Owner of the Golden Pagoda (2)
ด่านคุณธรรมชาติที่ 5 จิวซือเป็นขอทานน้อยนามว่าเสี่ยวหยวน เขาจำไม่ได้ว่าบิดามารดาเป็นใคร บางทีคงถูกทิ้งตั้งแต่แรกเกิด ตลอดชีวิตดำเนินไปอย่างยากลำบาก ต้องไปนั่งขอทานไม่ก็รอคนใจดีหยิบยื่นอาหารให้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำงานแลกเงิน เคยพยายามหลายครั้งแรกแต่ไม่มีผู้ใดรับ เถ้าแก่ร้านอาหารรังเกียจสภาพมอมแมมของเขา นายช่างโรงไม้เกี่ยงว่าเขาตัวเล็กไม่มีกำลังพอ ที่สำคัญใครล่ะจะเชื่อใจขอทานไม่มีหัวนอนปลายเท้า ใครจะเชื่อว่าวันหนึ่งจะไม่คิดลักขโมยของ ไม่มีใครเชื่อหรอก ความซื่อสัตย์ความจริงจังล้วนถูกเปลือกนอกที่เป็นขอทานบดบังเสียหมด
ภพชาตินี้เขายังคงบังเอิญได้พบกับอี้เทียนอีกครั้ง แน่นอนว่าตอนที่อยู่ในบททดสอบเขาจำอีกฝ่ายไม่ได้ ดังนั้นเวลานี้เมื่อทราบว่าอี้เทียนเป็นขอทานน้อยที่นั่งขอทานอยู่ข้างๆ ก็ตกใจมาก ใกล้มากเหลือเกิน ถึงกับเป็นคนที่นั่งขอทานอยู่ข้างกัน จิวซือมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกซับซ้อนยิ่ง หากมิใช่โชคชะตาเล่นตลก ก็คงเป็นเพราะเกี่ยวพันกันด้วยอะไรบางอย่าง จึงได้โคจรมาพบเสมอ
อย่างไรก็ตามชีวิตของอี้เทียนดีกว่าเขามาก เพราะแม้ว่าวัยเด็กจะลำบากกว่าเขา เพราะมักถูกขอทานที่แก่กว่าหาเรื่องทำร้าย แต่สุดท้ายอี้เทียนยังโชคดีที่นายท่านของสำนักคุ้มภัยเห็นแววไม่ยอมคนในตัวเขา จึงพากลับไปฝึกฝนจนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนัก และเป็นผู้สืบทอดสำนักคุ้มภัยกังเฉียวในที่สุด
วันหนึ่งเสี่ยวหยวนที่อายุเกือบสิบห้าปีแล้วรู้สึกว่าชีวิตของเขาคงอยู่ได้อีกไม่นาน คงเป็นเพราะสองวันก่อนแย่งอาหารสุนัขกิน กรรมจึงตามสนอง เขาปวดท้องตัวงอตลอดทั้งคืน วันต่อมาก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องแม้แต่น้ำสักหยด ร่างกายผ่ายผอมเอนหลังพิงกำแพงอย่างหมดแรง เหม่อมองหลังคาเหลาสุราฝั่งตรงข้ามเห็นนกสีขาวล้วนตัวหนึ่งเอียงคอมองเขาอยู่เช่นกัน มันขาวสะอาดต่างจากขอทานอย่างเขามาก ดวงตากระจ่างใสสะท้อนภาพของเขาเพียงคนเดียว เป็นครั้งแรกที่ถูกมองอย่างเต็มตาเช่นนี้ ไม่ทราบดวงตากลมสีทองนั้นสวยงามมากหรืออย่างไร เสี่ยวหยวนจึงได้ยิ้มออกมา กระทั่งยิ้มหนึ่งยังสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงยิ่ง
ขณะที่กำลังคิดว่าจะหลับไปเลยดีหรือไม่ ถ้าหลับแล้วไม่ฟื้นขึ้นมาอีกจะได้หมดทุกข์เสียที แต่มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาใกล้เขาตั้งแต่เมื่อไรก็มิทราบ ร่างเงาสูงใหญ่ทอดลงมาบดบังแสงอาทิตย์ร้อนแรงให้ ซาลาเปาห่อหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า พร้อมกับกระบอกน้ำที่วางลงบนพื้นข้างตัว ก่อนที่คนผู้นั้นจะหันกายเดินจากไปพร้อมขบวนของสำนักคุ้มกันภัยกังเฉียว
เสี่ยงหยวนมองตามแผ่นหลังที่ดูกว้างใหญ่กว่าแต่ก่อน ขอทานน้อยที่เคยนั่งขอทานอยู่ข้างๆ เขาเวลานี้มีชีวิตใหม่ที่ดีแล้ว ไม่ทราบว่ายังจดจำเขาได้หรือไม่ จู่ๆ คนผู้นั้นก็หันใบหน้ากลับมา เสี่ยวหยวนสบตาเขาชั่ววินาทีก่อนจะรีบก้มหน้าลง ใบหน้าของคนๆ นั้นปราศจากร่องรอยฟกช้ำหรือเศษดินโคลนอย่างเคย ท่วงท่าก็เปี่ยมด้วยกำลังวังชา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูหนานุ่มไม่น้อย เวลานั้นเสี่ยวหยวนเผลอคิดว่าหากเขาทำใจกล้า ไปขอสำนักคุ้มภัยทำงานหาบน้ำผ่าฟืน จะพอมีโอกาสหรือไม่ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ได้แต่คิด ยังไม่ทันได้ลอง เขาก็ตายเสียก่อน เหตุเพราะช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่ง แม่นางน้อยผู้นั้นเป็นลูกเจ้าของร้านอาหารที่เขาเคยไปขอทำงาน แม้ว่าเถ้าแก่จะไม่รับเขาทำงานแถมยังไล่เขาออกมา แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับแอบยัดซาลาเปาลูกหนึ่งใส่มือเขา แล้วยิ้มให้ เขาจดจำนางได้ไม่ลืม ดังนั้นเมื่อเห็นนางถูกอันธพาลหมายล่วงเกิน จึงเข้าไปช่วยโดยไม่ต้องคิด สุดท้ายก็ถูกอันธพาลเหล่านั้นรุมทำร้ายจนตาย
จิวมือมองเสี่ยวหยวนหรือตัวเขาเองถูกรุมทำร้ายจนลมหายใจค่อยๆ แผ่วเบาลง ความเจ็บปวดและความคิดของเสี่ยวหยวนเขาก็รับรู้อย่างชัดเจน เจ็บแต่ไม่เสียใจเลย ต่อให้เป็นแค่ขอทานไม่มีหัวนอนปลายเท้า แม้แต่ละวันยังไม่รู้จะกินอะไร แต่บุญคุณน้ำใจนั้นต้องตอบแทน แม่นางคนนั้นยังมีบิดามารดาห่วงใย ส่วนเขาไม่มีผู้ใดใส่ใจอยู่แล้ว เป็นหรือตายล้วนไม่สำคัญ ถึงเวลาทางการก็จะขนศพของเขาออกไปทำให้ถนนโล่งขึ้น นึกไม่ถึงว่ายังมีนกตัวหนึ่งรับรู้ มองดูจนเขาจากไป เสี่ยวหยวนเองก็จ้องมองมันเหมือนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจกระทั่งสิ้นลม
ได้พบอี้เทียนอีกครั้ง จิวซือไม่แปลกใจแล้ว คนผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรก็เก่งกาจกว่าเขา หากหมายติดตามก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตงหวางเล่า เหตุใดจึงอยู่ในร่างนกทุกชาติ เหตุใดจึงปรากฏในที่ๆ เขาต้องการเสมอ คอยตามดูเขาหรือ ไม่หรอก ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น ทั้งที่ปฏิเสธข้อสันนิษฐานนั้น แต่ในใจกลับถูกดวงตาสีทองคู่นั้นดึงดูดไว้ ราวกับบางอย่างค่อยๆ ร้อยรัดเข้ามาอย่างละมุนละไม
ดวงจิตของจิวซือถูกดึงดูดมายังอีกโลกหนึ่ง เป็นด่านทดสอบชาติที่หกของเขา ด่านนี้กล่าวได้ว่าเป็นด่านที่เขาแทบจะพลาดท่า เกือบลงมือสังหารคนผู้หนึ่งไป
ยามีลคือชื่อที่หัวหน้าเผ่าตั้งให้ เผ่าของเขานั้นเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ ดำรงชีวิตในป่าลึก คนในเผ่าที่เป็นเพศชายมีร่างกายแข็งแกร่งว่ามนุษย์ธรรมดา เมื่ออายุครบสิบปีก็จะต้องเข้าป่าไปล่าสัตว์ดุร้ายมาเพื่อผ่านการทดสอบเป็นนักรบของเผ่า แต่ว่ายามีลนั้นร่างกายอ่อนแอแต่เด็ก อย่าว่าแต่ล่าสัตว์เลย แค่ผ่าฟืนตัดต้นไม้ยังยากสำหรับเขา ประกอบกับเจ้าตัวมีรูปร่างบอบบาง ผิวขาวตาโตเหมือนผู้หญิง หัวหน้าเผ่าจึงขายเขาให้กับเศรษฐีใหญ่คนหนึ่งแลกกับเสบียงและยารักษาโรค
เศรษฐีคนนั้นเป็นชายแก่ที่มีรสนิยมทางเพศรุนแรง มักกระทำเรื่องบัดสีและผิดมนุษย์กับทาสของเขา แน่นอนว่ารวมถึงยามีลด้วย เขาต้องทนรับความรุนแรงป่าเถื่อนบนเตียง ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจนมนุษย์คนหนึ่งแทบทนรับไม่ไหว วันหนึ่งความโกรธแค้นของเขาก็ปะทุขึ้น ยามดึกสงัด ยามีลที่เป็นของเล่นชิ้นโปรดของเศรษฐีใหญ่ก็คว้ามีดทำครัวขึ้นมา ดวงตาเลื่อนลอย ร่างกายสั่นสะท้านราวกับไม่ใช่ตนเอง
ทนไม่ไหวแล้ว หากไม่ฆ่าไอ้ชั่วนั่นก็คงจะฆ่าตัวเอง
แต่ตามกฎของเผ่า เขามิอาจจบชีวิตตัวเองได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจจะฆ่าคนชั่ว ขจัดภัยให้ทาสคนอื่นๆ หลังจากนั้นคงมีคนของคฤหาสน์สักคนสังหารเขา
จิ๊บ จิ๊บ
ไม่ทราบนกสีขาวล้วนตัวหนึ่งบินผ่านหน้าต่างห้องครัวตั้งแต่เมื่อใด มันร่อนลงบนไหล่เล็ก ดวงตาสีทองกระจ่างจ้องมองใบหน้าเด็กหนุ่มแล้วร้องเรียกเขาเบาๆ หลายครั้ง กระทั่งดวงตาเลื่อนลอยของยามีลเริ่มกลับมามีสติ เจ้านกน้อยเอียงหัว แล้วใช้จะงอยปากเย็นๆ สัมผัสแก้มของเด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง โดยที่ดวงตายังไม่ละไปจากใบหน้าของเขา มันขยับเข้ามาใกล้อีกนิด กระทั่งหัวเล็กๆ แนบไปกับคางของยามีล แล้วถูไถขากรรไกรของเขาราวกับกำลังปลอบโยน ยามีลตัวสั่นสะท้านก่อนที่มีดจะเลื่อนหลุดจากมือ หล่นกระแทกพื้น พร้อมกับร่างของยามีลที่ทรุดลงนั่งกอดเข่า ปล่อยให้น้ำตาร้อนไหลรินออกมาไม่หยุด
ไม่กี่วันต่อมา เศรษฐีผู้นั้นถูกทาสคนหนึ่งฆ่าตาย โดยที่หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยอย่างไซคัสไม่เพียงไม่ปกป้อง ยังยืนมองเศรษฐีผู้นั้นล้มลงไปต่อหน้า จากนั้นเขายังเป็นคนพาทาสหลายคนในคฤหาสน์หนีออกไป ไซคัสคนนี้ก็คืออี้เทียนนั่นเอง เมื่อไซคัสถามยามีลว่าอยากให้พาไปส่งที่ไหน ยามีลก็อึ้งไป ไปไหนหรือ เขา...ไม่มีที่ให้กลับหรอก
“ข้า...ไม่รู้จะไปที่ใด”
ใบหน้าคล้ำแดดของไซคัสเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิใช่ว่าทาสคนอื่นไม่เคยกล่าวประโยคนี้กับเขา แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด จึงเอ่ยถามเด็กน้อยตัวผอมตรงหน้าว่า “เจ้าชอบหาสมุนไพรหรือไม่”
ยามีลตาโต มองบุรุษในชุดทหารตรงหน้าเต็มตา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนถามถึงความชอบของเขา
“ขอรับ!”
ยามีลถูกไซคัสพาไปยังบ้านหลังเล็กกลางป่าซึ่งบิดาของไซคัสนามว่าเคิร์ดอาศัยอยู่เพียงลำพังเพราะไม่อยากย้ายออกจากบ้านที่ร่วมกันสร้างกับภรรยา ยามีลจึงกลายเป็นผู้ดูแลเคิร์ด ขณะที่ไซคัสไปสมัครเป็นอัศวินของกษัตริย์ ภายหลังเคิร์ดเล่าให้ฟังว่าเศรษฐีคนนั้นเคยช่วยชีวิตของเขาโดยบังเอิญ จึงส่งไซคัสไปรับใช้เพื่อตอบแทนบุญคุณ ไม่คิดว่าเศรษฐีผู้นั้นจะเสียชีวิตกะทันหัน ยามีลไม่ได้เล่าความชั่วร้ายและสาเหตุการตายของเศรษฐีคนนั้นให้เคิร์ดฟัง เกรงว่าเขาจะผิดหวังเสียใจที่ส่งไซคัสไปดูแลคนชั่วช้าเช่นนั้น
ไซคัสได้เป็นอัศวิน และเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว เขามักจะกลับมาเยี่ยมบิดาและยามีลปีละครั้ง บางคราวก็จะฝากคนนำสมุนไพรหรือของน่าสนใจมาให้ เมื่อยามีลเข้าเมืองนำสมุนไพรไปขายก็จะได้ยินข่าวหัวหน้าอัศวินนามว่าไซคัสเสมอ และนำข่าวนี้มาเล่าให้เคิร์ดฟัง กระทั่งเจ็ดปีต่อมา ชาวบ้านก็ลือกันว่าหัวหน้าอัศวินไซคัสเสียชีวิตแล้ว ทางการบอกว่าเขาป่วยตาย แจ่จิวซือรู้ว่าเพราะเขาโดดเด่นจนเป็นภัย จึงถูกเจ้าชายพระองค์หนึ่งกำจัด
หลังจากไซคัสจากไป ยามีลและเคิร์ดก็มิได้เฝ้ารอผู้ใดกลับมาอีก หนึ่งปีต่อมาเคิร์ดเสียชีวิต ยามีลที่คิดว่าต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวจนตายก็พบว่ามีนกสีขาวดวงตาสีทองตัวหนึ่งมาอาศัยอยู่บนต้นไม้ใกล้บ้านของเขา เขาจดจำดวงตาแสนรู้ของมันได้ ดวงตาหม่นแสงของยามีลจึงทอประกายขึ้นวูบหนึ่ง
บททดสอบชาติที่เจ็ดก่อนที่จิวซือจะได้พรจากอวิ๋นหนานนั้นเขาชื่อเซียวอู๋หมิง เกิดในครอบครัวที่ดี เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลคหบดีที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลอย่างมากในหัวเมือง เซียวอู๋หมิงดีพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถ อีกทั้งยังมีหัวการค้า บิดาจึงได้มอบกิจการทั้งหมดของตระกูลให้เขาดูแล เขาก็มิได้ทำให้บิดาผู้ล่วงลับผิดหวังด้วยสามารถขยายกิจการของตระกูลจนใหญ่โต นอกจากนั้นยังเป็นที่รักเคารพของชาวบ้านเพราะชอบบริจาคเงินช่วยเหลือคนยากไร้ ตลอดจนสร้างวัดวาอารามต่างๆ ชื่อเซียวอู๋หมิงปรากฏอยู่ในอันดับต้นๆ ของทำเนียบคุณชายที่เป็นที่หมายปองทุกปี
แต่แล้วโชคชะตาก็พลันเล่นตลกกับเขา เมื่อเซียวอู๋หมิงอายุได้สามสิบห้าปี ภรรยาก็ลอบเป็นชู้กับน้องชายต่างมารดาของเขา เซียวอู๋หมิงถูกวางยาพิษ เขาดวงแข็งจึงรอดมาได้ แต่ก็กลายเป็นใบ้หูหนวก แขนขาพิการเดินเหินไม่ได้ ต้องนอนฟังน้องชาย ภรรยาและคนในตระกูลดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้นหลายปี ชีวิตที่อยู่ไม่สู้ตายนี้นับว่าโหดร้ายมากทีเดียวสำหรับคนที่เคยเป็นคุณชายใหญ่มีแต่คนไว้หน้าเช่นเขา
วันหนึ่งเซียวอู๋หมิงเห็นนกที่มีขนสีขาวตลอดทั้งตัวเบียดร่างผ่านช่องว่างของบานหน้าต่างที่แง้มไว้ จากนั้นมันก็บินมาเกาะขอบเตียง ห่างจากใบหน้าของเขาเพียงชั่วฝ่ามือ ดวงตาสีทองสว่างมองตรงมาที่เขาอย่างฉลาด เซียวอู๋หมิงไม่เคยพบเห็นแววตาเช่นนี้ในเดรัจฉานตัวใดมาก่อน
ร่างกายของเขาเป็นอัมพาตทั้งตัว ขยับได้เพียงดวงตา ดังนั้นเมื่อเจ้านกตัวเล็กล้มตัวลงนอนโดยเอาหัวเล็กๆ ของมันพาดไหล่ของเขา ดวงตาของเซียวอู๋หมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจและประหลาดใจ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเซียวอู๋หมิงที่ทนรับความอัปยศเพียงลำพังก็มีนกตัวหนึ่งเป็นเพื่อน
หลายปีต่อมา กิจการของสกุลเซียวภายใต้การบริหารของน้องชายเซียวอู๋หมิงเริ่มมีปัญหา คุณภาพของสินค้าต่ำลงจนเกิดการฟ้องร้องและก่นด่า แต่เซียวอู๋หมิงไม่สนใจ ทุกวันนี้เขาเพียงอยากหลุดพ้นเท่านั้น ไม่นานกิจการทั้งหมดของตระกูลก็เริ่มถูกกว้านซื้อโดยสกุลหม่า ตระกูลเซียวล้มละลาย สถานการณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุด เวลานี้ยังมีผู้ใดจำได้ว่ามีเซียวอู๋หมิงนอนเป็นผักอยู่ในเรือนหลังเล็กเล่า ดังนั้นเซียวอู๋หมิงจึงได้ตายสมใจ ขอบคุณเจ้าบ้านสกุลหม่าที่ปลดปล่อยเขา เจ้าบ้านสกุลหม่าที่ว่าก็คือจิตเซียนของอี้เทียนนั่นเอง
ชาติที่แปด เขาได้พรจากอวิ๋นหนานและไปอาศัยร่างของหลิวเจียเย่ จิวซือได้ประจักษ์ว่าหลังจากการเสียชีวิตของเขานั้นยังมีผู้คนนึกถึงเขา อาลัยเขา ยามที่ดอกไม้ไฟปรากฏบนท้องฟ้าก็ยังมีหลายคนหยุดมองมันและคิดถึงเขา ร้องไห้เสียใจกับการจากไปของเขา พวกเขายังไม่ลืม แม้ความรักของแฟนคลับอาจเทียบไม่ได้กับความรักของบิดามารดา แต่ความรักนั้นเป็นเรื่องจริง น้ำตาที่เสียให้ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน เป็นความรักบริสุทธิ์ที่ไม่คิดหวังสิ่งใดตอบแทน เพียงหวังให้เขามีความสุข หวังให้ดวงวิญญาณของเขาได้พักผ่อนอย่างสงบ
ชาติที่เก้า หลังจากที่แอสเชอร์และดีแลนจากไปเพียงไม่กี่ปี เจ้าชายรัชทายาทโดมินิกก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรนอร์ท เขาเป็นกษัตริย์ที่ไม่เลว ใส่ใจกิจการบ้านเมืองและมีความรู้ความสามารถ แต่โชคร้ายที่เกิดภัยพิบัติหลายครั้ง ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง ไฟป่า และแผ่นดินไหว จนชาวบ้านที่มีความเชื่อเรื่องเทพสวรรค์เริ่มคาดเดาว่ากษัตริย์แห่งนอร์ทสมควรเป็นเจ้าชายดีแลน แต่เพราะทรงเสียพระทัยกับการตายอย่างกะทันหันของพระคู่หมั้น จึงได้กลายเป็นเทพมังกรไปแล้ว
ผู้คนพากันหลั่งไหลมาสักการะรูปปั้นของแอสเชอร์และดีแลนมากขึ้นทุกปีเพื่อขอพรให้ทั้งสองช่วยปกป้องอาณาจักรนอร์ท จนสถานที่บริเวณดังกล่าวกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังแห่งศรัทธา
ต่อมาในชาติที่สิบ จิวซือเห็นภาพของซีโน่เป็นเจ้าผู้ครองนครแห่งชีวิต แม้จะยังเด็กมากด้วยวัยเพียง 15 ปี เขาไม่ยอมกลับไปอยู่กับพ่อแม่ แต่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับมหานครแห่งนี้ รวมทั้งมิวเทนท์ทั้งหลายที่ระลึกถึงอลันและเผยแพร่ลัทธิอลานิสออกไป จิวซือไม่คิดมาก่อนเลยว่าชาวนครแห่งชีวิตจะทำถึงขนาดนั้น จะซาบซึ้งและระลึกถึงเขามากมายเพียงนั้น และเมื่อเขาเห็นซีโน่สร้างมังกรไฟเหนือป้ายหินของอลัน ดวงตาของเขาก็ผ่าวร้อนขึ้นมาวูบหนึ่ง เด็กน้อยคนนั้นทำได้แล้ว เพียงแต่เขายังไม่มีโอกาสได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้
ภาพเบื้องหน้ามืดลงอีกครั้ง จิวซือรู้สึกว่าร่างกายถูกพลังอันอ่อนโยนโอบล้อมไว้ จิตเซียนของเขาเหมือนแช่อยู่ในน้ำที่อุ่นสบาย ยังไม่ทันได้ลืมตา ก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ แต่กลับได้ยินชัดมาก ก้องกังวานอยู่ในหู
“เซียนน้อย ข้าคือหอคุณธรรม”
#วิถีเซียน3p
......................
อี้เทียนเคยบอกว่าจะเป็นขอทานนั่งข้างๆ
ส่วนเหตุผลว่าทำไมตงหวางจึงมาแต่ในร่างนก รอพี่หอคุณธรรมมาเฉลยค่ะ
สามคน เกี่ยวพันกันทุกชาติ จะตัดได้ยังไง ไม่ได้เนอะ นั่งเรือไปสองลำสวยๆ