23:45:29
เนื่องจากตัวละครเยอะมาก 55555 กลัวว่าจะงงกัน

ตัวละคร :D

กริสเซล : เผ่าพันธุ์สิงโต อวยดัฟฟ์
   
ออสการ์ : พรายน้ำ หลงตัวเอง
   
คาอิส : มังกรไฟ หงุดหงิดง่าย
   
โนแลน : เจ้าระเบียบจัด
   
ลาส : ชอบแต่งตัวหรูๆ
   
เอิร์ล : พวกคิดแง่ลบ เป็นปีศาจกินวิญญาณ
   
กาลัน : ติ้งต้อง
   
เฮย์ : ขี้อวด
   
ฟอร์ด : ขี้กลัว
   
โมลอค : สุขุมใจเย็นคำคม
   
นิสัยที่เหมือนกัน : ชอบตีกัน
   
ห้องเรียนมี 12 คน รวมดัฟฟ์กับนาซัส
   

ตอนที่ 44
   
ผลั่ก
   
“ โอ๊ย ไอ้กริสเซล ! ”
   
มังกรไฟหันมาว้ากใส่คนที่ฝ่าวงล้อมเข้ามาอย่างฉุกละหุกอีกทั้งยังชนเขาล้มอีกด้วย !
   
“ พวกเจ้าจะต่อยดัฟฟ์นี่ ข้าเป็นเพื่อนดัฟฟ์ก็ต้องช่วยสิ คาอิส  ”
   
กริสเซลพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง ถ้าเกิดข้ากลับมาไม่ทันเมื่อกี้ดัฟฟ์คงต้องกลายเป็นก้อนอะไรสักอย่างสีดำเหมือนคนก่อนที่เข้ามาแน่ๆ
   
“ พวกข้าจะทำอะไรดัฟฟ์ก็เรื่องของพวกข้า รอบที่แล้วก็เพราะเจ้า พวกข้าถึงต้องไปเป็นอยู่กับมังกรหอนาฬิกา !  ” ปีศาจพรายน้ำหรือออสการ์ตะคอกใส่ปีศาจสิงโตพร้อมยื่นมือดึงคาอิสขึ้นมา
   
“ อย่าคิดว่าข้ากลัวกรงเล็บของเจ้านะ ”
   
คาอิสจ้องปีศาจสิงโตด้วยตาลุกวาว
   
“ ถ้าพวกเจ้าไม่เอาแต่รังแกเด็กใหม่ ข้าก็ไม่ทำอะไรพวกเจ้าหรอก ”
   
กริสเซลพูดเบื่อๆ ก่อนจะหันไปคุยกับดัฟฟ์
   
“ ข้าดีใจนะที่เจ้าได้อยู่ห้องนี้กับข้า ”
   
“ อือ.. ข้าก็น่าจะดีใจนะ แก๊ซ ”
   
ดัฟฟ์เอียงคอไปมาขณะที่พูดหรี่ตามองรอบตัวที่เต็มไปด้วยเพื่อนร่วมชั้น
   
“ พวกเจ้าจะมายืนล้อมวงทำไม แก๊ซ ไม่ต้องเรียนเหรอ ”
   
“ เรียนสิต้องเรียนแน่ แต่เจ้าจะได้เรียนวิชาปฐมพยาบาลไงล่ะ !! ”
   
คาอิสกระโจนเข้าใส่ดัฟฟ์
   
ความเลือดร้อนของมังกรไฟแฝงเอาไว้เต็มเปี่ยม
   
สาเหตุที่ทำให้ต้องมาอยู่ห้องนี้ก็เพราะนิสัยส่วนตัวของคาอิส
   
ที่เมื่อไม่ถูกกับใครก็จะไปตีทันที
   
ดัฟฟ์ที่พื้นฐานการต่อสู้ที่เข้าขั้นแย่ทำให้กระโดดหลบไม่ทัน จึงโดนเท้าของคาอิสฟาดที่หน้าผากเต็มๆ มังกรดำนั่งคู้ตัวกุมหัวตัวเองแน่นทันที
   
คาอิสที่ปกติมักจะไล่เตะต่อยต่อถึงกับชะงัก
   
“ ฮืออออ ! ข้าฟ้องแม่แน่ ฮืออ เจ็บ แก๊ซซ ”       
   
ดัฟฟ์แหกปากดังลั่นนัยน์ตาพราวไปด้วยหยดน้ำ หน้าผากแดงก่ำเป็นรูปฝ่าเท้าของคาอิส
   
“ เจ้า !! ”
   
กริสเซลแยกเขี้ยวผมขึ้นสีแดงก่ำตามอารมณ์โกรธถลาตัวเข้าไปต่อยคาอิส
   
คาอิสหลบหมัดที่พุ่งมาและสวนกลับด้วยการปาเพลิงใส่
   
ทำให้ห้องเรียนค่อยๆ ลุกไหม้
   
“ ห้องเรียนไหม้อีกแล้ว... ”
   
เสียงดังแผ่วเบามาจากปีศาจกินวิญญาณที่หลบอยู่หลังห้องเงียบๆ
   
ส่วนออสการ์ก็เข้าไปช่วยรุมกริสเซล น้ำแข็งแท่งขนาดกลางโผล่ขึ้นทั่วห้อง ไอเย็นแผ่ปกคลุมจนห้องทั้งห้องเย็นเยือก ปีศาจที่เหลือที่ตั้งจะช่วยรุมจึงตัดสินใจดูอยู่ห่างๆ
   
ห้องเรียนไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการต่อสู้สักเท่าไหร่
   
“ น่าสนุกชะมัด เจ้าว่าไหม ? เฮย์ ”
   
กาลันจ้องการต่อสู้ที่ดุเดือดด้วยตาเป็นประกาย ตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น
   
“ ไม่เห็นน่าสนุกเลย ถ้าสนุกจริงต้องมีข้าในนั้นด้วยสิ ข้าจะแสดงให้ดูว่าข้าเก่งขนาดไหน ! ” เฮย์เชิดหน้าพูดด้วยท่าทางที่คิดว่าตัวเองเท่ที่สุด
   
ซึ่งกาลันก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่เฮย์พูดแต่อย่างใด
   
“ แย่จัง ถ้าห้องนี้ใหญ่กว่านี้ก็ดีสิ ข้าอยากสู้ด้วยจังเลย ”
   
“ พวกเจ้าช่วยมาดับไฟพวกนี้เร็ว ! มันกำลังไหม้โต๊ะข้า ว้ากกกก ”
   
เหยี่ยวขนาดยักษ์บินว่อนทั่วห้องอย่างตื่นตระหนกแหกปากร้อง
   
“ เจ้าเป็นถึงเหยี่ยวคร่าวิญญาณ จะกลัวพวกนั้นทำไมกับแค่ไฟฮะ ! ”
   
เฮย์ตะโกนด่าขว้างดาบที่เพิ่งได้มาจากพ่อและยังไม่ได้อวดใครใส่ฟอร์ด
   
“ ข้ายังไม่โตนี่ ว้ากกก เฮย์ ! ”
   
ฟอร์ดในร่างเหยี่ยวกรีดร้องดังลั่นเมื่อดาบมาโดนตัวเองและทะลุผ่านไปปักที่เพดาน
   
โมลอคมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ด้วยแววตาสุขุม เอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟังราวกับกำลังพูดสุนทรพจน์ต่อผู้คนจำนวนมาก
   
“ คำคมวันนี้.. เหยี่ยวแม้นจะเป็นเจ้าเวหาแต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงไก่บินบนฟ้า ”
   
“ สาบานว่านั้นคำคมของเจ้า โมลอค ! ”
   
กาลันหันกลับมากัดโมลอคอย่างอดไม่ได้
   
โมลอคลูบผมเปียสีม่วงอ่อนตัวเอง ยิ้มนุ่มนวล
   
“ แน่นอน คำคมของข้าล้วนตราตรึงในใจผู้คนเสมอ ”
   
กาลันกับเฮย์หัวเราะแห้งๆ
   
“ ว้ากกก ข้าได้ยินเสียงฝีเท้า ผู้อำนวยการ !! ”
   
ฟอร์ดรีบบินไปเกาะบนเก้าอี้ตัวอื่นจ้องโต๊ะตัวเองน้ำตารื้น
   
“ ฮือ โต๊ะข้าไหม้หมดแล้ว ฮือๆ ”
   
เสียงของฟอร์ดทำให้นักต่อสู้ในห้องหยุดชะงักเพียงครู่เท่านั้นและสู้กันต่อทันที เดิมทีเป็นเพียงความแค้นผสมกับความหมั่นไส้ส่วนตัวแต่หลังๆ กลับมีความสนุกกับคึกคะนองแฝงอยู่
   
ทั้งคาอิสกับกริสเซลไม่มีแม้แต่รอยช้ำบนใบหน้า
   
ส่วนออสการ์กำลังนั่งปลอบดัฟฟ์แทน
   
“ เจ้าอย่าร้องไห้สิ ! ถึงข้าจะไม่ชอบเจ้า แต่ก็ไม่ได้อยากให้เจ้าร้องไห้ ”
   
ผมสีฟ้าที่ถูกตัดสั้นเริ่มชื้นเหงื่อเย็น
   
“ ฮึก พวกเจ้านี่มันแย่ที่สุดเลย   ”
   
ดัฟฟ์ลูบหน้าผากตัวเองที่รอยเริ่มจาง น้ำตาคลอ
   
ข้าก็แค่อยากตั้งใจเรียนนะ

--------------------

บรรยากาศรั้วโรงเรียนมาก

ตอบเมนต์ ♥

คุณ lizzii : กริสเซลมาช่วยแล้ววว  :a1:

คุณ •♀NoM!_KunG♀• :  คิดไปคิดมา นาซัสอาจจะไม่ใช่สามีดัฟฟ์ 555555

คุณ BlueCherries : ชมรมสำหรับดัฟฟ์ชัดๆ  :mew3:

คุณ tsubasa_6927 : เริ่มสงสารดินแดนปีศาจเหมือนกันค่ะ 5555

 :pig4:
 
   
   
   

   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   

   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 19 ก.พ 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 20-02-2016 00:00:04
โอ้ยยยย วันแรกนี่ห้องเรียนวุ่นขนาดนี้ แปลกใจจริงหนอบรรดาอาจารย์คุมเด็กแสบได้ยังไงนี่  :เฮ้อ: กลุ้มแทน


ทายไม่ถูกเลยดัฟฟ์จะคุ่ใคร  :really2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 19 ก.พ 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-02-2016 09:23:59
โอ๋ๆๆๆๆๆๆๆๆ นุ้งดัฟของป้า
ไม่เป็นไรน๊าาาา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 19 ก.พ 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-02-2016 22:13:24
ทำไมดัฟไม่สมกะมังกรเลยเนี่ยยย 5555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 19 ก.พ 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Malila ที่ 20-02-2016 23:05:17
โถ่ว  ดัฟฟ์ของแม่~~~~~~
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 19 ก.พ 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 21-02-2016 01:38:06
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกห่วงดินแดนปีศาจเหลือเกิน
ราชาปัจจุบันวันๆก็เอาแต่หนีงานไปตามผู้ชาย(?)
ว่าที่ราชาองค์ต่อไปก็ชอบกินขนม ซ้ำยังปวกเปียกฝุดๆ ว่าแต่มังกรดำปกติเค้าอ่อนงี้เลยหรอคะ ดัฟฟ์หนูไม่สตรองเลยลูก ต้องหาเขยเข้าบ้านไวๆแล้วล่ะ เอาคนเอาการเอางานมาเป็นซะมี แล้วใช้สามีทำงานราชการแทน 5555555.  :hao6:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 21 ก.พ 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 21-02-2016 23:50:20
นาซัสพยายามลูบหลังดัฟฟ์ปลอบอีกแรง
   
ปัง !!
   
ประตูห้องเรียนถูกกระชากเปิด เวทสีทองฟุ้งกระจายเต็มห้องดับเพลิงที่ลุกไหม้และน้ำแข็ง ส่วนที่ไหม้ส่วนอื่นค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิม
   
ผู้อำนวยการยิ้มเหี้ยมขณะที่ไล่สายตามองเด็กแต่ละคนในห้อง
   
“ เมื่อวานพวกเจ้าก็เพิ่งเผาห้องไป วันนี้ก็ยังจะเผาอีกนะ ”
   
ถึงแม้ว่าจะเห็นดัฟฟ์ร้องไห้กิลเบิร์ตก็ไม่ได้เอ่ยปากช่วยแต่อย่างใด
   
คาอิสมองผู้อำนวยการตาขวาง
   
“ ข้าไม่เกี่ยวนะ ! เจ้ากริสเซลมันเริ่มก่อน ข้าเลยต้องสนอง ”
   
เจ้าของชื่อโกรธจนหัวฟูกว่าเดิม
   
“ พูดงี้ก็สวยสิ ไอ้กิ้งก่า ลองอีกรอบไหม ! ”
   
พอกริสเซลตั้งท่าจะกระโจนเข้าไปหาคาอิสอีกรอบ
   
ทำให้เส้นเลือดบริเวณขมับของผู้อำนวยการปูด
   
“  เด็กน้อย ข้าอยู่ตรงนี้ยังจะตีกันอีก พวกเจ้าทำครูลาออกไปหลายคนแล้วนะ เห็นทีข้าคงต้องเด็ดขาดกับพวกเจ้าแล้วสินะ ”
   
กิลเบิร์ตพูดเสียงเย็นเขียนวงเวทบนพื้นด้วยอักขระปีศาจ
   
“ วันนี้ไม่ต้องเรียนในห้อง หาทางกลับจากป่าเอาเอง !! ”   
   
เฟอร์นอส !!
   
คำรามเรียกชื่อสถานที่ด้วยเสียงอันดัง วงเวทบนพื้นเปลี่ยนสีไปมาก่อนจะมาจบที่สีดำ มันย้ายตัวเองไปใต้เท้าของนักเรียนทุกคนในห้องและนำพาไปยังสถานที่นายของมันมันต้องการ
   
เมื่อเหลือเพียงห้องนอนโล่งๆ กิลเบิร์ตก็ถอนหายใจ
   
โชคร้ายของพวกเจ้าแล้วล่ะ
   
ดัฟฟ์ นาซัส


   
ป่าเฟอร์นอสเป็นป่าที่ติดกับโรงเรียน นักเรียนสามารถเข้าไปเดินเล่นได้แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับป่าแห่งนี้ ปีศาจหายไปบ้าง มาฆ่าตัวตายบ้าง ทำให้บรรยากาศในป่าเย็นยะเยือกอยู่ตลอดเวลาและให้ความรู้สึกราวกับกำลังถูกจับจ้องมาจากที่ใดสักที่หนึ่ง
   
“ ว้ากกก  นี่มันน่ากลัวที่สุดเลย ”
   
ฟอร์ดบินพล่านสติแตกเหนือหัวทุกคน
   
ครืนนน
   
ท้องฟ้าส่งเสียงคำรามเป็นสารเตือนก่อนที่มันจะปล่อยฝนลงมา
   
“ นี่มันแย่สุดๆ พวกเราโดนโยนเข้ามาในป่าผีสิง พวกเราต้องโดนผีหลอกแล้วกลายเป็นผีแน่ ! ” กาลันโวยวายเสียงดังสติแตกไม่แพ้ฟอร์ด
   
“ อร่อยจะตาย.. พวกเจ้าไม่เคยกินไม่รู้หรอก ”
   
เอิร์ลพูดเสียงเบาซึ่งก็ไม่มีใครสนใจแต่อย่างใด
   
“ พวกเจ้าจะกลัวอะไรกันนักหนา แค่ป่าธรรมดา พ่อข้าบอกว่ามันไม่มีอะไรเลย พวกผู้คนแค่อุปทานกันไปเอง ”  เฮย์ออกความเห็น ลูบดาบที่เพิ่งเลาะมาจากเพดานอย่างหวงแหน
   
สิ้นคำพูดของเฮย์ไม่นานก็เกิดบรรยากาศเย็นเยือกชวนให้ขนลุกชัน
   
“ เจ้าแน่ใจนะ ”
   
พรายน้ำพูดเสียงสั่น จับแขนดัฟฟ์แน่น
   
“ แค่ผีพวกเจ้าจะกลัวกันทำไม เจอก็หนีสิ ง่ายแค่นี้ ”
   
มังกรไฟก้าวพรวดออกจากกลุ่มนักเรียน วิ่งเข้าไปในป่า
   
เปรี๊ยง !!
   
สายฟ้าผ่าเฉียดหน้าคาอิสไปเพียงนิดเดียวทำเอามังกรไฟแข็งค้างอยู่ที่เดิม
   
“ เจ้าไปสิ ไปเอาไอ้บ้าคาอิสกลับมานี่ ”
   
ออสการ์พยายามผลักให้กาลันออกไป
   
“ ไม่ เจ้านั่นแหละไป เกิดเดินไปแล้วผีจับข้า จะทำยังไง ! ”
   
เมื่อกาลันไม่ยอมไป ออสการ์จึงเปลี่ยนไปผลักให้เฮย์ออกแทน
   
“ เจ้าบอกมันไม่มีอะไร ออกไปสิ ”
   
เฮย์กอดแขนกาลันแน่น
   
“ ไม่มีทาง ขืนออกไปผีหลอกแน่ ”
   
ในขณะที่ทุกคนเริ่มเกี่ยงกันออกผู้ที่มองทุกอย่างเป็นนามธรรมก็เอ่ยปาก
   
“ วิญญาณเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้เช่นเดียวกับอากาศยามเช้า ”
   
“ หะ ? ”
   
เอ็ดการ์ชะงักแขนที่กำลังเกี่ยงให้คนอื่นให้ออกไปดึงเพื่อนสนิทตัวเองคืนมา
   
“ สิ่งที่ข้าพูดล้วนทำให้ผู้คนได้สติคืนมาเสมอ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า เพียงแค่ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกที่ควร ข้าก็พอใจแล้ว ” โมลอคพูดด้วยรอยยิ้มจาง
   
คนที่ดูไม่อึนที่สุดเห็นจะเป็นดัฟฟ์ที่เลิกร้องไห้แล้ว
   
“ ข้าได้กลิ่นอาหารล่ะ แก๊ซ ! ”
   
พูดด้วยตาเป็นประกายดึงแขนนาซัสให้วิ่งตามตัวเองไปอีกทาง
   
“ ดัฟฟ์ !! ”
   
กริสเซลตะโกนไล่หลังด้วยความตกใจก่อนจะวิ่งตามไปทันที
   
“ ทำไงดี ทำไงดี เจ้าว่าข้าควรทำไงดี บินดีไหม หรือจะเดิน หรือจะวิ่ง เจ้าคิดว่าไงเอิร์ล  ”
   
เหยี่ยวยักษ์ตัวสั่นงกขณะที่เกาะกิ่งไม้ใกล้ๆ
   
“ ข้าคิดว่าเจ้าควรจะบินกลับนะ ไหนๆ เจ้าก็มีปีกแล้ว ”   
   
ปีศาจกินวิญญาณตอบอย่างสุขุม
   
“ แต่ข้าว่าต่อให้เจ้าบินเจ้าก็เจอผีอยู่ดี ”
   
ฟอร์ดกรีดร้องออกไม้ไร้เสียง ตาเบิกกว้าง
   
“ โว้ยย เอาวะ ผีเผออะไร ข้าไม่กลัวหรอก !! ”
   
เอ็ดการ์ตะโกนปลุกกำลังใจตัวเอง วิ่งเข้าไปคว้าแขนคาอิสให้วิ่งตามกริสเซลไปอีกที การเดินทางเป็นกลุ่มดูจะเป็นเรื่องฉลาดที่สุดแล้วในตอนนี้

   

ดัฟฟ์วิ่งไปหากลิ่นอาหารสุดชีวิตไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น การร้องไห้ทำให้ดัฟฟ์รู้สึกเพลียถึงขีดสุดวิธีแก้ก็คือการหาอะไรยัดเข้าท้องนั่นเอง !
   
จากป่าธรรมดาค่อยๆ เข้าไปในป่าที่ลึกและรกชักขึ้นเรื่อยๆ เถาวัลย์พันเกี่ยวกันคดเคี้ยว มีไม้พุ่มหนามปรากฏขึ้นตามทางประปราย เห็ดพิษงอกประดับข้างทางเห็นได้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใกล้กลิ่นอาหาร
   
“ .. แก๊ซ ? ”
   
ดัฟฟ์ชะงักเท้าหลุดเสียงร้องเบาๆ จ้องตาค้าง
   
เมื่อเห็นกองไฟที่มีเนื้อเสียบไม้ย่างอยู่เป็นตับ ส่งกลิ่นหอมน่าลิ้มลอง
   
“ ว้ากก โรซาน ไหนเจ้าบอกว่าไม่มีใครเข้ามาในนี้ไง ! ”
   
จิ้งจอกขาวตัวเล็กสะดุ้งจนตัวลอยในขณะที่กำลังนอนแทะเนื้อแกะที่โรซานแอบล่าในป่า
   
“ เข้ามาไม่เข้ามาก็ไม่ต่างกันหรอก มาสิ หิวไม่ใช่เหรอ ”
   
โรซานคว้าตัวจิ้งจอกมานั่งตักตัวเอง กวักมามือเรียกดัฟฟ์
   
“ แก๊ซ ! น่ากิน ”
   
ดัฟฟ์จ้องตาเป็นประกาย
   
โรซานหัวเราะหึยอมสละไม้ของตัวเองให้ดัฟฟ์กินก่อน
   
“ เจ้าเอาไปกินก่อนแล้วกัน ดูท่าจะหิวจัด อ้อ อย่าลืมแบ่งเด็กที่อยู่ข้างหลังเจ้าด้วยล่ะ  ”
   
“ ขอบคุณนะ แก๊ซ ”
   
ดัฟฟ์ยิ้มกว้าง ให้อีกครึ่งนึงกับนาซัสทั้งๆ ที่มือกำลังสั่นเทาราวกับปฎิเสธในสิ่งที่กำลังกระทำ
   
แง้ มือข้าอย่านิสัยไม่ดีสิ !
   
ท่านแม่สอนว่าเป็นพี่ต้องมีน้ำใจกับน้อง
   
ท้องข้าบ้าที่สุด
   
อย่ากรีดร้องสิ ไว้ไปโรงอาหารเมื่อไหร่ข้าจะกินให้เกลี้ยงเลย
   
“ ดัฟฟ์กินเถอะ ”
   
นาซัสยิ้มจนตาหยีประกอบ
   
ดัฟฟ์อยากถามอีกครั้ง แต่ก็ห้ามมือตัวเองไม่ได้โยนเข้าปากทันที
   
“ อร่อย ! แก๊ซ ”
   
อุทานออกมาและนั่งจ้องเนื้อที่เหลืออย่างใจจดใจจ่อ
   
เอสเตอร์เห็นว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนตักโรซานอย่างสบายใจ
   
เมื่อเห็นว่าที่อยู่บนตักของโรซานเป็นจิ้งจอกสีขาว นาซัสก็รีบคืนร่างกลับเป็นจิ้งจอกตัวย่อมทันที ถลาเข้าไปหาเอสเตอร์ ใช้เท้าขยำที่หาง
   
“ ฮือออ ราชาปีศาจแน่ ! ต้องเป็นคาร์บิลัสแน่ที่ดึงหางข้าขนาดนี้ ”
   
เอสเตอร์โวยวายตัวสั่น
   
“ ข้าไม่ใช่ราชาปีศาจนะ ท่านจิ้งจอก ”
   
นาซัสปล่อยเท้าจากหางเอสเตอร์พูดเสียงเบา
   
เอสเตอร์จึงได้สติมองคนที่ขยำหางตัวเองชัดๆ
   
“ นี่เจ้าเป็นจิ้งจอกหิมะเหรอ ! ”
   
เอสเตอร์พูดด้วยความตื่นเต้น
   
จิ้งจอกหิมะในตอนนี้เหลือเพียงชื่อที่เรียกขานและสายเลือดที่อยู่ในมนุษย์ เหมือนกับเอสเตอร์ในตอนนี้ที่มากกว่าครึ่งเป็นเลือดของจิ้งจอกหิมะ
   
“ ข้าเป็นแค่จิ้งจอกธรรมดา ข้าแค่ตื่นเต้นที่เจอจิ้งจอกสีขาวเหมือนกับข้าเท่านั้น ”
   
นาซัสกระโดดโลดเต้นรอบตัวเอสเตอร์ประกอบคำพูด
   
“ พวกเจ้านี่เหมือนกันชะมัด ตัวก็เท่ากัน สีขาวเหมือนกันอีก ”
   
โรซานออกความเห็นพร้อมหยิบเอสเตอร์ขึ้นมากอด
   
“ แต่ที่โง่และก็ขี้แย คงมีแต่เจ้า ”
   
หูจิ้งจอกลู่ลงทันควัน
   
“ จะงอนที่ข้าด่าว่าโง่ ? อย่าคิดมากสิ มันเป็นความจริง ”
   
เมื่อไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรนาซัสก็กลับไปนั่งรอข้างดัฟฟ์เงียบๆ
   
จดจ้องไปที่เนื้อแกะย่างควันฉุย
   
ครุ่นคิดในใจ
   
คนอื่นๆ จะเป็นยังไงบ้างนะ ?

-------------------

สลบ  :katai5:   

   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   

   
   
   

   
   
   
   

   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   

   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 21 ก.พ 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-02-2016 01:23:29
งะ เพราะเห็นแก่กินจึงรอดสินะ 55555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 21 ก.พ 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 22-02-2016 04:00:56
หนูดัฟฟ์โชว์สกิลการเอาตัวรอดสุดสตรองว์ออกมาแล้ว!!!!  ในขณะที่ผู้อื่นสับสนกับพลังงานบางอย่าง นางกลับค้นพบอาหารอย่างไว!!!  #ผู้รอดชีวิตอันดับหนึ่ง #เดอะเฟซแห่งค่ำคืนนี้  :hao7:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 21 ก.พ 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ 22-02-2016 11:08:44
เม้นบนนี้แบบ. ขำ 55555  ชอบหนูเหยี่ยว นางดูอะเลิต   สรุป ชอบนุ้งเหยี่ยวสุดแล้ว มังกรแดงคงเป็นสามีดัฟ เพราะสตอง และดูพึ่งพาได้ในยามมีศึก  :jul3:                    ปล.จำชื่อแต่ละคนมิได้จะโผล่ก็โผล่รวดเดียวเลยลูกเอ้ยยย   :mew5:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 21 ก.พ 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-02-2016 12:26:55
เรื่องหาของกินแค่นี่สบายมาเนอะดัฟ ฮ่าๆๆๆ
ดัฟเป็นพี่ที่ดีจริงๆ มีฝืนใจแบ่งของให้น้องกินด้วย 555
ถึงเเม้ว่าสุดท้ายจะเอาเข้าปากเองหมดเลยก็เถอะ
แอบสงสารนาซัสเบาๆ น้องดูไม่ค่อยมีคนสนใจ
ไม่เป็นไรน๊าาา ยังไงนาซัสก็มีดัฟอยู่ทั้งคน
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 44 21 ก.พ 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 25-02-2016 02:30:35
เรื่องของกินขอให้บอกดัฟฟ์ ในที่สุดเวลาที่คาร์บิลัสรอคอย ได้กินอีกา แถมได้แต่งงานอีก คุ้มสุดๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 45 4 มี.ค 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 04-03-2016 20:32:06
ตอนที่ 45
   
“ ไอ้แพะเวร  ” ฟาร์คัสหน้าแดงสบถด่าไม่หยุดปาก สาเหตุที่ด่าเพราะพอพาไปอาบน้ำนอกจากไม่ให้อาบเองแล้วยังทำเรื่องอย่างว่าอีกรอบ จากที่หมดแรงอยู่แล้วตอนนี้แรงจะเดินยังไม่มีด้วยซ้ำ ต้องปล่อยให้ราชาปีศาจอุ้มกลับห้อง
   
“ สงสารข้าบ้างสิ ฟาร์คัส ข้ารอเจ้ามาตั้งนานตั้งแต่ไปเมืองภูตแล้วนะ ” คาร์บิลัสตอบด้วยสีหน้าชื่นบานสุดๆ จนแทบจะมีดอกไม้ลอยฟุ้งอยู่รอบตัว
   
“ เจ้าจะอดอยากอะไรนักหนาวะ ลองมาโดนแบบข้ามั้งไหมล่ะ ” อีกาหน้าบูดสนิท หงุดหงิดที่รู้สึกเจ็บยิ่งกว่าเดิม
   
“ งั้นจนกว่าเจ้าจะหายเจ็บข้าจะไม่ทำแล้วกัน  ” ถึงจะฟังดูน่าเศร้าสำหรับคาร์บิลัส แต่เจ้าตัวก็ยังคงยิ้มร่าอยู่ดี ใครใช้ให้ฟาร์คัสยอมข้าถึงสองวันติดเล่า ? ข่าวราชาปีศาจไร้น้ำยาจะได้หมดๆ ไปสักที ไอ้พวกปีศาจเวรพวกนั้นลือข้าไปในทางที่แย่มาก
   
“ เวร ” ฟาร์คัสด่าทิ้งท้าย ก่อนจะหลับตาลงเพราะรู้สึกเพลียจริงๆ
   
“ ข้าว่าพรุ่งนี้เราไปเยี่ยมดัฟฟ์กับนาซัสที่โรงเรียนกันดีกว่า ” คาร์บิลัสพูดขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าปล่อยเด็กสองคนไปโรงเรียนแล้วตัวเองก็ยังไม่ได้ไปดูสักครั้ง  ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงกันบ้าง มังกรดำยิ่งโง่ๆ อยู่ นาซัสน่าจะพอเอาตัวรอดได้ สัญชาตญาณน่าจะดีกว่าดัฟฟ์เยอะ   
   
“ ข้าไม่ไป ”
   
“ ไปสิ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงสองคนนั้น ”
   
ฟาร์คัสหน้าแดงลามถึงคอ “ ข้าเดินไม่ไหวหรอกนะ ”
   
ราชาปีศาจยิ้มเจ้าเล่ห์ “ ไว้ข้าจะอุ้มเจ้าเอง ไม่ต้องห่วง ” ก่อนรอยยิ้มจะหายไปเป็นหน้าเศร้าจัด เมื่อร่างในอ้อมกอดกลายเป็นอีกาตัวย่อมขนดำสนิท
   
ฟาร์คัสในร่างอีการู้สึกสะใจจนแกล้งร้องกวนคาร์บิลัส “ กา “
   
“ กาอะไรของเจ้า ข้าฟังไม่รู้เรื่องหรอกนะ ”
   
“ กา ”
   
“ ถ้าเจ้ายังไม่กลับมาร่างมนุษย์ ข้าจะถือว่าสัญญาที่ข้าให้ไว้สูญเปล่านะ ” คาร์บิลัสขู่
   
แต่ฟาร์คัสก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะหลับไปแล้ว
   
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอทำให้คาร์บิลัสยอมปิดปากเงียบ ลูบขนเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
   
ชายาของข้า..
   
ก่อนที่จะหยุดมือหันไปหาลูกน้องคนสนิทที่เดินมาอย่างเงียบเชียบ
   
“ ท่านคาร์บิลัส ”
   
ชาคอสเอ่ยเรียกก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้นไม่กล้าสบตา
   
“ มีอะไร ? ชาคอส ”
   
คาร์บิลัสเริ่มรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ น้อยครั้งที่ชาคอสจะเป็นแบบนี้
   
“ มีคนทำลายสุสานกูเซียนขอรับ ”
   
ราชาปีศาจเบิกตากว้าง รู้สึกโกรธจนตัวสั่น
   
สุสานกูเซียนเป็นสุสานที่รวบรวมกระดูกของราชาปีศาจและคนสนิท ทุกปีคาร์บิลัสจะกลับไปเคารพพ่อแม่ของตัวเองเสมอ ซึ่งวันที่ว่าจะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือน เดิมทีคาร์บิลัสตั้งใจจะพาฟาร์คัสไปเคารพก่อนแล้วจึงแต่งงาน
   
ตาสีเทาหมุนริ้วจนเกิดสีแดงก่ำคล้ายกับพายุที่กำลังเริ่มก่อตัว
   
“ กว่าข้าจะรวบรวมกระดูกพวกเขามาได้... ” กระดูกที่ว่าไม่ใช่ใครนอกจากพ่อแม่ของคาร์บิลัสนั่นเอง “ มีเบาะแสไหม ” น้ำเสียงของคาร์บิลัสเย็นเยียบ
   
“ ไม่มีขอรับ ” เป็นสาเหตุที่ทำให้ชาคอสไม่กล้าสบตาคาร์บิลัส
   
“ ถ้าหากฟาร์คัสตื่น จงบอกว่าข้าไปเที่ยวเล่นในเมือง ”
   
ชาคอสพยายามกลืนน้ำลาย รู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่น
   
“ ขะ ขอรับ ท่าน ”
   
คาร์บิลัสพาฟาร์คัสกลับเข้าห้องนอนกดจูบเบาๆ ที่หัวอีกา และพาตัวเองไปสุสานกูเซียนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

   

“ ว้ากกกก ออสการ์ นี่เจ้าจะวิ่งไปไหน ” คาอิสโวยวายหลังจากได้สติคืนมาและพบว่าตัวเองกำลังโดนลาก
   
“ ไอ้โง่ ก็วิ่งตามกริสเซลไง ถ้าวิ่งตามไอ้สัตว์ตัวเหม็นนั่นพวกเราต้องรอดแน่ ”
   
“ แล้วคนอื่นๆ ล่ะ ไปไหนหมด ”
   
“ จะไปรู้รึไง พวกข้าสั้นพวกนั้นวิ่งช้าจะตาย หลงป่าแล้วมั้งข้าว่า ไม่มีใครเก่งเท่าข้ากับเจ้าหรอก ” พูดจบก็ยิ้มภูมิใจจนเผลอยืดตัว
   
คาอิสรู้สึกถึงหนังตาข้างขวาของตัวเองที่กระตุกรัวๆ “ แล้วเจ้าเห็นกริสเซลไหม ”
   
“ ก็บอกอยู่ไม่รู้ๆ ข้าจะไปเห็นได้ไง ”
   
คาอิสชะงักขาที่วิ่งยึดตัวออสการ์ไว้แน่น “ เจ้าบอกว่าเจ้ากำลังวิ่งตามกริสเซล แต่เจ้าไม่เห็นมันเนี่ยนะ ! ”
   
“ เออสิ เห็นครั้งสุดท้ายวิ่งมาทางนี้ ข้าก็วิ่งมาทางนี้สิ ” ออสการ์ส่งสีหน้าเซ็งจับจิตใส่คาอิส
   
“ ฉลาดมากเพื่อนข้า เพราะงี้แหละพวกเราถึงออกจากป่าไม่ได้ ! ”
   
“ เจ้าพูดถูกว่าข้าฉลาด แต่ทำไมจะออกจากป่าไม่ได้ ข้าคือออสการ์นะ! ”
   
มังกรไฟถลึงตามองเพื่อนสนิทตัวเอง “ เจ้าวิ่งไปมั่วๆ มันจะไปออกจากป่าได้ไง ถ้าเจ้าอยากออกจริงๆ ข้าว่าเจ้าตามช้าดีกว่า อย่างน้อยข้าก็บินได้ ! ” พูดไม่พอคาอิสยังเปลี่ยนตัวเองเป็นมังกรตัวจิ๋วอีกด้วย
   
ออสการ์ชักสีหน้ารุนแรง “ ข้าไม่ได้วิ่งมั่ว  ”
   
“ มั่วไม่มั่วก็เรื่องของเจ้า ” คาอิสแยกเขี้ยวใส่พลางบินขึ้นสูง แต่กว่าจะขึ้นเลยต้นไม้ได้ก็ทำเอาหอบแฮ่ก “ แฮ่ก ต้นไม้บ้าอะไรเนี่ย สูงชะมัด ”
   
“ เห็นยัง ! ” ออสการ์ป้องปากตะโกนถาม
   
มังกรไฟพ่นลมหายใจแรงๆ เค้นกำลังตัวเองออกมา
   
ใกล้จะพ้นยอดไม้แล้วเว้ยยย
   
คิดอย่างมีความหวัง
   
ก่อนที่จะ...
   
ผลั่ก !!!
   
โดนอะไรบางอย่างบินชนจนร่วง เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายเนื่องจากแรงตก
   
“ ว้ากกก คาอิส เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย ” ฟอร์ดสลัดตัวไล่ฝุ่นออกจากปีกถามซื่อๆ
   
คาอิสสะบัดหัวจนหายมึนก็จ้องฟอร์ดเขม็ง “ เจ้า !!! ” คำรามเสียงดังลั่นตะครุบร่างเหยี่ยว
   
-------------------------
 :z13:
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 45 4 มี.ค 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-03-2016 21:12:15
ใครมาทำลายสุสานเนี่ย???
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 45 4 มี.ค 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 04-03-2016 21:26:12
 :serius2:

โอ้ยตาย

ฝั่งเด็กก็วุ่น แต่ฝั่งคู่สามีภรรยาหมาดๆมีเรื่องวุ่นกว่าอีก

คาร์บิลัสนี่อริเยอะจริงๆนะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 45 4 มี.ค 59 # ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 05-03-2016 23:49:12
แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ ทำให้มังกรไฟได้แต่ถลึงตาใส่
   
ร่างของเหยี่ยวสั่นหงึกๆ “ ข้าแค่ถามเจ้าว่าเจ้ามาได้ไง เฉยๆ เอง ”
   
พรายน้ำที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นกลอกตาเซ็งๆ “ ก็เจ้าเล่นบินชนขนาดนั้น ไม่โกรธก็บ้าแล้ว ”
   
“ หวา ! ข้าขอโทษนะ คาอิส ครั้งหน้าข้าจะระวังมากกว่านี้ ว่าแต่เจ้าเห็นเอิร์ลไหม ” เหยี่ยวที่ชั่วโมงบินน้อยลนลานขอโทษ “ เอิร์ลบอกให้ข้าบินนำมาก่อนแล้วจะวิ่งตามมา ตอนนี้ข้ายังไม่เห็นเอิร์ลเลย ”
   
“ จะเห็นได้ไงก็หลงทางกันอยู่ ปีศาจมืดมนนั่นต่อให้อยู่ข้าก็มองมันไม่เห็นหรอกโว้ย ปกตินั่งๆ อยู่หลังห้องก็ชอบจืดจางหายไปเหลือแต่เสียงหลอนๆ ของมัน ! ” คาอิสพ่นกลับไฟแลบ
   
บุคคลที่ถูกนินทาคลี่ยิ้มเย็นส่งผลให้หน้าที่มีรอบคล้ำใต้ตาดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม สาเหตุที่มีรอยคล้ำไม่ใช่อะไรเพราะเอิร์ลเป็นหนึ่งในชมรมผีผีผีที่ก่อตั้งโดยปีศาจที่ชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณ ชมรมนี้มักจะนัดสมาชิกในชมรมไปล่าท้าผีไม่ก็คุยเรื่องผีกันจนดึกดื่น  “ ข้าไม่ได้จืดจางซะหน่อย คาอิส ” เอิร์ลแตะไหล่คาอิส
   
มังกรไฟตกใจจนแทบหลุดกรี๊ดหมดมาดไฟที่หางลุกพรึ่บจนไหม้ใบไหม้ที่อยู่ใกล้ๆ “ เวรเอ้ย ! ”
   
คนถูกด่าเอียงคอช้าๆ “ เวรทำความสะอาดของข้าตรงกับวันพรุ่งนี้พอดี ”
   
คาอิสชะงักไปต่อไม่ถูก รู้สึกอยากงับหัวปีศาจคร่าวิญญาณนี่ให้รู้แล้วรู้รอด
   
“ เจ้ามาตอนไหนน่ะ เอิร์ล ” ฟอร์ดถาม
   
เอิร์ลยิ้มเนือยๆ “ ตั้งแต่แรกที่เจ้าชนคาอิสเลยน่ะ ”
   
คำตอบของเอิร์ลสะท้อนในใจคนอื่นๆ ว่าเอิร์ลนั่นจืดจางแค่ไหนถึงเจ้าตัวจะไม่ยอมรับก็เถอะ แต่มันเป็นเรื่องจริง
   
เหยี่ยวหัวเราะแห้งๆ ตอบ “ ข้าว่าพวกเราไปกันต่อดีกว่า ทางที่ข้าบินมาเมื่อกี้ถูกแล้ว ถ้าไปทางนู้นต่อเรื่อยๆ พวกเราต้องออกจากผีหลอกนี่ได้แน่ ! ”  ฟอร์ดพูดอย่างมุ่งมั่น
   
แต่ก็มีคนขัดอยู่ดี “ ท้องฟ้าตั้งกว้างเจ้ายังบินชนคาอิส นับประสาอะไรจากออกจากป่า ” ออสการ์เหน็บ
   
ฟอร์ดจ๋อยลงทันควัน “ แต่ข้ามีปีกนะ.. ”
   
“ ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อฟอร์ด งั้นเอาวิธีข้าไหมล่ะ ” คนชมรมผีผีผีหัวเราะเสียงต่ำ ตาเป็นประกายดีใจเมื่อจะได้เผยแพร่ในสิ่งที่ตัวเองชอบให้คนอื่นได้รับรู้
   
“ วิธีอะไรของเจ้า ถ้าเรียกวิญญาณออกมาถามข้าไม่เอาด้วยนะ ! ” คาอิสถอยกรูดไปยืนข้างออสการ์
   
เอิร์ลยิ้มมุมปาก “ ถามเจ้าของบ้านดีที่สุด เขาต้องพาพวกเราออกจากป่าได้แน่ อีกอย่างนะ รสชาติของวิญญาณก็ไม่เลวร้ายหรอกนะ ถ้าเจ้าอยากจะลองชิมดู ”
   
ออสการ์ ฟอร์ด คาอิส กอดกันกลมส่ายหน้าพัลวันมองเอิร์ลราวกับเป็นสิ่งแปลกปลอม “ พวกข้ากลัวกันแทบตาย เจ้าจะเรียกมันออกมาหลอกพวกข้าเนี่ยนะ !! ”
   
“ แน่สิ อย่าลืมว่าข้าเป็นคนของชมรมผีผีผี จะกลัวอะไรกับแค่ผีล่ะ ”
   
“ ไอ้ชมรมที่มีแต่พวกกินวิญญาณเข้าไม่มีสิทธิ์ว่าพวกข้านะ ! ” คาอิสโวย
   
เอิร์ลส่ายหน้าเอือมๆ ดึงผมสีเทาของตัวเองออกมากำและร่ายคาถาที่ท่องทุกวันในชมรม “ ข้าเอิร์ล ขอเรียกพวกท่าน ผู้ที่ทิ้งร่างกายไว้เบื้องล่างเหลือเพียงจิตวิญญาณอันว่างเปล่า เส้นผมของข้าที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตจะเป็นพลังแก่ท่าน เมื่อท่านปรากฎกาย ! ”
   
ฮื่ออออ    
   
เสียงคำรามในลำคอดังลั่นแต่ไม่ปรากฏร่าง
   
สามคนที่กอดกันอยู่กอดกันแน่นยิ่งกว่าเดิมตัวสั่นเทา ถึงพวกเขาจะเก่งกล้ามาจากไหนแต่ก็เป็นแค่เด็กเท่านั้น การมาโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ ไม่ใช่เรื่องที่เด็กจะรับได้หรอกนะ !
   
“ เจ้า เจ้าว่ามันเป็นเสียงวิญญาณอะไร ” ออสการ์ถามเสียงสั่น
   
“ มังกร ต้องเป็นบรรพบุรุษมังกรแน่ๆ ไอ้จืดจางบ้านี่ต้องเรียกทวดข้ามาแน่ๆ ” คาอิสตัวสั่นมือเย็นเฉียบ
   
“ จะเสียงอะไรข้าก็กลัวทั้งนั้น !! ” ฟอร์ดหลับตาแน่น ไม่กล้าดูภาพตรงหน้าว่าเพื่อนตัวเองกำลังอัญเชิญตัวอะไรมาถามทาง
   
แม้แต่คนที่อัญเชิญมายังกลัวจนตัวสั่นเหมือนกัน ! เพราะปกติไม่ว่าจะอัญเชิญยังไงก็ไม่มีอะไรมาสักที แม้แต่สัญญาณให้ดีใจเล็กๆ อย่างเสียงกุกกักปริศนายังไม่มีด้วยซ้ำ แล้วครั้งนี้อะไรลองอัญเชิญดูมั่วๆ กลับได้ผลจริง ความใจกล้าเมื่อกี้หายไปจนหมด
   
ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะรับมือได้ไหมหากสิ่งที่อัญเชิญมานั้นคลุ้มคลั่ง แต่ลึกๆ ก็แอบดีใจที่จะมีเรื่องไปคุยในชมรมผีผีผีเรื่องใหม่แล้ว
   
บรรยากาศรอบตัวค่อยๆ เย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับหมอกควันปริศนาที่ลอยกันหนาแน่น  อากาศรอบตัวดูจะน้อยลงจนหายใจลำบาก ราวกับเป็นสัญญาณของบางสิ่งที่กำลังจะปรากฏตัว
   
ฮื่อออ
   
ทุกคนในบริเวณสะดุ้งเฮือก เสียงขู่ดังแผ่วเบาราวกับมันกำลังยืนอยู่ข้างๆ ลมหายใจเย็นเยียบถูกพ่นใส่ หมอกค่อยๆ เปลี่ยนสีจากสีขาวเป็นสีแดง
   
มันไม่ใช่เรื่องสนุกแล้ว... เอิร์ลตัวสั่นเทารู้สึกถึงคมเขี้ยวที่สะกิดต้นคอ
   
บางอย่างกำลังยืนอยู่ข้างหลังข้า..
   
เอิร์ลกลัวจนก้าวขาไม่ออก รู้สึกถึงจิตสังหารรุนแรง  มันไม่ใช่วิญญาณ  กู่ร้องภายในหัว
   
คมเขี้ยวค่อยๆ กดลงบนคอของเอิร์ลจนเลือดซึม
   
เลือดคล้ายเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีมันอ้าปากกว้าง ตาสีแดงลุกวาว
   
เอิร์ลพยายามจะหนีแต่กลับทำไม่ได้ ความรู้สึกหวาดกลัวสุดชีวิตกำลังครอบงำ เชื้อสายที่เอิร์ลแสนจะภาคภูมิใจอย่างปีศาจกินวิญญาณดูจะไม่เป็นผล
   
เมื่อศัตรูไม่ใช่วิญญาณ !
   
“ เจ้าจะทำอะไร ! ”
   
ผลั่ก
   
ฮื่อ !!!!
   
กริสเซลที่วิ่งตามดัฟฟ์ไม่ทันจึงเดินกลับมาทางเก่า กลับมาทันเห็นบางอย่างที่ตัวใหญ่มากๆ อ้าปากกว้างกำลังงับเพื่อนร่วมชั้น โดยไม่รู้ตัวกระโจนเข้าใส่ผลักมันออกด้วยแรงทั้งหมด โชคดีที่มันตกใจจึงวิ่งหนีไปทางอื่น สิ่งที่มันสร้างขึ้นจึงค่อยๆ หายไปกลับมาเป็นปกติ
   
“ เจ้าเป็นอะไรรึเปล่าเอิร์ล ? ” กริสเซลถามด้วยความเป็นห่วง
   
“ ข้า.. ” เอิร์ลตอบแต่ไม่ทันจนประโยค ก็รู้สึกตาพร่าตัวร้อนผ่าวจนล้มลงไปกองกับพื้น
   
เช่นเดียวกับกริสเซลที่มือกลายเป็นสีดำสนิทลามไปทุกบริเวณที่สัมผัสกับมัน “ อ้ากกกก ” กริสเซลกรีดร้องกุมมือตัวเองแน่น คล้ายกับมีบางอย่างกำลังกัดแทะที่มืออย่างตะกละตะกรามผสมกับอาการร้อนคล้ายไฟลน
   
ฟอร์ดเป็นคนแรกที่ได้สติ ทิ้งความขี้ขลาดของตัวเองไปชั่วคราว ตาเป็นประกายกร้าว โผบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างว่องไวไม่มีท่าทีติดขัดเช่นตอนแรก “ ข้าจะไปตามคนมาช่วยนะ ! ”
   
คาอิสสะบัดหัวเรียกสติตัวเองคืนมาถลาตัวเข้ามาหาเอิร์ลกับกริสเซล พยายามร่ายเวทรักษาที่ตัวเองไม่ค่อยคล่องสุดชีวิตแต่มันกลับทำให้เอิร์ลดิ้นพล่านกว่าเดิม มังกรไฟเบิกตากว้างไม่กล้าร่ายเวทต่อ
   
“ ของจริงมันต้องแบบนี้ ” ออสการ์พูดเรียกกำลังใจตัวเอง ลองร่ายเวทรักษาดูบ้างทำให้อาการเอิร์ลทุเลาลงแต่กับกริสเซล..
   
“ อ้ากกกก ” กริสเซลกรีดร้องน้ำตาไหล รู้สึกเหมือนกำลังจะเสียมือของตัวเองไป คล้ายกับกำลังถูกลงโทษเพราะไปแตะต้องในสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง
   
คาอิสกับออสการ์เริ่มกลัวจนน้ำตาคลอทำอะไรไม่ถูก วุฒิภาวะที่ยังเด็กทำให้ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดในตอนนี้คือผู้ใหญ่สักคนที่เก่งกล้าสามารถพอที่จะชี้แนะได้
   
ในขณะที่ทุกคนเริ่มทำอะไรไม่ถูกก็มีวงเวทปรากฏขึ้นกลางพื้นที่พร้อมกับร่างคุ้นตาของทุกคน
   
เจ้าของเขาแพะและนัยน์ตาสีเทา
   
ราชาปีศาจ
   
คาร์บิลัส

-----------------

เฮียมาเองทุกคนไม่ต้องกังวล 55555  :z2:   
   
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 45 5 มี.ค 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-03-2016 00:11:26
พ่อแพะจะมาช่วยเด็กๆ หรือจะมาทำให้เด็กกลัวกันเนี่ย 55555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 45 5 มี.ค 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 06-03-2016 15:06:02
แพะ แมะๆ

คาร์บิลัสจะไปตามวิญญาณที่ไหนละงานนี้
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 45 5 มี.ค 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-03-2016 02:00:07
งะ มาไงเนี่ยย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 45 5 มี.ค 59 # ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 18-03-2016 22:27:08
ตอนที่ 46
   
“ บัดซบ !! “ คาร์บิลัสคำรามออกมาเสียงดังลั่นเมื่อเห็นสภาพของสุสานกูเซียน สุสานที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นสุสานที่ประณีตและงดงามที่สุดในดินแดนปีศาจ บัดนี้เหลือเพียงซากปรักหักพัง เสาที่เคยค้ำยันแตกเป็นเสี่ยง ดอกไม้ที่เคยปลูกมอดไหม้ รูปปั้นจำลองเหลือเพียงศีรษะ
   
น้ำตาของราชาปีศาจไหลออกมาหยดหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว คาร์บิลัสรีบเข้าในบริเวณที่มีกระดูกของพ่อแม่ตัวเองฝังอยู่ มือหยาบพยายามหาสิ่งที่เป็นความทรงจำแน่นแฟ้น แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่อย่างเดียว
   
“ ใคร ? “ คาร์บิลัสพูดเสียงเย็นถามชาคอสที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
   
“ ไม่ทราบขอรับ ท่านคาร์บิลัส “ มือขวาของราชาปีศาจก้มหน้างุด
   
เดิมทีสุสานกูเซียนไม่ใช่สถานที่ที่เข้ามาได้ง่ายๆ มีวงเวทมากมายที่พร้อมจะทำลายผู้ล่วงล้ำเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต การจะเข้ามาได้จึงต้องเข้ามาในทางพิเศษที่มีเพียงคาร์บิลัสที่รู้
   
แต่ในตอนนี้มันกลับถูกทำลายจนสิ้นซากแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามก็สามารถเข้ามาในสถานที่นี้ได้ วงเวทที่เคยถูกร่ายไว้ถูกฉีกทึ้งจนไม่สามารถทำอันตรายต่อใครได้อีก
   
รอยยิ้มขื่นปรากฏบนใบหน้าของคาร์บิลัส แค่กระดูกของพวกท่าน ข้ายังรักษาไว้ไม่ได้เลย… ข้าขอโทษ ท่านพ่อ ท่านแม่ น่าเสียดายที่ข้าคงไม่มีโอกาสแนะนำคนรักของข้าพวกท่านได้รู้จัก “ เก็บกวาดให้ดี “ ราชาปีศาจพูดด้วยเสียงไร้อารมณ์
   
ชาคอสรับคำหนักแน่น  “ ขอรับ “ ก่อนจะขอตัวไปทำตามคำสั่งที่ได้รับ
   
ทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม
   
เมื่อเหลือเพียงความว่างเป่า คาร์บิลัสก็ทรุดตัวตรงหน้าหลุมศพ ใช้มือลูบหินสลักชื่อที่เหลือเพียงถ้อยคำสั้นๆ
   
ใคร ? ใครมันกล้าทำลายของๆ ข้ากัน
   
ตาสีเทาหมุนริ้วด้วยความโกรธ
   
มันไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้
   
แต่อารมณ์กราดเกรี้ยวคาปล่ร์บิลัสก็ถูกชะงักด้วยพลังบางอย่างที่อยู่ไกลๆ ลางสังหรณ์กู่ร้องในหัวถึงความเกี่ยวข้องกัน ร่างราชาปีศาจจึงพาตัวเองไปยังสถานที่แห่งนั้นทันที

   
“ ท่านคาร์บิลัส ! ” ออสการ์พูดด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะเจอราชาปีศาจในเวลาคับขันแบบนี้ ไม่สิ ไม่ว่าเวลาไหนก็ไม่น่าโผล่มาได้ทั้งนั้น !
   
คาอิสดึงแขนให้ออสการ์ถอยออกมาจากกริสเซลด้วยสีหน้ากังวล ปล่อยให้ร่างที่ไดชื่อว่าทรงอำนาจที่สุดในดินแดนปีศาจช่วยเพื่อนร่วมห้องของตัวเอง
   
เวทเยียวยาสีดำถูกร่ายมันพุ่งเข้าไปปะทะกับแผลสีดำของกริสเซล กริสเซลหวีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อเวทของคาร์บิลัสพยายามแทรกตัวเข้าไปแทนที่คำสาปที่กำลังกัดกินแผลอยู่ มันยืดเยื้ออยู่สักพักคำสาปสีดำจึงค่อยๆ สลายไป เสียงกรีดร้องของกริสเซลจึงค่อยๆ เบาลงตามความเจ็บปวดที่ได้รับ
   
ซึ่งตอนนี้ก็เหลือเพียงไม่มาก มือของกริสเซลเกือบจะเป็นปกติหากไม่มีรอยช้ำสีดำกลางฝ่ามือ คาร์บิลัสสบถหยาบคายเมื่อรู้ว่าตัวเองคงรักษามันไม่ได้ “ ข้าจะส่งพวกเจ้าไปปราสาท ถ้าอยากหายจงเรียกหาพอยซ์ ” ไม่ว่าเปล่าร่ายเวทเคลื่อนย้ายใต้เท้าเด็กๆ ที่อยู่ในสายตา
   
“ ขอบคุณขอรับ ! ” กริสเซลกุมมือตัวเองยิ้มกว้างมองคาร์บิลัสด้วยตาเป็นประกาย ถ้าถามว่าใครเป็นฮีโร่ในดวงใจของกริสเซลมาตลอด คำตอบนั้นคงจะเป็นคาร์บิลัส
   
ราชาปีศาจส่งเสียงอือออาในลำคอ “ อืม ” ไม่ได้ใส่ใจ เพียงชั่วพริบตาร่างบาดเจ็บกับร่างเด็ก ก็ถูกย้ายไปยังปราสาททันที
   
มันต้องอยู่แถวนี้
   
ลางสังหรณ์คาร์บิลัสกู่ร้องในหัว ราชาปีศาจจึงเดินสำรวจพื้นที่โดยรอบทันที
   
บรรยากาศรอบตัวคาร์บิลัสเย็นเยียบ ชวนให้ขนลุก ยามที่ย่างก้าวผ่าน สัตว์น้อยใหญ่จะวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นทันทีด้วยความหวาดกลัว
   
ข้าสัมผัสถึงมันไม่ได้ !
   
คาร์บิลัสชบกรามกรอด เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังตามหาอยู่ไม่ใช่ศัตรูที่รับมือได้ง่าย การลงมือที่เด็ดขาดและไร้ซึ่งร่องรอยที่จะสาวถึงเจ้าตัว มีเพียงความเสียหายให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
   
ปีกยาวสีดำค่อยๆ งอกยาวบนหลัง เขาแพะบิดเป็นเกลียวมากกว่าเดิม อารมณ์โกรธจัดผสานกับความเลือดร้อนก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
   
เปรี้ยง
   
สายฟ้าฟาดเฉียดใบหน้าของคาร์บิลัสเพียงนิดเดียว สะท้อนให้เห็นสีหน้าดุร้ายพร้อมกับรอยยิ้มบิดเบี้ยว

   

“ แก๊ซ !! ข้าว่าข้าได้กลิ่นงู ! ” ดัฟฟ์ย่นจมูกใช้กระดูกที่ถูกแทะจนสะอาดชี้ไปตรงพุ่มไม้
   
โรซานเลิกคิ้ว “ พูดเป็นเล่น ถ้ามีงูจริง พวกข้าก็ต้องรู้สึกเหมือนกันสิ เจ้าหนู ”
   
แต่ก็มีบางคนเชื่อเข้าเต็มเปา “ ว้ากกก ! งู งู งู มันต้องกินข้าแน่ ! ” เอสเตอร์โวยวาย พยายามมุดตัวเข้าหาโรซาน ถ้าหากรวมร่างได้เอสเตอร์คงจะไม่รอช้าที่จะทำมันทันที
   
“ เจ้าเป็นถึงองค์ชายนะเอสเตอร์… ” โรซานพูดเสียงเหนื่อยหน่ายแต่สิ่งที่กระทำกลับตรงกันข้าม มือหนาบรรจงอุ้มร่างจิ้งจอกค่อยๆ ลูบหัวปลอบโยน
   
นาซัสกระตุกชายเสื้อดัฟฟ์เรียกความสนใจ “ ข้าก็ได้กลิ่นเหมือนกัน ”
   
แต่มังกรดำก็ไม่ได้ตอบรับอะไร ยังคงขมวดคิ้วจดจ้องไปยังพุ่มไม้
   
“ ดัฟฟ์ “ นาซัสเรียกเสียงเบาคืนร่างกลับมาเป็นมนุษย์เหมือนเดิมเมื่อรู้สึกถึงบางอย่าง
   
ฟ่อ..
   
เลือดในกายพลันเย็นเฉียบ เมื่อหัวงูขนาดยักษ์โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ มันอ้าปากกว้างอวดเขี้ยวคมที่พรากเอาชีวิตได้อย่างง่ายดาย ปากของมันชุ่มด้วยเลือดเจิ่งนองและเศษดิน นัยน์ตาสัตว์ของมันสะท้อนภาพของดัฟฟ์
   
“ อย่าเข้ามานะ แก๊ซ ! ” ดัฟฟ์จ้องมันกลับ ดึงตัวนาซัสให้หลบหลังตัวเอง ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด
   
ลิ้นปลายแฉกโบกสะบัดในอากาศ มันเหลือบมองดัฟฟ์ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปยังมนุษย์ร่างยักษ์แทน
   
“ เวรเอ้ย !! ” โรซานตะโกนด่าทั้งงูและความเขลาของตัวเอง
   
หมอกสีขาวเคล้าแดงลอยคลุ้งทันทีที่มันขยับตัว ทำให้โรซานไม่สามารถคาดเดาทิศทางของมันได้ ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นมันวิญญาณที่กำลังไล่ล่าสิ่งมีชีวิต ไม่มีตัวตน สัมผัสถึงมันไม่ได้
   
แต่ถึงอย่างนั้นโรซานก็ยังคงควบคุมสติได้อย่างเหนียวแน่น รอยสักสีดำอักขระประหลาดปรากฏเต็มแขน สูดหายใจลึก ดวงตาเป็นประกายกร้าว สดับฟังเสียงของมันอย่างตั้งใจ
   
 โฮกกก !
   
เสียงคำรามดังลั่นก่อนที่มันจะกระโจนเข้าหาโรซานด้วยร่างสี่เท้า ขนาดของมันใหญ่กว่าโรซานเป็นเท่าตัว แต่มันกลับหลบหมัดของโรซานได้อย่างง่ายดาย และกัดเข้าที่แขนทันที !
   
ตึง
   
แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นมันกลับถูกซัดด้วยพลังเวทย์รุนแรง มันกระเด็นไปชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่จนหัก แต่ไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ค่อยๆ จางหายเข้าไปในหมอกที่หนาทึบกว่าเดิม
   
“ จะไปไหนก็ไป !! ” คาร์บิลัสตวาดกร้าวนัยน์ตาแดงก่ำใส่โรซาน หน้าตาคมคายเต็มไปด้วยความโกรธ พุ่งตัวเข้าไปในหมอกอย่างไม่เกรงกลัว
   
ฟ่อ !
   
“ หึหึหึ ”  คาร์บิลัสหัวเราะเสียงต่ำ ฟันดาบในมือเข้าไปหาต้นเสียงที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเพียงกลอุบายของสัตว์เลื้อยคลานที่ฉลาดกว่าปกตินี่
   
คมเขี้ยวพยายามงับเข้ากับตัวของคาร์บิลัสในทุกทีที่มีโอกาส ซึ่งตามสัญชาตญาณของมันนั้น ได้บอกให้มันหนีไปตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่ามันทำไม่ได้ มันพยายามจะเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าแต่ก็ถูกคาร์บิลัสขัดทุกครา
   
ในตอนนี้มันทำได้อย่างเดียวคือการเสี่ยง
   
ถ้าหากมันสามารถฆ่าศัตรูตรงหน้านี้ได้มันจะรอด
   
มันค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลง เมื่อเนื้อตัวของมันค่อยถูกเฉือนทีละนิดโดยมันยังทำอะไรคาร์บิลัสไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ มันคำรามออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อร่างของมันอีกครึ่งร่างถูกฟันออก
   
แต่มันก็สามารถทำร้ายได้สำเร็จเช่นกัน !
   
มันพ่นพิษใส่อาบทั่วตัวคาร์บิลัสพร้อมสร้างหมอกจัดด้วยกำลังเฮือกสุดท้ายของมัน และรีบพาร่างของตัวเองหนีไป
ในช่วงก่อนที่สติจะถูกพรากไปคาร์บิลัสกลับนึกถึงฟาร์คัส
   
รอยยิ้มแตะแต้มใบหน้าหล่อเหลา
   
และหมดสติไปทันที เนื้อตัวเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำจากพิษร้ายของสัตว์ในตำนาน
   


“ แพะเวร.. ” ฟาร์คัสพูดเสียงเบาน้ำตาซึม ขณะที่นั่งมองคาร์บิลัสที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ผิวของคาร์บิลัสเป็นรอยช้ำเลือดจากพิษซึ่งก็ดีขึ้นกว่าในตอนแรกที่เป็นสีดำสนิท พอยซ์ถึงกับหน้าซีดกับพิษที่คาร์บิลัสประสบ มันเป็นพิษของงูเวลส์ งูที่เคยมีอยู่ชุกชุมตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามดินแดนปีศาจซะอีก ด้วยพิษร้ายของมันทำให้มันถูกล่าจนเกือบสูญพันธุ์

“ ข้าไม่ได้อยากตื่นขึ้นมาอีกครั้งเห็นเจ้าเป็นแบบนี้หรอกนะ ”
ฟาร์คัสตัวสั่นรู้สึกหน่วงในอก อยากจับมือของคาร์บิลัสแต่ก็ทำไม่ได้ พิษงูเวลส์แค่สัมผัสก็เป็นอันตรายแล้ว หากไม่ใช่คาร์บิลัส คงจะไม่อยู่รอดจนถึงตอนนี้

แม้ว่าการหายใจนั้นจะเบามากก็ตาม

“ เป็นขนาดนี้แล้วทำไมยังยิ้มอยู่อีก ? ” ปีศาจอีกาบ่นเบาๆ ผลุดลุกขึ้นยืน เบ้หน้าเมื่อความรู้สึกเจ็บตรงนั้นตีตื้นขึ้นมาแต่คงเทียบกับความรู้สึกในอกตอนนี้ไม่ได้ “ เดี๋ยวข้ากลับมา ”

สิ่งที่ฟาร์คัสต้องทำในตอนนี้คือการไปล่าเอางูเวสส์มาสกัดเป็นยาแก้พิษให้กับคาร์บิลัส ถึงแม้พอยซ์จะยืนยันหนักแน่นว่ายังไงคาร์บิลัสก็ไม่มีทางตายกับแค่พิษแค่นี้ แต่ฟาร์คัสก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี
ถ้าหากอาการทรุดหนักลงล่ะ ?

“ ข้าจะดูแลต่อให้เอง ท่านฟาร์คัส ” ชาคอสเสนอตัวเมื่อเห็นท่าทีลังเลของฟาร์คัสที่ไม่ยอมก้าวออกจากประตู

ฟาร์คัสสะดุ้งเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว “ อะ อืม ” พยักหน้าลวกๆ ก่อนจะรีบสาวเท้าไป

ข้าจะไปหางูนั่นจากไหนกัน...

ปีศาจอีกาคิดอย่างเคร่งเครียดในช่วงขณะหนึ่งก็คิดถึงนักสืบที่ตัวเองเคยเจอ

จะเป็นยังไงบ้างนะ

ฟาร์คัสนวดขมับตัวเองเมื่อเอาแต่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง สติสตังความสุขุมทั้งหมดดูเหมือนว่ามันยังคงกองอยู่บนเตียง พอรู้สึกดีขึ้นก็ทบทวนคำพูดของพอยซ์ในหัว
   
ตามตำราเรียนที่ข้าเคยอ่าน งูเวลส์จะวางไข่ลึกลงไปใต้ดิน ข้าคิดว่างูที่กัดท่านคาร์บิลัสน่าจะเป็นงูที่เพิ่งฟักออกจากไข่ได้ไม่นานจึงดุร้ายกว่าปกติ  ถ้าหากท่านฟาร์คัสหารังของมันเจอก็น่าจะเจอไข่ไม่ก็งูเวลส์ตัวอื่นๆ
   
แล้วข้าจะไปหามันจากไหน
   
สุสานกูเซียนก็น่าสงสัยทำไมอยู่ๆ มันถึงถูกทำลาย พวกขุนนางก็ไม่น่าจะมีกำลังพอที่จะทำลายมัน ที่ข้าสงสัยคือมันอาจจะเป็นงูเวลส์ที่ทำลายสุสานกูเซียน
   
มีใครจงใจปล่อยงูเวลส์รึเปล่า ?
   
หรือเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่มันฟักไข่พอดี
   
ชาคอสบอกกับว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะไปสำรวจสุสานกูเซียนเพราะไม่มีร่อยรอยเบาะแสอะไรสักอย่างเลย
   
แต่ไปสำรวจอีกครั้งก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
   
ฟาร์คัสจึงเปลี่ยนทิศทางการเดินกลับไปหาชาคอสอีกครั้งเพื่อให้ส่งตัวเองไปยังสุสานแทน

   

ถึงแม้จะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงมา เด็กห้องพิเศษก็ยังต้องเรียนอยู่ดี ผู้อำนวยการไม่ได้ตำหนิหรือชมเด็กๆ เพราะข่าวงูเวลส์ที่กำลงอาละวาดในป่า แต่ก็มีเพียงคนในเท่านั้นที่รู้ หากขุนนางรู้ว่าคาร์บิลัสเป็นอะไรคงไม่วายใช้โอกาสนี้ในการก่อกบฏ แต่พวกเขาจะกล้าพอที่จะทำรึเปล่าก็อีกเรื่อง
   
ทำให้ในห้องเรียนตอนนี้นักเรียนมากันครบและกำลังเรียนวิชาภูมิศาสตร์แดนปีศาจที่เป็นวิชาบรรยายเต็มรูปแบบ มีครูสอนสูงวัยและน้ำเสียงนุ่มนวล
   
เอิร์ลที่จืดจางที่สุดในห้องหลับทันทีที่ครูเริ่มบรรยาย ผิดกับฟอร์ดและโมลอคที่หาสมุดขึ้นมาจดตามที่ครูพูด ส่วนคาอิสกับออสการ์ก็เอาแต่คุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน คนอื่นๆ ที่เหลือในห้องก็ตามอารมณ์ กินบ้างนอนบ้างเล่นบ้าง
   
เอาเข้าจริงห้องพิเศษก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ปีศาจทั่วไปคิด แค่ในบางครั้งพวกเขาสามารถระเบิดห้องให้เป็นจุลในเวลาไม่พอใจเท่านั้นเอง
   
“ แง้ ฆ่าบี้ลัส  ” ดัฟฟ์งอแงร้องไห้กับนาซัส ซึ่งตอนนี้ก็ถูกย้ายมานั่งหลังสุดเนื่องจากไปแย่งที่โนแลนกับคาอิส
   
โนแลนเป็นปีศาจที่มาจากตระกูลทหาร เป็นปีศาจรูปร่างกำยำผมสีน้ำเงินเข้มถูกหวีเป็นทรงเรียบร้อยอีกทั้งยังมีแววตาเฉียบขาด ชุดนักเรียนเนียนกริบราวกับถูกตัดใหม่มาจากร้าน โนแลนนั่งหลังเหยียดตรงจดจ้องไปยังกระดานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
   
ส่วนลาสเป็นปีศาจเจ้าสำอางที่ชื่นชอบการแต่งตัวถึงขั้นบ้าคลั่ง ชุดแต่ชุดที่เจ้าตัวใส่ล้วนถูกถักทอเจ้าผ้าเนื้อดีลวดลายประณีต ในแต่ละวันของลาสชุดแทบจะไม่ซ้ำกันสักวัน ผมสีทองที่ไว้ยาวถึงกลางหลังมักจะถูกมัดรวบแล้วลวกๆ ด้วยโบว์สีขาว ลาสมีนิสัยเอื่อยๆ และเฉื่อยชา
   
แต่เรื่องแปลกคือลาสกับโนแลนเป็นเพื่อนสนิทกัน
   
“ .... ” นาซัสไม่ได้ร้องไห้เหมือนดัฟฟ์แค่ซึมๆ เท่านั้น
   
คาร์บิลัสสำหรับดัฟฟ์กับนาซัสก็เปรียบเสมือนพ่อคนนึงเลยทีเดียว
   
“ เจ้าว่าฆ่าบี้ลัส จะหายไหม ” มังกรดำยังคงร้องไห้เป็นเผาเต่าจนตาบวม
   
“ ... ” นาซัสไม่ได้ตอบ
   
ดัฟฟ์ก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม น้ำตาไหลพราก แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงสะอึกสะอื้นรบกวนคนอื่นในห้อง
   
“ ดัฟฟ์ ”
   
เฮย์หันมาหาดัฟฟฺพร้อมขนมในมือ
   
“ อะไรเหรอ ฮึก แก๊ซ ” ดัฟฟ์ปาดน้ำตาลวกๆ
   
“ ข้าให้เจ้าไปกินแล้วกัน ขนมนี่พ่อข้าได้มาจากเมืองมนุษย์เชียวนะ ! ” ยืดอกอวดแนะนำสรรพคุณขนมแท่งสีน้ำตาลเข้มยัดมันใส่มือดัฟฟ์
   
“ ขอบใจนะ แก๊ซ ” ดัฟฟ์ขอบคุณงงๆ แต่ก็หักครึ่งแบ่งให้นาซัส โยนเข้าปากตัวเองทันทีตามสัญชาตญาณ
   
แต่นาซัสค่อยกัดกินทีละนิดล
   
ดัฟฟ์กลืนมันลงคอนิ่งค้างไปสักพัก
   
“ อร่อยไหม ? ” เฮย์ถามลุ้นๆ
   
ดัฟฟ์พยักหน้าแรงๆ ตาเป็นประกาย ในหัวเต็มไปด้วยสิ่งที่กินเมื่อกี้ ในปากยังอวลด้วยกินหอมหวานของขนม “ อร่อย อร่อยมากเลย แก๊ซ !! ”
   
เฮย์ถึงได้ยิ้มกว้างบ้าง “ เห็นไหมล่ะ ! ของๆ ข้ายังไงก็ต้องอร่อยกว่าของที่พวกเจ้ากินอยู่แล้วล่ะ ”
   
“ อืม อร่อยมาก ข้าอยากกินอีก แต่ฆ่าบี้ แง้ ” ดัฟฟ์ค่อยๆ ซึมลงตามลำดับ
   
เฮย์หน้าบูดเมื่อแผนการอวดบวกการปลอบล้มเหลว “ นาซัส เจ้าว่ามันอร่อยไหม ”
   
“ อืม.. อร่อย ” นาซัสตอบเบาๆ
   
“ พวกเจ้าจะคุยอะไรกันน่ะ ตรงนั้น !! ” ครูผู้สูงทั้งกายและวัยตะโกนดุๆ ทำเอาคนที่โดนดุอย่างดัฟฟ์ เฮย์ และนาซัสสะดุ้งเฮือก แกล้งก้มหน้าก้มตาดูภาพดินแดนปีศาจที่อยู่ในหนังสือ
   
“ ในเมื่อเจ้าคุยกันก็ตอบคำถามข้าให้ได้แล้วกัน ลุกขึ้น ดัฟฟ์  ”
   
ดัฟฟ์หน้าซีดเผือดหันซ้ายหันขวาพยายามหาตัวช่วย
   
โมลอคส่ายหน้า ฟอร์ดขยิบตา เอิร์ลพยายามเรียกดัฟฟ์แต่ดัฟฟ์มองไม่เห็น
   
“ ดินแดนปีศาจมีพื้นที่ติดกับดินแดนอะไรบ้าง ”    
   
“ แก๊ซ ตะ ติดกับ ”
   
ในหัวของดัฟฟ์แทบจะเกิดสงครามตีกันวุ่น  ติดกับน่องไก่ได้ไหม ข้าไม่รู้ ! พลันสายตาก็ไปสบกับกริสเซลพอดี กริสเซลพยายามขยับปากเป็นคำช้าๆ
   
“ ติดกับอะไร ดัฟฟ์ ” ครูถามจึ้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
   
ดัฟฟ์ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
   
มงกุฎ ?
   
อ่านปากกริสเซลไม่ออก
   
“ ตอบข้ามาดัฟฟ์ ”   
   
แต่พออ่านไปสักพักดัฟฟ์ก็พยักหน้าให้กริสเซลเพื่อยืนยันว่าตัวเองเข้าใจแล้ว
   
 “ มังคุด !! ”
   
ตอบเสียงดังลั่นห้อง
   
กริสเซลแข็งค้างท่าเดิม คาอิสกับออสการ์หลุดหัวเราะ
   
ครูขยับยิ้มเย็นเยียบ “ เย็นนี้เจ้ามาหาข้านะดัฟฟ์ ดูท่าแบบฝึกหัดอ่านเขียนของเจ้าคงจะต้องเรียนให้มากกว่านี้แล้สิ ”
   
ดัฟฟ์อ้าปากเหวอ
   
มือเล็กๆ ในตอนนี้เป็นรอยดำจากการฝึกเขียนตัวอักษรตอนหลังเลิกเรียน นาซัสก็เป็นเช่นกัน
   
“ นั่งลงได้ ไม่ต้องตกใจ เพื่อนๆ เจ้าโดนกันจนชินแล้ว ”
   
มังกรดำถึงได้ทิ้งตัวบนเก้าอี้ด้วยหน้าซึมๆ
   
“ แง้ ข้าก็ไม่ได้ไปหาฆ่าบี้สิ ”

   

“ ปกติวงเวทของท่านคาร์บิลัสจะแข็งแกร่งมากขอรับ ” กระต่ายตัวอ้วนที่ชื่อคอร์สอาสาพาฟาร์คัสเดินชมรอบสุสานกูเซียน ที่ตอนนี้เริ่มมีปีศาจมาเก็บกวาดเพื่อเตรียมการบูรณะมันใหม่
   
“ เป็นไปได้ไหมที่จะมีรังงูเวลส์อยู่ใต้สุสานนี่ ”
   
หูที่เคยตั้งลู่ลงทันควัน “ ข้าไม่ทราบขอรับ งูเวลส์ที่ท่านเอ่ยถึงข้าก็รู้เพียงว่ามันเป็นงูในตำนานเท่านั้น ”
   
“ อืม ไม่เป็นไรหรอก ” ฟาร์คัสพูดพลางพยายามกวาดสายตามองหาเบาะแส
   
ข้อสันนิษฐาณเบื้องต้นของข้าคือมันเป็นรังของเจ้างูบ้านั่นแถวนี้ เพราะวงเวทหากทำลายจากด้านในนั้นถือว่าเป็นเรื่องง่ายกว่าการด้านนอกมาก
   
หรือว่ามันเป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจของใครสักคน
   
ฟาร์คัสคิดเรื่อยเปื่อยพลางเดินตามคอร์สที่มุ่งมั่นกับการบรรยายทุกสิ่งที่เดินผ่านมาก แต่ปีศาจอีกาก็ไม่ได้ใส่ใจจะฟังนัก เพราะเนื้อความส่วนใหญ่ล้วนมีแต่น้ำ
   
ว้ากกกกก
   
เสียงกรีดร้องดังลั่นจากอีกมุมของสุสาน
   
ฟาร์คัสหันขวับตั้งท่าจะไปหาแต่กลับพบว่ามีหมอกสีจัดสีอมแดงเข้ามาปกคลุมทั่วบริเวณ จนมองอะไรรอบตัวไม่เห็น
   
“ บ้าอะไรวะ ”
   
ปีศาจอีกาสบถและแทบกัดลิ้นตัวเอง
   
ฟ่อ   
   
เพราะเสียงของงูนั้นดังข้างหู !

----------------------

หายไปนานเนื่องจากคอมง้องแง้ง :sad4: ตอนนี้ระเห็จมาใช้โน้ตบุ้คค่ะ

ส่วนตอนหน้าก็  :z13:

 :man1: กอดคนเมนต์
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 46 18 มี.ค 59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-03-2016 10:56:09
งูมาาาาาา เอ้ยยยยยยยยย
ไปช่วยนุ้งดัฟกะนุ้งนาซัสคัดลายมือดีกว่า 55555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 46 18 มี.ค 59
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 19-03-2016 21:02:56
เวรของกรรม

ใครจะมาช่วยฟาร์คัสล่ะเนี่ย ฟาร์คัสไม่น่าจะสู้ไหวนะ  :ling2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 29 มี.ค 59
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 29-03-2016 22:51:30
ตอนที่ 47 : การจากไปของคาร์บิลัส


บรรยากาศภายในห้องของราชาปีศาจนั้นหม่นหมองและเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อในห้องเหลือเพียงร่างเจ้าของห้องที่หลับไหลไร้สติอยู่ในห้วงนิทรา

" ข้าขอตัวนะขอรับ ท่านคาร์บิลัส " ชาคอสพูดเบาๆ เหลือบมองหน้าต่างที่เริ่มจะมืด หน้าที่ของเขาคือการเฝ้าดูอาการของคาร์บิลัสตลอดช่วงเช้าส่วนช่วงเย็นจะเป็นพอยซ์มาเฝ้าเอง 

". .. "

ไร้คำตอบจากร่างบนเตียงทำเอาชาคอสถอนหายใจเศร้าๆ และยอมออกจากห้องอย่างว่าง่าย

ทันทีร่างของชาคอสก้าวออกไปก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดภายในห้องคาร์บิลัส หมอกจัดไปคลุมไปทั่วทั้งห้อง ร่างผู้บุกรุกค่อยๆ ย่างก้าวไปหาเจ้าแห่งดินแดนปีศาจบนใบหน้าของเขาแตะแต้มไปด้วยรอยยิ้มยินดีเมื่อมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง นัยน์ตาสีน้ำตาลจับจ้องร่างบนเตียงนิ่งก่อนจะใช้มีดสีดำแทงเข้าที่อกของคาร์บิลัสจนมิดด้าม !!

อึก 

ร่างของไร้สติกระตุกและไอโขลกเลือดออกมา เลือดสีแดงหยดซึมจนย้อมผ้าปูเตียงสีขาวสะอาด ร่างกายของราชาปีศาจพยายามดิ้นรนมีชีวิตได้เพียงไม่นานก็ค่อยๆ สงบลง

น้ำตาหยดหนึ่งไหลพรากออกจากนัยน์ตาที่ปิดสนิท

และเหลือเพียงร่างไร้ลมหายใจ



หลอกกกก 555555555555  :hao7:

วันนี้ครบรอบลงนิยายเรื่องนี้ค่ะ  :m22: รู้สึกผ่านไปไวมากกกกก

คนที่อ่านตั้งแต่ช่วงแรกๆ ก็คงมีคุณบลูเชอร์รี่ คุณ lizzii และตอนนี้ก็ยังคงอ่านอยู่ // กอดดด  :man1: คนอื่นๆ ก็  :hao4:

แต่คนที่มาทีหลังเราก็จำได้หมดนะคะ อย่าง •♀NoM!_KunG♀• กับ tsubasa_6927 แล้วก็เพ่ Hang ดีใจทีชอบน้าาา


ตอนนี้อัพแกล้งเนื่องในวันเกิดนิยายเรื่องนี้  :laugh3:

ส่วนตอนจริงๆ ก็  :katai5:
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 29 มี.ค 59
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 29-03-2016 23:03:10
ตกใจหมดเล้ยยยยยย โฮ :sad4:

เพิ่งมาเจอเรื่องนี้หลังจากอ่าน เจ้าเสือกับเสเปอร์ อ่านรวดเดียวเลย ชอบการเขียนของคุณ foggy time มาก   o13
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 29 มี.ค 59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-03-2016 23:19:15
แรงงงงงงงงงงงง !!! 555555555
เรางี้ใจหายแว๊บบบบบบ
นี่ครบรอบแล้วหรอ เร็วมากกก เหมือนเพิ่งผ่านมาแว๊บๆ เอง
เราชอบวิธีการเล่าเรื่องของคุณFoggy time อ่ะ
อ่านแล้วเพลิน ตัวละครมีชีวิตดี คึคึ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 29 มี.ค 59
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 30-03-2016 07:22:59
ใจหายแว้บ

มะกี้เตรียมจับไหล่คุณ foggy time แล้วเขย่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วนะเนี่ย


เรารักกัน~ ชุ้บๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 29 มี.ค 59
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 07-04-2016 23:19:33
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 11 เม.ย 59 # ครึ่งแรก p.14
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 11-04-2016 23:55:05
ตอนที่ 47

ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแต่ฟาร์คัสก็ยังดำรงสติได้อย่างเหนียวแน่น เขาประสบกับสถานการณ์แบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว สีหน้าของฟาร์คัสจึงนิ่งสงบไม่มีท่าทีลนลานแต่อย่างใด

แต่ในอกหัวใจกลับเต้นถี่รัวด้วยความตื่นตระหนก

ร่างกายมักจะซื่อสัตย์กับความรู้สึกที่แท้จริงของเราเสมอ

อาวุธประจำกายปรากฎในมือฟาร์คัสเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างคืบคลานเข้ามาใกล้

ฟ่อ

ฟาร์คัสสะดุ้งเพราะเสียงในครั้งนี้ดังขึ้นข้างตัวโดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ! 

ฮื่อๆ

และรู้สึกถึงอะไรบางอย่างกำลังถูไถกับขาตัวเอง

ฟาร์คัสขมวดคิ้วงุนงงก้มมองข้อเท้าตัวเอง

เป็นลูกหมาสีเทาตัวอ้วนขนปุกปุย

ลูกหมา ?

โดยไม่รู้ตัวก็เผลออุ้มขึ้นมาแนบอกตัวเอง จ้องมองนัยน์ตาสีแดงก่ำของมันที่คล้ายดวงตาของงู มันแลบลิ้นแฮ่กๆ ใช้หัวทุยๆ ของมันออดอ้อนให้ความรู้สึกคล้ายกับคนบางคน

สิ่งที่อัดแน่นอยู่ในหัวฟาร์คัสตอนนี้คือความงงถึงขั้นขีดสุด ทั้งหมอกสีแดงที่หายไปทั้งเสียงงูที่ถูกกลบด้วยเสียงลูกหมางี่เง่าในมือ

" เจ้ามาจากไหนกัน ? " สลายอาวุธในมือและอุ้มมันให้อยู่ในระดับสายตาพอดี 

โฮ่งๆ

ระหว่างที่ฟาร์คัสกำลังสำรวจลูกหมาในมือด้วยความสงสัยก็ถูกขัดจังหวะด้วยคอร์สที่วิ่งโวยวายมาหา

" ท่านฟาร์คัสสสสส ท่านหาย หายไปไหนมา ฮือ ข้าตกใจหมดเลย ! ถึงท่านคาร์บิลัสจะสลบอยู่ก็เถอะแต่ถ้าท่านคาร์บิลัสรู้ว่าข้าทำท่านหายต้องโกรธมากแน่ๆ !! " คอร์สดีใจจนแทบร้องไม่เป็นภาษา เมื่อกี้มันตกใจแทบตายตอนที่หันหลังกลับมาหาท่าน
ฟาร์คัสแต่ท่านฟาร์คัสหายไป 

ฟาร์คัสหัวเราะเบาๆ ยิ้มมุมปาก

ปัญญาอ่อนทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องจริงๆ

เขาจำไม่ได้ว่าหยุดเดินตามคอร์สตอนไหนแต่ก็จำได้ว่าเห็นอีกทียืนอยู่ไกลๆ แล้ว

" เมื่อกี้มีเสียงโวยวายอะไร "

" อย่าเปลี่ยนเรื่องสิขอรับ ! ข้าตกใจจริงๆ นะเนี่ย ท่านฟาร์คัส ข้ายังมีน้องมีนุ่งต้องเลี้ยงอีกเป็นขโยงเลยนะ ไหนจะลูกท่านอีก หากข้าถูกท่านคาร์บิลัสทำโทษด้วยการโยนเข้ากรงสิงโต ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะขอรับ !! " ความตกใจทำให้คอร์สที่ปกติมักจะสุขุมเงียบๆ เคี้ยวแครอทแจ็บๆ กลายเป็นกระต่ายขี้โวยวายพยายามเรียกร้องหาความเป็นธรรมให้ตัวเอง

" … ข้าดูแลตัวเองได้ " ฟาร์คัสตัดบทดื้อๆ " เมื่อกี้เสียงอะไร "

คอร์สโอดครวญ " พวกปีศาจเจอไข่งูเวลส์ขอรับ เจออยู่ใต้สุสาน มีเป็นรังเลย "

โฮ่ง !

เจ้าหมาในมือเหมือนกำลังเรียกร้องความสนใจกลับมาที่ตัวเอง

ปีศาจกระต่ายเลิกคิ้วจ้องมันด้วยความสงสัย

กรรซ !!

ฟ่อ!!

จากลูกหมาที่เคยน่ารักกลับกลายเป็นหมาดุร้ายทันที มันขู่คำรามพยายามกระโจนออกจากมือของฟาร์คัส ซึ่งด้วยความที่มันยังเป็นลูกหมาจึงไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะหลุดออกมา

คอร์สสะดุ้งจนถอยกรูดยืนห่างจากฟาร์คัสในระยะที่ต้องตะโกนถึงจะคุยกันรู้เรื่อง หน้าขาวๆ ของคอร์สซีดเผือด กระต่ายเป็นสัตว์ที่อ่อนแอและเป็นเหยื่อให้กับสัตว์กินเนื้อส่วนใหญ่

เจ้าหมาเวรนี้ถึงได้พยายามจะเข้ามากินเขา !

ถึงแม้ว่าจะตัวเองจะใช้เวทย์โจมตีมันได้แต่ใช่ว่าจะไม่กลัวมัน 

ฟาร์คัสกระตุกยิ้มเมื่อเริ่มจับเค้าลางอะไรบางอย่างได้ ใช้มือลูบหัวมันให้สงบ

อิ๋ง

ลูกหมาตัวเล็กร้องเสียงเบาและซุกหัวลงบนอกฟาร์คัสด้วยท่าทีไม่มีพิษมีภัย

" พาข้าไปหารังงูเวลส์หน่อยสิ "

" ดะ ได้ขอรับ ท่านฟาร์คัส " คอร์สตะโกนตอบเดินนำไปก่อนโดยหันกลับมาฟาร์คัสเป็นพักๆ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ท่านฟาร์คัสหายซ้ำเป็นครั้งที่สอง

ฟาร์คัสหลุดยิ้มกับท่าทีหวาดกลัวของคอร์สต่อเจ้าลูกงูเวลส์นี่

เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นงูเวลส์เพราะเสียงขู่คำรามแปลกๆ ดวงตาของมัน และคำบอกเล่าจากดัฟฟ์ที่บอกว่าได้ยินเสียงงูกับเสียงหมาสลับกัน อาจจะฟังดูแปลกๆ ที่งูเวลส์นี่มีสองร่าง แต่ใครจะไปเข้าใจท่านผู้นั้น

ผู้ที่สร้างโลกซับซ้อนใบนี้

ปีศาจส่วนใหญ่กำลังขะมักขเม้นกับการเรียงไข่งูเวลส์ที่มีเกือบสิบฟองอย่างเป็นระเบียบ มันเป็นไข่สีแดงสดใบยักษ์ใหญ่ที่ใหญ่พอๆ กับไข่มังกร

" ท่านคอร์สขอรับ จะทำยังไงกับไข่พวกนี้ล่ะขอรับ ! "  ปีศาจคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นมาหา
คอร์สหูลู่ลงอย่างน่าสงสาร ทั้งๆ ที่อยากตอบว่าทำให้มันแตกๆ ไปให้หมดก็ดี แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันอาจจะสามารถนำไปใช้
ประโยชน์ได้ในอนาคต ส่วนคนที่ปกติตัดสินใจเรื่องพวกนี้ก็ดันสลบอยู่อีก ทำให้คอร์สรู้สึกว่าการไม่มีท่านคาร์บิลัสเป็นเรื่องขอ
ขาดบาดตายมากๆ 

ฉะนั้นมันจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อเอาท่านคาร์บิลัสที่เคารพคืนมาให้ได้ !

" เอาไปฝากชาคอสไว้แล้วกัน "

ฝากเจ้าด้วยล่ะ สหาย

" ขอรับ "  ปีศาจคนที่ถามรับคำและกลับไปบอกคนอื่นให้เตรียมขนย้ายไปยังบ้านท่านชาคอสที่เป็นคฤหาสน์หรูหราตั้งอยู่ใกล้ๆ

แต่ปีศาจบางส่วนก็ยังคงขะมักขเม้นขุดดินกันต่อไปเพราะนอกจากจะเจอไข่งูเวลส์แล้วยังเจอพวกของโบราณเก่าๆ ที่ถูกทับถมเอาไว้เป็นเวลานาน ทำให้สุสานกูเซียนเริ่มแปรสภาพเป็นกองดินหย่อมๆ ส่วนซากเสารูปปั้นโดนขนไปซ่อมแซมแล้ว

" ท่านฟาร์คัสจะเดินต่อไหมขอรับ ข้าจะนำทางให้ท่าน " คอร์สถาม

ฟาร์คัสลูบหัวลูกหมาในมือตัวเองครุ่นคิด

ดูเหมือนว่ารังงูเวลส์มันจะอยู่ใต้สุสานพอดีทำให้พวกงูเวลส์ที่เพิ่งฟักออกมาอาละวาด แต่ไม่สิ... ถ้าตัวเล็กแค่นี้ไม่น่าทำให้แพะบ้านั่นเป็นแบบนั้นได้ 

หรือจะเป็นแม่ของพวกมัน ? 

แล้วทำไมถึงเพิ่งโผล่มาแล้วไหนจะเจ้าลูกหมานี่อีก

ฟาร์คัสถอนหายใจเหนื่อยๆ เพราะความจริงที่เขาต้องการกลับได้คำตอบเป็นคำถามเต็มไปหมด ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่ามันไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักนิด

..แต่ก็ยังดีที่ได้งูเวลส์มาแล้ว

เจ้าแพะโง่นั่นจะได้ฟื้นสักที

" เจ้าทำงานของเจ้าเถอะ ข้าจะกลับปราสาท "  ปีศาจอีกาไหวไล่ตอบและร่ายเวทเคลื่อนย้ายใต้เท้าทันทีที่พูดจบไม่สนใจฟังคำทักท้วงของคอร์สสักนิด

ปีศาจกระต่ายมองพื้นที่เมื่อกี้นี้มีร่างชายาของราชาปีศาจยืนอยู่เซ็งๆ และหยิบแครอทที่ซุกไว้ในเสื้อออกมาแทะแก้เครียดดัง
กรุบๆ

" ท่านคอร์สขอรับ ! ท่านชาคอสไม่ยอมขอรับ " 

คอร์สขมวดคิ้วก่อนที่จะค่อยๆ คลายและคลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก " บอกกลับไปว่าท่านฟาร์คัสเป็นคนสั่ง  "

" ขอรับ "

ไม่โกรธกันนะท่าน
 



" ข้าไม่คิดว่าท่านจะหามาได้ไวขนาดนี้นะ ฮ้าว " พอยซ์หาวหวอดระหว่างที่กำลังใช้มีดกรีดเท้าของลูกหมาที่ตาแดงก่ำอย่างน่าสงสารมันมองหน้าฟาร์คัสราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ มันไม่สามารถขยับตัวได้เพราะถูกยาชาขั้นรุนแรงตรึงร่างกายเอาไว้

มันจึงพยายามหาทางรอดด้วยการออดอ้อนฟาร์คัส

น่าเสียดายที่ฟาร์คัสไม่สนใจมันแต่มองร่างที่นอนนิ่งสงบอยู่บนเตียง เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหายใจนุ่มลึกและเบาจนน่าใจหาย
ฟาร์คัสมองคาร์บิลัสด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าในชั่วขณะนึงลมหายใจที่เบานั่นจะหยุดลง เขาเห็นคนตายต่อหน้ามาเกินพอแล้ว

และไม่อยากจะเห็นมันเกิดขึ้นกับแพะโง่สักนิด

อิ๋ง

ลูกงูเวลส์ในร่างลูกหมาร้องออกมาอย่างน่าสงสารเมื่อเลือดสีสดของมันไหลออกมาและถูกแก้วใบเล็กรองเอาไว้

" เงียบน่าเจ้าหมา " พอยซ์บ่นไม่จริงจังนักเมื่อเลือดที่รองเอาไว้มากพอที่จะทำยาก็ร่ายเวทสมานแผลให้และลูบหัวมันเบาๆ เชิงปลอบ

ถึงจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่อันตรายและเคยถูกฆ่าล่างเผ่าพันธุ์มาก่อน แต่มันก็สมควรได้รับสิทธิ์ในการมีชีวิต ปีศาจอย่างพวกเขาไม่สิทธิ์ไปตัดสินว่าใครควรอยู่หรือไม่อยู่ ท่านคาร์บิลัสเคยบอกมันไว้แบบนั้น 

เพราะมันเคยเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างปีศาจ คนที่เข้าใจความเจ็บปวดนั้นดีที่สุดคือคนที่กลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายในสงครามซึ่งท่านคาร์บิลัสเป็นหนึ่งในหมู่คนที่น่าสงสารพวกนั้น

สมุนไพรสีประหลาดมีกลิ่นฉุนถูกโปรยลงในแก้วและตามด้วยส่วนผสมต่างๆ ที่ช่วยให้ร่างกายสามารถขับพิษงูออกมา ใส่ไปจนเกือบล้นแแก้วพอยซ์ก็เขย่ามันเบาๆ พร้อมกับร่ายเวททำให้ยากลายเป็นเนื้อเดียว

" เอาล่ะ ท่านเอาไปป้อนท่านคาร์บิลัสหน่อย เอาให้หมดแก้วนะ " พอยซ์ยืนมันให้กับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นชายาของราชาปีศาจ
คนโดนใช้ขมวดคิ้ว " ป้อน ? ทั้งๆ ที่สลบอยู่ "

ปีศาจแมวพยักหน้าเนือยๆ ขยี้ตาตัวเองง่วงๆ " ป้อนๆ ไปเถอะขอรับ ขอแค่หมดแก้วท่านคาร์บิลัสก็ฟื้นแล้ว "

" แล้วจะป้อนยังไง " ฟาร์คัสสบถแต่ก็ยอมขยับตัวไปนั่งบนเตียงพยายามพยุงร่างราชาปีศาจปีศาจขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงเอาไว้
คนเป็นหมอเริ่มหน้าบูด " ก็ป้อนด้วยปากสิขอรับจะยากอะไร "

ฟาร์คัสสบตาปีศาจแมวนิ่งพบว่าอีกฝ่ายพูดด้วยสีหน้าจริงจังไม่มีเค้าความล้อเล่น

นี่ข้าต้องจูบไอ้แพะเวรนี้ ?

ไม่สิ ป้อนยามันคือการป้อนยา

นัยน์ตาสีดำจ้องหน้าคนที่กำลังหลับสนิทนิ่ง สูดหายใจลึกเรียกกำลังใจตัวเองและโน้มคอคาร์บิลัสลงมาแต่ก็หยุดชะงักก่อนที่จะแนบริมฝีปากลงไป

เดี๋ยวสิ.. 

ฟาร์คัสเบิกตากว้างเมื่อเริ่มรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ

ถ้าข้าจูบไอ้แพะเวรนี้อยู่แล้วข้าจะป้อนมันตอนไหน ?!

มันไม่ใช่ยาเม็ด !

ใบหน้าที่เคยหมดสติพลันลืมตาตื่นขึ้นมาและยิ้มเจ้าเล่ห์ในชั่วเวลาสั้นๆ แนบริมฝีปากกับคนเผลอทันที 

ฟาร์คัสสะดุ้งจนเกือบหลุดตวาดด่าก็ถูกลิ้นร้อนลุกล้ำเข้ามาจนพูดอะไรไม่ออกนอกจากครางในลำคอ ครู่ใหญ่ๆกว่าที่จะผละออกมาได้

" ไอ้เวรคาร์บิลัส !! " ปีศาจอีกาตะคอกด่ามองดุๆ

คาร์บิลัสยิ้มแหยๆ รีบคว้าแก้วในมือฟาร์คัสมาดื่มอักๆ จนหน้าที่ซีดเซียวกลับมามีสีสันเหมือนปกติดังเดิม 

สีหน้าเย็นชาปรากฎบนใบหน้าของฟาร์คัส " เจ้าโกหกข้างั้นเหรอ คาร์บิลัส " ถามเสียงเย็น

ราชาปีศาจสะดุ้งยิ้มประนีประนอมพร้อมทำหน้าตาน่าสงสาร " ข้าโดนพิษเจ้างูนั่นจริงๆ นะ ! พิษของมันทำให้ข้าถูกพอยซ์สั่งห้ามขยับตัว หายใจน้อยๆ แล้วห้ามกินiด้วยไม่งั้นพิษมันจะลาม ฉะนั้นข้าไม่ผิดนะ ฟาร์คัส " พูดจบก็มาด้วยสายตาอ้อนๆ เหมือนกับลูกงูเวลส์เมื่อกี้

ซึ่งครั้งนี้มันก็ได้ผลเนื่องจากผู้ที่กระทำคือคาร์บิลัส

ฟาร์คัสมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปสักพัก รู้สึกอยากด่าก็ด่าไม่ลง ความดีใจที่อยู่ในอกมันมากกว่าความหงุดหงิดที่ถูกหลอกให้ตกใจเล่น " เจ้าฟื้นก็ดีแล้ว "

ตัดสินใจพูดออกมาเบาๆ

คาร์บิลัสยิ่งได้ใจรวบตัวฟาร์คัสไปกอดแน่นแต่ฟาร์คัสก็รู้ตัวก่อนจึงหลบได้ทันทำให้คาร์บิลัสคว้าได้เพียงอากาศเปล่าๆ
คนเป็นราชาปีศาจหน้าบูดก่อนจะกลับมาเป็นสีหน้าจริงจัง " เจ้าบอกว่าเจอรังงูเวลส์ในสุสานกูเซียน ? "

ฟาร์คัสพยักหน้ารับ " อืม " และหันไปมองตัวการที่ทำให้เขาพลาดท่าให้คาร์บิลัสนิ่งๆ

พอยซ์ยิ้มแห้งๆ โบกมือส่ายหน้าเป็นพัลวันพยายามบอกว่าไม่ใช่ความคิดของมัน มันถูกท่านคาร์บิลัสบังคับให้ร่วมมือต่างหากล่ะ
! ซึ่งแน่นอนว่าทันทีที่พูดออกไปมันต้องโดนท่านคาร์บิลัสลงโทษแน่ๆ

---------------
หายหัวไปนานคิดถึงงง  :man1:

ตอบเมนต์  :กอด1:

คุณ P.PIM : ดีใจที่ชอบค่า  :man1: เรื่องนี้อยากรื้อเขียนใหม่มากเลย อยากปรับสำนวน :sad4:

คุณ  lizzii : ความสุขมักผ่านไปไวเสมอ เขิลล << ไม่ใช่ละ 555 ดีใจที่ชอบนะคะ กอดๆ เจอกันหลายเรื่องมาก ><

คุณ  BlueCherries : มาแล้วววว  :impress2: กอดด คิดถุงง
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 11 เม.ย 59 # ครึ่งแรก p.14
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 12-04-2016 08:32:02
ไอ้ย่ะ


ฟาร์คัสมีลูกเพิ่มอีกละ รับเลี้ยงเลยยยยยย :p
ว่าแต่ตัวหม่าม๊ามันอยู่ไหนน้อ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 11 เม.ย 59 # ครึ่งแรก p.14
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-04-2016 01:32:51
จะเปงไงน้อออ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 13 เม.ย 59 # ครึ่งหลัง p.14
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 13-04-2016 23:56:43
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสักพักเมื่อราชาปีศาจตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองและคนอื่นๆ ในห้องที่ไม่คิดจะพูดอะไร 

ฟาร์คัสเหลือบมองคาร์บิลัสสลับกับลูกงูเวลล์ที่ยังคงส่งสายตาน่าสงสารมาอย่างไม่ย่อท้อ

ฟาร์คัสพ่นลมหายใจเซ็งๆ เดินเข้าไปหามัน ลูกงูเวลล์กระดิกหางรัวๆ ตาเป็นประกาย ยาชาที่ตรึงร่างกายมันหมดฤทธิ์ไปแล้วตอน
นี้มันแทบจะกระโจนใส่ฟาร์คัสด้วยซ้ำ

อย่าบอกว่ามันเห็นข้าเป็นแม่อีกแล้ว ? 

บัดซบที่สุด

ปีศาจอีกาคิดอย่างเหนื่อยหน่ายทั้งๆ ที่กำลังเพลิดเพลินกับการลูบขนนุ่มๆ จนเผลอระบายยิ้มออกมา

" ข้าเคยได้ยินว่าพวกงูเวลล์ชอบฟักไข่ไว้ใต้ดินลึกๆ และใช้เวลาฟักนานมาก " คาร์บิลัสเงยหน้าขึ้นมองฟาร์คัสตั้งใจจะพูดสรุปความคิดของตัวเองให้ฟังก็ต้องชะงักไป  " แค่ดัฟฟ์กับนาซัสข้าก็ปวดหัวแล้วนะ เจ้ายังจะเอาเพิ่มอีกเหรอ " โอดครวญด้วยสีหน้า
เหมือนกับลูกงูเวลล์ตอนที่โดนกรีดเท้า

คนฟังขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ " พูดต่อไปสิ "  พลางเกาคางให้ลูกหมาสีเทาจนมันครางงื้ดๆ

และสีหน้าของคาร์บิลัสก็เปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ " ข้าว่าข้ากับเจ้ามีลูกของตัวเองสักคนก็ดีนะ "

" คาร์บิลัส " เรียกเสียงเย็นโดยไม่มีท่าทีเขินอายแต่อย่างใด

" ก็ได้ๆ "  คาร์บิลัสถอนหายใจและหันไปจ้องหมอปีศาจนิ่งเชิงไล่ " พอยซ์ "

" ขะ ขอรับ ! "  พอยซ์สะดุ้งลนลานวิ่งออกไปทันที สิ่งที่ยังคงแก้ไม่ได้ของมันก็คือความกลัวราชาปีศาจเข้าไส้
ใบหน้าที่ยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อกี้เปลี่ยนเป็นเศร้าสลดทันทีจนฟาร์คัสรู้สึกได้

" มันคงจะเป็นเรื่องบังเอิญพอดีที่ไข่พวกนี้มันฟัก " ราชาปีศาจยิ้มเศร้าๆ " น่าเสียดายที่เจ้ายังไม่เจอพ่อกับแม่ของข้าเลย "

เพราะทุกอย่างมันพังไปหมดแล้ว...

ความหิวกระหายทำให้พวกมันอาละวาดทำร้ายทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและกัดกินทุกอย่างที่สามารถกินได้

ฟาร์คัสปล่อยลูกงูเวลล์ลงบนพื้นขยับตัวเข้าไปใกล้คาร์บิลัสและลูบหัวเบาๆ

" แพะโง่ ยังไงที่นี่ก็ดินแดนปีศาจใช่ว่าพวกเขาจะไม่รับรู้สักหน่อยว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ " 

พยายามปลอบด้วยถ้อยคำที่ไม่สวยหรู

สิ่งที่คาร์บิลัสไม่รู้คือฟาร์คัสไม่เคยเอ่ยปลอบใครจริงๆ จังๆ ซึ่งเจ้าตัวก็น่าจะเป็นคนแรก

แต่เจ้าดินแดนก็ยังเศร้าอยู่ดี " อืม ข้าก็แค่เสียดายน่ะ "

เขายังจำความเหน็ดเนื่อยตอนที่สร้างมันขึ้นมาได้ดีและยังจำภาพที่เขานำดอกไม้ไปวางหน้าหลุมศพเป็นประจำทุกปีจนเป็นความเคยชินซึ่งความเคยชินที่ว่านี้กำลังหายไป

" เจ้าแน่ใจเหรอคาร์บิลัสว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ข้าว่าตัวที่เจ้าเจอคงจะไม่ใช่แบบเจ้าลูกหมานี่แน่ๆ " 
คาร์บิลัสหลับตายิ้มบาง " ข้าคิดว่าไม่น่ามีใครเลี้ยงพวกมันไว้ได้หรอก ขนาดข้ายังรับมือแทบไม่ไหวเลย ตัวใหญ่นั้นน่าจะหนี
เข้าไปในป่าพอรู้ว่าลูกๆ มันฟักก็กลับมา "

ความโมโหที่ถูกทำลายของรักทำให้เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากจะทำลายพวกมันให้สิ้นซากแต่พอกลับมานอนนิ่งครุ่นคิดความ
โกรธก็เจือจางลง

หากมองโลกในแง่ดีคือมันทำให้เขาเห็นค่าในสิ่งที่สูญเสียไปมากขึ้น..

ไม่มีประโยชน์ที่จะโวยวายหาสิ่งที่สูญเสียไปแล้ว

มันเปล่าประโยชน์..

คาร์บิลัสไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้นักจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยและรวบเอวฟาร์คัสมากอดเอาหัวไถออดอ้อนเช่นเดียวกับลูกงูเวลล์ " แต่ยังไงก็ตามงานแต่งงานของเจ้ากับข้าก็ต้องมีขึ้นอยู่ดีนะ ฟาร์คัส "

" ... " ฟาร์คัสไม่ได้ขืนตัวออกเพราะรับรู้ถึงจุดประสงค์ของคาร์บิลัส " ไว้ซ่อมเสร็จค่อยไปอีกทีก็ได้ " ลูบผมสีดำที่เริ่มจะยาว 

" อืม.. " แขนแกร่งโอบเอวไว้เหนียวแน่นตัวสั่นน้อยๆ

ฟาร์คัสถอนหายใจเหนื่อยๆ กับคนที่พยายามซ่อนความอ่อนแอของตัวเอง 

"  .. ข้าขอวันที่ฟ้าโปร่งนะ "

" ได้สิ ชายาของข้า.. " คาร์บิลัสพูดเสียงอู้อี้จนคนโดนกอดเผลอหัวเราะหึออกมาเบาๆ

" เป็นแพะที่ปัญญาอ่อนชะมัด "
 


โรงเรียนปีศาจนั้นเป็นโรงเรียนประจำทำให้มีหอพักอยู่ติดกับโรงเรียนเป็นสามตึกใหญ่ๆ ซึ่งตึกแต่ละตึกก็จะมีห้องนอนขนาดใหญ่สำหรับบรรจุนักเรียนทั้งห้องในห้องเดียวตามนโยบายอยู่ด้วยกันรักกันดีของผู้อำนวยการกิลเบิร์ต ภายในห้องนอนประกอบด้วยเตียงสองชั้นกับชั้นเดียวพอดีกับจำนวนนักเรียน ห้องน้ำสองห้องและครัวเล็กๆ สำหรับทำอาหารง่ายๆ โดยรวมถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายน่าอยู่แม้ว่าจะไม่หรูหราก็ตาม

" แง้ พวกเจ้ามันแย่ที่สุดเลย ! " ดัฟฟ์ใช้นิ้วที่กลายเป็นสีดำจากดินสอชี้หน้าทุกคนในห้องเรียงตัวเมื่อหลุดจากการทำโทษมาได้
ลาสส่งสีหน้าเหม็นเบื่อใส่ดัฟฟ์ขณะที่กำลังนอนอ่านนิตยสารเกี่ยวกับเสื้อผ้า " ข้าว่าเจ้าควรสงบปากสงบคำมากกว่านะ ดัฟฟ์ พวกข้าไม่ผิดสักหน่อย "

ดัฟฟ์หน้าเสียแทบจะร้องไห้

" เจ้าจะใจร้ายเกินไปแล้ว !  ลาส ดัฟฟ์เป็นเด็กใหม่ จะไปรู้อะไรมากมายล่ะ " กริสเซลเถียงโกรธๆ และถลาเข้าไปหาดัฟฟ์พยายามลูบหัวลูบหางปลอบ ปีศาจสิงโตแทบจะแยกเขี้ยวขู่แง่งๆ ใส่

" จะเด็กใหม่ไม่เด็กใหม่ ข้าก็ไม่สนใจหรอกนะ ข้าแค่ไม่ชอบพวกชอบโทษคนอื่น " คนโดนเถียงยิ้มเย็น
ถึงแม้ว่าลาสจะเป็นพวกเฉื่อยชาแต่เมื่อรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องจะกลายเป็นคนปากร้ายเถียงคำไม่ตกฟากทันที

ดัฟฟ์ก้มหน้างุดกอดกริสเซล

" เจ้าก็เตือนดีๆ ไม่ได้รึไง ! " กริสเซลพูดเสียงลอดไรฟัน

ลาสตั้งท่าจะตะคอกตอบก็ถูกบางคนสงบศึกให้ก่อน

" โบว์ของเจ้าหลุดแล้ว "  ไม่ว่าเปล่าผลักดึงตัวอีกฝ่ายหันหน้าเข้าหากำแพงและดึงโบว์สีขาวออกจากผมสีทองและรวบให้ใหม่อย่างเบามือ

" โถ่เว้ย โนแลน เจ้าอีกแล้วนะ ! " ลาสบ่นเซ็งๆ ยอมเงียบอย่างว่าง่าย

โนแลนยิ้มมุมปากไม่พูดอะไรต่อ

มังกรดำที่ตั้งแต่ไม่เคยถูกว่าจริงจังมาก่อนเซื่องซึมทันทีจนกริสเซลลนลาน

" เฮ้ ดัฟฟ์ ! วิญญาณเจ้ายังอยู่ไหม ใครก็ได้ปลุกนาซัสที่นอนขดตรงนั้นมาช่วยปลอบดัฟฟ์ที ! " 

คนที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างโมลอคขยับยิ้มนุ่มนวลยอมลุกออกจากเตียงเดินไปสะกิดนาซัสที่นอนซุกอยู่มุมกำแพงด้วยร่างจิ้งจอกซึ่งสะกิดอยู่สักพักนาซัสก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นจนคนที่ขึ้นชื่อว่าใจเย็นที่สุดในห้องเริ่มหงุดหงิด " นาซัส ถ้าเจ้าไม่ตื่นข้าจะ.. อืมม มันไม่สุภาพเท่าไหร่สำหรับคนที่รู้จักกันไม่นาน ข้าจะเตะเจ้าให้ตายคากำแพงเลย ให้ตายสิ ! เจ้าเป็นจิ้งจอกที่ขี้เกียจที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย "

นาซัสที่ฝึกเขียนจนตาลายก็ยังคงสลบเหมือดอยู่ที่เดิม

โมลอคส่ายหน้าให้กับกริสเซลเชิงว่าให้หาวิธีอื่นเถอะ

" พวกเจ้าจะโวยวายอะไรกันนักหนาฮะ รู้ไหม พวกเจ้าทำให้ข้าไม่มีอารมณ์ร้องเพลงในห้องน้ำ ! " มังกรไฟตะโกนเสียงดังอย่างหงุดหงิดระหว่างที่ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเช็ดหัวเปียกๆ

" เจ้าจะเสียงดังให้มันได้อะไรขึ้นมา คาอิส " กริสเซลขู่แง่งใส่เป็นรายที่สอง " ดูสิ ดัฟฟ์ร้องไห้เลยเนี่ย "
สีหน้าหงุดหงิดของคาอิสจึงเบาบางลง " เป็นอะไรถึงร้องไห้ล่ะ ? "

" โดนดุนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก "  คนตอบคือลาสที่ยังคงนั่งอ่านนิตยสารด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุก็ตาม

ยิ่งคนตอบคือลาสก็ทำให้ดัฟฟ์สะดุ้งกอดกริสเซลแน่นยิ่งกว่าเดิม

จนเพื่อนสนิทของคนปากร้ายอดอยู่นิ่งไม่ได้ ก้าวอาดๆ ไปหากริสเซลและหยุดยืนนิ่งๆ พลางสบตาปีศาจสิงโต

" มีอะไร โนแลน ถ้าเจ้าจะว่าดัฟฟ์อีก ข้าขอเชิญเจ้าไปอาบน้ำนะ อาบก่อนข้าเลยข้ายกให้ " กริสเซลมองตอบดุร้าย

" ทำผิดก็ขอโทษสิ ดัฟฟ์ " พูดเสียงเรียบ

ซึ่งคำพูดของโนแลนก็คล้ายกับจุดประกายให้กับดัฟฟ์

" ฮือ แก๊ซ ข้าขอโทษ ! ข้าขอโทษที่ว่าพวกเจ้า ฮึก ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ฆ่าบี้ลัสไม่สบาย ฮือ ข้าเลยร้องไห้จนไม่ได้ฟังที่ครูสอน  "

สีหน้าของลาสจึงกลับมาเอื่อยๆ เหมือนเดิมเมื่อได้รับคำขอโทษ

" ฆ่าบี้ลัส ? " กริสเซลทวนงุนงงรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อไม่ถูกและเบิกตากว้าง " เจ้าหมายถึงท่านคาร์บิลัสใช่ไหม ! " ตาเป็นประกายแวววาวเมื่อพูดถึงวีรบุรุษของตัวเอง

" ใช่ ฮึก ฆ่าบี้ลัสไม่สบาย " ดัฟฟ์หน้าเสีย

กริสเซลมีสีหน้างุนงง " เจ้าหมายความว่าไง ? ท่านคาร์บิลัสเนี่ยนะไม่สบาย ท่านคาร์บิลัสเป็นราชาปีศาจเชียวนะ ! "

คนอื่นๆ ในห้องที่รับรู้ถึงความบ้าคลั่งในตัวราชาปีศาจของกริสเซลถึงกับกลอกตาเบื่อๆ 

" อื้อ ข้า ข้าอยากไปหามากเลย ฮือๆ "

" เจ้ารู้จักกับท่านคาร์บิลัสเหรอดัฟฟ์ !! " กริสเซลแทบควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ได้มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น 

" ใช่ ฮึก ฆ่าบี้ลัสกับแม่ แก๊ซ "

" ดัฟฟ์ เจ้าอยากไปหาใช่ไหม ! ข้าจะพาเจ้าไปเอง !! "

กริสเซลพูดด้วยความดีอกดีใจ

ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม

ข้าจะพาดัฟฟ์ไปหาท่านคาร์บิลัสให้ได้ !!!

--------------
 
รู้สึกถึงความแซ่บของลาส  :hao6:

มาดึกอีกแล้วววว  :z6:

 :man1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ


 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 13 เม.ย 59 # ครึ่งหลัง p.14
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 14-04-2016 00:44:30
สนุกค่ะ เดินเรื่องเร็วตัดฉับๆเหมือนดูภาพยนตร์ ทันใจมาก แถมความที่เป็นภาคๆทำให้ตัวละครไม่เยอะไปด้วยค่ะ พอจบภาคหนึ่งก็เปลี่ยนสถานที่ ตัวละครเหมือนเป็นไตรภาคของหนังเลยค่ะ  ชอบท่านราชาปีศาจจอมหื่นค่ะ เป็นคนที่ดูมั่นคงในรักมาก หาน้อยมากเลยจะเจอระดับราปีศาจไม่เจ้าชู้ ฟาคัสก็เข้มแข็งมาก สงสารตั้งแต่ฉากพ่อตาย โดนทรยศแล้วยังตองเจอเพื่ นสนิทลอบฆ่า พอมาเข้าไปในเผ่ามารก็เจอท่านราชาปีศาจลืม โอ๊ย ครบทุกรส ภาคโรงเรียนก็สนุกนะคะ เหมือนโรงเรียนแนวโรงเรียนฮอตวอตในแฮรี่ พอตเตอร์
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 13 เม.ย 59 # ครึ่งหลัง p.14
เริ่มหัวข้อโดย: tsubasa_6927 ที่ 14-04-2016 06:15:29
ตัวละครเด็กหนุ่มเริ่มเยอะจนป้าน้ำลายหก...   ผิด จนจำไม่ค่อยได้ว่าใครเป็นใคร
ฟาร์คัสถ้ายังตั้งหน้าตั้งตารับเลี้ยงเด็กๆอยู่แบบนี้ ต่อไปจะตั้งทีมฟุตบอลได้ละนะ :hao7:

ว่าแต่โนแลนกับลาสนี่ยังไง #เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ(?)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 47 13 เม.ย 59 # ครึ่งหลัง p.14
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-04-2016 06:26:15
โอ๋ๆๆ ดัฟลูกเอ้ยยย อิฆ่าบี้รัสมันไม่เป็นไรแล้วววว
 จอนแรกจะชมว่าโห้ยย พอฟื้นมาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลยนะราชาปีสาจ
แต่พออ่านบรรทัดต่อมารู้สึกแบบ ยังไงมันก็คือคาร์บิรัสผู้สึกไม่สนใจอะไรนอกจากฟาคัส 555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 48 30 เม.ย 59 p.14
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 30-04-2016 17:44:44
ตอนที่ 48

ถึงจะมีความตั้งใจดีแต่สถานะนักเรียนของกริสเซลก็ไม่ได้อำนวยขนาดนั้น แค่แอบปีนออกด้านหลังหอพักก็ถูกหมาสามหัวที่เฝ้าหอเห่าแทบเป็นแทบตายจนคนรู้กันหมดว่ามีนักเรียนห้องพิเศษกำลังหนีออกจากหอพักทั้งห้อง ผู้อำนวยการกิลเบิร์ตถึงกับมานั่งเฝ้าหอเพื่อไม่ให้นักเรียนในการดูแลของตัวเองหนีไปไหน
ทำให้กริสเซลต้องนั่งหน้าบูดขณะที่นั่งรวมอยู่กับเพื่อนบนพื้นลานประลอง

" พวกเจ้ามาหยิบดาบนี้แล้วก็ลองจับคู่สู้กัน " 

อาจารย์ฝึกที่เป็นอดีตแม่ทัพพูดอย่างไร้อารมณ์ ทั้งใบหน้าและลำตัวกำยำเต็มไปด้วยบาดแผลมากมายจากการต่อสู้อันโชกโชน นัยน์ตาจับจ้องเด็กแต่ละคนและวิเคราะห์ในใจ

เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่พบกัน ในเวลาปกติเขามักจะได้สอนพวกเด็กโตหรือไม่ก็พวกเตรียมทหาร แต่ครั้งนี้เขาถูกผู้อำนวยการสั่งให้มาดูแลเด็กพวกนี้แทน

ซึ่งชื่อเสียงอันโชกโชนก็น่าจะบอกได้ดีว่า อาจารย์ทั่วไปคงจะเอาพวกนี้ไม่อยู่

" แต่ข้าเตรียมดาบของข้ามานะ ! " เฮย์พยายามอวดดาบของตัวเองที่เพิ่งอ้อนท่านพ่อให้ซื้อเพื่อเรียนวิชาการต่อสู้โดยเฉพาะ " ท่านพ่อบอกว่าดาบของข้าคมมากๆ ถ้าโดนฟันเข้าไปพวกเจ้าตัวขาดครึ่งกันหมดแน่ " พูดจบก็หัวเราะราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองพูด
เป็นเรื่องตลกมาก

" เก็บดาบของเจ้าไว้ใช้คาบหน้าแล้วกัน ข้าอยากจะทดสอบพวกเจ้าว่ามีฝีมือกันขนาดไหน " อาจารย์ฝึกพูดอย่างไม่ใส่ใจและหันมาหยิบดาบไม้สำหรับเด็กโยนให้แต่ละคนรับอย่างแม่นยำ

ยกเว้นแต่..

" แก๊ซ ! เจ็บบบบ "  ดัฟฟ์กุมหน้าผากตัวเองที่โดนด้ามดาบเข้าเต็มๆ ถ้าหากเป็นดาบจริงคงไม่วายหน้าหลุดไปครึ่งซีก 

กริสเซลสะดุ้งถลาเข้ามาหาดัฟฟ์ " เฮ้ย ดัฟฟ์ เจ้าเป็นอะไรไหมเนี่ย !? เจ็บมากไหม "

" เจ็บสิ เจ็บมากด้วยย แก๊ซซซ  " ดัฟฟ์ลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ น้ำตาคลอเบ้า ยิ่งหันไปมองนาซัสที่รับดาบได้อย่างแม่นยำก็ยิ่งรู้สึกหดหู่

ลาสเหลือบมองพลางบ่นเบาๆ กับโนแลน " ร้องไห้อีกแล้ว นี่ข้าร่วมห้องกับเด็กเพิ่งเกิดรึไงกัน ? "

" เจ้าก็ไม่ต่างกันนักหรอก วันแรกๆ ที่เรียนยังเอาแต่ร้องไห้จะกลับบ้านเลย "  โนแลนตอบยิ้มๆ

คนถูกแขวะมองกลับดุๆ กระชับดาบไม้ในมือ " เจ้ากำลังทำให้ข้าหงุดหงิดนะ โนแลน !! " ตวาดจบก็พุ่งตัวเข้าใส่ทันที แต่โนแลนก็สามารถตั้งรับได้อย่างง่ายดายและสวนกลับมาอย่างดุดันจนลาสสบถและถอยหนีจากการคุกคามของดาบ
เพียงไม่นานการต่อสู้คู่ของโนแลนกับลาสก็จบลงด้วยดาบไม้ที่พาดอยู่บนคอลาสที่ล้มไปนอนบนพื้น

" เออ เจ้าชนะแล้ว " พูดเบื่อๆ 

ลาสเป็นบุคคลที่วันๆ เอาแต่อ่านนิตยสารเสื้อผ้ากับรูปร่างหน้าตาของตัวเองฝีมือเชิงดาบย่อมเทียบไม่ได้กับโนแลนที่เกิดในตระกูลทหารที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเคี่ยวเข็ญฝีมือ

" ฝีมือดี " อาจารย์ฝึกชมอย่างตรงไปตรงมา ยิ้มพอใจเมื่อเห็นอะไรบางอย่างในตัวโนแลน " แต่ถ้าหากเจ้าอยู่ในสนามรบนี้ยังนับว่าช้าเกินไป เจ้าต้องว่องไวกว่านี้ การลงดาบของเจ้ายังไม่หนักแน่นพอที่จะฆ่าใคร "

อดีตแม่ทัพย่อมรู้จักโนแลนดีเพราะเป็นบุตรชายของรองแม่ทัพที่เคยเอาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาให้เห็นหน้าค่าตาอยู่ครั้งสองครั้ง จึงชี้แนะโดยไม่สนใจว่าเป็นเพียงเด็ก

สำหรับสงครามนั้นไม่เคยแบ่งแยกอายุ หากมีกำลังน้อยกว่าย่อมถูกฆ่าเอาง่ายๆ และเพลี่ยงพล้ำในที่สุด สิ่งที่อาจารย์ทุกคนและผู้อำนวยกิลเบิรต์ต้องการจะสอนคือโลกของความจริง

พวกเขาไม่มีวันรู้ว่าวันใดจะเกิดสงครามขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่สามารถคาดเดาได้ สิ่งที่ทำได้คือการตั้งรับด้วยการสั่งสอนเด็กๆ ให้รู้จักการใช้ชีวิต

" ขอบคุณที่ชี้แนะขอรับ " โนแลนรับคำอย่างนอบน้อมและดึงมือลาสที่ยื่นรอได้สักพักกระตุกขึ้นมายืน

" แง้ กริสเซล ข้า ข้าไม่เคยฟันดาบ " ดัฟฟ์ถือดาบด้วยมืออันสั่นเทา จนดาบสั่นจนมองเป็นรูปร่างไม่ชัด

" เอาน่า ฟันไม่เป็นก็ลองฟันดู ข้าว่าเจ้าก็ต้องเคยเห็นพวกเนื้อสัตว์โดนสับใช่ไหมล่ะ ? นั่นแหละ เหมือนกัน เจ้าก็คิดว่าคนอื่นเป็นเนื้อนิ่มๆ และเจ้าก็มีหน้าที่สับ "

ดัฟฟ์น้ำตาตัวเองออกเมื่อรู้สึกว่ามีแรงฮึกเหิมในอก " ฟังดูง่ายจัง ข้าอาจจะ ทำได้ก็ได้ แก๊ซ ! " หน้าเล็กๆ จิ้มลิ้มฉายแววความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม

กริสเซลเห็นแบบนั้นก็เริ่มยิ้มออก " เข้ามาเลย ดัฟฟ์ ข้าจะเป็นเนื้อหมูนุ่มๆ ให้เจ้าเอง "

โมลอคหรือเจ้าของคำคมประจำห้องได้ยินบทสนทนาเมื่อกี้พอดีก็เอ่ยคำคมที่คิดสดๆ ออกมา  " ดาบไม้ก็คือดาบไม้ ย่อมไม่สามารถกลายเป็นมีดไปได้ "

" ข้าว่าคำคมเจ้านับวันยิ่งแย่นะ โมลอค " มังกรไฟผู้มีอารมณ์ร้ายอยู่เสมอตะโกนก่อนที่จะหลบดาบที่แทงเข้ามาของออสการ์

คนเป็นผู้เยียวยาระยะเริ่มต้นถึงกับจิตตกจนเดินแยกออกไปยืนข้างฟอร์ด เหยี่ยวคร่าวิญญาณที่ขี้กลัวที่สุดในห้องเรียนพิเศษ " ข้าคิดว่าข้ากำลังถูกทำร้ายทางจิตใจอย่างสุดซึ้ง "

ฟอร์ดเหลือบมองโมลอคขณะที่มือพยายามถือประคองดาบไม่ให้หลุดออกจากมือสั่นๆ " แต่ข้าว่าที่คาอิสพูดก็จริงนะ ฟังคำคมเจ้าทีไรข้าไม่เคยรู้สึกสงบเหมือนที่เคยฟังพ่อเจ้าพูดสักที "

โมลอคถึงกับลงไปนั่งหดหู่อยู่บนพื้น ปากพึมพำบ่นถึงความไม่เอาไหนของตัวเอง

" แง้ !!!! " ดัฟฟ์ร้องลั่นเมื่อดาบที่สมควรไปฟันบนตัวกริสเซลกลับโดนสกัดจนกระแทกหน้าตัวเอง 

"เฮ้ย!!" กริสเซลร้องลั่นโยนดาบในมือทิ้งทันที "เป็นอะไรมากไหมดัฟฟ์? ข้าขอโทษ! ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะคิดว่าตัวเองเป็นหมูแล้วหั่นตัวเอง"

อาจารย์ฝึกมองดัฟฟ์ด้วยสายตาอ่านยากพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่าห่วยแตกสิ้นดี แต่ก็ไม่กล้าตำหนิออกมาตรงๆ เพราะรู้ฐานะของดัฟฟ์ดีว่าเป็นถึงลูกบุญธรรมของราชาปีศาจ

จึงได้แต่มองตามเงียบๆ 

ดัฟฟ์ยิ่งได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งหดหู่กัดปากตัวเองเรียกสติ นิ้วสั้นๆ กระชับดาบไม้ในมืออีกครั้ง นัยน์ตาสีเทาและสีแดงลุกวาวอย่างมุ่งมั่น "แก๊ซ อีกครั้ง !!"

คนเป็นครูฝึกผิวปากยิ้มๆ

ก็ได้ความดื้อดึงของท่านคาร์บิลัสมาบ้าง

"เอ๋? เจ้าไม่เจ็บแล้วเหรอ ดัฟฟ์ ถ้าไม่ไหวบอกข้าได้นะ!" ปีศาจสิงโตถามอย่างกระวนกระวายแต่ก็ยอมก้มลงไปไปหยิบดาบบนพื้นมากระชับในมืออีกครั้ง

อาการเจ็บแปลบบริเวณหน้าผากประท้วงเบาๆ จนดัฟฟ์ยู่หน้า "ข้าไม่เป็นไร แก๊ซ.." แต่ไม่รู้ทำไมเสียงที่พูดถึงต้องแผ่วลงอย่างห้ามไม่ได้

"ในเมื่อเจ้าว่าอย่างนั้นก็เริ่มกันเลย! ดาบใช้ไม่ยากหรอก เจ้าแค่หาจังหวะดีๆ ในการแทงและหลบหลีกไม่ให้ดาบโดนตัวก็พอแล้ว" ไม่ว่าเปล่าย่างสามขุมไปหาดัฟฟ์ตั้งท่ามาตราฐานในการชูดาบที่ถูกบังคับเรียนตั้งแต่ปีที่แล้ว

ดัฟฟ์พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้มือสั่น จดจ้องท่าทางของกริสเซลและเลียนแบบ "ข้า ข้าจะฟันเจ้าแล้วนะ!"  บอกอย่างตื่นกลัว เพราะนอกจากกินกับนอน มังกรดำตัวนี้แทบไม่เคยต่อสู้เลยแม้แต่ครั้งเดียวถ้าไม่นับตอนคืนร่างมังกรแล้วอาละวาดด้วยความหิว

"มาเถอะ ฮ่าๆ " กริสเซลหัวเราะร่ารู้สึกเอ็นดูดัฟฟ์มากกว่าเดิมและส่ายหางไปมาอย่างผ่อนคลาย

ปึ่ก

ดาบไม้กระทบเกิดเสียงดังเสียดหูก่อนจะตามด้วยเสียงแบบเดิมดังต่อเนื่อง

กริสเซลเบิกตากว้างเมื่อดัฟฟ์หลับตาแน่นและฟันมั่วๆ ใส่ตัวเองซึ่งแรงดาบแต่ละดาบก็ไม่ใช่น้อยๆ ทำเอาระลึกได้ว่าดัฟฟ์เป็นมังกรที่มีพละกำลังมหาศาล แต่ถึงจะตกใจยังไงกริสเซลก็ยังยิ้มรับและสามารถสกัดดาบของดัฟฟ์ได้ทุกอันโดยใช้แรงไม่มากนัก

อาจารย์ฝึกมองความมุ่งมั่นของดัฟฟ์ออกจึงเอ่ยแนะนำ "เวลาที่เจ้าลงดาบก็ต้องหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ไปด้วย ถ้าเจ้าสามารถฟันตรงนั้นได้เพียงดาบเดียวก็สามารถจบการต่อสู้ได้แล้ว"

ดัฟฟ์สะดุ้งเฮือกเหมือนเพิ่งได้สติและหอบแฮ่กจนลิ้นห้อยใช้ดาบค้ำตัวเองไม่ให้ล้ม

"ถือว่าทำได้ดีสำหรับผู้ที่ฝึกใช้ดาบไม้ครั้งแรก"

อดีตแม่ทักเอ่ยชมเพื่อเป็นกำลังใจให้กับดัฟฟ์ ถึงแม้ฝีมือนั้นจะไม่ได้โดดเด่นอะไรมากก็ตาม แต่ในระดับของเด็กเล็กๆ ก็ยังพออยู่ในเกณฑ์ไม่น่าเกลียดนัก

ในลานประลองยังคงเหลืออีกหลายคู่ที่ยังสู้กันและยังไม่ได้เริ่มต้นต่อสู้ ทำให้เฮย์ที่ยังหาคู่ต่อสู้ไม่ได้ตัดสินใจมาท้านาซัสสู้

" ฮู้วว นาซัส เจ้าเด็กน้อย เจ้าต้องมาสู้กับข้า เพราะมันจะเป็นเกียรติ์ของเจ้ามากๆ ที่จะได้สู้กับข้า" พูดไม่พอยังพยายามถือดาบด้วยท่วงท่าที่คิดว่าตัวเองเท่ที่สุด "น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้ลิ้มรสดาบที่พ่อข้าซื้อให้ ไม่เช่นนั้นเจ้าต้องร้องไห้ตั้งแต่เห็นมันแน่ๆ
ฮ่าๆ"

นาซัสพยักหน้าหงึกหงักอย่างขอไปที แววตาไม่ส่ออารมณ์อะไรมากนักเพราะไม่ได้สนใจคำพูดของเฮย์ นัยน์ตายังจับจ้องไปที่พี่ของตัวเองที่นอนกลิ้งบนพื้นไปมาส่งเสียงง้องแง้งว่าหิวมาก

"รับไปซะ คมดาบท่านเฮย์!!"

สัญชาตญาณบางอย่างในตัวผุดขึ้นในหัว จนนาซัสสามารถสกัดคมดาบของเฮย์ได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะรู้สึกงุนงงในตัวเองแต่ร่างกายกลับเป็นไปตามสัญชาตญาณไล่ฟันแทงกลับอย่างเชี่ยวชาญ แม้ว่าจะมีขนาดร่างกายเล็กกว่าแต่กลับรุกไล่จนเฮย์หน้าซีดถอยร่นแต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมพยายามใช้ดาบไม้ฟันใส่สีข้าง

นาซัสขมวดคิ้วน้อยๆ เอี้ยวตัวหลบจับดาบไม้และกระตุกแรงๆ จนล้มทั้งคนทั้งดาบ

คนที่เห็นภาพนี้ต่างตะลึงงันโดยเฉพาะดัฟฟ์ที่อ้าปากค้างไปสักพักถึงได้สติ  "นาซัส!! เจ้าเก่งจังเลย แก๊ซ !!" ยิ้มกว้างวิ่งมาหานาซัสและกอดแน่น "เจ้าต้องสอนข้านะ ข้าอยากเก่งๆ จะได้ปกป้องทุกคนได้! แก๊ซ"

นาซัสยิ้มกอดดัฟฟ์แน่นตอบ 

"ฝีมือเจ้าดีมากๆ แต่เจ้ายังเด็กมาก" อาจารย์ฝึกขมวดคิ้วงุนงงขณะที่จ้องมองนาซัส 

ถึงแม้วิถีดาบของเจ้าเด็กขี้อวดนั่นจะย่ำแย่แต่การตอบโต้ของนาซัสกลับดีจนน่าตกใจ ราวกับว่าเคยอยู่ท่ามกลางการต่อสู้หรือถูกฝึกฝนจนกลายเป็นสัญชาตญาณ

หรือว่าจิ้งจอกขาวนี่อาจจะไม่ใช่ปีศาจ?

ขมวดคิ้วเคร่งเครียด นัยน์ตาเป็นประกายกร้าวถึงความไม่ไว้วางใจ

แต่ท่านคาร์บิลัสฝากมากับดัฟฟ์ก็น่าจะพอวางใจได้

"เจ้าอายุเท่าไหร่ นาซัส" ถามอย่างใคร่รู้

นาซัสที่ถูกถามอึนไปสักพักค่อยๆ นับนิ้วของตัวเองก่อนจะขมวดคิ้วและส่ายหน้า "ข้าไม่รู้ขอรับ" เพราะทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นดัฟฟ์ ท่านพ่อ ท่านแม่แล้ว..

"ข้าไม่รู้จริงๆ"

พูดซ้ำราวกับกำลังตอกย้ำในความสงสัยของตัวเอง

นาซัสเริ่มคิ้วขมวดบ้าง รู้สึกงุนงงในชาติพันธุ์ของตัวเอง ความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายกับถูกฝังลึกในใจกำลังพยายามบอกกล่าวอะไรบางอย่างในหัวมันแต่ไม่นานก็ถูกบางอย่างช่วงชิงความรู้สึกนั้นไปเหลือเพียงความว่างเปล่า

จิ้งจอกขาวโคลงหัวไปมาอย่างงุนงงเมื่อรู้สึกว่ายังไงก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาก็หันไปกอดหมับที่ตัวดัฟฟ์แน่น อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่ชัดเจนในใจ คือมันมีดัฟฟ์เป็นพี่..

"เอาเถอะ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ฝีมือของเจ้าถ้าถูกข้าขัดเกลาเรื่อยๆ ดีไม่ดีตำแหน่งแม่ทัพของข้าอาจจะกลายเ็้นของเจ้าก็ได้"
โนแลนมองนาซัสนิ่งด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ในคราแรกนั้นโนแลนไม่ได้ใส่ใจอะไรนาซัสมากมายเพราะเห็นเป็นเพียงเพื่อนร่วมห้องธรรมดา แต่สายตาตอนนี้กลับเป็นสายตาเย็นชาที่ใช้มองคู่แข่งของตัวเอง ตำแหน่งแม่ทัพเป็นตำแหน่งที่ทุกคนในตระกูลปรารถนาให้โนแลนเป็น และมันเองก็มีความตั้งใจที่ทำให้เป็นจริง!

ลาสลูบคอตัวเองเบาๆ ที่ๆเคยถูกดาบพาดไว้อย่างอ้อยอิ่งก่อนจะตบหลังโนแลนดังปั่ก กระซิบเบาๆ "ใจเย็นน่า ไม่มีใครกล้าแย่งตำแหน่งเจ้าหรอก ตำแหน่งน่ายุ่งยากพรรค์นั้นให้ฟรีข้าก็ยังไม่เอาเลย"

นัยน์ตาที่เย็นชาจึงถูกละลายลงจนเปลี่ยนเป็นละมุนละไม "เจ้าสัญญากับข้าแล้วว่าจะรับตำแหน่งช่างตัดเสื้อให้ข้านี่? อย่าลืมสิ ว่าท่านแม่ทัพต้องใส่เสื้อผ้าที่ดูดีอยู่เสมอ"

คนเจ้าสำอางตอบรับในลำคออย่างขอไปที ลูบแขนตัวเองที่ประดับไปด้วยกำไลอัญมณีที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากให้ความสวยงาม "น่าหงุดหงิดชะมัด ที่เราต้องมาเรียนซ้ำอีกปีเนอะ"

"ใครใช้ให้เจ้าไปทำลายตู้ขายโกโก้ของผู้อำนวยการล่ะ นั่นข่าวใหญ่โรงเรียนเลยนะ"
ลาสหน้าบูด "ก็ข้าไม่ชอบชุดโกโก้นั่นนี่นา งี่เง่าสิ้นดีและไร้รสนิยมมากๆ มองทีไรทำให้ข้าไม่มีอารมณ์กินข้าวหรือแม้แต่จะเรียน
สักวิชาข้าก็ไม่อยาก" 

"กว่าข้าจะหาข้อแก้ตัวกลับมาเรียนซ้ำกับเจ้าก็เหนื่อยมากเลย ข้าจำได้"

ลาสไหวไหล่อย่างไม่ไยดี "ช่วยไม่ได้นอกจากข้าก็ไม่มีใครคบเจ้าเป็นเพื่อนเลย"

โนแลนยิ้มมุมปากไม่ปฎิเสธคำกล่าวหาก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นบางคนที่โผล่ออกมาจากวงเวทข้างหลังอาจารย์

"ท่านคาร์บิลัส!?" กริสเซลเป็นคนแรกที่อุทานดังลั่นและนัยน์ตาเป็นประกาย

คาร์บิลัสยิ้มตอบก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาลูกตัวเองที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ 

"ฆ่าบี้ลัสสสสส !!"ดัฟฟ์โยเยวิ่งไปหาคาร์บิลัสทันทีพร้อมลากนาซัสไปด้วยพอเข้าถึงตัวได้ก็กอดขาราชาปีศาจแน่น "แง้ หายแล้วเหรอ ฆ่าบี้"

คนเป็นราชาปีศาจขมวดคิ้ว "เจ้าช่วยทำตัวให้มันดูสมเป็นลูกข้าหน่อยสิ ดัฟฟ์ แต่เอาเถอะ ข้าหายแล้วเจ้าไม่ต้องร้องไห้" ถึงบอกจะพร่ำว่าก็รวบเด็กสองคนขึ้นมาอุ้มตั้งท่าจะกลับเข้าวงเวท

"เดี๋ยวววววก่อนนนน ข้าขอไปด้วยสิขอรับ! ข้า ข้าเป็นเพื่อนของดัฟฟ์"กริสเซลวิ่งหน้าตั้งมาหาคาร์บิลัส ส่งสีหน้าชื่มชมออกมาอย่างไม่ปิดบัง

"เอากริสเซลไปด้วย แก๊ซซ กริสเซลเป็นเพื่อนข้า ใจดีมากเลย ใจดีกว่าฆ่าบี้ลัสอีก!"

คาร์บิลัสถลึงตามมองดัฟฟ์ "มาก็มา เข้ามาในวงเวทนี่ซะ ข้าแค่จะพาพวกเจ้าไปตัดชุด"

กริสเซลดีใจจนเกือบร้องเย้แต่ก็ปิดปากตัวเองได้ทันลนลานวิ่งเข้าไปยืนข้างคาร์บิลัส แอบใช้กรงเล็บตัดปลายเสื้อคลุมจนแหว่งและยัดใส่กางเกงตัวเอง สีหน้าของกริสเซลนั้นดีใจมากเพราะเจ้าตัวยิ้มแทบปากฉีก

"ท่านคาร์บิลัส  ยังไม่หมดคาบเรียนเลยนะขอรับ"อาจารย์ฝึกทำความเคารพก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าเจือกังวลเพราะลูกศิษย์หายไปถึงสามคน

"ไม่นานนักหรอก ซีดาร์" คนเป็นราชาปีศาจกระตุกยิ้ม "ถ้ากิลเบิร์ตมีปัญหาก็ให้มาคุยกับข้า" ไหวไหล่อย่างไม่ไยดีและดีดนิ้วดังเพื่อให้เวทเคลื่อนย้ายสัมฤทธิ์ผลพากลับไปยังปราสาท

พอท่านคาร์บิลัสลับสายตาไปพวกนักเรียนห้องพิเศษก็อวดครวญเสียงดังทันที

"เวรเอ้ย! ไอ้กริสเซลมันไวชะมัด เผลอแปปเดียวหนีเรียนไปซะแล้ว" คาอิสสบถเหลือบไปมองตรงที่เคยมีร่างทรงอำนาจที่สุดในดินแดนปีศาจก็อดสะท้านในใจไม่ได้ "ออสการ์"

"วะ ว่า" ออสการ์รับคำเสียงสั่นรู้สึกตะลึงไม่หายเมื่อรู้ว่าใครเป็นผู้ปกครองของดัฟฟ์และนาซัส เดิมทีคิดเอาไว้ว่าอาจจะเป็นพวกแม่ทัพตำแหน่งใหญ่ๆ ที่เส้นใหญ่พอที่สามารถยัดมาเรียนกลางเทอมแบบนี้ได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าเส้นของดัฟฟ์คือ ท่านคาร์บิลัส!!

"เจ้าว่าดัฟฟ์ จะฟ้องท่านคาร์บิลัสไหมเรื่องวันแรกที่พวกเราแกล้งน่ะ" คาอิสกลืนน้ำลายเอือกทุกใบหน้าดุๆ ของท่านคาร์บิลัสที่แปะไว้ที่บ้าน

"ข้าไม่เกี่ยวนะ วันนั้นเจ้าเป็นคนเตะดัฟฟ์และข้าเป็นคนปลอบดัฟฟ์ด้วย" ออสการ์ยิ้มออกเมื่อรู้ว่าตัวเองรอดแล้ว

"แต่ว่าเจ้าเป็นคนริเริ่มความคิดรับน้องนะ!" มังกรไฟโวยวายสีหน้าถมึงทึง 

"แล้วเจ้าจะทำยังไงเล่า เจ้าโง่ ถ้าเจ้าโดนท่านคาร์บิลัสโกรธ อย่างน้อยก็มีข้าที่ยังรอด เสียสละเพื่อส่วนร่วมน่ะเจ้ารู้จักไหม ถ้าไม่ข้าจะให้โมลอคมาเทศน์เจ้า!" 

คาอิสมองเพื่อนสนิทด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ "เจ้า!! อยากตายใช่ไหม ออสการ์" คว้าดาบเข้าไปฟัดออสการ์ด้วยความเคียดแค้นถึงขีดสุด

"งั้นเจ้าก็ขอโทษดัฟฟ์สิ เจ้างั่ง ถ้าท่านคาร์บิลัสมาเอาเรื่อง เจ้าก็บอกไปทักทายตามประสามังกร อีกอย่างท่านคาร์บิลัสเป็นแพะไม่ใช่มังกรซะหน่อย จะไปรู้ได้ยังไงเผ่าพันธุ์เจ้าทักทายกันยังไง" ออสการ์ตัดสินใจไม่โต้ตอบและวิ่งหนีแทนเพราะตัวเเองผิดเต็มๆ

"ข้าจะบอกท่านคาร์บิลัสว่าเจ้าสั่งให้ข้าทำ!" คาอิสคำราม

"บ้าที่สุด มังกรไร้สัจจะเอ้ย!" ออสการ์หันไปโวยวายก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อไปสะดุดดาบไม้ที่วางไว้เกลื่อนพื้นเข้าจนล้มกลิ้ง

คาอิสหยุดตัวเองได้ทันเห็นสภาพเพื่อนสนิทตัวเองก็หัวเราะดังลั่น "นี่เจ้ากลัวข้าขนาดนี้เลยเหรอ ออสการ์? ไม่ยักรู้ว่าเจ้าจะกลัวข้าขนาดนี้"

โดยไม่ทันรู้ตัวได้มีร่างใหญ่โตก้าวมาข้างหลังคาอิสช้าๆ และคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อ "วิชาของข้าไม่ใช่วิชาวิ่งเล่น ถ้าพวกเจ้าอยากวิ่งเล่นกันมากก็ลาออกกันไปซะ" 

คาอิสสะดุ้งเฮือกหัวเราะแห้งๆ ส่วนออสการ์รีบลุกพรวดกลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นเป็นการเอาตัวรอด

"ขออภัยขอรับ ท่านอาจารย์"

ถึงแม้ปกติคาอิสจะไม่เห็นหัวอาจารย์สักเท่าไหร่แต่คงไม่ใช่กับอดีตแม่ทัพผู้โด่งดังคนนี้

ฉะนั้นถ้ายังอยากเรียนอย่างสงบสุขก็ต้องทำตัวเจี่ยมเจี้ยมเข้าไว้..
 

"แม่ แก๊ซซซซซ" ดัฟฟ์กระโดดออกจากแขนคาร์บิลัสทันทีที่เห็นฟาร์คัสยืนอยู่ไกลๆ พยายามวิ่งให้ไวเท่าที่ขาสั้นๆ สองข้างจะอำนวย

ฟาร์คัสยิ้มมุมปากลูบหัวดัฟฟ์เบาๆ เมื่อวิ่งมาถึงตัวเอง "เป็นไงบ้าง? ไปเรียน"

"แก๊ซ ข้าได้เข้าชมรมทำขนมด้วย!" ดัฟฟ์ยิ้มกว้าง

ฟาร์คัสชะงักไปสักพัก "อืม.. ดีแล้วล่ะ" ก่อนจะหันไปมองนาซัสที่ยืนมองตัวเองตาแป๋ว "เจ้าล่ะนาซัส? อย่าบอกว่าเข้าชมรมทำขนมเหมือนกัน"

ถ้าเข้าอีกคน ส่งไปโรงครัวดีกว่าไหม.. ฟาร์คัสคิดเซ็งๆ ในใจ

 "อืม ดัฟฟ์ให้ข้าเข้าด้วย ข้าอยากกินขนมกับดัฟฟ์" นาซัสพยักหน้าหงึกหงัก

ฟาร์คัสถอนหายใจและขมวดคิ้วเมื่อเห็นชายเสื้อที่แหว่งไปของคาร์บิลัส "คาร์บิลัส ชายเสื้อเจ้าไปเกี่ยวอะไรมารึเปล่า?"

"หือ?" คาร์บิลัสมองตามที่ฟาร์คัสชี้และไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ "ช่างเถอะ อีกไม่นานข้าก็จะได้ใส่ชุดที่พิเศษกว่านี้แล้ว~~~"
ฟาร์คัสสบถเสียงเบาหน้าแดงเพราะรู้ดีว่าคาร์บิลัสหมายถึงอะไร

ชุดแต่งงานงี่เง่า...

ไม่รู้เพราะอะไรอยู่ๆ ดีงานแต่งงานข้ามันถึงได้ฤกษ์อีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า! 

ไอ้แพะเวรนี่มันต้องเป็นคนเลือกวันเองแน่ๆ ไม่ใช่เพราะฤกษ์หรอก

"รีบๆ พาไปห้องตัดชุดสักที ดัฟฟ์กับนาซัสจะได้กลับไปเรียน"  ฟาร์คัสตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องและต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเด็กที่อายุพอๆ กับดัฟฟ์กำลังเอาหน้าถูกกับผ้าเช็ดหน้าขาดๆ?

"ดัฟฟ์นั่นเพื่อนเจ้าเหรอ"

"อื้อ ชื่อกริสเซล"

หลังจากดื่มด่ำกับเสื้อคลุมของคาร์บิลัสเสร็จก็ต้องสะดุ้งเมื่อตัวเองกลายเป็นจุดรวมสายตา "ข้า ข้าเป็นเพื่อนของดัฟฟ์ ข้า ข้า
อยากมาด้วย" พูดติดอ่างหน้าแดงอย่างประหม่าเพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่แขกรับเชิญในที่นี้

"งั้นเจ้าก็ไปตัดชุดพร้อมกับดัฟฟ์ นาซัสแล้วกัน" 

"ไม่ได้ตัดพร้อมกัน?" ฟาร์คัสถามงงๆ

คาร์บิลัสยิ้ม "แน่สิ ก็ต้องมีช่างตัดสำหรับเด็กกับผู้ใหญ่ เดี๋ยวสักพักคอร์สจะมารับเด็กพวกนี้ไปเอง"

"แล้วเรื่องแม่งูเวลล์เจ้าจะทำยังไง? เจ้าแน่ใจเหรอว่าระหว่างที่ตัดชุดอยู่ มันจะไม่ไปฆ่าใครเข้า"

"ต่อให้มันมีชีวิตอยู่ก็ไม่น่าทำอันตรายอะไรได้แล้วล่ะ ข้าให้ชาคอสเอาลูกงูเวลล์ไปล่อแล้ว ดึกๆ น่าจะได้กลับมาขังกรงเลี้ยงดูเล่นอยู่"

"เจ้าจะเลี้ยงไอ้งูที่เกือบจะฆ่าเจ้าตาย?" มองคนเป็นราชาปีศาจด้วยสีหน้าอ่านยาก

"แต่ข้าก็ยังไม่ตาย มันไม่ได้ผิดอะไรที่ทำร้ายข้า มันก็แค่ทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น " ก้าวยาวๆ มาหยุดยืนข้างฟาร์คัสและมองดัฟฟ์กับนาซัสเชิงไล่

"คอร์สมาแล้วนั่น พวกเจ้ารีบๆ ไปได้แล้วไป อ้อ อย่าลืมเอาเพื่อนเจ้าไปด้วย"

"แง้" ดัฟฟ์เบะปากเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังโดนไล่

ผิดกับนาซัสที่พยักหน้าอย่างว่าง่ายจูงดัฟฟ์ไปหาปีศาจกระต่ายตัวอ้วนที่กำลังวิ่งมา

"กริสเซล!" ดัฟฟ์คว้าแขนกริสเซลให้เดินตามมาเพราะเอาแต่มองตามหลังคาร์บิลัสไม่ยอมก้าวตาม

กริสเซลปล่อยให้ตัวเองถูกดัฟฟ์ลาก ตากับยังคงจับจ้องแผ่นหลังสูงสง่าของราชาปีศาจ

เท่สุดๆ ไปเลย!!

ตะโกนในใจ

"กริสเซล?" ดัฟฟ์ขมวดคิ้วสะกิดแต่กริสเซลก็ยังไม่รู้สึกตัวจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

"ดัฟฟ์ พ่อของเจ้า ไม่สิท่านคาร์บิลัสนี่เท่ชะมัด ข้าอิจฉาเจ้าจังที่ได้อยู่ใกล้ๆ ท่านคาร์บิลัส ข้าอยากทำงานกับท่านบ้าง! ถ้าข้าทำได้จริงนะ ทุกคนที่บ้านข้าต้องดีใจมากแน่ๆ"

คอร์สที่วิ่งมาถึงและได้ยินประโยคเมื่อกี้พอดีถึงกับยิ้มแห้ง "ข้าเป็นกำลังใจให้เจ้านะ"

ราชาปีศาจที่ชื่นชอบการหนีออกจากห้องทำงานและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับชายาตัวเองนี่น่าทำงานด้วยจริงๆ เหรอ..?

---------------------------

หายไปนาน  :hao5: พอดีพี่ชายรับปริญญาค่ะแล้วพี่ก็เอาไข้หวัดใหญ่มาติด

พอติดก็ไม่สบายจนนอนโรงพยาบาลเพิ่งออกมาวันนี้ค่ะ 5555

 :กอด1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่า
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 48 30 เม.ย 59 p.14
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 30-04-2016 18:26:06
ปวดเฮดแทนอาจารย์

กว่าดัฟฟ์จะเป็นจ้าวปีศาจคนต่อไป ต้องเคี่ยวเข็ญอีกกี่ปีหนอออ  :ling3:

ปอลิง นาซัสจะเริ่มค้นหาอดีตตัวเองแล้วป่ะคะ?
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 48 30 เม.ย 59 p.14
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-05-2016 00:00:15
หนูนาซัสจริงๆ แล้วเป็นใครกันแน่นะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 48 30 เม.ย 59 p.14
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 01-05-2016 00:12:38
เย้ กลับมาแล้ว   โรงเรียนดูวุ่นวายตามประสาเด็กๆปีศาจแต่ละคนฤทธิ์เยอะน่าดู นาซัสทั้งน่ารักและเก่ง ถึงจะเอาแต่นอนขี้เซา คาร์บิลัส ฟาคัสออกมาเป็นแขกรับเชิญไปแล้ว ภาคนี้รู้สึกสองคนนี้บทน้อยจัง รอฉากงานแต่งสุดอลังการอยู่นะคะ   



ป.ล. หายป่วยแล้ว ดีเลยค่ะ  และก็ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะคะ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง พายุฤดูร้อนเข้าพอดี
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 48 30 เม.ย 59 p.14
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-05-2016 00:37:05
รักษาสุขภาพนะคนเขียน อยากอ่านอีกเยอะๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 48 30 เม.ย 59 p.14
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 01-05-2016 21:58:53
 o13
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 49 10 พ.ค 59 p.15
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 10-05-2016 23:42:39
ตอนที่ 49

"ข้าสงสารเจ้าเด็กนั่นชะมัด ที่มาชื่นชมเจ้า" ฟาร์คัสบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ระหว่างที่กำลังถูกวัดตัวจากปีศาจที่ทำเกี่ยวกับชุดแต่งงานโดยเฉพาะ 

คาร์บิลัสนั่งเท้าคางมองฟาร์คัสด้วยสายตาหวานเชื่อม "สงสารทำไม ข้าออกจะตั้งใจทำงานใส่ใจครอบครัวและรักชายามากๆ"

"มียางอายบ้างเถอะ แพะเวร" ฟาร์คัสสบถเมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของปีศาจที่มาช่วยเรื่องชุดแต่งงาน พวกมันพยายามตั้งหน้าตั้งตาจดปิดบังความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง

"ท่านคาร์บิลัสขอรับ สำหรับชุดแต่งงานท่านจะใช้สีอะไรดี" ปีศาจตนหนึ่งพูดพร้อมยื่นหนังสือที่รวบรวมสีทุกสีในดินแดนปีศาจเอาไว้ให้กับนายของตัวเอง

คาร์บิลัสเหลือบมองสั้นๆ และมองฟาร์คัสต่อ  "ข้าเอาสีดำ แล้วเจ้าล่ะฟาร์คัส สีขาวดีไหม จะได้ตัดกับข้าพอดี"

"ข้าเอาสีดำ" ฟาร์คัสตอบอย่างไม่ต้องคิด จะให้อีกาสีดำอย่างเขาไปใส่ชุดขาวบริสุทธิ์ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่าสักเท่าไหร่

"สีดำนะขอรับ" รับคำและจดยิกๆ ลงสมุดเล่มเล็ก "แล้วชุดล่ะขอรับ ท่านคาร์บิลัสอยากได้แบบไหน แบบดั้งเดิมหรือจะให้ออกแบบมาใหม่เลยขอรับ"

"ดั้งเดิมแล้วกัน ชุดสวยดี อ้อ สำหรับชายาข้าพวกเจ้าออกแบบมาใหม่แล้วกัน" คาร์บิลัสตอบโดยไม่รอคำตอบของฟาร์คัส   
ซึ่งฟาร์คัสก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะก็เป็นแค่ชุดที่สวมใส่แค่ไม่ถึงวันเท่านั้น

ต่างกับคาร์บิลัสที่ภายนอกอาจจะดูตื่นเต้นนิดหน่อยแต่ภายในดีใจมากๆ ถึงขั้นตั้งใจจะลางานไปเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานโดยเฉพาะ

"เรื่องห้องหอท่านจะเอากุหลาบกับเทียนหอมไหมขอรับ ข้าเคยเห็นเมืองมนุษย์โปรยเอาไว้บนเตียงคู่บ่าวสาว"

"ดีๆ เพราะข้าอาจจะอยู่ในห้องนั้นสักวันสองวัน ไม่สิ อืมม ข้าว่าเรื่องนี้ค่อยคุยกับข้าเวลาอื่นแล้วกัน" คาร์บิลัสพยักหน้ารับโดยไม่ต้องคิดก่อนจะสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงสายตาเย็นเยียบบางอย่างจากด้านหลัง

ฟาร์คัสหน้าแดงก่ำเพราะได้ยินประโยคงี่เง่าเมื่อกี้นี้พอดี

หมายความว่าไงที่จะอยู่ในห้องหอนั่นวันสองวัน !?

แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากว่ากล่าวอะไรนักเพราะมีคนอื่นอยู่เต็มห้อง ได้แต่ปล่อยให้ถูกวัดขนาดตัว ข้อมือ ข้อเท้าไปเรื่อยๆ แต่สายตายังคงจับจ้องแผ่นหลังของราชาปีศาจที่โน้มตัวลงไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับปีศาจตัวอ้วน มันหน้าแดงก่ำและกระวี
กระวายจด

"ฟาร์คัสข้าจะส่งคำชวนไปหาเอลล์กับลุกซ์ เจ้าจะฝากข้าชวนใครไหม" คาร์บิลัสพูดขึ้นมาหลังจากกลับมานั่งปกติ

ชวน ?

ฟาร์คัสพูดทวนคำเบาๆ กับตัวเอง ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

เพราะรู้สึกเหมือนได้ยินคำพูดของบาร์ลินข้างหูตัวเอง

"ถ้าเจ้าแต่งงาน เจ้าต้องชวนข้าด้วยนะ! เพราะข้าเป็นเพื่อนสนิทมากๆ คนเดียวของเจ้า"

ส่ายหัวกับความคิดไร้สาระและพยายามคิดถึงบุคคลที่จะมางานแต่งงานของตัวเอง

เพื่อนเพียงคนเดียวที่นึกออกก็มีเพียงเอลล์ซึ่งเจ้าแพะโง่นั่นก็ชวนให้แล้ว... ส่วนอีกคนที่อยากชวนก็ใช่ว่าจะชักชวนมาได้อย่าง วารัน ชาร์เลส   

ทำไมบุคคลที่ข้ารู้จักล้วนเกี่ยวข้องกับท่านโฟเทียสกัน?

ฟาร์คัสคิดอย่างเหนื่อยอ่อน พวกเขาล้วนแล้วแต่กลับไปอยู่ข้างกายท่านโฟเทียสกันแล้ว แล้วเขาจะมีปัญญาที่ไหนไปชวนมางานแต่งงานตัวเองกันล่ะ ผู้ควบคุมกาลเวลาไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายๆ ตามท้องตลาดหรอกนะ

"โรซ์เวลไหม ข้าเห็นเจ้านกนั่นชอบคุยกับเจ้านี่" คาร์บิลัสเสนอขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าติดจะเศร้าหมองของฟาร์คัส

"อืม ชวนมาก็ได้"

คาร์บิลัสยิ้มแห้งเอ่ยไล่ปีศาจที่เหลือในห้องออกไปแล้วไปนั่งข้างๆ ฟาร์คัสดึงมือที่เย็นเฉียบมาแนบแก้มตัวเอง "มันเป็นงาน
แต่งงานของข้ากับเจ้านะ อย่าทำหน้าเศร้านักสิ"

ฟาร์คัสหลุดยิ้มบาง "แล้วเจ้าล่ะ มีเพื่อนที่จะชวนมางานไหมหรือนิสัยปัญญาอ่อนเกินไม่มีใครคบ"

"มีสิ แต่ไม่กี่คนหรอก เจ้าพวกนั้นต้องไม่เชื่อข้าแน่ๆ ว่าที่ข้าได้แต่งงานเป็นคนแรก!" คาร์บิลัสพูดอย่างร่าเริง

ซึ่งสีหน้าที่ดูภูมิใจจนเกินเหตุของคาร์บิลัสก็ทำเอาฟาร์คัสเริ่มรู้สึกไม่ไว้วางใจในตัวเพื่อนของแพะโง่ที่จะมาร่วมงาน
หวังว่าจะไม่ปัญญาอ่อนเหมือนแพะโง่นี่

 
"แง้ ข้ายังไม่ได้คุยกับท่านแม่เลย แก๊ซ!" ดัฟฟ์งอแงเพราะทันทีที่วัดตัวเสร็จก็โดนส่งกลับมายังโรงเรียนทันที โชคดีที่พอไหวตัวทันจึงพอคว้าลูกอมบนโต๊ะมาได้บ้าง ในปากดัฟฟ์ตอนนี้จึงเต็มไปด้วยลูกอมหลากสี 

"เอาน่า ดัฟฟ์ อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ได้เรียนหรอก เพราะมันเป็นวันเข้าชมรมของโรงเรียน" กริสเซลตอบทั้งๆ ที่กำลังมองเศษเสื้อคลุมที่มีสภาพยู่ยี่ในมือด้วยสายตาชื่นชม "ข้าว่าจะแวะไปชมรมเย็บปักสักหน่อย ให้พวกนั้นทำไอ้นี่ให้กลายเป็นสนับข้อมือ ข้าจะได้รู้สึกว่ามีท่านคาร์บิลัสอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา!" ยิ่งพูดปีศาจสิงโตก็ยิ่งคึกจนปิดอาการดีใจไม่อยู่

"แก๊ซ?" ดัฟฟ์เหลือบมองกริสเซลและหันมาสนใจนาซัสที่มองเดินพื้นนิ่งๆ คล้ายกับกำลังใช้ความคิด
ซึ่งก็เป็นตามที่ดัฟฟ์คิดเพราะนาซัสกำลังคิดไม่ตกถึงอายุกับอดีตของตัวเอง นัยน์ตาหลุบต่ำเมื่อรู้สึกถึงความว่างเปล่าในหัวที่ไร้ซึ่งคำตอบในสิ่งที่ตัวเองกำลังสงสัย

"อ้ะ! ถ้าเข้าชมรม ก็ได้ทำอาหารสินะ แก๊ซ!!" ดัฟฟ์ที่เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเข้าชมรมทำอาหารก็เขย่าตัวนาซัสจนตัวโยน "จะได้กินแล้ว! จะได้กินแล้ว แก๊ซ" 

นาซัสยิ้มน่ารัก "ดัฟฟ์ เจ้าทำอาหารเป็นด้วยเหรอ"

ดัฟฟ์ส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก "แก๊ซ! ไม่น่ายากหรอกน่า"

"ทำอาหารไม่ยากหรอกแต่ขั้นตอนที่ต้องหาวัตถุดิบมาทำนี้เหนื่อยเป็นบ้าเลย" กริสเซลพูดขึ้นเมื่อดื่มด่ำชายเสื้อท่านคาร์บิลัสจนพอใจและมีสีหน้าเหยเก "ข้าเคยเข้าอยู่ปีที่แล้ว รสชาติอาหารที่ท่านอาจารย์ทำแย่มาก เอาเป็นว่าเจ้าพลาดแล้วล่ะ ดัฟฟ์ที่เข้าชมรมนี้ ต่อให้เจ้าจะเป็นพวกกินไม่เลือกก็เถอะ"

กริสเซลมีสีหน้าเสียใจที่ตัวเองไม่รั้งดัฟฟ์เอาไว้ตอนนั้น

"แก๊ซ ไม่เป็นไรหรอก ข้าก็จะพยายามกิน" ดัฟฟ์พูดเสียงเบา เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในชมรมที่ตัวเองกำลังจะเข้า 

นาซัสโคลงหัวไปมา "อย่างน้อยตอนที่เจ้าหาวัตถุดิบ ก็น่าจะแวะซื้อได้นะ"

"ดีจัง แก๊ซ นาซัสฉลาดที่สุดด" ดัฟฟ์โถมตัวเข้ากอดนาซัสยิ้มกว้างจนตาหยี 

โฮกกกกกก

เสียงคำรามของมังกรดังลั่นจนอากาศสั่นสะเทือน

กริสเซลสะดุ้งสุดตัวตาโต "แย่แล้ว! ถึงเวลาเข้าชมรมแล้ว ข้าเข้าชมรมท่านคาร์บิลัสจงเจริญด้วยสิ ถ้าไปสายตั้งแต่วันแรกข้าต้องไม่ได้เข็มกลัดรูปท่านคาร์บิลัสแน่ๆๆ ว้ากกก ดัฟฟ์ ข้าอยากไปส่งเจ้านะ แต่ข้าต้องไปแล้วล่ะ ชมรมเจ้าอยู่ในโรงอาหารนะ!!"
โบกมือไวๆ แล้วรีบวิ่งไปทันทีทิ้งดัฟฟ์กับนาซัสไว้ที่ทางเดินเชื่อมตึกซึ่งสองข้างทางก็เต็มไปด้วยปีศาจวิ่งกันวุ่นวายแต่ก็มีบางตัวที่เดินอย่างสบายอกสบายใจเพราะอยู่ชั้นปีสูงใกล้จะเรียนจบเต็มทน 

"เฮ้ พวกเจ้ารีบๆ ไปเข้าชมรมได้แล้วไป ก่อนที่ข้าจะจดชื่อเจ้าลงสมุดรายงานพฤติกรรมนักเรียน" ปีศาจร่างยักษ์ย่างสามขุมมาหาดัฟฟ์กับนาซัสด้วยสีหน้าถมึงทึงบนเสื้อถูกปักด้วยรูปปีศาจถมดำใช้ไม้จิ้มปีศาจตนอื่นพร้อมเขียนกำกับว่ากรรมการนักเรียน

ดัฟฟ์เงยหน้ามองจับมือนาซัสแน่น "แก๊ซ ข้า ข้ากำลังไป" พูดเสียงสั่น

เพราะขนาดตัวที่ต่างกันมากรวมกับสีหน้าดุร้ายทำให้ตอนนี้กรรมการนักเรียนในสายตาดัฟฟ์ก็เหมือนสัตว์ประหลาดที่พร้อมจะกินมังกรดำตัวเล็กๆ 

"เร็วสิ! ถ้าเจ้าช้าไปกว่านี้แม้แต่วินาทีเดียว ข้าจะจดชื่อเจ้าแล้วโยนเจ้าเข้าในกรง----"

ดัฟฟ์ไม่รอฟังจนจบวิ่งหน้าตั้งน้ำตาคลอเบ้าไปทางโรงอาหารที่ตั้งอยู่ไกลๆ

"แง้ น่ากลัว นาซัส วิ่งหนีๆ ข้าไม่อยากโดนมันกิน ฮือ"  ดัฟฟ์โหยหวน

นาซัสยอมวิ่งตามอย่างว่าง่ายหันหลังไปมองก็เห็นกรรมการนักเรียนมองตามมาด้วยสายตางุนงง

ความเร็วของดัฟฟ์มากพอที่จะทำให้มาถึงโรงอาหารภายในเวลาอันสั้น ซึ่งพอมาถึงดัฟฟ์ก็สะดุดขาตัวเองล้มหน้าคว่ำ "แง้ เจ็บ ฮือออ แฮ่กๆ"

นาซัสที่สะดุดดัฟฟ์จนล้มอีกที ปัดฝุ่นตัวเองแล้วจึงลุกขึ้นยืนยื่นมือให้ดัฟฟ์จับ

ดัฟฟ์กลั้นความเจ็บร้าวไปทั้งตัวจับมือนาซัสและฝืนลุกขึ้นยืน  หันซ้ายหันขวาเมื่อไม่เห็นใครสักคนในโรงอาหารนอกจากพ่อค้า
แม่ค้าที่ขายอาหารกับปีศาจที่กำลังเดินออกจากโรงอาหารพร้อมอาหารในมืออยู่ประปราย

"แง้ กริสเซลโกหก ดัฟฟ์แน่เลย" 

นาซัสไม่ได้พูดอะไรพยายามชะเง้อหน้าหาอาจารย์ที่รับสมัครเข้าชมรมแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

"แก๊ซ ข้าว่าไปนั่งรอตรงนั้นกัน" ดัฟฟ์จับมือนาซัสแน่นค่อยๆ พยุงร่างอันรวดร้าวของตัวเองไปนั่งเก้าอี้ ส่วนสายตาถูกแช่แข็งไว้กับอาหารที่กำลังถูกจัดใส่ตู้ 

โครกกก

ดัฟฟ์หน้ายู่ลูบท้องตัวเอง "แง้ ข้าหิวอีกแล้ว นาซัส"

"ยังกินไม่ได้ ดัฟฟ์ ต้องเข้าชมรมก่อน" นาซัสพูดอย่างมุ่งมั่นกระชับมือดัฟฟ์แน่น เพราะดัฟฟ์เริ่มทำท่าจะวิ่งไปซื้ออาหารมากิน
แทนการนั่งรอเข้าชมรมเฉยๆ

"ข้าว่ากินไปรอไปก็ดีนะ แก๊ซ" ดัฟฟ์มองพลางเช็ดน้ำลายที่เลอะมุมปาก

นั่งรอไปสักพักใหญ่ๆ ก็ไม่มีปีศาจสักตัวปรากฎตัวในโรงอาหารเพิ่มเติม จนดัฟฟ์หาวหวอดกลิ้งไปมาบนเก้าอี้ "แง้ นาซัส ข้าว่าพวกเราต้องโดนชมรมไล่ออกแล้วแน่ๆ เลย "

นาซัสที่ตอนแรกไม่คิดอะไรก็เริ่มวิตกบ้างแต่พอเห็นร่างคุ้นตาก้าวเร็วๆ มาทางตนเองก็กลับมาใจชื้น

"ขอโทษที ข้าลืมบอกพวกเจ้าไปเลย" อาจารย์คนเดิมที่รับดัฟฟ์กับนาซัสเข้าชมรมยิ้มแห้งๆ "พอดีว่าคนที่เข้าชมรมมีจำนวนน้อยเกินไปจนผู้อำนวยการไม่อนุญาตให้ตั้งชมรมน่ะ น่าแปลกนะ ปีที่แล้วก็ออกจะมีเยอะปีนี้กลับมีแค่พวกเจ้าสองคน เอาเป็นว่าพวกเจ้าหาชมรมอื่นเข้าได้เลยเพราะชมรมข้าถูกยุบแล้ว"

ดัฟฟ์อ้าปากค้างรู้สึกถูกทำร้ายจิตใจขั้นร้ายแรง เพราะจุดประสงค์หลักของการเข้าชมรมก็คือการกินและการฝึกทำอาหารที่ทำไปกินไป "แล้ว แล้ว มีชมรมเกี่ยวกับอาหารอีกไหม" 

"อืมมม จะว่ามีก็มีนะ เป็นชมรมทำขนมแต่คนเข้าเยอะมากจนข้าอิจฉาเลยล่ะ ตอนนี้รู้สึกว่าจะคัดตัวคนเข้าชมรมอยู่"
ความหวังที่เพิ่งดับไปลุกโชนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง 

"ที่ไหน แก๊ซ ที่ไหน ข้าจะเข้า ข้าจะเข้าาา"

ขนมก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดัฟฟ์ไม่มีวันปฏิเสธ

อาจารย์หัวเราะหึๆ "ลานประลองน่ะ ชมรมนี่ถ้าเจ้าสู้ชนะอาจารย์ไม่ได้เขาไม่รับเข้าชมรม"

"แต่ แต่ว่ามันเป็นชมรมทำขนมนะ แก๊ซ" ดัฟฟ์ถามเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า

ชมรมทำขนมก็ควรทำขนมสิ.. ทำไมถึงได้มีการประลองกันล่ะ? 

"ก็นะ ชมรมสบายๆ ใครๆ ก็อยากเข้ากันทั้งนั้น หลังจากที่เจ้าเข้าชมรมนี่ได้วันๆ นอกจากอบขนมเจ้าก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ข้าล่ะเกลียดชมรมนี้จริงๆ ที่ไม่ยอมให้พวกนักเรียนเห็นคุณค่าของวัตถุดิบแต่ละอย่าง" 

ดัฟฟ์กับนาซัสมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมายเพราะพอจะเดาสาเหตุที่ชมรมนี้ถูกยุบได้ลางๆ

"เอาเถอะ วันนี้เข้าชมรมวันแรกพวกเจ้าก็ลองเดินๆ ดูชมรมก่อนก็ได้ ชอบชมรมไหนก็เข้าชมรมนั้น" อาจารย์ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ "ข้าต้องไปแล้วล่ะ แผนการสอนสำหรับสอนนักเรียนอย่างพวกเจ้าข้าก็ยังไม่ได้เขียนเลย" 

"ตะ แต่ว่า"

ดัฟฟ์พยายามรั้งอาจารย์เอาไว้เพื่อที่จะถามว่ามีชมรมอะไรอีกบ้าง แต่ก็ไม่ทันเพราะอาจารย์เดินหนีไปแล้ว

"ข้าว่าชมรมทำขนม ไม่น่าจะเข้าได้นะ" นาซัสออกความอย่างตรงไปตรงมา

ดัฟฟ์ตอนแรกจะปฏิเสธแต่พอนึกถึงฝีมือการต่อสู้ของตัวเองก็พูดไม่ออก

"งื้ม...."
 


"นี่ๆ เจ้าน่ะ เข้าชมรมข้าไหม ชมรมนักฆ่าน่ะ... เฮ้ย  หยุดก่อนสิ อย่าเพิ่งหนี!"

ดัฟฟ์กับนาซัสพยายามก้าวไวๆ หนีออกจากปีศาจที่สวมหน้ากากหัวกะโหลกแสยะยิ้มกับชุดคลุมสีดำทั้งตัวซึ่งมายืนดักรอหาสมาชิกอยู่ตามซอกตึกมืดๆ ต่างจากชมรมอื่นที่มาตั้งซุ้มหาคนเข้าชมรมกันอย่างจริงจังตามทางเดิน

"ชมรมวาดรูปรับสมัครคนเข้าชมรมจ้าาา เจ้าเด็กสองคนนั้นน่ะ! สนใจเข้าไหม วาดสวยไม่สวยไม่เป็นไร ขอแค่มีใจรัก ถ้าสนใจก็วิ่งเข้ามาเลย สมัครตอนนี้แถมชุดชมรมด้วยนะ"

"ชมรมวาดรูปเจ้าคนมันก็เยอะอยู่แล้วป่ะ แบ่งเด็กมาชมรมหนอนหนังสือบ้างเซ่ ชมรมข้าต้องการเด็กน่ารักๆ มาเป็นอาหารตาอยู่นะ"

"แหมมม เยอะกว่าอยู่สองคนนี่นับด้วยเหรอ"

ดัฟฟ์ก้มหน้างุดพยายามไม่สบตาเพราะไม่รู้สึกสนใจชมรมทำนองนี้สักนิด ถ้าเผลอไปสบตาเข้าอาจจะเผลอใจอ่อนเข้าชมรมไปก็ได้

"ดัฟฟ์! เฮ้ ดัฟฟ์ เจ้าเข้าชมรมเดียวกับข้าสิ ชมรมท่านคาร์บิลัสจงเจริญ!" 

เสียงเรียกคุ้นเคยทำให้ดัฟฟ์ยอมเงยหน้าขึ้นมามองกริสเซลที่กระโดดโลดเต้นด้วยเสื้อรูปคาร์บิลัสกำลังนั่งบนบัลลังก์ ข้างๆ กันมี

ปีศาจร่างเล็กสวมเสื้อคลุมที่ทำเลียนแบบจากของท่านคาร์บิลัสกำลังยืนเรียกหาคนเข้าชมรม

"แก๊ซ ไม่เอา" ดัฟฟ์ส่ายหน้าดิกพยายามเดินหนีพร้อมลากนาซัสที่ทำท่าจะเดินเข้าไปหาเข็มกลัดแจกฟรีที่ชมรมท่านคาร์บิลัสจงเจริญกำลังแจก

"ทำไมล่ะ ชมรมนี้เจ้าจะได้รู้จักท่านคาร์บิลัสมากขึ้นไปอีกนะ เจ้าไม่อยากรู้จักเหรอ" กริสเซลวิ่งมาหาดัฟฟ์พยายามดึงแขนทั้งดัฟฟ์และนาซัสไว้ "ชมรมนี้ดีจริงๆ นะ ข้าเข้ามาตั้งแต่เข้าโรงเรียนนี้เลย"

"ม่ายย แก๊ซซซ ข้าไม่เข้าาา" ดัฟฟ์พยายามแกะแขนกริสเซลออก "นาซัสก็ไม่อยากเข้าใช่ไหม แก๊ซ"

นาซัสส่ายหัว "ข้ายังไงก็ได้"

"แง้ นาซัสไม่อยากเข้าสิ ถ้าเจ้าเข้าข้าก็ต้องเข้าด้วย ข้าไม่อยากเข้าาา" ดัฟฟ์พยายามทิ้งน้ำหนักตัวแต่กริสเซลก็ยังคงลากต่อไปได้อย่างง่ายดาย

"เจ้าต้องลองอยู่ดู ดัฟฟ์ แล้วเจ้าจะชอบชมรมนี้เหมือนที่ข้าชอบ" กริสเซลยิ้มยิงฟัน "อีกอย่างถ้าเจ้าเข้าชมรม ข้าก็จะได้เสื้อคลุมที่ประธานแจกด้วย"

ซึ่งนั่นก็เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของกริสเซลที่พยายามหาคนเข้าชมรม

"นาซัส เจ้าต้องไม่อยากเข้าสิ" ดัฟฟ์พูดเสียงสั่น "เจ้าต้องอยากเข้าชมรมที่มีของกินเหมือนข้าสิ แง้"

"แต่ข้าไม่อยากประลองนี่นา" นาซัสพูดเสียงเบา 

"เอาชมรมอื่นก็ได้ที่ไม่ใช่ชมรมนี้ กริสเซล อย่าบังคับข้าาาา" ดัฟฟ์โหยหวน "ไม่งั้น ฮือ ข้าจะร้องไห้จริงๆ ด้วย"

กริสเซลสะดุ้งปล่อยทั้งดัฟฟ์กับนาซัสทันที

"อย่าร้องนะ ข้าไม่เอาเจ้าเข้าชมรมก็ได้"

ดัฟฟ์เบะปากหันไปหานาซัส "แก๊ซ ข้าตัดสินใจแล้ว ถ้าเจ้าจะเข้าก็เข้านะ นาซัส ข้าไปคนเดียวก็ได้!" พูดจบก็วิ่งหนีอออกไปทันทีพร้อมกับความเสียใจมากที่นาซัสไม่ยอมมาด้วย

"เดี๋ยวดัฟฟ์!" กริสเซลตะโกนไล่หลังแล้วเกาหัวเงาๆ แต่พอเห็นนาซัสที่ยังอยู่ก็ยิ้มออก "เจ้าจะเข้าชมรมนี่ใช่ไหม นาซัส"
เสื้อคลุมต้องเป็นของข้า!!!

กริสเซลคิดอย่างมุ่งมั่น

"อืม ข้าเข้าชมรมเจ้าก็ได้"  ถึงจะตอบไปอย่างนั้นก็พยายามมองหาดัฟฟ์ในฝูงชนด้วยสายตาเป็นห่วง

ดัฟฟ์จะเข้าชมรมอะไร..?

แล้วจะกลับห้องได้ไหมนะ..?

นาซัสคิดและพ่นลมหายใจออกมาเมื่อนึกได้ว่าดัฟฟ์เป็นพี่ของตัวเอง

คงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง...

"นี่เซ็นตรงนี้เลย นาซัส เจ้าจะได้กลายเป็นสมาชิกชมรมท่านคาร์บิลัสจงเจริญเต็มตัวแล้วเจ้าจะได้สิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะสิทธิ์แลกซื้อโปสเตอร์รูปท่านคาร์บิลัสในราคาเฉพาะสมาชิก อ้อ เจ้าจะส่งจดหมายหาท่านคาร์บิลัสก็ได้นะ! บางทีถ้าท่านอารมณ์ดีๆ ก็จะส่งจดหมายตอบมาด้วย ข้าเคยได้รับรอบนึงตอนนี้ข้าใส่กรอบแปะไว้กลางบ้านเลย ทุกคนในบ้านข้าตื่นเต้นกันมาก ถ้าเจ้าอยากเห็นไว้ไปบ้านข้าจะเอาให้ดู"

นาซัสพยักหน้าหงึกหงักทั้งๆ ที่จับใจความไม่ได้สักนิดว่ากริสเซลพูดอะไร คล้ายโดนมอมเมาจนเผลอเซ็นใบเข้าชมรมไม่รู้ตัว 

"เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าก็เป็นสมาชิกเต็มตัวแล้ว! เจ้าไปหาคนเข้าเพิ่มเป็นเพื่อนข้าเลย หน้าที่ของพวกเราสำหรับวันนี้ก็คือหาคนเข้าให้มากที่สุด!"

กริสเซลฉวยเอาเสื้อท่านคาร์บิลัสจงเจริญจากใต้โต๊ะมาสวมให้นาซัสซึ่งขนาดตัวที่เล็กของนาซัส ทำให้เสื้อหลวมโพรกจนเกือบติดพื้น กริสเซลจิ้ปาก "นี่เป็นตัวที่เล็กที่สุดแล้วนะ แต่ช่างมันเถอะ นั่นมีปีศาจเดินมาแล้ว ไปกันเร็ว! ข้าว่าข้ารู้จักพวกนั้นอยู่"
แล้วนาซัสก็ถูกกริสเซลลากไปช่วยล่อลวงคนเข้าหาชมรม

โดยที่ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย...

------------------

ในที่สุดก็หายจากไข้หวัดสนิทแล้วค่ะ  :a2: หลังจากไฟว์กับมันมาร่วมสองอาทิตย์ 5555

มีกิจกรรมให้เล่นค่ะ คือเสนอชมรมที่ดัฟฟ์จะเข้า อันไหนโดนใจจะจับดัฟฟ์เข้าเลยค่ะ  ดัฟฟ์ # :z10:

ตอบเมนต์  :man1:

คุณ BlueCherries : กว่าดัฟฟ์จะโต  o22  นาซัสจะเริ่มหาอดีตตัวเองค่ะ  :กอด1:

คุณ lizzii : วิญญาณที่โดนขังในรูปปั้นดินแดนมารค่ะ (ย้อนไปไกลมาก 555)

คุณ  natsikijang : พยายามเกลี่ยบทให้ฟาร์คัสกับคาร์บิลัสอยู่ค่ะ รู้สึกกลายเป็นตัวประกอบไปแล้วจริงๆ 5555 ฉากแต่งงานจัดเต็มค่ะ จะจัดบทให้เยอะๆ สมกับเป็นคู่หลักเลย  :z2:

คุณ •♀NoM!_KunG♀• : หายแล้วววค่าา  :กอด1: 

คุณ zuu_zaa :  :กอด1:
 


   
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 49 10 พ.ค 59 p.15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-05-2016 00:06:03
ไหวมั้ยลูก ดัฟ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 49 10 พ.ค 59 p.15
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-05-2016 01:27:35
อ้ออออออ นึกออกแล้ว
แล้วดัฟฟหนูจะเดินไปไหนละลูกเอ้ยยย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 49 10 พ.ค 59 p.15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 11-05-2016 07:26:19
 :monkeysad: มาไม่ทันเมื่อคืนอีกละ


อืมมมมม เอาชมรมกลับบ้านไป (แอบสงสารดัฟฟ์ เลยไม่แกล้งมาก อิอิ)

****

แอบขำ ทำไมมีชมรมท่านคาร์บิลัสจงเจริญ ด้วยนี้

ถ้าฟาร์คัสมาเจอคงไม่เข้าใจ ทำไมมีแต่คนสรรเสริญแพะบ๊องๆน้อออออ  :hao7:

ปอลอ ท่านโฟเทียสปล่อยลูกน้องมางานแต่งงานเถอะ เค้าได้แต่งกันเพราะลูกน้องของท่านนะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 50 21 พ.ค 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 21-05-2016 23:52:34
ตอนที่ 50

ใกล้วันเข้าพิธีแต่งงานเข้าไปทุกที ทำให้คาร์บิลัสค่อนข้างลนลานเพราะยังไม่ได้เข้าคอร์สเจ้าบ่าวเสริมหล่อเสริมอำนาจเสริมบารมีหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้ฟาร์คัสต้องประทับใจกว่าปกติ
ทำให้เช้านี้จึงต้องยอมกรีดใจตัวเองเอ่ยปากขอเวลาส่วนตัวกับฟาร์คัสบนเตียงหลังนุ่ม

"ฟาร์คัส ช่วงนี้เจ้าต้องอยู่คนเดียวไปก่อนนะ บังเอิญว่าช่วงนี้ข้ายุ่งมากๆ เลย" ราชาปีศาจพูดด้วยสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมขณะที่พูดก็กอดแขนฟาร์คัสที่นอนอยู่ข้างๆ ไปด้วย

ฟาร์คัสหรี่ตามองคาร์บิลัสอย่างไม่ไว้ใจ

ท่าทีของแพะโง่นี่น่าสงสัยชะมัด

"เจ้ายุ่งเรื่องอะไร ให้ข้าช่วยไหม?" ถามเรียบๆ และยิ่งจ้องคนเป็นราชาปีศาจด้วยสายตากดดันกว่าเดิม

ใครใช้ให้แพะโง่ทำท่าคล้ายถูกเหยียบหางล่ะ?

สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำให้ฟาร์คัสเริ่มจะจับเค้าลางอะไรบางอย่างในตัวคาร์บิลัสได้

"เจ้ากำลังปิดบังอะไรข้าอยู่รึเปล่า คาร์บิลัส"

คาร์บิลัสสะดุ้งในใจแต่สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม "คอร์สบอกว่าใกล้งานแต่งงานเข้าทุกที ข้าต้องรีบสะสางที่ค้างไว้ให้เสร็จน่ะ" พูดไปก็พลางมือลูบมือปีศาจอีกาไป 

ได้ยินคำว่างานแต่งงานฟาร์คัสก็ชะงักหน้าแดงวาบ

"งั้นเจ้าก็ตั้งใจทำงานไปแล้วกัน ข้าไม่ยุ่งแล้ว" 

ไม่ได้สงสัยอะไรในตัวคาร์บิลัสอีก

ทำเอาคนเป็นราชาปีศาจลอบหัวเราะเริงร่าในใจ 

ข้านี่มันแสดงเก่งจริงๆ เลยให้ตาย! 

คาร์บิลัสคิดอย่างชื่นบาน

เทียนหอม? กุหลาบแดง? ตัดผมทรงใหม่? ข้าควรจะทำอะไรก่อนดีนะ

"ข้าไม่อยากทำงานเลย ฟาร์คัสสส" คาร์บิลัสพูดอ้อนๆ เปลี่ยนจากกอดแขนมากอดเอว แนบหน้าลงกับซอกคอแต่ก็ต้องรีบผละออกไปเพราะถูกศอกเข้ากับหน้าท้อง

"จะไปก็รีบไป นี่มันจะสายแล้ว"  ฟาร์คัสมองดุๆ

"งั้นข้าไปทำงานก่อนนะ!"  ราชาปีศาจยิ้มกว้างโบกมือลาชายาตัวเองและผละออกไปจากห้อง
ซึ่งท่าทีกระดี้กระด้าจนเกินไปของคาร์บิลัสก็ทำฟาร์คัสเคลือบแคลงอยู่บ้าง แต่พอนึกถึงงานแต่งงานที่จะมาถึงก็พอเดาได้ว่าดีใจเรื่องนั้นเลยไม่ได้สนใจอะไรอีก

แพะโง่ก็ดีใจกับเรื่องโง่ๆ แบบนี้นั่นแหละ!

ทั้งๆ ที่คิดอยู่คนเดียวแต่กลับรู้สึกประหม่าจนหายใจติดขัด

ฟาร์คัส่ายหน้าพ่นลมหายใจกับอาการเขินของตัวเอง

ไร้สาระชะมัด ก็แค่งานแต่งงานเท่านั้น ข้าจะเขินไปทำไมกัน? 
 

เคยได้ยินเรื่องทำนองว่าหลังจากที่สามีไปทำงานภรรยาจะทำงานบ้านไม่ก็เลี้ยงลูกๆ แต่ฟาร์คัสกลับไม่จำเป็นต้องทำสองอย่างที่ว่านั่น ทำให้ตอนนี้ว่างมากถึงมากที่สุดเรียกได้ว่าไม่มีอะไรทำเลย
ปีศาจอีกาพ่นลมหายใจเบื่อๆ ขณะที่นั่งจิบชาในห้องนอน

ฟาร์คัสเคยขอตำแหน่งงานให้ตัวเองทำจากคาร์บิลัส แต่ก็ถูกปฏิเสธและให้ช่วยทำงานเอกสารนิดหน่อย แต่ก็แค่นั้นใช้เวลาทำไม่นานก็เสร็จ ทำเอาฟาร์คัสอดคิดถึงอาชีพเก่าของตัวเองไม่ได้

ถึงตอนนี้จะมีโอกาสกลับไปทำได้แต่ท่านโฟเทียสคงจะไม่ให้อภัยคนที่กล้าเปลี่ยนสายเลือดอันทรงเกียรติ์อย่างนกบอกลางแล้วกลายเป็นแค่ปีศาจอีกาธรรมดาๆ ตัวนึง

"หรือว่าข้าควรจะไปหาสมัครงาน?" ฟาร์คัสบ่นพึมพำกับแก้วน้ำชาในมือ

น้ำชาชั้นเลิศสีเหลืองอ่อนส่งกลิ่นหอมดอกไม้ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายถูกฟาร์คัสดื่มอักๆ จนหมดในคราวเดียว ไม่ได้สนใจจะนั่งละเลียดละไมอย่างที่ปีศาจตนอื่นที่ลิ้มรสชานี้กระทำ

แล้วปีศาจอีกาอย่างเขาควรจะทำอะไรล่ะ?

ฟาร์คัสหยิบปากกาขนนกที่วางบนโต๊ะใกล้มือมาจุ่มหมึกและเขียนลงบนแผ่นกระดาษ

ข้าทำอะไรได้บ้างนะ...

คิดในใจด้วยความเคร่งเครียด สีหน้าไร้อารมณ์ ปลายปากกาค่อยๆ ถูกขีดเขียนเป็นคำ

บิน....

และขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิมเมื่อคิดเห็นคำที่ตัวเองเขียนชัดๆ

ปัญญาอ่อน นี่ข้าติดเชื้องี่เง่าจากแพะบ้ารึไงกัน! 

ฟาร์คัสสบถกับความไร้สาระของตัวเอง นกที่ไหนมันก็บินได้ทั้งนั้นนั่นแหละ!

หลังจากสบถจนพอใจ คำว่าบินก็ตกผลึกในหัวของฟาร์คัสเสร็จ   

"หรือว่าข้าจะไปทำงานส่งสารเหมือนเดิมดี?"

ยังไงก็ตาม ในดินแดนปีศาจนี้มันก็ต้องมีงานส่งสารบ้างแหละ แต่เป็นส่งสารธรรมดาไม่ใช่ส่งสารความตายแบบข้า... แต่ถ้าหาก
ข้าไปส่งสารจดหมายสาสน์หรืออะไรทำนองนั้นด้วยร่างอีกามันก็อันตรายอยู่ดี!

ข้าไม่ได้อยากเป็นชายา ที่วันๆ ทำแค่กินกับนอนหรอกนะ

ทำเอาใบหน้าฟาร์คัสไร้อารมณ์ในขนาดที่ว่าคาร์บิลัสเห็นยังต้องยอมถอยหนีขอเจรจาอย่างสันติ

ก็อก ก็อก

"ท่านฟาร์คัสขอรับ หวา!" คอร์สที่ตั้งใจจะชวนฟาร์คัสไปเข้าคอร์สเตรียมแต่งงานก็ต้องตกใจกับสีหน้าเคร่งเครียดของฟาร์คัส ทำให้หูตั้งๆ ของคอร์สลู่ลง กระต่ายร่างอ้วนยิ้มแห้งๆ รับกับสายตาดุปนสงสัยของฟาร์คัส

"มีอะไรงั้นเหรอ คอร์ส" น้ำเสียงราบเรียบกรุ่นอารมณ์หงุดหงิด

"ท่าน ท่านหิวหรือขอรับ ดูท่านอารมณ์ไม่ดีเลย" คอร์สยิ้มแหยๆ

ปีศาจอีกาส่ายหน้าเบาๆ "เปล่า ข้าแค่มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย เจ้ามีอะไรรึเปล่า?"

"เรื่องงานแต่งงานขอรับ ตามธรรมเนียมแล้วต้องมีการเตรียมตัวขอรับเพราะเป็นงานสำคัญ" ปีศาจกระต่ายพยายามควบคุมน้ำ
เสียงให้ดูน่าเชื่อถือ เพราะเหตุผลที่แท้จริงก็คือท่านคาร์บิลัสต้องการให้ชายาของตัวเองเตรียมตัวเหมือนกันโดยเอาข้ออ้างคำว่า
ธรรมเนียมมาใช้

จะว่าโชคดีก็ดีที่ทำให้ฟาร์คัสไม่นึกสงสัยในคำพูดของคอร์สเท่าที่ควร เพราะจุดสนใจส่วนใหญ่ไปตกอยู่ที่งานแต่งงานหมดแล้ว

"อืม.."  ส่งเสียงเชิงรับรู้ในลำคอก่อนจะมองคอร์สด้วยความสงสัย "นี่ข้าต้องเตรียมตัวอะไรอีก เสื้อผ้าข้าก็ตัดไปแล้วนะ"

เพราะส่วนใหญ่ยกให้คาร์บิลัสเป็นคนตัดสินใจทั้งหมดไม่ว่าจะสีหลักในงานแต่ง ดอกไม้ อะไรต่างๆ นานาจิปาถะ ที่ฟาร์คัสฟังไม่
ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เพราะไม่ใช่ชาวปีศาจแต่กำเนิดเลยต้องยอมยกให้เจ้าถิ่นอย่างคาร์บิลัสจัดการทั้งหมด

"ไม่ต้องห่วงนะขอรับ ข้าเตรียมคนที่จะมาช่วยท่านโดยเฉพาะอยู่แล้ว!" คอร์สยิ้มและกระดิกหูเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเป็นจังหวะ
สม่ำเสมอซึ่งการลงฝีเท้าเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองจนรู้สึกได้

ก็อก ก็อก

"เข้ามาเลย พัพพ์ ท่านฟาร์คัสอยู่นี้แล้ว" พูดยิ้มๆ เมื่อสามารถโยนภาระของตัวเองออกได้

"ยินดีที่ได้รับใช้ท่านนะขอรับ!" เสียงเล็กๆ ฟังดูน่ารักพูดขึ้นซึ่งก็มาพร้อมกับชุดฟูฟ่องสีชมพูหางพวงที่เคยเป็นสีส้มถูกย้อมเป็นสีม่วงอ่อน หูทั้งสองข้างที่เป็นสัตว์ก็ถูกย้อมเป็นสีม่วงเช่นเดียวกันนับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดในดินแดนปีศาจ เพราะส่วนใหญ่มักจะมั่นใจในรูปลักษณ์ชาติกำเนิดไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งแปลกๆ เหล่านี้กลับขับให้ใบหน้าของปีศาจจิ้งจอกดูน่ามองยิ่งกว่าเดิมซึ่งถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามีการแต่งแต้มเครื่องสำอางของสตรีด้วย

ฟาร์คัสเลิกคิ้วมองอึ้งๆ เล็กน้อย

ปีศาจจิ้งจอกตรงหน้ากำลังส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับเขา

จึงต้องยิ้มบางตอบเพราะเป็นสิ่งที่ควรทำ

"ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าเช่นกันแล้วข้าต้องทำอะไรอีก? สำหรับงานแต่ง.. งาน" ฟาร์คัสพูดเสียงเบาในประโยคหลัง รู้สึกกระดากอายที่จะพูดอย่างบอกไม่ถูก

"โอ๊ย ท่านฟาร์คัสไม่ต้องอายหรอกขอรับ ข้าน่ะนะนอกจากจะขายข่าวสารแล้วยังรับจัดคอร์สเจ้าสาวด้วย! ด้วยฝีมือของข้านะ  ท่านคาร์บิลัสของท่านนี้ต้องติดท่านหนุบหนับเหมือนกับชีสเหนียวๆ เลย!!" พัพพ์ยืดอกพูดอย่างภูมิใจ ท่าทีเขินอายของฟาร์คัสทำให้พัพพ์รู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

"ชีส? มันคืออะไร" ฟาร์คัสถามด้วยสีหน้างุนงง แต่หน้ากลับแดงก่ำ

ไอ้แพะเวรมันจัดคอร์สเจ้าสาวให้ข้า!!  ธรรมเนียมบ้าอะไร! 

พัพพ์สะดุ้งเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป "ไม่มีอะไรท่าน มันเป็นแค่คำไร้สาระน่ะ เอาเป็นว่าข้าจะทำให้ท่านพร้อมสุดๆ เลยแล้วกันสำหรับงานแต่งงาน!"

ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูกเลย กรี๊ดๆ

พัพพ์หรือนายพายมองฟาร์คัสเขม็ง ประเมินคุณภาพหน้าค่าตาว่าสมควรแต่งเติมอะไรลงไปบ้าง เจ้าบ่าวรีเควสมาแบบน่ามอง แล้วน่ามองของนางหมายถึงอะไรคะ บอกนางพายที นางพายไม่เข้าใจ ดูทรงแล้วนางไม่น่าออกสาวทั้งๆ ที่มีสามีหล่อน่าแย่งขนาดนี้ ผิวพรรณนางก็ดูโอเค ผู้ชายแมนๆ จะเอาอะไรมาก โดยรวมสรุปว่าหน้านางผ่านเกณฑ์ งานแต่งแต่งหน้าเพิ่มแค่นิดหน่อยก็น่าจะโอเคแล้ว 

งั้นสอนร้อยวิธีมัดใจสามีนางดีไหม?

คิดถึงเรื่องนี้พัพพ์ก็หลุดหัวเราะออกมา 

บ้าแล้วกู จะไปสอนเรื่องแบบนี้ให้กับปีศาจพวกนี้เนี่ยนะ ไร้สาระจริงๆ แล้วดูหน้านาง ดูความจริงจังที่นางมี เกิดสอนไปโดนนาง
ตบนี่รู้เรื่อง

"เจ้าหัวเราะอะไร" นั่นนางทำหน้างุนงงได้น่าเอ็นดูจริงเชียว 

"ข้าแค่หัวเราะที่ข้าไม่รู้จะพาท่านเข้าคอร์สอะไรดีน่ะเพราะทุกอย่างท่านก็อยู่ในเกณฑ์ดีแล้ว เผลอๆ ท่านแต่งงานวันนี้เลยก็ยังได้" แถได้แถไปค่ะ รู้จักไหม

เอาจริงๆ นางก็เข้างานได้เลยนะ ที่เหลือก็ไปคุยกันในห้องหอเอานะจ๊ะ น้อง แต่ช่วยไม่ได้บิ๊กบอสสุดหล่ออย่างท่านคาร์บิลัสสั่งมา อิฉันก็ต้องทำ เซ็งจริงๆ วันนี้ก็เป็นวันหยุดด้วย

แน่ะ ยังคงทำหน้างงและเปลี่ยนเป็นแดง

ดีมากจ้ะ ดีมาก น่ารักแบบนี้ไม่โดนผู้เทแน่นอน 

ไม่เหมือนนายพายที่โดนผู้เทวันนั้นหรอก ฮือๆ คิดแล้วก็เสียใจ โดนรถชนสลบแล้วมาโผล่ในโลกนี้ซะงั้น เสียดายที่ยังไปขอเบอร์
ผู้หล่อๆ ที่เดินผ่านในเซเว่นไม่ได้ น้องพายเสียใจมากมาย

"แล้วข้าต้องทำอะไรอีกหรือเปล่า"  นางถามซื่อๆ

เป็นคำถามที่ยากอยู่นะ เธอเพอร์เฟคแล้วจะเอาไรอีกจ๊ะ หรือจะต้องเตรียมคิว รอพ่อเจ้าบ่าวมาพูดคุยเรื่องตลกโปกฮาของเจ้าบ่าวก่อน เออ ลืม พ่อบิ๊กบอสตายนานแล้วนี่หว่า งานแต่งปีศาจก็ไม่เห็นมีไรมากมาย กล่าวคำสาบานมีคนร่วมฉลองเข้าห้องหอก็จบ เรียบร้อย แล้วมันต้องทำอะไรอีกวะ

----------------------

พายนี่่ตัวละครลับในเรื่องนี้เลยค่ะ 555555  :mew4:
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 50 21 พ.ค 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 22-05-2016 00:58:06
ผู้เทแปลว่าอะไรรรรรรร

**

อื้มมมมมม ฟาร์คัสว่างเกินไปจริงนั่นล่ะ ถึงหลังแต่งงานก็น่าจะหาอะไรทำน้าาาาาาาาา

เสกตำแหน่งเองขึ้นมาได้ไหม? อันที่ในเมืองยังไม่มีใครทำกัน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 50 21 พ.ค 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-05-2016 01:53:11
อารายยังงายยยยย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 50 22 พ.ค 59 #ครึ่งหลัง p.15
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 22-05-2016 22:59:40
"อืมม ข้าว่าท่านก็ทำงานบ้านไปพลางๆ แล้วกัน!"

ฟาร์คัสกลอกตาเพราะรู้ว่าคำตอบนั่นเป็นคำตอบส่งๆ "แล้วคอร์สบ้าๆ นั่นล่ะ เจ้าไม่ให้ข้าทำแล้วรึไง" ถึงยังไงก็เจ้าแพะโง่นั่นก็ส่งเจ้าปีศาจจิ้งจอกนี่มาแล้ว ถ้าเป็นสิ่งที่พอจะทำได้โดยไม่กระอักกระอ่วนใจเท่าไหร่นักก็อาจจะลองทำดู

"หรือท่านอยากไปขัดผิวล่ะ? ข้าขัดให้ท่านได้นะ ถ้าท่านต้องการ แต่ดูจากสภาพผิวท่านมันก็ไม่ได้แย่อะไร"

ฟาร์คัสก้มมองแขนตัวเองใช้มือลูบเบาๆ

หรือว่าข้าควรจะทำอะไรกับมัน? แต่มันก็ไม่ได้แย่และข้าก็ไม่ใช่พวกผู้หญิงที่ต้องไปขัดผิวด้วยสิ ไอ้แพะโง่นั่นเห็นลูบๆ คลำๆ ก็ไม่ได้บ่น

"ข้าไม่อยากขัด"

"ก็ตามใจ"

สำนวนการพูดแปลกๆ ของพัพพ์ทำเอาฟาร์คัสคิ้วขมวด

"เจ้าพูดว่าอะไรนะ"

พัพพ์สะดุ้งยิ้มแหยๆ "เปล่า ท่านฟาร์คัส ตอนแรกข้าคิดว่าท่านน่าจะพอมีอะไรต้องขัดๆ ถูๆ ดูบ้างแต่พอข้ามาเห็นท่านด้วยตาตัวเองก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องเพิ่มแล้วล่ะ"

"นั่นก็หมายความว่าข้าก็มีหน้าที่แค่รอวันแต่งงานงั้นสิ" 

"ก็ทำนองนั้นนั่นแหละขอรับ ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน ขอให้ท่านคาร์บิลัสรักท่านนานๆ นะขอรับ อ้ออีกอย่าง คอร์ส วันหลังถ้าจะเรียกข้ามาใช้กรุณาส่งนกพิราบหรืออะไรมาบอก ไม่ใช่ส่งรถมารับเลย ข้าเตรียมตัวไม่ทัน!" พัพพ์ถลึงตามองกระต่ายอ้วนที่ยังคงเพลิดเพลินไปกับการกินแครอท

นี่คือเตรียมตัวไม่ทัน?

ฟาร์คัสมองปีศาจจิ้งจอกอึ้งๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีอะไรที่สามารถติติงได้สักอย่าง

คอร์สหัวเราะ "ช่วยไม่ได้ช่วงนี้พวกนกส่งสารในวังขาดแคลนนี่นา"

"ปีศาจนกมันก็มีเยอะแยะ เจ้าก็วานๆ มาสักคนสิ"

ขณะที่พัพพ์กับคอร์สเริ่มโต้วาทีกันฟาร์คัสก็พูดขัดขึ้นมา "นกส่งสารในวังขาดแคลนงั้นเหรอ คอร์ส"

"ขอรับ พวกนกส่งสารเห็นว่าเปลี่ยนไปทำงานให้นอกวังเพราะปลอดภัยกับชีวิตมากกว่า"
เมื่อฟังจนจบฟาร์คัสก็ยิ้มพอใจทำให้ปีศาจกระต่ายอ้วนงุนงง คิดทบทวนว่าคำตอบตัวเองมีอะไรน่าตลก 

"คอร์ส ข้าจะสมัครงานนี้"

คอร์สสะดุ้งเฮือกเบิกตากว้าง "เดี๋ยวก่อนขอรับ ท่านฟาร์คัสเป็นถึงชายาของราชาปีศาจเลยนะขอรับ! ถ้า ถ้า--" 

"ตำแหน่งงี่เง่าพรรค์นั้นเจ้าจะสนใจทำไม" ฟาร์คัสพูดเสียงเย็น "ต่อให้ข้าเป็นราชาปีศาจ แล้ววันๆ นอกจากกินกับนอนไม่ทำอะไร ข้าทำไม่ได้ ข้าต้องการงานทำ เข้าใจไหมคอร์ส"

น้ำเสียงของฟาร์คัสราบเรียบเสมอต้นเสมอปลายทำให้คอร์สทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ รับ "งั้น งั้นข้าจะทำเรื่องสมัครงานให้แล้วกันขอรับ" 

ทำเรื่องอะไรล่ะ ต้องไปบอกเรื่องนี้กับท่านคาร์บิลัสต่างหากเล่า! 

ปีศาจกระต่ายพยายามซ่อนสีหน้าสะพรึงของตัวเอง 

ไม่อยากคิดเลยว่าท่านคาร์บิลัสจะทำหน้ายังไง ถ้าข้าไปบอกเรื่องนี้กับท่าน!

ได้ยินคำตอบที่ต้องการฟาร์คัสก็ยิ้ม

"ขอบคุณเจ้ามาก" 

"ขอ ขอรับ งั้นข้าขอตัวเหมือนกันนะขอรับ" คอร์สโค้มหัวลวกๆ รีบวิ่งออกจากห้อง หูสองข้างตั้งชันอย่างตื่นตระหนกขาที่อวบและสั้นมาก พยายามพาเจ้าของไปยังห้องลับเฉพาะของท่านคาร์บิลัสให้ว่องไวที่สุด

ปีศาจอีกามองตามงงๆ เพราะไม่คิดว่าเรื่องที่ตัวเองจะสมัครงานดูจะเป็นเรื่องด่วนขนาดนั้น 

"ก่อนที่ข้าจะไปข้าขอพูดอะไรหน่อยแล้วกัน ท่านฟาร์คัส" 

เจ้าของชื่อจึงหันกลับมามองนิ่งๆ "เจ้าคิดออกแล้วเหรอว่าจะให้ข้าทำอะไร"

พัพพ์หัวเราะคิกคัก "ดูท่านอยากจะทำจริงๆ นะเนี่ย แต่เอาเถอะไว้ข้าจะส่งของบำรุงมาให้ท่านกินแล้วกัน ไม่สิเรื่องที่ข้าอยากพูดไม่ใช่เรื่องนี้แต่เป็นเรื่องของท่านกับท่านคาร์บิลัสต่างหากล่ะ"

ฟาร์คัสหน้าแดงวาบอดถลึงตามองปีศาจจิ้งจอกไม่ได้ซึ่งนัยน์ตาเจ้าเล่ห์นั่นมองมาอย่างรู้ทัน

"ข้าเนี่ย ทำงานเกี่ยวกับข่าวสาร แล้วข่าวลือเกี่ยวกับท่านกับท่านคาร์บิลัสนี่เยอะมากๆ มีทั้งเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้าง ไหนๆ ข้าก็เจอท่านแล้ว ข้าขอถามท่านสักคำถามนึงสิ"

"ถ้าไม่ใช่คำถามที่ไร้สาระเกินไป ข้าก็จะตอบตามตรง"  ฟาร์คัสมองพัพพ์อย่างไม่ไว้ใจ 

"ท่านคาร์บิลัสไม่เคยได้กินท่าน มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?"
 


"เจ้าว่ายังไงนะ คอร์ส ฟาร์คัสจะไปทำงานกับพวกนกส่งสารพวกนั้นเนี่ยนะ! แล้วเจ้าตอบกลับไปว่าอะไร อนุญาตงั้นเหรอเจ้าถามข้าที่เป็นเจ้านายเจ้ารึยังว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาต" 

คาร์บิลัสบ่นยาวเหยียดมองกระต่ายในการบังคับบัญชาของตัวเองอย่างคาดคั้น

"อย่าขยับมากสิขอรับ ท่านคาร์บิลัส ถ้าข้าตัดผมท่านแหว่ง ท่านจะโทษข้าไม่ได้นะ" ช่างตัดผมพูดด้วยความเกรงใจมากถึงมากที่สุด น้ำเสียงนุ่มนวล

ราชาปีศาจสบถอย่างไม่พอใจแต่ก็ยอมนั่งหลังเหยียดตรงนิ่งๆ พยายามไม่เหล่ไปมองปีศาจกระต่าย "ตอบมาสิ เจ้าบอกฟาร์คัสไปว่าไง"

คอร์สที่หน้าหดเหลือสองนิ้วพูดเสียงอ้อมแอ้ม "ข้าตอบไปว่าข้าจำเรื่องสมัครงานให้ขอรับ"

คาร์บิลัสยิ้มเหี้ยม "ดี ดีมาก เจ้าอยากให้ข้ากับชายาแยกกันอยู่นักใช่ไหม"

"ไม่นะขอรับ ไม่เลย ท่านฟาร์คัสบอกว่าท่านไม่อยากเป็นชายาที่่วันๆ ทำแค่กินกับนอน ท่านฟาร์คัสบอกแบบนั้นจริงๆ นะขอรับ"
หลังจากฟังคำตอบของคอร์ส คาร์บิลัสก็มีท่าทีอ่อนลง ลดบรรยากาศมาคุไปในห้องไปได้หนึ่งส่วน

"ข้าไม่อนุญาต ชายาของข้าก็ต้องมีหน้าที่ช่วยข้า"

"แต่ แต่ท่านเป็นคนบอกเองนะขอรับว่าไม่ต้องให้งานท่านฟาร์คัส"

คาร์บิลัสหลุดยิ้มมุมปาก เมื่อนึกถึงใบหน้าฟาร์คัสที่มีรอยดำบริเวณใต้ตา "ก็ข้าไม่อยากให้ฟาร์คัสนอนดึกนี่  อีกอย่างงานบางอย่างที่ข้าทำมันก็อันตรายเกินไปสำหรับฟาร์คัสด้วย"

ถึงแม้จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องทำงานเพื่อทำเอกสารต่างๆ แต่งานหลักของคาร์บิลัสก็คือดูแลความสงบสุขของดินแดนปีศาจ ปัญหาความขัดแย้งหรือการบุกรุกพื้นที่ก็เป็นคาร์บิลัสที่เข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยหรือช่วยกำจัดปัญหาที่ว่า คาร์บิลัสมักจะใช้เวลาในช่วงที่ฟาร์คัสหลับในการลอบออกไปเพราะไม่อยากให้ฟาร์คัสต้องติดตามไปด้วย

ต่อให้เป็นถึงราชาปีศาจแต่คาร์บิลัสก็ไม่อยากประมาท

"แล้วท่านจะทำยังไงล่ะขอรับ ท่านบอกว่าให้ช่วยงานท่านแต่ท่านก็ไม่อยากให้ท่านฟาร์คัสทำงานของท่าน ข้าว่าท่านก็ยอมให้ท่านฟาร์คัสทำไปเถอะขอรับ งานส่งสารข้าจะเป็นคนเลือกงานให้เอง ท่านจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย" คอร์สพยายามหาทางที่สันติวิธีที่สุด 

ราชาปีศาจหน้าบึ้ง

 "ก็ได้ เอาตามนั้นก็ได้"

คอร์สถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ชีวิตของมันรอดไปอีกหนึ่งวันแล้ว..

หลังจากพูดคุยจนได้ไม่นานช่างตัดผมก็ตัดผมคาร์บิลัสเสร็จ

"เสร็จแล้วขอรับ ท่านคาร์บิลัส" พูดอย่างนอบน้อม

คาร์บิลัสรับกระจกที่ถูกคอร์สยื่นมาให้มาส่องทรงผมใหม่ของตัวเองด้วยความพึงพอใจ "ขอบใจเจ้ามาก " ก่อนจะหันมาถามความเห็นจากคอร์ส "เจ้าคิดว่าข้าเป็นยังไงบ้าง?"

ปีศาจกระต่ายตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

"หล่อมากขอรับ ท่านฟาร์คัสเห็นต้องตกตะลึงมากแน่ๆ"

"ข้าก็คิดแบบนั้น ฟาร์คัสต้องชอบทรงผมนี่ของข้า"  คาร์บิลัสยิ้มพลางชื่นชมทรงผมใหม่ของตัวเองไปพลาง ผมที่เริ่มจะยาวถูกตัดสั้นจนเกือบติดหนังหัวและถูกตัดแต่งเพิ่มช่วยขับใบหน้าหล่อเหลาของคาร์บิลัสให้ดูเคร่งขรึมและดุดันมากขึ้นไปอีก

คอร์สหยิบแครอทออกมาค่อยๆ เคี้ยวมันเสียงเบาเพื่อระบายความเครียดของตัวเอง มันจ้องทรงผมท่านคาร์บิลัสไปสักพักก็ก่อนจะได้สะดุ้งเฮือก ท่านคาร์บิลัส ท่านบอกว่าท่านจะทำให้ท่านฟาร์คัสตกตะลึงในงานวันแต่งงานไม่ใช่เหรอขอรับ! ถ้าท่านตัดผมวันนี้ท่านฟาร์คัสก็เห็นผมสิ!"

คาร์บิลัสชะงักค้างจนเผลอทำกระจกในมือหล่นตุ้บลงพื้น

งานแต่งงานเริ่มขึ้นในอาทิตย์หน้า นั่นก็หมายความว่าคาร์บิลัสต้องหาทางซุกซ่อนทรงผมนี่เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์

"ทำไมข้าถึงได้โง่เง่าขนาดนี้นะ" คาร์บิลัสสบถกับตัวเองซึ่งถ้าฟาร์คัสยืนอยู่ใกล้ๆ คงไม่วายพยักหน้าเห็นด้วยและพูดแดกดันเพิ่มเติม

"ข้า ข้าพอจะมีผมปลอมอยู่บ้าง ถ้าหากท่านต้องการ" ช่างตัดผมคนเดิมเอ่ยออกมาอย่างหวังดี

คนเป็นราชาปีศาจส่ายหน้ายิ้มแห้งๆ 

"ไม่ได้หรอก ฟาร์คัสชอบทึ้งหัวข้าถ้าหากข้าไม่ยอมตื่น"

"ท่านก็ใช้เวทสิ" คอร์สพยายามแนะนำ

คาร์บิลัสส่ายหน้าอีกครั้ง

"ข้าว่าไม่ถึงสองวัน ฟาร์คัสก็ต้องรู้แน่ว่าข้าปิดบังอะไรไว้ แต่ไม่เป็นไร ข้ารู้แล้วว่าข้าควรจะทำยังไง" 

"ท่านจะทำยังไงล่ะขอรับ ดูๆ ไปแล้วไม่ว่ายังไงท่านฟาร์คัสก็ต้องรู้แน่ๆ"

"ข้าจะอ้างว่าทำงานไงล่ะ ทำงานหนักมากจนไม่สามารถเจอหน้ากันได้หนึ่งอาทิตย์" คาร์บิลัสยืดอกพูดอย่างภูมิใจเมื่อตัวเองหาทางออกกับเรื่องคิดไม่ตกเรื่องนี้ได้ แต่ไม่นานก็ไหล่ทรุด

นี่ข้าต้องไม่เจอหน้าฟาร์คัสถึงหนึ่งอาทิตย์เลยงั้นเหรอ!

คาร์บิลัสคิดด้วยความเศร้าหมองระดับสิบ

-------------------------------

 :กอด1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่า

คำว่า ผู้เท คือโดนผู้ชายทิ้งค่ะ 55555 (สงสัยดูไดอารีย์ตุ้ดซีย์เยอะเกิน)
 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 50 22 พ.ค 59 #ครึ่งหลัง p.15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 22-05-2016 23:07:54
บร๊ะ

คาร์บิลัสจะเอาแผนนี้จริงดิ? เสกให้ผมยาวชั่วคราวไม่ได้เหรออออ?  :ling3:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 50 22 พ.ค 59 #ครึ่งหลัง p.15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-05-2016 23:20:48
อยู่ได้หราคาบี้อาทิตย์นึงเลยนะ 5555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 50 22 พ.ค 59 #ครึ่งหลัง p.15
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-05-2016 02:46:11
แทบรอดูวันแต่งงานไม่ไหวละ 5555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 50 22 พ.ค 59 #ครึ่งหลัง p.15
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 23-05-2016 21:40:28
เฮ้อ แค่วันเดียวไม่เจอหน้าชายาก๋หนักแล้ว นี่อาทิตย์หนึ่ง  คาร์บิลัสจะทนได้เหรอ รอดู คิคิ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 51 7 มิ.ย 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-06-2016 23:19:36
ตอนที่ 51

ภายในสวนหลังปราสาทมีร่างรายาของราชาปีศาจกำลังนั่งจิบชาดอกไม้ด้วยสีหน้าหงุดหงิดและสบถกับตัวเองไม่หยุด "ไอ้แพะบ้านั่นมันหายไปไหนของมัน"

ถึงคอร์สจะบอกว่าคาร์บิลัสจะไม่อยู่สักพักแต่ก็ไม่บอกอยู่ดีว่าไปไหน ทำเอาปีศาจว่างงานอย่างฟาร์คัสไม่เป็นทำอะไร แม้ว่าจะได้รับคำอนุญาตให้ไปทำงานแล้วก็เถอะแต่อารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านตลอดเวลาแบบนี้คงจะไม่เหมาะนักที่จะไปส่งสารให้ใคร
สิ่งที่ฟาร์คัสคิดว่าพอจะดับอารมณ์หงุดหงิดนี้ได้ก็เป็นสวนไม้นี่ แต่พอมานั่งจริงๆ ก็หงุดหงิดอยู่ดี 

แพะปัญญาอ่อนมันจะหนีงานแต่งงาน?

ฟาร์คัสขมวดคิ้วแน่น

ถ้ามันจะหนีแล้วจะส่งคนมาเตรียมตัวข้าทำไม บัดซบเอ้ย!

ยิ่งคิดปีศาจอีกาก็คิดฟุ้งซ่านไปทางด้านลบเรื่อยๆ

หรือมันจะเบื่อข้า? แล้วไปหาชายาคนใหม่มาแทนที่ข้า  ถ้าไอ้แพะโง่กล้าทำอย่างนั้นกับข้าจริง ข้าจะเผาปราสาทมันให้ดู!

... หรือแพะบ้านั่นคิดจะทำให้ข้ารอเก้อ..

แก้วหรูในมือฟาร์คัสสั่นเทาจนน้ำเกิดเป็นวงเกิดจากอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วของฟาร์คัส จากความหงุดหงิดเริ่มจะเปลี่ยนเป็นเซื่องซึม

หรือว่าเพราะข้าที่เป็นชาย แข็งกระด้าง ไม่อ่อนหวาน.. จะทำให้คาร์บิลัสเบื่อจนต้องไปหาคนมาแทนที่ข้า

นิสัยข้ามันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว.. เจ้าแพะโง่นั่นอาจจะเบื่อก็ได้

นัยน์ตาของปีศาจอีกาฉายแววสับสน

คงไม่มีราชาปีศาจที่ไหนมากลัวชายาหัวหดเท่าแพะโง่นั่นแล้ว ถ้าหากปีศาจทั่วไปได้ยินก็คงหัวเราะจนปวดท้อง แพะโง่นั่นอาจจะอายก็ได้ที่จะต้องเป็นแบบนี้

ฟาร์คัสยิ้มบางมองมือหยาบของตัวเอง

มือของข้าไม่ได้นุ่มเหมือนหญิงสาว...

ก่อนที่จะเหลือบมองหน้าท้องราบเรียบของตัวเอง มือเผลอลูบเบาๆ

ยังมีความจริงอีกอย่างที่ว่าข้าไม่มีวันให้กำเนิดทายาทให้คาร์บิลัสได้..

ถึงเจ้าแพะโง่นั่นปากจะบอกไม่ชอบเด็กๆ แต่พอเอาเข้าจริงเวลาที่ข้าไม่สนใจกลับเห็นแพะโง่นั่นสรรหาของเล่นมาให้ดัฟฟ์กับนาซัส ทำเอาเจ้าเด็กพวกนั้นติดแจ

ฟาร์คัสหลุบตาต่ำลงมองพื้นหญ้าสีเขียวที่ถูกตัวเองเหยียบ

บางทีข้าอาจจะโผบินบนท้องฟ้านานมากไปหน่อยจนคิดว่าตัวเองเป็นนายแห่งท้องฟ้าโดยที่ไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำให้ข้าเป็นนายแห่ง
ท้องฟ้าได้นั้นก็คือราชาปีศาจที่วิ่งตามมาจากบนพื้นหญ้า

อาจจะถึงเวลาที่ข้าต้องกลับลงมาเหยียบย่ำดินอีกครั้งเมื่อบนท้องฟ้าไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

เพราะเจ้าแพะโง่เลือกที่จะเลิกวิ่งตามข้าและหันหลังกลับไปทางเดิม 

เพล้ง

ปีศาจอีกาสะดุ้งเฮือกเมื่อแก้วในมือตัวเองแตกกระจาย มือที่ควรจะจับแก้วเอาไว้ตอนนี้กลับอ่อนปวกเปียก ฟาร์คัสหยิกตัวเองขนแขนช้ำเรียกสติของตัวเอง

"อย่างี่เง่าน่า เจ้าแพะโง่มันก็แค่หนีเที่ยว ข้าจะคิดมากเกินไปแล้ว"

พยายามปลอบใจตัวเอง 

โลกของฟาร์คัสนั่นเล็กนักถ้าเทียบกับคาร์บิลัสที่รู้จักผู้คนมากมาย สิ่งที่ทำให้ฟาร์คัสให้ความสำคัญที่สุดก็มีแค่คาร์บิลัส การเกิดสิ่งที่ผิดแผกไปจากปกติล้วนทำให้ฟาร์คัสวิตกไปทั่วได้ทั้งสิ้น

บางครั้งเมื่ออยู่ตัวคนเดียว

ฟาร์คัสคิดเสมอว่าหากวันใดที่คาร์บิลัสเบื่อปีศาจอีกาอย่างเขาขึ้นมา

เขาจะทำยังไงดี...

แม้ลึกๆ จะรู้สึกเชื่อมั่นในตัวคาร์บิลัสแต่อีกใจหนึ่งก็กลัวการถูกทอดทิ้ง กลัวมากจริงๆ เพราะหากถูกทอดทิ้ง ปีศาจอีกาอย่างมันก็คงจะไม่เป็นที่ตอนรับจากที่ไหนนัก

"ข้าควรจะนอนแล้วสินะ" พูดออกมาอย่างไม่ต้องการคำตอบ

ชายาของราชาปีศาจนั่งยองๆ ใช้เวทผสานแก้วใบร้าวให้กลับมาเป็นแบบเดิมแต่ก็พบว่าทำไม่ได้ ทำได้เพียงเชื่อมต่อพวกมันให้เข้ากันเท่านั้น

มือกำด้ามจับแน่น ก้มหน้านิ่งซ่อนนัยน์ตาที่สั่นระริก

"ขอให้มันเป็นเพียงสิ่งที่ข้าคิดไปเองจริงๆ เุถอะ"
 


"ฮึก แย่ที่สุด แม้แต่นาซัสก็ยังทิ้งข้าได้ลงคอ" ดัฟฟ์สะอื้นในลำคอตาแดงก่ำและหันไปมองข้างหลังบ่อยๆ ด้วยความหวังที่ว่าจะเห็นนาซัสวิ่งตามมา

แต่ไม่เลย ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว!

ดัฟฟ์คิดเศร้าๆ ก้มหน้าเดินไปต่อ เสียงร้องเรียกหรือตะโกนรอบตัวไม่ได้ทำให้ดัฟฟ์สนใจเท่าที่ควร 

"ข้าว่าข้าได้กลิ่นมังกร... ! นี่ไง หนูน้อยสนใจเข้าชมรมนี่มังกรไม่ใช่จิ้งจกไหม" เสียงทุ้มแหบต่ำฟังเสียดหูแต่มือที่ลูบเบาๆ บนหัว
ดัฟฟ์กลับตรงกันข้าม มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน 

ดัฟฟ์เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะต้องมองตาค้างเมื่อพบว่าคนที่เรียกตัวเองนั้น เป็นปีศาจร่างผอมสูงผมสีฟ้าตัดสั้นเข้ากับรูปหน้าคมคาย เสื้อผ้าเป็นเครื่องแบบโรงเรียนของนักเรียนหญิงแต่เมื่อคนๆ นี้ใส่กลับให้ความรู้สึกเท่มาก

"อ้าว เจ้าหนูเป็นอะไรน่ะ? เฮ้ย คาอิสไปเอาน้ำแดงมา เจ้าหนูนี่อาจจะเป็นลม"

คนโดนใช้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือเมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องของตัวเองก็ยอมทิ้งหนังสือไปแล้วเข้าไปช่วยพยุงตัวดัฟฟ์

ไม่มีท่าทีเกี่ยงงอนหรืออะไร การอยู่ร่วมห้องทั้งห้องเรียนและห้องพักทำให้คาอิสรู้สึกคุ้นชินกับดัฟฟ์ ซึ่งลึกๆ แล้วก็มีความรู้สึกว่าอยากปกป้องอยู่ด้วย 

ใครใช้ให้มังกรดำงี่เง่านี่มันง้องแง้งขนาดนี้กันล่ะ?

คาอิสคิดเบื่อๆ "ลีอา เจ้าแน่ใจนะว่าจะเอาดัฟฟ์เข้าชมรมนักรบมังกรของพวกเราน่ะ"

"แน่ใจสิ เจ้าหนูนี่ออกจะน่าเอ็นดู ชมรมพวกเราจะได้มีอะไรไว้แกล้งได้บ้าง" ลีอาพูดกลั้วหัวเราะระบายรอยยิ้มเต็มใบหน้า มือล้วงหยิบลูกอมรูปมังกรในกระเป๋าเกงเกงและยื่นมันให้ดัฟฟ์ที่จ้องตัวเองไม่วางตา

"กินซะสิ ถ้าเจ้าชอบ ก็เข้าชมรมข้า ข้าจะให้เจ้ากินทั้งกระปุกเลย" 

"เดี๋ยวๆ นี่ถือว่าเป็นการล่อลวงเด็กหรือเปล่า ลีอา ข้าว่ามันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องนะ" มังกรไฟถลึงตามองคนที่พยายามหลอกล่อเด็กเข้าชมรมด้วยลูกอม

ลีอายังคงรอยยิ้มไว้ได้ดวงตากลิ้งกลอกไปมาบนท้องฟ้า "พูดไป เจ้าก็โดนวิธีนี้ดึงเข้าชมรมเหมือนกันนั่นแหละ คาอิส ข้ากับท่านประธานคนก่อนยังจำสีหน้าใสซื่อของเจ้าได้ ฮ่าๆๆ"

"เงียบไปเลย" คาอิสแยกเขี้ยวขู่หน้าขึ้นสีแดงจางๆ 

แต่ลูกอมบ้านี่มันอร่อยจริงๆ กินแล้วอยากกินอีก เหมาะสมมากสำหรับใช้ในการล่อลวงเด็กเข้าสังกัดตัวเอง

ดัฟฟ์ไม่กล้าพูดอะไรมากนักเพราะแม้แต่สิ่งที่ทั้งสองคนพูดกันข้ามหัวตัวเองก็ยังไม่ค่อยรู้สึกเข้าใจเท่าไหร่เลย สิ่งที่พอจะชัดเจนในหัวก็คงเป็นลูกอมลายมังกรสีสวยตรงหน้า

มือเอื้อมหยิบทันทีตามความเคยชินแต่ก็ชะงักกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของบุคคลตรงหน้าา 

"ถ้าเจ้ากิน เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าเจ้าจะเข้าชมรม"

"เอาอีกแล้ว ใช้วิธีนี้อีกแล้ว เจ้ารู้ไหมว่ามันเปลืองลูกอมข้าแค่ไหน!!!"  เสียงโวยวายดังมาแต่ไกลมาพร้อมกับร่างปีศายชายที่ตัวสูงพอๆ กันโบกเข้ากับหัวของลีอา

คนโดนโบกมีสีหน้าเหยเกลูบหัวตัวเองป้อยๆ "งกชะมัด เดนิช งกมากจะทำให้หาแฟนยากเจ้ารู้รึเปล่าเนี่ย"

เจ้าของลูกอมมีสีหน้าหงิกงอยิ่งกว่าเดิม "รู้สิ ข้ารู้ดีเลยล่ะ ว่าทำไมข้าถึงหาแฟนไม่ได้สักที ก็เพราะเจ้ายังไงล่ะ ไอ้บ้าลีอา!!! ยืนข้างเจ้าแล้วทำให้ข้ารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นสตรีบอบบางเลย บัดซบ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าต้องดูพึ่งพาได้มากกว่าข้าด้วยนะ"

ดัฟฟ์หน้ายู่ภายในหัวเกินการตีกันระหว่างฝ่ายเหตุผลกับฝ่ายอารมณ์ แต่น่าเสียดายสุดท้ายความหิวของดัฟฟ์ก็ชนะทุกอย่างทั้งปวง จึงโยนลูกอมเข้าปากทันที

"!!!" ดัฟฟ์สะดุ้งเมื่อรู้สึกรสชาติของลูกอม มันเป็นรสชาติที่ดัฟฟ์ไม่เคยลิ้มรสมาสักครั้งในชีวิต

ความหวานลงตัวที่ไม่ได้มากจนทำให้แสบคอเมื่ออมไปได้สักพักก็พบความเปรี้ยวแผ่ไปทั่วลิ้นก่อนที่จะจบลงด้วยความรู้สึกเย็นๆ กับความหวานที่ยังติดค้างอยู่ที่ปลายลิ้น

"อร่อย.." เผลอพูดออมาอย่างเหม่อลอย

"เยี่ยม โอกาสนี่แหละ ข้าจะหาคนเข้าชมรมได้" ลีอาร้องอย่างดีใจลนลานดึงใบรับคนเข้าชมรมยับๆ ออกมาจากกระเป๋าหลังและค่อยๆ รีดมันด้วยมือให้เรียบและยื่นปากกาให้ดัฟฟ์เซ็นและเขียนชื่อตัวเอง

"เจ้านี่มันแย่ชะมัด ข้าจะส่งเจ้าไปหาพวกทหารที่ดูแลความประะฤติของพลเรือน" เดนิชมองลีอาที่ดูดีใจเกินหน้าเกินตาเบื่อๆ

"อย่าทำเป็นโกรธไปเลยน่า อย่างน้อยปีนี้ชมรมเราก็มีคนเพิ่มขึ้นมาคนนึงนะ" ลีอายิ้มระรื่นเมื่อดัฟฟ์ยอมเซ็นให้ตัวเองและกินลูกอมที่ยื่นให้อีกสองสามเม็ดอย่างเอาเป็นเอาตาย

"ใครใช้ให้ชมรมนี่มันมีกฎรับแต่มังกรล่ะ ข้าเข้ามาในชมรมนอกจากกินกับนอนก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย" เดนิชเป็นมังกรน้ำแข็งที่หลวมตัวเข้ามาในชมรมเพราะคารมของประธานรุ่นก่อนที่โม้ไว้มากมายว่าจะนำพาเผ่าพันธ์ุมังกรให้เป็นที่รู้จักโด่งดังมีชื่อเสียงแต่เอาเข้าจริงอย่างมากพวกเขาก็แค่เป็นตัวทำเงินของนักพนันในตอนที่แข่งบินกับมังกรดินแดนอื่นเท่านั้น

"ใครว่า ตอนนี้ข้าเป็นประธานชมรมนะ ต้องมีมากกว่านี้สิ" ลีอายิ้มมีเลศนัย

"ถ้าเจ้าจะจับพวกข้าไปประกวาดมังกรงาม ข้าไม่เอากับท่านแล้วนะ!" คาอิสเหน็บขึ้นมาเสียงแข็ง ทุกคนในชมรมเผลอหลงเชื่อลีอาว่าจะไปทำอะไรสนุกๆ แต่พอถึงเวลากลับพบว่าถูกจับยัดงานประกวดมังกรงามที่จัดกันระหว่างโรงเรียน พวกเขาในร่างมังกรถูกจับไปอาบน้ำขัดถูจนเกล็ดมันเป็นประกายแล้วยังถูกผูกริบบิ้นสีชมพูไว้กลางหัวเพื่อเสริมความน่ารัก ความอับอายนั่นยังคงตราตรึงแน่นในอกคาอิส

"ไม่ ต้องสนุกกว่านั้นสิ" ลีอาส่ายหน้าลูบหัวดัฟฟ์เบาๆ เมื่อดัฟฟ์เข้ามาใกล้และมองลีอาด้วยสายตาอ้อนๆ คล้ายลูกหมาขาดความรัก ลีอาเอียงคอไปมาก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อนึกออก "อ้อ ข้ารู้แล้ว เดนิช เจ้าก็ทำขนมไงแต่เพิ่มเติมคือต้องทำขาย พวกเราจะได้มีเงินไปเที่ยวบ่อยๆ ไม่ต้องเสียเวลาบินให้เมื่อยปีก"

"นั่นมันโยนภาระให้ข้าไม่ใช่เหรอ ลีอา เจ้านี่ประสาทกลับแล้ว" เดนิชถลึงตามองเพื่อนร่วมห้องตัวเอง

"หรือเจ้าจะทำอะไรล่ะ เสนอมาสิ สมาชิกอย่างพวกเจ้ามีหน้าที่ฝันข้าก็มีหน้าที่ทำให้มันเป็นความจริงไงล่ะ" มังกรน้ำไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

"เจ้ากับท่านประธานคนก่อนนี่มันสายเลือดเดียวกันชัดๆ พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเหมือนเรื่องใหญ่่"

"จะให้ข้าทำอะไรนักล่ะ ชมรมเราก็มีกันอยู่ไม่กี่คน พวกที่เป็นมังกรก็เข้าชมรมอื่นกันหมดแล้ว"

เดนิชสาวเท้าเข้าไปหาลีอาพูดเสียงลอดไรฟัน

"ใครใช้ให้เจ้าไปเป็นคนหาเด็กเข้าชมรมกันเล่า!! พวกมังกรที่รู้จักเจ้ารู้ดีอยู่แล้วล่ะ ว่าเจ้ามันจืดชืดน่าเบื่อขนาดไหน ถึงจะมีหน้าตาที่ดีแต่ก็ไม่ได้ทำให้มังกรพวกนั้นต้องพากันถาโถมมามอบตัวให้เจ้าหรอกนะ"

ไม่แน่ใจเพราะอิจฉาหรืออะไรน้ำเสียงของมังกรน้ำแข็งจึงเต็มไปด้วยความประชดประชัน

ทำเอาลีอาเบะปากร้องจิ้จ้ะอย่างไม่พอใจ "เจ้าจะสบประมาทข้าเกินไปล้วนะ เดนิช อย่างน้อยข้าก็คิดออกแล้วกันว่าอาทิตย์พวกเราจะทำอะไรดี"

เดนิชกอดอกมองเลิกคิ้วมองคนพยายามแก้ตัวด้วยสีหน้ายียวน 

"ว่ามาสิ ข้ารอฟังอยู่"

มังกรน้ำยักคิ้วให้อย่างท้าทาย "ก็นะ อาทิตย์หน้ารู้สึกพวกชมรมอื่นเขาจะเริ่มเรียนๆ เล่นๆ กันแล้ว ข้าว่าสำหรับพวกเขาแล้ว เวลาเป็นเรื่องที่สำคัญมาก"

"มีอะไรก็รีบๆ พูดมา อย่ายืดยาว"

"ข้าว่าไหนๆ พวกเราก็ไม่ค่อยทำอะไรกันอยู่แล้ว ไปแย่งงานฮัลก็น่าจะสนุกดี"

เดนิชขมวดคิ้วเป็นปม

"เดี๋ยวนะ เจ้ากำลังจะพูดว่าเจ้าจะไปขัดขวางการทำงานของมังกรหอนาฬิกางั้นเรอะ!!!!" เดนิชอ้าปากค้างชี้นิ้วสั่นๆ ไปหาลีอา

นี่มันไม่ใช่ความคิดของผู้หญิงแล้ว! ลีอามันเป็นผู้ชายปลอมตัวมาใช่ไหม!

ข้ารู้!!!

ลีอายิ้มพอใจ "ใช่ๆ เจ้านี่มันฉลาดจริงๆ คิดในแง่ดีหน่อยสิ อย่างน้อยพวกเราก็ช่วยฮัลทำงานนะ อ้อ อย่าลืมเอาลูกอมไปด้วย ฮัลคำรามมาทั้งวันน่าจะเจ็บคอมาก"
 
"เขาเป็นที่ปรึกษาชมรมเราเลยนะ ทำแบบนี้ฮัลจะไม่โกรธเหรอ ลีอา""

ถึงจะเป็นที่ปรึกษาแค่ในนามก็ตามเถอะ แต่ก็ยังถือเป็นที่ปรึกษาอยู่ดีี

"โกรธไม่โกรธไม่รู้ แต่แค่ข้าคิดภาพพวกเด็กในโรงอาหารวิ่งกันจ้าละหวั่นเพราะเสียงคำรามหลอกๆ ของข้า มันก็ทำให้ข้าอารมณ์ดีจนหัวเราะได้ทั้งวัน"
 
-----------------------------
 :t3: ง่วงแรง
 
 
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 51 7 มิ.ย 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 07-06-2016 23:23:53
ง่วงเหมือนกัน

เริ่มฟุ้งซ่านเป็นเพื่อนฟาร์คัสแล้ว

(ประกอบแก้วคืนไม่ได้ คือเวทอ่อนเสื่อมแล้วเปล่าหนอออ??)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 51 7 มิ.ย 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-06-2016 01:51:00
ป่วนกันเกิ้นนนน
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 51 8 มิ.ย 59 #ครึ่งหลัง p.15
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 08-06-2016 23:47:26
"ปัญญาอ่อน" เดนนิชแค่นเสียงหึแต่ใบหน้าคมเริ่มมีรอยยิ้มกริ่ม "แต่ก็น่าสนุกดี"

ลีอาพยักหน้าอย่างพอใจ

"ใช่ไหมล่ะ ประธานชมรมฉลาดก็มีกิจกรรมฉลาดๆ แบบนี้แหละ เป็นไงดัฟฟ์ เจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจใช่ไหมที่ได้เข้าชมรมนี้"

"แก๊ซ อร่อย ข้าอยากกินอีก!" ดัฟฟ์ด้วยตาเป็นประกาย สิ่งที่ลีอาพูดๆ มาไม่ได้เข้าหูแม้แต่น้อย

"ดูเหมือนเจ้าจะตอบไม่ตรงประเด็นนะ ไอ้มังกรเอ๋อ เอ๊ย" คาอิสเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ให้พูดถากถางดัฟฟ์ไม่ได้เพราะมันกลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว

"แง้ คาอิสว่าดัฟฟ์" ดัฟฟ์หน้าบูดแต่ก็ยิ้มอย่างรวดเร็วเมื่อมีคนบริจาคลูกอมมาให้เพิ่ม

"กินซะสิ" เดนิชนั่งยองๆ ตรงหน้าดัฟฟ์และยิ้มใจดี "ดูเหมือนว่าไอ้ประธานโง่มันจะลืมพูดประโยคสำคัญอย่างคำว่ายินดีต้อนรับ ฉะนั้นข้าจะพูดแทนเองแล้วกัน" ก่อนจะยิ้มจนตาหยี "ยินดีต้อนรับเข้าสู่ชมรมนักรบมังกรนะ ถึงชมรมพวกเราจะมีคนอยู่ไม่มากแต่ก็รักกันดี มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน เอาเป็นว่าถ้าเจ้ามีปัญหาก็เรียกหาพวกเข้าได้เสมอ ไม่ต้องเกรงใจ"

"นั่นมันควรจะเป็นประโยคที่ประธานอย่างข้าควรพูดนะ ไอ้จิ้งจกสายฟ้าฟาดธรณี" ลีอาเหน็บและผลักหัวเดนิชจนเกือบล้ม
คนเป็นมังกรฟ้าถลึงตามองทันที

"ไอ้คำขยายความนั่นมันคืออะไร ข้าเป็นมังกรไม่ใช่จิ้งจกบ้าบอคอแตกที่เจ้าเลี้ยงไว้ในโหล"

"อย่ามาว่าสัตว์เลี้ยงน่ารักของข้าสิ ข้ากำลังศึกษาอยู่ว่าถ้ามังกรหางขาดจะงอกใหม่ได้ไหม" ลีอาตอบโต้กลับไฟแลบแล้วจึงหันมาคุยกับดัฟฟ์

"นอกจากคาอิสก็มีมังกรแสงอีกตัวที่น่าจะอายุพอๆ กับเจ้า ถ้าเจ้าอยากรู้จักก็นั่งอยู่ตรงนั้นนะ เห็นไหมใต้ต้นไม้น่ะ ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนาปึ้กนั่นอยู่ นั่นแหละเพื่อนเจ้าชื่อฟรังก์เป็นมังกรแสง"

ไม่ว่าเปล่ายังชี้ไปยังคนที่ถูกกล่าวถึงซึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ กำลังอ่านหนังสือด้วยสีหน้าจริงจัง

"ฟรังก์.." ดัฟฟ์พูดทวนมองฟรังก์พลางเคี้ยวลูกอมที่ยังมีอยู่เต็มปาก

"นั่นแหละ เพื่อนของเจ้า ข้าเห็นแววเจ้าแล้วว่าเจ้าน่าจะเป็นเพื่อนกับฟรังก์มังกรใบ้แห่งชมรมเราได้ รู้อะไรไหม เจ้าจิ้งจกเรืองแสงนี่มันเคยคุยกับข้าแค่คำเดียวก็คือคำว่า "อืม" ตอนเข้าชมรม หลังจากนั้นไอ้มังกรบ้านี่มันก็เอาแต่พยักหน้าส่ายหน้าแทนคำพูดทั้งหมด หน้าตาก็ออกจะน่าเอ็นดูเหมือนข้าตอนเด็กๆ นะ " ในประโยคสุดท้ายคล้ายกับบ่นกับตัวเองซะมากกว่า

คาอิสเมื่อได้ยินท่านประธานชมรมที่ร่างเป็นหญิงแต่บุคลิกไปทางชายมากกำลังนินทาคนหยิ่งประจำชมรมอยู่ก็รีบเข้ามาร่วมวง นอกจากจะขี้หงุดหงิดแล้วคาอิสยังชื่นชอบการนินทาเป็นที่สุดเรียกได้ว่าเป็นชีวิตจิตใจเลยก็ว่าได้ "ข้ายืนยันได้ ดัฟฟ์ ไอ้มังกรบ้านี่ไม่เคยคุยกับข้าสักคำทั้งๆ ที่ข้ายอมเป็นฝ่ายเข้าไปทักมันก่อน! นอกจากมันจะมองหน้าข้าด้วยสีหน้านิ่งๆ แล้วมันยังจ้องหน้าข้าหาเรื่องด้วย!!"  มือคาอิสกำหมัดแน่นอย่างฉุนเฉีนยว แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นมานานมากแล้วก็ตาม แต่ในความรู้สึกของคาอิสเหตุการณ์ยังคล้ายกับเกิดขึ้นเมื่อวาน

ดัฟฟ์มีสีหน้าตกใจนิดหน่อยและส่ายหน้าดิก "แก๊ซ อาจจะเหมือนท่านแม่ก็ได้ ท่านแม่ของข้าชอบดุข้า รำคาญข้า แต่ก็ใจดีมากๆ เลย เพราะฉะนั้นข้าว่าฟรังก์ต้องมีนิสัยเหมือนแม่ข้าแน่ๆ!"  ดัฟฟ์พูดเองเออเองแล้วสาวเท้าเข้าไปหาฟรังก์ทันทีเพื่อเป็นการพิสูจน์

เสียงฝีเท้าดังไม่เป็นจังหวะเรียกความสนใจของคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ได้ดี

ใบหน้าที่ฉายแววคมคายแต่เด็กเหลือบขึ้นมามองเด็กที่ตัวเล็กกว่าตัวเองกำลังใช้ดวงตาสองสีมองตัวเองอย่างกระตือรือร้นขีดสุด

ฟรังก์กลืนน้ำลายดังเอือก สีหน้ายังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม นัยน์ตาสีทองสว่างจับจ้องใบหน้าดัฟฟ์อย่างพิจารณา สมองพยายามประมวลผลท่าทีที่ตัวเองควรตอบรับกลับไป

นัยน์ตาของมังกรแสงฉายแววสับสน

ใครน่ะ?  แล้วข้าควรจะตอบกลับไปแบบไหน... ใบหน้าที่มีรอยยิ้มนั่นมันเป็นรอยยิ้มจริงๆ รึเปล่า? หรือว่ามันคือการแสยะยิ้ม ถ้าข้ายิ้มตอบจะถูกเขม่นไหมหรือข้าควรจะเมินมันดี

ในชั่วขณะที่ฟรังก์ตกอยู่ในภวังก์ดัฟฟ์ก็เอ่ยทักทายขึ้นมา

"ข้าชื่อดัฟฟ์ แก๊ซ เป็นสมาชิกชมรมเดียวกับเจ้า" พูดจบก็ยิ้มกว้างและเอื้อมมือไปหาฟรังก์ตั้งใจจะจับมือเพื่อกระชับมิตร

มังกรแสงที่ตกอยู่ในภวังก์ก็ยังคงตกอยู่ในภวังก์ มองดัฟฟ์อย่างไม่เข้าใจ

ข้าควรจะยินดีใช่ไหม.. ถ้าหากมีสมาชิกชมรมเข้ามาใหม่ หรือว่าข้าควรเสียใจที่ตัวเองไม่ได้กลายเป็นสมาชิกคนล่าสุด ดวงตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังนั่นข้าควรจะตอบมันกลับด้วยแบบเดียวกันใช่ไหม

เวลาครู่ใหญ่จนดัฟฟ์เคี้ยวขนมจนหมดฟรังก์จึงค่อยยกมือของตัวเองไปหาดัฟฟ์

"ยินดีที่ได้รู้จักนะ แก๊ซ!!" ดัฟฟ์ยังคงยิ้มแม้ว่าจะไม่ได้คำตอบรับอะไรแม้แต่คำเดียวของฟรังก์ ไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในการตอบคำถามของฟรังก์

ใบหน้าที่มีรอยยิ้ม.. หมายความว่ามีความสุข ข้าต้องมีความสุขเหมือนกันงั้นเหรอถ้ามีสมาชิกใหม่? ถ้าข้าชอบการอยู่คนเดียวมากกว่า ข้าไม่อยากจะต้องมาเสียเวลาคิดหาท่าทีที่ควรตอบรับกลับไป มันต้องใช้เวลานานและทำให้ข้าปวดหัว

แต่ถึงอย่างนั้นมือของฟรังก์ก็ถูกดัฟฟ์จับแน่น

"แก๊ซ!!!" ดัฟฟ์เบิกตากว้างร้องลั่นราวกับต้องของร้อน ปล่อยมือจากมือจากฟรังก์ทันควันและสะบัดมือที่ร้อนผ่าวของตัวเองน้ำตาคลอ

ฟรังก์ไม่ได้มีท่าทีตกใจอย่างที่คนปกติพึงจะมี

อา... ใบหน้าเจ้าเด็กนี่เปลี่ยนเป็นเหยเกซะแล้ว ใบหน้าบิดเบี้ยวนี่มันหมายความว่ายังไงนะ? … อืมม เจ็บปวดสินะ ดูเหมือนว่าข้าจะต้องขอโทษเจ้าเด็กนี่เพราะข้าเป็นต้นเหตุของเสียงร้อง

"ขอโทษ... พอดีว่าข้าควบคุมพลังในตัวไม่ค่อยได้เท่าไหร่"

น้ำเสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงไปด้วยอำนาจ ฟรังก์จับจ้องดัฟฟ์ด้วยสีหน้านิ่งสนิท

"ข้าไม่ต้องการเพื่อน... ถ้าเจ้าอยากได้เพื่อนก็ไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่ข้า"

ลำพังแค่พยายามวิเคราะห์สีหน้าของแต่ละคนแล้วละบุออกมาว่าอารมณ์ไหน ก็ทำเขาเสียเวลาชีวิตไปครึ่งวันแล้ว จะให้มีเพื่อนให้คุยทั้งวันเขาคงไม่ได้นอนกันพอดี

"แง้" ดัฟฟ์เบะปากเตรียมจะร้องไห้

รู้สึกคล้ายกับถูกทำร้ายด้านจิตใจขั้นรุนแรง ดัฟฟ์ไม่เคยถูกใครปฎิเสธรุนแรงขนาดนี้มาก่อน 

ฟรังก์เหลือบมองต่อสักพักและก้มลงมองหนังสือในมือที่เขียนเกี่ยวกับอารมณ์กับสีหน้าท่าทางที่แสดงออกมา 

ดูเหมือนเจ้าเด็กนี้กำลังทำหน้าบิดเบี้ยว มีน้ำตาคลออยู่ที่ดวงตา... อาการนี้ข้าเคยเห็นบ่อย แต่จำไม่ได้สักทีว่ามันเรียกว่าอะไร..

อืม..

มังกรแสงโคลงหัวไปมาสองสามครั้งก่อนจะนึกขึ้นได้

ร้องไห้ไง! ข้าจำได้แล้ว

"แง้!  ข้า ข้าไม่ยอมจริงๆด้วย ฮึก" 


------------------

ตัวละครใหม่อีกแล้วว ตัวนี้ค่อนข้างชอบ มีสิทธิ์มาตบตีกับกริสเซลค่ะ  :katai2-1:
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 51 8 มิ.ย 59 #ครึ่งหลัง p.15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-06-2016 01:13:43
นั้นๆ ราชินีปีศาจแทนราชาสินะ 55555 ชัดเจนขึ้นทุกวันๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 51 8 มิ.ย 59 #ครึ่งหลัง p.15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-06-2016 06:31:18
ชอบดัฟฟ์ตอนร้องไห้


....

คนอ่านซาดิสต์
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 52 23 มิ.ย 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-06-2016 23:47:01
ตอนที่ 51 

หลังจากอยู่ในโรงเรียนมาได้หลายวัน ดัฟฟ์ก็เลิกอาการหลงทางทุกสองนาทีกลายเป็นดัฟฟ์ที่รู้แทบทุกที่ในโรงเรียนเพราะเคยหลงไปหมดแล้วและกลับห้องได้เมื่อกริสเซลตามกลิ่นเจอ

"แม่ แก๊ซ ข้าชอบร้านนี้มาก อร่อย!" ดัฟฟ์ยื่นน่องไก่ย่างให้กับฟาร์คัสพร้อมยิ้มตาหยี

"ขอบใจ" ฟาร์คัสรับมาพยายามฝืนยิ้มบางๆ ยีหัวดัฟฟ์ ตาทอดมองภายในโรงเรียนปีศาจด้วยแววตาที่พยายามจะสนอดสนใจ
ไม่รู้ว่าเพราะว่างหรืออะไรจู่ๆ กลับรู้สึกอยากมาหาดัฟฟ์ซะอย่างงั้น หรือเพราะเจ้าแพะโง่นั่นหายหัวไปสองวันถามใครก็ไม่ยอบตอบว่าหายไปไหน

ทำงานบ้าอะไรของมัน ถึงต้องหายไปดื้อๆ แบบนี้

"แก๊ซ? ไม่กินเหรอ อร่อยนะ แม่" ดัฟฟ์เอียงคองงๆ กระตุกชายเสื้อฟาร์คัส

เสียงเล็กๆ ของดัฟฟ์คล้ายกับเรียกสติฟาร์คัสกลับคืนมา

ฟาร์คัสสะบัดหัวตัวเองเบาๆ หวังจะสลัดความรู้สึกไร้สาระกับความหน่วงในอกไปด้วย

พอๆ ข้าจะคิดอะไรให้มันมากมายนัก ข้าต้องเชื่อใจคาร์บิลัสสิ! เจ้าแพะโง่นั่นถึงจะดูเอ๋อๆ แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นมันไปสุงสิงกับใคร 

"ข้าไม่ค่อยหิวสักเท่าไหร่ เจ้ากินเถอะดัฟฟ์" ยื่นคืนให้กับปีศาจมังกรร่างเล็กในชุดโรงเรียนถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า

"งื้อ งั้นข้าจะช่วยท่านแม่กินเองนะ แก๊ซ!" ดัฟฟ์ยิ้มจนตาหยีหยิบไก่คืนและจัดการมันอย่างรวดเร็ว

ฟาร์คัสเผลออมยิ้มกับท่าทีมูมมามของดัฟฟ์ที่แก้ไม่หายสักทีจนปล่อยเลยตามเลยแต่ดูไปได้สักพักก็เผลอเลิกคิ้ว "ดัฟฟ์ นี่เจ้าสูงขึ้นงั้นเหรอ" ไม่ว่าเปล่าดึงตัวดัฟฟ์มาใกล้ตัวเองเพื่อวัดระดับความสูง

"อื้อ อ้าอูงขึ้น! กริส กริสเซลก็บอก คิกๆ" ดัฟฟ์หัวเราะคิกคักทั้งๆ ที่ในปากยังเต็มไปด้วยไก่

"ตอนนั้นเจ้ายังสูงแค่เอวข้าเอง" ปีศาจอีกาบ่นงึมงำเมื่อนึกถึงที่เจอดัฟฟ์ครั้งแรกซึ่งถ้าเทียบๆ กับตอนนี้แล้วก็นานพอควร

ดูเหมือนว่าเวลาจะไหลไปเรื่อยๆ โดยที่ข้าไม่รู้ตัวสักนิด จะว่าไปข้ากับเจ้าแพะโง่นั่นก็รู้จักกันมานานเหมือนกัน

บัดซบ!

ฟาร์คัสหยิกแขนตัวเอง

นี่ข้าจะไปคิดเรื่องแพะโง่นั่นทำไมกัน? มันก็แค่หายตัวไปและทำให้ข้าหงุดหงิดมากๆ เท่านั้นแหละ แต่ถึงอย่างนั้น..ถ้าเจ้าแพะโง่

โผล่มาตอนนี้ก็ดีสิ..

การนอนบนเตียงที่ใหญ่เกินไปนั่นคนเดียวมันเหงาชะมัด..

หรือว่าข้าอาจจะคุ้นชินกับการโดนเจ้าแพะโง่นั่นพยายามออดอ้อนด้วยการกอด ดึงแขนไปหนุนบ้าง ตัวของเจ้าแพะโง่ร้อนมากแต่มันก็ให้ความรู้สึกทีไม่เลวร้ายสักเท่าไหร่

อีกไม่กี่วันก็จะวันแต่งงานของเราแล้วนะ แพะเวร..

นี่เจ้าหายไปไหนของเจ้าน่ะ?  ถ้าต้องการให้เวลาข้าไปเข้าคอร์สเจ้าสาวปัญญาอ่อน ข้าไม่เข้าหรอกนะ ของบ้าๆ พรรค์นั้นเก็บไว้เข้าเองเถอะ 

"ท่านแม่ ท่านแม่ แก๊ซ! เป็นอะไรง้าา" ดัฟฟ์กอดฟาร์คัสแน่น มองฟาร์คัสงุนงงเพราะจู่ๆ ก็ซึมไปเลย

"ข้าก็แค่เหงาน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ดัฟฟ์" ฟาร์คัสแค่นหัวเราะ

เหงามากๆ น่าจะเป็นคำพูดที่ตรงกับฟาร์คัสตอนนี้มากกว่า

แต่สิ่งที่เจ้าตัวพอใจที่จะพูดออกมาก็แค่คำว่าเหงาเท่านั้น

"เจ้าเถอะ ไม่มีเพื่อนคบงั้นเหรอ ถึงเอาแต่พาข้าเดินสำรวจโรงเรียน"

ดัฟฟ์หน้ามุ่ยทันที

"แก๊ซ! ดัฟฟ์งอนอยู่ กริสเซลแย่งกับนาซัสไปอยู่ด้วยทำให้ดัฟฟ์ต้องอยู่ชมรมคนเดียว คนอื่นๆ ในห้องข้าไม่ค่อยสนิทด้วยเท่า
ไหร่ แต่ข้ามีคนที่อยากให้ท่านแม่รู้จักนะ แก๊ซ!" ดัฟฟ์พูดอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นอะไรสีทองๆ ก้าวอาดๆ ไปยังหอพักนักเรียน
เปลี่ยนจากใบหน้างอนๆ เป็นร่าเริงทันที

ทำเอาฟาร์คัสอดรู้สึกไม่ได้ว่าดัฟฟ์็มีส่วนคล้ายเจ้าแพะโง่นั่น 

"ฟรังก์ แก๊ซซซซซซ"  ดัฟฟ์กระโดดโหยงเหยงโบกไม้โบกมือพยายามเรียกให้อีกฝ่ายหันมาสนใจตนเองซึ่งมันก็ได้ผล 

ฟรังก์่เหลือบมามองดัฟฟ์ช่วงเวลาสั้นๆ และเดินต่อไปอย่างไม่ใส่ใจราวกับว่าดัฟฟ์เป็นอากาศธาตุ

"แก๊ซ!! ฟรังก์ เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้น้า!!" ดัฟฟ์มุ่ยหน้าฝากน่องไก่ที่เหลือไว้กับฟาร์คัสส่วนตัวเองวิ่งสุดชีวิตไปหาฟรังก์ 

ฟาร์คัสเหลือบมองน่องไก่ในมือสลับกับดัฟฟ์และเผลอถอนหายใจออกมา

ดัฟฟ์ ทึกทักไปเองรึเปล่า ว่าเป็นเพื่อนกับเจ้าหัวทองนั่น? 

และภาพที่เห็นถัดจากเห็นดัฟฟ์โวยวายใส่หน้าเจ้าหัวทองนั่นก็คือภาพที่ดัฟฟ์พยายามลากฟรังก์มาหาตนเองสุดชีวิต

"เจ้าจะลากข้ามาทำไม ข้ามีสอบท่องเวทย์พรุ่งนี้" คนโดนลากด้วยสีหน้าไร้อารมณ์สิ่งที่พอจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงด้าน
อารมณ์ได้ก็คงจะเป็นคิ้วที่ขมวดเล็กๆ แสดงถึงความไม่พอใจที่ถูกก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง

"ก็ท่านแม่ข้าอยากเจอเพื่อนข้านี่นา แล้วเจ้าก็ตกลงเป็นเพื่อนข้าแล้วด้วย แก๊ซ" ดัฟฟ์ยิ้มเมื่อน่องไก่กลับมาอยู่ในมือตัวเอง

มังกรแสงจึงย้ายจุดสนใจมาหาปีศาจอีกาที่ยืนรอคำทักทายนิ่งๆ

ใบหน้าของฟรังก์กลับมาเย็นชาเหมือนเดิมเพราะในหัวเริ่มกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง

เจอคนแปลกหน้าเขาให้ทำอะไรนะ? เหมือนข้าจะจำได้.. อา แต่ก็จำไม่ได้เหมือนกัน ตอนนั้นรู้สึกว่าท่านพ่อจะไล่ข้าไปนอนพอดี

งั้นก็..

สีหน้าของฟรักง์ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มไร้อารมณ์ แววตาไม่มีประกายความเป็นมิตรแต่อย่างใด "ยินดีที่ได้รู้จัก.. แต่ตอนนี้ข้าไม่ว่างสักเท่าไหร่ ข้าขอตัวก่อนแล้วัน" ว่าจบก็ค้อมศีรษะเล็กๆ อย่างขอไปทีและรีบสาวเท้าออกไปทันที

"แง้! ไม่ ฟรังก์เจ้าต้องมาอยู่กับข้าน้า เจ้าเป็นเพื่อนข้านะ แก๊ซ" ดัฟฟ์โยนกระดูกเข้าถังขยะส่วนตัวที่ว่างแล้วก็กระโจนไปเกาะขา

ฟรังก์ไม่ให้เดินต่อ

ซึ่งขนาดตัวที่ไม่ได้ต่างกันมากก็ทำเอาฟรังก์แทบล้มสะดุดไปบนพื้น

ฟรังก์หันมาถลึงตาใส่ดัฟฟ์อย่างหงุดหงิด 

มีแต่อารมณ์หงุดหงิดนี่แหละ ที่เขาสามารถแสดงออกมาได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องคิดมาก

"ข้ามีสอบ ดัฟฟ์ อย่ายุ่งกับข้า!"

"แง้ ฟรังก์ใจร้าย ฮือ" ดัฟฟ์แกล้งร้องไห้ฮือๆ เกาะขาฟรังก์แน่นกว่าเดิมจนเจ้าตัวขยับไปไหนไม่ได้

"ปล่อยข้า!!" ฟรังก์คำรามลอดไรฟัน "นี่เจ้าอยากโดนข้าเผารึไงกัน" 

ถึงจะพอควบคุมพลังมหาศาลในตัวนี้ได้ในระดับนึงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าควบคุมได้ตลอด บางทีเขาก็ควบคุมมันไม่ได้จนเผลอไปลวกมือคนอื่นๆ 

สิ่งที่ทำให้เขาควบคุมมันไม่ได้บ่อยๆ ก็อารมณ์โกรธนี่แหละ

"กลัว ดัฟฟ์กลั้วกลัว แก๊ซ" ดัฟฟ์หัวเราะคิกรู้สึกสนุกเมื่อสามารถแกล้งฟรังก์สำเร็จ

จนแล้วจนรอดมังกรแสงก็ต้องยอมแพ้ดัฟฟ์ยอมคุยกับผู้ปกครองมังกรดำงี่เง่านี่ดีๆ ซึ่งพอเงยหน้าขึ้นก็เห็นรอยยิ้มเอ็นดูบนใบหน้า
นั่นแล้ว

รอยยิ้มแบบนี้ข้าพอใจจะรู้จักอยู่.... รอยยิ้มแบบเดียวกับท่านพ่อ

อา.. ข้าต้องยิ้มตอบเหมือนกันสินะ ไม่สิ ต้องแนะนำตัวด้วย..

"ยินดีที่ได้รู้จักท่าน ข้าชื่อฟรังก์เป็นมังกรแสง ข้ามีปัญหาเรื่องการอ่านสีหน้าคนนิดหน่อย ถ้าหากข้าตอบช้าไปเองก็ขอโทษด้วย"

แนะนำตัวพร้อมบอกสาเหตุที่ทำให้การเป็นคนที่ดูหยิ่งและตอบช้ามาก 

ซึ่งเหตุผลนี้ก็มีน้อยคนที่จะรู้เพราะฟรังก์รำคาญเกินกว่าจะมาเห็นใบหน้าเห็นใจที่มาจากเพื่อนแต่ละคน

ฟาร์คัสพยักหน้ายื่นมือไปยีหัวดัฟฟ์

"ข้าเชื่อแล้วล่ะ ว่าฟรังก์เป็นเพื่อนเจ้าจริงๆ"

ดัฟฟ์ยิ้มกว้าง 

"ใช่ ใช่ แก๊ซ ข้ากับฟรังก์เป็นเพื่อนกันแค่สองคน คนอื่น ข้าไม่นับ แก๊ซ!" และเผลอมุ่ยหน้าอีกครั้งเมื่อนึกถึงท่าทีของเพื่อนๆ
แต่ละคนในห้องที่ทิ้งตนเองได้ลงคอ

มังกรแสงกลอกตาเซ็งๆ "ข้าจะไปได้รึยังดัฟฟ์"  พยายามดึงขาตัวเองออกจากการจับกุมของมังกรดำที่ตอนนี้ดูจะคล้ายกับตุ๊กแกซะมากกว่า

"ไม่ได้ เจ้าต้องไปกับข้า แก๊ซ ข้าจะพาท่านแม่ไปเที่ยวโรงเรียน"

ฟรังก์ขมวดคิ้วมุ่นในความดื้อดึงของดัฟฟ์

หากเป็นเวลาปกติคนอื่นที่เห็นสีหน้าเย็นชาของเขาเปลี่ยนอารมณ์ คงจะไม่วายถอยหนีทันทีแต่กับเจ้ามังกรดำสติปัญญาต่ำต้อยนี่ไม่เป็นแบบนั้นมันยังสามารถเกาะขาของเขาได้อย่างชื่นบาน

"ข้ามีสอบ ดัฟฟ์ ถ้าเจ้าว่างมากนักก็ไปหาหนังสืออ่านเหมือนข้าไป"

"แก๊ซ ฉลาดมากไปไม่ดี"

"ฉลาดไม่ฉลาดมันก็ตัวข้า เจ้าเลิกยุ่งกับข้าสักที"

ดัฟฟ์ส่ายหน้าดุ้กดิ้ก "ม่าย ฟรังก์ไม่มีเพื่อน ดัฟฟ์จะเป็นเพื่อนให้เอง"

คำว่าเพื่อนคล้ายจะแทงใจดำฟรังก์จนพูดไม่ออกไปสักพักก่อนที่เจ้าตัวจะมองค้อนดัฟฟ์ตรงๆ "เออ อยากทำอะไรก็ทำ เดี๋ยวข้าไปด้วย พอใจรึยัง" พูดด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อเต็มทน

"อื้ม!"

เมื่อภารกิจสำเร็จดัฟฟ์ก็ปล่อยมือจากขาฟรังก์อย่างว่าง่าย กลับมาลุกขึ้นยืนดีๆ ในหัวพลันก็นึกสถานที่อะไรออก "ท่านแม่ แก๊ซ ข้าจะพาท่านแม่ไปดูหอนาฬิกา มีมังกรตัวใหญ่มากๆ เลยที่นั่น" ไม่ว่าเปล่าพยายามกางแขนอธิบานคุณลักษณะของมังกรหอ
นาฬิกาที่มีหน้าที่คำรามเสียงดังเพื่อบอกเวลา

จะว่าเป็นเอกลักษณ์ของที่นี้ก็ได้ที่ยังคงใช้มังกรในการบอกเวลาเพราะโรงเรียนอื่นเปลี่ยนไปใช้เวทกันหมดแล้ว

ปีศาจอีกาหัวเราะเบาๆ ลูบผมนุ่มของดัฟฟ์อีกครั้ง

"ข้าคงต้องไปแล้วล่ะดัฟฟ์ ไว้ข้าจะหาเวลามาเยี่ยมเจ้าใหม่นะ"

การเดินรอบโรงเรียนจนขาลากไม่ใช่เรื่องตลก

"แง้ แม่ไปแล้วเหรอ ข้าจะอยู่กับใครล่ะ แก๊ซซ แง้" ดัฟฟ์งอแงทำท่าจะเข้ามากอดขาฟาร์คัสเป็นรายที่สองซึ่งฟาร์คัสก็หลบได้
ทันอย่างฉิวเฉียด

"ฟรักง์ไง เจ้าเป็นเพื่อนสนิทกันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ เอาเป็นว่าตั้งใจเรียนนะดัฟฟ์ ขอบใจเจ้ามาก เจ้าทำให้ข้าอารมณ์ดีขึ้นเยอะ
เลย" 

ก็พอจะช่วยข้าไม่ให้ฟุ้งซ่านเรื่องเจ้าแพะโง่นั่นได้สักพัก...

"แง้! ไม่ ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ไป ฮืออ" ดัฟฟ์ยังคงไม่ยอม ร้องไห้งอแง

จากที่อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลาตอนนี้เหลือไม่ถึงชั่วโมงทำให้ดัฟฟ์รู้สึกโหวงใจไม่น้อย ถึงเพื่อนจะพอทำให้ลืมเรื่องคิดถึงบ้านได้สักพักแต่ก็ไม่ได้หมายถึงตลอดเวลารวมถึงตอนนี้

"นาซัสทิ้งข้า แง้ ข้าเป็นพี่น้า ทำไมนาซัสไม่รักพี่ดัฟฟ์ ตอนนี้ท่านแม่ก็จะทิ้งดัฟฟ์เหมือนกันใช่ไหม ฮือ"

ฟาร์คัสชะงักขาที่กำลังจะเข้าไปในวงเวทเคลื่อนย้ายที่เพิ่งร่ายเสร็จแต่พอเหลือบเห็นคนที่ดัฟฟ์ติ้ต่างว่าเป็นเพื่อนสนิทตัวเองยัดลูกอมอะไรสักอย่างใส่เต็มมือดัฟฟ์แล้วลูบหัวเบาๆ คล้ายกับพยายามปลอบก็โล่งใจ พูดพึมพำเสียงเบา

"ฝากเจ้าดูแลดัฟฟ์ด้วยแล้วกัน ฟรังก์"

----------------

ตอนหลังๆ ค่อนข้างสบายๆ ให้อารมณ์เหมือนไดอารี่เลยค่ะ 5555  :really2:
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 52 23 มิ.ย 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-06-2016 00:16:46
โถ่ๆๆๆ ลูกเอ้ยยย น้องก็ทิ้ง แม่ก็ทิ้ง น่าสงสารจริงๆ
อยู่กับฟรังก์ก่อนแล้วกันเนอะดัฟเนอะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 52 23 มิ.ย 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-06-2016 01:33:12
จ้าา! แค่ลูกก้อเอาอยู่5555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 52 23 มิ.ย 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 24-06-2016 08:18:00
คิดถึงเธอ เธอก็มา~

ฟาร์คัสนี่เย็นชากับลูกจริง นานๆได้เจอทีนะ น่าจะลากนาร์ซัสกับดัฟฟ์มากอดๆหอมๆหน่อย  :m16:

ลองแกล้งนอนเป็นผัก เดี๋ยวก็โผล่มาเองแหละ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 52 27 มิ.ย 59 #ครึ่งหลัง p.15
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 27-06-2016 00:06:16
"โอ๊ย ข้าจะลงแดงตายแล้ววววว ฮืออ งานตงงานแต่งไม่ต้องจัดมันแล้วถ้ามันทำให้ข้าต้องหลบหน้าฟาร์คัสเนี่ย" คาร์บิลัสครางออกมาอย่างน่าสงสารขณะที่กำลังนั่งเขียนจนหมายชวนคนรู้จักสำคัญๆ ให้มาร่วมงาน

"ท่านเป็นคนคิดเองนะขอรับ ท่านคาร์บิลัส เรื่องตัดผมของท่าน ตามจริงแล้วรู้สึกว่าข้าจะบอกท่านไปแล้วว่าท่านน่าจะตัดก่อนวันงานสักวันสองวัน" คอร์สมองนายตัวเองเซ็งๆ เพราะรู้สึกว่าเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านฟาร์คัสทีไรท่านคาร์บิลัสก็ดูจะทำอะไรผิดพลาดไปหมดคล้ายกับว่าตั้งตัวไม่ถูก

"เออ ช่างข้าเถอะน่า คอร์ส หูยาวๆ ของเจ้าน่าจะหาอะไรมาอุดซะบ้าง ดูจะสนใจเรื่องของข้าทุกเรื่องเลย" คนเป็นราชาปีศาจมองผู้ใต้อาณัติของตัวเองดุๆ

เขายอมรับว่าตัวเองผิดพลาดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากให้ใครมาซ้ำเติมซ้ำหรอกนะ แค่ต้องอดใจไม่ไปเจอฟาร์คัสมาสองสามวันนี่ก็แทบจะคลั่งตายในห้องอยู่แล้ว

สิ่งที่พอจะช่วยบรรเทาความคิดถึงไปพลางๆ ก็คงเป็นขนอีกาที่แอบดึงเก็บไว้ตอนฟาร์คัสหลับ

ซึ่งตอนนี้มันก็อยู่ในมือคาร์บิลัสและกำลังใช้มันจุ่มหมึกเขียนคำเชิญด้วยภาษากลางที่ใช้สื่อสารกันในทุกดินแดน 

หูคอร์สลู่ลงทันควัน ปีศาจกระต่ายหดคอลงอย่างน่าสงสารเมื่อโดนดุ แขนสั้นๆ รับกระดาษที่เขียนคำเชิญแล้วจากท่านคาร์บิล์สมาพับและใส่ในซองจดหมายสีดำขลิบทองก่อนจะประทับซองจดหมายเป็นรูปเปลวเพลิงสีแดงก่ำรูปกะโหลกซึ่ง่เป็นสัญลักษณ์ของดินแดนปีศาจ

"อืมมม ชวนพวกเจ้าดินแดนหมดแล้วแฮะ คอร์สเจ้าว่าข้าดินแดนมนุษย์ด้วยดีไหม? แต่ข้าก็คุ้นๆ ว่ามันเคยทำร้ายฟาร์คัสของข้า" คาร์บิลัสพูดด้วยสีหน้าถมึงทึงมืออีกข้างลูบปลายขนอีกาเบาๆ อย่างอ่อนโยนคล้ายกับพยายามปลอบประโลมฟาร์คัสอยู่

หูข้างนึงตั้งชันขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ คอร์สกลืนน้ำลายเอือกรับรู้ถึงอารมณ์ไม่ดีของผู้เป็นนายของตัวเอง "ข้า ข้าว่าไม่ชวนดีกว่าขอรับ กับพวกมนุษย์ต่อให้อยากรบกับเราก็ทำไม่ได้หรอกขอรับ ท่านไม่ต้องรักษามารยาทกับพวกมันหรอก"

คาร์บิลัสเลียริมฝีปากแห้งผากก่อนจะยิ้มแสยะ "ข้าว่าชวนมาดีกว่า ไหนๆ ช่วงนี้ดินแดนของเราก็เปิดเสรีให้เข้าออกกันตามสบายแล้ว เชิญมันมาสานความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นน่าจะเป็นเรื่องที่ดี" และลงมือเขียนชื่อกษัตริย์เมืองมนุษย์อย่างบรรจงทันที

 "ขอรับ" คอร์สพยักหน้าหงึกๆ ตัวสั่น สีหน้าของท่านคาร์บิลัสขณะที่พูดเหมือนจะเชือดเจ้ากษัตริย์เมืองมนุษย์ที่น่าสงสารนั่นเป็นพันชิ้น

ข้าว่าเอาคำว่าสงครามมาใส่แทนคำว่าสัมพํนธ์อันแน่นแฟ้นยังดูจะเหมาะกับสีหน้าของท่านคาร์บิลัสตอนนี้กว่าเลย!

"พวกคนสำคัญๆ ข้าเชิญหมดแล้ว ก็เหลือแต่พวกไร้ความสำคัญสินะ" คาร์บิลัสพูดยิ้มๆ เมื่อนึกถึงเพื่อนแต่ละคนของตัวเอง "หึ ไอ้พวกเวรที่ชอบมาล้อข้าว่าหาคู่หมั้นไม่ได้ อย่างน้อยข้าก็แต่งงานก่อนพวกมันแล้วกัน"

คอร์สที่ได้ยินสิ่งที่คาร์บิลัสพูดก็สะดุ้งเฮือก

เพราะเพื่อนแต่ละคนของท่านคาร์บิลัสนี่ไม่ปกติกันสักคน! ไม่รู้ว่าท่านคาร์บิลัสไปสรรหาจากไหนมาเป็นเพื่อนสนิทตัวเองได้ ยกตัวอย่างเช่นผู้ควบคุมกาลเวลาที่ข้าเคยแอบเห็นท่านคาร์บิลัสเรียกตอนกำลังจิบน้ำชาคุยกันในสวน ส่วนคนอื่นก็รู้สึกว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยกัน

"อย่างพวกมันคงไม่ต้องใช้คำเชิญ" คาร์บิลัสหัวเราะหึๆ ใช้ปลายนิ้วจุ่มหมึกสีแดงออกมาเขียนเป็นอักษรเวทไม่นานมันก็กลายเป็นเหยี่ยวสีแดงก่ำทั้งตัวที่สร้างจากน้ำหมึก ราชาปีศาจเคาะบนโต๊ะหนึ่งครั้งเบาๆ ทำให้มันเริ่มขยับตัว มันส่งเสียงร้องออกมา
หนึ่งครั้งก่อนจะโผบินขึ้นไปในอากาศทันที

"งั้นข้าขอตัวไปส่งจดหมายนะขอรับ ท่านคาร์บิลัส" คอร์สก้มหัวหลัดๆ รีบหาทางพาตัวเอง พยายามหาทางออกห่างจากท่านคาร์บิลัสให้ไวที่สุด

"เดี๋ยวสิ เจ้ามาช่วยข้าเลือกชุดเจ้าบ่าวก่อน ข้าว่าชุดที่เจ้าเพิ่งตัดมาให้ข้ามันไม่เข้าใจถูกใจข้าสักเท่าไหร่" ไม่ว่าเปล่าหยิบชุดสีดำที่ทำจากผ้าเนื้อดีที่สุดในดินแดนปีศาจมันถูกปักอย่างประณีตด้วยลวดลายสวยงาม

ปีศาจกระต่ายหน้าซีดกว่าเดิมในหัวสบถรุนแรงไม่หยุด ปกติมันจะชินกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของท่านคาร์บิลัส แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงรู้สึกกลัวนัก

คงจะเพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับท่านฟาร์คัสแน่ๆ!

"แล้วท่านคาร์บิลัสจะเปลี่ยนเป็นแบบไหนล่ะขอรับ ข้า ข้าจะบอกช่างให้ ไม่สิ ข้าจะเรียกช่างมาให้ท่านตอนนี้เลยก็ยังได้" คอร์สพูดอย่างรวดเร็วหูของมันตั้งชันขึ้นอย่างตื่นตระหนก

คาร์บิลัสหลุดหัวเราะเมื่อแผนแกล้งกระต่ายขี้ตกใจสำเร็จ

ปกติชาคอสจะไม่ค่อยกลัวมันสักเท่าไหร่ เวลาแกล้งอะไรสีหน้าจะไร้อารมณ์เหมือนเดิม

"ไปซะ คอร์ส ข้าก็แค่แกล้งเจ้าเท่านั้นแหละ ชุดตอนนี้สวยมาก ฝากขอบใจช่างให้ข้าด้วยแล้วกัน"

คอร์สขมวดคิ้วแต่ไม่กล้าบ่นอะไรออกมา มือเล็กๆ ลูบอกตัวเอง "งั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ" พูดจบกระต่ายตัวอ้วนก็รีบกระโดดโหยงเหยงออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

คาร์บิลัสมองตามก่อนจะพ่นลมหายใจเศร้าๆ ออกมา

"ข้าต้องทนได้ไม่ถึงงานแต่งแน่ๆ เลย"

มือหนาลูบขนปีกอีกาใจลอยก่อนที่จะกำขนอีกาแน่นและพูดออกมาอย่างหมายมั่น

"ไม่สิ ข้าต้องทนให้ได้สิ งานแต่งมีได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เรื่องแค่นี้ราชาปีศาจอย่างข้าต้องทนให้ได้!"
 


"วันนี้มันก็ยังไม่กลับมาสินะ" ฟาร์คัสบ่นเบาๆ ขณะที่นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงมองไปยังประตูอย่างใจจดใจจ่อมาแทบค่อนคืนจนเริ่มรู้สึกง่วงจึงละความพยายามลง สะบัดมือเรียกเวทลมดับคบไฟในห้องและทิ้งตัวนอนบนเตียงที่ข้างตัวเต็มไปด้วยหมอนข้าง

"ไอ้แพะเวรเอ้ย... งานเจ้ามันเยอะมากจนกลับบ้านไม่ได้เลยรึไง?" ฟาร์คัสบ่นขณะที่หลับตานิ่งแขนกอดกับหมอนข้างตัวยาวที่สุด

"ข้ากลับมาแล้ว" เสียงทุ้มแหบพร่าพูดข้างหูฟาร์คัส

ปีศาจอีกาสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นนั่งเตรียมจะจุดไฟเพื่อให้ห้องสว่างแต่กลับถูกคาร์บิลัสล็อกแขนไว้แน่นพร้อมถูกหมวกคลุมทั้งหัวจนมองอะไรไม่เห็น

จากความดีใจเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด

"ไอ้แพะเวร เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า!!" ฟาร์คัสพูดเสียงเหี้ยมแขนพยายามดิ้นออกจากพันธนการแกร่ง

นอกจากความมืดสนิท ข้ามองอะไรไม่เห็นแม้แต่นิดเดียว!

"ข้าคิดถึงเจ้าชะมัด" คาร์บิลัสกระซิบรวบตัวฟาร์คัสมากอดแต่ก็ได้เพียงไม่นานเพราะถูกศอกเข้าที่ท้อง ทำให้คา์บิลัสต้องยอม
ปล่อยกอดแต่ก็ยังล็อคข้อมือไว้อย่างเหนียวแน่น

"ปล่อยข้า แล้วบอกข้ามาว่าเจ้าหายไปไหนมา" ฟาร์คัสพูดเสียงอู้อี้

"ข้าทำงานจริงๆ นะเชื่อข้าเถอะ" 

"ทำอะไรมันก็เรื่องของเจ้า แต่เอาไอ้หมวกโง่ๆ นี่ออกจากหัวข้าได้แล้ว! ข้าหายใจไม่ออก" 

ราชาปีศาจสะดุ้งเฮือกก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้ามาก

"ไว้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่นะ"

ฟาร์คัสกำลังจะอ้าปากด่าอีกครั้งเมื่อสามารถดึงหมวกเวรออกจากหัวได้ แต่พอหันไปรอบๆ กลับพบเพียงความว่างเปล่า

"แพะเวรเอ้ย..!"

มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย

---------------------
ขำคาร์บี้ 55555555555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 52 27 มิ.ย 59 #ครึ่งหลัง p.15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 27-06-2016 08:31:19
โถ คาร์บี้

สร้างเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ

 :katai5:

อีกกี่วันถึงงานแต่งคะนี่??
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 53 10 ก.ค 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 10-07-2016 23:48:19
ตอนที่ 53

บนเตียงหลังยักษ์ของคาร์บิลัสมีปีศาจอีกานั่งเอนหลังพิงหัวเตียงสีหน้าหงุดหงิด ข้างๆ กันมีมือขวาของคาร์บิลัสยืนหน้านิ่งอยู่

"ข้าจะไม่สนใจมันแล้ว!" ฟาร์คัสสบถกับตัวเองเสียงดัง หน้าตาง่วงงุนเพราะอดหลับอดนอนมาหลายวัน สาเหตุน่ะเหรอ? คือนั่งรอให้คาร์บิลัสมาหาจนดึกดื่นแต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงา!

"ท่านจะไม่สนใจไม่ได้นะขอรับ ท่านฟาร์คัส วันนี้เป็นวันแต่งแล้วนะขอรับ รู้สึกว่าท่านพัพพ์จะส่งชุดของขวัญคู่บ่าวสาวมาให้ท่านด้วย" ชาคอสพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบไม่ยินดียินร้าย

คนเป็นว่าที่ชายาราชาปีศาจสะดุ้งเฮือก "วันนี้? ไม่ใช่พรุ่งนี้งั้นเหรอ เจ้าจำผิดรึเปล่า ชาคอส"

ชาคอสส่ายหน้านิ่งๆ "ไม่ผิดขอรับ วันนี้จัดในห้องโถงของปราสาท"

ฟาร์คัสสบถอย่างหัวเสีย นี่ถ้าเจ้าแพะปัญญาอ่อนนั่นไม่หายหน้าหายตาไป ข้าคงไม่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ "งั้นข้าขอตัวไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน"

"ทำเวลาหน่อยนะขอรับ เพราะชุดของท่านออกจะยุ่งยากนิดหน่อยต้องให้ท่านพัพพ์มาช่วยใส่"

"ข้าจะรีบแล้วกัน" ฟาร์คัสพูดตอบอย่างขอไปทีรีบสาวเท้าเข้าไปในห้องน้ำในหัวครุ่นคิดถึงกำหนดการงานแต่งที่คอร์สมาอธิบายคร่าวๆ ให้ฟัง

ช่วงเที่ยงจะมีการเลี้ยงอาหารและต้อนรับแขกที่จะมางานแต่งงาน.. พอสักบ่ายสองบ่ายสามก็จะจัดพิธีแต่งงานในห้องที่ใช้สำหรับเพื่อการแต่งงานโดยเฉพาะ ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมากมายนอกจากกล่าวคำสาบานเหมือนครั้งงานแต่งงานของเอลล์ มีพิธีแลกแหวน แล้วก็.. อืม การจูบสาบาน ทุกอย่างเน้นความเรียบง่ายเหมือนงานแต่งงานทั่วไป คอร์สบอกว่าถ้าหากจะจัดแบบไม่เรียบง่ายก็สามารถทำได้ แต่ทุกอย่างยุ่งยากกว่ามาก การพาเจ้านั่งสาวเกี้ยวแห่ในเมืองหลวงเอย การแสดงพลังเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเหมาะกับราชาปีศาจเอย ทุกอย่างยุ่งยากทั้งนั้นและนั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ
ส่วนหลังจากนั้นก็เป็นการเข้าห้องหอ..

มันจะไม่มีอะไรมากกว่าการนอนแน่ๆ ข้าแน่ใจ!

ฟาร์คัสส่ายหัวน้อยๆ สลัดเรื่องไร้สาระอย่างการเข้าห้องหอกับคาร์บิลัสออกจากหัว 

แต่โดยรวมแล้วพิธีต่างๆ ของงานก็ถือว่าเรียบง่ายในแบบที่ข้าชอบดี..

ระหว่างที่คิดเรื่อยเปื่อยฟาร์คัสก็อาบน้ำจนเสร็จพอดี สบู่นม สมุนไพรรักษาผิวอะไรสักอย่างที่ทำให้ผิวนุ่มนวล ถูกเอานำมาใช้ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ฟาร์คัสถือว่าวันนี้เป็นวันที่ดีจึงตัดสินใจยอมบำรุงร่างกายของตัวเองให้สะอาดกว่าทุกวันแม้ว่ามันคล้ายกับการกระทำของสตรีก็ตาม

ฟาร์คัสเหลือบมองชุดสีดำที่ดูหรูหราเรียบง่ายวางอยู่บนโต๊ะก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาสวมใส่อย่างไม่ชำนาญ ความรุ่มร่ามที่มาพร้อมความสวยงามนั้นทำเอาฟาร์คัสหงุดหงิดมาก เข้าใจดีถึงเหตุผลว่าทำไมพัพพ์ถึงจะมาช่วยใส่

เพราะว่าชุดพวกนี้มันปัญญาอ่อนมากยังไงล่ะ!

ก็อก ก็อก

"มาแล้ว ข้ามาแล้ววว"

เสียงเคาะประตูดังขึ้นซึ่งก็เป็นช่วงที่ฟาร์คัสต้องการผู้ช่วยเหลือพอดี

"เข้ามา" ฟาร์คัสตอบและถอดเสื้อบ้าๆ ออกจากตัว เหลือเพียงชุดซับในสีขาวที่ใส่ง่ายกว่ากันมาก

เมื่อได้รับคำอนุญาตพัพพ์ก็เข้ามาในห้องน้ำพร้อมกับรถเข็นขนาดย่อมที่ใส่เครื่องสำอาง เสื้อผ้า เครื่องประดับจนเต็มคันรถ พัพพ์กำลังจะทักทายฟาร์คัสก็ต้องตาโต

"ชุด ชุด! นี่หล่อนจะทึ้งชุดรึไงยะ โอ้ยย"

รีบเข็นรถมาใกล้ๆ ฟาร์คัสแล้วถลาเข้าไปจับชุดสีดำที่มีลักษณะคล้ายชุดสูทแต่ทุกอย่างอลังกว่านั้นมาก ลายเส้นของปีศาจที่เป็นมักจะเป็นแบบกดน้ำหนัก สั้นๆ แข็งกร้าว ตามวิสัยของชาวปีศาจทั่วไปซึ่งมันก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นลวดลายปีศาจอีกาสยายปักอย่างสง่างาม บริเวณดวงตาของอีกาประดับด้วยอัญมณีหายากของดินแดนปีศาจอย่างทับทิม มันถูกปักด้านหลังเสื้อด้วยขนาดที่ว่ามองจากหน้าปราสาทก็ยังสามารถเห็นอีกาสยายปีกนี่ได้ แต่ที่เด่นกว่านั้นคือมงกุฏสีทองจางๆ ที่เย็บอยู่เหนือหัวอีกา มันแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งอันสำคัญในอนาคตของฟาร์คัส ส่วนด้านหน้าเสื้อประกอบด้วยความรุ่มรามมากๆ เพราะดูเหมือนฟาร์คัสจะใส่มันไม่เป็นแล้วดันทุรังใส่มั่วจนพันกันไปหมด

"เจ้าใส่ไม่เป็นก็เรียกคนมาช่วยใส่ ท่านฟาร์คัส" พัพพ์เอ็ดออกมาตรงๆ มือแก้ปมเชือกที่พันกันมั่ว

"ข้าคิดว่ามันใส่ง่ายกว่านี้" ฟาร์คัสตอบกลับเสียงเบา สลดลงนิดหน่อยเมื่อถูกดุ

"ไม่ต้องทำเสียงเศร้าขนาดนั้นก็ได้ เกิดท่านคาร์บิลัสมาเห็นเข้าเดี๋ยวฆ่าข้ากันพอดี" พัพพ์อดหัวเราะไม่ได้รู้สึกเอ็นดูในตัวฟาร์คัสอย่างบอกไม่ถูก "มานี่ท่าน ข้าจะใส่ให้ ของสวยๆ งามๆ แบบนี้มันต้องละเอียดละออ"

ฟาร์คัสก้าวมาหยุดยืนตรงหน้าพัพพ์อย่างว่าง่ายสีหน้ายังคงสลดเล็กๆ ที่ตัวเองทำชุดเละไม่เป็นท่าแล้วต้องมาให้คนอื่นแก้ให้อีก
"ท่านใส่มันเข้าไปก่อนเดี๋ยวที่เหลือข้าจัดการเอง" พัพพ์ยื่นเสื้อที่กลับมาหน้าตาแบบเดิมพร้อมจะสวมใส่ให้กับฟาร์คัสและรอให้อีกฝ่ายสวมจนเสร็จก็ลงมือจัดพวกเชือกปมอะไรทั้งหลายแหล่ที่มีเพื่อเพิ่มความสวยงามบนเสื้อ ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย

"เสร็จแล้วท่าน เนี่ย แค่ท่านเรียกข้ามาช่วยก็จบละ ไม่ต้องมางมหาวิธีใส่เอง" พัพพ์ยิ้มออกเมื่อจัดชุดเสร็จแล้วฟาร์คัสออกมาดูน่ามองมาก ชุดนี้ก็คล้ายกับว่าเน้นแสดงหุ่นของเจ้าของร่างทำให้รู้ว่าฟาร์คัสนั้นตัวเล็กและผอมกว่าที่คิดมาก ส่วนพวกความรุ่มร่ามก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีช่วยขับชุดให้ออกมาดูมีค่าและทำให้ดูสง่างาม 

ฟาร์คัสเบิกตากว้างมองพัพพ์ด้วยสวยตาชื่นชมที่สามารถแก้ปัญหาชุดปัญญาอ่อนได้ไวมาก

"แต่เดี๋ยวนะ นี่ตาท่านไปทำอะไรมาเนี่ย!" นายพายถึงกับยิ้มค้างเมื่อเห็นหน้าอิดโรยของฟาร์คัสและถุงใต้ตาอันโดดเด่น 
ฟาร์คัสยิ้มแหยๆ "ข้านอนดึกนิดหน่อยน่ะ"

"โอ้ย ท่านน่าจะนอนดึกช่วงอื่นที่ไม่ใช่ช่วงนี้นะ" พัพพ์บ่นจริงจังเดินกลับไปควานหาเครื่องสำอางในรถเข็นออกมาเพื่อปกปิดร่องรอยบนใบหน้าฟาร์คัส ซึ่งตามจริงแล้วไม่ต้องใช้ด้วยซ้ำไปถ้าตามันไม่ดำขนาดนี้

เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้นอนดึกฟาร์คัสก็หน้านิ่งเจือหงุดหงิด "ข้าไม่ผิดสักหน่อย เจ้าแพะโง่นั่นไม่ยอมกลับห้องมาเอง"

"อะไรนะ? ท่านคาร์บิลัสไม่ยอมกลับห้องเหรอ" พัพพ์พูดขณะที่กำลังใช้พวกแป้งอะไรสักอย่างของดินแดนปีศาจทาทับรอยดำจากอาการนอนดึก

ฟาร์คัสนั่งลงบนเก้าอี้เมื่อเห็นพัพพ์พยายามเขย่งขึ้นมาแต่งหน้าตัวเอง "อืม มันหายหัวไปไหนก็ไม่รู้"

"ท่านไม่ต้องทำหน้าหึงขนาดนั้นหรอกน่า ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าท่านคาร์บิลัสติดท่านขนาดไหน" พัพพ์พูดกลั้วหัวเราะ ข่าววงในนี่ถือว่าเรื่องนี้เด็ดและเมาท์สนุกมาก 

ฟาร์คัสหน้าแดงเล็ก หลบตาพัพพ์ "ข้ารู้ ว่ามันคงจะไม่ทำอะไรโง่ๆ หรอก แต่ข้าก็แค่อยากรู้ว่าทำไมถึงไม่ยอมกลับมาหาข้าบ้าง"
แต่พอนึกถึงเรื่องที่ตัวเองโดนคลุมหัวแล้วกอดฟาร์คัสก็หงุดหงิดขึ้นมาทันควัน หน้าหงิกงอไม่พอใจ

"พอกลับมาทีก็ทำเรื่องปัญญาอ่อนอีก"

"เรื่องปัญญาอ่อนอะไรเหรอ? เล่าหน่อยสิท่าน ข้าให้คำปรึกษาได้นะ" พัพพ์หูผึ่งทันที  งานเผือกก็มา

ฟาร์คัสแค่นเสียงขึ้นจมูกหน้าแดง "ไม่มีอะไรหรอก เรื่องไร้สาระ"

"ไร้สาระข้าก็ให้คำปรึกษาได้ ท่านไม่รู้อะไร ข้าโด่งดังมากเลยนะเรื่องให้คำปรึกษาคู่รัก มีคู่ไหนบ้างที่มาปรึกษาข้าแล้วไม่คืนดีกัน ฉะนั้นท่านต้องเล่ามา" พัพพ์ปั้นหน้าให้น่าเชื่อถือในขณะที่พูดเพราะทุกอย่างที่กล่าวมาโม้ล้วนๆ 

"ไม่" ฟาร์คัสตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด เรื่องน่าอายแบบนี้มีข้ากับเจ้าแพะโง่นั่นที่รู้ก็พอแล้ว "แล้วนี่ใกล้เสร็จรึยัง ข้าต้องออกไปรับแขกตอนเที่ยงอีก"

มันเป็นแค่ข้ออ้างหนีจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของพัพพ์เท่านั้น.. แต่สิ่งที่ไม่ใช่ข้ออ้างก็คือความอยากเจอเจ้าแพะโง่นั่น วันนี้เป็นวันแต่งงานไม่มีทางที่มันจะหลบหน้าข้าได้แน่ๆ

"ไม่เล่าก็ไม่เล่า" พัพพ์กลอกตาเซ็งๆ "เสร็จแล้วล่ะ ท่านเข้างานได้เลย ถ้ามีปัญหาอะไรกับชุดกับหน้า ท่านก็เรียกข้าได้ ข้าอยู่ในงานของท่านนั่นแหละ" 

"ขอบคุณเจ้ามาก" ฟาร์คัสผงกหัวรับและคลี่ยิ้มให้ก่อนจะก้าวไวๆ ออกจากห้องน้ำเพื่อที่จะไปถึงที่จัดงานให้ไวที่สุด ในหัวเริ่มคิดหาคำด่าคาร์บิลัสที่กล้าทิ้งให้อยู่คนเดียว แต่เมื่อเปิดประตูกลับเข้าไปในห้องก็ถูกบางอย่างโถมกอดแน่นจนหน้าจมลงไปในอก

"คาร์บิลัส?" ฟาร์คัสเรียกออกมาอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าเจ้าตัวจะมานั่งรออยู่ในห้องนอน

"อืม" คาร์บิลัสยังคงกอดแน่นเพื่อคลายความคิดถึงที่ก่อตัวมานานหลายวัน

"ปล่อยข้าไอ้แพะเวร" ฟาร์คัสพยายามผลักตัวคาร์บิลัสออก ถึงแม้ในอกจะรู้สึกดีใจแต่ความหงุดหงิดนั้นมีมากกว่า

คาร์บิลัสยอมผละออกมาแล้วยิ้มให้ฟาร์คัสด้วยท่าทางที่คิดว่าตัวเองดูดีที่สุด

ฟาร์คัสเมื่อเห็นหน้าคาร์บิลัสชัดๆ ก็หน้าแดงก่ำ

เดิมทีคาร์บิลัสก็มีหน้าตาดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแต่ทรงผมใหม่นั้นดูจะขับให้ใบหน้านั้นดูดุและลึกลับมากกว่าเดิม ยิ่งรวมกับเสื้อผ้าสีดำหรูหรานั่นยิ่งทำให้คาร์บิลัสดูเหมือนราชาปีศาจที่เต็มไปด้วยสเน่ห์ลึกลับและพลังอำนาจ แต่ที่ต้องยอมรับจริงๆ คือความหล่อเหลาของคาร์บิลัสที่ทำเอาฟาร์คัสแค่มองก็รู้สึกประหม่า

"นี่คือสาเหตุที่เจ้าหายไป?" ฟาร์คัสพูดเสียงขาดๆ หายๆ รู้สึกคล้ายกับโดนนัยน์ตาสีเทาของราชาปีศาจมอมเมา

"อืม ข้าทนหลบหน้าเจ้าตั้งหลายวัน" คาร์บิลัสยิ้มทำท่าจะกอดฟาร์คัสอีกรอบ แต่ฟาร์คัสก็ไหวตัวทันหลบได้ก่อน หน้าตายิ้มๆ
ของราชาปีศาจจึงงอง้ำเล็กน้อย "ขอข้ากอดหน่อยสิ ฟาร์คัส ข้าคิดถึงเจ้ามากเลยนะ"

"แพะโง่ก็อยู่ส่วนของแพะโง่ไปสิ" ฟาร์คัสอดด่าไม่ได้ กับแค่เรื่องนี้เจ้าแพะปัญญาอ่อนนี่ถึงกับต้องหลบหน้าข้าตั้งหลายวันจนข้ารู้สึกเสียดายในความกังวลและกระวนกระวายของตัวเอง

ถ้ารู้แบบนี้ ข้าไม่คิดมากให้โง่หรอก!

"ข้าคิดถึงเจ้าจริงๆ นะ เจ้าไม่คิดถึงข้าเหรอฟาร์คัส" คาร์บิลัสส่งสีหน้าน่าสงสารให้กับฟาร์คัส ซึ่งมันก็คล้ายกับสุนัขตัวโตมองเจ้านายตัวเองหงอยๆ

---------------------------

มาแล้วววว  :mc4:

 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 53 10 ก.ค 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-07-2016 00:02:45
เย้ๆ มาแล้ว
โถ่เอ้ย คาบิลัส สุดท้ายก็แอบมาหาฟาร์คัสอยู่ดี ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 53 10 ก.ค 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-07-2016 01:15:50
อ่อย 555555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 53 10 ก.ค 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-07-2016 08:27:18
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 53 10 ก.ค 59 #ครึ่งแรก p.15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 11-07-2016 23:08:39
 :ling1:

อยากเห็นแฟนอาร์ทชุดแต่งงานจริง T T สไตล์โกธิคเหรอคะ??
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 53 12 ก.ค 59 #ครึ่งหลัง p.16
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 12-07-2016 23:15:03
"เออๆ" ฟาร์คัสถอนหายใจเซ็งๆ ยอมยืนนิ่งให้คาร์บิลัสโถมตัวกอดอีกรอบ 

คาร์บิลัสยิ้มกริ่มในขณะที่กอด มือแกล้งอยู่ไม่สุขสอดเข้าไปในเสื้อ

ฟาร์คัสสะดุ้งเฮือก "ไอ้แพะเวร ชุดนี้มันใส่ยาก เอามือเวรๆ ของเจ้าออกไปซะ"

"เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่ได้ยินเลย" คาร์บิลัสลอยหน้าลอยตาพูด

"คาร์บิลัส.."

"อุ้ย!" 

เสียงแปลกปลอมจากบุคคลที่สามทำเอาทั้งคาร์บิลัสและฟาร์คัสรีบผละออกจากกันทันที

"ดูเหมือนข้าจะมาขัดจังหวะพวกเจ้านะเนี่ย" เป็นนายพายคนเดิมเพิ่มเติมคือความอิจฉาแรง ก่อนที่พัพพ์จะสะดุ้งสุดตัวรีบเข็นรถเข็นออกจากห้องเมื่อเห็นสีหน้าของราชาปีศาจที่ส่อกลายๆ ว่ารีบๆ ออกไป นี่มันเวลาส่วนตัวของข้า

"ฟาร์คัสอย่าลืมที่ข้าบอกนะ วันไหนเจ้าลูกสิบแล้วเรียกข้ามาตั้งชื่อด้วย!" แต่ก็ไม่วายแกล้งหย่อนระเบิดลูกโตเอาไว้และหนีออกไปทันที

ฟาร์คัสคิ้วกระตุกส่วนคาร์บิลัสยิ้มขำๆ

"นั่นคือคำอวยพรรึเปล่า ฟาร์คัส? เจ้าว่าเราทำให้มันเป็นจริงดีไหม"

"เจ้าประสาทกลับแล้วเหรอ คาร์บิลัส" ฟาร์คัสจ้องดุๆ คล้ายจะตำหนิเรื่องการเล่นไม่รู้เวล่ำเวลา "นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ ข้ากับเจ้าไม่ต้องไปหน้างานคอยรับพวกมางานเหรอ"

พยายามเบี่ยงเบนความสนใจออกจากเรื่องพวกนี้เพราะถ้าเจ้าแพะโง่นี่คิดจะทำจริง ข้าคงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี

"เจ้าไม่รู้อะไร เจ้าพวกนั้นมางานกันตั้งแต่ก่อนเที่ยงจนตอนนี้พวกมันก็ยังกินไม่เสร็จเลย" คาร์บิลัสพูดกลั้วหัวเราะ "เชื่อข้าสิ ต่อ
ให้งานพิธีจะเริ่มพวกมันก็ยังจะกินต่อไม่สนใจใคร"

"ก็ไม่แปลกนักหรอก แพะปัญญาอ่อนอย่างเจ้ามันก็ต้องมีเพื่อนประหลาดๆ อยู่แล้ว"

"ข้าจะถือว่านั่นเป็นคำชมนะ"

คาร์บิลัสพูดยิ้มๆ แล้วเอื้อมมือไปโอบไหล่ฟาร์คัสมาเบียดกับไหล่ตัวเองและร่ายเวทสั้นๆ เพื่อไปยังหน้าหน้างานที่เพิ่งหลบออกมาหาฟาร์คัส
 

ภายในงานเลี้ยงนั้นประกอบด้วยโต๊ะยาวขนาดยักษ์ที่มีอาหาร น้ำ เหล้าแทบจะทุกชนิดในดินแดนปีศาจวางเรียงรายอย่างอลังการโดยมีปีศาจคอยเติมให้อย่างสม่ำเสมอเมื่ออาหารบางเมนูหมด ส่วนโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งนั้นถูกวางอย่างเป็นระเบียบรอบห้อง
ถึงแม้ว่าจะเป็นงานที่ไม่เน้นความเป็นทางการมากนักแต่นิสัยของคาร์บิลัสคือความเป็นระเบียบและมีวินัย ทุกอย่างจึงยังคงอยู่ในความเป็นระเบียบ 

แขกที่มาร่วมงานส่วนใหญ่นั้นเป็นคนที่คาร์บิลัสสนิทด้วยและไว้ใจเป็นส่วนใหญ่ซึ่งก็มีจำนวนไม่มาก อีกส่วนหนึ่งก็เป็นพวกเพื่อนของคาร์บิลัสและฟาร์คัสอีกทีซึ่งรวมๆ แล้วแขกที่มางานมีไม่ถึงครึ่งของจำนวนปีศาจที่ทำงานในปราสาทด้วยซ้ำไป
ซึ่งในตอนนี้แขกที่เชิญมาก็ทยอยเข้ามาหยิบและนั่งกินข้าวกันเงียบๆ ผิดกับโต๊ะหนึ่งที่โหวกเหวกโวยวายคุยกันแทบจะตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในปราสาท

คนแรกนั้นเป็นปีศาจร่างยักษ์หน้าตาหล่อจัดสวมชุดทางการ ตามแขนขาและข้อมือมีรอยสักสีดำทมิฬประจำตระกูล ผมสีดำถูกตัดระสั้นเข้ากันดีกับนัยน์ตาสีดำสนิทซึ่งถ้ามองไปนานๆ คล้ายจะรู้สึกถูกมอมเมา ซึ่งในตอนนี้ก็กำลังถือแก้วไวน์และเอนแก้วไปมาเล่นฆ่าเวลา 

ส่วนอีกคนนั้นเป็นปีศาจแวมไพร์ร่างไม่บางไม่หนานัก มีผมสีทองยาวในตอนนี้ถูกถักเป็นเปียเดียวผูกด้วยริบบิ้นสีแดงสดเพื่อแสดงถึงความสุภาพ เนื้อตัวซีดจัดเพราะเจ้าตัวไม่ยอมกินเลือดมนุษย์หรือปีศาจตนใดและใช้ชีวิตด้วยการกินอาหารทั่วไปแทน นัยน์ตาสีเลือดจดจ้องไปยังหน้างานอย่างเกียจคร้าน

"เฮ้ เฮ้ นั่นมันไอ้โง่คาร์บิลัส มันพาเมียมันมาด้วย ดูสิ วินตัส" ซัคคาร์ผลักไหล่เพื่อนตัวเองจนเซและชึ้ไปยังคาร์บิลัสด้วยความหมั่นไส้

วินตัสหรือปีศาจแวมไพร์หน้าแดงก่ำ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ชื่นชอบกันกินเลือดแต่ถ้ากับสุราน่ะเหรอ หนังคนละม้วนเลยทีเดียว ขอแค่มันสามารถทำให้มึนเมาหรือมีรสชาติจัดจ้านขมลิ้น วินตัสชอบทั้งนั้นน นัยน์ตาสีแดงติดจะหวานเชื่อมมองตามมือเพื่อนรักตัวเองแล้วพูดเสียงอ้อแอ้ ""จริงด้วย.. นั่นมันปีศาจอีกาที่มันชอบโม้ถึงบ่อยๆ นี่นา ไม่คิดว่าจะดูดีขนาดนี้"

"เนอะไอ้ค้างคาวคออ่อน หน้าตาธรรมดาๆ อย่างมันต้องเป็นคนสุดท้ายที่หาเมียได้สิ ไม่ใช่ข้ากับเจ้าต้องมาแย่งชิงตำแหน่งสุดท้ายกันเอง"

"ใครจะแย่งกับเจ้ากันซัคคาร์ อย่างน้อยข้าก็มีคนที่ชอบแล้วกัน" หัวเราะหึๆ ในลำคออย่างสะใจ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกมึนเมาไม่น้อยแต่วินตัสก็ยังพอโต้ตอบได้

"ถ้าเจ้านับไอ้งั่งที่ยอมให้เจ้ากินเลือดนั้น ข้าไม่นับนะ"

"นับสิต้องนับ เจ้าปัญญาอ่อนนั้นถึงกับยอมให้ข้ากินเลือด ทั้งๆ ที่ข้าอดเลือดได้ตั้งนานแล้ว!" วินตัสโวยวายเมื่อนึกถึงภาพมนุษย์หน้าโง่ตัวนึงที่ติดเขาแจจนยอมให้กินเลือดฟรีๆ 

ถ้าไม่เรียกว่ามนุษย์หน้าโง่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรแล้ว
 
"มันก็แค่หลงหน้าเจ้าเท่านั้นแหละ ถ้ารู้ว่านิสัยเจ้าแย่แบบนี่้ เป็นข้าก็ไม่เอา" ซัคคาร์แกล้งส่งสีหน้าขยะแขยงใส่

"หุบปากเน่าๆ ของเจ้าไปซะ" วินตัสขู่แง่งๆ มองตาขวางแทบจะสร่างเมาและกระโดดกัดคอไอ้เพื่อนปากเสียนี่ให้รู้แล้วรู้รอด

"ข้าไม่หุบใครจะทำไม ใช่ไหม เพื่อนยาก คาร์บิลัส" ซัคคาร์พูดพร้อมโบกไม้โบกมือให้สองคู่บ่าวสาวที่เดินเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายวูบมองฟาร์คัสอย่างสำรวจ

"ข้าบอกแล้วว่าไว้ใจได้ ไม่ต้องมาแอบดูเรื่องในหัวว่าที่เมียข้า!" คาร์บิลัสดึงฟาร์คัสให้ไปหลบข้างหลัง จ้องซัคคาร์ด้วยสีหน้าถมึงทึง

"ดูเหมือนว่าวันนี้มีแต่คนหงุดหงิดข้าแฮะ" ซัคคาร์พูดด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ และไหวไหล่ให้คาร์บิลัส "ข้าก็แค่เป็นห่วงเฉยๆ ว่าเมียเจ้าคิดจะฆ่าเจ้ารึเปล่าเพราะเจ้าทั้งโง่และปัญญาอ่อนขนาดนี้"

ฟาร์คัสหลุดหัวเราะออกมาซึ่งมันก็ทำให้คาร์บิลัสหันขวับมองตัดพ้อทันที

"ข้าไม่มีปัญญาเจ้าแพะโง่นี่หรอก" ฟาร์คัสพูดยิ้มๆ เลิกคิ้วให้คาร์บิลัส คาร์บิลัสจึงกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิม

"เฮ้ๆ เพื่อนก็อยู่ ถ้าเจ้าอยากจู๋จี๋กันรอตอนเข้าห้องหอ ขอเวลาและความสำคัญให้พวกข้าบ้าง รู้ไหมกว่าจะหาโอกาสรวมตัวกันแบบนี้ได้มันยากมากเลยนะ" วินตัสบ่นกระปอดกระแปดเรื่อยเปื่อย อารมณ์หงุดหงิดยังคงตกค้างจากการดูแซวเรื่องมนุษย์หน้าโง่

"เจ้าเหงานักรึไง วินตัส เมื่อคืนมนุษย์หน้าโง่ไม่กอดเจ้าเหรอถึงดูอยากให้พวกข้าสนใจนัก" ซัคคาร์แขวะอีกรอบแล้วจิบไวน์ที่
เหลือจนหมดเพราะคอแห้งจากการพูดมากเกินไป

"โอ๊ย ข้าบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ เจ้าจะอะไรกันนักกันหนากับมันวะ รู้ไหมกว่าข้าจะโกหกหนีมันมางานแต่งคาร์บิลัสได้เนี่ย ข้าต้องเสียน้ำตาไปเท่าไหร่!" วินตัสโอดครวญในประโยคท้ายๆ

เพราะเจ้ามนุษย์หน้าโง่เอาแต่จะขอตามมาด้วย ซึ่งงานแต่งงานของเพื่อนแบบนี้ เขาไม่ต้องการส่วนเกินของงานอย่างมันแน่นอน

"พวกเจ้านี่นับวันยิ่งพูดมาก ข้าว่าตอนที่พวกเรายังเรียนด้วยกัน พวกเจ้ายังไม่พูดมากและขี้บ่นกันขนาดนี้นะ" คาร์บิลัสขมวดคิ้วมุ่นพูดเสียงจริงจัง

"เจ้าอย่ามาสร้างภาพต่อหน้าเมีย ขอร้อง แค่อ้าปากข้าก็รู้หมดแล้วว่าเจ้าคิดอะไรในหัว" ซัคคาร์พูดกลั้วหัวเราะกระชากร่างหนาๆ ของคาร์บิลัสให้ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้และยื่นแก้วไวน์ที่รินไวน์ไว้เต็มแก้วให้กับคาร์บิลัสเชิงบังคับ

"ดื่มซะ แก้วนี้สำหรับเจ้าที่กำลังจะได้แต่งงานเป็นคนแรก"

คาร์บิลัสยิ้มกว้างหัวเราะ รับมันมาดื่มรวดเดียว และหันไปสบมองฟาร์คัส

ฟาร์คัสพยักหน้านิ่งๆ ก่อนที่จะเดินจากไป ทิ้งให้เหลือเพียงสามสหายที่สนิทกันมากๆ

วินตัสโคลงหัวไปมาเมื่อได้ยินคำว่าแต่งงานคนแรกและขมวดคิ้วเมื่อตัวเองไม่ได้แสดงความยินดีเป็นคนแรก "ซัคคาร์ ข้าตกลงกับเจ้าแล้วนะ ว่าข้าจะเป็นคนพูดคำนี้และยื่นแก้วให้ นี่เจ้าแย่งข้าพูดเหรอ"

ซัคคาร์ยิ้ม "ช่วยไม่ได้เจ้ามัวแต่เมามองคนเดินผ่านไปผ่านมาตาเยิ้มเอง ช่วยไม่ได้"

วินตัสขยับปากด่าไร้เสียงก่อนจะหยิบกล่องของขวัญออกจากกระเป๋าเสื้อมายื่นให้กับคาร์บิลัส "ข้าเคยได้ยินว่าอีกาชอบอัญมณีสีสันสดใส หวังว่าเมียเจ้าจะชอบแล้วกัน"

"ขอบใจ วินตัส" คาร์บิลัสกล่าวยิ้มๆ "จะว่าไปข้าก็ชักอยากจะเห็นมนุษย์หน้าโง่ของเจ้าบ้างแล้ว ซัคคาร์เจ้าพอจะดึงภาพมันออกมาให้ข้าเห็นได้ไหม" 

"ถ้าข้าทำได้ ตระกูลข้าคงเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว คาร์บิลัส" ซัคคาร์ส่งสีหน้าเหม็นเบื่อ "น่าเสียดายที่เจ้าไม่เคยเจอมัน ไม่งั้นเวทของเจ้าก็พาเจ้านั่นมางานแต่งเจ้าได้แล้ว"

"อืม ข้าก็ว่าน่าเสียดาย แล้วเจ้าไปเจอเจ้ามนุษย์หน้าโง่นั่นตอนไหนเหรอ วินตัส" 

วินตัสหน้าแดงก่ำจนไม่แน่ใจว่ามาจากสุราที่ดื่มไปหรือเขินอายกันแน่ "หุบปากพวกเจ้าไปซะ นี่มันงานแต่งของคาร์บิลัส เจ้าก็คุยเรื่องคาร์บิลัสสิ จะมาคุยเรื่องของข้าทำไม!"

ซัคคาร์ชักสีหน้าใส่วินตัส

"แค่เจ้ายอมๆ ให้ข้าดูความทรงจำในหัวก็จบละ จะได้เล่าง่ายๆ ไม่ต้องถามเจ้าให้ยุ่งยาก"

"ซัคคาร์ หรือว่าเจ้าอยากเป็นเหยื่อรายแรกในรอบห้าปีของข้า!" วินตัสแยกเขี้ยวโชว์เขี้ยวแหลมของแวมไพร์ที่งอกออกมาพร้อมจะกัดคอเหยื่อ

"โอัะๆ ข้ากลัวจังเลย" ซัคคาร์แสร้งทำท่าตกใจ "คาร์บิลัส ข้าก็เตรียมของมาให้เจ้าเหมือนกัน เจ้าไม่ต้องน้อยใจไป ถึงของที่ข้าให้มันจะมีมูลค่าไม่มากแต่มันมีมูลค่าต่อจิตใจมากในขนาดที่ว่าแค่เจ้าก็เห็นก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของข้าที่พยายามสรรหามาให้เจ้า"

ถ้อยคำที่ถูกพ่นออกมายาวเหยียวถูกใช้ในการแนะนำของขวัญของซัคคาร์ที่ถูกบรรจะอยู่ในถุงลายดอกไม้สีดำ

"ขอบใจเจ้ามาก" คาร์บิลัสพูดด้วยความดีใจและแกะเปิดของซัคคาร์ทันทีด้วยความสงสัย เพราะดูจะมีการบรรยายสรรพคุณของชิ้นนี้ซะมากมาย

คาร์บิลัสหยิบมันออกมาด้วยความกระตือรือร้นและชะงักค้างไป

สีหน้าที่จากรอยยิ้มค่อยๆ กลายเป็นนิ่งสนิท

"นี่เจ้าให้ผ้าเช็ดตัวเป็นของขวัญงานแต่งงานข้า?"

--------------

ตอนนี้ดูๆ แล้วน่าจะยาวมากเลยหั่นเป็นสองตอนค่ะ ตอนนี้ตอนหนึ่งส่วนตอนสองก็  :z10:

ชุดแต่งงานเอาจริงๆ อยากได้สูทเพราะชอบชุดสูท  :o8:

แต่มันจะดูไม่ค่อยแฟนตาซีก็เลยออกแนวๆ โกธิคอย่างที่คุณ Bluecherries ว่าค่ะ 5555

(http://www.mx7.com/i/9fd/a6S0HQ.jpg) (http://www.mx7.com/view2/ze3ayTF8qGOpA7N9)


 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 53 12 ก.ค 59 #ครึ่งหลัง p.16
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-07-2016 23:29:37
เพื่อนแต่ละคนนี่ท่าทางพอๆ กันแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 53 12 ก.ค 59 #ครึ่งหลัง p.16
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-07-2016 23:58:57
รุ่นพ่อก้อหนัก รุ่นลูกก้อหนัก 555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 53 12 ก.ค 59 #ครึ่งหลัง p.16
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 13-07-2016 00:01:04
 :hao7:

เจอเพื่อนรักของคาบี้ลัสจนได้

แล้วนี่ลูกๆมางานยังเอ่ย?? ขาดไม่ได้นะสองคนนั้น

(เฮาคิดถึงใครบางคนด้วยล่ะ หวังว่าจะมางานนี้นะ)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 54 21 ก.ค 59 #ครึ่งแรก p.16
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 21-07-2016 23:34:01
ตอนที่ 54

"ฟาร์คัส!"

เสียงเรียกอย่างกระตือรือร้นกระตุ้นให้ฟาร์คัสหันไปมองหลังจากที่เดินแยกออกมาจากกลุ่มของคาร์บิลัส เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

"รุ่นพี่โรซ์เวล" 

เป็นรุ่นพี่เหยี่ยวในชุดทางการของดินแดนนกบอกลาง ชุดสีขาวล้วนเข้ากันดีกับผมสีขาวที่มีปลายสีน้ำตาลทำให้รุ่นพี่โรซ์เวลโดดเด่นมากเพราะบุคลิกที่ดูจะเป็นมิตรและอ่อนโยนที่สุดในงานนี้

คนโดนเรียกชื่อพยักหน้าและยิ้มจนตาหยี "ไม่คิดว่าเจ้าจะเชิญข้ามางานสำคัญของเจ้าด้วย ข้าดีใจนะ ที่เจ้านึกถึงข้า" ไม่ว่าเปล่ายื่นกล่องของขวัญขนาดกะทัดรัดให้ฟาร์คัส

ฟาร์คัสเพียงยิ้มรับและเอ่ยขอบคุณ

กับรุ่นพี่โรซ์เวลนั้นฟาร์คัสไม่ได้สนิทสนมอะไรด้วยมากมายตั้งแต่สมัยที่อยู่ดินแดนนกบอกลาง รู้จักกันเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น จึงหมดเรื่องพูดคุยอย่างรวดเร็ว

โรซ์เวลก็คล้ายจะรับรู้ถึงเรื่องนี้เหมือนกันจึงหัวเราะแห้งๆ "อย่างที่ข้าเคยพูดไว้ เจ้าสามารถกลับดินแดนนกบอกลางได้ ถ้าเจ้าต้องการ"

"ชวนข้ากลับดินแดนทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันแต่งงานของข้า?" ฟาร์คัสส่ายหัวกับความพยายามชวนคุยของรุ่นพี่เหยี่ยว "อีกอย่างข้ากลับไม่กลับไปหรอก ข้าเลือกไปแล้วที่จะอยู่ดินแดนปีศาจ"

คำตอบเหมือนจะดูดีแต่เหตุผลที่แท้จริงคือไอ้แพะปัญญาอ่อนมันต้องตามไปอยู่ด้วยแน่ๆ หลังจากนั้นก็จะเกิดเรื่องวุ่นวายอย่างการตามราชาปีศาจให้กลับไปทำงานซึ่งแค่คิดก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว

โรซ์เวลยิ้มเจื่อนๆ "ข้าแค่อยากเจ้ารู้ว่าดินแดนนกบอกลางยังตอนรับเจ้าเสมอ ถ้าเจ้ากลับไป"

"อืม ข้ารู้แล้ว ท่านบอกข้าหลายรอบแล้ว"

"อ่างั้น ข้าจะอวยพรเจ้าแล้วกัน ฟาร์คัส!" โรซ์เวลพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น "ข้าขอให้เจ้ามีความสุขมากๆ กับท่านคาร์บิลัสนะ อ้อ จริงสิ ตอนนั้นเจ้าเคยบอกข้าว่าชอบเด็ก ข้าจะอวยพรให้เจ้ามีลูกด้วยกันเยอะๆ นะ"

ฟาร์คัสขมวดคิ้วบ่นพึมพำ "ข้าพูดตอนไหนว่าชอบเด็ก? อีกอย่างคำอวยพรนี่มันบ้าเกินไปแล้ว ข้าจะไปมีลูกได้ยังไง"

"อืมม ข้านึกไม่ออกแล้วสิ" โรซ์เวลเกาหัวแกรกๆ "งั้นข้าขอตัวแล้วกัน ฟาร์คัส ถ้าเจ้าอยากคุยกับข้า มาหาข้าได้นะแถวๆ โต๊ะที่มีอาหารเยอะๆ"

ฟาร์คัสพยักหน้าอย่างขอไปทีเริ่มรู้สึกเบื่อรุ่นพี่เหยี่ยวจึงค้อมหัวเบาๆ เชิงขอตัวแล้วสาวเท้าไปยังโต๊ะนึงที่ตอนแรกจะเข้าไปนั่งด้วยแต่ก็โดนรุ่นพี่โรซ์เวลทักเข้าซะก่อน

"ลุกซ์ เจ้ากินดีๆ สิ มันทำให้ข้าเลอะนะ"

"ข้าอยากกินไก่นั่นด้วย"

"กินผักด้วยนะ"

"อืม"

ฟาร์คัสจ้องมองภาพตรงหน้าและกลอกตาเซ็งๆ ไม่รู้ว่าตัวเองจะรู้สึกยังไงดี

เพราะทั้งสองคนนั้นทำคล้ายกับว่ามีเพียงสองคนในโลก โดยที่ลุกซ์ทำหน้าทะเล้นยื่นหน้าไปหาเอลล์รอให้เอลล์คอยตักและป้อนให้ด้วยหน้าแดงๆ ที่ติดจะดุสลับกับเขินอาย

"เอลล์ ลุกซ์"

ฟาร์คัสเอ่ยเรียกเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ผลอะไร ลุกซ์ยังคงเคี้ยวอาหารหงุบหงับมองเอลล์ตาเป็นมัน ฟาร์คัสจึงเปลี่ยนจากเรียกเป็นเคาะโต๊ะเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรอยู่ดี

"นี่มันงานแต่งของข้านะ พวกเจ้าจะรักกันเกินไปแล้ว"  บ่นออกมาอย่างอดไม่ได้และมองเพื่อนทั้งสองของตัวเองอย่างเหนื่อยหน่าย

นี่ข้ามาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า?

"อย่าทำหน้าแบบนั้นในวันแต่งงานของเจ้าสิ ฟาร์คัส"   

ฟาร์คัสเบิกตากว้างสะดุ้งสุดตัวหันขวับ

"ชาร์เลส!"

เพราะไม่คาดคิดว่าคนๆ นี้จะมาได้

"จุ้ๆ อย่าเสียงดังสิ" ชาร์เลสยิ้มและใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเอง 

ฟาร์คัสยังไม่เลิกตกใจ "เจ้า เจ้าไม่ได้กลับไปอยู่กับท่านโฟเทียสงั้นเหรอ"

มองชาร์เลสในชุดทางการสีดำที่ดูจะซอมซ่อด้วยสายตางุนงง

เกิดอะไรขึ้นกับนักสืบกำมะลอคนนี้รึเปล่า? ความสง่างามที่เคยมีหายไปหมด ใบหน้าซูบผอมเหมือนคนไม่มีแรง ผมที่เคยเป็นสีขาวอมน้ำเงินดำกลายเป็นสีขาวดำกระด่างที่ถูกจัดทรงมาลวกๆ

อดีตนักสืบเปลี่ยนสีหน้าทันทีจากยิ้มกลายเป็นสีหน้าเศร้าจัดเหมือนโลกตรงหน้าจะสลาย

ชาร์เลสหัวเราะเสียงขื่นตัวสั่นเทาพยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองร้องไห้เพียงเพราะได้ยินชื่อเขาคนนั้น "หึ แม้แต่มอง ยังไม่อยาก
มองข้าเลย พลังของข้า เขาก็เอาคืนไปหมดแล้ว แค่ก ช่างมันเถอะ วันนี้ข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้าต่างหาก" 

ทั้งๆ ที่น้ำตาเริ่มซึม ชาร์เลสพยายามฝืนยิ้มสะบัดหัวตัวเองไล่เรื่องของคนๆ นั้นออกไปจากหัว พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกร่าเริงที่สุดเพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของฟาร์คัส มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนักที่จะมาแสดงความอ่อนแอของตัวเองในงานแต่งงานของคนอื่น
มีเพียงข้าที่แตกสลายก็พอแล้ว..

"ชาร์เลส..." ฟาร์คัสเรียกเสียงเบาด้วยความเป็นห่วง

เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกเหมือนควบคุมสติตัวเองไม่ได้ "อ้อ ของขวัญสินะ ใช่ๆ ข้าเอามาด้วย มันเป็นของดีเลยล่ะ เจ้าต้องชอบมันแน่ๆ" มือผอมๆ ล้วงเอาขนนกสีดำที่เปล่งประกายสีทองระยิบระยับยื่นมันให้กับฟาร์คัส 

"มันเป็นขนนกของนกที่คนๆ นั้นเลี้ยงไว้ ถ้าเก็บไว้มันจะนำเอาความโชคดีมาให้" ชาร์เลสยิ้มประกอบคำพูดตัวเอง แม้ว่ามือนั้นเย็นเฉียบและสั่นเล็กๆ เมื่อต้องเอ่ยถึงคนๆ นั้น

ถึงจะเป็นแค่การเรียกอ้อมๆ ก็ตาม แต่กลับทำให้หัวใจในอกเต้นรัวคล้ายกับประท้วงเจ้าของร่างว่าความจริงแล้วอยากเรียกชื่อคนๆ นี้ขนาดไหน อย่างเปล่งเสียง อยากถูกเรียก อยากโดนมองด้วยสายรักใคร่เหมือนที่ผู้หญิงพวกนั้นได้รับ
แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เพราะยังไงก็เป็นได้แค่ฝุ่นละอองเล็กๆ ที่โดนมองข้ามอยู่เสมอ

ชาร์เลสจิกเล็บลงที่มือตัวเองพยายามดึงสติตัวเองไม่ให้หลุดร้องไห้โฮออกมา

แต่แล้วภาพที่ตัวเองโดนคนๆ นั้นดึงพลังออกไปและเตะเข้าไปในหลุมดำแห่งดวงดาวที่ใช้สำหรับทำลายทุกอย่างที่ไม่ต้องการ ซึ่งในตอนนั้นก่อนที่จะหมดสติไปก็ทันเห็นคนๆ นั้นโอบชายาที่เขารักและพูดคุยอย่างอ่อนหวาน

อะไรบางอย่างในตัวคล้ายกับกรีดร้องเหมือนบาดเจ็บร้ายแรง จนพยายามกระเสือกกระสนจนรอดออกมาได้แต่มันก็เท่านั้นเพราะตอนนี้ก็เหมือนตายทั้งเป็น! 

"ฮือ ข้าขอเจ้ามีความสุข ฟาร์คัส ฮึก เจ้ารักษาคาร์บิลัสไว้ให้ดี เขารักเจ้าจริงๆ ข้าสัมผัสได้ ข้าขอตัวก่อน ฮือ ข้าจำได้ว่าข้ายังมีงานต้องทำ"

ไม่รอให้ฟาร์คัสพูดอะไร ชาร์เลสร่ายเวทพาร่างตัวเองจากไปทันที

ด้วยพลังวิญญาณที่มีเหลืออยู่ไม่มาก...

"เดี๋ยวสิ..." ฟาร์คัสพูดเบาๆ กับขนนกในมือตัวเองที่แค่มองก็รู้สึกถึงความล้ำค่าของมัน 

สีหน้าของชาร์เลสทำเอาฟาร์ตัสสลดตาม รู้สึกถึงความสิ้นหวังในการใช้ชีวิตของชาร์เลสและรับรู้อะไรบางอย่างที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

"ชาร์เลส..."

ฟาร์คัสครางเรียกเศร้าๆ ในลำคอ

ชาร์เลสกำลังจะตาย...

"อ้ะ ฟาร์คัส เจ้ามาตอนไหนน่ะ แล้วไหนท่านคาร์บิลัสล่ะ นี่งานแต่งเจ้านะ ทำไมไม่มาพร้อมกันข้าขี้เกียจอวยพรหลายๆ รอบ" ปีศาจมังกรไฟร่ายยาว

"งั้นเจ้าก็เห็นเมื่อกี้นี้งั้นสิ" เอลล์พูดเขินๆ เบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างประหม่า

ฟาร์คัสสูดหายใจลึกกดความรู้สึกเศร้าสลดลงไป

ข้าควรจะเคยชินกับความตายได้แล้ว วันนี้เป็นวันที่ดีของข้า

ปีศาจอีกาปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ

"ข้ามาทันเห็นตั้งแต่เจ้าป้อนไก่แล้วกัน"

"อย่าคิดว่าข้าจะเขินอายเพราะมากกว่านี้ข้าก็ทำได้ ฮ่าๆ" ลุกซ์ไหวไหล่และยิ้มกรุ้มกริ่มใส่เอลล์ เดิมทีแล้วปีศาจมังกรไฟเป็นพวกมีนิสัยโผงผางเถรตรง ลุกซ์จึงไม่รู้สึกเขินอายแม้แต่นิดเดียวต่อให้ทุกคนจ้องมองมาที่ตนเองก็ตาม

มีอะไรน่าเขินอาย ในเมื่อข้าไม่ได้ทำใครเดือดร้อนนี่?

ผิดกับอดีตราชาภูตน่าแดงก่ำไอแค่กๆ แก้เก้อ

"ข้าเอาของขวัญมาให้เจ้าด้วยนะฟาร์คัส"

พยายามเบี่ยงเบนประเด็นการพูดคุยไปเรื่องอื่น

ฟาร์คัสรับรู้ถึงจุดประสงค์ดีก็ยอมปล่อยๆ ไปเพราะกลัวว่าหากตัวไม่ยอมทำตาม อดีตราชาภูตหน้าบางนี่จะหนีกลับบ้านไปซะก่อน 

ในระหว่างที่รอเอลล์ก้มหน้าก้มตาหาของขวัญในกระเป๋าที่ใส่ของมา ปีศาจอีกาก็ใช้เวลานี่ในการสำรวจเพื่อนทั้งสองของตัวเองที่ไม่ได้เจอกันตั้งแต่เรื่องนั้นจบไป เรียกได้ว่าแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเองเลยก็ว่าได้

เอลล์อยู่ในชุดของราชาภูตที่ดูกึ่งทางการเพราะมันถูกเพิ่มเติมด้วยพวกดอกไม้สีอ่อนๆ ประดับอยู่ตามเสื้อผ้าทำให้ดูนุ่มนวลและอ่อนโยนจนเหมือนเป็นภูตดอกไม้มากกว่าราชาภูต ส่วนลุกซ์ก็ยังอยู่ในชุดกึ่งเปลือยเหมือนเดิม เสื้อคลุมเรียบร้อยนั่นถูกปลดกระดุมออกจนหมดทำให้เห็นแผงอกแกร่งที่ดูจะแข็งแรงเอามากๆ ผมของลุกซ์ก็ดูเหมือนจะถูกตัดสั้นจนแทบติดหนังหัวซึ่งก็น่าจะมาจากเหตุผลคือความขี้ร้อนของเจ้าตัวเหมือนกัน

"ที่ดินแดนภูตเชื่อกันว่าถ้าหากเจ้าเก็บดอกไม้นี่ไว้มันจะช่วยเรื่องความรัก" 

เอลล์ยื่นดอกไม้สีกลับสีชมพูซ้อนกันหลายชั้นที่ทำจากผลึกหายากให้กับฟาร์คัสด้วยรอยยิ้ม

"มันจะช่วยให้เจ้ากับคาร์บิลัสรักกันมากยิ่งขึ้น"

ฟาร์คัสตอนแรกจะเอ่ยขอบคุณก็ชะงัก

ข้าควรจะดีใจใช่ไหม ที่เจ้าแพะโง่นั่นจะรักข้ามากกว่านี่? แต่ตอนนี้มันน่าจะมากเกินพอแล้วนะ... 

ฟาร์คัสคิดเบื่อๆ ก่อนจะสบถมื่อนึกถึงสภาพตัวเองเมื่อหลายวันก่อนออก

ข้าก็ปัญญาอ่อนพอๆ กับแพะโง่นั่นเหมือนกัน

"ขอบคุณนะ เอลล์ ข้าก็ขอให้เจ้ากับลุกซ์รักกันมากๆ เช่นกัน" 

"นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว" ลุกซ์ยืดอกรับหัวเราะในลำคอใช้แขนโอบไหล่เอลล์ "ห่วงแต่เจ้านั่นแหละ จะตามท่านคาร์บิลัสทันรึเปล่า ถึงตอนที่อยู่กับเจ้าจะเป็นคนละคนก็เถอะ แต่เจ้าอย่าลืมว่าคาร์บิลัสเป็นราชาปีศาจนะ เล่ห์กลอะไรเจ้าไม่มีวันทันท่านคาร์บิลัสหรอก"

อย่างข้าจะตามเจ้าแพะโง่ นั่นไม่ทัน? ตลกแล้ว

"แพะโง่มันก็แค่แพะโง่" ฟาร์คัสตอบอย่างมั่นใจ

ลุกซ์หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเรียกของฟาร์คัสก่อนะหัวเราะออกมา "ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ เดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่าแพะแกล้งโง่เป็นยังไง"

"คาร์บิลัส! ข้าคิดถึงเจ้าจัง!"

ฟาร์คัสหันขวับไปมองคาร์บิลัสทันที

เสียงคาเลน! 

ซึ่งภาพที่เห็นก็ทำเอาฟาร์คัสมีสีหน้าเย็นเยียบ

"เอ่อ คาเลน เจ้า เจ้าอย่ากอดข้าสิ นี่งานแต่งข้านะ ไม่ใช่วันเกิดเจ้า" คาร์บิลัสหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดเมื่อหันไปเห็นสีหน้าฟาร์คัสพอดี

ข้าไม่ได้ชวนนะ!

คาร์บิลัสสบตาฟาร์คัสพยายามสื่อสารทางสายตา แต่กลับโดนฟาร์คัสถลึงตามองกลับมา

"วันสำคัญของเจ้าข้าก็ต้องมาสิ!" คาเลนหน้ายู่ด้วยท่าทางน่ารักไม่สนใจรังสีอำมหิตจากด้านหลัง "นี่เจ้าตั้งใจไม่ชวนข้าใช่ไหม! ข้าน้อยใจนะ"

"ก็ข้ารู้ว่าถ้าชวนเจ้ามา จะเป็นแบบนี้นี่" คาร์บิลัสบ่นพยายามผลักตัวคาเลนออกถึงแม้ว่าใจจริงอยากจะโยนกลับดินแดนไปเลยด้วยซ้ำแต่ก็ทำไม่ได้ 

อย่างไรก็ตามคาเลนก็ยังเป็นเพศแม่อยู่ดี 

คาเลนยื้อสุดตัวไม่กระดุกกระดิก "นี่! ข้าตั้งใจจะมาบอกเจ้าด้วยแหละว่า ข้าตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว" แอบเหล่มองไปทางฟาร์คัสและเชิดหน้ากลับมาหาเจ้าบ่าวของงานแต่งงาน

"จะบอกอะไรก็รีบบอกเถอะ ปล่อยข้าสักที" คาร์บิลัสพูดด้วยความละเหี่ยใจ "ก่อนที่ข้าจะผลักเจ้าออกจริงๆ"
ฟาร์คัส อย่ามองข้าแบบนั้น ตัวข้าแทบจะกลายเป็นเนื้อสับละเอียดแล้ว ฮือๆ

ทำไมฟาร์คัสของข้าถึงได้น่ากลัวขนาดนี้กัน

"เจ้าจะผลักข้าทั้งๆ ที่ข้าสวยขนาดนี้งั้นเหรอ!" คาเลนโวยวายจับชุดกระโปรงลูกไม้สีชมพูจ๋าของตัวเองขึ้นมาคล้ายจะอวดกลายๆ "ชุดนี่ข้าปักเองเลยนะ!"

"ข้ามีชายาแล้ว คาเลน เจ้าสวยขนาดไหนข้าก็ไม่สนใจอยู่ดี" คาร์บิลัสพูดเสียงเรียบมองฟาร์คัสด้วยสายตาหวานเชื่อม

ถ้าเกิดข้าพูดไม่เข้าหูฟาร์คัสตอนนี้ มีหวังห้องหอข้า ข้าคงได้นอนกองอยู่ข้างนอก

ฟาร์คัสเห็นสายตาของแพะโง่มองมาก็เบือนหน้าหนี รู้สึกประหม่า

"ฮึ่ย เจ้าอีกานั่นมีอะไรดีกัน ข้ามีดีกว่าตั้งเยอะ" คาเลนบ่นและได้ผลตอบรับเป็นสายตาดุร้ายของคาร์บิลัส คาเลนสะดุ้งส่งเสียงจิ้จ้ะในลำคำไม่พอใจ "ข้าไม่เอาตำแหน่งชายาก็ได้ คาร์บิลัส ข้าเอาตำแหน่งรองชายา"

ข้อเสนอของคาเลนทำเอาคาร์บิลัสสะดุ้งเฮือกในใจ

ทำไมถึงได้ขยันหาเรื่องมาให้ข้านักนะ!

"ข้ารักฟาร์คัส ไม่ต้องการชายาเพิ่มหรืออะไรเพิ่มทั้งนั้น ข้าอยู่กันสองคนได้" ไม่ว่าเปล่าใช้แอบร่ายเวทดึงร่างฟาร์คัสให้มาอยู่ข้างตัวเองแล้วโอบเอวไว้หลวมๆ

"คาร์บิลัส นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!" คาเลนหน้าเสียน้ำตาคลอเมื่อโดนหักหน้า "ข้ายอมเป็นรองชายาก็ดีแค่ไหนแล้ว เจ้ายังจะไม่เอาข้าอีก"

ลองข้าเอาสิ ข้าตายแน่ๆ

คาร์บิลัสคิดในใจหวั่นๆ   

"ถ้าเจ้าจะมาเพื่อบอกข้าแค่นี้ เจ้าก็กลับไปเถอะ" กล่าวอย่างเย็นชา

"ไม่ ข้าไม่กลับ!" คาเลนกระแทกเสียงตอบอย่างดื้อรั้น

"เจ้าจะอยู่ก็อยู่ไป แต่จงอยู่เงียบๆ เพราะนี่มันงานแต่งของข้า ให้เกียรติ์ข้ากับฟาร์คัสด้วย" 

ฟาร์คัสดูเหมือนจะพอใจในสิ่งที่ข้าพูดไม่น้อย รู้สึกถึงไหล่ที่ผ่อนคลายลงและยอมให้โอบเอวต่อไปอย่างว่าง่ายผิดกับตอนปกติ ถ้าหากโอบต่อหน้าผู้อื่นแบบนี้ ไม่วายมือตั้งโดนหยิกหรือเท้าต้องโดนเหยียบแน่ๆ

ในขณะที่ทั้งห้องเงียบกริบกลับมีเสียงๆ หนึ่งดังขัดขึ้นมา

"วินตัสๆ เจ้าเห็นเหมือนข้าไหม เห็นคนกลัวเมีย" ซัคคาร์พูดเสียงดังแสร้งป้องปากกระซิบกับวินตัส

"เห็นสิ เห็น น่าสงสารจังเลย ราชาปีศาจหายไปไหนแล้วนะ ทำไมข้าเห็นแต่แพะน้อยน่ารักร้องแบะๆ ล่ะ"

พูดจบก็หัวเราะกันเองเสียงดัง

คาร์บิลัสคิ้วกระตุก "ซัคคาร์ เรื่องที่เจ้าให้ผ้าเช็ดตัวข้าเป็นของขวัญงานแต่งงาน เจ้ายังไม่อธิบายเลยนะ"

"ก็ข้าให้เผื่อพวกเจ้าอาบน้ำไง อะไรเนี่ย หรือว่าเจ้าไม่ใช้ผ้าเช็ดตัวล่ะ ท่านคาร์บิลัส อย่าบอกนะว่าเจ้าเอาตัวไปผึ่งลมให้ตัวแห้งน่ะ!" ซัคคาร์แสร้งทำสีหน้าตกใจ

"ไม่น่าเชื่อ ว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้นะคาร์บิลส ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ" วินตัสพยักหน้าอืมๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง

แต่ฟาร์คัสหลุดขำออกมาแม้ว่าจะพยายามเอามือปิดปากตัวเองเอาไว้แล้วก็ตาม

"หึๆ เพื่อนเจ้านี่มันเหมือนเจ้าชะมัด"

"ข้าควรจะดีใจกับคำชมนี่ใช่ไหม" 

"เดี๋ยวสิ! คาร์บิลัส แล้วข้าล่ะ" คาเลนแทบจะร้องไห้เมื่อตัวเองคล้ายจะถูกคาร์บิลัสลืมไปแล้วว่ามีตัวตนในห้องนี้

"อย่าให้ข้าต้องส่งแขก คาเลน"

คาร์บิลัสพูดเสียงเย็นชา เริ่มรู้สึกรำคาญจึงโอบไหล่ฟาร์คัสแล้วเดินออกจากห้อง

"ชาคอส ตารางเวลาไร้สารานะของเจ้าโยนๆ มันทิ้งไปซะ ตามพวกที่มีหน้าที่เกี่ยวกับพิธีมาให้หมด ราชาปีศาจจะแต่งชายา
แล้ว!"

"ขอรับ" ชาคอสที่ยืนอยู่มุมห้องขานตอบหนักแน่นและปลีกตัวไปตามคำสั่งทันที

แม้ว่าในใจจะสบถไม่หยุดที่ตารางเวลาที่ตัวเองบรรจงเขียนขึ้นมาถูกทำพังจนหมด

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะคำพูดของราชาปีศาจคือประกาศิตสำหรับทุกสิ่ง
 


"คาร์บิลัสนะ คาร์บิลัส ข้ายังแต่งตัวไม่เสร็จเลยนะ งานพิธีจริงๆ มันต้องเริ่มบ่ายๆ เย็นๆ นี่มันเพิ่งไม่เท่าไหร่เองนะ!" ปีศาจชราในชุดคลุมสีดำตัวยาวสำหรับทำพิธีบ่นกระปอดกระแปดกับเพื่อนตัวเองที่มีวัยพอๆ กัน

"นั่นสิ ข้าวเที่ยงข้าก็ยังไม่ได้กินเลย หรือว่าคาร์บิลัสจะอยากเข้าห้องหอกับชายาจนตัวสั่นกัน?"

"วัยหนุ่มสาวนี่มันจริงๆ เลย ไม่เห็นใจผู้เฒ่าผู้แก่อย่างพวกข้าเลยรึไง"

"นั่นสิ ถ้าฟีลอสกับเซร่ายังอยู่ ก็คงจะพอมีใครบอกกล่าวเจ้าคาร์บิลัสได้บ้าง"

แต่เมื่อบทสนทนามาถึงตรงนี้ทั้งคู่ก็ชะงักไปทันควันเพราะเผลอกล่าวถึงพ่อแม่ของคาร์บิลัสจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
เพราะหลังจากที่สงครามอันยาวนาวจนลงด้วยน้ำมือของคาร์บิลัส คาร์บิลัสก็ผันตัวเองเป็นราชาปีศาจนั่งไล่จัดระเบียบวางแบบแผนทุกอย่างขึ้นมาใหม่จนหมด และหนึ่งในข้อตกลงที่ถูกร่างขึ้นมานั้นคือการห้ามกล่าวถึงปีศาจที่ตายไปกับสงครามเลวร้ายนั่นโดยไม่จำเป็นเพราะถือเป็นการให้เกียรติ์ต่อวิญญาณของพวกเขา

ซึ่งนั่นก็ไม่นับเป็นเหตุผลที่แท้จริงซะที่เดียวที่พวกเขาเปลี่ยนเรื่องคุย อีกเหตุผลหนึ่งคือกลัวว่าคาร์บิลัสจะมาได้ยินมันเข้า ใครๆ ในดินแดนปีศาจล้วนรู้ดีว่าจุดจบของฟีลอสกับเซร่านั้นไม่สวยงามนัก หากคาร์บิลัสได้ยินเข้าอาจจะบันดาลโทสะเปลี่ยนจากงานแต่งเป็นลานประหารพวกเขาก็ได้

มีปีศาจมากมายเกินไปที่ต้องสูญเสียไปกับสงครามแย่งชิงบัลลังก์โง่ๆ นี่

"ท่านตา นักดนตรีพร้อมแล้ว เก้าอี้พร้อมแล้ว โต๊ะพร้อมแล้ว ทุกคนพร้อมแล้ว" เสียงเล็กๆ ดังเจื้อยแจ้วพูดอย่างกระตือรือร้นในหน้าที่สุดพิเศษของตัวเอง ใบหน้าจิ้มลิ้มมีดวงตากลมโตที่เปล่งประกายระยิบยับด้วยความตื่นเต้นเมื่อวาดภาพที่ตัวเองจะได้เอาเรื่องที่อยู่ในงานแต่งงานราชาปีศาจไปอวดเพื่อนซึ่งแค่คิดก็เห็นสายตาอิจฉาแล้ว!

"ดี เจ้าไปเชิญพวกเขาเข้ามาในห้องเลยแล้วกัน" ปีศาจชราลูบหัวทุยๆ ของหลานตัวเองด้วยความเอ็นดูและหมายมั่นที่จะให้เป็นคนประกอบหน้าที่เหล่านี้แทนตัวเองในอนาคต

"ขอรับ!" รับคำร่าเริงและวิ่งไปเปิดประตูบานยักษ์เพื่อเริ่มงานพิธี

"โฮๆ ประตูเปิดสักที ข้ายืนจนเมื่อยแล้วเนี่ย" ซัคคาร์บ่นเสียงดังรีบสาวเท้าไปจองเก้าอี้ที่ใกล้แท่นพิธีที่สุดเพื่อรอชมภาพวินาทีสำคัญของเพื่อนรักตัวเอง

"จะบ่นอะไรนักหนา เจ้าเพิ่งเดินมาถึงนะ ได้ข่าว" วินตัสพูดเหน็บแต่ก็เดินตามไปติดๆ 

ส่วนแขกคนอื่นๆ ที่เข้ามานั้นเดินอย่างไม่รีบร้อนเท่าไรนักเพราะตื่นตาตื่นใจกับห้องพิธีที่จัดได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยที่สุดในดินแดนปีศาจ ภายในนั้นเป็นห้องโถงขนาดกลางเพดานทรงโค้งแต่มีขนาดไม่ใหญ่นักเพราะจุดประสงค์ของมันมีเพื่อทำพิธีแต่งงานของราชาปีศาจ การทำใหญ่และโออ่าเกินไปนับว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็น แต่ถึงอย่างนั้นในทุกอย่างในห้องนี้กลับเต็มไปด้วยความประณีตในขนาดที่ว่าหาจุดบกพร่องไม่เจอ บนเพนดานทรงโค้งนั้นถูกวาดเป็นรูปราชาปีศาจกับราชานีปีศาจในยุคแรกกำลังทำพิธีแต่งงานท่ามกลางหมู่แมกไม้รายล้อมข้างๆ กายนั้นเต็มไปด้วยปีศาจที่อยู่ใต้อาณัติแสดงความยินดีมากมายด้วยท่าทางต่างๆ ไม่ว่าจะโยนหมวกโปรยดอกไม้ ทุกภาพบนนั้นถูกวาดอย่างบรรจงจนคล้ายกับว่ามีชีวิตอยู่จริงๆ

ตามเสานั้นประดับด้วยรูปปั้นปีศาจในท่วงท่าสุขุมใบหน้ายิ้มจางๆ คล้ายกับว่ายินดีไปกับงานพิธีที่กำลังจะเริ่ม ส่วนในอีกมุมหนึ่งของห้องนั้นถูกยกพื้นสูงขึ้นเล็กน้อยสำหรับนักดนตรีซึ่งในตอนนี้นักดนตรีที่มาทำหน้าที่ของตัวเองนั้นกลับกำลังพูดคุยกระซิบกระซาบกันเพื่อลดความตึงเครียดลง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นนักดนตรีรุ่นใหม่ที่เพิ่งเคยมาร่วมบรรเลงดนตรีพิธีแต่งงานครั้งแรก ถึงแม้ท่านคาร์บิลัสจะบอกพวกเขาว่าเกิดข้อผิดพลาดก็ไม่เป็นไร แต่ก็อดกังวลกันไม่ได้อยู่ดี

เวลาเพียงไม่นานเก้าอี้ทั้งหมดในห้องก็ถูกจับจองจนเต็ม สาเหตุเพราะว่าผู้ร่วมงานครั้งนี้คัดเฉพาะแขกสำคัญและสนิทอย่างพวกราชาดินแดนต่างๆ ไม่ว่าจะดินแดนมนุษย์ คนแคระ ภูต อะไรทำนองนั้น ซึ่งคาร์บิลัสก็ไม่ได้บังคับว่าใครจะมาจึงมีเพียงแค่ราชาแดนมนุษย์เท่านั้นที่มีส่วนดินแดนอื่นๆ อ้างว่าติดธุระ

ปึง!!

เสียงไม้เท้ากระแทกกับพื้นเรียกความความเงียบสงบกลับมาในห้องได้ทันที

"งานพิธีกำลังจะเริ่มต้นแล้ว" ร่างชรากล่าวด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

ราวกับตอบรับคำพูดของร่างชราประตูห้องถูกเปิดอีกครั้งและปรากฎร่างของคู่บ่าวสาว 
ภายในห้องนั้นเงียบสงัดมีเพียงเสียงฝีเท้าก้าวดังขึ้นเป็นจังหวะหนักแน่นสลับกับเสียงแผ่วเบาที่ก้าวอย่างไม่มั่นใจนักเพราะความประหม่า 

ฟาร์คัสพยายามรักษาสีหน้านิ่งสงบของตัวเองไว้ทั้งๆ ที่ในใจกำลังสั่นไม่หยุด ถึงแม้ภายในห้องจะมีคนจำนวนไม่มากนักแต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนที่รู้จักทั้งนั้น! ความเขินอายก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนเท้าที่ก้าวนั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ 

คาร์บิลัสคล้ายกับรู้สึกถึงความผิดปกติของฟาร์คัสจึงหันไปยิ้มให้และบีบมือที่จับอยู่เบาๆ 

ฟาร์คัสมองกลับตาเขียวแต่หน้าแดงก่ำไปถึงลำคอ แต่ก็ฝืนเดินต่อจนถึงแท่นพิธีที่ทำจากหินสลักสีดำ

ร่างชราที่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นอดอมยิ้มไม่ได้ รู้สึกเอ็นดูในตัวฟาร์คัส ถึงแม้ว่าตอนแรกจะรู้สึกงุนงงที่คาร์บิลัสเลือกปีศาจอีกาที่เป็นชายไม่ใช่หญิงอย่างที่ควรเป็น แต่พอรู้จักตัวตนและนิสัยของปีศาจอีกาก็เข้าใจและไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร เพราะดินแดนปีศาจนั้นให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากกว่าเรื่องเพศ

"พิธีแต่งงานของดินแดนปีศาจจะเน้นความเรียบง่าย พิธีนี้ดำเนินไม่นานก็เสร็จแล้วล่ะ ปีศาจอีกา" กล่าวเชิงหยอกล้อเมื่อเห็นท่าทีประหม่าของฟาร์คัส

ฟาร์คัสสะดุ้งเมื่อตัวเองถูกเอ่ยถึงพยายามอย่างยิ่งยวดในการควบคุมตัวเอง 

คาร์บิลัสหัวเราะเบาๆ นัยน์ตาจ้องมองฟาร์คัสอย่างอ่อนโยน มุมปากเผยรอยยิ้มนิ่มนวลผิดวิสัยที่ทำเอาแขกและเพื่อนๆ ของคาร์บิลัสมองกันตาค้าง

คาร์บิลัสมันยิ้มอย่างนี้เป็นด้วย??? 

วินตัสกับซัคคาร์มองหน้ากันเองอึ้งๆ คิดแบบเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย 

น่าเสียดายที่ปฏิกิริยาของฟาร์คัสนั่นต่างออกไปเพราะเจ้าตัวพยายามเบือนหน้าหนีไปทางอื่นไม่สบตาคาร์บิลัส

คาร์บิลัสมองตามหงอยๆ รอยยิ้มหายไป

 
 
   
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 54 21 ก.ค 59 #ครึ่งแรก p.16
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 21-07-2016 23:34:17

"ดัฟฟ์ กริสเซล" ปีศาจชราเอ่ยเรียกเสียงดังกังวานก่อนที่จะตามด้วยเสียงดนตรีบรรเลงอย่างเชื่องช้าและอ่อนนุ่ม ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและขวยเขิน

สาเหตุที่ดัฟฟ์และกริสเซลไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงเพราะต้องมาช่วยทำพิธีนี้ ทั้งสองอยู่ในชุดสีดำทางการยิ้มกว้างร่าเริงในมือถือพุ่มดอกไม้ที่มีแหวนสองวงประดับอยู่ตรงกลางแต่ของกริสเซลนั้นเป็นพานที่มีมีดด้ามสีดำสนิทวางอยู่ 

ดัฟฟ์เดินไปหาฟาร์คัสและยิ้มจนตาหยียื่นมันให้กับฟาร์คัส "แม่ แม่ มีความสุขมากๆ น้า แก๊ซ"

ฟาร์คัสคลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้และลูบหัวดัฟฟ์จนยุ่งเหยิง "ขอบใจ" หยิบแหวนสองวงที่เป็นสีดำสนิทราวกับว่ามันเป็นรัตติกาลอันมืดมิดจนแสงไม่อาจส่องถึง

"พิธีแรกจะเป็นการสวมแหวน เจ้าไม่ต้องกล่าวปฎิญาณอะไร"

ฟาร์คัสพยักหน้าหงึกหงักหยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมาและกระตุกมือคาร์บิลัสที่แกล้งชักหนีให้กลับมาหาตัวเอง แต่แรงของราชาปีศาจก็ย่อมเยอะกว่าปีศาจอีกาที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย ทำให้มือของคาร์บิลัสหลุดออกไปอย่างง่ายดาย คาร์บิลัสเลิกคิ้วและยิ้มยียวนฟาร์คัส

"ไอ้แพะเวร เอามือเจ้ามา!" ฟาร์คัสทำปากขมุบขมิบไม่กล้าตวาดด่า รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเขินอาย

คาร์บิลัสหลุดหัวเราะเบาๆ ยอมยื่นมือให้อย่างว่าง่าย มองฟาร์คัสนิ่งงันจนคล้ายกับจะกลืนกินเข้าไปทางสายตา โชคดีที่ฟาร์คัสยังไม่เห็นมันจึงสวมแหวนนั้นให้กับคาร์บิลัสได้อย่างง่ายดาย และทำท่าจะหยิบแหวนอีกวงนึงใส่ให้ตัวเองแต่ก็ช้าไปกว่าคาร์บิลัสที่แย่งทั้งแหวนและดึงมือมาหัวตัวเอง

ฟาร์คัสเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นสายตาของคาร์บิลัส ไม่กล้าสบตาราชาปีศาจ

คาร์บิลัสยิ้มพอใจ แต่ในอกรู้สึกดีเอามากๆ เพราะสามารถทำให้ฟาร์คัสเขินอายมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว ความรู้สึกฮึกเหิมเล็กๆ นี่ทำเอาเผลอดึงมือฟาร์คัสมาและโน้มหน้าลงไปจูบเบาๆ ที่หลังมือก่อนจะสวมแหวนเข้าไปอย่างบรรจง

"คาร์บิลัส!" ฟาร์คัสเอ็ดเบาๆ ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ทั้งๆ ที่หน้ายังแดงก่ำ

นี่เจ้าแพะปัญญาอ่อนจะทำให้ข้ามองหน้าใครไม่ติดเลยรึไงกัน!

"ต่อไปเป็นพิธีกรีดเลือดสาบานของราชาปีศาจ  ในพิธีนี้ปีศาจอีกาอย่างเจ้าไม่ต้องทำอะไร" ร่างชราหันไปสบตากับนักดนตรีเชิง
ให้หยุดเล่นเพลงซึ่งเหล่านักดนตรีก็ทำตามอย่างรวดเร็ว

คาร์บิลัสระบายลมหายใจออกมาช้าๆ หยิบมีดขึ้นมากรีดแขนตัวเองอย่างไม่ลังเลจนเกิดแผลฉกรรจ์

ฟาร์คัสสะดุ้ง "คาร์บิลัส เจ้าทำอะไรน่ะ!" หน้าซีดเผือด

คนเป็นราชาปีศาจไม่ได้ตอบแต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและทรงอำนาจจนทุกร่างในภายในห้องนั้นขนลุกชัน "ข้าขอสาบานว่าข้าจะรักและซื่อสัตย์ต่อชายาของข้า ปีศาจอีกา ฟาร์คัส หากข้าผิดคำพูดขอให้ข้าถูกผืนแผ่นดินเรียกกลับ สัตว์ปีศาจพิโรธ ชีวิตวอดวาย แม้แต่เถ้ากระดูกก็ขอให้ลุกเป็นไฟ!"

ถ้อยคำแต่ละถ้อยที่ถูกเอ่ยมานั้นล้วนดังก้องในหูและคล้ายกับฝังลึกลงในจิตวิญญาณของเหล่าพยานทั้งหลายในห้อง หยดเลือดที่หยดออกจากร่างกายคาร์บิลัสแปรเปลี่ยนเป็นตัวอักษรปีศาจโบราณและแทรกซึมลงไปในวิญญาณของคาร์บิลัส ซึ่งมันก็พร้อมจะพิโรธออกมาหากคาร์บิลัสผิดคำพูด

เมื่อกล่าวจนจบคาร์บิลัสก็ว่ามีดลงบนพานเหมือนเดิม ใช้มืออีกข้างลูบรอยกรีดที่เหลือเพียงรอยจางๆ อย่างน่าอัศจรรย์เพราะเวทย์รักษาของฟาร์คัส ที่ตอนนี้เจ้าของเวทย์มองมาอย่างเป็นห่วง

คาร์บิลัสคลี่ยิ้มและส่ายหัวเบาๆ เชิงว่าแค่นี้สบายมาก

"ทะ ท่านคาร์บิลัสขอรับ!"

แต่จู่ๆ บรรยากาศชื่นมื่นก็ถูกขัดด้วยเสียงแหบห้าวของกริสเซล

กริสเซลตัวสั่นเทาไปทั้งตัวจนพานสั่นกึกๆ ความตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอไอดอลตัวเองนั้นรุนแรงมากเกินไปจนตาพร่า แค่สามารถบังคับตัวเองให้ตะโกนเรียกท่านคาร์บิลัสทั้งๆ ที่ยืนใกล้กันแค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว

"หืม? เรียกข้าทำไม" คาร์บิลัสก้มมองไม่มีท่าทีหงุดหงิดใดๆ แม้ว่าพิธีนี้จะเป็นพิธีที่ตัวเองตั้งหน้าตั้งตารอมาตลอดก็ตาม

"ยะ ยินดีด้วยนะขอรับ ข้า ข้าขอให้ท่านคาร์บิลัสมีความสุขมาก มากๆ เลย" กริสเซลพูดรัวจนลิ้นพันกันไปหมด

คาร์บิลัสหัวเราะมือหนาขยี้หัวสีส้มแสบตาจนยุ่งเหยิงและผลักออกไปเบาๆ "ขอบใจ แต่ตอนนี้เจ้าช่วยออกไปได้แล้ว ข้าจะทำพิธี"

นี่น่าจะเป็นความใจดีที่สุดของคาร์บิลัสแล้วที่จะให้ได้ในตอนนี้ หากกริสเซลเรียกร้องมากกว่านั้นอาจจะไม่ใชแค่โดนไล่อย่างนุ่มนวลแต่เป็นการโยนออกจากห้องแทน

โชคดีที่กริสเซลดีใจจนเนื้อเต้น เดินล่องลอยออกไปอย่างว่าง่ายเลยไม่โดนขั้นกว่าของคาร์บิลัส

"ต่อไปพวกเจ้าก็สาบานตนกันแล้วก็จบพิธีด้วยการจูบ"

ฟาร์คัสอดสะดุ้งในคำสุดท้ายไม่ได้ จากสีหน้าเฉยๆ เริ่มตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด

ผิดกับคาร์บิลัสยังคงมีสีหน้าระรื่นรอจนกระทั่งนักดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงที่มีทำนองปลุกเร้าอารมณ์ให้เลือดในกายแตกพล่านฮึมเหิมซึ่งมันก็เป็นลักษณะดนตรีโดยส่วนใหญ่ของชาวปีศาจ

ชาคอสค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปหานายของตนเองอย่างเชื่องช้า ชุดสีดำเนียนกริบยาวลากพื้น เมื่อหยุดยืนตรงหน้าคู่บ่าวสาวก็ค้อมกายลงสุดเพื่อทำความเคารพต่อนายที่มันตั้งใจจะจงรักดีที่สุดในชีวิต ใบหน้านิ่งไร้อารมณ์เงยขึ้นมาและยื่นพานที่วางด้วยมงกุฎสีดำที่ถูกสานขึ้นจากเหล็กเนื้อดีให้กับคาร์บิลัส มงกุฎนั้นถูกสานขึ้นเป็นรูปคล้ายขนนกไขว้กันอย่างเหมาะเจาะจนกลายเป็นมงกุฎขนาดย่อมที่สามารถนำไปใส่หัวของชายาของราชาปีศาจได้พอดี

"ขอบใจเจ้ามาก ชาคอส" คาร์บิลัสพูดออกมาจากใจจริง

"ขอรับ ข้าก็ขออวยพรให้ท่านมีความสุชมากๆ เช่นกัน" ชาคอสคลี่ยิ้มตอบเจ้านายตัวเอง ส่งผลให้ใบหน้าของชาคอสดูดีขึ้นทันตาราวกับว่าเป็นคนละคน แต่ก็เพียงไม่นานที่กลับมาหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิมและสาวเท้าไวๆ กลับไปประจำที่นั่งของตัวเอง

"อย่างว่า พิธีของพวกเราชาวปีศาจมันก็ไม่ได้มีอะไรมากเหมือนพวกมนุษย์" คาร์บิลัสพูดกลั้วหัวเราะเหลือบมองราชาแห่งเมืองมนุษย์ที่ตอนนี้ยิ้มแหยๆ หน้าซีดเผือด

เพราะทั้งคาร์บิลัสและเขาต่างจดจำถึงเหตุการณ์ครั้นที่อยู่เมืองภูตได้

การจู่โจมฟาร์คัสอย่างไร้มารยาทนั่น..

"สิ่งที่พวกเราจะสาบานกันก็แค่คำพูดความในใจหรืออะไรสักอย่างที่เจ้าอยากพูดแค่นั้น" คาร์บิลัสลูบมุงกุฎในมือตัวเองเบาๆ
ราวกับว่ามันเป็นส่วนนึงของร่างกายฟาร์คัส 

"ข้า..." ฟาร์คัสพูดเสียงเบาแก้มแดงก่ำขบกรามแน่นพยายามนึกถึงเรื่องที่ทำให้ตัวเองรู้สึกโกรธเจ้าแพะโง่นี่เพราะตอนนี้รู้สึกประหม่าจนแทบทนไม่ไหว

ทำไมข้าต้องพูดสารภาพสิ่งที่ข้าคิดต่อหน้าคนจำนวนมากมายขนาดนี้ด้วย?

คาร์บิลัสยิ้มพรายพูดเสียงกระซิบที่ได้ยินเพียงสองคน

"เจ้าไม่พูดตอนนี้ก็ไม่เป็นไรแต่เจ้าต้องพูดกับข้าตอนที่เข้าห้องหอนะ"

ฟาร์คัสถลึงตามองแพะปัญญาอ่อน เข้าใจทันทีว่ามันคิดอะไรอยู่ในหัว

แต่ข้าเสนอของมันก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ดี

ปีศาจอีกาจึงพยักหน้าเบาๆ เป็นอันตกลงรับข้อเสนอของคาร์บิลัส

ทำเอาคาร์บิลัสยิ้มกว้างอย่างอดไม่อยู่ "เอาล่ะๆ พิธีสาบานตนข้ามไปแล้วกัน พวกข้าไปสาบานกันเองได้" ในขณะที่พูดก็เดินไปหาฟาร์คัสและบรรจงวางมงกุฎบนหัวฟาร์คัสอย่างนุ่มนวล

"ข้าขอให้เจ้าเป็นชายาของข้านะ ฟาร์คัส"

"อืม"

กล่าวเสียงกระซิบแต่เรื่องประหลาดคือทุกคนในห้องได้ยินมันและอดรู้สึกขวยเขินไปด้วยไม่ได้ก่อนที่จะต้องเบิกตากว้างเมื่อราชาปีศาจก้มลงจูบชายาของตัวเองกะทันหันจนเกิดเสียงเฉอะแฉะฟังดูลามกจนคนในห้องหน้าแดงไปตามๆ กันแม้ว่าแต่ละคนอายุจะล่วงเลยวัยเบญจเพศไปแล้วก็ตาม

แต่พลันเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น

ทุกคนในห้องชะงักนิ่งอยู่ในท่วงท่าเดิมมีเพียงคาร์บิลัสและฟาร์คัสที่ยังขยับต่อได้

ผลั่ก

ฟาร์คัสต่อยไหล่คาร์บิลัสหอบแฮ่ก "ไอ้แพะเวรเอ้ย!" สบถด่าทั้งๆ ที่ยืนยังแทบไม่ไหว

คาร์บิลัสเลิกคิ้วกวนๆ "ข้าว่าก่อนที่จะมาว่าข้า เจ้าสนใจแขกร่วมงานที่มาสายที่สุดดีกว่า"

ได้ยินแบบนั้นฟาร์คัสจึงค่อยรู้สึกตัวว่าเวลารอบกายได้ถูกหยุดลงตั้งแต่แต่ตอนไหนไม่รู้จึงรีบหันซ้ายหันขวาและเห็นเข้ากับโซแวนกับ...

"วารัน!" ฟาร์คัสตกใจเป็นรอบที่สองของวัน

"เฮ้ๆ เจ้าเห็นข้าเจ้าต้องทำหน้าดีใจสิ ไม่ใช่ทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนี้" วารันหน้ามุ่ยและเอาหน้าซบแขนโซแวนที่ใช้แขนกอดไว้แน่น "ดูสิ ข้าอุตส่าห์มาดูความสุขของลูกข้า ดูลูกข้าทำหน้าใส่ข้าสิ โซแวน อย่างนี้ข้าเสียใจนะ"

สุดท้ายวารันก็ให้นิยามกับความสัมพันธ์ของตัวเองกับฟาร์คัสว่าพ่อกับลูกซึ่งมันก็เป็นแค่การติ๊ต่างขึ้นมาเองไม่ได้ขอคำยินยอมมาจากฟาร์คัสแต่อย่างใด

"ไร้สาระ" โซแวนแค่นเสียงตอบควักนาฬิกาตลับสีดำยื่นมันให้กับฟาร์คัส

"เดี๋ยวสิ ไอ้บ้าโซแวน เจ้าจะรีบไปไหน เจ้ารู้จักไหมว่าต้องทักทายก่อนค่อยให้ของ นี่อะไรเจ้าให้เลย เจ้าบ้าาา!" วารันโวยวายไม่จริงจังนักแต่ก็เขย่งและตะโกนใส่หูโซแวน

"ท่านมาได้ยังไง?" ฟาร์คัสรับนาฬิกาไปถือแต่ก็ยังเบลอๆ 

"ตอบตามตรงคือข้าแอบมา ฮ่าๆ" วารันยืดอกพูดราวกับพูดใจมากกับสิ่งที่ตัวเองกระทำ "แล้วก็โซแวนที่ถูกมอบหมายให้มาตามตัวชาร์เลสเพื่อนเก่าแก่ข้ากลับด้วย ข้าเลยต้องมาน่ะ ไม่สิ เจ้าคงไม่รู้จักชาร์เลส" วารันพูดเองเออเอง

ฟาร์คัสส่ายหน้า "ถ้าเป็นชาร์เลสที่คอยรับใช้ท่านโฟเทียส เขาเพิ่งจะไปจากที่นี้เร็วๆ นี้และข้าก็สัมผัสได้ว่าเขากำลังตาย"
ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มของวารันหายไปทันทีกลายเป็นสีหน้าคร่ำเคร่ง

"งั้นข้าขอให้เจ้ากับคาร์บิลัสมีความสุขมากๆ นะ"

กล่าวจบก็รีบเข้าไปในมิติกาลเวลาทันทีเพื่อตามหาเพื่อนสนิทของตัวเองที่ไร้ซึ่งกำลังและพลังวิญญาณ ถ้าหากจะเดินไปทางไปไหนก็คงไปได้ไม่่ไกลนัก

ทำให้สิ่งที่ทั้งวารันและโซแวนต้องเผชิญกับมันอีกครั้งก็คือเวลา

ถึงแม้จะเป็นผู้ควบคุมกาลเวลาก็ตาม แต่ท่านผู้นั้นสั่งห้ามให้ย้อนเวลากลับไปช่วยชาร์เลส ตอนนี้พวกเขาจึงทำได้แค่รีบตามหาให้ไวที่สุด

เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ชาร์เลสจะได้รับ

----------------

ตอนนี้ยาวมากกกกกกกกกกกก  :a5:

เหมือนวันรวมญาติเลย 55555555 มาเกือบทุกคน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 54 21 ก.ค 59 #ครึ่งแรก p.16
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 22-07-2016 07:18:38
ฮือออออ ฟาร์คัสเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว นึกว่าจะไม่ได้แต่งงานซะละ

(สงสารชาร์เลส ถ้าโฟเทียสมีชายาแล้วก็ตัดใจเถอะ แต่ก็ไม่รู้อีกล่ะว่าถ้ากลับไปแล้วจะทำอะไรต่อ เพราะยังไงๆโฟเทียสก็ไม่หันกลับมามองอยู่แล้ว....T T)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 54 24 ก.ค 59 #ครึ่งหลัง p.16
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 24-07-2016 23:48:49
เมื่อผู้ควบคุมกาลเวลาจากไปเวลาในห้องก็กลับมาดำเนินต่ออีกครั้ง เหล่าพยานในงานต่างงุนงงเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าซึมของฟาร์คัสแทนที่จะเป็นขวยเขินแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีใครกล่าวอะไรออกมา

คาร์บิลัสลูบหัวฟาร์คัสและเหลือบมองปีศาจชราที่มาช่วยตัวเองทำพิธี "ขอบคุณท่านมากที่มาช่วยทำให้พิธีให้ข้า ส่วนพิธีที่เหลือข้าทำเองได้" แต่ประโยคสุดท้ายหันไปยิ้มกรุ่มกริ่มใส่ฟาร์คัส

ฟาร์คัสแอบหยิกมือคาร์บิลัสที่อีกมืออยู่ที่เอวแต่มันก็ไม่สามารถทำให้คาร์บิลัสสะดุ้งสะเทือนอะไรนัก

"มันเป็นหน้าที่ของพวกข้าอยู่แล้ว คาร์บิลัส" ปีศาจชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม 

"ขอบคุณที่พวกเจ้ามาช่วยทำพิธีแต่งงานของข้านะ" ครั้งนี้คาร์บิลัสกวาดสายตามองพวกนักดนตรี ปีศาจตนอื่นๆ ที่มาช่วยทำพิธีแต่งงานและมาจบที่พวกพยานที่เชิญมา "ขอบใจพวกเจ้าด้วยที่มาแสดงความยินดีกับข้า ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม" 

กษัตริย์เมืองโฮรัสสะดุ้งเฮือกพยายามยิ้มประจบคาร์บิลัส

เมื่อไหร่พิธีเวรๆ นี่จะจบสักที! 

คิดในใจทั้งๆ ที่ยังยิ้มหน้าซื่อ

คาร์บิลัสกลอกตาเบื่อๆ รับรู้ถึงรอยยิ้มไม่จริงใจจึงเบนสายตาไปทางอื่น "เอาเถอะ ข้ามีของตอบแทนน้ำใจของพวกเจ้าที่มาเหมือนกัน" ล้วงหยิบมันออกมาจากกระเป๋าและกลิ้งเล่นในมือ

เสียงฮือฮาแตกตื่นดังขึ้นในห้องทันทีเพราะสิ่งที่อยู่ในมือคาร์บิลัสนั้นขึ้นชื่อว่าหายากมากๆ ครั้งล่าสุดที่มันปรากฎขึ้นคือเมื่อร้อยปีที่แล้ว 

"คาร์บิลัสนี่เจ้าไปเอาผลเฟลมิชมาจากไหน?" ซัคคาร์ถามอึ้งๆ จ้องมันตาเป็นประกาย

เพราะผลเฟลมิชขึ้นชื่อเป็นผลที่ช่วยเพิ่มพละกำลัง พลังเวทย์ อายุ ไหนจะเรื่องการรักษาอาการป่วยร้ายแรงให้หายเป็นปลิดทิ้งอีกเรียกได้ว่ามันเป็นของที่เป็นที่ต้องการของทุกดินแดนมาก ทำให้ราคาของมันดีดตัวสูงลิบลิ่วหากเอาไปขายได้คงสามารถอยู่สบายๆ เป็นปี

"มันขึ้นอยู่ในห้องนอนข้า ข้าก็เลยเก็บๆ มาแจกน่ะ" คาร์บิลัสกล่าวยิ้มๆ มองลูกเฟลมิชที่มีลักษณะกลมดิกและมีสีสันสดใสคล้ายสายรุ้งอีกทั้งยังมีละอองสีทองฟุ้งอยู่รอบๆ ตลอดเวลา ทำให้แค่มองก็ยังรู้สึกถึงความล้ำค่าของมันได้ง่ายๆ

ซัคคาร์แค่นเสียงหัวเราะเพราะรู้ดีว่ามันก็เป็นแค่ข้ออ้างไปทั่วของคาร์บิลัส เพราะต้นเฟลมิชนั้นขึ้นยากมากและบอบบางเอามากๆ   

คาร์บิลัสฮัมเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดีก่อนจะใช้ช่วงจังหวะที่ฟาร์คัสเผลอรวบตัวฟาร์คัสขึ้นอุ้มอย่างรวดเร็วจนฟาร์คัสขัดขืนไม่ทัน

"ที่เหลือ ข้าฝากด้วยนะชาคอส" 

"ขอรับ" ชาคอสรับคำยิ้มนิดๆ รู้สึกตลกที่เห็นท่านคาร์บิลัสเปลี่ยนสีหน้าขรึมเป็นเศร้ามากเมื่อถูกท่านฟาร์คัสมองตาเชียวขมุบขมิบปากที่น่าจะเป็นคำด่า

ปัง

ประตูถูกเปิดด้วยเวทและกระแทกปิดพร้อมกับการหายไปของคู่บ่าวสาว

"แย่แล้ว ซัคคาร์" วินตัสลูบอกตัวเองหายใจไม่ทั่วท้อง "ข้ารู้สึกเหมือนมีคนกำลังสาปแช่งข้าอยู่!" ความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไปทั้งตัวแบบนี้มันต้องใช่แน่ๆ

"ข้าว่าก็มนุษย์หน้าโง่นั่นน่ะแหละ ที่สาปแช่งเจ้า" ซัคคาร์มองวินตัสด้วยสายเบื่อๆ "ก่อนมาเจ้าไปทำอะไรมันไว้ล่ะ?"

วินตัสหน้าแดงหัวเราะแห้งๆ

"ข้ารำคาญที่มันโวยวายไม่ให้ข้าไปสักที ข้าเลยใช้มือฟันท้ายทอยเจ้ามนุษย์หน้าโง่นั่นสลบไปเลย"

"..."
 

"คาร์บิลัส เจ้าว่าชาร์เลสจะกลับมาได้ไหม?" ฟาร์คัสพูดซึมๆ แม้ว่าจะพยายามสลัดเรื่องนี้ออกจากหัวยังไงแต่ก็ทำไม่ได้สักที ใน
หัววนเวียนแต่สีหน้าของชาร์เลส

"ข้าไม่รู้" คาร์บิลัสตามตอบตรงขณะที่ใช้หลังดันประตูห้องหอให้เปิดออก "เจ้าก็รู้ ฟาร์คัส ว่าเรื่องบางเรื่องต่อเจ้าอยากช่วยแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ สิ่งที่เจ้าทำได้มันก็แค่การอวยพรให้ชาร์เลสเท่านั้น"

คาร์บิลัสเคยผ่านประสบการณ์พวกนี้มาอย่างโชกโชนเรียกได้ว่าชินชาก็คนใกล้ตัวเลยก็ว่าได้ทำให้คำตอบนั้นอาจจะดูขัดหู

ฟาร์คัสไปบ้างแต่มันก็เรื่องจริงที่คาร์บิลัสเข้าใจมันและรับรู้มาตลอด

ไม่ว่าใครก็ล้วนมีชะตากรรมของตัวเองทั้งนั้น

ฟาร์คัสเงียบหลุบตาลงต่ำมือลูบขนนกที่ชาร์เลสให้มาเบาๆ

แต่สีหน้าของชาร์เลสนั้นเจ็บปวดเหลือเกินราวกับการใช้ชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไปสำหรับเขา นัยน์ตาสีสวยนั้นคล้ายกับสะท้อนข้อความออกมาว่าเหนื่อยเกินกว่าจะใช้ชีวิตต่อแล้ว ชีวิตที่ทุกลมหายใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

หรือว่าความตายที่ข้าไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับชาร์เลสนั้น เป็นสิ่งที่ปราณีที่สุดแล้วสำหรับชาร์เลส

ข้าควรจะอวยพรเจ้าว่าอะไรดีเพราะดูเหมือนว่าเจ้าไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว..

"อย่าเศร้านักสิ ข้าอุตสาห์ลงทุนให้ชาคอสไปเมืองมนุษย์เพื่อศึกษาการทำห้องหอเลยนะ" คาร์บิลัสพยายามเปลี่ยนเรื่องและพยักพเยิดให้ฟาร์คัสมองไปบนเตียง

ฟาร์คัสมองตามก็หลุดขำออกมา

บนเตียงมีกลีบดอกไม้วางเรียงกันเป็นรูปหัวใจ ตรงกลางมีตุ๊กตาแพะปีศาจที่กำลังทำหน้าขรึมในปากคาบดอกกุหลาบสีแดงสดที่ทำจากผ้า

"อย่าบอกว่าแพะนั่นก็คือเจ้า?" 

ฟาร์คัสถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ
 
"แน่นอนสิ! แพะน่ารักๆ ตัวนั้นต้องเป็นข้าอยู่แล้ว" 

ฟาร์คัสส่ายหน้ากับความปัญญาอ่อนของคาร์บิลัส "แล้วเจ้าจะปล่อยข้าลงได้รึยัง?" 

คาร์บิลัสทำหน้ากรุ้มกริ่ม "ได้สิ แต่ต้องให้ข้าปล่อยเจ้าบนเตียงนะ"

"… ปล่อยข้า" ฟาร์คัสพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

"เจ้าตกลงงั้นเหรอ! ดีจัง" คาร์บิลัสกระดี้กระด้าทันทีถลาเข้าไปที่เตียงแล้วปล่อยฟาร์คัสลงอย่างนุ่มนวลและหยิบแพะที่นอนข้างๆ มาวางบนตักฟาร์คัส  "ข้ารู้เจ้าต้องคิดถึงข้าเวลาข้าไปทำงาน" 

ฟาร์คัสลูบหัวแพะปัญญาอ่อนในร่างตุ๊กตาซึ่งก็พบว่ามันนุ่มเอามากๆ "เจ้าคิดไปเองทั้งนั้นคาร์บิลัส"

"เจ้าแน่ใจ?" 

คาร์บิลัสทิ้งตัวนั่งข้างฟาร์คัสแล้วดึงมือมาลูบเล่น

".. แน่สิ" ตอบไม่เต็มเสียงหน้าเริ่มแดงเพราะเริ่มจะเดาสิ่งที่แพะนี่คิดออก

คาร์บิลัสดึงมือฟาร์คัสไปจูบเบาๆ และใช้มันแนบแก้มตัวเอง "เรื่องสาบานเจ้าไม่ต้องสาบานหรอก ข้าเชื่อใจเจ้า" แล้วยิ้มบางๆ ให้ฟาร์คัส

"…" 

นี่มันยิ่งกว่าการให้พูดสาบานซะอีก ไอ้แพะบ้าเอ้ย!

"ข้าไม่เคยมีความรักมาก่อน" ฟาร์คัสหลับตานิ่งปล่อยให้ความรู้สึกตัวเองล่องลอยในหัวแล้วพูดออกไป "ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าไปชอบแพะปัญญาอ่อนแบบเจ้าตอนไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำทำไมถึงยอมปล่อยให้เจ้ามายุ่มย่ามกับชีวิตข้า ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นแค่ราชาปีศาจงี่เง่าที่มาไล่จับนกเท่านั้น อาจจะเพราะเจ้าเป็นคนแรกล่ะมั้งที่ดีกับข้าขนาดนี้ แต่มันก็ไม่สำคัญหรอกเพราะตอนนี้ข้ารักเจ้าแล้ว คาร์บิลัส"

ทั้งๆ ที่ยังหลับแต่กลับรู้สึกหน้าร้อนไปทั้งหน้า

เวรเอ้ย นี่มันน่าอายชะมัด

ฟาร์คัสสบถในใจและทำใจรอรับคำพูดหวานเชื่อมที่มักจะหลุดออกมาจากคาร์บิลัส แต่พอรอไปสักพักก็พบว่าเจ้าแพะโง่นี่มันไม่พูดอะไรสักที ก็ยอมลืมตาขึ้นมามอง

เห็นคาร์บิลัสนั่งนิ่งในท่าเดิมสีหน้าตกอกตกใจมองมาทางข้าอึ้งๆ

แค่การที่ข้าพูดความในใจข้าบ้าง มันน่าตื่นตกใจขนาดนั้นเชียว?

ฟาร์คัสขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะสะดุ้งเมื่อคาร์บิลัสโถมกอดตัวเอง

"ฟาร์คัส! นี่ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมเนี่ย" คาร์บิลัสหัวเราะจนตัวโยน พูดรัวเร็วด้วยความตื่นเต้นปนดีใจ "เจ้าพูดแล้ว เจ้าพูดแล้ว! ฮ่าๆๆ"

"เออ ช่วยหุบปากสักที" ฟาร์คัสเอ็ดเสียงดุ

"ข้าดีใจชะมัด ข้าอยากให้มีแบบวันนี้ทุกวันจัง ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ข้าต้องดีใจมากแน่ๆ"  คาร์บิลัสดีใจเหมือนเด็กๆ 

ฟาร์คัสเม้มปากไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

จะให้ข้าพูดทุกวันมันก็ไม่ใช่เรื่องมั้ง แพะเวร แต่สีหน้าที่ดูดีใจเกินไปนั่ั้นก็อาจจะทำให้ข้าพูดดีๆ กับมันบ่อยขึ้นล่ะมั้ง ทุกวันเกิดเป็นไง? นั่นน่าจะเพียงพอแล้วนะ

แต่จู่ๆ คาร์บิลัสกลับเลิกหัวเราะและทำหน้าจริงจังใส่ฟาร์คัส

"อะไรของเจ้าอีก" ฟาร์คัสถามงงๆ เริ่มตามความคิดของราชาปีศาจไม่ทันที่ดูจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไวซะเหลือเกิน

"พิธีสาบานเสร็จแล้ว ก็ต้องทำเรื่องที่มันอยู่ในห้องหอสิ!" คาร์บิลัสยิ้มพราย

ฟาร์คัสหลบตาคาร์บิลัสทันทีไม่ได้ขัดขืน "อืม" แต่กลับพบว่ามือหนาที่จับมือตัวเองนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่ซุกซนเหมือนที่มันชอบทำ

"ฮะๆ ข้าพูดเล่นน่ะ ฟาร์คัส" คาร์บิลัสลูบหัวฟาร์คัส "ข้าแต่งงานกับเจ้าไม่ใช่เพื่อเข้าห้องหอหรอกนะ วันดีๆ แบบนี้ข้าอยากให้เจ้าจดจำเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นวันนี้มากกว่า"

สีหน้าฟาร์คัสติดจะงุนงงทีแรกและเปลี่ยนเป็นยิ้มจางๆ ทีหลัง

"ตอนนี้ก็นอนกันเถอะ ข้ารับประกันได้เลยว่าเตียงอันนี้นุ่มมากจนเหมือนเจ้าถูกวิญญาณเลยล่ะ!"
 

------------------------------------------

ตอนนี้ 20 หน้าแน่ะ  o22 เยอะจนตกใจเลยค่ะ 555555

ตอนหน้าจะเป็นตอนพิเศษของชาร์เลสค่ะ รอดไม่รอดต้องมาลุ้นกันน   :z10:

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า กอดดดด  :man1:

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 54 24 ก.ค 59 #ครึ่งหลัง p.16
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-07-2016 00:00:16
ลุ้นกับชาเลส จะรอดไหมนะสงสารเบาๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 54 24 ก.ค 59 #ครึ่งหลัง p.16
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 25-07-2016 06:35:38
รอตอนหน้า โอ้ยยยย

ฝั่งนี้ก็ชาร์เลส ฝั่งนู้นก็เวสเปอร์


เครียดจัด T T
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 54 24 ก.ค 59 #ครึ่งหลัง p.16
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-07-2016 21:39:25
อ่อยย!! แต่งล้าว แต่แอบมีมุมเศร้าๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : ชาร์เลส
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 01-08-2016 23:45:33
ตอนพิเศษ - ชาร์เลส
 
หากเจ้าเกิดเป็นหมูจงอย่าได้หลงรักคนที่เลี้ยงเจ้าเด็ดขาด เพราะสิ่งที่เขาต้องการจากเจ้าไม่ใช่ความรักแต่เป็นเนื้อหนังของเจ้าต่างหากเล่า

นั่นเป็นนิทานที่เขาคนนั้นเล่าให้ข้าฟังตอนที่เขาสร้างข้าในวัยเด็กขึ้นมาพร้อมกับคนอื่นๆ สีหน้ารอยยิ้มและท่าทางเอ็นดูในตัวพวกข้านั้นเหมือนจริงเหลือเกินจนข้าอดที่จะคิดมากไปกว่านั้นไม่ได้

ใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างบรรจง ผมสีทองสว่างทิ้งตัวคลอเคลียกับใบหน้าได้รูป ร่างกายสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง อาภรณ์บนร่างที่เป็นสีขาวบริสุทธิ์ ทุกอย่างดูสูงค่าเหมาะสมกับฐานะของเขา

ผู้ที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้กับห้วงอากาศอันว่างเปล่าพวกนี้ และยังมีฐานะเป็นบิดาโดยชอบธรรมของข้าด้วย ข้าถือกำเนิดมาจากเขา เติบโตมากับเขา ความรู้ที่มีก็ล้วนมาจากเขา ทุกอย่างในชีวิตข้าล้วนขึ้นตรงกับเขา จนเหมือนกับข้าขายวิญญาณให้เขาไปแล้ว ทั้งๆ ที่เขาโอกาสข้าให้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของเขาและใช้ชีวิตด้วยตัวเอง

ทั้งๆ ที่เขาสอนว่าอย่าได้กลายเป็นหมูตัวนั้นเด็ดขาด แต่ข้าก็เลือกที่จะเป็นอย่างเต็มใจ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าจุดจบสุดท้ายของตัวเองจะเป็นยังไง

เขามีชายาอยู่แล้วซึ่งถือกำเนิดมาพร้อมๆ กันด้วยซ้ำไป 

แต่ทำยังไงได้ในเมื่อรู้ตัวอีกทีข้าก็เผลอหลงรักเขาไปแล้ว เขาที่สร้างข้าขึ้นมา

ท่านโฟเทียส...

งานที่เขามอบหมายให้ข้าทำ ข้าล้วนรีบทำมันอย่างว่องไวและวกกลับไปหาเขาอีกจนเขาชมข้าบ่อยๆ ว่าทำงานไวดีอะไรทำนองนั้นซึ่งฟังแค่นั้นข้าก็รู้สึกดีใจแทบลอยแล้ว 

แต่ไม่รู้ทำไมไปๆ มาๆ งานที่ข้าได้รับถึงได้หนักอึ้งและยากขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะที่เพื่อนๆ รุ่นเดียวกับข้ายังสังสรรค์กันหลังจากทำภารกิจเสร็จ ข้ายังคงอยู่ในสนามรบหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้ข้าต้องอดหลับอดนอน สูญเสียพลังงาน อะไรสักอย่างที่ต้องได้รับบาดแผลบ้าง

"ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำงานมามากแล้ว หลังจากนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระแล้วกัน ชาร์เลส" เขาว่าอย่างนั้นแล้วเอามือยีหัวข้าที่นั่งคุกเข่าอย่างนอบน้อม

"ข้า ข้าไม่ต้องการของพวกนั้นหรอก แค่ให้ข้าได้รับใช้ท่าน ข้าก็พอใจแล้ว" ข้าตอบเสียงสั่น ไม่ชินสักทีเวลาที่ต้องพูดคุยกับเขา
"อย่าคิดอย่างนั้นสิ ชาร์เลส ข้าไม่ได้สร้างเจ้ามาเพื่อรับใช้ข้าตลอดไปหรอกนะ" ผู้ทรงอำนาจยิ้มเอ็นดูตวัดมือในอากาศและเกิดภาพวิวทิวทัศน์ต่างๆ มากมาย โลกที่ข้าสร้างขึ้นมานั้น ยังรอให้เจ้าไปค้นหามันอยู่นะ"

ข้ามองตามภาพพวกนั้นถึงแม้จะคิดว่ามันสวยแต่ก็ไม่รับรู้ถึงความอยากไปของตัวเองแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงรับใช้ท่านโฟเทียสตลอดชีวิต เฝ้ามองนายเหนือหัวของข้ามีความสุขและเอ็นดูข้าบ้างเป็นครั้งคราว แค่นี้ข้าก็พอใจแล้วเรื่องการออกไปท่องเที่ยวหรือค้นหาความหมายของชีวิตอะไรนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการสักนิด

"ข้าอยากรับใช้ท่านขอรับ" ข้าพยายามสบตากับเขาในขณะที่พูด บางทีความคิดภายในหัวข้าอาจจะส่งถึงเขาบ้าง จะให้ข้าพูดมันออกมางั้นเหรอ? หึ ข้าไม่กล้าหรอก

แต่ไม่รู้ทำไมนัยน์ตาทรงอำนาจนั่นกับกระตุกวูบและฉายแววโกรธขึ้ง

"เจ้าอาจจะยังไม่เคยท่องเที่ยวเลยไม่เข้าใจว่ามันสนุกขนาดไหน เอาเป็นว่าข้าสั่งให้เจ้าไปเที่ยวจนกว่าข้าจะพอใจแล้วค่อยกลับมาแล้วกัน"

ทั้งๆ ที่เหมือนสิ่งที่เขาพูดจะหวังดีต่อข้าแต่ทำไมสิ่งที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตานั้นกลับเต็มไปด้วยความรำคาญ ท่านโฟเทียสอาจจะคิดว่าข้าสนใจแค่รอยยิ้มบนใบหน้าท่านแต่หารู้ไม่ข้าชมชอบนัยน์ตาท่านมากกว่ารอยยิ้มพวกนั้นซะอีก

ท่านโฟเทียสกำลังโกหก... ในความเป็นจริงแล้วข้ารู้ดีว่าวิญญาณของข้าบอบช้ำเกินกว่าจะรับใช้ท่านโฟเทียสได้แล้ว การสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมานั่นเป็นเรื่องง่ายดายแต่การรักษาดวงวิญญาณนั่นเป็นเรื่องยากเสียเวลาและเปลืองพลังมาก ฉะนั้นการโยนข้าทิ้งน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาเลือกให้ข้าแทนการกำจัด

เขาอาจจะคิดว่าข้าโง่ ใช่.. ข้าอาจจะโง่ที่กลายเป็นหมูตัวอ้วนที่ตอนนี้เหลือเพียงกระดูกและเนื้ออันน้อยนิดในการใช้ชีวิต แต่ข้ากลับเต็มใจที่จะทำมันทั้งๆ ที่ในอกเหมือนพังทลาย

หัวใจของข้าด้านชา น้ำตาหลั่งรินแม้แต่ในดวงวิญญาณ

"ขอรับ ข้าจะลองไปดู" ข้าปั้นใบหน้ายิ้มแย้มตอบ ทั้งๆ ที่มือนั้นสั่นเทา

ข้ารู้ดีว่าถ้าหากข้าตอบปฏิเสธไป ความปราณีที่มีอยู่น้อยนิดของท่านโฟเทียสจะหายไปและข้าก็อาจจะถูกกำจัดในที่สุด สำหรับท่านโฟเทียสแล้วการกำจัดข้าทิ้งคงง่ายยิ่งกว่าการถอนหายใจซะอีก ฉะนั้นข้าเลือกที่จะไม่เสี่ยง สิ่งสุดท้ายที่ข้าต้องการในชีวิตคือการโดนเขาฆ่า

"อ่า งั้นก็ดี ข้าจะให้พลังเจ้าเล็กๆ น้อยๆ ถือเป็นของขวัญก่อนจากกันนะ" เขายิ้มแล้ววาดวงเวทบางอย่างบนหัวข้าก่อนที่ข้าจะรู้สึกสะท้านไปทั้งวิญญาณเมื่อถูกพลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านโฟเทียสแทรกซึมเข้ามา

พละกำลังในร่างเหมือนจะเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย

"ขอบคุณท่านมากที่ให้โอกาสข้า"

ไม่เลย ข้าไม่อยากได้โอกาสนี่สักนิดเดียว! ข้ากู่ร้องในใจนึกอยากร้องไห้ออกมาเต็มทน 

"นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรได้รับมานานแล้ว ชาร์เลส" เขาว่าจบก็ตวัดมือหนึ่งครั้ง

ภาพตรงหน้าข้ากลายเป็นภาพวูบไหวทันที

ข้ากำลังโดนเคลื่อนย้ายไปสักที่ในโลกที่เขาสร้างขึ้นมา... 

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินออกมาจากตาข้าอย่างควบคุมไม่ได้ ข้าพยายามปาดมันทิ้งก็พบว่าไม่สามารถทำได้เพราะมันออกมาเรื่อยๆ เหมือนเป็นน้ำตกหรืออะไรสักอย่าง

ข้าเกลียดตัวเองเหลือเกินที่รู้ทั้งรู้สุดท้ายมันจะจบแบบนี้ ก็ยังดื้อดึงเป็นหมูตัวนั้น

ข้ารู้ดีว่าท่านโฟเทียสไม่ได้ใจดีหรือเปี่ยมไปด้วยเมตตาอย่างที่พวกมนุษย์หรือใครเข้าใจ ความจริงแล้วเขานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาหากเจ้าหมดประโยชน์ก็จะถูกกำจัดทิ้ง หากเจ้ายังมีประโยชน์เขาก็ทำดีด้วย นี่เป็นสิ่งที่ข้าสัมผัสได้มาตลอดตั้งแต่วัยเยาว์
รอยยิ้มพวกนั้นล้วนมาจากการเสแสร้ง มืออุ่นๆ ที่ลูบหัวข้าก็เป็นเพียงการกระทำที่ฝืนกระทำ  ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นภาพมายาที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการปกครองพวกเรา 

บางครั้งข้าก็คิดว่าหากข้าโง่เขลาหรือช่างสังเกตน้อยกว่านี้ก็คงดีเพราะมันอาจจะทำให้ข้าเชื่อสนิทใจและมีความสุขมากกว่านี้ แต่น่าเสียที่ความจริงนั้นโหดร้ายเสมอ

ในตอนนี้ข้ามันก็เป็นเพียงแค่ของเหลือใช้เท่านั้น

หลังจากนั้นข้าก็ท่องไปในโลกอย่างที่เขาว่า ข้าเดินทางไปทั่ว ดินแดนปีศาจบ้าง ภูตบ้าง เรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ บางทีข้าก็ข้ามเวลาไปในอนาคตของพวกมนุษย์หรือจะโลกคู่ขนานข้าก็แทบไปมาหมดแล้ว

ข้าพยายามท่องเที่ยวให้มากที่สุด สวมบทบาทคนอื่นให้มากที่สุดเหมือนกับนักแสดงคนหนึ่ง เพื่อลืมเลือนว่าตัวเองเป็นใครสิ่งที่กำลังประสบคืออะไรกำลังถูกทอดทิ้งอยู่หรือเปล่า ข้าพยายามลืมๆ มันไปให้หมด ไม่อยากจะนึกถึง

แต่หลายครั้งที่ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างที่เมืองมนุษย์ในเมืองเวลล์ข้าก็เผลอหลุดปล่อยโฮออกมาตอนที่ดูดวงให้เสือดำหน้าโง่กับองค์ชายอะไรสักอย่าง พวกเขาทำให้ข้าเผลอนึกถึงคนๆ นั้นจนกดความรู้สึกที่ซ่อนลึกในใจไม่ได้จนมันประทุออกมา 
ข้ายังคงคิดถึง รัก เขาคนนั้นตลอดวินาทีที่ข้าหายใจ 

ความรักสำหรับข้าแล้วมันคงเป็นสิ่งที่โง่ที่สุดสำหรับตัวข้า

เพราะไม่ว่าวันใดวันนึง ข้าเชื่อว่าความรักของข้าเนี่ยแหละที่จะเป็นฝ่ายฆ่าข้าเอง ข้ามั่นใจ....

ไม่นานความมั่นใจของข้าก็เป็นจริงในตอนที่ข้าอยู่ในดินแดนมาร ตอนนั้นรู้สึกว่าข้าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ตอนที่เจอผลงานของท่านโฟเทียส เขากักขังวิญญาณสุนัขจิ้งจอกขาวที่น่าสงสารเอาไว้นับร้อยปีจนมั่นคลุ้มคลั่ง หากเป็นข้าในตอนที่อยู่ข้างกายท่านโฟเทียสข้าคงไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเพราะยังเคารพในตัวเท่าอยู่

หากแต่เมื่อท่านละทิ้งข้าไว้ ข้าก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อสิ่งที่ควรทำและทำตามใจตัวข้าเอง

ภายในอกข้าคล้ายกลับพยายามกรีดร้องถึงชื่อของท่านโฟเทียส ความคิดถึงนั้นรุนแรงจนมือข้าสั่นเทา สุดท้ายข้าก็ตัดสินใจปลดปล่อยเจ้าวิญญาณจิ้งจอกนั่นออกมาเพื่อรอรับบทลงโทษที่มีผลดีคือข้าได้เจอเขา

ทันทีที่ฆ่าทำลายรูปปั้นนั่นได้ไม่นานข้าก็ถูกกระชากกลับไป ภาพคุ้นเคยรอบตัวที่ไม่ได้เห็นมานานมากๆ กลับมาอยู่ในครรลองสายตาอีกครั้งหากแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปกลับพบกว่าสีหน้าดุร้ายของท่านโฟเทียส

"เจ้าก็รู้นี่ ชาร์เลส ว่าข้าเกลียดหมาที่เลี้ยงไม่เชื่องที่สุด" เขาคำรามออกมาเสียงดัง นัยน์ตาขึ้นแดงก่ำ

ข้ามองภาพตรงนี้ด้วยความรู้สึกแปรปรวน 

ข้าดีใจที่ได้เจอเขาอีกครั้งแต่ก็ทุกข์ใจเหลือเกินที่เห็นเขาเกลียดข้าขนาดนี้ แค่นี้อาจจะกรีดหัวใจข้าไม่พอล่ะมั้ง ข้างกายเขาตอนนี้ยังมีชายาที่เขารักมากๆ ยืนอยู่ด้วย

"โฟเทียส! เจ้าสัญญากับข้าแล้วนะว่าจะไปดูดาวตกด้วยกัน จะทำอะไรก็รีบๆ ทำสิ!" นางว่าพลางทำหน้าบูดบึ้งอย่างน่ารัก ส่งผลให้สีหน้าของท่านโฟเทียสดีขึ้นมาบ้าง

แต่น่าเสียดายข้าไม่ได้รู้สึกดีขึ้นตามสักนิด ไม่เลย  แม้แต่นิดเดียว 

"ได้สิ ที่รักของข้า" เขาหันไปกล่าวเสียงนุ่มที่ไม่เคยกล่าวกับข้าแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียวและหันกลับมาผลักข้าลงกับพื้นพร้อมกับถีบแรงๆ จนตัวลอยเข้าไปใกล้หลุมดำแห่งดวงดาวที่เดิมทีภายในห้องนี้ใช้สำหรับกำจัดขยะพวกกระดาษ หากแต่ในตอนนี้มันกลับจะกำจัดข้าแทน!

หากแต่ทั้งจิตใจ ร่างกายและวิญญาณของข้าบอบช้ำเหลือเกิน.. 

แรงที่จะขยับเขยื้อนเพื่อหนีออกจากมันไม่มีแม้แต่นิดเดียว ทำให้ร่างของข้าค่อยๆ ถูกมันดึงเข้าไปอย่างช้าๆ

ข้าน้ำตาไหลพรากกลั้นสะอื้นรู้สึกเศร้าโศกที่เขาไม่แม้แต่จะสนใจฟังคำพูดของข้าเลยแม้แต่นิดเดียว เขาสนใจดาวตกมากกว่าชีวิตของข้าด้วยซ้ำไป

ไอ้หมูโง่

นี่น่าจะเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดสำหรับข้า

ข้าหลับตาลงเฝ้ารอความตายที่กำลังจะมาถึงด้วยหัวใจอันนิ่งสงบ ลมหายใจสม่ำเสมอ

"โฟเทียสหลังจากนั้นท่านก็จะนอนกับข้าใช่ไหม? คิกๆ"

"แน่นอนสิ นานครั้ง ข้ากับเจ้าจะได้พักด้วยกัน"

คำพูดบาดหูคล้ายกับแรงกระตุ้นร่างกายข้า วิญญาณของข้าสั่นสะท้อนด้วยความเจ็บปวด

"ท่านน่ารักจัง ท่านว่าบุตรของเราจะเป็นหญิงหรือชายนะ?"

"ไม่ว่าจะเพศใดข้าก็รักอยู่แล้ว"

วิญญาณของข้าคล้ายกับกรีดร้องแทนข้าที่หัวใจเหมือนถูกฉีกทึ้งไม่เป็นชิ้นดี พละกำลังอันไร้ที่มาพลุ่งพล่านในตัว ข้าสูดหายใจลึกใช้มันในการพาร่างตัวเองออกจากสถานที่แห่งนี้ทันที

แม้ว่าหัวใจของข้ามันจะแตกเป็นเสี่ยงไปแล้วก็ตาม
 

ข้าฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในป่าดงดิบของดินแดนปีศาจ น่าแปลกที่ข้าไม่ได้ตายอย่างที่คิด แต่ร่างกายที่ข้าใช้อยู่นั้นกลับหนักอึ้งเหลือเกิน เหมือนกับพวกมันกำลังประท้วงข้าว่ามันไม่ไหวแล้ว

ข้าสาวเท้าไปเรื่อยในป่า หัวขาวโพลน ว่างเปล่า นัยน์ตาล่องลอย คิดไม่ออกว่าตนเองควรจะทำอะไรต่อไป
วิญญาณของข้าบอบช้ำ พลังของข้าก็หมดไปแล้ว ร่างกายก็ใกล้จะพังเต็มทน แต่สิ่งที่น่าจะเด่นชัดที่สุดในร่างข้าคงจะเป็นหัวใจอันกลวงๆ ที่มีไว้เพียงเพื่อรู้สึกเจ็บปวดแทบเจียนตายเมื่อถูกกระตุ้น

อยู่ในป่าล่องลอยได้ไม่กี่วันข้าก็ได้ข่าวการแต่งงานของราชาปีศาจจากปีศาจสักตัวที่ขึ้นขี่หลังมังกรตะโกนป่าวประกาศข่าวน่ายินดี

"ฟาร์คัส.." น้ำเสียงข้าแหบแห้ง

แต่ข้าก็พอจะจำได้ว่าข้ารู้จักคู่บ่าวสาวของงานนี้อยู่ จึงพยายามกระเสือกกระสนตัวไปงาน นี่อาจจะเป็นเป้าหมายสุดท้ายในชีวิตของข้าก็เป็นได้

การร่วมงานแต่งงานที่เต็มไปด้วยความสุขของการได้รักกัน

ซึ่งมันไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นกับข้า...

ข้าใช้พลังที่น่าจะเฮือกเกือบท้ายๆ ของตัวเองเข้ามาในงานแต่ง  ดูเหมือนว่าข้าจะโชคดีอยู่บ้างที่เข้ามาถูกที่พอดีจึงเจอกับฟาร์คัสได้อย่างง่ายดาย ข้าพยายามทำตัวให้เป็นปกติกล่าวอวยพรอย่างที่ควรเป็นแต่ก็ทำได้ไม่ดีนักในหัวข้าเอาแต่คิดวกวันเหลือเขาคนนั้นจนกระทั่งนึกถึงของขวัญสำหรับคู่บ่าวสาวข้าก็ชะงักไป

ขนนกของนกที่ท่านโฟเทียสเลี้ยงไว้.... 

มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เป็นตัวแทนของเขาคนนั้นที่ข้าเก็บไว้ เดิมทีข้าก็เก็บสะสมข้าวของเกี่ยวกับเขาไว้พอสมควรหากแต่ตอนนี้เหลือเพียงสิ่งนี้เท่านั้น

มือของข้าล้วงเอามันออกมาและยื่นมันให้กับฟาร์คัส

แต่ตอนนี้ข้าก็คงหาของที่ดีกว่านี้ให้ไม่ได้แล้ว... อีกอย่างข้าก็คงไม่มีความจำเป็นต้องใช้มันอีก 

"ฮึก"

สุดท้ายข้าก็เผลอปล่อยโฮออกมา ข้ากล่าวลาสั้นๆ รีบปลีกตัวออกจากงานทันทีไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศไปมากกว่านี้


พลังวิญญาณถูกใช้อีกครั้งจนแทบหมดเกลี้ยง ข้านอนหอบหายใจอยู่บนพื้นหญ้ารกมองดวงอาทิตย์ช่วงบ่ายที่ส่องแสงเจิดจ้า
ตอนที่ข้าไปแดนมนุษย์เหมือนข้าจะได้ยินว่ามีคนเปรียบท่านโฟเทียสกับดวงอาทิตย์

ข้ามองมันทั้งน้ำตารู้สึกเห็นด้วยมากๆ

เพราะมันเป็นสิ่งที่สวยงามและข้าไม่มีวันได้มันมาไม่ว่าจะพยายามหรือไม่ก็ตาม

ข้าหลับตาลงเมื่อรู้สึกเจ็บร้าวทุกข์ทรมานไปทั้งร่าง วิญญาณของข้ากำลังจะแตกสลาย และข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน 

ข้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้งจ้องมองท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่างใสหวนนึกถึงภาพความทรงจำเก่าๆ ของตัวเองที่เคยกระทำ อ้อ จริงสิ ข้าเคยวาดรูปท้องฟ้าด้วยแล้วเขาคนนั้นก็ชมว่ามันสวยมาก

ไม่แน่ใจเพราะเขาคนนั้นชอบท้องฟ้าหรือเพราะความชอบของข้าเอง

ทำให้ข้ารู้สึกว่าท้องฟ้าตอนนี้สวยงามเหลือเกินแม้ว่ามันจะพร่ามัวไปด้วยน้ำตาของข้า

"ชาร์เลส! เฮ้ ชาร์เลส!"

แรงเขย่าที่ตัวข้าทำเอาข้าเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม จนครางหนักๆ ออกมา 

"..วารัน?" เสียงสั่นพร่า 

ข้าจำเสียงเพื่อนของข้าได้ วารันถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับข้าและถูกเอาไปเป็นผู้ควบคุมกาลเวลาต่างจากข้าที่คอยรับใช้ทุกอย่างแล้วแต่เขาจะใช้งาน ข้ากับวารันไม่ได้เจอกันนานมากแล้วนี่ก็น่าจะนับเป็นเรื่องที่ดีได้เจอกันอีกครั้ง
"ท่านลีวาบอกว่าอยากจะให้โอกาสเจ้าอีกสักครั้ง ท่านจะช่วยซ่อมแซมวิญญาณเจ้า ท่านลีวาอยากได้เจ้าไปเป็นคนรับใช้ข้างกายเหมือนที่เจ้าเป็นให้กับท่านโฟเทียส" 

เสียงวารันดูรีบร้อนหากแต่ใจของข้ากลับสงบ

"ข้าไม่ต้องการโอกาสโง่ๆ นี่" ข้าบอกปัดแม้ว่าในขณะที่พูดเลือดกำลังไหลออกมาจากปาก จมูกและดวงตาของข้า

ลีอา.... ชายาที่รักยิ่งของท่านโฟเทียส ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังคิดอะไร แต่ข้าไม่ต้องการความสงสารจากท่านหรอกนะ 

"ไม่สิ เจ้าต้องต้องการสิ ชาร์เลส! ฮือ เจ้าอย่าทำแบบนี้ ข้าไม่เอานะ เจ้าอย่าตายนะ ชาร์เลส" 

เสียงของวารันอู้อี้จนข้าฟังไม่รู้เรื่อง

"ฮื่อออออ" ข้าครางออกมาอย่างหนักหน่วงเมื่อรู้สึกเจ็บจนเหมือนวิญญาณกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง

ข้าพยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้งมองเลยหัววารันที่กำลังร้องไห้น้ำตานองหน้าขึ้นไปยังดวงอาทิตย์ที่ส่งแสงเจิดจ้ากับท้องฟ้าสีคราม

"วันนี้พระอาทิตย์สวยดีนะ"

ก่อนที่ตาของข้าจะพร่ามัวจนดับมืดไป

และทุกอย่างก็เหลือเพียงความว่างเปล่า

-------------------------------------

 :m29:

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
   
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : ชาร์เลส
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 02-08-2016 07:39:11
 :sad4:

ไอ้กากโฟเทียส

 :serius2:

มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่ชาร์เลสแตกสลายแล้วก็จบ ไม่มีโลกหลังวิญญาณใช่ไหมคะ??


หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : ชาร์เลส
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-08-2016 14:38:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : ชาร์เลส
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-08-2016 22:52:59
งือออออออออออออออออ ชาเลส
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : ชาร์เลส
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-08-2016 00:48:32
จะดีหรา ไม่เอาสิ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 55 16 ส.ค 59
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 16-08-2016 23:41:23
ตอนที่ 55

เสียงลมหายใจราบเรียบสม่ำเสมอข้างๆ กาย ทำเอาฟาร์คัสขมวดคิ้วมุ่นรู้สึกประหลาดใจถึงขีดสุด ที่เจ้าแพะโง่ไม่ได้ฉวยโอกาสวันเข้าห้องหอที่เจ้าตัวเหมือนจะอยากให้ถึงไวหนักหนา

"แพะโง่"

ฟาร์คัสพ่นลมหายใจออกมาไม่แน่ใจเพราะว่าผิดหวังหรือโล่งใจแล้วหลับตาลงบ้าง ทั้งๆ ที่ทำใจมาแล้วว่าอาจจะโดนไอ้แพะปัญญาอ่อนนี้ทำเรื่องแบบนั้นแต่ไม่ทำก็ดีแล้ว ก่อนที่เจ้าตัวจะขยับตัวเข้าไปหาอกของคาร์บิลัสและวางมือที่เอวหนาเหมือนกอดหลวมๆ

ปีศาจอีกาหน้าเห่อร้อนเล็กน้อยเพราะไม่บ่อยนักที่ตนเองจะเป็นฝ่ายกอดคาร์บิลัสตอนนอน ส่วนใหญ่จะเป็นคาร์บิลัสซะมากกว่าที่รวบตัวเขาไปกอดแน่นทุกคืนซึ่งฟาร์คัสก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรออกจะเต็มใจด้วยสีหน้าเฉยชาด้วยซ้ำ

ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วตัวฟาร์คัสเมื่อคนที่เหมือนจะหลับไปแล้วกลับหันข้างกลับมาสวมกอดคืนแน่น

"ไอ้แพะเวรนี่เจ้าไม่ได้หลับ?" ฟาร์คัสถลึงตามองเมื่อรู้สึกถึงมือเจ้าแพะโง่กำลังลูบเอว

"..." คาร์บิลัสไม่ได้ตอบลูบต่อไปสักพักก่อนที่จะหยุดลงซะเฉยๆ

"ละเมองั้นเหรอ" ฟาร์คัสพูดพึมพำและถูกความง่วงครอบงำในที่สุด เลิกสนใจคาร์บิลัส ตั้งหน้าตั้งตานอนจริงๆ จังๆ 
เพียงเวลาไม่นานฟาร์คัสก็หลับลึกตามที่คาร์บิลัสได้โฆษณาเตียงเอาไว้ ฉับพลันคนที่ฟาร์คัสคิดว่าหลับลึกไปแล้วนั้นกลับลืมตาขึ้นมา กระซิบข้างหูหยอกเย้าเสียงเบา 

"ตอนนี้ข้าไม่ทำเจ้าก็จริง แต่หลังจากนี้ข้าจะทบต้นทบดอกเลย ฟาร์คัส"  พูดจบก็หัวเราะหึๆ ในลำคอ ลอบชิมริมฝีปากฟาร์คัสแล้วจึงนอนต่อ เพราะถ้าหากไม่นอนตอนนี้ก็คงจะควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้แล้ว

ใครใช้ให้วันนี้ฟาร์คัสน่ารัก ขี้อ้อนเป็นพิเศษล่ะ?
 

"แง้ ดัฟฟ์เบื่อวิชาประวัติศาสตร์โลกปีศาจง้า"  ดัฟฟ์งอแงทันทีที่ก้าวออกมาจากห้องสอบ สีหน้าเหมือนถูกบังคับให้กินยาขม
คาอิสที่ออกมายืนข้างนอกก่อนแล้วเหลือบมองเซ็งๆ "คิดว่าข้าไม่เบื่อรึไงกัน"

"เจ้าจะเบื่อก็เบื่อไป พวกเราต้องสอบภาคทฤษฎีในการใช้ดาบด้วย" โนแลนที่คงแก่เรียนที่สุดในห้องพูดเสียงไร้อารมณ์และก้มลงอ่านสมุดจดที่ตัวเองด้วยลายมืออันเป็นระเบียบต่อไม่แยแสเสียงดังลั่นสั่นประสาทหูรอบตัว

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาพักหลังจากสอบเสร็จซึ่งก็เพียงไม่นานเท่านั้น ทำให้ระเบียงนอกห้องเรียนค่อนข้างวุ่นวายมาก เพราะมีทั้งปรึกษากันเรื่องวิชาที่จะสอบวิชาต่อไป ทั้งบ่นเรื่องข้อสอบ ไหนจะเรื่องไปเลี้ยงฉลองหลังจากสอบเสร็จ 

"เจ้าจะอ่านไม่อ่าน เจ้าก็ได้ที่หนึ่งของห้องอยู่ดี" ลาสเพื่อนสนิทลูกชายรองแม่ทัพเจ้าระเบียบพูดสีหน้ายิ้มๆ แย่งสมุดจดจากมือโนแลนไปอ่านเพราะตัวเองไม่ได้จดแม้แต่ตัวอักษรเดียว มัวแต่เอาแต่นั่งวาดรูปร่างแบบเสื้อผ้าที่ตนจะใส่ในวันพรุ่งนี้

โนแลนไม่ได้ตำหนิอะไรเหลือบมองชุดลาสแล้วยิ้มจาง "ชุดนี้เจ้าดูดีนะ" 

มันเป็นชุดสีขาวขลิบทองเข้ากันดีกับริบบิ้นสีขาวที่ถูกใช้รวบผมสีทอง 

คนโดนชมหน้าแดงวาบมองคนพูดด้วยสายตากระอักกระอ่วน "แน่นอนสิ ข้าใส่ชุดไหนก็ต้องดูดีทั้งนั้นแหละ เอ้า เอาไปอ่านต่อไป ข้าไม่อ่านแล้ว" ยื่นคืนทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มอ่านได้เพียงแค่บรรทัดแรก

โนแลนหัวเราะในลำคอรับมาอ่านต่อและเผลอขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อถูกกระตุกชายเสื้อจากเพื่อนร่วมห้องที่ตัวเล็กกว่าเป็นเท่าตัว

"เจ้าได้จดวิชาต่อไปไว้ด้วยเหรอ? แก๊ซ ข้าขออ่านบ้านสิ ข้าจดไม่ทันง้า" ดัฟฟ์พูดด้วยสีหน้าน่าสงสาร

"เอาสิ" โนแลนยิ้มจาง ยื่นให้อย่างว่าง่าย เขาไม่ใช่พวกเอาตัวรอดคนเดียวอยู่แล้ว

"เหยๆ โนแลนรอบนี้ให้อ่าน คาอิส เจ้ามานี่เร็ว! ข้าว่ารอบนี้พวกเราต้องผ่านแน่ๆ" ออสการ์พรายน้ำจอมทระนงตนพูดอย่างตื่นเต้น ปกติแล้วถ้าหากพวกเขาโนแลนมาอ่าน โนแลนจะไม่ค่อยให้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร 

คาอิสที่ยืนหน้าเซ็งรีบปราดเข้ามาหาขุมทรัพย์ทันที ชะเง้อคอไปมุงอ่านสมุดจดในมือดัฟฟ์ด้วยตาเป็นประกาย คนที่เก็งข้อสอบแม่นเหมือนเป็นคนออกข้อสอบเองก็โนแลนเนี่ยแหละ!

"แง้ เยอะจัง" ดัฟฟ์บ่นขยี้ตัวเองที่เริ่มจะลายเพราะตัวอักษรที่มีมากเกินไปในสมุด

"บ่นมาก เอามานี่มา ข้าอ่านเอง" ออสการ์ชักสีหน้าทำท่าจะแย่งสมุดจากมือดัฟฟ์ไปถือครองเองก่อนที่มือขาวๆ ของพรายน้ำจะถูกตีดังเพียะ

"เพราะงี้ไงข้าถึงไม่ให้เจ้ายืม" เจ้าของสมุดพูดด้วยสีหน้าถมึงทึง มองสมุดในมือที่เกือบจะขาดเป็นสองท่อนเพราะถูกแย่งกัน ซึ่งมันก็เคยขาดมาแล้วรอบนึงด้วยฝีมือของออสการ์คนเดิม

ออสการ์ขบกรามกรอดรู้สึกจนมุมแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังต้องพึ่งพาสิ่งที่โนแลนจดเข้าไปฝ่าฟันในห้องสอบลำพังแค่ความรู้ในหัวตัวเองคงจะไม่เพียงพอสักเท่าไหร่

ในขณะที่บรรยากาศรอบกายตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังแว่วออกมาจากมุมห้อง

"เจ้าจะอ่านกันไปทำไม? ในเมื่อพวกเราก็ต้องสอบตกอยู่ดี.." เอิร์ลปีศาจกินวิญญาณประจำชมรมผีผีผีพูดด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก 

"เจ้าไม่อยากตกก็อ่านหนังสือสิ จะมามัวพล่ามทำไม" เมื่อมีเป้าหมายใหม่เข้ามาในวง โนแลนก็ตอกเสียงดุทันที นอกจากจะดำรงตำแหน่งเป็นเพื่อนร่วมห้องแล้วโนแลนยังเป็นหัวหน้าห้องอีกด้วย  เนื่องจากบุคลิกเข้มงวด เป็นระเบียบจนอาจารย์วิชาต่างๆ ไว้วางใจ

ทั้งๆ ที่ถูกตำหนิแต่สีหน้าของเอิร์ลก็ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ร่างเล็กๆ ปัดผมหน้าม้าที่ปิดใบหน้าของตัวเองไปเกือบครึ่งออก "ข้าไม่ว่างขนาดนั้นหรอกนะ ชมรมผีผีผีต้องการสมาชิกอย่างข้า.."

โนแลนกลอกตาใส่เอิร์ลตรงๆๆ ไม่รู้ควรจะรู้สึกอย่างไรกับเพื่อนร่วมห้องคนนี้ ที่มีข้ออ้างไร้สาระเกินทน แต่นั่นก็เป็นความชอบของเพื่อนเขา เขาไม่สิทธิ์ที่จะก้าวก่ายอยู่ดี

"เอาเถอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้าจะติวให้พวกเจ้าแล้วกัน" ลูกปีศาจรองแม่ทัพพูดอย่างใจกว้าง นานครั้งจะมีโอกาสแบบนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้าตัวไม่ได้มีอารมณ์ที่ดีทุกครั้งที่สอบ เขาอยากให้พวกเพื่อนร่วมห้องพวกนี้ทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอแต่หัวหน้าอย่างเขามาคอยติวให้ทีเดียว

"เย้!" ดัฟฟ์ร้องออกมาอย่างดีใจ อย่างน้อยมันก็ไม่ต้องอ่านตัวหนังสือยาวเป็นพรืดเองแล้ว 

"แต่เวลาพวกเรามีน้อย ข้าจะสรุปให้ฟังแล้วกัน"  โนแลนถอนหายใจ ยืนรอเพื่อนร่วมห้องที่ตอนแรกยืนกระจัดกระจายให้กลับมานั่งรวมกันแล้วจึงร่ายเวทคลุมสถานที่เพื่อปิดกั้นเสียงรบกวนและเริ่มติวให้ทันที

"แง้ ยากง่า" ดัฟฟ์แอบบ่นกระปอดกระแปดเมื่อโนแลนเริ่มร่ายยาวถึงวิธีการใช้ดาบคู่ในภาคทฤษฎีเวลาที่เจอศัตรูเป็นกลุ่มใหญ่
"แค่นี้เจ้าบ่นลองเจอเรื่องการจัดทัพสิ เจ้าร้องไห้แน่ดัฟฟ์" กริสเซลกระซิบคุย

"แก็ซ ข้าต้องสอบตกแน่เลย ง้า" ดัฟฟ์งอแง รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง แม้ว่าตอนนี้จะพอเขียนกับอ่านภาษาของปีศาจได้คล่องแล้วแต่เรื่องการหาคำตอบมาตอบวิชานี้กลับเป็นเรื่องที่หินกว่ามาก

กริสเซลหัวเราะตบไหล่ดัฟฟ์ดังแปะๆ "ไม่ต้องห่วงดัฟฟ์ นอกจากโนแลนแล้ว ไม่เคยมีใครผ่านวิชานี้หรอก"

"..." ดัฟฟ์อ้าปากค้างส่วนคนอื่นๆ ที่ได้ยินประโยคนี้พอดีต่างพยักหน้าเห็นด้วยกันเงียบๆ

"นั่นพวกเจ้าคุยอะไรกันน่ะ? ข้าพูดถึงเรื่องการถือดาบแล้วนะ" โนแลนเลิกคิ้วมองดุๆ ทุกคนจึงเลิกคุยกันและหันมาตั้งใจฟังกันจริงจัง จริงจังมากกว่าตอนเรียนในห้องซะอีก..

เว้นเสียงแต่ปีศาจเจ้าสำอางที่หยิบริบบิ้นบนหัวตัวเองมาผูกเป็นรูปต่างๆ เล่น  เมื่อรู้สึกถึงสายตาคุ้นเคยที่มองมาก็ยิ้มจางให้และหันไปให้ความสนใจกับริบบิ้นต่อ

เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฟังโนแลนอะไรมากนักเพราะส่วนใหญ่ก็ติวกันไปหมดแล้ว ซึ่งคะแนนส่วนใหญ่ที่ออกมานั้นก็เกือบตกบ้างผ่านพอดีบ้างหรือบางวิชาก็คะแนนสูงกว่าโนแลนเป็นเท่าตัว 

"ถ้าอยากได้คะแนนเยอะๆ ก็หันมาฟังที่ข้าพูด"

ถึงแม้ประโยคจะดูเหมือนหว่านให้ทุกคนฟัง แต่ลาสก็รู้อยู่แก่ใจว่าหมายถึงตัวเองเลยต้องจำยอมเงยหน้าขึ้นจากริบบิ้นและเท้าคางนั่งฟังเพื่อนสนิทตัวเองพูดต่อไปเบื่อๆ จนกระทั่งถึงเวลาสอบอีกครั้ง

โฮกกกกกก

เสียงปีศาจมังกรคำรามดังลั่นเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาสอบวิชาต่อไปแล้ว

"ข้าอวยพรให้พวกเจ้าสอบผ่านกันทุกคนแล้วกัน" โนแลนพูดยิ้มๆ รู้สึกโชคดีอย่างบอกไม่ถูกที่ตัวเองสามารถติวเนื้อหาได้ครบพอดี

"ข้าว่าห้องเราเอาแค่เจ้ามาเรียนคนเดียวก็น่าจะเหลือเฟือแล้ว" กริสเซลพูดจากใจจริงมองโนแลนด้วยความซาบซึ้ง วิชาที่เขาใช้เวลาทำความเข้าใจทั้งวันยังไม่เข้าใจแต่โนแลนพูดเพียงนิดเดียวก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แต่ลึกๆ แล้วกริสเซลก็รู้สึกอยู่ดีว่าตัวเองต้องไปตายในห้องสอบแน่ๆ

ทุกคนในห้องหัวเราะเห็นด้วยกับสิ่งที่กริสเซลพูดเอามากๆ หากแต่เมื่อก้าวเข้าไปนั่งในห้องสอบ หยิบแผ่นข้อสอบขึ้นมาอ่านสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหมดอาลัยตายอยากทันที 

โนแลนเห็นสีหน้าของเพื่อนในห้องก็ยิ้มแห้งๆ รู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก

หวังว่าพวกเจ้าจะทำกันได้นะ..
 


หลังจากวันที่เข้าห้องหอเสร็จเพียงหนึ่งวัน คาร์บิลัสก็รวบหัวรวบหางฟาร์คัสทันทีอย่างไม่รอช้าจนฟาร์คัสมีสีหน้าดุร้ายไปทั้งอาทิตย์ มองคาร์บิลัสตาขวาง 

"ไอ้แพะเวร" ฟาร์คัสด่าทันทีเมื่อคาร์บิลัสโผล่หน้าเข้ามาในห้องนอน

คาร์บิลัสหงอยลงทันควัน "ก็ข้าบอกแล้วว่าวันเข้าห้องหอข้าไม่ทำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวันต่อจากนั้นข้าจะไม่ทันนี่นา"

ฟาร์คัสกลอกตากับคำแก้ตัวหน้าด้านๆ ของคาร์บิลัส

"เจ้าไปตายอดตายอยากมาจากไหนวะ"

เพราะไอ้แพะโง่นี่มันทำข้าเจ็บจนแทบบ้าเวลาที่ก้าวเดิน 

คาร์บิสัลยิ้มพราย "ก็เจ้าน่ารักนี่นา ข้าก็ต้องอดใจไม่ไหวสิ อย่าลืมสิ ว่าเจ้าเป็นชายาของข้าแล้วนะ"

ฟาร์คัสหาคำด่าไม่เจอทันทีเมื่อถูกคาร์บิลัสจับจุดได้ หน้าแดง "แล้วเรื่องที่ข้าจะไปสมัครเป็นพวกนกส่งสาร เจ้าจะข้าทำไหม? อ้อ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่า คอร์สเอาเรื่องนี้ไปบอกเจ้า"

คนเป็นราชาปีศาจหน้ามุ่ย "ไม่ มันอันตราย ตอนนี้เจ้าเป็นชายาข้านะ ถ้าเจ้าไปทำงานพวกนั้นมีหวังโดนพวกไม่หวังดีลอบทำร้ายแน่"

จริงๆ ต่อให้เจ้าจะอยู่แต่ในปราสาทเฉยๆ ข้าก็ไม่ว่าเจ้าหรอก

คาร์บิลัสคิดในใจ

"แล้วจะให้ข้าทำอะไร ให้ข้าอยู่นิ่งๆ โง่ๆ ข้าทำไม่เป็นหรอก" ฟาร์คัสพูดตรงๆ นั่งกอดเข่ามองคาร์บิลัสเขม็ง ถึงแม้ว่าจะเป็นถึงชายาของราชาปีศาจผู้ทรงอำนาจ ฟาร์คัสก็ไม่คิดจะทำตัวไร้แก่นสารไปวันๆ โดยอ้างชื่อของราชาปีศาจ

คาร์บิลัสทำท่าคิดเมื่อนึกออกก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังจนฟาร์คัสเลิกคิ้วเมื่อเห็นสีหน้านั้นและตั้งใจฟังในสิ่งที่ราชาปีศาจกำลังจะพูด
"เป็นชายาที่ดีของข้าไง"

"..." ฟาร์คัสถอนหายใจเซ็งๆ เมื่อได้รับคำตอบไร้สาระ

คาร์บิลัสเริ่มโวยวายหน้าเครียด "ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปทำงานพวกนั้นหรอกนะ คิดดูสิ ถ้าเกิดเจ้าถูกจับไปข้าจะทำยังไง ไหนจะเรื่องถูกปีศาจตนอื่นแอบมองอีกล่ะ ข้ารับไม่ได้หรอกนะ ที่จะต้องแบ่งเจ้ากับคนอื่นๆ เจ้าเป็นของข้านะ ฟาร์คัส เจ้าก็ต้องแต่กับข้าสิ"

ราชาปีศาจงอแงใส่ชายาของตัวเองอย่างผิดวิสัยด้วยท่าทางเหมือนกับเด็กที่ถูกขัดใจ เพียงแต่ว่าเด็กที่ว่ามีขนาดตัวที่ใหญ่เอามากๆ และหน้าตาที่หล่อเหลา

"ครูล่ะ เจ้าว่าไง" ฟาร์คัสยื่นข้อเสนอใหม่

คาร์บิลัสส่ายหน้าดิกไม่ยอม

ฟาร์คัสหน้าบูด "แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอะไรล่ะ ไอ้แพะโง่ เอกสารของเจ้าบางอย่างข้าก็ไม่เข้าใจหรอกนะ" ไม่ใช่แต่บางอย่างแต่น่าจะเป็นทั้งหมดซะมากกว่า เอกสารพวกนั้นมีแต่ศัพท์แสงชวนให้งงงวยตั้งแต่บรรทัดแรก ไหนจะความนัยจุดประสงค์แฝงต่างๆ มากมายที่ข้าอ่านแล้วไม่รู้ตัวสักนิด หากแต่เมื่อแพะโง่มาอ่านกลับฉีกยิ้มเย็นและฉีกกระดาษแผ่นนั้นเป็นชิ้นๆ

"เดี๋ยวข้าสอนเจ้าเอง ไม่ยากหรอก" คาร์บิลัสตอบเว้นระยะไปสักพักถึงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม "การเป็นชายาที่ดีน่ะ"

คนเป็นชายาถลึงตามองเซ็งๆ ทรุดตัวลงนอนบนเตียงและดึงผ้าห่มมาคลุมโปงเชิงไล่ให้ไปไกลๆ 

แต่คนโดนไล่กลับมานั่งอยู่ข้างๆ ลูบหัวชายาอย่างอ่อนโยนแม้จะมีผ้าห่มผืนหนากั้นไว้อยู่

"เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำได้ ขอแค่มันอยู่ในสายตาของข้าก็พอ"

"..." 

"ตำแหน่งราชาปีศาจมันไม่มั่นคงนักหรอก ที่ข้าได้ตำแหน่งมา ข้าก็ชิงมันมา" คาร์บิลัสหัวเราะในลำคอ "ข้าไม่มีวันรู้ว่าวันไหนจะมีใครก่อกบฎขึ้นมา มันอาจจะจับตัวเจ้าไปเป็นตัวประกันก็ได้ ถึงตอนนั้นข้าอาจจะช่วยเจ้าไว้ได้ไม่ทันเหมือนทุกครั้ง.."

"..."

"เจ้าอาจจะคิดว่าตอนนี้กำลังปลอดภัยแต่ในขณะเดียวกันเจ้าก็ไม่มีทางรู้ว่าข้างหลังเจ้านั้นมีดาบเตรียมจะฟันคอเจ้าขาดในดาบเดียว"

ฟาร์คัสผลักผ้าห่มออกมองสีหน้าจะยิ้มก็ไม่ยิ้มของคาร์บิลัส

"เจ้าไม่อาจไว้ใจใครได้นอกจากข้า"

คาร์บิลัสดึงมือฟาร์คัสขึ้นมาจูบ "มีเพียงข้าเท่านั้น ที่จะไม่มีวันทรยศเจ้า"

เดิมทีคาร์บิลัสไม่ค่อยอยากเอ่ยถึงเรื่องนี้นัก หากแต่เรื่องงานที่ฟาร์คัสอยากทำนักหนาก็ดลให้พูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา

"อืม" ฟาร์คัสส่งเสียงตอบหน้าแดง พยักหน้าแกนๆ "ตามนั้นก็ได้"

คาร์บิลัสถึงได้ยิ้มออกและประทับจูบลงบนริมฝีปากของชายาที่รักยิ่งของตัวเองทันทีแต่ไม่ทันได้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ก็ถูกฟาร์คัสผลักหน้าออก

"เจ้าอยากให้ข้าตายคาเตียงเลยรึไง ไอ้แพะเวร!!" มองตาเขียว

คาร์บิลัสหัวเราะตอบเปลี่ยนจากจะจูบเป็นสวมกอดหลวมๆ แทน

"ขอบคุณที่เข้าใจข้า.."

"อืม.."

 


หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 55 16 ส.ค 59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-08-2016 16:10:46
เออออออ เราอ่านตอนไหนข้ามไปรึป่าวหว่า
นาซัสไปไหนอ่าาา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 55 16 ส.ค 59
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 17-08-2016 16:29:58
>< รบกวนคุณ Foggy Time ทำที่คั่นตรงที่พาสไทม์ของดัฟฟ์ได้ไหมคะ มะกี้อ่านเกือบตามไม่ทัน :D


(ดัฟฟ์โตแล้ว ไปหาคู่ที่เมืองมนุษย์??? หรือไปนั่งดูเวสเปอร์กับโลกัสน้อออออ  :hao7:)
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 55 16 ส.ค 59
เริ่มหัวข้อโดย: ราตรีสีน้ำเงิน ที่ 30-08-2016 13:42:06

:pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 56 8 ก.ย 59
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 08-09-2016 22:29:06
ตอนที่ 56

บริเวณด้านหน้าปราสาทในตอนกลางคืนนั้นได้มีร่างสามร่างกำลังยืนล่ำลากันอยู่ ซึ่งร่างที่ยืนแยกออกมาคนเดียวนั้นยิ้มจางๆ ให้กับคู่ใหม่ปลามันที่แสนโด่งดันของดินแดนปีศาจในขณะนี้

"ข้าฝากดูแลทางนี้ด้วยนะ ชาคอส" คาร์บิลัสหัวเราะในลำคอขณะที่กำลังโอบไหล่ฟาร์คัสไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่สะทกสะท้านกับการเหยียบเท้าหรือหยิกแขน

"ขอรับ" ชาคอสรับคำเหลือบมองฟาร์คัสที่มีสีหน้ากระดากอายซึ่งยิ่งเห็นท่าทีแบบนั้นก็กระตุ้นให้รู้สึกอยากทำอะไรบางอย่างให้สีหน้านั้นบิดเบี้ยวขึ้นไปอีก "ท่านต้องการยาเฉพาะไหม? ข้าจะได้ว่าท่านคาร์บิลัสบอกว่าท่านยังไม่หายเจ็บใช่ไหมขอรับ"
ฟาร์คัสถลึงตามองลูกน้องปากดีที่ดูจะแส่เรื่องเจ้านายซะเหลือเกิน "เรื่องของข้า"

รอยยิ้มมุมปากของคาร์บิลัสหายฉับมองชาคอสตาเขียวด้วยแรงหึง "เจ้าห้ามพูดเรื่องแบบนี้กับฟาร์คัส มีแค่ข้าที่ทำให้ฟาร์คัสเขินอายได้เท่านั้น!"

"ขอรับๆ" ชาคอสไหวไหล่รับคำอย่างขอไปที "ข้าขออวยพรให้พวกท่านสนุกกับการฮันนีมูนแล้วกันขอรับ ระหว่างนี้ข้าจะช่วยดูแลทุกอย่างให้ท่านเองขอรับ" ประโยคนี้หมายถึงคาร์บิลัสที่มีงานก่ายกองท่วมหัว

"ดีๆ ไปกันเถอะ ข้าอยากไปเที่ยวจะแย่แล้ว" ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นแต่ก็ยังมองชาคอสไม่วางตา แม้จะไว้ใจชาคอสมากแต่แรงหึงนั้นบังตา มือโอบตัวฟาร์คัสยิ่งกว่าเดิม แทบจะแยกเขี้ยวขู่แง่งๆ ประกาศความเป็นเจ้าของเต็มที่ 

ฟาร์คัสกลอกตาเอื้อมมือไปเขกหัวแพะหน้าโง่หนึ่งทีจนเจ้าตัวทำหน้าเหยเกและเป็นเหงาหงอยในพริบตา

"เจ้าเขกหัวเข้าทำไม ฟาร์คัส" คาร์บิลัสกุมหัวบริเวณที่โดนเขกจนแดง มองชายาตัวเองด้วยสีหน้าน่าสงสาร 

"เจ้านั่นแหละ ร่ายเวทเคลื่อนย้ายสักที มัวแต่ลีลาอยู่ได้" ฟาร์คัสไม่รู้สึกเห็นใจหรือสงสารใดๆ เหลือบมองท้องฟ้ากลางคืนที่พระจันทร์ใกล้จะขึ้นตรงหัวด้วยท่าทีเบื่อๆ เล็กน้อย

เจ้าแพะโง่นี่บอกว่า ถ้าไปถึงที่นั้นตอนพระจันทร์ตรงหัว ที่นั่นจะสวยมาก..

ก่อนที่จะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยต่อก็เผลอหาวหวอดจนน้ำตาเล็ดเพราะนี่เป็นเวลานอนแล้ว 

"อย่าเพิ่งง่วงสิ ฟาร์คัส" คาร์บิลัสหน้าบูดงอนๆ เอ่ยร่ายเวทเรียกสัตว์ที่ใช้เฝ้าปราสาทระหว่างที่ตนเองไม่อยู่เป็นประจำออกมา

โฮกกก

พริบตาวิญญาณเจ้ามังกรกระดูกก็ปรากฎอยู่เหนือปราสาทและส่งเสียงคำรามดังลั่นเชิงทักทาย ซึ่งรัศมีเสียงการทักทายของมันก็ค่อนข้างที่จะไกลมาก...

"ว้ากกกก บ้าเอ้ย ไอ้มังกรเวรนี่อีกแล้ว ฮืออออ"

"ฮืออ ท่านคาร์บิลัส ท่านเอาตัวอื่นมาเฝ้าบ้างไม่ได้เรอะ ใช้แต่มังกรนี่ ข้าต้องสติแตกเข้าสักวันแน่ๆ"

"เวรเอ้ย เวรร แค่ข้าเดินมันก็แทบจะฆ่าข้าอยู่แล้วนะ เจ้ามังกรงั่งเนี่ยย"

เสียงโอดครวญดังลั่นมาจากหลายบ้านอย่างคับแค้นใจ พวกเขาล้วนกลัวเจ้าวิญญาณมังกรกระดูกนี้ยังกับอะไรดี

คาร์บิลัสหลุดหัวเราะในลำคอเบาๆ ไม่รู้สึกโกรธแม้จะได้ประโยคที่พาดพิงถึงตัวเอง มือเริ่มวาดไปในอากาศเป็นตัวอักษรปีศาจหวัดๆ สองสามคำสำหรับเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ที่ต้องการ

น้ำตกต้องห้าม... ที่มีไว้สำหรับราชาปีศาจอย่างเขาเท่านั้น

ร่างสูงดึงตัวชายาขึ้นมาอุ้มอย่างง่ายดาย เริ่มหายงอนเพราะในหัวจินตนาการถึงภาพต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งก็ทำให้อารมณ์นั้นดีขึ้นมากๆ ไม่ว่าจะเรื่องการกินข้าวด้วยกัน ซื้อของด้วยกัน หลายต่อหลายอย่าง ซึ่งสิ่งที่ทำให้คาร์บิลัสอารมณ์ดีที่สุดก็คงเป็น
การเล่นน้ำตกด้วยกัน!

"โอ๊ย!" ฟาร์คัสสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด "ไอ้แพะเวรเอ้ย ข้าเดินของข้าเองได้ ข้าไม่ได้เป็นง่อย!!" ความเจ็บปวดที่ตีตื้นขึ้นมานั้นยากเกินจะบรรยายจนรู้สึกอยากกระทืบเจ้าแพะปัญญาอ่อนนี่ให้รู้แล้วรู้รอด

คาร์บิลัสยิ้มกวน "เจ้าเดินไม่ไหวหรอกน่า ให้ข้าทำหน้าที่....ที่ดีเถอะ"  พูดพร้อมเว้นคำให้ปีศาจอีกาไปคิดต่อเอาเอง นัยน์ตาสีเทากวาดตามองรอบๆ ที่เป็นสีต่างๆ สลับไปมา อย่างระมัดระวัง ในขณะที่กำลังเคลื่อนย้ายนั้นต้องรอบคอบเอามากๆ เพราะหากควบคุมเวทย์ได้ไม่ดีพออาจะไม่ได้โผล่ไปในที่ๆ ต้องการ  ซึ่งคาร์บิลัสก็เคยได้รับบทเรียนนั้นแล้ว จากช่วงสมัยเรียนอาจารย์ให้เคลื่อนย้ายไปในปราสาทแต่คาร์บิลัสกลับเผลอใจลอยระหว่างเคลื่อนย้ายและรู้ตัวอีกทีเมื่อตนเองอยู่ในห้องน้ำโรงเรียนซะอย่างนั้น

ฟาร์คัสหน้าบูดไม่รู้สึกเขินอายสักนิด "สรุปแล้วเจ้าจะพาข้าไปไหน?" เพราะเจ้าแพะโง่มันไม่เคยบอกอะไรเลยนอกจากคำว่าไปฮันนีมูน

ยังไม่ทันได้ตอบสภาพแวดล้อมรอบข้างก็เป็นคำตอบให้กับคำถามของฟาร์คัสแทน

ร่างราชาปีศาจนั้นปรากฎอยู่บนโขนหินกลางน้ำโดยที่รอบกายเต็มไปด้วยหิ่งห้อยสีสันสดใสต่างๆ บินเอื่อยกันอยู่เต็มไปหมด พวกมันแข่งกันส่องแสงสว่างราวกับว่าตนเองนั้นเป็นดวงดาวเป็นท้องฟ้า ซึ่งมันก็ไม่ได้มีเพียงเสียงเหลืองนวลเท่านั้น สีส้ม สีม่วง สีฟ้า สุดแล้วแต่ที่ร่างกายพวกมันจะสรรหามันอวดโฉมแข่งกัน 

ฟาร์คัสเบิกตากว้างชะงักค้างไปกับภาพที่สวยจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงมองพวกมันพยายามเก็บเกี่ยวความงามพวกนี้ไปไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด ยิ่งเสียงน้ำตกซ่าๆ ผสมกับเสียงสัตว์ในตอนกลางคืนคล้ายกับเสียงดนตรีจากนักดนตรีฝีมือดียิ่งทำให้เคลิบเคลิ้มไปจนเหมือนหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง

"ชอบไหม?" คาร์บิลัสโน้มหน้าลงใกล้ฟาร์คัสในอ้อมกอดกระซิบถามเสียงพร่า

"อืม" ฟาร์คัสส่งเสียงตอบในลำคอ ทั้งๆ ที่ใจจริงอยากจะตอบกลับไปว่าชอบมาก แต่ตอนนี้ในหัวแทบจะหาคำพูดไม่เจอเพราะถูกอัดแน่นด้วยความประทับใจ

"ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามมาตั้งแต่โบราณ" คาร์บิลัสยิ้มจางเมื่อมีหิ่งห้อยแสงสีดำตัวหนึ่งบินมาใกล้และเกาะลงบนมือของฟาร์คัสที่ยกขึ้นมา "มันเป็นสถานที่ล้ำค่า ไม่มีที่ไหนที่มีหิ่งห้อยโบราณหลากสีนับพันแบบนี้ ชาวปีศาจฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้จึงทำข้อตกลงกันยกเว้นพื้นที่นี้เอาไว้เพราะไม่ว่าใครที่เคยมาที่ล้วนเป็นแบบเจ้าทั้งนั้น"

ฟาร์คัสหัวเราะหึเมื่อถูกกล่าวถึง

"มันถูกยกเป็นหนึ่งในรางวัลสำหรับผู้ชนะสงคราม" คาร์บิลัสหลับตายิ้มเศร้าเล็กๆ เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ตนเองได้ครอบครองสถานที่นี้แต่เพียงผู้เดียว "และข้าก็เป็นผู้ชนะ"

"เจ้ามาฮันนีมูนไม่ใช่เหรอ? อย่าทำหน้าเศร้านักสิ" ฟาร์คัสสะบัดมือไล่หิ่งห้อยที่เกาะตัวเองออกและเอื้อมมือไปลูบใบหน้าของคาร์บิลัสที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ว่าในอดีตนั้น คาร์บิลัสผ่านความยากลำบากมาขนาดไหน.. ข่าวเรื่องการรวมดินแดนปีศาจให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวของคาร์บิลัสนั้นโด่งดังใช่เล่นจนแม้แต่นกบอกลางอย่างข้ายังได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆ

คาร์บิลัสถึงยิ้มออกบ้าง โยนเรื่องในอดีตของตัวเองออกจากหัวและจดจ่อกับปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่ "เจ้าง่วงรึยัง? ที่รัก"

ฟาร์คัสสะดุ้งกับคำเรียก "เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?" 

"ที่รัก" คาร์บิลัสหัวเราะกับสีหน้าแปลกๆ ของฟาร์คัส "ไม่ชอบเหรอ? แต่ข้าชอบนะ"

"ชอบก็บ้าแล้ว ที่รักบ้าอะไรของเจ้า เรียกข้าว่าฟาร์คัสนั่นแหละดีแล้ว ข้าไม่ต้องการชื่อใหม่" ฟาร์คัสหน้าแดงพยายามขืนตัวลงไปยืนด้วยขาตัวเอง เพราะพออยู่ในอ้อมกอดของคาร์บิลัสแล้วทำให้รู้สึกแพ้เจ้าแพะโง่นี่ยังไงชอบกล 

"ที่รัก ง่วงรึยัง ถ้ายังไม่ง่วง ข้าจะพาเจ้าเล่นน้ำ" คาร์บิลัสพูดเย้าแหย่ ออกแรงขืนตัวฟาร์คัสเอาไว้จนเจ้าตัวขยับเขยื้อนไม่ได้
"ข้าง่วงมาก ถ้าเจ้าอยากเล่นจริงๆ ค่อยเล่นพรุ่งนี้ได้ไหม" ฟาร์คัสพยายามต่อรอง สบตากับนัยน์ตาสีเทาที่เหมือนจะพยายามมอมเมาตัวเองให้เผลอรับปากซึ่งแน่นอนว่าปีศาจอีกาประสบการณ์สูงคนนี้ย่อมไม่ตกหลุมพรางแน่นอน

แต่ดูเหมือนว่าฟาร์คัสจะคิดผิดไปเพราะทันทีที่เห็นนัยน์ตาสีเทานั้นฉายแววผิดหวัง ใจก็อ่อนยวบเหมือนถูกไฟลน

"แย่จังข้ายังไม่ง่วงเลย ที่รัก ถ้าเจ้านอนแล้วข้าจะทำอะไรล่ะ... ไล่จับหิ่งห้อย ข้าไม่เอาด้วยนะ"

ที่คาร์บิลัสพูดถึงหิ่งห้อยนั้นก็เพราะว่าเจ้าหิ่งห้อยตัวเดิมบินมึนๆ กลับมาเกาะบนมือฟาร์คัส มันส่งแสงสีดำกระพริบไปมาราวกับพยายามเรียกร้องความสนใจจากฟาร์คัส

น้ำเสียงงอนง้อนั่นหวานหยดย้อยจนฟาร์คัสไปไม่ถูก พูดกระอึกกระอักตอบ "เจ้าก็นอนกอดข้าไง นอนๆ ไปเดี๋ยวเจ้าก็หลับเองแหละ ปกติหัวถึงหมอนเจ้าก็สลบแล้วนี่"

"ก็ปรกติข้าทำงานเหนื่อยนี่นา วันนี้นอกจากดูแลเจ้า ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรเลย"

คำตอบที่แถไปข้างๆ คูๆ ของแพะโง่ทำให้ฟาร์คัสอดเหน็บแนมไม่ได้

"ข้าไล่เจ้าไปทำงานแล้วเจ้าไม่ไปเอง ช่วยไม่ได้"

คาร์บิลัสกำลังจะตอบกลับแต่สายตาไปสะดุดกับเจ้าหิ่งห้อยซะก่อน ซึ่งตอนนี้มันกำลังบินเข้าไปใกล้หน้าฟาร์คัส "นี่เจ้าคิดจะทำอะไร นี่มันชายาของข้านะ!  พวกข้าแต่งงานกันแล้วด้วย เจ้ารีบบินออกไปก่อนที่ข้าจะเผาเจ้าทั้งเป็น!!"

ฟาร์คัสหลุดหัวเราะ

"ไอ้แพะปัญญาอ่อน นี่เจ้าหึงข้าแม้แต่กับหิ่งห้อยพวกนี้เนี่ยนะ?"

คาร์บิลัสหน้าบึ้ง "กับใครข้าก็หึงทั้งนั่นแหละ ตอนนี้เจ้าเป็นชายาข้าแล้วต้องโด่งดังเป็นธรรมดา มีคนไม่น้อยที่อยากเห็นหน้าเจ้าซึ่งดีไม่ดีพวกมันอาจจะชอบเจ้าเหมือนกันข้า ซึ่งข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด"

ราชาปีศาจบ่นกระปอดกระแปด ถึงแม้ว่าจะไว้ใจฟาร์คัสก็จริงแต่ก็อดหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองมาสุงสิงไม่ได้ 
ซึ่งเจ้าหิ่งห้อยก็ดูจะรับรู้ถึงความโกรธเกรี้ยวของคาร์บิลัส มันรีบบินหนีไปทันที ซึ่งเพียงไม่นานมันก็ไปถูกใจตัวอื่นและพยายามอวดแสงของตัวเองต่อไป

"ข้าก็ไม่ได้หล่อเหมือนเจ้านะ จะมีใครมาชอบข้านักหนา" ฟาร์คัสกลอกตา ในตอนที่ยังอยู่ดินแดนนกบอกลางไม่เห็นจะมีนกบอกลางหน้าไหนสักนิดมาสนใจเขา เห็นมีแต่ปีศาจบ้าๆ บางตัวเนี่ยแหละชอบ

"ใครว่า เจ้าน่ารักจะตาย!" คาร์บิลัสประท้วงและเริ่มรู้สึกรำคาญหิ่งห้อยรอบตัวที่ทำท่าจะบินเข้ามาเกาะกัน จึงเดินสาวเท้าเดินเหยียบพื้นน้ำเหมือนพื้นดินปรกติทั่วไปโดยมีปลายทางเป็นบ้านพักตากอากาศหลังเล็กที่ซุกซ่อนอยู่ในหน้าผา มีน้ำตกเป็นม่านบังทางเข้า

"น่ารักบ้าอะไรของเจ้า!" ฟาร์คัสโวยหน้าแดงๆ

"น่ารักก็คือน่ารัก มันต้องมีคำขยายความด้วยหรอ ที่รัก"

"เลิกเล่นๆ หยุดพูดสักที ไอ้แพะปัญญาอ่อน"

"ข้าไม่ได้ปัญญาอ่อนซะหน่อย ที่รัก" 

ผลั่ก

"ฟาร์คัส! นี่จะมากเกินไปแล้วนะ" คาร์บิลัสเบะปากส่งสีหน้าไม่พอใจสุดๆ ใส่ฟาร์คัส "เจ้าไม่เห็นต้องถึงขนาดลงไม้ลงมือกับข้าขนาดนี้เลย"   

คาร์บิลัสโอดครวญเพราะเมื่อกี้รู้สึกว่าจะโดนกลางหลังซึ่งถ้าเปิดเสื้อออกมาดูคนเป็นรอยแดงรูปฝ่ามือแน่นอน

"ก็เจ้าไม่หยุดพูดสักทีนี่"  ฟาร์คัสถอนหายใจหน้าแดงๆ เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กๆ "ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าด่าหรือตี ก็ช่วยอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอย่างที่ราชาปีศาจควรทำสิ"

"ถ้าแบบนั้นมันก็ไม่ใช่ข้าสิ ฟาร์คัส" คาร์บิลัสตัดพ้อในขณะที่กำลังฝ่าน้ำตกที่ไหลลงบ่าลงมาเพื่อเข้าไปในบ้านพักตากอากาศที่คาร์บิลัสตั้งใจใช้ทำอย่างอื่นด้วย   

ร่างราชาปีศาจร่ายเวทย์พึมพำสองสามคำบานประตูที่ตราเวทย์ไว้อย่างแน่นหนาก็เปิดออก เผยให้ห้องโถงด้านในมีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ไม่ว่าจะครัว โต๊ะเก้าอี้ และเตียงคู่ ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างเหมาะเจาะดูเพลินตา ซึ่งวัสดุที่ใช้ทำสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวัสดุธรรมชาติที่หาได้แถวนี้ซะส่วนใหญ่     

หากแต่ฟาร์คัสก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะมัวแต่มองใบหน้าของคาร์บิลัส "เจ้าโกรธข้า? ไม่สิ งอนข้าเหรอ แพะโง่"
สีหน้าของคาร์บิลัสไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่ประคองฟาร์คัสลงบนเตียง "เปล่า"

เปล่าอะไร หน้าเจ้ามันฟ้องอยู่ชัดๆ ว่างอน!

ฟาร์คัสคิดในใจเซ็งๆ มองหน้าที่เคยหล่อเหลาตอนนี้บูดเป็นอะไรอีกทั้งยังยืนกอดอกหันหน้าหนีอีก

เวรเอ้ย นี่ข้ายังไม่หายเจ็บเลย นี่ต้องมาง้อไอ้แพะเวรนี่อีกเหรอ 

ปีศาจอีกาสบถในใจไม่หยุดขยับมานั่งที่ขอบเตียง ผลุดลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนคาร์บิลัสที่กอดอกอยู่ออกแล้วแทนที่ด้วยอ้อมกอดของตัวเอง จัดการเอาหัวซุกอกแข็งๆ มือสองข้างกอดร่างแกร่งตรงหน้าแน่น 

"อยากทำอะไรก็ทำไป อยากพูดอะไรก็พูด ข้าไม่ว่าแล้ว!  แพะโง่เอ้ย เจ้าจะไม่ให้ข้าเขินหน่อยเลยรึไง? เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกข้าหรอก ที่ถูกเจ้าไล่ต้อนให้ทำตัวน่าอับอายหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงครั้งนี้ด้วย อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่านี่มันเป็นแผนของเจ้า หึ แต่ถึงข้ารู้ข้าก็ต้องยอมตกหลุมพรางแพะปัญญาอ่อนอย่างเจ้าอยู่ดี" ฟาร์คัสพูดเสียงอู้อี้ หน้าแดงก่ำลามไปถึงลำคอ แพะเวรนี่มันหลอกให้ข้าพูดอีกแล้ว!

"ก็เจ้าน่ารักนี่ ช่วยไม่ได้" คาร์บิลัสกระซิบเสียงกลั้วหัวเราะข้างหูฟาร์คัส  มือเริ่มซุกซนคืบคลานเข้าในเสื้อของฟาร์คัสอย่างถือวิสาสะจนเจ้าของเสื้อสะดุ้งเฮือก

"แพะเวรเอ้ย.." ฟาร์คัสสบถด่ายังไม่ทันขาดคำก็หลุดเสียงคราง

"อะไรนะ?" คาร์บิลัสพูดหยอกเย้าหน้าระรื่นผลักฟาร์คัสให้นอนเอนหลังบนเตียงส่วนตัวเองก็ขึ้นคร่อมตามอย่างรวดเร็ว

"เดี๋ยวๆ นี่เจ้า" ฟาร์คัสถลึงตามองคาร์บิลัสที่เริ่มจะลามปามไปอีกขั้น

"ก็เจ้าบอกข้าเองว่าจะทำอะไรก็ทำ นี่ไงสิ่งที่ข้าอยากทำ ไม่ได้เหรอ? ฟาร์คัส" คาร์บิลัสตีหน้าศร้า
 
 ฟาร์คัสกลอกตาเซ็งๆ "นอกจากเป็นแพะโง่แล้วเจ้ายังบ้ากามอีก" คาร์บิลัสกำลังจะเถียงแต่ก็ถูกแขนสองข้างของคนปากแข็งโอบคอลงไปจูบ ในช่วงที่ฟาร์คัสกำลังงุนงงกับรสจูบคาร์บิลัสก็แอบกระทำบางอย่างเงียบเชียบและแนบเนียน 
เพียงเวลาไม่นานร่างทั้งร่างของฟาร์คัสก็เปลื่อยเปล่าในพริบตา ไอน้ำเย็นเฉียบที่กัดแทะร่างทำให้ฟาร์คัสได้สติและเบิกตากว้าง

"ไอ้แพะเวร ชุดข้า!" ฟาร์คัสแทบอุทานออกอย่างตกใจ รู้สึกตื่นตระหนกกับทักษะการเปลื้องผ้าของคาร์บิลัสจนถึงขีดสุด
คาร์บิลัสหัวเราะหึๆ ในลำคอไม่พูดอะไร ซุกไซร้ที่ลำคอและ..

"อย่าแพะโง่ อย่ากัดข้า!" ฟาร์คัสพยายามดันหน้าแพะโง่ออกแต่ไม่เป็นผล รู้สึกเจ็บที่ลำคอก่อนที่จะปรากฎรอยสีแดงก่ำขึ้นมาอย่างน่าอาย พอปีศาจอีกาทำท่าจะตะครุบรอยที่คอก็ถูกรวบมือทั้งสองข้างขึ้นไปอยู่เหนือหัวอย่างง่ายดาย 

"นอกจากจะเป็นแพะแล้วเจ้ายังจะเป็นหมาอีกหรา คาร์บิลัส" 

ทั้งๆ ที่ไม่อยากด่า แต่ก็อดด่าแพะปีศาจจอมเจ้าเล่ห์นี่ไม่ได้

"โฮ่ง" คาร์บิลัสไม่สะทกสะท้านอีกทั้งยังแกล้งเห่าตอบ ก้มลงไปชิมยอดอกทั้งสองข้างที่ขึ้นสีแดงก่ำไม่แพ้ใบหน้าของเจ้าของร่างที่มองตาขวาง

"พอ" ฟาร์คัสยื่นคำขาดแต่คาร์บิลัสกลับเห็นสิ่งซ่อนอยู่ในแววตานั้น 

คาร์บิลัสหัวเราะอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ปากบอกว่าพอแต่ความร้อนแรงที่แทบจะแผดเผากันในแววตานั้นคืออะไรกัน? "โฮ่ง ข้าเป็นหมา ข้าตอบเจ้าไม่ได้หรอก"

พอรู้ว่าตัวเองจะถูกด่าอีกรอบคาร์บิลัสก็แกล้งขยำก้นขาวเต็มแรงจนฟาร์คัสสะดุ้งหลุดครางหนักๆ ออกมา 

"เจ้า!" 

"โฮ่ง"  คาร์บิลัสเริ่มจะรู้สึกชื่นชอบการเป็นหมา แกล้งสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางด้านหลังที่ยังคงบวมแดงจากศึกหนักเมื่อวาน

"คาร์บิลัส" ฟาร์คัสกดเสียงหนักพูดเสียงสั่นพร่า จ้องหน้าคาร์บิลัสเขม็ง

ราชาปีศาจที่แทบจะถูกฆ่าทางสายตายิ้มและไหวไหล่กวนๆ "เจ้าก็รู้นี่ฟาร์คัส ว่าหากข้าอยู่บนเตียงเดียวกับเจ้าเมื่อไหร่ ข้าจะไม่ใช่แพะแสนเชื่องตัวนั้น"

เวลาอื่นข้าสามารถยอมเจ้าได้ แต่ไม่ใช่กลับเวลานี้อย่างแน่นอน

"เวรเอ้ย นี่ข้ายังเจ็บอยู่เลยนะ" ฟาร์คัสบ่นอุบถอนหายใจเซ็งๆ ทิ้งตัวลงนอนลงบนเตียงนุ่มเลิกขัดขืนอีก เพราะรู้ผลแพ้ชนะแล้ว

คาร์บิลัสหัวเราะโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหู "ช่วยไม่ได้ ก็นี่ยังอยู่ในช่วงฮันนีมูนนี่"

ก่อนที่จะลงมือกินปีศาจอีกาอย่างหิวกระหายทันที 
 
 


ผลั่ก

ทำไมฟาร์คัสถึงได้มือหนักนักนะ?

คาร์บิลัสคิดขณะที่กำลังหลับตาเมื่อกี้คล้ายกับถูกศอกหรืออะไรสักอย่างกระแทกเข้าที่ท้อง

ผลั่ก!!!

แรงถีบมหาศาลถีบร่างราชาปีศาจจนหล่นจากเตียง 

จากที่งัวเงียกลายเป็นตื่นเต็มตา คาร์บิลัสค่อยๆ หยัดตัวขึ้นยืนลูบหลังตัวเองที่กระแทกพื้นเต็มแรง "นี่เจ้าแค้นข้าขนาดนี้เชียว?" 
ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก็ดูจะพอใจมากแท้ๆ..

คาร์บิลัสคิดงุนงงและต้องอุทานดังลั่น มองร่างเด็กสองคนที่อยู่ในอุปการะนอนอยู่ข้างฟาร์คัสด้วยท่าทางที่สบายเอามากๆ ซึ่งก็มีดัฟฟ์ที่นอนยื่นขาออกมาที่ๆ ตัวเองเคยนอนซึ่งก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าไม่ใช่ฟาร์คัสที่ถีบแต่เป็นมังกรดำที่ควรอยู่ที่โรงเรียนปีศาจไม่ใช่ที่บ้านพักแห่งนี้

"เฮ้ย! ดัฟฟ์ นาซัส นี่เจ้ามาอยู่นี่ได้ไง" 

รู้สึกตกใจและเสียใจมากถึงมากที่สุดในเวลาเดียวกันเพราะวันฮันนีมูนต้องพังแน่ๆ ถ้ามีเด็กสองคนนี้ร่วมด้วย!

"แต่เอาเอาเถอะ มาได้ก็กลับได้ พวกเจ้าน่ะ" 

คาร์บิลัสแสยะยิ้มมือเริ่มวาดวงเวทเคลื่อนย้ายในอากาศเมื่อวาดเสร็จ มือหนาก็คว้าเข้าที่คอเสื้อของดัฟฟ์และนาซัสเตรียมจะโยนเข้าไปในวงเวทเคลื่อนย้ายที่มีปลายทางเป็นห้องผู้อำนวยการคนสนิท

"แง้ แม่ แก๊ซซซ" ดัฟฟ์สะดุ้งตื่นเมื่อถูกกระชากคอเสื้อลอยโคลงเคลงในอากาศ อ้าปากร้องหาฟาร์คัสทันทีตามความเคยชิน

"..." นาซัสกระพริบตาปริบมองหน้าคาร์บิลัสคล้ายกับกดดันให้เวางตนเองกับพี่ลงได้แล้ว

"เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?"

เสียงที่สามที่ดังขึ้นมาทำให้คาร์บิลัสต้องหันกลับไปยิ้มแห้งๆ ให้

"ข้าจะส่งเด็กกลับโรงเรียนน่ะ เจ้าเด็กพวกนี้มันโดดเรียน"

ฟาร์คัสขยี้ตัวเองง่วงๆ หาวหวอดเหลือบมองดัฟฟ์กับนาซัสงงงๆ "นี่พวกเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง?" รู้สึกโชคดีอย่างบอกไม่ถูกที่ตัวเองอาบน้ำและอยู่ในชุดนอนครบทั้งตัวแล้ว 

ดัฟฟ์พยายามดิ้นออกสุดชีวิตใช้มือตะกุยที่มีเล็บสั้นๆ ตะกุยแขนคาร์บิลัส "แก๊ซ ก็ครูให้ข้าลองฝึกใช้เวทเคลื่อนย้ายแต่ไม่รู้ทำไมข้ากับนาซัสถึงมาอยู่ที่นี้ได้ง้า"

นาซัสพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วย "ดัฟฟ์จับแขนข้าตอนร่ายเวทตามครู พอรู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว"

ดัฟฟ์ยิ้มหัวเราะคิกคัก "แล้วข้ากับนาซัส ก็เจอแม่! เลยปีนขึ้นไปนอนด้วย"

คาร์บิลัสคิ้วกระตุก ความรู้สึกเจ็บปวดเสียดขึ้นมาตามแผ่นหลัง

ไอ้เด็กเวรนี่ถีบข้าลงจากเตียง!

"กฎการใช้เวทย์เคลื่อนย้ายคือต้องมีสมาธิ ห้ามวอกแวก ถ้าเจ้าฟุ้งซ่านถึงแม่เจ้าบ่อยๆ ก็คงจะไม่ไปถึงจุดหมายปลายทางสักรอบ" คาร์บิลัสเอ็ดเสียงดุเพราะความหงุดหงิด "เอาล่ะ เลิกเล่นแล้วกลับไปเรียนได้แล้วไป จะสอบแล้วนี่ข้าจำได้"

ดัฟฟ์ส่ายหน้าหวืดหน้าบูด "แก๊ซซ สอบแล้ว สอบแล้วว ข้อสอบยากมากก ข้าอ่านไม่ออกด้วยง้า แม่"

ส่วนนาซัสไม่ได้พูดอะไรเพราะไม่ได้รู้สึกว่ามันยากอะไรขนาดนั้น

"บอกลาแม่เจ้าซะ"

คาร์บิลัสพูดเย็นแอบรู้สึกสะใจที่ได้แก้แค้นดัฟฟ์ที่ถีบตัวเองตกเตียง

"เจ้าจะรีบไล่ดัฟฟ์กับนาซัสอะไรนักหนา อยู่กินข้าวเช้าด้วยกันก่อนก็ได้นี่" ฟาร์คัสขมวดคิ้วมุ่นมองคาร์บิลัสไม่สบอารมณ์

ดัฟฟ์ยิ้มกว้างกระดี้กระด้า "แม่!!"

นาซัสยิ้มเล็กๆ เผยให้เห็นลักยิ้มน่ารัก

คาร์บิลัสขบกรามกรอดเมื่อต้องพ่ายแพ้ให้กับเด็กตัวเล็กๆ "แต่ว่า..."

"ไม่มีแต่ อ้อ ไหนๆ เจ้าก็ตื่นแล้ว ช่วยไปหาข้าวมาให้ข้ากินด้วย เพราะข้าคงไม่มีปัญญาลุกออกจากเตียง!" ฟาร์คัสแยกเขี้ยวขู่มองคาร์บิลัสโกรธๆ

พอเห็นยอมเข้าหน่อยไอ้แพะเวรนี่มันก็กะจะตายแค่เตียงเลยรึไง บัดซบ! 

คาร์บิลัสสะดุ้งหูหางบนหัวลู่ลงทันตา วางเด็กทั้งสองลงบนพื้นอย่างบรรจงทำให้ดัฟฟ์ลากนาซัสถลาขึ้นไปกอดฟาร์คัสที่นั่งนิ่งบนเตียง "แต่นี่เพิ่งเช้าเองนะ เจ้าหิวแล้วเหรอ ฟาร์คัส?"

 "เออ"

ยิ่งน้ำเสียงกระแทกกระทั้นยิ่งทำให้คาร์บิลัสหงอลงไปอีก "ก็ได้ๆ เดี๋ยวข้าไปซื้อมาให้ เจ้าอาบน้ำไหวไหม ถ้าเจ้ากินข้าวเสร็จแล้ว ข้าว่าจะพาเจ้าไปเที่ยวร้านเหล้าดังของเมืองนี้"

ฟาร์คัสหยุดคิดไปสักพักก่อนที่จะพูดหน้าแดงๆ ที่ติดจะหงุดหงิด "...ไม่ไหว"

คาร์บิลัสเลิกคิ้วยิ้มพราย "งั้นหลังจากกินข้าวเสร็จข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำแล้วกัน"

"เออ ไปสักทีเถอะ" 

"ใช่ๆ ไปสักทีเนอะ แม่ แก๊ซ!" ดัฟฟ์กอดแขนฟาร์คัสชี้คาร์บิลัสแล้วแลบลิ้นใส่ 

"..." นาซัสนั่งนิ่งไม่ออกความคิดเห็นใดๆ เพราะเห็นสีหน้าอยากกระโจนเข้ามากัดคอของคาร์บิลัส

"กินข้าวเสร็จข้าส่งเจ้ากลับแน่!"

คาร์บิลัสมองแรงใส่ดัฟฟ์และสาวเท้าห้องบ้านฉับๆ ออกไปอย่างหงุดหงิด 

ฟาร์คัสมองตามแพะชอบพาลไปและเผลอหลุดยิ้มออกมา ลูบหัวดัฟฟ์กับนาซัสเบาๆ "อย่าทำให้คาร์บิลัสโกรธสิ อย่างน้อยเจ้าแพะโง่นั่น ก็ถือว่าเป็นพ่อพวกเจ้า"
 
---------
หายไปนานเนื่องจากช่วงนี้ใกล้สอบค่ะ  :ling3:

 :man1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ คิดถึงมากๆ เลย  :katai1:
   
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 56 8 ก.ย 59 p.16
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-09-2016 22:38:13
ดัฟเก่งมากลูก 5555555
นาซัสได้เชื้อมองแรงมาจากใครกันคะ คึคึ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 56 8 ก.ย 59 p.16
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 08-09-2016 22:51:26
รุ่นลูกนี่ incest ไหมคะ? 55555

อยากเห็นท่านโฟเทียสตาย ถ้าตายไปจะเกิดอะไรขึ้น??

ปอลิง อ่านหนังสือสอบสู้ๆนะคะ :D
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 56 8 ก.ย 59 p.16
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-09-2016 23:11:04
ครอบครัวสุขสันต์
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 56 8 ก.ย 59 p.16
เริ่มหัวข้อโดย: ราตรีสีน้ำเงิน ที่ 08-09-2016 23:41:51
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 57 26 ก.ย 59 p.16
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 26-09-2016 23:15:47
ตอนที่ 57

"ไม่! แง้ ดัฟฟ์ไม่กลับบบ ฆ่าบี้บ้าาาาา"

ดัฟฟ์ตะโกนดังลั่นเมื่อถูกคาร์บิลัสพยายามกระชากตัวเองออกจากเอวฟาร์คัส

"กินข้าวเสร็จก็ไปสักทีสิ ข้าไม่ได้พาเจ้ามาทัศนศึกษานะ ดัฟฟ์ โรงเรียนก็มีกลับไปเรียนไป" คาร์บิลัสหน้าบูดพยายามยั้งมือในการดึงไม่ให้ดัฟฟ์เจ็บมากนักซึ่งถ้าจะให้ดึงจริงๆ คงจะปลิวติดตามมือด้วยแขนช้ำม่วง

"แง้ นาซัส นาซัสก็ไม่อยากกลับใช่ไหม คิดถึงแม่เนอะ" ดัฟฟ์หันไปหานาซัสหวังจะหาแนวร่วม

นาซัสที่ไปยืนรอหน้าประตูรอกลับโรงเรียนนานแล้วเอียงคองงๆ

"แต่สัญญากับท่านพ่อแล้วนะ"

ดัฟฟ์หน้างอเผลอปล่อยมือจากเอวฟาร์คัสมากอดอก "นาซัส เจ้าต้องเข้าข้างข้าสิ แง้"

"กริสเซลต้องเป็นห่วงแน่ๆ "

พอพูดถึงปีศาจสิงโตดัฟฟ์ก็ตาโต "จริงด้วย กริสเซล แก๊ซ กริสเซลบอกว่าจะพาข้าไปกินขาหมูน้ำแดงนี่นา!" ดัฟฟ์หันขวับมองคาร์บิลัส "ฆ่าบี้ลัส ข้าอยากกลับโรงเรียนแล้ว!" พูดด้วยดวงตาเป็นประกาย

"เออดี รีบๆ ไปเถอะ จะไปกินอะไรก็ไป" คาร์บิลัสส่ายหน้ากับความตะกละของดัฟฟ์ที่ดูยังไงก็คงแก้ไม่หาย ถึงขนาดที่ว่าลืมฟาร์คัสทันทีที่ได้ยินเรื่องอาหาร

"…" ฟาร์คัสเงียบขมวดคิ้วมองดัฟฟ์พูดอะไรไม่ออก

นี่ข้าในสายตาดัฟฟ์มีค่าน้อยกว่าขาหมูน้ำแดง? 

"เย้ เย้  แก๊ซ นาซัสเจ้ามานี่สิ!" ดัฟฟ์กระดี้กระด้าถึงขีดสุดวิ่งไปลากแขนนาซัสมายืนหน้าคาร์บิลัส ขาสองข้างอยู่ไม่สุขจนแก้มที่เริ่มจะบวมสั่นขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด

ฟาร์คัสเห็นภาพนั้นก็กุมขมับ  "คาร์บิลัสข้าว่าน่าจะให้ดัฟฟ์ลดอาหารมั้งนะ" เพราะตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะบวมทั้งตัวแล้ว คล้ายกับเป็นก้อนลูกบอลกลมๆ แต่ก็ยังไม่มากนั้นทำให้ยังดูน่ารักแต่ถ้ามากกว่านี้คงจะไม่ไหว

"แง้ ไม่ แก็ซซ แง้ ไม่เอาน้า" ดัฟฟ์สะดุ้งเฮือกทำท่าจะร้องไห้ เศร้ากว่าถูกพรากออกมาจากฟาร์คัสซะอีก สองมือจับแก้มตัวเองมองฟาร์คัสตัดพ้อ "นุ่มจะตาย"

นาซัสพยักหน้าหงึกๆ ยืนยันอีกเสียงเมื่อถูกดัฟฟ์ศอกใส่แขน

"วัยกำลังโตน่า ฟาร์คัส ปล่อยๆ ให้กินไปเถอะ" คาร์บิลัสหัวเราะกับสีหน้าของฟาร์คัสที่ก้ำกึ่งระหว่างเบื่อหน่ายกับหงุดหงิด มือวาดอักขระเวทเคลื่อนย้ายในอากาศด้านหลังดัฟฟ์กับนาซัสอย่างรวดเร็วและผลักเด็กสองคนเข้าไปโดยไม่รอให้พูดมากอะไรอีก

ดัฟฟ์ยิ้มโบกมือลาเช่นเดียวกับนาซัสในวินาทีสุดท้ายก่อนจะหายไป

"ข้าว่า ถ้าเจอดัฟฟ์รอบหน้าคงจะกลิ้งได้แล้ว" ฟาร์คัสกลอกตาบ่น

คาร์บิลัสหัวเราะมองฟาร์คัสกรุ้มกริ่มที่ยังอยู่ในชุดนอน "ว่าแต่เจ้าเถอะ จะอาบน้ำเลยไหม?"

ปีศาจอีกาหน้าขึ้นสีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในห้องน้ำต่อจึงมองแพะบ้ากามดุๆ "แค่อาบน้ำนะ คาร์บิลัส"

คาร์บิลัสเลิกคิ้ว "ก็อาบน้ำไง ..หรือเจ้าอยากได้มากกว่าอาบน้ำ"  แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าฟาร์คัสหมายถึงอะไร 

"..." ฟาร์คัสชักสีหน้าเซ็งจัดดึงผ้าห่มมานอนคลุมโปงเบื่อๆ ดูเหมือนว่าอะไรๆ วันนี้ก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง..

"อย่างอนสิ ข้าแค่หยอกเล่นเอง อีกอย่างวันนี้ข้าก็ตั้งใจจะพาเจ้าไปเที่ยวด้วย ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก" คาร์บิลัสพูดง้อๆ ดึงผ้าห่มออกและยิ้มจางๆ ให้ปีศาจอีกาที่มองมาเบื่อๆ

"ก็ไปสักทีสิ" ร่างว่าที่ชายาของราชาปีศาจผุดลุกขึ้นนั่งและคล้องแขนสองข้างเข้ากับคอขอคาร์บิลัสที่ก้มลงมาอย่างรู้งาน

คาร์บิลัสยิ้มพูดเสียงพร่า

"ให้ตายสิ ข้าอยากเปลี่ยนใจชะมัด"
 

ร้านเหล้าบาร์รัสนับเป็นร้านเหล้าที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน มันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้จวบจนปัจจุบัน ไม่แน่ใจเพราะอะไรที่ร้านนี้ถึงกลายเป็นไม่กี่ร้านที่ยังเหลือรอดมาได้ในสภาพดี อาจจะเป็นเพราะเหล้ารสเลิศสูตรลับที่เจ้าของคิดขึ้นมาเองหรือเป็นเพราะเจ้าของร้านที่เป็นบุคคลลึกลับก็ไม่อาจทราบได้

ตัวร้านนั้นถูกสร้างขึ้นมาขนาดกลางๆ ไม่โอ่อ่าแต่ก็ไม่เล็กเกินไปนัก ไม้เนื้อแข็งทนไฟทนเวทย์ที่เคยเป็นต้นไม้ขนาดสิบคนโอบถูกตัดออกมาเป็นส่วนต่างๆ ของร้าน ไม่ว่าจะหลังคา ฝ้า กำแพงหรือโต๊ะ สีของเนื้อไม้เป็นสีดำมันวาวเนื้อลื่นลวดลายดุดันคล้ายอารมณ์ห้วงลึกของต้นไม้

บริเวณรอบๆ ร้านปกคลุมด้วยป่าสนทึบราวกับมันกำลังซุกซ่อนตนเองจากโลกภายนอก มีเพียงผู้ที่มันเลือกเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์มาลิ้มรสร้านนี้ได้ สิ่งที่พอจะทำให้รู้ว่าร้านยังคงเปิดอยู่คือป้ายหน้าร้านที่เขียนว่าบาร์รัสซึ่งมันก็ถูกเขียนกำกับด้วยลายมือหวัดๆ สีทองว่าเปิด

เสียงเพลงเก่าๆ สำเนียงประหลาดฟังแปลกหูแต่ก็ลื่นหูไม่เบาดังแว่วออกจากบานประตูที่ปิดไม่สนิทเพราะลูกค้าคนล่าสุดเพิ่งเดินออกมาอย่างเมามาย สติสัมปะชัญญะที่เหลืออยู่ไม่มากทำให้ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักกับการปิดประตู
ทำให้คนที่เคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกถึงกับเผยสีหน้าประหลาดใจและเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

น่ากลัวชะมัด

ฟาร์คัสคิดในใจ สภาพภายนอกตอนนี้เหมือนบ้านผีสิง ทั้งดูน่าเกรงขามทั้งน่ากลัวในเวลาเดียวกัน

"ที่นี่เป็นร้านดังในหมู่ปีศาจชั้นสูง" คาร์บิลัสยิ้มขณะที่รวบที่เอวของฟาร์คัสให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ ตัวเอง โน้มหัวกระซิบข้างหูฟาร์คัสราวกับกลัวว่าใครจะได้ยิน "ทั้งราคาสูง ร้านก็หายาก ไหนจะเจ้าของร้านเรื่องมากที่ไม่ชอบหน้าใครก็จะโยนคนนั้นออกอีกต่างหาก"

ผลั่ก

ไม่ทันขาดคำก็มีปีศาจแต่งตัวหรูหราด้วยชุดสีทองสว่างขลิบดำทั้งตัวถูกโยนออกมาจากร้าน ผมสีดำสนิทที่ถูกหวีมาอย่างดีกลายเป็นยุ่งเหยิงเต็มด้วยฝุ่นสกปรก

"บัดซบ! นี่ข้าเพิ่งนั่งเองนะ ทำไมถึงกล้าโยนข้าออกมา เวรเอ้ย" ปีศาจตนนั้นว่าอย่างหงุดหงิดลุกขึ้นยืนมองเข้าไปยังประตูที่ปิดสนิทของร้านอย่างกราดเกรี้ยว ด้วยความโมโหจึงชี้นิ้วไปที่ประตูและวาดวงเวทย์ที่สามารถเรียกพายุเพลิงมาเผาร้านนี้ให้ไหม้ไปทั้งร้าน

ฟ่อ..

เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูปีศาจตนนั้นเป็นเวลาเดียวกับความรู้สึกชื้นแฉะบริเวณใบหู

ปีศาจตนนั้นคล้ายถูกแช่แข็ง ยืนตัวแข็งค้างหยุดหายใจเมื่อเห็นว่าข้างกายของตนนั้นมีงูขนาดยักษ์สีดำปรากฎตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้! เขี้ยวยาวสองข้างถูไถที่ลำคอมันเล่นพร้อมๆ กับใช้ลิ้นเลียที่หู

ตึง

ปีศาจตนนั้นเป็นลมสลบไปทันทีล้มพับลงกับพื้นทำให้เจ้างูยักษ์หาวหวอดแล้วเลื้อยเอื่อยๆ กลับเข้าไปในบ้านไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ข้างๆ ร้านซึ่งถ้าหากไม่สังเกตดีๆ คงจะไม่เห็น ก่อนที่จะเข้าไปในบ้านของมัน มันเหลือบมองลูกค้าที่มาใหม่สองคนง่วงๆ แล้วจึงหลับต่ออย่างไม่ใส่ใจราวกับไม่เห็นว่าไม่มีค่าใดๆ ในสายตา

"แต่เจ้าของร้านชอบหน้าข้านะ ข้ามากินบ่อยอยู่" คาร์บิลัสยืดอกราวกับภูมิใจมากแล้วจับมือฟาร์คัสพาเข้าไปในร้าน แต่พอจะเข้าไปจริงๆ ฟาร์คัสกลับยืนนิ่งอยู่หน้าประตู

"ฟาร์คัส?" คาร์บิลัสเรียกงงๆ 

ฟาร์คัสสะดุ้งเฮือกเพิ่งได้สติ "เปล่าไม่มีอะไร" ที่ปีศาจอีกาไม่ก้าวขาต่อเพราะความกลัวจากเบื้องลึกเกาะกุมร่างทั้งร่างจนหนักอึ้ง บรรยากาศน่าหวาดระแวงรอบๆ ดูๆ ไปแล้วไม่ชวนให้อยากเข้าไปจิบเหล้าหรือกินอะไรสักนิด

คาร์บิลัสยิ้มอ่อนโยนลูบหัวฟาร์คัส "มีราชาปีศาจอย่างข้าทั้งคน เจ้ายังต้องกลัวอีกเหรอ?"

"..." 

ไหล่ที่ตึงเครียดทั้งสองข้างของปีศาจอีกาจึงผ่อนคลายลง ปฎิเสธไม่ได้ว่าสัมผัสอุ่นๆ จากมือคาร์บิลัส ชวนให้รู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

"หวังว่าเหล้าที่นี่จะอร่อยสมราคาคุยของเจ้า" ฟาร์คัสพูดพึมพำจับมือคาร์บิลัสแน่น อย่างไรก็ตามความหวาดกลัวลึกๆ มันก็ยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน

"แน่นอน เจ้ากินแล้วจะติดใจ" คาร์บิลัสพูดเรื่อยเปื่อยผลักบานประตูไม้เก่าเข้าไปเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
"!!" ฟาร์คัสตกใจอีกครั้งเพราะภาพข้างนอกกับข้างในต่างกันลิบลับ

ภายในนั้นถูกตกแต่งอย่างสวยงามแฝงความดุดันตามศิลปะของชาวปีศาจในยุคก่อนซึ่งหาดูได้ยาก ห้องทั้งห้องนั้นเป็นห้องโถงสูง ตรงกลางห้องมีโคมไฟปักเทียนสีดำส่องแสงสลัว โต๊ะที่ใช้นั้นส่วนใหญ่เป็นโต๊ะกลมกับเก้าอี้ไม้ขัดมันหรูหราเป็นรูปงูพันเกี่ยวกันเป็นเก้าอี้ บนพื้นมีพรมขนสัตว์ขนาดยักษ์ที่คาดว่าจะเป็นเสือดำ 

แต่สิ่งที่เตะตาที่สุดคงจะเป็นมุมห้องที่เหมือนร้านเหล้าทั่วไปคือมีโต๊ะยาวกับเก้าอี้ตัวเล็กรอบๆ และมีขวดเหล้าต่างๆ ตั้งเรียงรายไว้บนชั้น โดยปกตินั้นอย่างมากสุดของแต่ละร้านจะรวมๆ ได้เพียงแค่ร้อยขวด แต่ที่นี่กลับมีเป็นพันๆ ขวดละลานตาไปหมด เรียงตั้งแต่ขนาดเล็กไปใหญ่ไล่เฉดสีตั้งแต่สีดำยันสีรุ้ง ราวกับว่าเหล้าทุกชนิดของทุกดินแดนมากระจุกตัวกันอยู่บนชั้นวางด้านหลังซึ่งมันก็ถูกกระจกใสกั้นไว้ชั้นนึงและอักขรเวทสำหรับกันขโมยอีกชั้นนึง

"แต่ก็น่าเสียดายนะ ที่ร้านนี้ไม่ค่อยมีคนรู้จัก" 

เพราะโต๊ะภายในร้านที่มีเกือบยี่สิบตัวนั้นมีเพียงแค่ห้าหกโต๊ะที่โดนจับจองเท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่ก็มาเพียงคนเดียว ราชาปีศาจหันซ้ายหันขวาหาโต๊ะประจำของตัวเองก็พบว่ามันว่างพอดี จึงรีบลากฟาร์คัสไปนั่ง

"เจ้าอยากกินอะไร? หรือจะให้ข้าสั่งให้" คาร์บิลัสถามชายาตัวเองที่ยังจ้องขวดเหล้าพวกนั้นไม่หาย

"เจ้าสั่งให้" ฟาร์คัสไม่ใช่เคยเหล้าของปีศาจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ที่เคยกินจะเป็นของมนุษย์ไม่ก็พวกนกบอกลางซะส่วนใหญ่ 

คาร์บิลัสตีสีหน้าเฉยเมยทั้งๆ ที่ในใจยิ้มกริ่ม

เสร็จข้าล่ะ!

"..ต้องการอะไร" เสียงทุ้มหนักแน่นดังขึ้นข้างหูทั้งคาร์บิลัสและฟาร์คัส

ฟาร์คัสสะดุ้งเฮือกอีกรอบ พยายามหาที่มาของต้นเสียงข้างๆ ก็พบว่าเป็นอากาศว่างเปล่า มือเผลอคว้ามือคาร์บิลัสขึ้นมาจับแน่น นัยน์ตาสีดำสนิทฉายแววตื่นตระหนก

"เขาอยู่ตรงนั้น เจ้าไม่ต้องกลัว" คาร์บิลัสกล่าวเสียงนุ่มชี้ไปทางมุมห้องที่เคยว่างเปล่า ในตอนนี้ปรากฏร่างยักษ์สวมชุดคลุมมิดชิดเห็นเพียงถุงมือสีดำสนิทกำลังใช้ผ้าสีดำขัดแก้วใส่ในมือ ก่อนที่จะวางมันบนโต๊ะเหล้าและหันหลังไปจัดแจงเหล้าที่วางอยู่บนชั้นอย่างเงียบเชียบ

ฟาร์คัสสูดหายใจลึก ฟุบหน้าลงกับโต๊ะทั้งๆ ที่ยังคงจับมือคาร์บิลัสอย่างเหนียวแน่น

น่ากลัว...

นั่นเป็นสิ่งที่ฟาร์คัสรู้สึกได้หลังจากหันไปมองสิ่งๆ นั้น

คาร์บิลัสใช้มืออีกข้างลูบหัวฟาร์คัสพยายามปลอบ "ขอเป็นพอนนีสสองแก้วขอรับ" ราชาปีศาจเลือกที่จะพูดอย่างสุภาพและถ่อมตน เพราะรู้ดีว่าเจ้าของร้านนี้ไม่ใช่มนุษย์หรือปีศาจ แต่เป็นอะไรที่ทรงอำนาจมากกว่านั้นที่แม้แต่เขายังไม่รู้แน่ชัดว่าตัวอะไร

"อืม" เสียงทุ้มกล่าวตอบ ร่างยักษ์ตรงมุมห้องเริ่มขะมักเขม้นกับการผสมเหล้าสีดำทมิฬรสแรงจัดกับเหล้าสีขาวรสนุ่มจัดโดยเทมันลงในแก้วใสใช้ช้อนเงินคนเบาๆ จนกลายเป็นเนื้อเดียวและปิดท้ายด้วยการนำกลีบกุหลาบสีขาวที่ไหม้ไปครึ่งหนึ่งวางบนผิวน้ำ ซึ่งหลังจากแก้วแรกเสร็จก็ทำซ้ำอีกครั้ง

♪~

เพลงปีศาจเก่าๆ จังหวะรวดเร็วชวนให้เลือดในกายร้อนรุ่ม กระปรี้กระเปร่า จนปีศาจโต๊ะข้างๆ ที่เคยนั่งจิบอยู่เงียบๆ เริ่มร้องเพลงคลอตามเสียงดัง ทำให้บรรยากาศเงียบเชียบเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นคึกคัก 

พอมีคนเริ่มก็ต้องมีผู้ตาม ปีศาจที่เหลือๆ อยู่ในห้องร้องกันเสียงดังลั่นจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ในเลือด ใบหน้าพวกเขาล้วนแดงก่ำอย่างเมามาย มือไม้ที่ว่างเริ่มเคาะโต๊ะเป็นจังหวะตามเสียงดนตรี

เพราะบรรยากาศที่เปลี่ยนไปทำให้ฟาร์คัสกล้าพอที่จะเงยหน้าขึ้นมามองสิ่งนั้นอีกครั้ง พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจอะไรใดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องโถงแม้แต่น้อย ตั้งหน้าตั้งตากับการจัดแจงแก้วเหล้าใส่ถาด

"ฟาร์คัส"

"..." เจ้าของชื่อหันตามเสียงเรียกเลิกคิ้วน้อยๆ เชิงถาม

คาร์บิลัสยิ้มจางขณะที่พูด "พอนนีสที่ข้าสั่งเป็นเหล้าหนึ่งในสูตรลับของร้านนี้ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะชอบมัน เพราะข้าชอบมันมาก"
อีกทั้งยั้งเมาง่ายมากสำหรับนักดื่มที่ไม่ใช่คอทองแดง รสชาติหวานลิ้นหากแต่ก็ขมปร่าในเวลาเดียวกันนั้นชวนให้หลงใหลจนรู้ตัวอีกทีกองอยู่ที่พื้นแล้ว แรกๆ ที่คาร์บิลัสดื่มมันนั้นเมาจนกลับบ้านไม่ถูกต้องให้เพื่อนสองคนนั้นที่มาด้วยพากลับบ้าน

"เสร็จแล้ว"

เสียงทุ้มดังซ้ำอีกครั้งพร้อมกับปรากฎถาดแก้วกับแก้วเหล้าสองแก้วบนโต๊ะของราชาปีศาจในพริบตา

คาร์บิลัสยิ้มเมื่อเห็นฟาร์คัสมองอย่างสนใจ ส่วนตัวเองก็หยิบทองคำที่ถูกแกะสลักเป็นรูปพระอาทิตย์ขนาดเท่าฝ่ามือวางบนโต๊ะแทนค่าตอบแทนอย่างรู้งาน 

ที่ร้านเหล้าบาร์รัสสิ่งที่เจ้าต้องจ่ายนั้นไม่ใช่เงินแต่เป็นสิ่งของอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับท่านโฟเทียส ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดเหมือน รูปปั้นเล็กๆ หรือสิ่งที่สร้างขึ้นมาบูชาอะไรทำนองนั้น นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าของร้านผู้ลึกลับจะบอกต่ออาคันตุกะที่ถูกชะตาด้วยที่มาเข้ามาในร้านครั้งแรกซึ่งบางครั้งก็อาจจะหยวนๆ ให้จ่ายเป็นเงินหรือไม่ก็ให้กินฟรีไปเลย 

"...ดี"

เขาพูดเสียงพร่าก่อนที่ค่าตอบแทนบนโต๊ะหายไปในพริบตา

บนโต๊ะนั้นปกคลุมด้วยความเงียบมีเพียงความรู้สึกหวานๆ จางๆ อวลในอากาศเมื่อคอเหล้าสองคนสบตากัน แก้วสองใบถูกยกขึ้นมาชนแก้วกันเบาๆ จนเกิดเสียงแกร้ง

"แด่ชีวิตรัก" คาร์บิลัสยิ้มก่อนที่จะจิบมันอย่างช้าๆ

ฟาร์คัสกลอกตาไม่ใส่ใจนักกับคำพูดของคาร์บิลัส มือถือแก้วจรดที่ปลายจมูกได้กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้และเมื่อลองจิบเข้าไปอึกเล็กๆ ก็รู้สึกถึงความร้อนที่แผดเผาไปทั้งลำคอจนต้องแลบลิ้นออกมาแต่ความหวานนั้นก็ชวนให้ลิ้มลองอีก ซึ่งฟาร์คัสก็ทนแรงต้านจากความคิดลึกๆ ของตัวเองไม่ไหวจิบต่อไปเรื่อยๆ คำใหญ่ สนุกกับการถูกแผดเผาลำคอเมามายกับรสหวานลิ้นที่มาพร้อมกับการทำลายสติสัมปะชัญญะ

แก้วใสที่ไม่มีเหลือเหล้าแม้แต่หยดเดียวถูกวางตรงหน้าคาร์บิลัส

โดยมีผลสรุปออกมาคือ ฟาร์คัสเมาไปแล้วโดยสมบูรณ์

"คาร์บิลัส" ฟาร์คัสหน้าแดงก่ำเรียกคาร์บิลัสเสียงนุ่มผิดวิสัย "กอดข้าหน่อย" มองราชาปีศาจตาหวานฉ่ำพร้อมยกมือสองข้างทำท่าจะกอด

คาร์บิลัสรู้สึกถึงหัวใจในอกที่เต้นโครมคราม รู้สึกคลั่งที่เห็นฟาร์คัสน่ารักขนาดนี้เพราะไม่มีครั้งไหนที่เจ้าตัวจะยอมพูดและอ้อนแบบนี้! 

"มาสิ" 

ฟาร์คัสยิ้มยอมเดินเซๆ ไปหาคาร์บิลัสและทิ้งตัวลงตักซุกหัวบนอกหนาและถูไถเหมือนเด็กตัวเล็กๆ

"เป็นอะไร" คาร์บิลัสถามยิ้มๆ โอบเอวไว้หลวมๆ 

"คิดถึง.. เจ้าชอบไม่อยู่ อยู่คนเดียว น่าเบื่อ" 

ความคิดลึกๆ ของฟาร์คัสที่จ้างให้ตายฟาร์คัสก็ไม่พูดออกมา ตอนนี้กลับพูดออกมาอย่างง่ายดาย ไม่ว่าเปล่าปีศาจอีกาที่ชอบทำหน้าเย็นชาใส่คาร์บิลัสกลับทำหน้าน่าสงสาร

คาร์บิลัสยิ้มจนปวดแก้ม "ข้าก็บอกแล้วว่าให้มาอยู่ในห้อง"

"ดูหน้าลูกน้องเจ้าแต่ละคนก็รู้แล้ว ว่าไม่อยาก.. ให้ข้ามา" ฟาร์คัสหน้าบูดทันควัน 

"ใครไม่พอใจ บอกข้ามาสิ" คาร์บิลัสกระซิบถามเสียงนุ่ม ไม่ได้ติดใจจะเอาความอะไรกับพวกนั้นจริงๆ จังๆ นัก เพราะพอฟาร์คัสมาอยู่ในห้องเขาก็ฟุ้งซ่านจริงๆ นั่นแหละ คิดแต่เรื่องฟาร์คัสในหัวจนทำงานที่ชาคอสเตรียมไว้ให้รวนไปหมด 

"ข้าไม่ใช่คนขี้ฟ้อง ช่างมันเถอะ"

ฟาร์คัสพูดเสียงงึมงำเริ่มรู้สึกง่วงจึงเงยหน้าขึ้นไปจูบริมฝีปากคาร์บิลัสระยะเวลาสั้นๆ แล้วผละออกมาหาวหวอด "ข้าง่วงแล้ว"

"ไม่เอาน่า เจ้าเพิ่งนอนไปเองนะ" คาร์บิลัสตกใจเล็กๆ กับจูบเมื่อกี้แต่ก็รู้สึกดีมากกว่าจึงโน้มหน้าลงไปตั้งใจจะหอมแก้มบ้าง

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฟาร์คัสไม่มีการป้องกันตัวคาร์บิลัสจึงรุกเอาๆ จนถ้าเกิดว่าอยู่ๆ ฟาร์คัสได้สติขึ้นมา ศพของราชาปีศาจคงจะไม่สวยนัก

"พอ พอแล้ว" ฟาร์คัสปัดหน้าคาร์บิลัสออกหัวเราะในลำคอ "เจ้ามันไม่ใช่แพะ เจ้ามันจิ้งจอกชัดๆ"

"แล้วเจ้าล่ะ ถ้าไม่ใช่อีกาจะเป็นตัวอะไร"

ฟาร์คัสนิ่งไปสักพักคิ้วขมวดเล็กๆ ก่อนที่จะหน้าแดง "ก็เป็นชายาเจ้า"

คาร์บิลัสสะดุ้งซึ่งสะดุ้งแรงมาก

"จะตก..ใจอะไรนัก แพะปัญญาอ่อน"

ก็ตกใจเจ้านั่นแหละ 

ราชาปีศาจคิดในใจยิ้มแหยๆ เอื้อมมือไปหยิบแก้วของตัวเองมาจิบบ้างซึ่งมันก็เหลืออยู่ไม่มาก แต่ต่อให้หมดแก้วก็ไม่สามารถให้คาร์บิลัสเมาได้

แต่พอจะจรดริมฝีปากก็ถูกมือดีแย้งยื้อไป

"แพะโง่ ข้าจะกิน..."

ดูเหมือนว่าฟาร์คัสคงจะชอบจริงๆ ถึงได้มองด้วยสีหน้าน่ากอดแบบนั้น แต่ไม่! ถ้าฟาร์คัสกินอีกแก้ว คงไม่ต้องกลับบ้านกันพอดี โดนข้าจับมอมให้เมาจะได้น่ารักแบบไปทั้งวัน

"พอแล้ว ฟาร์คัส เดี๋ยวเราก็กลับบ้านแล้ว"

อย่างว่าการเป็นราชาปีศาจไม่ง่าย การทิ้งงานหนีมาเที่ยวเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ทำให้คาร์บิลัสสบายใจนัก อีกอย่างสองสามคืนที่ผ่านนี้ก็กินอีกาจนพอใจแล้ว

ฟาร์คัสชักสีหน้า "ข้าอยากกิน" พยายามออกแรงเพิ่มแต่ก็ไม่ได้ผล 

คาร์บิลัสถอยหายใจตัดสินใจซดมันจดหมดในคราวเดียวแล้วรวบตัวฟาร์คัสขึ้นอุ้มและสืบเท้าออกจากร้านโดยมีเสียงตะโกนแซวไล่หลังจากหลายๆ โต๊ะที่เมามาย ราชาปีศาจทำเพียงแค่ยิ้มรับและหัวเราะแม้ว่าแต่ละคำนั้นหยาบโลน ลามก แต่จะไปถือสาอะไรกับคนเมาล่ะ? พวกเขาล้วนพูดในสิ่งที่ตนคิดทั้งนั้น

"ปล่อยข้าา"  ฟาร์คัสดิ้นพยายามตะเกียกตะกายออกจากแขนแกร่งเพื่อที่ตัวเองจะได้ไปสั่งพอนนีสมากินอีก

"อย่าดื้อ" คาร์บิลัสดุและใช้ไหล่ปิดประตูดังปังเป็นการดับฝันฟาร์คัส

ฟาร์คัสแค่นเสียงเหอะกลับมาอยู่นิ่งๆ หน้าตาบูดบึ้งราวกับเด็กๆ 

"เดี๋ยวข้าพามากินอีกน่า" คาร์บิลัสพยายามง้อ

"…"

"ฟาร์คัส"

"…"

คาร์บิลัสเริ่มหน้าเสียแต่พอสังเกตชายาตัวเองดีๆ ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นหลับไปแล้ว 

"เด็กชะมัด"

ร่างราชาปีศาจหัวเราะเสียงดังจนเจ้างูเหลือบมองแยกเขี้ยวขู่ฟ่อๆ อย่างรำคาญจนกระทั่งร่างลูกค้าหายไปจากครรลองสายตาจึงหลับตานอนต่อ

------------
กลับมาแล้วค่ะ   :katai4:

รุ่นลูกไม่ incest ค่ะ ตอนแรกก็กะจะอยู่ แต่คิดไปคิดมาไม่ดีกว่า 55555

ท่านโฟเทียสตายไม่ได้ค่ะ ไม่มีใครสามารถฆ่านางได้  :z10: อารมณ์เหมือนเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกอะไรแบบนั้นค่ะ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 57 26 ก.ย 59 p.16
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-09-2016 23:34:16
นี่ก็ร้าน fc ท่านโฟเทียสอีกปะเนี่ยยยยย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 57 26 ก.ย 59 p.16
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 27-09-2016 06:20:59
เบื่อโฟเทียสมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ก.สิบห้าล้านตัว
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 57 26 ก.ย 59 p.16
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-09-2016 21:37:30
ทันเทพมีมาเปิดร้านเหล้าด้วยเนาะ 5555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 58 16 ต.ค 59 p.17
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 16-10-2016 23:29:46
ตอนที่ 58
 

"ท่านคาร์บิลัส!!!"

คอร์สที่กำลังกวาดถูห้องคาร์บิลัสสะดุ้งจนตัวลอย หูตั้งชันตื่นตระหนก "ทำไมครั้งนี้ท่านกลับมาไวจัง ปกติท่านไปสองสามวันไม่ใช่เหรอ?!"

"กลับมาไวๆ ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ" คาร์บิลัสหัวเราะหึๆ อารมณ์ดี สาวเท้าตรงดิ่งไปที่เตียงซึ่งคอร์สก็รีบกระโดดหลบเพราะตนเองนั้นยืนขวางทางอยู่

ร่างของปีศาจอีกาถูกวางลงบนเตียงอย่างบรรจง แม้แต่ว่าเจ้าตัวจะเข้าสู่สถานะหลับตายแล้วก็ตาม ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำจากเหล้าฤทธิ์แรงต่างจากคาร์บิลัสที่ยังคงปกติ

"ท่านคาร์บิลัส ท่านมอมเหล้าท่านฟาร์คัสเหรอ" ปีศาจกระต่ายย้ายร่างย้วยๆ ของตัวเองมาใกล้เตียง ชะเง้อฟาร์คัสอย่างสนอกสนใจ 

"ข้าแวะไปบาร์รัสน่ะ คิดถึงที่นั้นนิดหน่อย" คาร์บิลัสพูดยิ้มๆ ขณะที่มองฟาร์คัส ร้านเหล้านั่นชอบไปตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่แล้วก็ไปแวะเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนมาไล่จีบฟาร์คัสเนี่ยแหละถึงไม่ค่อยได้ไปเหมือนเดิม

คอร์สพยักหน้าหงึกๆ "ข้าขอกวาดต่ออีกแปปนึงนะขอรับ ใกล้จะเสร็จแล้ว" พยายามใช้แขนสั้นๆ ควงไม้กวาดยิกๆ ให้ไวขึ้น

ราชาปีศาจขมวดคิ้วมุ่น "ข้าว่าเจ้าก็เรียนเวทย์มนตร์มานะ จะมากวาดให้เสียเวลาทำไม" ดีดนิ้วดังเป๊าะฉับพลันฝุ่นห้องทั้งห้องของถูกลมห่าใหญ่พัดออกไปทางหน้าต่างทันที

"ท่านก็รู้ว่าข้าใช้เวทย์ได้ห่วยแตกมาก" คอร์สหัวเราะแห้งๆ ไอ้ใช้ก็ใช้ได้อยู่หรอก แต่มันจะได้ผลตามที่คิดรึเปล่านั่นก็อีกเรื่อง 

แก๊กๆ

คาร์บิลัสมองคอร์สเบื่อๆ ก่อนจะหันไปมองกระจกที่มีเสียงเหมือนโดนอะไรขูด

ฮื่อออ

"โทษที ข้าลืมไปเลย" รีบเดินไปเปิดกระจกให้หัวมังกรที่มีเพียงกระดูกเข้ามาคลอเคลียตัวเอง มือหนาลูบมันเบาๆ อย่างเอ็นดู "ขอบใจเจ้ามาก"

มังกรกระดูกคำรามฮื่อๆ เหมือนจะอ้อน มันถูหัวอีกสองสามครั้งกับอกแกร่งของนายมัน ก่อนที่จะหันไปมองปีศาจที่แอบลอบมองมันและคำรามดังลั่นจนอากาศสะเทือน

เหล่าปีศาจที่ลอบมองด้วยใจหวั่นๆ รีบพากันหลบเข้าบ้านทันที ไอ้มังกรกระดูกนี่มาแต่ละครั้งก็ไม่ชวนให้อภิรมย์ใจสักรอบ!

"ข้า.. ขออวยพรให้ท่านมีความสุขเช่นกัน" เสียงแหบห้าวดังลั่นในอากาศ เป็นเสียงของมังกรกระดูกที่ไม่มีใครคาดคิดว่ามันสามารถพูดได้

ซึ่งก็ยกเว้นคาร์บิลัสอีกเช่นกัน 

"ขอบคุณ" คาร์บิลัสยิ้มนุ่ม ทำให้ใบหน้าคมนั่นดูหล่อเหลามากขึ้นอยากเห็นได้ชัด

ถึงแม้มังกรกระดูกจะไม่มีริมฝีปากแต่คาร์บิลัสก็คล้ายกับเห็นรอยยิ้มจางๆ ที่มันส่งมาให้ก่อนที่มันจะพยักหน้าเบาๆ และหายไปในอากาศ

"ท่านคาร์บิลัส ท่านจะให้ข้าบอกชาคอสไหม ว่าท่านกลับมาแล้ว" คอร์สตอนนี้ยืนอยู่หน้าประตูเตรียมจะโกยออกจากห้องเพราะตอนนี้หมดหน้าที่ของตัวเองแล้ว (ตั้งใจจะมาทำความสะอาดห้องให้) 

"ไม่ต้อง เจ้ารู้ ชาคอสก็รู้" คาร์บิลัสไหวไหล่เดินกลับไปล้มตัวนอนบนเตียงและดึงฟาร์คัสเข้ามากอดแน่นโดยไม่สนว่ามีใครอยู่ในห้องอีกคนนึง "วันนี้ข้ากลับมาแล้วก็จริง แต่ก็ยังถือว่าเป็นวันหยุดของข้าอยู่ดี"

ไม่แน่ใจเพราะบรรยากาศอุ่นๆ หรืออะไรที่ทำให้คอร์สรู้สึกว่าราชาปีศาจวันนี้ดูน่าเอ็นดูแปลกๆ เหมือนเด็กที่ได้ของเล่นถูกใจ หวงไม่ยอมให้ใครเล่น

ร่างที่ควรทรงอำนาจพออยู่กับชายาก็ไม่ต่างกับปีศาจทั่วไป ไม่สิ ท่านคาร์บิลัสก็เป็นปีศาจอยู่แล้วนี่? 

คอร์สส่ายหน้าเบาๆ กับความคิดแปลกๆ ของตัวเอง "งั้นข้าขอตัวนะขอรับท่านคาร์บิลัส" 

ซึ่งก็ได้คำตอบเป็นคำห้วนๆ ว่าเออ ไปสักที

ปีศาจกระต่ายตัวอ้วนหูตกหงอยๆ ออกจากห้องแต่พอออกจากห้องก็ต้องยืดหลังตรงทำตัวเคร่งขรึม เมื่อมีปีศาจที่มาฝึกงานในปราสาทเดินไวๆ เข้ามาตัวเอง

"ท่านคอร์สขอรับ! มีจดหมายถึงท่านคาร์บิลัสด้วยขอรับ" ปีศาจตนนั้นพูดหน้าตื่นๆ ยื่นลังที่ภายในเต็มไปด้วยกระดาษที่ถูกเขียนจำนวนมหาศาล

คอร์สก้มลงดมฟุดฟิดก็พ่นลมหายใจเบื่อๆ "ชมรมท่านคาร์บิลัสจงเจริญ?"

"ไม่ทราบขอรับ เมื่อกี้ข้ากำลังจะกลับบ้าน อยู่ๆ ก็โดนเด็กที่ไหนไม่รู้มายัดลังนี่ใส่มือ"

มือขาวๆ ที่เต็มไปด้วยขนนุ่มแปะที่ขมับเซ็งๆ "เมื่อไหร่ชมรมนี่มันจะยุบๆ ไปสักที ท่านคาร์บิลัสไม่ได้ว่างมาอ่านจดหมายไร้สาระของพวกเจ้าหรอกนะ" คอร์สบ่นเสียงดังไม่คิดจะปิดบัง

"แล้วท่านจะเอายังไงกับนี่ล่ะขอรับ ให้ข้าเอาไปทิ้งไหม?" 

"ไม่ต้อง เดี๋ยวเจ้าเอาไปวางไว้ในห้องทำงานท่านคาร์บิลัสนะ เดี๋ยวท่านเบื่อๆ ว่างๆ ก็คงมานั่งอ่านเอง"

"ขอรับ เฮ้อ ข้าว่าจะหลับให้เต็มอิ่มซะหน่อย ทำไมต้องมาเจอเด็กพวกนี้เนี่ย" ปีศาจตนนั้นรับคำบ่นกระปอดกระแปดระหว่างที่เดินไปยังห้องทำงานของคาร์บิลัส

หูกระต่ายที่ตั้งชันทำให้คอร์สได้ยินประโยคที่ว่านั้นพอดีแม้ว่าจะเดินไปไกลแล้วก็ตาม

"แค่นี้ยังน้อย" คอร์สพูดด้วยสีหน้าแหยงๆ ขณะที่กำลังเคี้ยวแครอทที่พกติดตัวมาด้วย "ตอนที่เด็กพวกนั้นรู้ว่าข้าเป็นคนสนิท ข้าเกือบจะโดนลักพาตัวไปด้วยซ้ำ"


วันนี้เป็นวันหยุด 

ทำให้นักเรียนปีศาจห้องพิเศษสามารถนั่งๆ นอนๆ ในหอพักได้ แต่ภายในห้องตอนนี้กลับเหลือสมาชิกอยู่แค่สี่คน ส่วนที่เหลือแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง โนแลนพาลาสไปซื้อโบว์สีขาวที่เพิ่งถูกดัฟฟ์เผาไป เอิร์ลไปเข้าชมรมผีผีผีทั้งวัน ฟอร์ดกับโมลอคโบถส์

สาเหตุที่ทั้งห้ายังคงนอนรออยู่ในห้องเพราะมีนัดว่าจะพาดัฟฟ์กับนาซัสไปกินร้านขาหมูน้ำแดงร้านดังที่อยู่ข้างโรงเรียนปีศาจ 

"เจ้าว่าดัฟฟ์หายไปถึงไหน? ข้าว่าหนักสุดคงจะเป็นปราสาทท่านคาร์บิลัส" คาอิสที่นอนบนเตียงพูดเซ็งๆ ไม่ต่างจากคนอื่นที่สีหน้าเซ็งจัดเหมือนกัน

"ไม่รู้สิ ข้าว่าดีไม่ดีไปถึงเมืองมนุษย์แล้วมั้ง หายไปนานขนาดนี้" ออสการ์ปีศาจพรายน้ำหาวหวอดรู้สึกเบื่อจนอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองพลาดที่ไปรับปากว่าจะไปกับดัฟฟ์ด้วย

กริสเซลหน้างอ "เจ้าอย่ามาว่าดัฟฟ์นะ! ดัฟฟ์เพิ่งเคยใช้เวทย์จริงๆ จังๆ เอง ไม่เหมือนพวกเจ้าที่พ่อแม่สอนตั้งแต่เดินได้"

"เอ๋ เอ๋ แต่พ่อแม่ข้าไม่เคยสอนนะ! ท่านบอกว่ามีโรงเรียนให้เรียนก็มาเรียนสิ จะสอนเองทำไม" กาลันพูดด้วยสีหน้าซื่อๆ ทำให้กริสเซลด่าอะไรไม่ออก

"ข้าไม่ได้ว่าเจ้าสักหน่อย กาลัน เจ้าจะร้อนตัวทำไมเล่า"

"อ้าวเหรอ ฮะๆ" กาลันส่งสีหน้าเหรอหราแล้วหัวเราะแหะๆ 

ทำให้อารมณ์ของปีศาจสิงโตบูดมากขึ้นไปอีก จนเจ้าตัวกลับไปทิ้งตัวนอนบนเตียงไม่คุยกับใครต่อ

เฮย์ที่เห็นสถานการณ์ภายในห้องเริ่มย่ำแย่จึงตัดสินใจเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา "นี่ๆ เจ้ารู้เปล่า พ่อข้าน่ะนะเคยไปปิดร้านขาหมูน้ำแดงนั่นเพื่อจัดงานวันเกิดข้าด้วย!" พูดไม่พอยืดอกอย่างภูมิใจ

"อืม อืม น่าตื่นเต้นจัง" ออสการ์เหลือบมอง "กับอีแค่ขาหมูน้ำแดงเจ้าจะดีใจอะไรนักหนา"

ท่าทีตอบรับของออสการ์ทำเอาเฮย์ใจฝ่อลงเล็กๆ ความขี้อวดกับความมั่นใจภายในตัวราวกับหายไปในชั่วระยะเวลาสั้นๆ "ก็ .. ก็ อ้อ! สงสัยเจ้าไม่เคยกินร้านนี้สินะ ถึงพูดแบบนี้ได้ ถ้าเจ้าเคยกินรับรองเลยว่าเจ้าจะอิจฉาข้ามากๆ"

คนอื่นๆ ที่เหลือภายในห้องพากันลอบถอนหายใจเซ็งๆ เนียนๆ เพราะดูยังไงไอ้นิสัยขี้อวดของเฮย์ก็ดูจะแก้ไม่หายสักที

"คาอิส ไอ้ร้านนี่มันอร่อยจริงเหรอ ข้าเคยได้ยินแต่ชื่อไม่เคยกินสักที" ออสการ์ถามพลางหาวไปด้วย

เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นจากหมอนที่ซุกอยู่แล้วจึงพูด "ก็อร่อยดี ไม่รู้สิ แต่สำหรับข้ามันก็รสชาติพอๆ กับโรงอาหารโรงเรียนเรา"

"สรุป อร่อยไม่อร่อย ถ้าไม่อร่อยข้าจะไม่ไปแล้ว" พรายน้ำหน้างอ "รู้งี้ข้าไปเข้าชมรมว่ายน้ำยังดีกว่าเลย"

"เฮ้ๆ เจ้าสัญญากับข้าแล้วนี่ ว่าจะไปกินเป็นเพื่อนข้า" มังกรไฟสะดุ้งตื่นทันที หันมองออสการ์ดุๆ "เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าเกลียดชมรมว่ายน้ำของเจ้า ขืนเจ้าให้ข้าไปเป็นเพื่อนบ้าง ข้าไม่ไปหรอกนะ"

ออสการ์ขมุบขมิบปากด่าคำหยาบคายไม่ออกเสียง "กับอีแค่น้ำ เจ้าจะเกลียดอะไรนักหนา"

"มันก็เหตุผลเดียวกับที่เจ้าเกลียดไฟนั่นแหละ"

ทิฐิที่มีมากล้นในตัวออสการ์ ทำให้เจ้าตัวหงุดหงิดจนตัวสั่นเทิ้ม ปีศาจพรายน้ำคนนี้ไม่ชอบการโดนตอกกลับจนเขาสะดุดกลายเป็นไอ้โง่ตัวนึง

"… เวรเอ้ย เจ้าจะทำไม เอาไหมละ ถ้าข้าชนะไปชมรมว่ายน้ำ ข้าแพ้ก็แล้วแต่เจ้า!" ออสการ์ถลกแขนเสื้อประจำตระกูลขึ้นถลาเข้าไปหาคาอิสเตรียมจะต่อย

มังกรกระตุกยิ้มผลุดลุกขึ้นจากเตียงลงมายืนบนพื้นยืนเต็มความสูง ทำให้เห็นความแตกต่างของขนาดตัวอย่างเห็นได้ชัดซึ่งคนที่เตี้ยกว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากออสการ์  "ถ้าข้าชนะ อย่ามาร้องไห้โวยวายแล้วกัน"

ออสการ์หน้าหงิก "ข้าจะปลดเจ้าออกจากตำแหน่งเพื่อนสนิทข้า!"

"ข้าก็จะปลดเจ้าออกจากตำแหน่งเพื่อนกินข้าวตอนเที่ยงด้วย!" คาอิสตอกกลับหน้าบึ้ง

"พรุ่งนี้เจ้าไปนั่งเรียนคนเดียวเลยนะ ข้าจะย้ายที่!"

"พรุ่งนี้เจ้าไปกินข้าวคนเดียวเลย ข้าไม่ไปด้วย!"

ออสการ์กับคาอิสชี้หน้ากันตะโกนใส่กันไม่หยุดไม่หย่อน

นี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทั้งคาอิสและออสการ์ยังคงจมปลักอยู่ที่ห้องพิเศษนี่ไม่ได้ไปไหนสักที

ความเลือดร้อนนั้นหากมีไว้ก็เป็นเรื่องดี แต่บางครั้งก็เป็นภัยต่อชีวิตเช่นกัน หากควบคุมมันไม่ได้เวลาที่อยู่ในอันตรายก็ไม่อาจรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้

โฮกกกกกก

เสียงคำรามของเจ้าป่าดังลั่นจนแก้วหูสะเทือน ทำให้สงครามน้ำลายต้องชะงักไปชั่วคราว

"เจ้าจะเถียงกันไปทำไม สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาสิ" กริสเซลแทบจะขู่ฮื่อๆ ขณะที่พูด "เจ้าจำไม่ได้เหรอ ดัฟฟ์ดีใจจะตายที่พวกเจ้ายอมไปด้วย"

ออสการ์เม้มปากพูดอะไรไม่ออกเมื่อนึกถึงสีหน้าของดัฟฟ์ที่ดีใจจนเกินเหตุ "เออ ไปก็ไป" ยอมกลับไปนั่งเงียบๆ บนเตียงอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวเหมือนเดิมซึ่งก็ไม่ต่างจากคาอิสที่กลับไปนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงเบื่อๆ

"ก็จริง ถ้าดัฟฟ์ไม่ชวนข้าด้วยสีหน้าคาดหวังขนาดนั้น ข้าคงไม่ไปหรอก" เฮย์หัวเราะเบาๆ ขณะที่พูด เอาเข้าจริงเขาก็ตั้งใจจะไปซื้อของที่ตลาดข้างโรงเรียนเหมือนกับพวกลาสแต่ก็ไม่ได้ไป

กาลันพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วย "ไม่รู้พวกนั้นทนสีหน้าน่าสงสารของดัฟฟ์ได้ไง"

สีหน้าน่าสงสารเมื่อรวมกับแก้มบวมๆ น่าหยิกแล้ว สามารถทำให้น้ำแข็งแทบจะละลายกลายเป็นน้ำด้วยความใจอ่อน

“มาแล้ววววววว ข้ามาแล้ว แก๊ซ!” 

ผลั่ก

“อั่ก!”

ร่างของดัฟฟ์กับนาซัสร่วงลงมาจากในอากาศซึ่งก็หล่นตรงหลังของคาอิสพอดี

“บัดซบ! หลังข้า” มังกรร้องเสียงหลงตัวชาดิกถลึงตามองดัฟฟ์กับนาซัส “ออกไปจากหลังข้าสักทีโว้ย ตัวพวกเจ้าก็ไม่ได้เบาสักหน่อย!!!”

โชคดีที่กระดูกมังกรแข็งพอสมควรทำให้คาอิสรอดจากการไปหาหมอเพราะกระดูกหัก

“แง้ คาอิสน่ากลัว” ดัฟฟ์มองกลัวๆ รีบพาร่างกลมๆ ลงมาเหยียบพื้น "ไปกันเถอะๆ ข้าอยากกินแล้ว!" นัยน์ตาทอประกายระยิบระยับ

ออสการ์ถลึงตามองดัฟฟ์รู้สึกคันปากอยากด่าที่มาช้าแต่ก็โดนสายตาเพื่อนคนอื่นๆ ปรามไว้ 

"อืมมม งั้นก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวแถวจะยาว" กริสเซลยิ้มแห้งๆ แต่พอมองนาฬิกาข้อมือก็แทบกรีดร้อง "นี่มันเที่ยงแล้วนี่นา!!!"

นั่นหมายความเหล่าปีศาจหิวโหยจะมากองกันที่ร้านนี้ทำให้แถวร้านยาวมากๆๆ

"ไปวันอื่นไหม ข้าว่าไปตอนนี้เจ้าคงต้องยืนรอคิวสักชั่วโมงสองชั่วโมง"

ดัฟฟ์หน้างอต่างจากนาซัสที่เฉยๆ 

"แง้ ข้าอยากกินนี่นา"

"ครั้งหน้าเถอะ เพราะเจ้ามาช้าเนี่ยแหละ พวกเราถึงไม่ได้ไปตั้งแต่สิบโมง ถ้าไปตั้งแต่ตอนนั้นนะตอนนี้เจ้าได้กินแล้ว"เป็นกริสเซลที่ดุดัฟฟ์แทนด้วยหน้าขึงขังนิดๆ ทั้งๆ ที่ในใจนั้นอ่อนยวบยาบตั้งแต่เห็นดัฟฟ์น้ำตาคลอ 

"ไปไม่ได้จริงๆ เหรอ"

".. เอ่อ มันก็ได้อยู่หรอก ถ้าเจ้าอยากไปยืนรอ" กริสเซลหันมองคนอื่นพยายามหาตัวช่วยพบว่าหลบตากันหมด 

"ถ้าไปอาจจะโชคดีเจอคนรู้จักก็ได้"  นาซัสพูดขึ้นมาบ้างเมื่อถูกดัฟฟ์สะกิดยิกๆ 

"ไปไม่ไป สรุป" คาอิสถามเมื่อสามารถพาร่างอันบอบช้ำของตัวเองมายืนข้างๆ ได้

"ไปสิ แก๊ซ ไปเถอะน้า ข้าอยากกินขาหมูน้ำแดงของที่โรงเรียนไม่อร่อยเลย"

"ไปมันก็ไปได้แหละ แต่แถวมันยาวมากจริงๆ นะ" กริสเซลพูดหน้าแหยงๆ 

ออสการ์ที่หน้าหงิกมาตั้งแต่แรกแล้วตอนนี้บิดเบี้ยว "โอ้ยยยย ไปกันสักที ไปยืนรอก็ได้ ไปกันเยอะๆ ไม่เบื่อหรอก"" เดินชนไหล่คาอิสจนเซแล้วเดินออกนอกห้องไปเลย

คาอิสกรอกตาเซ็งๆ สาวเท้าตามออกไป "ข้าก็ว่างั้น ไปสักที แถวมันไม่ยาวถึงปราสาทท่านคาร์บิลัสหรอก"

ส่วนเฮย์กับกาลันที่ยังไงก็ได้อยู่แล้วก็ไหวไหล่ใส่กริสเซลยิ้มๆ แล้วเดินห้องออกจากห้อง

สรุปมติเป็นเอกฉันท์คือ ไป

ดัฟฟ์ถึงได้ยิ้มร่า แค่คิดว่าจะได้กินขาหมูน้ำแดงอร่อยๆ ก็รู้สึกดีใจจนหุบยิ้มไม่ลง แต่พอคิดไปคิดมาก็นึกเรื่องที่ท่านแม่พูดว่า ควรลดอาหาร

"แง้! ไม่น้าาา" 

คณะเด็กห้องพิเศษที่กำลังเดินอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือกหันขวับมองดัฟฟ์ทันที

"เป็นอะไร ดัฟฟ์" นาซัสถามอย่างเป็นห่วง มือเล็กๆ แตะแขนป้อมๆ ของดัฟฟ์

“ท่านแม่บอกว่าจะไม่ให้ข้าควรลดอาหารเพราะว่าข้าอ้วน” ดัฟฟ์พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดราวกับว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มาก “ข้าว่าข้าก็ไม่ได้อ้วนขนาดนั้นซะหน่อย” 

"เดี๋ยวโตไปเจ้าก็ผอมเอง กินๆ ไปเถอะ ดัฟฟ์" กริสเซลสนับสนุนเพราะชอบหุ่นกลมๆ กอดแล้วนุ่มแบบนี้

"เจ้าเป็นมังกรนี่กินเยอะก็เรื่องปกติ" คาอิสออกความเห็นอย่างเชี่ยวชาญเพราะตัวเองก็เป็นมังกรเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้กินจุจนตัวกลมเหมือนดัฟฟ์ 

"คาอิสเจ้าก็เป็นมังกรนี่นา ทำไมเจ้าไม่อ้วนล่ะ" ดัฟฟ์จับแก้มตัวเองที่เริ่มย้วย ตั้งแต่มาอยู่โรงเรียนปีศาจนี่รู้สึกกินเยอะขึ้นมาก 

"ก็ข้าไม่ได้กินทั้งวันเหมือนเจ้าไงเล่า!" มังกรไฟขู่แง่ง "อีกอย่างรีบๆ เดินสักที ข้าไม่อยากได้กินพรุ่งนี้นะ"

"งั้นข้าก็จะกินต่อไป! กินจนข้าจะกลิ้งกลับบ้านได้!" ดัฟฟ์หัวเราะคิกคักเมื่อนึกถึงสีหน้าตลกๆ ของท่านแม่

นาซัสที่ได้ยินความคิดนี่พอดีรีบขัด "ดัฟฟ์ ถ้าเจ้ากลายเป็นแบบนั้น ข้าขอนอนคนละเตียงกับเจ้านะ" ตอนนี้นาซัสกับดัฟฟ์ยังคงนอนเตียงเดียวกันอยู่ เพราะดัฟฟ์ถือว่าตัวเองเป็นพี่ต้องดูแลน้อง ทำให้นาซัสต้องจำยอมนอนด้วยแม้ว่าจะอยากนอนเตียงตัวเองมากก็ตาม

"บู่ว ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย แก๊ซ!" ดัฟฟ์ไม่ได้สนใจอะไรนัก ตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างมุ่งมั่น 

เดินไปไม่นานนักก็ถึงประตูทางเข้าโรงเรียนที่เป็นประตูขนาดยักษ์ที่ทำจากแร่หายากที่ว่ากันว่าสามารถป้องกันได้ทุกอย่างแต่หายากมาก มันถูกแกะสลักเป็นลวดลายคล้านเถาหนามดูสวยงามและอันตรายไปพร้อมๆ กัน

ซึ่งถ้าพูดถึงประตูหน้าโรงเรียนก็ต้องนึกถึงผู้เฝ้าประตู

ฮื่อออออ กรรรซ

สุนัขสามหัวขนาดยักษ์ที่นอนขดอยู่ข้างประตูทั้งสองข้างส่งเสียงเห่าทุกคนที่ผ่านหน้าไปอย่างดุร้าย ข้างๆ มีกระต็อบเล็กๆ ภายในมีปีศาจร่างหนาส่งสีหน้าขึงขังบนหัวมีเขาสีดำม้วนเป็นเกลียวสามเขา ในมือถือสมุดที่ใช้จดบันทึกผู้ที่เข้าออกประตูโรงเรียน

ทันทีที่พวกดัฟฟ์เดินผ่านกระต็อบไปก็โดนถามทันที

"พวกเจ้าจะไปไหน?"

ขาชะงักกึก ทุกคนมองหน้ากันพลางกลืนน้ำลายเอือกเมื่อสุนัขที่ตอนแรกนอนขดตอนนี้ลุกขึ้นยืนแล้ว

กริสเซลที่ตั้งสติได้คนแรกตอบไปอย่างกระอึกกระอัก "คือ คือพวกข้าจะออกไปกินร้านขาหมูน้ำแดงข้างโรงเรียนขอรับ"

ปีศาจเฝ้าประตูพยักหน้าหงึกๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง ลืมไปว่าวันนี้เป็นวันหยุดของพวกเด็กๆ ทีแรกนึกว่าเด็กพวกนี้คิดจะโดดเรียน 

"งั้นพวกเจ้ารีบไปเถอะ เดี๋ยวแถวจะยาว"

"ขะ ขอรับ"

รีบเดินกันต่อทันที

"จริงสิ หรือพวกเจ้าจะให้ข้าเรียกพวกเซนทอร์ให้? พวกนั้นชอบเด็ก คิดราคาไม่แพงหรอก พวกเจ้าสนใจไหม" 

"ขอรับ" กริสเซลตอบเสียงสั่นขณะที่ยืนนิ่งให้พวกสุนัขสามหัวที่ดูจะไม่ค่อยไว้ใจพวกเขาสักเท่าไหร่มาดมฟุดฟิดเกือบๆ ทั้งตัว
 


ทำให้คณะของดัฟฟ์มาถึงร้านขาหมูน้ำแดงอย่างรวดเร็วด้วยบริการจากรถเทียมเซนทอร์ด้วยราคาพิเศษเพราะเซนทอร์ดูจะชอบแก้มย้วยๆ ของดัฟฟ์เป็นพิเศษ แต่พอมาถึงหน้าร้านก็ไม่ได้ทำให้ดัฟฟ์ดีใจเท่าใดนัก

เพราะคิวยาวมากตั้งแต่หน้าร้านคดเคี้ยวไปมาจนตาลายหาไม่เจอว่าท้ายแถวอยู่ที่ไหนและอยู่ๆ ก็มีปีศาจกระต่ายตัวอ้วนสวมชุดสีชมพูลายขาหมูกับบนหัวมีหมวกหูหมูกระโดดดึ๋งๆ มาดัฟฟ์

"พวกเจ้ามากินร้านบีลอสใช่ไหม"
บีลอสคือชื่อเจ้าของร้านขาหมูน้ำแดงชื่อดัง เป็นปีศาจมังกรที่หลงใหลในศาสตร์การทำอาหารมากแต่สิ่งที่ดูจะทำอร่อยที่สุดคงเป็นขาหมูน้ำแดงที่ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วแดนปีศาจ ซึ่งสมัยที่ท่านคาร์บิลัสยังเรียนอยู่ก็ชอบมากินร้านนี้บ่อยจนได้รับตำแหน่งลูกค้ากิตติมศักดิ์

"ขอรับ มากัน 6 คน" กริสเซลเป็นคนตอบอีกเพราะเป็นคนที่น่าจะดูพูดรู้เรื่องที่สุดในบรรดาเด็กๆ ที่โตแต่ตัว

ปีศาจกระต่ายพยักหน้าหงึกๆ มือที่เป็นขนอุยล้วงหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนยิกๆ และยื่นให้ดัฟฟ์ "นี่ขอรับบัตรคิว คิวท่านอยู่ 1112 ขอรับ"

แค่ได้ยินลำดับคิวกริสเซลก็แทบกรีดร้อง

"แล้วตอนนี้คิวที่? "

ปีศาจกระต่ายขมวดคิ้วมุ่นหันหลังไปมองลำดับเลขที่ลอยเด่นอยู่หน้าร้าน "คิวที่ 876 ขอรับ ไม่ต้องห่วงขอรับ ไม่นานหรอก ท่านหลับแค่สองสามตื่นก็ถึงคิวท่านแล้ว อ้ะ มีลูกค้ามาอีก ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ" ไม่รอคำตอบกระโดดดึ๋งๆ ไปหาลูกค้ากลุ่มใหม่

กริสเซลมองเลขบัตรคิวในมือด้วยความรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ "เห็นไหมดัฟฟ์ ข้าบอกแล้วว่าคิวมันยาวมาก แล้วกฎของร้านนี้คือต้องต่อคิวรออีก ถ้าเจ้าไม่อยู่ก็จะโดนสละสิทธิ์ไปทันทีอีก"

"แง้ แต่ข้าหิวแล้วน้า" ดัฟฟ์พูดเศร้าๆ ขณะที่มองร้านบีลอสที่เป็นร้านขนาดใหญ่มีสองชั้นบนหน้าร้านชั้นสองมีรูปขาหมูน้ำแดงขนาดยักษ์แปะไว้และถูกเขียนตรงกลางไว้ว่าบีลอส 

"โอ๊ยยยยย ข้าไม่อยากกินแล้วโว้ย" ออสการ์โวยวายสติแตกเมื่อเห็นแถวยาวเหยียดของร้านบีลอส พวกนั้นคือพวกที่ใกล้จะถึงคิว ส่วนพวกที่ยังยืนกระ
จัดกระจายอย่างพวกเขาคือพวกที่อีกชาติจะได้กิน

"ข้าขอกลับไปนอนได้ไหม เจอแถวขนาดนี้ไม่ไหว" คาอิสมีสภาพไม่ต่างกัน

เฮย์ถอนหายใจเซ็งๆ "อืมม ข้าน่าจะให้ท่านพ่อจองไว้ก่อน"

ในขณะที่ทุกคนเริ่มมืดแปดด้าน ดัฟฟ์ก็เหลือบไปเห็นร่างคุ้นหน้าคุ้นตากำลังนั่งเซ็งๆ อยู่บนโต๊ะอาหารคนเดียว

"ฟรังก์!!!!"

ดัฟฟ์ร้องลั่นวิ่งแจ้นเข้าไปหาทันที
 

ทำไมเหมือนได้ยินคนเรียกชื่อข้า? แต่ข้าอาจจะคิดไปเองก็ได้

ฟรังก์นั่งคิดเองเออเองเงียบๆ ขณะที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนาที่ว่าด้วยการอ่านสีหน้าผู้อื่นและความคิดภายในใจ

"ฟรังก์!!!!"

อืม...  ข้าไม่ได้หูฝาด

มังกรแสงกลอกตาเซ็งๆ เงยหน้าขึ้นจากหนังสือมองดัฟฟ์ที่ยิ้มกว้างมองมาอย่างตื่นเต้น "มีอะไร"

"พวกข้านั่งด้วยนะ คิวของพวกข้ายาวมากๆ เลย ถ้าต้องรอข้าต้องหิวตายแน่ๆ !" ดัฟฟ์มองฟรังก์อย่างคาดหวัง

บัดซบ ไอ้มังกรปัญญาอ่อนจะมานั่งร่วมโต๊ะกับข้า

ฟรังก์คิดอย่างหงุดหงิด มังกรแสงที่โปรดปรานความสงบอย่างเขา ค่อนข้างเกลียดอะไรที่วุ่นวายๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือดัฟฟ์ มังกรดำเจ้าปัญหาที่ดูจะสนใจเขาซะเหลือเกิน

ใครบอกว่าข้าเป็นเพื่อนเจ้ากัน? เจ้าคิดไปเองทั้งนั้น

"เอาสิ"

นั่นเป็นคำตอบที่ควรจะตอบ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่ได้อยากอนุญาตแม้แต่นิดเดียว แต่สีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงทำให้ดัฟฟ์ดูไม่ออกว่าฟรังก์หงุดหงิดขนาดไหน

"เย้! ขอบคุณเจ้ามากนะ ฟรังก์" ดัฟฟ์ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ฟรังก์ ปล่อยให้คนที่ตามมาทีหลังจับจองที่ที่เหลือไปยกเว้นนาซัสที่ดัฟฟ์ให้มานั่งติดกับตัวเองอีกคน

ฟรังก์มองใบหน้าของดัฟฟ์นิ่งๆ

มุมปากยกแบบนี้ อืม... ยิ้ม? เจ้ามังกรสติปัญญาต่ำต้อยนี่กำลังดีใจ แต่ดีใจเพราะข้าให้นั่งด้วย? ดีใจเรื่องไร้สาระชะมัด แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามันดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก..

ฟรังก์พ่นลมหายใจแรงๆ ราวกับตำหนิตัวเองที่คิดอะไรแบบนั้น

ทำเอาคนอื่นๆ ที่ร่วมโต๊ะสะดุ้งกันเป็นแถว เพราะฟรังก์ขึ้นชื่อว่าเป็นมังกรแสงที่หยิ่งมากและหัวดีมาก เป็นปีศาจที่เข้าถึงยากและไม่มีใครอยากยุ่งด้วยสักเท่าไหร่ เพราะคำพูดแรงๆ แต่ละคำที่ดูเหมือนจะตั้งใจมากกว่าเผลอหลุดออกจากปาก ใบหน้าบอกบุญไม่รับตลอดเวลา เวลาคุยด้วยกว่าจะตอบก็แทบลืมไปแล้วว่าพูดอะไรไป โดยรวมแล้วสรุปทำให้ฟรังก์ติดหนึ่งในปีศาจที่ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยมากที่สุด

ที่ได้มานั่งร่วมโต๊ะกันนี่ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกสะพรึ่งในตัวดัฟฟ์มากแล้วที่ไปผูกมิตรกับคนประเภทนี้เข้า

"ให้ตายสิ ทำไมข้าต้องมานั่งกับไอ้หยิ่งนี้ด้วยเนี่ย" ออสการ์กระซิบกับคาอิสที่กำลังนั่งดูเมนูของหวาน

"พูดเหมือนข้าอยากนั่ง หรือเจ้าจะไปยืนรอแถวอีกเป็นร้อยคิวล่ะ" คาอิสกระซิบตอบ

ฟรังก์ที่ได้ยินทุกคำที่พูดเหลือบมองแต่ไม่ได้พูดอะไร

เพราะพวกเจ้าเป็นแบบนี้ไง ข้าถึงไม่อยากยุ่ง

"แล้วฟรังก์สั่งอะไรรึยัง ถ้ายังไม่สั่งข้าจะสั่งให้นะ!" ดัฟฟ์พูดยิ้มๆ ภายในร้านต่างกับนอกร้านลิบลับ ข้างในร้านนั้นถึกคนจะเยอะแต่ก็ไม่วุ่นวายมาก มีปีศาจพนักงานเดินไปเดินมาเป็นว่าเล่นรอรับรายการอาหาร

"เดี๋ยวก็มา"

ฟรังก์ตอบสั้นๆ ก่อนจะหลุบตาอ่านหนังสือต่อไม่ใส่ใจที่จะขยายความอะไรอีกเพราะขี้เกียจ

ดัฟฟ์ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามต่อก็อ้าปากค้างเมื่อเจอกองทัพอาหารที่ถูกพนักงานนำมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นเมนูดังของร้าน แต่จานที่ใหญ่ที่สุดคือขาหมูน้ำแดงขนาดยักษ์ที่สามารถแบ่งกินได้ทั้งโต๊ะ แต่ดัฟฟ์กลับรู้สึกว่าตัวเองสามารถกินหมดได้ด้วยตัวคนเดียว

"ฟะ ฟรังก์ ทำไม ทำไมเจ้าถึงสั่งเยอะขนาดนี้" ดัฟฟ์พยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองน้ำลายไหลขณะที่พูด

ฟรังก์กลอกตาเซ็งๆ แล้วหยิบชาขึ้นมาจิบ

"ข้าไม่ได้สั่ง"

"ไม่ได้สั่งทำไมถึงเอามาให้เจ้าเยอะขนาดนี้ล่ะ" ดัฟฟ์ตาวาวมือที่จับช้อนสั่นเทา

"ข้าเป็นญาติเจ้าของร้าน ถ้าเจ้าจะกินก็กินไป ไม่ต้องมาถามข้าอีก ข้ารำคาญ" ฟรังก์พูดตรงๆ ก้มอ่านหนังสือในมือต่อ

ซึ่งคำพูดของฟรังก์ก็จุดประกายบางอย่างให้แก่ดัฟฟ์

ข้าจะเป็นเพื่อนสนิทของฟรังก์ให้ได้! ข้าจะได้มากินๆๆๆ ที่ร้านนี้บ่อยๆ กับฟรังก์!
 
 
 -------

ตอนนี้มาช้ามาก  :hao5: ขอโทษค่ะ แต่ร้านนี้ไม่ใช่ร้านของท่านโฟเทียสค่ะ 5555

แอบปั่นอะไรบางอย่าง  :m7:

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ  :กอด1: 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 58 16 ต.ค 59 p.17
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 16-10-2016 23:42:00
สงสารคอร์ส ออกโรงทีไรโดนคาร์บิลัสไล่ทุกทีเลย

><

ฟรังก์ชอบดัฟฟ์สิ จงชอบดัฟฟ์~
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 58 16 ต.ค 59 p.17
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-10-2016 23:51:37
โถ่ดัฟเอ้ยยยย คิดแต่เรื่องกินจริงๆ 555555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 58 16 ต.ค 59 p.17
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-10-2016 20:07:11
ดัฟน้อ กินมาก่อนตลอด
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 59 25 ต.ค 59 p.17
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 25-10-2016 23:21:32
ตอนที่ 59

เพราะดัฟฟ์กับนาซัสเข้าเรียนช้าจึงต้องมานั่งฟังวิทยากรที่ได้รับเชิญมาพูดเรื่องประวัติศาสตร์ดินแดนปีศาจ ทำให้ร่างสองพี่น้องจึงมายืนงงกันอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนปีศาจเด็กๆ นั่งกันเต็มไปหมดซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นนักเรียนใหม่ที่ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับดินแดนปีศาจน้อยมากทั้งนั้น

ดัฟฟ์ชะเง้อคอพยายามมองหาที่นั่ง "นาซัส เจ้าว่ามันจะมีที่ให้เจ้ากับข้าไหมง้า แก๊ซ"

นาซัสที่ป้องมือหาอยู่เหมือนกันตอบตามความเป็นจริง "ข้าว่าเราได้นั่งพื้นแน่เลย.."

ปีศาจเด็กตนอื่นๆ ที่อยู่ห้องปกติต่างพากันกระซิบกระซาบกันอย่างสนุกสนาน เมื่อมีเด็กห้องพิเศษที่มีกิตติศักดิ์อันเลื่องชื่อต่างๆ มากมายมาปรากฎตัวในห้อง

"นี่ๆ เจ้ารู้เปล่า พวกเด็กห้องพิเศษเป็นเด็กที่โง่และเรียนห่วยที่สุดล่ะ" ปีศาจตนหนึ่งกล่าวกับเพื่อนขณะที่เหลือบมองท่าทีลุกลี้ลุกลนหาที่ของดัฟฟ์ "คงจะจริงแน่เลย ฮ่าๆ"

"จริงดิ แต่แม่ข้าบอกว่ามีแต่พวกรวยๆ กับพวกมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นนะถึงจะได้อยู่ห้องนี้" 

ปีศาจตนเดิมขมวดคิ้วมุ่นส่ายนิ้วไปมา "รวยแล้วไง โง่ก็คือโง่สิ เจ้าจำไม่ได้เหรอที่ท่านผู้อำนวยการอะไรนั่นส่งเจ้าพวกห้องพิเศษไปป่าเฟอร์นอสนะ!"

"อ้อ ใช่ๆ ข้าจำได้แล้ว แต่พวกเขาก็กลับมาอย่างปลอดภัยนี่นา"

"แล้วไงใครสน ว่าแต่เจ้าพวกนี้มายุ่งอะไรกับงานนี้ ฟังแล้วจะเข้าใจเหรอ ฮ่าๆ"

ปีศาจตนนั้นยังคงพูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างสนุกปากซึ่งก็มีคนมามุงพูดคุยส่งเสียงอือออเห็นด้วยกันครึกครื้นโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าข้างหลังมีปีศาจตนหนึ่งพยายามควบคุมอารมณ์หงุดหงิดอยู่

"พนันได้เลยว่าเจ้าอ้วนนั้นต้องหลับตั้งแต่อาจารย์พูดประโยคแรก ฮ่าๆๆ"

"ข้าก็ว่างั้น เจ้าว่าไอ้อ้วนนั้นเป็นปีศาจอะไร? ข้าว่าหมูแน่เลย อ้วนขนาดนี้"

"เจ้าก็พูดไป ฮ่าๆ มังกรดำต่างหากล่ะ ข้าเคยเห็นเจ้านั่นแปลงเป็นมังกรอยู่"

"บ้าไปแล้ว อย่างเจ้าอ้วนนั้นเป็นมังกรดำแล้วข้างๆ เป็นอะไร? มังกรแสงงั้นเหรอ"

"ไม่รู้สิ อาจจะใช่ล่ะมั้ง แลดูหน้าโง่เหมือนกัน"

เส้นสติขาดผึงก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงตวาดดังลั่นห้องโถง

"หุบปากไปซะ!!"

เกิดแสงสว่างวาบภายในห้องจนตาพร่า

"โอ้ย ตาข้า! ร้อนนน" ปีศาจขี้นินทาร้องลั่นน้ำตาไหลพรากๆ เมื่อรู้สึกโดนอะไรแผดเผาร่างกาย

"เจ้า เจ้าทำอะไรเพื่อนข้า!" ปีศาจตนอื่นชี้หน้าต้นเหตุด้วยสีหน้ากล้าๆ กลัวๆ

หากแต่ปีศาจที่เป็นต้นเหตุก็ยังคงใบหน้านิ่งงันไร้อารมณ์ได้อย่างเหนียวแน่นแม้ในหัวจะเกิดคำสบถด่ามากมายซึ่งถ้าหากพวกเด็กๆ ได้ยินคงต้องร้องไห้หาแม่แน่นอน

"อ้ะ ฟรังงงงงงงงงงงงงงก์!!"

ดัฟฟ์เป็นหนึ่งในปีศาจที่สะดุ้งกับเสียงตะโกนลั่นแต่พอรู้ว่าเป็นใครก็ร้องลั่นบ้าง ไม่รอช้าดึงแขนนาซัสรีบวิ่งไปหาฟรังก์ที่รอบข้างถูกเว้นไว้หนึ่ง เหมือนถูกรังเกียจยังไงยังงั้น

"ข้านั่งด้วยนะ! แก๊ซ" ดัฟฟ์ยิ้มจนตาหยีซึ่งกริสเซลบอกว่ามันชวนให้ใจอ่อนมาก ดัฟฟ์จึงใช้รอยยิ้มนี้ในการอ้อนขอสิ่งที่ต้องการบ่อยๆ

นาซัสไม่รอคำตอบอะไรทิ้งตัวลงนั่งไปก่อนแล้วเงียบๆ

เจ้าของชื่อเหลือบมองนิ่งๆ "อืม" ก่อนจะหันไปมองพวกปีศาจปากจัดเมื่อกี้ที่ตอนนี้นั่งสงบเสงี่ยมกันที่เก้าอี้แล้วเพราะอาจารย์วิทยากรที่ว่ามาถึงแล้ว

"พวกเจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดมาก? หึ เจ้าสามารถถูกเจ้าอ้วนที่เจ้าว่าฆ่าได้โดยไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ ไม่เคยได้ยินรึไง เพลิงกาฬ ถ้าเจ้าอยากลองก็พูดอีกสิ"  แม้เจ้าตัวจะพูดด้วยสีหน้านิ่งสนิทแต่ในหัวกลับคิดไปเยอะแยะมากมาย

บัดซบ ข้าจะพูดอะไรนักหนา? นี่ไม่ใช่ตัวข้าสักนิด นี่มันเรื่องของคนอื่น ข้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจด้วยซ้ำไป ไอ้อารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านนี่น่ารำคาญชะมัด ทำไมข้าต้องรู้สึกด้วยนะ ให้ตายสิ ถึงข้าอยากจะเข้าใจอารมณ์คนอื่นแต่ก็ไม่ได้หมายความข้าอยากสับสนในตัวเองด้วยนะ

ปีศาจที่โดนคาดโทษส่วนใหญ่ขนลุกเกรียวแต่ก็ยังไม่พอใจอยู่ดีโดยเฉพาะปีศาจปากจัดตนนั้นพออาการแสบร้อนทุเลาลงก็เปิดปากต่อทันที 

"ฮึ่ย เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?"

"เจ้าคุยกันใครน่ะ แก๊ซ" ดัฟฟ์ยื่นหน้าไปหาฟรังก์ที่ตอนนี้หน้านิ่วคิ้วขมวดจนน่ากลัว

"เปล่า" ฟรังก์ไหวไหล่ตัดสินใจเลิกสนใจเรื่องไร้สาระทั้งหมด

ดัฟฟ์ตั้งใจจะพูดอะไรต่อแต่พอเห็นอาจารย์จ้องเขม็งมาก็ได้แต่หดคอไปนั่งที่เดิมแล้วนั่งอย่างสงบเสงี่ยม

ผู้ที่ยืนอยู่บนพื้นยกสูงนั้นเป็นชายร่างโปร่งไม่สูงมากนักมีหูกับหางจิ้งจอกสีส้มพวกใหญ่ส่ายไปมาบอกถึงสายพันธุ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี   

"อืมม งั้นข้าจะแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ข้าเป็นปีศาจจิ้งจอกที่จบเอกประวัติศาตร์ดินแดนปีศาจมาได้ไม่กี่ปี ถึงข้าจะเพิ่งจบมาแต่ข้าท่านปู่ข้าเกิดทันในยุคสงครามฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้นะ อ้าว ทำหน้างง ให้ตายสิ แค่เรื่องเก่านิดเก่าหน่อยของดินแดนตัวเองก็ยังจำไม่ได้"

ปีศาจจิ้งจอกผู้เป็นวิทยากรว่าพลางส่ายหน้า "ข้าชื่ออาร์เดน แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องจำหรอก ยังไงซะข้าก็ไม่ได้ประจำอยู่ที่นี่อยู่ดี"

นั่นเหมือนจะเป็นมุขแต่น่าเสียดายที่ไม่มีนักเรียนคนไหนหัวเราะให้แม้แต่คนเดียว จะว่ายังไงดีหางพวงส้มที่ส่ายไปส่ายมาอย่างกระตือรือร้นข้างหลังอาจารย์นั่นดูน่าสนใจกว่าประวัติศาสตร์เป็นไหนๆ

"ข้าอยากจับจัง นาซัส! ทำไมหางเจ้าไม่เห็นดูนุ่มแบบนั้นมั้งเลยง้า" ดัฟฟ์กระซิบกับนาซัส มองหางอาร์เดนตาเป็นประกาย มันดูหนานุ่มน่าขยำมาก

นาซัสย่นคิ้ว "ข้าว่าเป็นที่แชมพูล่ะมั้ง คงจะใช้สำหรับพวกขนสัตว์โดยเฉพาะ ข้าจำได้ว่าเคยเห็นคอร์สเอามาอาบน้ำอยู่"

"เจ้าว่าถ้าข้าขอจับ อาจารย์จะให้จับไหม แก๊ซ!"

นาซัสส่ายหน้าดิกเป็นพัลวัน "ไม่มีทาง"

ดัฟฟ์จึงได้แต่ยั้งตัวเองไม่ให้กระโจนเข้าไปหาหางพวงนุ่มที่ล่อตาล่อใจนั่น

ความเงียบกริบภายในห้องทำเอาอาร์เดนใจแป้วไม่น้อยแต่ก็ถือว่าดีไปอีกแบบ "อ่า งั้นข้าจะเริ่มเล่าประวัติดินแดนปีศาจแล้วนะ! อืมมม มีใครรู้บ้างว่าใครเป็นคนสร้างดินแดนปีศาจ!?" พยายามพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแต่ผลตอบรับคือความเงียบเช่นเดิม

ข้าจะร้องไห้แล้วนะ 

อาร์เดนคิดพลางยิ้มแหยๆ ให้นักเรียนที่ยังคงนั่งตาแป๋ว

นี่พวกเจ้าไม่รู้จริงๆ งั้นเหรอว่าใครเป็นคนสร้างดินแดนปีศาจ?

"ท่านโฟเทียส" เสียงหนึ่งดังเอือยๆ ติดจะรำคาญตอบ

"เก่งมาก! ใช่ท่านโฟเทียส" อาร์เดนยิ้มกว้างดีใจมากส่งผลให้หางส่ายไปมาเร็วกว่าเดิม สิ่งที่อาร์เดนไม่รู้คือที่นักเรียนไม่ตอบคำถามเพราะมัวแต่สนใจหางตัวเองนั่นแหละ

"เก่งจัง ฟรังก์ เจ้ารู้ได้ไง" ดัฟฟ์มองฟรังก์ด้วยสายตาเป็นประกาย 

ฟรังก์พยักหน้าส่งๆ ไม่ใส่ใจนัก

ผิดกับนาซัสที่มือไม้เย็นเฉียบปวดหัวตุบเลือดในกายร้อนฉ่าราวกับว่าสายเลือดกำลังโกรธจัดเมื่อได้ยินชื่อของผู้สร้างโลกใบนี้ นาซัสตกใจไม่น้อยแต่ก็ยังควบคุมตัวเองให้นั่งนิ่งๆ เงียบๆ ได้

ท่านโฟเทียส? ทำไมชื่อนี้ถึงได้คุ้นหูและข้าถึงรู้สึกขยะแขยงนัก..

นาซัสคิดอย่างงุนงง

"ท่านโฟเทียสเป็นผู้สร้างโลกใบนี้แล้วยังสร้างดินแดนปีศาจของเราด้วย ดินแดนปีศาจของเรานี่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานมากแต่ที่มีการจดบันทึกจริงๆ จังๆ ก็ช่วงสงครามแดนเหนือกับแดนใต้" อาร์เดนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟังและตื่นเต้นทำให้เด็กๆ เริ่มกลับมาฟังและจดบันทึกตามลงในสมุดเพราะออกสอบ

"พวกเจ้าเกิดมาในช่วงที่สงครามสงบแล้ว คงจะไม่รู้ว่าความโหดร้ายของสงครามเป็นยังไง" ปีศาจจิ้งจอกพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแววตาเศร้าซึมเพราะทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นไปไม่นานนัก สงครามการแย่งชิงตำแหน่งราชาปีศาจที่เพิ่งสงบลงโดยท่านคาร์บิลัส

 "ทุกอย่างกลายเป็นทะเลเพลิง บ้านเจ้ากลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีที่ใดปลอดภัย เจ้าต้องหนีหัวซุกหัวซุนแม้แต่ในดินแดนของตัวเอง" อาร์เดนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดให้เด็กฟังแต่ในเมื่อมันเป็นความจริงก็ควรรู้ไว้ "พวกเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อที่จะไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีก เจ้าไม่อยากรู้หรอกว่ามีปีศาจมากมายแค่ไหนที่ตายไปกับสงครามแต่ละครั้ง"

ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจนักแต่บรรยากาศอึดอัดในห้องกลับทำให้เด็กๆ รู้สึกเศร้าจนน้ำตาคลอ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้เรื่องอะไรหรือเพราะแววตาของอาจารย์นั้นแจ่มชัดไปด้วยความเจ็บปวดถึงเพียงนั้น

"พอๆ ข้ามาเล่าประวัติศาสตร์ไม่ได้มาเทศน์พวกเจ้า" อารเด็นไหวไหล่ควบคุมให้ตัวเองกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง "ดินแดนปีศาจช่วงแรกๆ ถูกแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ตอนแรกก็ดีกันอยู่หรอกแต่ไปๆ มาๆ ก็ทำสงครามกันเองซะงั้น ต้นเหตุของสงครามคือความไม่ไว้ใจกัน ความหวาดระแวงกันเอง ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ทุกอย่างทำให้ดินแดนปีศาจตอนนั้นวุ่นวายสุดๆ จนกระทั่งถึงจุดๆ หนึ่งที่แต่ละฝ่ายต่างอ้อนวอนให้ท่านโฟเทียสช่วย"

อาร์เดนกลืนน้ำลายเอือกแล้วหลับตาลง "แต่ท่านช่วยให้สงครามมันลุกลามมากขึ้นไปอีก"

นักเรียนเริ่มส่งเสียงฮือฮา เดิมทีพวกเขาก็รู้แหละว่าใครเป็นคนสร้างดินแดนปีศาจแต่ไม่กล้าตอบเฉยๆ เพราะพ่อแม่ปีศาจส่วนใหญ่จะเล่านิทานท่านโฟเทียสผู้มากไปด้วยเมตตาอยู่บ่อยๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาย่อมเชื่อพ่อแม่มากกว่าคนนอกอยู่แล้ว ทำให้เริ่มเกิดสายตาหวาดระแวงในตัวอาร์เดน 

"ท่านอาจารย์ แต่ท่านแม่ของข้าบอกว่าท่านโฟเทียสใจดีมากนะ!" ปีศาจตนหนึ่งโวยวาย

"ใช่ๆ ท่านพ่อข้าก็บอกเหมือนกันว่าสงครามจบได้เพราะท่านโฟเทียสช่วย"

ปัง!!

อาร์เดนกระแทกเท้าจนเกิดเสียงดังลั่นทำให้นักเรียนในห้องที่ทำตัววุ่นวายกลับมานั่งสงบอีกครั้ง

ใบหน้าที่ประกอบไปด้วยตาเรียวๆ เริ่มสั่นไหวเล็กๆ ความนึกคิดของผู้อื่นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงยากที่สุดแล้ว.. "ข้าไม่ได้ขอให้พวกเจ้าเชื่อข้าแต่ข้าขอให้พวกเจ้าเชื่อความจริง บางอย่างที่พวกเจ้ารู้มาตลอดอาจจะไม่ใช่ความจริง ตรองให้ดี เจ้าไม่เคยได้ยินนิทานของมนุษย์งั้นเหรอ? หมาป่ากับหนูน้อยที่แสนซื่อ เจ้าหมาป่าเพียงแค่สวมชุดคลุมแบบมนุษย์กับปกปิดใบหน้าก็สามารถหลอกกินหนูน้อยได้แล้ว นั่นแหละ ตัวอย่างที่เจ้าเชื่อบางสิ่งบางอย่างโดยทันทีเพราะคิดว่าไว้ใจได้" 

อาร์เดนพูดจบหอบแฮ่กแต่ก็ยังไม่หยุดพูดพยายามพูดต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นแววตาแข็งข้องของเด็กบางคนเริ่มอ่อนลง "ปีศาจฝ่ายเหนือได้รับพลังแห่งแสงสว่าง ปีศาจฝ่ายใต้ได้รับพลังแห่งความืด ทั้งสองดินแดนต่างเตรียมจะนำมันมาห้ำหั่นกัน แต่ข้าไม่แน่ใจว่าได้ปะทะกันหรือเปล่าเพราะมันถูกบันทึกไว้เพียงเท่านี้เหมือนกับมันถูกฉีกทิ้งไปซะเฉยๆ ข้าว่าคงเป็นใครสักคนในสงครามนั่นแหละที่ทำมันหรือไม่ก็.."

อาจารย์จิ้งจอกตั้งใจจะพูดชื่อท่านผู้นั้นออกมาแต่ก็กลืนลงไปซะก่อนเพราะดูๆ แล้วเด็กๆ ก็คงไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ที่จะมาว่ากล่าวในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมาตลอด

เดิมที่อาร์เดนก็เคยเป็นเช่นนั้นเคยหัวแข็งมากกว่านั้นเคยเถียงคอเป็นเอ็นมากกว่านั้นแต่พอได้ไปเรียนรู้ในประวัติศาสตร์จริงๆ ก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองรู้นั้นก็แค่เศษเสี้ยวของความจริงเท่านั้น โลกใบนี้ถูกแต่งเติมด้วยผู้ชนะส่วนผู้แพ้ก็กลายเป็นแค่ไอ้ชั่วไร้ค่าตัวหนึ่งเท่านั้น

"เอาล่ะ จบไปแล้วกับช่วงแรกของดินแดนปีศาจ" อาร์เดนตบมือดังแปะ "ข้าจะปล่อยพักสิบนาทีแล้วจะพูดต่อเรื่องสงครามกลางเมืองที่เพิ่งเกิดไปเร็วๆ นี้"

พอพูดถึงเรื่องนี้อาร์เดนก็อดเลื่อมใสในตัวราชาปีศาจไม่ได้ ท่านคาร์บิลัสต่างจากผู้ชนะสงครามคนอื่นตรงที่เขียนประวัติศาตร์ตามความเป็นจริงทุกประการไม่มีการยกยอตัวเองให้ดูดีเลิศกว่าผู้อื่นแต่งอย่างใด

ฟรังก์จึงหยิบหนังสือที่ตัวเองเตรียมมาอ่านขึ้นมาอ่าน แต่พอเห็นข้างๆ เงียบผิดปกติก็หันไปดู

"... นี่เจ้าหลับ?"

ดัฟฟ์สลบเหมือดคาโต๊ะน้ำลายยืด

มังกรแสงมองนิ่งๆ แล้วมองเลยไปอีกเพื่อดูว่าปีศาจที่มากับดัฟฟ์นอนด้วยหรือไม่ "..เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?" ถ้าอาการทางร่างกายฟรังก์พอจะมองออกเพราะไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์อะไรมาก

เพราะนาซัสนั่งหอบหายใจอย่างน่ากลัว ตาแดงก่ำมองฟรังก์ "...ข้าไม่รู้"

ฟรังก์กำลังจะพูดอีกคำก็ต้องเบิกตากว้าง

"นาซัส!!!"

เพราะนาซัสจู่ๆ กลับคืนร่างกลายเป็นจิ้งจอกขาวขนาดยักษ์!
 

โฮ่งๆๆ

"บัดซบ ทำไมข้าต้องมานั่งเลี้ยงหมาวะ ไอ้แพะเวร"

หงิง

ฟาร์คัสสบถอย่างฉุนเฉียน ไอ้แพะปัญญาอ่อนมันนึกอะไรให้ข้าทำไม่ออก ก็เลยบอกให้ข้ามาเลี้ยงหมา ซึ่งตอนนี้ข้าก็ต้องมานั่งอาบน้ำให้พวกงูเวลล์ที่ตอนนี้อยู่ในร่างลูกหมาส่งเสียงหงุงหงิงน่ารำคาญประมาณสิบตัว ไม่แน่ใจว่ามันเห็นข้าเป็นแม่หรืออะไรถึงได้ตามติดแจ เกาะหน้าเกาะหลัง

"อยู่นิ่งๆ ข้าจะถูสบู่ให้ อย่าให้ข้าต้องใช้เวทย์มัดเจ้านะ" ฟาร์คัสขู่ลูกงูเวลล์ที่ตอนนี้ดิ้นไปมาพยายามตะเกียกตะกายหนีเพราะกำลังถูกจับอาบน้ำในห้องอาบน้ำ

หงิงงงง

ลูกงูเวลล์ที่ถูกจับอยู่ร้องครางออกมาอย่างน่าสงสารทั้งๆ ที่ตัวมันเต็มไปด้วยฟองสบู่ มันมองเพื่อนมันที่อาบน้ำแล้วแห้งแล้ววิ่งเล่นอยู่ไกลๆ ตาละห้อย

"อย่าดิ้นสิ เจ้าทำข้าเปียกนะ" ซึ่งก็ไม่น่าทันแล้ว ชุดปีศาจทะมัดทะแมงเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเปียกแนบลำตัวไปแล้วเรียบร้อยโชคดีที่เลือกสีดำมาไม่ใช่สีขาว 

หงิงงงงง

"จะร้องอะไรนักหนา" ฟาร์คัสบ่น "แม่เจ้าก็นอนอยู่นี่เนี่ย"

ฟ่อ

คล้ายกับตอบรับ ร่างงูขนาดยักษ์ที่นอนขดอยู่ใกล้ๆ ขู่ฟ่อตอบอย่างสบายอกสบายใจ หลังจากที่เกือบถูกย่างสดเพราะไม่ยอมเชื่อฟังราชาปีศาจตอนนี้มันเชื่อฟังแล้วกลายเป็นงูที่เชื่องมาก 

โฮ่ง

เมื่อรู้ว่าร้องยังไงฟาร์คัสก็ไม่มีวันเห็นใจ เจ้าหมาก็เลยนั่งจ้องฟาร์คัสด้วยตาแป๋วๆ แทน

"เอ้าเสร็จแล้ว" ฟาร์คัสหลุดยิ้มเล็กๆ พลางร่ายเวทใส่เจ้าหมาทำให้มันแห้งภายในพริบตาแล้วจึงปล่อยให้มันวิ่งสุดชีวิตไปหาเพื่อนที่กำลังวิ่งไล่จับผีเสื้อที่บินไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย

ฟาร์คัสหลับตาแล้วทิ้งตัวลงนอนบนพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะต้องมาเลี้ยงฝูงหมาและรู้สึกเหนื่อยกับแค่การอาบน้ำหมาขนาดนี้

"หรือว่าข้าไม่ออกกำลังกาย?" ฟาร์คัสคิดเรื่อยเปื่อยด้วยความว่างจัด เมื่อก่อนก็แข็งแรงดีอยู่หรอกเพราะต้องลงลานประลองบ่อยๆ เพราะต้องรักษาตำแหน่งในนกบอกลางเอาไว้ แต่ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องฝึกด้วยซ้ำในเมื่อคนที่นอนด้วยเป็นถึงราชาปีศาจที่พลังล้นเหลือและเก่งมากซึ่งแพะปัญญาอ่อนนั้นก็มีคู่ซ้อมประจำอยู่แล้วก็คือชาคอส

"ทำไมจะไม่ออก"

ฟาร์คัสสะดุ้งเฮือกไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกรวบตัวไปนั่งบนตักหนาๆ ของคาร์บิลัส

ใบหน้าคมคายของราชาปีศาจยิ้มพรายเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่แนบไปกับลำตัวฟาร์คัส ดูเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก "ก็ออกบนเตียงกับข้าไง"

คาร์บิลัสเคยคาดหวังปฎิกิริยาน่ารักๆ จากฟาร์คัสแต่ความจริงส่วนใหญ่ที่ได้รับคือ

"บัดซบ ปล่อยข้าลง!" ฟาร์คัสหน้าแดงติดจะหงุดหงิดพยายามขืนตัวลงแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ราชาปีศาจผิดหวังเล็กๆ จึงเลือกที่จะฝังหน้าลงกับซอกคอฟาร์คัสเป็นรางวัลปลอบใจตัวเอง "แล้วเลี้ยงหมาเป็นไงบ้าง สนุกไหม?"

ลมหายใจที่พ่นรดต้นคอชวนให้รู้สึกจั็กจี้ทำเอาฟาร์คัสพูดเสียงสั่นพร่า

"สนุกกับผีสิ เจ้าหมาพวกนี้มันลืมไปแล้วมั้งว่าข้าไม่ใช่แม่มัน"

ไม่รู้เวรกรรมอะไรนักที่ไม่ว่าเด็กที่ไหนก็มักจะเห็นข้าเป็นแม่เสมอ

ฟาร์คัสคิดอย่างหงุดหงิดแต่ได้ไม่นานนักก็สะดุ้งเฮือกเมื่อถูกกัดเข้าที่ต้นคออย่างแรงซึ่งฟาร์คัสค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นรอยแน่ๆ 

"คาร์บิลัส" เรียกเสียงเย็นเยียบ

"ก็ข้านึกไม่ออกนี่นาว่าจะให้เจ้าทำอะไรดี แต่ตอนนี้ข้าคิดออกแล้วนะ" คาร์บิลัสไม่สนใจเสียงเย็นของฟาร์คัส ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรที่ทำให้คาร์บิลัสรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าหนาขึ้น มีภูมิต้านทานอารมณ์หงุดหงิดน่าเอ็นดูของฟาร์คัส

"เจ้าเป็นหมารึไง มากัดคอข้า มันไม่ใช่แผลที่เวทย์จะรักษาได้นะ" ฟาร์คัสสบถพลางใช้มือลูบบริเวณที่แสบๆ คันๆ ด้วยหน้าบูดบึ้ง

"ถ้าเจ้าอยากให้เป็นอีก ข้าก็เป็นได้นะ" คาร์บิลัสหัวเราะ

"..." ฟาร์คัสกลอกตาเซ็งๆ "แล้วจะให้ข้าทำอะไรถ้าไม่เลี้ยงหมา"

ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ ฉีกยิ้มกว้าง "ก็ให้เจ้าเป็นคนช่วยข้าอาบน้ำแต่งตัวไง ดีใช่ไหมล่ะ หึๆ กว่าข้าจะคิดออกนี่เป็นเดือนเลยนะ"

ปัญญาอ่อนชะมัด ทำไมข้าต้องรู้จักแพะปัญญาอ่อนนี่ด้วยวะ

ฟาร์คัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ทั้งๆ ที่หน้าแดง 

"คาร์บิลัส เจ้ามีอยู่ชุดเดียวไม่ใช่เหรอชุดเจ้าน่ะ อีกอย่างเจ้าก็ร่ายเวทย์ใส่ทุกวันไม่เคยเห็นมานั่งจัดอะไรสักที"

"จะยากอะไร ข้าก็เลิกใช้เวทย์แล้วให้เจ้าแต่งตัวแทนไง นี่ไง ข้าฉลาดไหม ฟาร์คัส"

"ข้าไม่รู้จะหาคำไหนมาด่าเจ้าจริงๆ " ฟาร์คัสถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกรอบทิ้งตัวพิงอกแกร่งอย่างเหนื่อยอ่อน "ไหนๆ ก็มาแล้วพาข้ากลับห้องหน่อยสิ ข้าไม่มีแรงจะเดินแล้ว"

"น้อมรับบัญชาขอรับ" 

คาร์บิลัสโน้มหน้าลงจูบริมฝีปากฟาร์คัสซึ่งฟาร์คัสก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรแล้วรวบตัวฟาร์คัสขึ้น ร่ายเวทย์เคลื่อนย้ายแล้วกระโดดเข้าไปอย่างรวดเร็ว

 
 ----------

ข้างบนแลตึงเครียด ข้างล่างหวานแหวว

เบื่อออ แพะปัญญาอ่อน 55555

 :man1: กอดทุกคอมเมนต์
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 59 25 ต.ค 59 p.17
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-10-2016 00:30:13
ยอมใจจิงๆ 55555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 59 25 ต.ค 59 p.17
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 26-10-2016 00:54:46
เง่อะ กลายเป็นไปขุดอดีตนาร์ซัสหรอ
ฟาร์คัสมาหาลูกหน่อย ลูกแย่แล้ว><
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 59 25 ต.ค 59 p.17
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-10-2016 22:37:09
เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งสวีท ไปดูลูกคนเล็กก่อนนนน
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 59 25 ต.ค 59 p.17
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-10-2016 03:06:07
อ้อยไปอีก #ฟาร์คัสคาร์บิลัส >///////<  //ต้องเข้าใจนะฟาร์คัสว่าตัวเองมีออร่าความเป็นแม่ ไม่ว่าปีศาจพวกใดก็เลยชอบเกาะแกะ 55555 //คาร์บิลัสไอ้แผนการให้ช่วยอาบน้ำนี้มันคิดยากขนาดนั้นเลยหรอ ป่าวหรอแป๊ปเดียวก็คิดได้แต่ไม่กล้าพูด เดี๋ยวโดนเตะ 5555 ก็อย่างที่คาร์บิลัสบอกนะฟาร์คัส ต้องไปออกกำลังบนเตียง(nc) รับรองแข็งแรง? 55555555555 มีความอยาก #หื่น 555 //ดัฟฟ์ก็คือดัฟฟ์จริงๆ ตลกอะ ไม่มีไรมาก มีแต่กินกับนอน สนใจไรอีก ไม่มี๊ 55555 น่าร๊ากกกกกกเพราะอย่างงี้ไงดัฟฟ์ผู้ตีมึนเข้ามาป่วนใจฟรังงค์ผู้เงียบขรึม 5555 ทั้งมองดัฟฟ์ว่าน่ารัก แอบมีโกรธแทนด้วย วรั๊ยวุ้ยๆๆ 5555//นาซัส ใจเย็นๆ ดัฟฟ์ช่วยดูกันหน่อยได้ไหม นาซัสความรู้สึกกำลังแย่ จะเป็นอะไรยังไงละนี้ ที่ไม่มีในวิชาประวัติศาสตร์ก็อีกเยอะ แต่ยังไงราชาปีศาจของเราก็ดีที่สุดละ อิอิ *ชูป้ายเชียร์* อ๊อยยยยอยากอ่านต่อละคะ รอนะค่ะ ตอนต่อไป  :pig4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 60 15 พ.ย 59 p.17 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 15-11-2016 23:45:13
ตอนที่ 60

ฮื่ออออ

จิ้งจอกขาวขนาดยักษ์ส่งเสียงคำรามดังลั่นตาแดงก่ำขณะที่เหลือบมองสิ่งมีชีวิตรอบด้านอย่างดุร้าย

"เฮ้ยยย ไหนผอ. บอกโรงเรียนเราคืนร่างจริงแบบเต็มตัวไม่ได้นี่ ทำไมไอ้ลูกกระจ็อกเด็กห้องพิเศษมันแปลงได้เนี่ย!!" นักเรียนปีศาจคนหนึ่งตะโกนเสียงดังรีบถลาไปอยู่ริมห้องไม่ต่างจากคนอื่นที่กรูหนีกันไปอยู่มุมห้องทิ้งไว้แต่โต๊ะที่ว่างเปล่ารอบตัวดัฟฟ์และนาซัส

"จะไปรู้เหรอ! ต้องเรียกครูๆๆๆ"

โครม

หางพวงยักษ์ปัดโต๊ะรอบตัวล้มจนเกิดเสียงโครมคราม

"แก๊ซ เสียงดังจัง"

ดัฟฟ์งัวเงียตื่นขึ้นมาหาวหวอดเอามืออวบๆ ขยี้ตา

ฮื่ออ

ปีศาจมังกรดำสะดุ้งโหยงขณะที่มองปีศาจจิ้งจอกหากแต่มองไปมองมากลับรู้สึกคุ้นๆ แปลกๆ "แก๊ซ ข้าว่าเจ้าคุ้นๆ น้า"

ฮื่ออ!!

จิ้งจอกขาวคำรามดังลั่นอีกครั้งกระโจนเข้าตะครุบตัวดัฟฟ์แต่ก็ถูกสกัดด้วยเวทย์แสงร้อนๆ ซะก่อน ทำให้มันต้องกระโจนกลับไปยืนที่เดิมขู่คำรามในลำคออย่างไม่พอใจ

"นาซัส เจ้าคิดจะทำอะไร"

ฟรังก์หรี่ตามองเย็นเยียบสบตากับจิ้งจอกยักษ์ที่ดูเหมือนจะขาดสติไปแล้ว มืออีกข้างกระชากตัวอวบๆ กลิ้งมาอยู่ข้างหลังตัวเอง

"อ้า! ใช่ แก๊ซซซ นาซัสสส" ดัฟฟ์ยิ้มตาเป็นประกายเมื่อตัวเองจำได้ "แก๊ซ นาซัสทำไมเจ้าอยู่ในร่างนั้นล่ะ ปกติเจ้าตัวเล็กมากๆ เลยนี่นา"

แม้หูสองข้างจะกระดิกฟังแต่จิ้งจอกขาวก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจอะไรใดๆ ยังคงส่งเสียงคำรามในลำคอกรอดๆ เล็บยาวจิกพื้น มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ทั้งๆ ตัวมันเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร

"เฮ้ เจ้าจะรีบลากข้ามาทำไม--" อาร์เดนโวยวายเสียงดังเนื่องจากจู่ๆ ก็ถูกเด็กที่ไหนไม่รู้มาลากตัวออกจากห้องน้ำวิ่งกลับมาที่ห้องโถงทั้งๆ ที่ยังไม่หมดเวลาพัก จะว่าเด็กพวกนี้ขยันเกินกว่าเหตุก็คงไม่ใช่เพราะเมื่อกี้ก็เหมือนเด็กหลับไปเกือบครึ่งห้อง

ซึ่งพอเห็นร่างของนาซัสอาร์เดนก็ได้คำตอบแทนจะทันทีเผลอจ้องตาค้าง

"เป็นไปไม่ได้... เจ้าเป็นแค่ตำนานไม่ใช่เหรอ? ตำนานจิ้งจอกโชคร้ายที่ถูกตรองจำ!" อาร์เดนตะโกนอย่างขวัญเสียถอยกรูดมองขนสีขาวที่ส่งแสงเรืองรองสว่างไสวแปลกๆ มีเพียงจิ้งจอกในตำนานที่เขาเคยเรียนเท่านั้นที่จะมีขนแบบนี้!

มันจะปรากฎตัวที่นี้ได้ยังไง ในเมื่อมันยังถูกตรองจำอยู่ที่ไหนสักแห่งไม่ใช่เหรอ!?

แต่ทิฐิความเป็นครูในตัวทำให้จำต้องยอมสาวเท้ากลับมาที่เดิมเพื่อเผชิญหน้ากับจิ้งจอกสีขาวร่างยักษ์ที่ส่งเสียงครางครืดๆ ในลำคอหูตั้งชันขนลุกทั้งตัวราวกับกำลังรอที่จะจู่โจมอะไบางอย่างที่มันกลัว

"นาซัส นาซัส!" ดัฟฟ์ยื่นหน้าออกไปเรียกแล้วก็ต้องหน้ายู่เมื่อนาซัสในร่างจิ้งจอกไม่สนใจตัวเองสักนิด

"เจ้าไปจะไปเรียกให้ได้อะไรขึ้นมา" ฟรังก์บ่นแล้วสาวเท้าเข้าไปหาร่างจิ้งจอกยักษ์อย่างไม่เกรงกลัว

ฮื่อออ!

มันคำรามเสียงดังลั่นถอยกรูดอย่างลนลาน นัยน์ตาสีแดงของมันเต็มไปด้วยความหวาดผวาและตื่นตระหนก เนื้อตัวสั่นเทารุนแรงอย่างห้ามไม่อยู่เพราะมันเคยถูกคุกคามแบบนี้มาแล้วจากท่านผู้นั้น

มันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิดถึงต้องถูกจองจำไว้ในนรกหรือรูปปั้น

จิ้งจอกขาวอย่างมันก็แค่ต้องการอิสรภาพในการใช้ชีวิตอยู่ก็เท่านั้นเอง..

นัยน์ตาสีแดงของมันสะท้อนภาพฟรังก์ที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับมัน

"นาซัส เจ้าได้ยินข้าไหม" ฟรังก์พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ฮื่อ..

นาซัสคำรามตอบ มันไม่เข้าใจในสิ่งที่ปีศาจตรงหน้าพูด ภาษาที่มันพอรู้ก็แค่ภาษามนุษย์ที่มันเคยอาศัยอยู่ในช่วงที่มันยังไม่ถูกจับเท่านั้น

"ไม่เข้าใจที่ข้าพูด?" ฟรังก์พึมพำเสียงขุ่นเริ่มหงุดหงิด "ถ้าเจ้าไม่ใช่นาซัสแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่.." ประโยคแรกบ่นกับตัวเองส่วนประโยคหลังถามบุคคลที่น่าจะมีประโยชน์ "ดัฟฟ์ นาซัสของเจ้านี่เจ้าไปเจอที่ไหน"

ดัฟฟ์ยิ้มกว้าง "แก๊ซ! แม่เอามาให้ดัฟฟ์ อุ้มแหละ แก๊ซ ฟรังก์อิจฉาดัฟฟ์ล่ะสิที่ดัฟฟ์มีน้อง"

ทำไมไอ้ปีศาจตัวนี้มันสมองมันถึงมีอยู่แค่นี้วะ

ฟรังก์แทบจะสบถด่าคำหยาบคายใส่ดัฟฟ์แต่เพราะรู้ว่าดัฟฟ์เด็กกว่าตัวเองมากถ้าเทียบกับอายุมนุษย์ก็คงเจ็ดแปดขวบที่รู้เรื่องรู้ราวนิดหน่อยเท่านั้นเอง ส่วนปีศาจมังกรแสงอย่างเขาเทียบแล้วตอนนี้ก็น่าจะอายุประมาณสิบสองสิบสาม

"เจ้าจิ้งจอกนี่ไม่ได้ชื่อนาซัส!" อาร์เดนสาวเท้าเร็วๆ มาหยุดยืนข้างฟรังก์แล้วยืนพินิจจิ้งจอกยักษ์ตรงหน้าเมื่อมันไม่ได้มีท่าทีคุกคามเหมือนตอนแรก "จิ้งจอกนี่ชื่อเพวิสต่างหาก เป็นจิ้งจอกเมืองมนุษย์ที่ถูกท่านโฟเทียสตรองจำไว้ในนรกหรือรูปปั้นเนี่ยแหละ ข้าจำไม่ได้ แต่มันเป็นแค่ตำนานนะ" อาร์เดนบ่นงึมงำในลำคอมองเพวิสอย่างไม่เชื่อสายตา 

เรื่องของเพวิสมันเป็นแค่นิทานปรัมปราก็เท่านั้น

จิ้งจอกสีขาวผู้มีขนสีขาวเรืองรองจนผู้คนต่างพากันลุ่มหลง

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ที่สร้างมันขึ้นมาอย่างท่านโฟเทียสจับมันกักขังไว้ที่สักที่

ทุกวันคืนมันกรีดร้องตะเกียกตะกายฝันหาอิสระ

ขนสีขาวนับวันเริ่มกลายเป็นสีดำ

นิทานจบเพียงเท่านี้ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนั้นเพวิสมีชะตากรรมเป็นเช่นไร พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่จับเพวิสกักขังจึงไม่มีทางรู้ได้ว่าเพวิสกลายเป็นเช่นไรต่อไป

"เพวิส" ฟรังก์ลองเรียกลองเชิง

จิ้งจอกยักษ์สะดุ้งเฮือกตวัดสายตามองทันที 

"นี่หมายความว่าไง? สรุปแล้วนาซัสเป็นจิ้งจอกในตำนานงั้นเหรอ" นักเรียนปีศาจคนหนึ่งออกความเห็นออกมาเสียงดัง

ดัฟฟ์เบิกตากว้าง

"แง้ นาซัสไม่ใช่นาซัสเหรอ แก๊ซ ดัฟฟ์ชอบชื่อนาซัสมากกว่าน้า" 

มังกรแสงเหลือบมองดัฟฟ์เลือกที่จะเมินแล้วหันกลับมาคุยกับนาซัส.. ไม่สิ เพวิสต่อ

"เพวิส เจ้าจำข้าได้ไหม" ฟรังก์พยายามคุยต่อ ดูเหมือนว่าตอนนี้นาซัสกลายเป็นเพวิสไปแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับเขา ดัฟฟ์และคนอื่นๆ จะหายไปเหลือเพียงความทรงจำส่วนตัวของเจ้าตัวเท่านั้น

หากแต่ยิ่งคุยก็เหมือนคุยกับตุ๊กตา

เพวิสเอาแต่นั่งส่ายหางไปมาจ้องฟรังก์ตาแป๋ว

มันสงบลงเพราะได้ยินชื่อตัวเองหลุดออกมา คาดคิดว่าปีศาจพวกนี้จะรู้จักตนบ้าง ตอนนี้มันไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองควรทำอะไรหลังจากที่อยู่ๆ ก็มาปรากฎตัวในห้องโถงนี้ได้

น่าแปลกที่ความเคียดแค้นกระหายเลือดซึ่งมากพอที่จะฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้ากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนกับถูกลบออกไปซะเฉยๆ รวมถึงขนของมันที่กลายเป็นสีขาวล้วนแล้วด้วย

มันไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง

ที่จำได้ลางๆ ก็แค่ถูกปีศาจแพะตัวหนึ่งจับแล้วก็สลบไปเลยแล้วมาตื่นอีกทีก็ตอนนี้เนี่ยแหละ

"มาๆ ข้าพูดเอง กับจิ้งจอกเมืองมนุษย์เจ้าก็ต้องพูดภาษามนุษย์สิ พูดภาษาถิ่นปีศาจคงจะฟังออก" อาร์เดนไหวไหล่หัวเราะหึๆ เดินอย่างมีมาดมาหยุดยืนหน้าเพวิส "สวัสดี เพวิส"

หูสองข้างขยับไปมา 

"อืม"

ส่งเสียงตอบในลำคอ

อาร์เดนถึงได้ยิ้มออกและยิ้มกว้างมาก "เจ้าเป็นจิ้งจอกที่ถูกท่านโฟเทียส--"

โครม

ร่างของอาร์เดนกระเด็นกระแทกผนังภายในพริบตาเมื่อถูกเท้าที่เต็มไปด้วยกรงเล็บตบเข้าอย่างรุนแรง ทุกคนในห้องชะงักค้างแทบไม่กล้าหายใจ

"อย่าพูดถึงไอ้ตัวบัดซบนั่น" 

เพวิสตาแดงก่ำคำรามออกมาอย่างดุร้ายด้วยภาษามนุษย์ เท้าจิกลงกับพื้นอย่างฉุนเฉียว

"แง้ นาซัส โกรธไรง้า แก๊ซ!"

แต่จู่ๆ อุ้งเท้ากลับถูกร่างอ้วนกลมกอดแน่น

ฟรังก์ขบเคี้ยวฟัน "เวรเอ้ย" ห้ามดัฟฟ์ไว้ไม่ทัน

"เจ้า?"

เพวิสเตรียมจะสะบัดออกแต่จู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างในหัวก็ห้ามเอาไว้จึงต้องปล่อยให้โดนกอดแน่นเหมือนเดิม

"นาซัส นาซัส จำดัฟฟ์ไม่ได้เหรอ" ดัฟฟ์งอแงพูดไปเรื่อยเปื่อย

เพวิสคำรามฮื่อๆ "เจ้าพูดอะไรของเจ้า ข้าไม่เข้าใจ"

"อูย... บอกข้าดีๆ ก็ได้ท่าน" อาร์เดนเดินโซซัดโซกลับมาที่เดิม ไม่มีบาดแผลตามตัวเพราะกางวงเวทได้ทันมีแต่ความรู้สึกมึนๆ เนี่ยแหละที่ยังคงอยู่อย่างเหนียวแน่น

"เด็กน้อยนี่พูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ" เพวิสหลุบตามองร่างกลมที่เอาหน้าถูกับหน้าขานุ่มๆ ของมัน

"แง้ นาซัส"

อาร์เดนกระแอมเรียกความน่าเชื่อถือที่หล่นหายไปหมดแล้วกลับมา "เจ้าเด็กนี่กำลังเรียกชื่ออีกชื่อของเจ้าอยู่"

"นาซัส?" จิ้งจอกยักษ์ขยับหูไปมาอย่างสนใจ "อะไรน่ะ ข้าเคยมีชื่อนี้ด้วยเหรอ"

"แก๊ซ นาซัสพูดอะไรง้า ดัฟฟ์ฟังไม่รู้เรื่อง" 

เพวิสจ้องดัฟฟ์นิ่งเมื่อถูกเรียกด้วยชื่อนั้นอีกแล้ว แต่มองไปความทรงจำในหัวกลับว่างเปล่าจึงเลือกที่จะขุดคุ้ยเรื่องล่าสุดในหัวแทน

"เท่าที่ข้าจำได้ก่อนที่ข้าจะหลับไปนานมากก็คือข้าเหมือนถูกปีศาจแพะจับ" เพวิสโคลงหัวไปมาขณะคิด ถึงแม้จะรู้สึกโกรธๆ อยู่บ้างที่ถูกจับแต่ก็ควรจะขอบคุณมากกว่าที่อีกฝ่ายปลดปล่อยตัวเองจากห้องมืดทึบนั่น

"ปีศาจแพะที่ว่าของเจ้าเนี่ย เป็นยังไงเหรอ" อาร์เดนถามรู้สึกคุ้นๆ แปลกๆ แต่ก็คิดว่าไม่น่าใช่

"ก็ตัวสูงๆ ตาสีเทา มีเขาแพะ อ้อ รู้สึกจะปีกด้วย"

อาร์เดนยิ้มแห้ง

ใช่เลย คนนั้นแน่ๆ

พรึ่บ

เกิดวงเวทเคลื่อนย้ายกลางอากาศก่อนที่จะปรากฎร่างของราชาปีศาจกับชายาในชั่วพริบตาซึ่งบนไหล่ของชายานั่นก็มีงูตัวเล็กเลื้อยพันอยู่

"ดูเหมือนว่าเวทของข้าจะอ่อนลงแฮะ ถึงกดพลังเวทย์ของนาซัสไว้ไม่อยู่" พอมาถึงคาร์บิลัสก็ขมวดคิ้วมุ่นทันทีแล้วสาวเท้าเข้าไปหานาซัสในร่างจิ้งจอก ไม่สนใจคนอื่นๆ ในห้องที่ฮือฮากันมากยกเว้นแต่ฟรังก์ที่กลอกตาเซ็งๆ สาวเท้าเดินออกจากห้องเงียบๆ เพราะคาดว่าคาบนี้คงไม่ได้เรียนแล้ว

"เจ้า ข้าจำได้ ปีศาจแพะงี่เง่าที่กลัวเมียเป็นบ้า" เพวิสแสยะเขี้ยวเหมือนจะหัวเราะ

"ทะ ท่านคาร์บิลัส!" อาร์เดนเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ

น่าเสียดายที่ราชาปีศาจไม่ได้สนใจอะไรนัก

"ความจำกลับมาก็ปากดีเลยนะเจ้า" คาร์บิลัสพูดเซ็งๆ เหลือบมองเห็นดัฟฟ์พอดีก็นึกขึ้นได้ "อ้อ แล้วเจ้าจำเรื่องนาซัสได้หรือเปล่า?"

"นาซัส นาซัสอีกแล้ว ข้าชื่อเพวิสไม่ใช่นาซัสสักหน่อย" เพวิสโอดครวญส่งเสียงหงิงๆ 

ดัฟฟ์เงยหน้าขึ้นจนขนปุกปุยพอเห็นว่าใครมาก็ยิ้มกว้าง

"แก๊ซ ท่านพ่อ ท่านแม่!" ถลาวิ่งเข้าไปกอดขาฟาร์คัสทันที

นักเรียนปีศาจภายในต่างพากันสูดหายใจเฮือกๆ อย่างตื่นตระหนก ใครจะไปรู้ว่าผู้ปกครองของไอ้นักเรียนห้องห่วงจะเป็นถึงราชาปีศาจกันล่ะ

ฟาร์คัสยิ้มจางๆ ลูบหัวดัฟฟ์แต่สายตาก็ยังจ้องไปที่ร่างจิ้งจอกยักษ์ในห้องที่ตอนนี้เหมือนหมาตัวโตขี้อ้อนซะมากกว่า

คาร์บิลัสนิ่งไปสักพักแล้วหันไปถามความเห็นฟาร์คัสด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนกับอีกหนึ่งตัวที่ยังคงเลื้อยเล่นไปมาบนไหล่ของปีศาจอีกา "เจ้าว่าข้าควรจะฟื้นความจำช่วงนาซัสให้เจ้านี่ไหม หรือควรจะกดพลังมันอีกรอบเพื่อที่จะให้นาซัสกลับมา"

สาเหตุที่คาร์บิลัสกดพลังของเพวิสไว้เพราะว่าเพวิสนั้นมีพลังเวทย์มากมายหากนำเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดีไม่วายต้องเกิดเรื่องวุ่นในแดนปีศาจแน่ๆ ซึ่งแพะขี้เกียจอย่างคาร์บิลัสก็ขี้เกียจไปตามล้างตามแก้ทีหลัง ทางเลือกที่ง่ายที่สุดคือกดพลังมันไว้กับลบความทรงจำช่วงก่อนหน้าแต่มันก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัยนัก เพราะคาร์บิลัสไม่ใช่ผู้ควบคุมการเวลาที่สามารถลบความทรงจำได้หมดจด ทำให้เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นเข้าแรงๆ ความทรงจำกับพลังเวทย์ของเพวิสจะกลับมา

ซึ่งคาร์บิลัสก็ลงเวทย์เตือนภัยไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อที่จะได้มาหานาซัสได้ทันท่วงที

"เจ้ากดไว้ วันดีคืนดีมันก็หลุดออกมาเหมือนครั้งนี้อยู่ดี" ฟาร์คัสจ้องนาซัสเศร้าๆ เล็กน้อย รู้สึกแปลกตานิดหน่อยที่ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กตัวเล็กๆ เหมือนเดิม

"งั้นก็ช่วยฟื้นความทรงจำไปเลยแล้วกัน ยังไงเจ้านี้ก็ดูไม่ต่างอะไรไปจากหมาสักเท่าไหร่" คาร์บิลัสไหวไหล่ร่ายเวทย์สั้นๆ ออกมาแล้วตวัดมือใส่เพวิส

เพวิสในร่างจิ้งจอกหลับตาพริ้มยอมรับเวทย์สีเทาเข้มของคาร์บิลัสลอยเข้ามาในปากปล่อยให้มันฟุ้งอยุ่ในปากแล้วแพร่กระจายจนรู้สึกมึนไปทั้งหัวแต่ในช่วงขณะที่มึนกลับรู้สึกเหมือนมีภาพติดๆ ขัดๆ ของเจ้าเด็กอ้วนโผล่ขึ้นมา

"นาซัส! นาซัส!"

"แง้ ทำไมเจ้าไม่มากับข้าง้า"

"งอนแล้ววว"

"นาซัสทำไมไม่กินกับข้าล่ะ อร่อยน้า แก๊ซ"

"แง้ ท่านแม่บอกว่าข้าอ้วน"

ทำไมถึงได้มีแต่เรื่องไร้สาระนะ?

เพวิสคิดอย่างละเหี่ยใจแต่ลึกๆ กลับรู้สึกตลกและสนุกอย่างบอกไม่ถูก แต่พอภาพหลายๆ ภาพฉายซ้ำไปซ้ำมาในหัวก็เริ่มเกิดความรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ

"ดัฟฟ์!" เพวิสอุทานออกมาด้วยภาษาปีศาจ

ดัฟฟ์เงยหน้ามองนาซัสตาเป็นประกาย "แก๊ซซซ นาซัสสส" ปล่อยมือจากฟาร์คัสอย่างไม่ไยดีแล้วถลาเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเพวิสแทน

ผลุ่บ

เพวิสกลับร่างเป็นเด็กตัวเล็กๆ เหมือนแล้วกอดดัฟฟ์ยิ้มจนตาหยี

"นาซัสตัวใหญ่มากเลยง้า แต่ก็เล็กกว่าดัฟฟ์ตอนเป็นมังกรอยู่ดี แก๊ซ"

"ข้าตัวใหญ่ได้มากกว่านี้อีก เพียงแต่ห้องนี้มันแคบไปหน่อย"

"เย้ นาซัสคุยกับข้าเยอะขึ้น ดีจัง แก๊ซ ข้าจะได้ไม่ต้องพูดคนเดียวแล้ว คาอิสกับออสการ์จะได้ไม่ว่าข้าว่าพูดมาก" ดัฟฟ์ยิ้มปิติแทบร้องไห้ด้วยความดีใจ

"ไม่ต้องห่วงๆ ข้าจะคุยกับเจ้าจนเจ้าเบื่อไปเลยล่ะ"

เพวิสกอดดัฟฟ์แน่น

จิ้งจอกที่เคยถูกตรองจำอย่างเขา ถูกความโดดเดี่ยวกัดกินมาจนแทบเสียสติ การหนีพ้นออกมาจากที่นั้นเพื่อมาเจอผู้คนย่อมเป็นเรื่องที่เพวิสถวิลหาแทบจะตลอดเวลา แม้ว่าจะเป็นเพราะคนอื่นที่ทำให้เขาต้องถูกโฟเทียสตรองจำแต่ตอนนี้ใครจะไปสนเรื่องพรรค์นั้นกันล่ะ

ขนของเขามันไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว 

ขนศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวที่เขาเคยหวงนักหวงหนาตอนนี้โดนถอนทิ้งไปหมดแล้ว

ขนตอนนี้ที่เงาๆ ส่องสว่างเทียบไม่ได้เลยกับขนพวกนั้น

ฉะนั้นเขาไม่มีความจำเป็นต้องไปใส่ใจเรื่องพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว ควรจะเริ่มชีวิตใหม่ที่แพะกลัวเมียอุตส่าห์ให้มา

คาร์บิลัสมองร่างที่กอดกันงุนงง

"ฟาร์คัส.."

เจ้าของชื่อยิ้มจางตอบแพะโง่ที่ทำหน้างงชีวิตจนน่าสงสาร

"ข้าว่ามันก็คงไม่มีอะไรแล้ว กลับกันเถอะ อ้อ อย่าลืมเรียกคนมาเก็บกวาดห้องนี้ด้วย เละไปหมดแล้ว"

"ชาคอส" คาร์บิลัสเรียกเสียงยานคางไม่นานก็ปรากฎร่างมือขวาของราชาปีศาจขึ้นมาในห้อง

"ขอรับท่านคาร์บิลัส" ทันทีที่มาถึงชาคอสก็ค้อมตัวรอรับคำสั่งทันทีแต่พอเห็นสภาพห้องอันเละเทะก็เริ่มคิ้วกระตุก

"เก็บกวาดด้วย ข้าจะกลับไปพักผ่อนวันหยุดของข้าต่อ" คาร์บิลัสพูดเสียงเอื่อยๆ ถลาเข้าไปรวบฟาร์คัสขึ้นมาอุ้มอย่างง่ายดายแล้วกระโดดเข้าวงเวทเพื่อกลับห้อง หวังจะใช้วันหยุดให้คุ้มค่ามากที่สุดด้วยการกอดฟาร์คัสทั้งวัน

ทิ้งให้มือขวาที่เหลืออยู่ในห้องส่งเสียงบ่นอย่างหงุดหงิด

"บัดซบนี่ก็วันหยุดของข้าเหมือนกัน ท่านคาร์บิลัส!"
 
 -----------------------

ทุกคนอย่าเพิ่งตกใจกับคำว่าจบ 5555 ตอนแรกก็ไม่ได้กะว่าจะให้จบแต่คิดไปคิดมาก็จบเรื่องก็น่าจะดีกว่า

หลังๆ รู้สึกว่าเขียนเรื่องนี้ไม่สนุกเหมือนเดิมเหมือนเนื้อเรื่องมันเรื่อยเปื่อยเกินไปในแต่ละตอน คิดว่าตัวเองสมควรจะหยุดไว้แค่นี้

จะดีกว่าค่ะ  :sad4: ส่วนคู่เด็กๆ อาจจะเขียนเป็นเรื่องแยกออกมาในอนาคตแทนค่ะ

ขอบคุณทุกที่ติดตามมาตลอดนะคะ  :man1:  :man1:  :man1: //กอดจนตัวแตก

ใครอยากอ่านอะไรเป็นตอนพิเศษก็เมนต์เอาไว้ได้ค่ะเผื่อจะหยิบมาเขียนในตอนพิเศษที่จะเอามาลง  :L2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 60 15 พ.ย 59 p.17 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-11-2016 01:01:16
เราว่ามันยังไม่สุดอ่ะ ต่ออีกนิดน๊าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 60 15 พ.ย 59 p.17 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-11-2016 12:57:12
งะ แบบนี้ก้อได้หราาา รอเรื่องแยกน้อ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 60 15 พ.ย 59 p.17 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 18-11-2016 23:07:34
จบ >> ช๊อค

คนเขียนโคดอินดี้ 555
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนที่ 60 15 พ.ย 59 p.17 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-11-2016 15:59:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วิญญาณตามติด
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-11-2016 22:30:17
ตอนพิเศษ : วิญญาณตามติด 

ข้าเกิดมาพร้อมกับพรสรรค์ด้านการใช้เวทย์แต่ก็มีความผิดปกติที่ไม่แน่ใจว่าควรจะเรียกว่าร้ายแรงรึเปล่าอย่างการทำความเข้าใจผู้อื่น ข้าแทบจะไม่เข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นเลย

ไม่เลยสักนิด รัก โลภ โกรธ หลง ข้าสัมผัสมันได้ในตัวเองแต่กลับสัมผัสมันจากผู้อื่นไม่ได้ ทุกๆ คนสำหรับข้าเหมือนเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่ไร้ซึ่งอารมณ์ ข้าจับน้ำเสียงในคำพูดไม่ได้ ข้าแยกแยะสีหน้าไม่เป็นด้วยซ้ำไป จนต้องดั้งด้นไปหาอ่านหนังสืออ่านนิสัยคนเพราะท่านแม่เคยบอกข้าว่าขืนข้ายังเป็นแบบนี้ ในอนาคตไม่วายข้าต้องถูกหลอกใช้แน่ๆ

แต่ข้ารู้ดีลึกๆ ได้ว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้น ข้ามั่นใจว่าตัวเองเฉลียวฉลาดเกินกว่าจะถูกใครหลอกใช้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ไปหาหนังสือที่ว่ามาอ่านอยู่ดี 

ระหว่างที่ข้ากำลังนั่งอ่านไปเรื่อยเปื่อยก็มีไอ้งั่งตัวนึงโผมากอดจากด้านหลัง

"ฟรังก์!!! เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ วันนี้วันหยุดทั้งที แก๊ซ ไปกินขนมกัน ไปกินกัน ข้าชวนใครไม่มีใครไปเลย มีแต่เจ้าเนี่ยแหละที่จะไปกับข้า!"

เสียงงุ้งงิ้งดังกรอกหูจนเจ้าของร่างคิ้วขมวด

"ข้าไม่ชอบขนมหวาน"

เป็นไอ้มังกรดำนี่อีกแล้ว.. มันไม่ร้อนมือมั้งรึไงนะ ทั้งๆ ที่ตัวข้านั้นแทบจะร้อนตลอดเวลา

ข้ากลอกตามองเจ้ามังกรดำที่วันนี้ใส่ชุดสีแดงกับหมวกสีชมพูดูสดใสร่าเริงจนน่ารำคาญ ข้าพยายามสังเกตใบหน้ามันก็เห็นรอยยิ้มกว้าง

ให้ตายสิ ทำไมไอ้มังกรดำนี่ถึงได้อารมณ์ดีตลอดเวลานะ มีอะไรให้ดีใจนักหนา?

ข้ามองมันอย่างไม่เข้าใจนัก

"แก๊ซ ฟรังก์ไปไหมมม ต้องไปสิ ข้าไม่มีเพื่อนไปแล้วง้า"

ไม่ ข้าไม่อยากไปเลยสักนิด เสียเวลาชีวิตของข้าชะมัด

"ไม่"

ข้าตอบชัดถ้อยชัดคำก้มอ่านหนังสือในมือต่อแต่เพียงไม่นานก็ถูกดึงแขนไปกอด

"แง้ ฟรังก์ไปกับดัฟฟ์เถอะน้าาา ดัฟฟ์เลี้ยงก็ได้"

"ข้าก็มีของข้า"

กับขนมราคาไม่เท่าไหร่ทำไมข้าจะไม่มีปัญญาจ่าย อย่าลืมสิว่าข้าเป็นถึงมังกรแสงตระกูลดังที่มีหน้าที่เฝ้าประตูหน้าด่านของแดนปีศาจ เงินบำเหน็จบำนาญของแต่ละปีย่อมไม่ใช่น้อยๆ อยู่แล้ว

"แง้ อร่อยมาก เจ้าไปไหมจริงๆ เหรอ ไปเฉยๆ ก็ได้ ไปนั่งเป็นเพื่อนข้า"

"ทำไมเจ้าถึงอยากให้ข้าไปนัก ข้าว่าน่าจะมีคนที่เต็มใจกับเจ้ามากกว่าข้า"

และมันคงน่าสนใจและนิสัยดีกว่าข้าด้วย ...

ข้าชินชากับการเป็นฝ่ายเมินและฝ่ายถูกเมินมานานแล้ว คนนอกมักจะไม่รู้ว่าข้ามีความผิดปกติหรือความรู้สึกช้าในเรื่องนี้และตีความไปต่างๆ นานากันเอาเองว่าข้านิสัยอย่างงู้นอย่างงั้นจนในห้องเรียนข้าแทบจะกลายเป็นคนไร้เพื่อน ที่พอมีก็เป็นแค่ปีศาจอะไรสักอย่างที่วันๆ เอาแต่นอนทำให้ข้าไม่รู้ชื่อมันสักที 

ดังนั้นไอ้มังกรอ้วนนี้ควรจะหาเพื่อนที่ดีกว่าข้า ไม่ใช่มาเอาข้าแบบนี้

"ก็ข้าอยากให้ฟรังก์ไปด้วยนี่นา กินกับฟรังก์อร่อยที่สุด" 

หน้ากลมๆ นั้นยังคงมียิ้มกว้างๆ อยู่

ข้าอยากจะปฏิเสธอีกรอบแต่จนแล้วจนรอดก็ยอมถูกมืออวบๆ เล็กๆ ลากไปร้านขนมที่เจ้าตัวว่า ถามว่าทำไมข้าถึงไป ข้าก็ไม่เข้าใจตัวเองเท่าไหร่เหมือนกัน

ทำไมข้าถึงต้องยอมทำตามในสิ่งที่ดัฟฟ์บอกด้วยนะ?

เป็นแค่คนรู้จักกันแท้ๆ ไม่สิคนร่วมชมรมที่เข้าเผลอรวมเข้าไป มันก็แค่นั้น 

ข้าคิดไปเรื่อยเปื่อยเพียงพริบตาก็มาถึงหน้าร้านที่ดัฟฟ์ว่า ร้านน้ำแข็งไสภูเขาไฟอะไรสักอย่างที่มีคนนั่งเต็มร้าน โชคดีที่มีที่ว่างโต๊ะหนึ่งพอดี ทำให้ข้ากับดัฟฟ์มีที่นั่ง ข้าทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ทำจากน้ำแข็งตัดเป็นทรง 

"แก๊ซ หนาว"

ดัฟฟ์บ่นพร้อมเอาแขนเล็กๆ กอดตัวเอง

"อืม"

ทั้งๆ ที่ข้าควรแค่ตอบรับเฉยๆ แต่มือข้ากลับวาดไปบนอากาศเพียงพริบตาอากาศรอบตัวดัฟฟ์ก็อุ่นขึ้นทันตาเห็น น้ำแข็งเก้าอี้ละลายลงเล็กน้อย 

ข้ากระพริบตาปริบ งุนงงตัวเองเล็กน้อย

ข้าทำมันไปทำไม..?

"แก๊ซ ขอบใจนะ! ฟรังก์" ดัฟฟ์เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ข้า

อา ใช่ ยิ้ม.. ข้าจำได้มันเรียกว่ารอยยิ้ม รอยยิ้มที่แสดงถึงความรู้สึกดี

แต่จู่ๆ ตากลมๆ นั่นกลับโตยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า

"แก๊ซซซ"

ดัฟฟ์อ้าปากหวอชี้นิ้วสั่นๆ มาทางข้า

ข้าขมวดคิ้ว "อะไรของเจ้า" มือลูบใบหน้าของตัวเองทันที

"ฟรังก์ยิ้มให้ข้าด้วย แก๊ซ!" ดัฟฟ์พูดอย่างตื่นเต้นแล้วหัวเราะคิกคัก

แต่ไม่ใช่กับข้าที่ตกใจมากเมื่อมือสัมผัสกับมุมปากที่ยกยิ้มจริงๆ

นี่ข้ายิ้มเพราะเรื่องของคนอื่น? แล้วยังเป็นเรื่องของไอ้มังกรอ้วนนี้ด้วย

"ยิ้มอีกสิ แก๊ซ! น่ารักออก" ดัฟฟ์ยิ้มให้ข้า

ทำให้ข้าเผลอยิ้มตามออกมาโดยไม่รู้ตัว

และรู้สึกแปร่งๆ กับคำว่าน่ารักที่ดัฟฟ์ใช้นิยามตัวข้า ถ้าหากจะใช้จริงๆ ข้าว่าควรจะใช้กับไอ้มังกรหมูนี้ซะมากกว่า แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจเพราะอะไรที่ทำให้ข้ารู้สึกขวยเขินแปลกๆ กับรอยยิ้มของดัฟฟ์

ข้าอาจจะฝันอยู่ก็ได้เพราะถ้าเป็นข้าจริงๆ คงไม่มีวันมีปฏิกิริยาแบบนี้ได้หรอก

"นี่ขอรับ ภูเขาน้ำแข็ง" 

ข้าพยักหน้ารับเงียบๆ เมื่อเมนูที่สั่งไว้ตั้งแต่เข้ามาถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ ข้าชะงักไปสักพักกับตาที่เป็นประกายระยิบระยับของดัฟฟ์และมืออวบๆ ที่ถือช้อนจ้วงเอาน้ำแข็งไสราดน้ำหวายสีแดงไม่หยุด

ทำเอามือข้าที่ถือช้อนเช่นเดียวกันชะงักค่อยๆ วางช้อนเข้าที่เดิม 

จดจ้องใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุขในขณะที่กินอย่างเผลอตัว

แปลก..

ที่ตอนนี้ข้ารู้สึกชอบรอยยิ้มนี่ชะมัด

----------

รู้สึกโหวงๆ ซะงั้นพอไม่ได้เขียน 555555 ใครอยากอ่านอะไรเมนต์ไว้ได้นะคะ เผื่อจะเอามาเขียนเรื่อยๆ  :z6:


 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วิญญาณตามติด
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 23-11-2016 22:51:04
ไม่นะ คู่ดัฟฟ์ฟรังก์เหรอนี lolz

ฟรังก์จะทนผีดัฟฟ์ขี่คอได้กี่ตอนกันเชียว~
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วิญญาณตามติด
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-11-2016 22:58:24
อยากเห็นชุดดัฟ คึคึ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วิญญาณตามติด
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 24-11-2016 00:14:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วิญญาณตามติด
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-11-2016 01:09:30
มาต่ออีกน้า
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วิญญาณตามติด
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 25-11-2016 01:01:28
ทันซะที หลังจากไม่อ่านมานาน ชอบนาซัสจัง ชอบจิ้งจอกน่ารัก แต่คู่สองมังกร นียังไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วิญญาณตามติด
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-11-2016 22:32:48
ขอบคุณค่ะ สำหรับตอนจบเราว่าคนเขียนจบได้ดีแล้วนะ จัดการกับปัญหาทั้งหลายแบบไม่ต้องสงสัยอีก
ถ้าคนเขียนพอมีเวลาว่าง อยากจะอ่านตอนพิเศษคู่ของวารันค่ะ อยากอ่านจากใจโฟเทียส คู่ของดัฟฟ์ แล้วก็คู่ของนาซัส (ว่าแต่... นาซัสจะมีคู่กับเขาไหมคะ เพราะดูท่าเป็นผู้ใหญ่เหลือเกิน)
ปล. ประทับใจตอนคาร์บิลัสทำให้นาซัสจำเรื่องในปัจจุบันได้ แล้วนาซัสคิดว่าดัฟฟ์น่ารักดี (เราว่าตอนนี้น่ารัก)
ปล2. ข้อสงสัยนิดหน่อย ตอนงานแต่งงานทำไมไม่มีชื่อนาซัสอ่ะ เห็นแค่ดัฟฟ์กับเพื่อนช่วงเข้าพิธี จริง ๆ ต้องมีนาซัสร่วมด้วยในตอนนั้นหรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วันๆ ของวารัน
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 15-12-2016 23:35:26
ตอนพิเศษ : วันๆ ของวารัน
 

"เฮ้ โซแวน นี่วันที่เท่าไหร่แล้ว?"

คนถูกถามเหลือบมองร่างที่นอนกลิ้งงอแงบนพื้นพรมด้วยหางตา 

"จะถามไปทำไม เจ้าโดนท่านโฟเทียสลงโทษให้อยู่ในนี้ตลอดชีวิต"

วารันหน้าบิดเบี้ยว

"ม่ายยยย นี่ข้าต้องอยู่ที่นี้ไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย" ร้องไห้โฮๆ ออกมาเสียงดังลั่นแต่ใบหน้ากลับไม่มีน้ำตาสักหยด 

โซแวนหลุดยิ้มนิดๆ กับท่าทางน่าเอ็นดูของวารัน ที่ดูเหมือนจะโตแต่ตัว

"ข้าเบื่อ เบื่อจะตายอยู่แล้ววว" วารันบ่มงึมงำถลาเขามากอดขาโซแวน "คิดดูสิ วันๆ ก็บอกแต่ให้ไปนู่นนี่นั่น น่าเบื่อจะตาย จนเดี๋ยวนี้ข้าหลับข้ายังเผลอละเมอพูดเลยเนี่ย"

"ลุกขึ้นนั่งดีๆ เดี๋ยวข้าไปซื้ออะไรมาให้กิน" มือหนาลูบหัวทุยๆ ยุ่งเหยิงของคนรัก

"อะไรกัน นี่เจ้าเห็นข้าเห็นแก่กินขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ!" วารันหน้างอ

"ชาแดงเมืองเวลล์เป็นไง?" โซแวนยิ้มพราย หลังๆ มานี้ไอ้ทึ่มอย่างเขาเลยตามวารันทันแล้ว

"ไม่! ข้าไม่..กิน" วารันพูดไม่เต็มเสียงเมื่อโซแวนหยิบลูกอมที่เขาบอกว่าอร่อยมากๆๆ ออกมา

"แล้วนี่ล่ะ กินไหม" 

พูดไม่พอยังส่งสีหน้าเหนือกว่าใส่อีก

วารันเริ่มทนไม่ไหว ปกติแล้วเขาจะเป็นฝ่ายคุมโซแวนตลอด "โซแวน เจ้าจะฉลาดกว่าข้าไม่ได้นะ!" กอดอกขมวดคิ้วจริงจัง แต่ตายังจ้องลูกอมสีสวยในมือโซแวนไม่กระพริบ

ยิ่งพูดแบบนั้นยิ่งทำให้โซแวนได้ใจเข้าไปใหญ่

ใบหน้าที่มันจะเย็นชาคลี่ยิ้มจนหัวเราะ

"ให้ข้าฉลาดบ้างเถอะ"

ปกติก็ตามเจ้าไม่ทันอยู่แล้ว.. ไวยังกับอะไรดีทั้งความคิดแบบเด็กๆ ที่ข้าคาดไม่ถึง ไหนจะชอบแกล้งอีก

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพอเห็นไอ้คนที่หน้านิ่งๆ มาตลอดยิ้มกว้างก็เผลอหลุดหน้าขรึมไปยิ้มตาม

"จะยิ้มอะไรนักหนา เห็นข้าหงุดหงิดแล้วมีความสุขงั้นเหรอ" วารันถอนหายใจเหนื่อยๆ "ข้าเบื่อจริงๆ นะ เจ้าลองไปช่วยข้าพูดกับท่านโฟเทียสเรื่องลดโทษหน่อยสิ ไม่งั้นข้าต้องกลายเป็นบ้าตายแน่ๆ"

"ผู้ควบคุมกาลเวลาไม่มีวันตาย" โซแวนขัดหน้าตาเฉย

"ไอ้โซแวน ขืนเจ้าพูดมากข้าจะโยนเจ้าออกจากต้นไม้นรกนี่ซะ" 

ยิ่งพูดก็ยิ่งโดนขัดใจ วารันแทบจะกลายเป็นมังกรไฟพ่นทำลายล้างทุกอย่าง

"แล้วใครจะซื้อของกินให้เจ้า?"

"เออ ไงข้าก็ไม่อดตายหรอก"

"แล้วใครจะอยู่ฟังเจ้าบ่น"

"ข้าบ่นคนเดียวได้"

"แล้วเจ้าจะคิดถึงใครเวลาที่ข้าไม่อยู่"

"...นี่เจ้าพูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ" วารันสะดุ้งเฮือกหันขวับมองหน้าโซแวนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ "ข้าเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังต้องไม่เชื่อข้าแน่!"

"มากกว่านี้ก็ได้" โซแวนยิ้ม "ถ้าเจ้าทำตัวน่ารักกว่านี้"

วารันยักไหล่กวนๆ ลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นออกจากตัว

"ทำตัวน่ารักกว่านี้ก็ไม่ใช่ข้าสิ อยู่แบบกวนประสาทเจ้าแบบนี้สนุกกว่าเยอะ" 

"แล้วนั่นเจ้าจะไปไหน" โซแวนขมวดคิ้วมุ่นเมื่อวารันเดินหนีตัวเองไปอีกทาง 

"หาทางหนีออกจากต้นไม้นรกนี้มั้ง" วารันพูดเซ็งๆ รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไม่มีวันเป็นจริงเพราะถูกท่านโฟเทียสลงเวทย์ไว้อย่างแน่นหนาในขนาดที่ว่าแมลงสักตัวยังลอดออกไปไม่ได้ซึ่งมันก็มีผลเฉพาะกับวารันเพียงคนเดียวซะด้วย

โซแวนหัวเราะในลำคอสาวเท้ายาวๆ ไปรวบตัววารันเข้ามากอดแน่น ฝังใบหน้าที่ลำคอขาวอย่างหลงใหล 

"เจ้าถูกขังไว้ในนี้ก็ดีนะ"

พูดพลางขบกัดลำคอของวารัน

"จะได้หนีข้าไปไม่ได้อีก"

"โอ๊ย! บัดซบ นี่เจ้าจะกัดข้าทำไม" วารันศอกใส่โซแวนอย่างดุร้ายแต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด

"เจ้าชอบหนีข้าไป ชอบทิ้งข้าให้อยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าชอบเจ้ามากขนาดไหน" คล้ายกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะถูกกลิ่นกายหอมๆ ของวารันมอมเมา โซแวนจึงพูดพร่ำไปเรื่อยเปื่อยไล้จมูกไปที่ใบหู

"เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นแบบนี้แต่ก็ยังมาชอบข้าอีก" 

วารันพยายามดันสุนัขตัวโตที่เกาะหลังตัวเองออกแต่เหมือนเดิมไม่เป็นผลอะไรทั้งนั้น

"ตอบข้าสิ เจ้าคิดถึงข้ารึเปล่า?"

เสียงของโซแวนคล้ายกับสุนัขอ้อนขอความรักจากเจ้าของ

ซึ่งเจ้าของสุนัขผู้ซื่อสัตย์ตอนนี้ก็หน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า

บัดซบ บัดซบ บัดซบ!

วารันโหยหวนในใจเมื่อเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างที่ควรเป็น

ทำไมวันนี้โซแวนถึงได้แปลกไปนักนะ? หรือว่าข้าแกล้งมากเกินไปถงกลายเป็นแบบนี้!

"หยุด โซแวน ข้าสั่งให้เจ้าหยุด!" วารันโวยวาย

"หยุดเจ้าก็ต่อยข้าสิ"

"เออ ถ้าไม่อยากโดนข้าต่อยก็ปล่อยข้าา นั่น! ข้าเห็นนกเดินมาตัวนึง ต้องมาถามไถ่ข่าวสารแน่ๆ ปล่อยยย" วารันตะเกียกตะกายสุดชีวิต

"ต้นไม้มีเป็นร้อยต้น ต่อให้เจ้าไม่ตอบมันก็ไปต้นอื่นอยู่ดี" โซแวนวางคางบนไหล่ของวารันพ่นลมหายใจร้อนๆ รดต้นคอ "เจ้ายังไม่ได้ให้รางวัลข้าเลยนะ.." พูดเสียงแหบพร่า

"กับอีแค่เดินออกไปซื้อขนมให้ข้ามันเหนื่อยตรงไหนกัน ทำไมข้าต้องเปลืองตัวให้เจ้าขนาดนั้นด้วย"

โซแวนขมวดคิ้วบ่นงึมงำ

"พูดเหมือนว่าเจ้ากินอยู่อย่างเดียว"

สำหรับโซแวนวารันก็เหมือนหมูตะกละสักตัวที่กินทั้งวัน ไม่มีอะไรทำก็กิน มีช่วงนึงที่ไม่ค่อยกินก็คือช่วงที่ติดตามดูเจ้าอีกานั้นแต่พอไม่มีเจ้าอีกานั่น วารันก็ไม่ได้สนใจใครอีก จดจ่ออยู่ในโลกของกินที่โซแวนต้องเป็นคนสร้างขึ้นมาให้กับวารัน

"..จะไม่ให้ข้าจริงๆ?" 

เจ้าของร่างที่แทบถูกกอดจนแบนแค่นเสียงตอบ

"ไว้วันหลัง วันนี้ข้าไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ"

"แค่จูบก็ได้.. ข้ากับเจ้าไม่ได้จูบกันมานานแล้วนะ" 

วารันขยำเสื้อตัวเองแน่นรู้สึกเขินอายก็จริงแต่ก็ไม่อยากยอมรับนัก

"แค่จูบเท่านั้นนะ แล้วหลังจากนี้ก็ไปซื้อโดนัทให้ข้าด้วย เอารสช็อกโกแลตร้านดังๆ ในเมืองมนุษย์"

เอาเข้าจริงวารันก็ไม่ได้อยากกินอะไรขนาดนั้น เพียงหาวิธีที่จะโยนโซแวนให้ห่างจากตัวเอง

"อืม"

โซแวนยอมคลายแขนของตัวเองออกอย่างว่าง่าย

"เสร็จข้าล่ะ!" วารันยิ้มอย่างมีชัยผลุดลุกขึ้นยืนเตรียมจะวิ่งหนีไปหลบซ่อนสักที่ในห้อง

หมับ

"มุขเดิมๆ ใช้กับข้าไม่ได้หรอก" 

โซแวนยิ้มชั่วร้ายกระชากร่างเจ้าเล่ห์เข้าหาตัวเองโน้มหน้าลงจูบบนริมฝีปากที่เหมือนจะไม่ได้มาสัมผัสมาเกือบปีเพราะเจ้าตัวเอาแต่เลี่ยงมาตลอด อย่างมากที่ให้ทำก็แค่กอดเท่านั้น

ทั้งๆ ที่เป็นคนรักกันแล้วแต่ก็ไม่ได้รู้ว่าวารันจะอายอะไรนัก เวลาที่พูดถึงเรื่องแบบนี้ทีไรใบหน้าทะเล้นชอบกลายเป็นยิ้มกว้างเหมือนพยายามกลบเกลื่อนอะไรสักอย่างในใจ

คงจะเป็นความเขินอาย

โซแวนคาดเดาเรื่อยเปื่อย วารันเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมาตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกัน ชอบเล่นซนไปทั่วเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ทำอะไรไม่ยั้งคิด ชอบทำตัวให้เป็นห่วง แต่ก็เพราะแบบนี้นั่นแหละ

ถึงได้...หลงรัก

ร่างในอ้อมกอดโซแวนคล้ายกับตกใจจนเผลอเผยอปากขึ้นทำให้โซแวนได้โอกาสการไล่ต้อนในแบบฉบับของตัวเองดูบ้าง แต่น่าเสียดายที่วารันกลับสู้ตอบเหมือนพยายามจะพยศครั้งสุดท้ายทั้งๆ ที่ตัวสั่น

โซแวนหัวเราะในใจนึกเอ็นดูจนรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองต้องกลายเป็นทาสของวารันไปตลอดชีวิตก็คงยอม

ต่อให้เจ้าหลอกใช้ข้าไปอีกนานแค่ไหนข้าก็คงยอม

ถ้าหากเจ้าไม่เปลี่ยนใจไปจากข้าก่อน

มือหนารวบเข้าที่เอววารันเมื่อปล่อยให้เจ้าตัวหายใจหายคอบ้าง

ผมสีเหลืองอ่อนๆ ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงหนักกว่าเดิมอีกทั้งตาของวารันยังแดงๆ เหมือนจะร้องไห้อีกด้วย

"โซแวน นี่เจ้าไปทำอะไรมา"

"หือ เจ้า? ร้องไห้เหรอ" โซแวนเลิกคิ้วงุนงงใช้นิ้วเกลี่ยขอบตาวารันซึ่งพบว่ามันชื้นจริงๆ

"ข้าไม่ได้ร้อง ปล่อยข้า ไปซื้อโดนัทให้ข้าสิ" วารันขมวดคิ้วพูดสีหน้าเหมือนทำใจไม่ได้ที่ตัวเองเหมือนจะพ่ายแพ้ให้กับโซแวนอย่างหมดรูป

วารันรู้สึกคล้ายกับตัวเองกลายเป็นหนูที่โดนแมวเหยียบหางจนหนีไปไหนไม่ได้ นอกจากร้องไห้จี๊ดๆ น่าสงสารอยู่ที่เดิม

โซแวนเริ่มเข้าใจถึงสาเหตุจึงถอนหายใจแล้วจูบเบาๆ ที่หน้าผากวารัน

"อืม"

ยอมปล่อยวารันออกไปง่ายๆ เพราะกลัวว่าร้องตรงหน้าจะปล่อยโฮออกมาซะก่อน

ช่วยไม่ได้จะให้ข้าโง่ตลอดกาลก็ใช่เรื่อง ข้าเป็นผู้ควบคุมกาลเวลานะ เกิดโง่ยาวนานขนาดนั้น ท่านโฟเทียสคงหมั่นไส้ไล่ข้าไปเกิดเป็นอย่างอื่นพอดี

"ซื้อเสร็จ ข้าจะมาเอารางวัลต่อ"

โซแวนไหวไหล่ยิ้มๆ แล้วหันหลังให้วารันที่น่าจะทำหน้าน่าสงสารอยู่แน่ๆ

ให้คนปากแข็งมีจุดยืนบ้าง... แค่โดนขังไว้ในนี้ก็หน้าเบื่อจะตายชักแล้ว ขืนข้าทำให้วารันจนตรอกเกินไปเดี๋ยวจะได้ร้องไห้โฮมาออกมาจริงๆ ซึ่งข้าก็ไม่ถนัดปลอบคนร้องไห้ซะด้วย

แต่คิดไปคิดมาก็อยากลองทำให้ร้องไห้บ้างแล้วสิ...
 
 -----

 :hao7:

ตอบคำถามคุณ sirin_chadada  :man1:

นาซัสจะมีคู่ไหม? :  มีค่ะแต่ยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่ว่าใคร  :o8:

งานแต่งนาซัสหายไปไหน? : ตอนแรกกะจะให้อยู่ในงานด้วยแต่พอแต่งเข้าจริงๆ แล้วลืมนาซัสไปสนิทเลย 55555555555 (นาซัสอย่าร้องไห้) ตอนนั้นตัวละครเยอะมาก TWT

 :man1: ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ กอดด ส่วนตอนพิเศษน่าจะมาเรื่อยๆ

 
 
 
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วันๆ ของวารัน
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-12-2016 07:55:35
วารันดูมุ้งมิ้งขึ้นมาทันที คึคึ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วันๆ ของวารัน
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 16-12-2016 09:07:06
คิดถึง  ๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วันๆ ของวารัน
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-12-2016 10:58:53
วารันเหมือนเด็กซน ๆ
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วันๆ ของวารัน
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-12-2016 00:20:14
เยี่ยมม
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วันๆ ของวารัน
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-12-2016 15:24:44
 :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง ตอนพิเศษ : วันๆ ของวารัน
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-02-2017 22:20:45
 :mew1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: Ominous Bird นกบอกลาง [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 13-06-2018 21:42:13
 o13