ตอนที่ 21
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนผมก็คงคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วที่เฮียขุนโผล่มาดักคอพี่ภามราวกับว่ามาตามหึงหวงผม แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ การแสดงออกที่ผิดเพี้ยนไปของเขามันทำให้ผมสงสัยว่าแท้จริงแล้วคนอย่างเฮียขุนมีจุดประสงค์อะไรที่ต้องการจากผมกันแน่
วันนี้เป็นวันเฟรชชี่ซึ่งเราปีหนึ่งมีกิจกรรมวิ่งพบปะคณะต่างๆ ทั่วมหาวิทยาลัยโดยมีพี่ปีสองตามติด ทว่าผมกับเห็นพี่ปีสามที่มีหน้าที่เฝ้าซุ้มอย่างเฮียขุนติดตามมาด้วย
จะให้ไม่คิดเลยก็ไม่ได้ เฮียกุนที่เห็นผมอยู่กับพี่ภามตามปกติเฮียแกก็จะมาขัดนั่นนี่ตลอด แต่หน้าที่นั้นกลับเป็นของเฮียขุนซะอย่างนั้น
ผมไม่อยากถามว่าทำไม ต้องการจะทำอะไร ไม่อยากถามอะไรอีกเพราะไม่อยากเสวนาพาทีกับคนๆ นั้นให้รำคาญใจ ได้แต่สงสัยเองคนเดียวเงียบๆ และแค่เห็นหน้าเขาผมก็รู้สึกหงุดหงิดไปหมดแล้ว
ไม่ใช่แค่เฮียขุนและเฮียกุน แต่พฤติกรรมและวิสัยทัศน์ของไอ้นักก็ดูแปลกไป ก่อนหน้าโกรธพี่ชายของตัวเองแทนผมจนแทบจะต่อยหน้าเขา หลังๆ กลับเออออห่อหมกไปกับเฮียขุนซะทุกอย่าง ดูไม่ค่อยปกป้องผมจากพี่ชายอันตรายของมันเหมือนอย่างเคย
ไม่รู้ไอ้พวกสามพี่น้องจรัสวาณิชย์มันเป็นอะไรกันไปหมด
“ทำกิจกรรมต่อไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวก็พักที่ซุ้มพี่ก่อนเดี๋ยวพี่ดูแลเอง” พี่ภามบอกผม แต่ฟังแล้วความหมายโดยนัยเหมือนกำลังบอกใครอีกคน
“ไม่ต้อง แค่แขนศอกถลอกไม่ตายหรอก ยังไงก็วิ่งต่อไหวอยู่แล้ว” ใครอีกคนที่ว่านั้นก็ปากเสียชวนวาจาไม่น่าฟังเช่นเดิม
“แต่โชไม่ไหวอ่ะ มันหน้ามืดเหมือนจะวูบ แล้วก็รู้สึกเริ่มปวดระบมที่แผลด้วย” ผมบอกพลางยกแขนศอกให้พี่ภามดูผิวรอบๆ ของพลาสเตอร์ซึ่งมันกำลังเปลี่ยนเป็นสีเขียวม่วง
ที่จริงผมก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดจะทำกิจกรรมต่อไม่ไหวหรอก แต่อยากแสดงละครขัดใจใครบางคนที่บอกว่าผมแค่แขนศอกถลอกไม่ถึงตาย เพราะพอได้เห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของเฮียขุนแล้วผมรู้สึกได้ใจอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่ภามด้วยนะครับ”
“เหอะ…รุ่นพี่คณะตัวเองก็ยืนอยู่ทนโท่ยังมีหน้าไปรบกวนรุ่นพี่คณะอื่นอีก”
“ไม่เป็นไรไอ้ขุน ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ว่ารุ่นน้องคณะไหนก็เป็นรุ่นน้องเหมือนกัน โดยเฉพาะรุ่นน้องอย่างโช กูจะดูแลให้อย่างดีเลย”
สถานการณ์ชวนให้คิดไปเองอีกแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอีกคนเป็นเฮียขุน คนที่เขาเกลียดขี้หน้าผมนักหนา…ผมก็คงคิดว่าสถานกาณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือพระเอกและพระรองกำลังแย่งตัวนางเอกอย่างผม
ก็ทั้งสองคนยืนปะทะสายตาและคารมณ์ราวกับจะฟาดฟันกัน…มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญยังไงก็ไม่รู้สิ
“ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวจะพากลับซุ้มคณะ” เฮียขุนพูดขึ้นมาในขณะที่สายตายังจ้องเขม่นพี่ภาม
“ไม่อ่ะ ผมคงเดินกลับไม่ไหว กว่าจะถึงแถมแดดที่ร้อนจัดจนทำให้ไข่สุกได้แบบนี้ผมคงได้เป็นลมกลางทางกันพอดี” ผมจะขัดเขาทุกอย่าง แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดว่าสีหน้าของเขาดูไม่พอใจจริงๆ
“นั่นสิ โชอยู่นี่แหละ” พี่ภามพูดเสริม
“เดินไม่ไหวใช่มะ…ได้”
“โอ้ย…เฮียทำบ้าอะไรเนี่ย”
เฮียขุนละสายตาปะทะจากพี่ภามหันมามองผม จากนั้นเขาก็กระชากแขนผมที่นั่งอยู่อย่างแรงจนผมต้องเด้งตัวยืนขึ้นตามแรงของเขา
“ไอ้ขุน ทำไมมึงต้องทำอะไรแรงๆ วะ มึงก็รู้ว่าโชแขนเจ็บ…ไหนมาให้พี่ดูซิ แขนระบมเพิ่มหรือเปล่าเนี่ย”
โอ้ยย…ไอ้พี่ภาม แขนผมจะระบมเพิ่มเพราะมันเนี่ยแหละ ว่าให้เฮียขุนแต่ตัวเองก็กระชากกลับแรงเหมือนกัน
ทั้งคู่เหมือนไม่ได้สนจริงๆ หรอกว่าผมจะเจ็บ สถานการณ์ที่จ้องเขม่นกันแล้วก็กระชากแขนผมไปมาอยู่นี่คงเพื่อจะเอาชนะกันเท่านั้นน่ะผมว่า
“ปล่อย!” เฮียขุนปัดมือพี่ภามออกจากแขนผม จากนั้นเขาก็ดึงผมจนเซถลาทำให้ใบหน้าไปจุมปุกที่แผงหน้าอกของเขา
“เฮียขุน!” ผมเงยขึ้นมาแล้วเอามืออีกข้างหน้าปัดหน้าปัดตาก่อนตะคอกใส่เขาเสียงดัง ชักจะหงุดหงิดจนเริ่มทนไม่ไหว เห็นแขนผมเป็นเชือกที่ใช้เล่นชักเย่อหรือไง ดึงกันไปมาอยู่นั่นแหละ
“เดินไม่ไหวใช่มั้ย…งั้นก็ไม่ต้องเดิน” ทันทีที่บอกผมแบบนั้นเฮียขุนก็ยกตัวผมขึ้นพาดบ่าตัวเองอย่างง่ายดาย ทำราวกับผมเป็นเพียงหมอนปุยนุ่นที่เบาหวิวอย่างนั้นน่ะ
“ไอ้ขุน ปล่อยโชเดี๋ยวนี้นะ”
“มึงอย่างมายุ่งไอ้ภาม กูบอกแล้วว่ารุ่นน้องคณะกู กูจะดูแลเอง” เขาชี้หน้าพูดกับพี่ภามก่อนจะออกสเต็ปท์เท้าก้าวเดินไป
ส่วนพี่ภามก็ยืนนิ่งทำราวกับว่าคำพูดของเฮียขุนเป็นคำประกาศิตสาปไว้ให้ไม่เดินตามมาช่วยผม ได้แต่มองผมถูกแบกไปอย่างนี้เนี่ยนะ
แต่แน่นอนว่าผมไม่อยู่เฉย ผมทั้งออกแรงดิ้นแล้วก็เอาแต่ทุบกลางหลังคนแบกอย่างแรงหวังจะให้เขาปล่อยแต่กลับไม่เป็นผล เพราะกำลังแขนที่เขาใช้รัดขาผมไว้นั้นดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าผมเยอะ
เฮียขุนแบกผมเดินผ่านสายตาผู้คนที่จ้องมอง…ผมรู้สึกอายที่ตกเป็นเป้าสายตาและผมก็ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเฮียขุนจะทำอะไรแบบนี้…นี่มันไม่ใช่วิสัยของเขา ยิ่งกับผมแล้วด้วย
เขากำลังแบกคนที่ไม่อยากให้ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตเขาอยู่นะ คนที่เขาชอบใช้สายตาและท่าทีผลักไส เขาไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้ เขาไม่อยากให้ผมชอบเขาและผมก็กำลังทำตามที่เขาต้องการ
แต่แล้วทำไมเขากลับกลายเป็นคนที่ต้องเข้ามายุ่งกับผมซะเองด้วยยยยย
น่ารำคาญใจฉิบหายเลยโว้ย…ไอ้คนๆ นี้
“ไอ้นัก…ไอ้นักช่วยกูด้วย!” ผมเรียกไอ้เพื่อนรักในขณะที่เดินผ่าน มันเอาแต่มองผมแล้วยังยิ้มร่าทั้งยังโบกมือให้
แทนที่ไอ้นักจะต้องรีบมาช่วยผมจากการกระทำของพี่มัน แต่นี่มันกลับยืนมองดูด้วยสายตาที่สนับสนุน…มันโกรธที่พี่มันแกล้งผมไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมมันกลับปล่อยให้เพื่อนรักของมันอยู่ในสภาพที่ถูกห้อยหัวโตงเตงแบบนี้ ผมเริ่มรู้สึกเวียนหัวจริงๆ แล้วนะ
ไอ้นัก…รีบมาช่วยกูสิโว้ยยย
“เฮียขุน…ปล่อย!” ผมทั้งทุบทั้งตะโกนสั่งให้เฮียขุนปล่อยผมจนเขาเดินเลยเถิดกลับมาถึงคณะนิติศาสตร์ “ไม่ปล่อยใช่มั้ย” นาทีนั้นทำอะไรไม่ได้มากครับ ถ้าทุบแล้วยังไม่ปล่อย งั้นเจอนี่…
“โอ้ยยย!”
ผมกัดเข้าไปกลางหลังเฮียขุนเต็มแรงจนเขาต้องปล่อยตัวผมลงแล้วรีบเอามือลูบไปที่หลังของตัวเอง สาบานได้ว่าถ้าหากเขายังไม่ปล่อยอีกผมก็จะกัดเขาให้ฝังเขี้ยวจนได้เลือดกันไปเลย
“มันเจ็บนะ” เขาโอดครวญ
“คนอย่างอย่างเฮียเจ็บเป็นด้วยหรือไง เฮียทำแบบนี้ทำไม ผมเคยถามเฮียแล้วใช่มั้ยว่าต้องการอะไรจากผมก็พูดมาเลยดิ เกลียดผม บอกให้ผมเลิกชอบแล้วจะมายุ่งกับผมเองทำไม”
“เลิกชอบกูแล้วไปชอบไอ้ภามเนี่ยนะ”
“มันเรื่องของผมปะ ผมจะชอบใครก็ได้ ผมเลิกชอบเฮียได้มันก็ดีไม่ใช่เหรอ เฮียต้องการแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”
“…” เขาเงียบ
เงียบอีกแล้ว สีหน้าคาดเดาไม่ออก ไม่รู้ว่าคิ้วที่ขมวดเข้าหากันนั้นกำลังครุ่นคิดอะไร คำถามที่ผมถามเขาไปไม่เห็นจะยากตรงไหน ก็ตอบมาสิว่า ก็ดีที่มึงเลิกชอบกูได้ อย่างที่เขาควรจะพูด ทำไมต้องคิดมาก
“ตอบมาว่าเฮียมายุ่มย่ามกับผมทำไม”
“ก็…ก็กูบอกแล้วว่ามึงเป็นรุ่นน้องคณะกู กูก็แค่ทำตามหน้าที่รุ่นพี่ที่ดี”
“คนอย่างเฮียไม่เห็นจำเป็นต้องทำก็ได้นี่ แต่ถ้าห่วงภาพพจน์การเป็นรุ่นพี่นัก ถ้าอย่างนั้น…พรุ่งนี้ผมจะไปย้ายคณะให้มันรู้แล้วรู้รอด เฮียจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาแสร้งทำตัวเป็นรุ่นพี่ที่ดีกับผม และถึงแม้จะยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแต่ถ้าผมย้ายคณะไปอย่างน้อยเฮียก็จะได้ไม่ขัดหูขัดตาเห็นผมเดินในคณะบริหารอีก ผมทำให้ได้เท่านี้แหละ อ่อ เดี๋ยวจะย้ายออกจากหอให้ด้วย โอเคมะ?” พูดจบผมก็พรูลมหายใจออกมายาวตัดความรำคาญใจก่อนจะเดินไป
“ไม่ คือ…แล้วนั่นจะเดินไปไหน กลับไปหาไอ้ภามอย่างนั้นเหรอ” เฮียขุนถามเพราะเห็นผมกำลังเดินกลับไปทางคณะสัตวแพทย์
“จะกลับไปทำกิจกรรมต่อ” ผมหันไปบอกเขา
“ไหนบอกว่าทำต่อไม่ไหว”
“เมื่อกี้ไม่ไหว…แต่ตอนนี้ผมไหวแล้ว” ขัดใจเขาจนวินาทีสุดท้ายและผมคงไม่เดินกลับซุ้มไปกับเขาหรอก
ผมเดินกลับมายังคณะสัตวแพทย์ในขณะที่เพื่อนๆ ทำกิจกรรมเสร็จและกำลังจะถูกปล่อยตัวให้ไปคณะถัดไป ผมจึงรีบเดินพุ่งตรงเข้าไปหาไอ้นักในแถวทันที
“ไอ้นัก…ทำไมมึงไม่ช่วยกู” ผมสอยท้ายทอยไอ้เพื่อนรักโดยที่มันไม่ทันตั้งตัว
“อ้าว เพื่อนรัก แหม…จะให้ช่วยอะไรล่ะ เพื่อนรักไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอะไรซะหน่อย” พูดแบบนี้ทั้งที่มันก็รู้ดี
“การที่กูได้อยู่กับพี่มึงนั่นแหละคืออันตราย มึงไม่สงสัยอะไรเลยหรือไงว่าทำไมจู่ๆ พี่มึงก็เข้าหากู มึงก็ด้วยไอ้นัก มึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่เฮียขุนทิ้งเพื่อนรักของมึงไว้กลางทางไม่ใช่หรือไง ไหนมึงบอกว่าจะไม่แซว ไม่ชงกูให้พี่มึงแล้ว…แล้วนี่มันเรื่องเชี่ยอะไรเนี่ย”
“ฟังกูนะเพื่อน กูคิดว่าตอนนี้เฮียขุนเขากำลังสำนึกผิดกับมึงอยู่ เฮียเขาก็เลยเข้าหาแล้วก็ทำตัวดีๆ กับมึงไง”
เหตุผลฟังขึ้นแต่ไม่ใช่กับเฮียขุน คนอย่างเขาน่ะเหรอจะสำนึกผิดกับผม
“พี่มึงบอกว่าทำไปเพราะเป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ที่ดี เขาก็แค่รักษาภาพพจน์ให้ตัวเอง กูก็เลยบอกเขาไปว่ากูจะย้ายคณะเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยแสร้งเป็นรุ่นพี่ที่ดีกับกู แล้วกูก็จะย้ายออกจากหอด้วยให้สมกับความต้องการของพี่มึงที่ไม่อยากเห็นหน้ากู”
“เชี่ย!” ไอ้นักอุทานออกมาเสียงดังจนเพื่อนรอบข้างหันมามอง “มึงแค่พูดออกไปเพราะหงุดหงิดเฮียขุนใช่ป่ะวะ”
“เออ…แต่กูก็จะทำอย่างที่กูพูด”
“ไม่เอาอ่ะ อย่าทิ้งกูไป เวลาเรียนกูจะนั่งกับใครแล้วเวลานอนกูจะนอนกับใคร กูไม่อยากนอนหอคนเดียว กูกลัวววว” มันพูดพลางเกาะแล้วเอาหัวถูไถแขนของผม
ผมจึงผลักมันออก “มึงเป็นเด็กหรือไง ห๊ะ ไม่รู้แหละ กูพูดยังไงออกไปกูก็จะทำอย่างที่พูด”
“ไอ้โช ทำไมมึงพูดง่ายๆ วะ ย้ายหอไม่เท่าไหร่แต่นี่ย้ายคณะเลยนะเว้ย”
แม้จะไม่ได้ตั้งใจและตั้งตัวที่จะทำอย่างที่พูด แต่เพราะคนที่ผมพูดด้วยคือเฮียขุน ผมจึงจะต้องทำตามที่ว่าและต้องยอมรับผลที่ตามมา แต่ผลที่ผมคิดไม่ถึงเพราะยั้งปากตัวเองไม่ทันคือ…แล้วจะบอกพ่อยังไงว่าจะย้ายหอแล้วก็จะย้ายคณะด้วย ถ้าบอกไปมีหวังพ่อได้บึ่งรถมาหาถึงที่แล้วจับเข่าคุยด้วยความซีเรียสก่อนจะตะโกนใสหน้าผมว่า…ไม่ได้! แน่ๆ เลยครับ
ปีหนึ่งคณะบริหารถูกปล่อยตัวออกมาจากซุ้มสัตวแพทย์ นั่นทำให้ผมเห็นเฮียขุนกำลังยืนคุยกับเฮียกุนอยู่นอกซุ้ม พลันสายตาของเขาจับจ้องมาที่ผมทันทีที่เดินออกมา
นี่เขาไม่ได้กลับซุ้มบริหารแต่เดินตามผมกลับมาที่ซุ้มสัตวแพทย์
จะเอาอะไรอีก ยังไม่พอใจอีกหรือไงที่ผมบอกว่าจะย้ายออกจากคณะแล้วก็ย้ายออกจากหอให้ด้วย
จะให้ผมออกห่างจากชีวิตเขาไกลขนาดไหนถึงจะพอใจ
แล้วผมจะต้องไปไกลขนาดไหนถึงจะตัดความรำคาญใจของตัวเองที่มีให้เขาได้
เมื่อก่อนอยากเข้าใกล้เขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้…ตอนนี้อยากหลีกหนีจากเขาแต่ก็ทำอะไรตามใจตัวเองได้ไม่มากอีก
เฮ้อออ~
“โช เสร็จกิจกรรมแล้วพี่ไปหานะ” พี่ภามตะโกนบอกผมในขณะที่กำลังเดินไปคณะถัดไป
“ครับ” ผมพยักหน้า
แน่นอนว่าพี่ภามตะโกนเสียงดังอยู่พอควร ใครหลายคนได้ยินและหนึ่งในหลายคนนั้นก็คงมีเฮียขุนรวมอยู่ด้วย เขาจึงไม่วายที่จะหันไปมองค้อนพี่ภามก่อนจะหันสายตาดุมามองผม
นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน…ทำไมเฮียขุนต้องดูเหมือนไม่อยากให้ผมชอบพี่ภามหรือเพราะพี่ภามเป็นเพื่อน เขาก็แค่ไม่อยากให้ผมไปยุ่งกับเพื่อนเขา…
แต่ความรู้สึกผมมันไม่ได้บอกแบบนั้น
ปีหนึ่งวิ่งทำกิจกรรมไปอีกหกคณะ โดยมีพี่ปีสามอย่างเฮียขุนตามไปจนจบกิจกรรมและตลอดที่ผมทำกิจกรรมเขาก็ไม่ละเว้นสายตาไปจากผมเลย สายตาดุๆ สายตาที่ดูกังวล สายตาอะไรก็ไม่รู้ที่มีความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกันไปหมด
คนถูกจ้องมองอย่างผมจึงอยากจะบอกว่า…อึดอัดฉิบหาย
จนเราวนกลับมาที่คณะของตัวเอง รุ่นพี่ก็ดูแลโดยการคอยบริการน้ำเย็นๆ ให้ดื่มจากความเหนื่อยแล้วก็แจกแจงถึงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในตอนเย็นคือการประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยและจบลงด้วยคอนเสิร์ต
ซึ่งเวลาก่อนที่จะถึงกิจกรรมนั้นถูกจัดสรรให้เพียงพอกับการปล่อยตัวให้กลับไปบ้านหรือหอ เพื่อจัดการกับสภาพที่เลอะเทอะและกลิ่นเหงื่อไคลของตัวเองจากการทำกิจกรรมตอนกลางวัน แล้วค่อยมาเจอกันอีกทีตอนหนึ่งทุ่มที่หน้าเวทีของกิจกรรม
นั่นเป็นเหตุผลที่พี่ภามบอกกับผมตอนที่เดินออกมาจากซุ้มของคณะเขา
“โช” มาได้ตรงเวลามาก พอผมถูกรุ่นพี่ปล่อยปุ๊ป พี่ภามก็มาทันที “ไปกัน”
“ไปไหนวะ” ไอ้นักที่ยืนอยู่ข้างๆ ถาม
“ก็กลับหอไง” ผมบอกมัน
ที่พี่ภามชวนผมกลับหอด้วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าผมจะได้กลับหอคนเดียว ไอ้นักมันอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพราะต้องไปเตรียมตัวขึ้นประกวด มันได้เตรียมของมาพร้อมแล้วและไม่ต้องกลับไปอาบน้ำผลัดผ้าที่หอ ส่วนเดือนมหาวิทยาลัยปีก่อนอย่างเฮียกุนก็อยู่เตรียมตัวที่มหาวิทยาลัยเช่นกัน
ดังนั้นพี่ภามจึงเสนอตัวมารับผมกลับหอด้วยกันเพราะคิดว่าคงไม่มีใครมาดักคอเขาแล้ว แต่…
“ไม่ได้!” เสียงของจรัสวาณิชย์อีกคนที่ผมไม่ได้เอ่ยถึงและคิดไม่ถึงว่านอกจากเขาจะตามผมไปขัดพี่ภามเวลาอยู่กับผมอย่างหาเหตุผลไม่ได้แล้ว เขายังจะมาขัดไม่ให้ผมกลับกับพี่ภามอีก
“ถึงไอ้นักกับผมจะไม่ได้กลับหอ แต่ยังมีอีกคนที่อยู่หอเดียวกันกับไอ้โชนะครับพี่ภาม” เฮียกุนที่เดินมาด้วยพูดขึ้น
รู้ครับว่าเฮียกุนหมายถึงใคร “แต่ผมจะกลับกับพี่ภาม ไปเถอะพี่ภาม” ผมบอกก่อนจะคว้ามือพี่ภามให้เดินไปด้วยกัน
“ก็บอกว่าไม่ได้!” เฮียขุนคว้ามือของผมไว้แล้วกระชากกลับ
“ไอ้ขุน ปล่อยโช โชเลือกแล้วว่าจะไปกับกู”
“แต่กูไม่ให้ไป…มานี่” เขาบอกกับพี่ภาม จากนั้นแขนทั้งสองข้างก็รวบเอวผมจากข้างหลังแล้วยกผมอุ้มแล้วเดินไป
“ปล่อยนะเว้ย!”
“โช!” ส่วนพี่ภามก็ถูกทั้งไอ้นักและเฮียกุนพร้อมใจกันรวบตัวไว้ไม่ให้ตามมา
“พี่ภาม!” ผมตะโกนในสภาพที่ตัวเองถูกหิ้ว “หลังจบคอนเสิร์ตแล้วโชจะให้คำตอบที่พี่ภามเคยถาม!”
“…” พี่ภามพยักหน้าแล้วยิ้มให้
สถานการณ์นี้ดูราวกับฉากในละครที่พระเอกและนางเอกถูกจับให้พรากจากกันยังไงยังงั้น…และเป็นสถานการณ์ที่ผมหงุดหงิดกับไอ้สามพี่น้องจรัสวาณิชย์นี่เหลือเกิน
“ตัดสินใจแล้วสินะ” ผมได้ยินเสียงงึมงำอะไรไม่รู้จากไอ้คนที่กำลังอุ้มผม
“ก็บอกให้ปล่อยไงวะ!” ผมแหกปากตะโกนพลางแกะมือที่รัดเอวผมแน่น
“ถ้าไม่อายคนก็เงียบแล้วจะปล่อย แต่ต้องเดินตามมาดีๆ”
พอเฮียขุนพูดออกมาแบบนั้นผมจึงหุบปากลงทันทีแล้วหันมองผู้คนที่กำลังมองเราเป็นจุดสนใจเดียวกัน “งั้นก็ปล่อย” ผมบอก
“พูดมาก่อนว่าจะเดินตามมาดีๆ”
ทำไมผมต้องทำตามข้อต่อรองของเขาด้วยวะ “เออ จะเดินตามไปดีๆ”
เฮียกุนจึงปล่อยผมลงและดูเหมือนเขาจะรู้ทัน…เพียงแค่ผมก้าวเท้าทำท่าจะวิ่งเท่านั้นแหละ เขาก็คว้าหมับที่ข้อมือผมแน่นแล้วก็ลากจูงให้เดินตามเขาไป
ผมใช้เวลาที่มีไม่กี่นาทีตลอดที่นั่งรถจนถึงหอไปกับการครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้คนขับที่นั่งข้างๆ ดูไม่ออกเลยว่ากำลังร้ายหรือดี แต่ที่ดูออกและมั่นใจคือเขากำลังพยายามกันพี่ภามออกจากผม
ซึ่งผมก็ไม่รู้อีกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่
“ให้เวลายี่สิบนาทีแล้วเจอกันหน้าห้อง”
ผมเปิดประตูเข้าห้องมาโดยไม่ได้ตอบรับหรือแม้แต่พยักหน้ากับประโยคที่เฮียขุนบอก ไม่สิ นั่นมันประโยคคำสั่งชัดๆ
ยี่สิบนาทีเหรอ…หึ นานไปมั้ง ผมจะใช้เวลาให้เร็วก่อนยี่สิบนาทีแล้วก็ออกไปก่อนเฮียขุน ผมจะได้ไม่ต้องเจอแล้วก็จะไม่นั่งรถกลับมหาวิทยาลัยไปกับเขาแน่
ผมถึงขนาดเอามือถือมาจับเวลาไว้ ถอดเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำ อาบน้ำเสร็จแล้วก็ใส่เสื้อผ้า ทั้งหมดนี้ผมจะพยายามใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น หรืออย่างมากก็สักสิบสองถึงสิบสามนาที จากนั้นก็จะเปิดประตูออกไปแล้วเดินย่องให้เบาที่สุด
แต่ว่า…
ก๊อกๆ
ทันทีที่ผมก้าวออกมาจากห้องน้ำและเพิ่งใช้เวลาไปทั้งหมดแค่แปดนาทีเท่านั้น
ผมได้เดินไปที่ประตูเพื่อส่องดูว่าใครมาเคาะ
เฮียขุน!
เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงยีนส์สีเข้ม ปลายผมดูเปียกชื้นบ่งบอกว่าผ่านการอาบน้ำมาเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าวิ่งผ่านน้ำหรือไงวะ ทำไมถึงได้เสร็จเร็วนัก…ไหนบอกว่าให้เวลายี่สิบนาทีค่อยเจอกันหน้าห้องแล้วเขาจะรีบมาเคาะประตูห้องผมทำไม
“ผมยังไม่เสร็จ!” ผมตะโกนบอกออกไป
“จะเข้าไปรอในห้อง” เฮียขุนตะโกนกลับเข้ามา
นี่มันอะไรวะเนี่ย…จะเข้ามารอห้องผมเพื่ออะไรแล้วทำไมไม่นั่งรอห้องตัวเอง จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เฮียขุนมาเคาะประตูห้องผมแล้วยังบอกว่าจะเข้ามาในห้องผมอีก
แล้วผมควรจะทำยังไง “เฮียรออยู่ข้างนอกนั่นแหละ ผมแต่งตัวแป๊ปเดียวก็เสร็จแล้ว”
“ก็บอกว่าจะเข้าไปรอข้างใน เปิดประตู!” แถมมาใช้ประโยคคำสั่งกับผมอีก
“ไม่เปิด!”
“ถ้าไม่เปิดจะพังเข้าไป เปิดเดี๋ยวนี้!” เฮียขุนพูดพร้อมกับเคาะประตูรัวๆ
ผมสับสนมากกับสถานการณ์ที่เจออยู่นี้ ราวกับว่ามีโรคจิตพยายามเคาะห้องเพื่อที่จะเข้ามาในห้องผมให้ได้และโรคจิตที่ว่านั้นก็คือเฮียขุน ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไรจากผม
ด้วยความรำคาญกับเสียงประตูที่ดังถี่ๆ ผมจึงเปิดประตูให้เฮียขุนเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจและด้วยสภาพที่ไม่เต็มตัวเพราะมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวที่ปิดบังส่วนล่างของผมไว้เท่านั้น
เฮียขุนใช้สายตาเรียบนิ่งตรวจสภาพผมตั้งแต่หัวจรดเท้า…นี่ไม่ได้ตาฝาดหรือมองผิดใช่มั้ยว่าผมเห็นเฮียขุนแอบอมยิ้มตอนเดินเข้ามาด้วย
พอเขาเข้ามาอยู่ในห้องผมก็รู้สึกอึดอัดและเกร็งแปลกๆ และเพิ่งมารู้สึกวาบหวิวตรงท่อนบนที่เปลือยเปล่าเพราะอีกคนที่อยู่ในห้องยังคงเอาแต่จ้องมองไม่วางตา
ผมจึงรีบเดินไปที่ตู้แล้วจัดแจงเสื้อผ้าเอาเข้าไปใส่ในห้องน้ำ
กลายเป็นว่าผมเสร็จช้ากว่าเฮียขุนทั้งๆ ที่ผมอุตส่าห์กำหนดเวลาให้ตัวเองเร็วกว่าที่เขาบอก และไหนๆ แผนการก็ถูกเปลี่ยนแล้ว ผมจึงหยิบเอาไดร์เป่าผมออกมาทำให้ผมตัวเองแห้งและเซตให้เรียบร้อยที่จะก่อนออกไป
ในขณะที่กำลังเป่าผมอยู่ เฮียขุนก็เอาแต่มองผมอยู่นั่น วันนี้โดนเขามองทั้งวี่วันแต่ผมก็ยังรู้สึกอึดอัดและไม่ชินกับสายตาของคนๆ นี้อยู่ดี เลยจะคิดซะว่าผมได้เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไว้ในห้องแล้วมันก็กำลังนั่งจ้องผมอยู่ละกัน
“เจ็บอ่ะ”
ผมได้ยินเฮียขุนพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เพราะเสียงของไดร์เป่าผมทำให้ผมได้ยินไม่ถนัดนักจึงกดปิดแล้วหันไปมอง
หรือผมหูแว่วไปเอง พอหันไปมองก็ไม่เห็นว่าเขาจะบอกหรือพูดอะไร และเฮียขุนก็ยังคงอยู่ในรีแอคชั่นท่าเดิมคือจ้องมอง…ผมจึงหันมาเปิดไดร์เป่าผมอีกครั้ง
“เจ็บ”
ผมได้ยินอีกแล้ว เฮียขุนพูดอะไรสักอย่าง ผมปิดไดร์เป่าผมแล้วหันไปมองเขาอีกรอบ “เฮียพูดอะไร” ผมขมวดคิ้วถาม
“พูดว่าเจ็บ” เขาบอก
“เจ็บอะไรของเฮีย”
“ก็ที่กัดข้างหลัง”
“สมน้ำหน้า บอกให้ปล่อยแล้วไม่ปล่อยเอง” ผมหันหน้ากลับมาพูดกับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็เปิดไดร์เป่าผมต่อโดยไม่ได้สนใจที่เขาบอกเมื่อครู่มากนัก
“ก็บอกว่าเจ็บ”
“เชี่ย!” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจที่เห็นเฮียขุนมายืนอยู่ข้างหลังจากในกระจกที่ส่องอยู่
“มันเจ็บ” เขายังคงบอกผมคำเดิมราวกับว่ากำลังเรียกร้องความสนใจ
“แล้วไง เฮียมาบอกผมทำไม” ผมหันหน้าไปหาเขาแล้วผลักอกเขาออกไป
“ตอนอาบน้ำส่องกระจกแล้วหันหลังดู มันบวมเป็นรอยฟันแล้วก็ช้ำ ตอนนี้มันเจ็บมากแล้วก็ไม่มียาทาด้วย”
“…” หลังจากที่งุดๆ กับการเก็บไดร์เป่าผมเสร็จ ผมก็เงยหน้าขึ้นมามองคนที่ผมไม่คิดว่าจะมาทำตัวอ่อนแอต่อหน้าผม
แล้วที่พูดเนี่ย ต้องการจะให้ผมรู้สึกผิดหรือว่าอะไร
แล้วทำไมพอฟังเขาพูดแบบนั้นแล้วผมถึงต้องอยากดูข้างหลังของเขาด้วย
“มียามั้ย ทาให้หน่อย”
ว่าไงนะ…ทั้งงุนงงและสงสัย ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันที่ขุนศึกมาขอให้โชกุนทายาให้
มันเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้าผมเนี่ย
การได้อยู่กับเฮียขุนมันเป็นอะไรที่ผมไม่ไว้ใจและระแวงไปหมดว่าเขาจะมาไม้ไหน
ถึงอย่างนั้นคนอย่างผมก็ไม่ได้ใจร้ายแบบเขา ถึงคนๆ นี้จะกลายเป็นคนที่ผมเห็นหน้าแล้วรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญตาไปแล้ว แต่ผมก็จะรับผิดชอบที่ทำให้เขาเจ็บโดยการทายาให้ก็ได้
ผมเลิกเสื้อของคนที่นั่งหันหลังให้ผมขึ้น
อืม…หนักเอาการ ผมเบ้ปากสมน้ำหน้าหลังจากได้เห็นรอยฟันของตัวเองฝังอยู่บนแผ่นหลังขาวๆ ของเฮียขุน ไม่ได้แปลกใจหรือตกใจกับรอยที่มันช้ำมาก เพราะตอนที่กัดเขาผมก็กดเขี้ยวลงไปหนักพอควร ผมจึงพอเดาสภาพออกว่าผลมันจะเป็นแบบนี้
ยังถือว่าหนังด้านพอควรที่กัดแรงขนาดนั้นแล้วเลือดไม่ออก สำหรับเขาแล้วผมว่านี่ยังถือว่าน้อยไปด้วยช้ำ ใจเสาะฉิบหาย แค่นี้ทำเป็นมาบ่นว่าเจ็บอยู่ได้
ที่ผ่านมาผมไม่เจ็บมากกว่าหรือไง ถึงแม้จะไม่ได้โดนทำร้ายร่างกายสาหัสก็เถอะ แต่เจ็บกายของเฮียคงไม่สู้กับความเจ็บปวดใจของผมหรอก
ผมป้ายยาแล้วก็ถูวนๆ สองสามที “เสร็จแล้ว” ผมบอกแล้วก็เอาเสื้อลงให้เขา
“ทำไมเสร็จไว” เฮียขุนหันหน้ามาถาม
“รอยเท่ามดกัด จะทาอะไรมากมาย”
“เดี๋ยว” ผมปิดฝายาแล้วก็กำลังทำท่าจะลุกเอายาไปเก็บแต่กลับถูกเฮียขุนดึงแขนให้นั่งลงท่าเดิม
เขาหันหน้ามาหาผม
“เฮียจะทำอะไร!” ผมตกใจที่จู่ๆ เฮียขุนก็ค่อยๆ ก้มหน้าลงมาซุกที่ไหล่ของผม “ทำบ้าอะไรอีก!” ผมผลักเขา ส่วนตัวเองก็ขยับก้นถอดกรูดออกมา
“…” เขาเงยหน้าขึ้นมามอง แววตาชัดเจนที่เขาใช้จ้องผมตอนนี้ ผมดูออก…มันทั้งอ่อนโยนและเว้าวอน แต่เพื่ออะไรกัน?
“เฮียทำแบบนี้ทำไม บอกมาเลยดีกว่าว่าต้องการอะไรจากผมกันแน่ คนใจร้ายและเกลียดผมอย่างเฮีย มาเข้าใกล้ มาทำตัวดีกับผมเพื่ออะไร”
“ก็แค่…อยากจะบอกว่า…”
“…” ผมมองและตั้งใจฟังสิ่งที่เขาจะพูดออกมา
“ไม่ต้องย้ายคณะ ไม่ต้องย้ายหอไปไหนทั้งนั้น แล้วก็…”
“แล้วก็อะไร?”
“ไม่ชอบไอ้ภามได้มั้ย”-----TBC-----