ตอนที่ 23
หลังจากที่แม็กกี้กลับมา ถุงของที่ถูกหิ้วมาพะรุงพะรังก็ถูกจัดวางไว้เป็นสัดส่วน อาหารคาวบางส่วนแม็กกี้นำมันไปเก็บไว้ในตู้เย็น ส่วนพวกขนมหรืออาหารแห้งก็จะเอาวางไว้บนโต๊ะไม้
ไม้ที่ได้ยินเสียงตะกุกตะกักจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เผลองีบไปอีกรอบ พอหันไปมองดูขนมและของกินที่แม็กกี้หิ้วกลับมา เขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะส่วนใหญ่มีตัวของโปรดของเขาทั้งนั้น ที่ต้องบอกว่าแปลกเพราะของโปรดของไม้กลับเป็นของที่แม็กกี้ไม่ชอบเลยสักนิด
“มึงซื้อทุเรียนมาทำไม" ไม้เอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะทุเรียนถือเป็นผลไม้ที่แม็กกี้ไม้ชอบเอามาก ๆ
“ก็เห็นมึงชอบกิน... แต่ไม่เคยได้กินสักทีเวลาที่อยู่กับกู" แม็กกี้ตอบออกมาก่อนจะหยิบถุงทีเรียนที่มัดปากถุงอย่างมิดชิดเก็บเอาไว้ในตู้เย็น
“แต่มึงเกลียดทุเรียน" ไม้แย้ง
“เออ... กูเกลียด ซื้อมาแล้วจะให้เอาไปทิ้งไหมล่ะ ถามมากเดี๋ยวก็ไม่ต้องกินซะเลย" แม็กกี้บ่น ...ที่เขาซื้อทุเรียนมาก็แค่ต้องการจะเอาใจไม้ก็เท่านั้น ถ้ามีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาพอจะทำได้ เขาก็ควรที่จะทำในตอนนี้ ก่อนที่มันจะถึงวันที่สายเกินไป
“เอ้า! บ่นอีก" ไม้แสร้งทำน้ำเสียงงอนก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วโอบกอดร่างของคู่หูจากทางด้านหลัง "ขอบใจนะ"
ทางด้านของมิวส์กับน้องเปอร์ หลังจากที่มาปรากฏตัวที่หน้าศาลพระภูมิก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในศาลทันที เพราะไม่รู้จะไปมุดหัวอยู่ที่ไหน จะอยู่บนห้องก็ไม่ได้ จะอยู่ตามซอกตามหลืบของหอมันก็ไม่น่าอยู่สักเท่าไหร่ สู้ทนฟังคนแก่อย่างลุงเจ้าที่บ่นนู่นบ่นนี่แต่ได้อยู่ในที่สบาย ๆ มีลมโชยมาตลอดดีกว่าไปอยู่ในที่ทึมทึบตั้งหลายเท่า
“เอ้า! พวกเจ้ามีธุระอะไรกันรึ" พอเห็นร่างของวิญญาณกลัวคนกับวิญญาณเด็กเดินเข้ามาท่านเจ้าที่ก็เอ่ยถามทันที
“ห้องไม่ว่างน่ะท่านลุง พอดีเพื่อนของเจ้านายกลับมาอยู่ที่หอ" พูดจบก็ถอนหายใจออกมาทันที
“พี่มิวส์เป็นอะไรครับ" น้องเปอร์ที่เห็นผู้ที่มีบุญคุณช่วยให้ตนเองหลุดพ้นจากห้องสมุดถอนหายใจพร้อมกับมีสีหน้าที่ห่อเหี่ยวก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“เปล่าครับ" มิวส์ตอบออกมา
“เออ... วันนี้พวกเจ้าว่างก็ดีแล้ว ข้าคิดว่าบางทีการที่พวกเจ้ามีวิชาวิญญาณติดตัวไว้บ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน" ลุงเจ้าที่เอ่ยแทรกขึ้น ในขณะที่วิญญาณสองตนกำลังปลอบโยนกันราวกับน้องชายที่เป็นห่วงพี่ชายสุดขั้วหัวใจ
“ท่านลุงหมายความว่าไง" มิวส์เอ่ยถามเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านเจ้าที่พูด ...วิชาวิญญาณมันคืออะไร มันจะเหมือนพวกวิชาคณิตศาสตร์ วิชาสังคมศึกษา หรือวิชาพละศึกษาต่าง ๆ นานาที่เขาเคยเรียนตอนสมัยมัธยมหรือเปล่านะ ถ้าต้องไปเรียนอะไรแบบนั้นขอแกล้งหลับก่อนดีกว่า
“โอ๊ย!” ยังแกล้งหลับไม่ทันไรมิวส์ก็ต้องเอ่ยร้องเสียงดังลั่น เพราะไม้เท้าของท่านเจ้าที่ที่เคาะกบาลของวิญญาณที่แกล้งหลับอย่างเขา ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและเหมือนกับว่าจะมีมะกรูดลูกโตนูนขึ้นมาจาะบริเวณที่โดนเคาะด้วย
“ท่านลุงคิดจะทำอะไรผม!!!" พอลูบศีรษะตรงที่นูนเป็นลูกกรูดเสร็จก็หันไปร้องปะท้วงทันที
“ก็ข้าจะสอนวิชาที่ทำให้เจ้ากับมนุษย์สามารถสัมผัสตัวกันได้ไงเล่า" ลุงเจ้าที่เอ่ยออกมา "เพราะเจ้าเคยบ่นว่าสามารถหยิบจับสิ่งของได้บางอย่างเท่านั้น และกับมนุษย์ก็สามารถสัมผัสได้เป็นบางเวลา ข้าคิดว่าถ้าเจ้าจับอะไรได้เยอะกว่านี้มันก็น่าจะมีประโยชน์กับพ่อหนุ่มนั่น"
“เอ๋? ท่านลุงรู้เหรอว่าต้องทำยังไง" มิวส์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“รู้สิ! และข้าก็รู้ด้วยว่าที่เอ็งเคยบ่นเวลาที่โดนไอ้หนุ่มหน้าหล่อนั่นทำร้ายบ่อย ๆ ทำไมไอ้หนุ่มนั่นถึงสัมผัสตัวเจ้าได้" ท่านเจ้าที่พูดไปพลางลูบเคราที่ยาวรุงรังไปด้วย
“ท่านลุงรู้ มันเพราะอะไร แล้วทำไมท่านลุงถึงไม่เคยบอกผม" คราวหน้ามิวส์เอ่ยด้วยความสนใจ
“ก็เพราะเวลาที่มนุษย์มีจิตโกรธแค้น ความโกรธจะส่งผลทำให้พลังธาตุในตัวสามารถสัมผัสกับสิ่งที่มองไม่เห็นได้ เช่นเดียวกันหากมนุษย์มีจิตที่อ่อนไหวขั้นรุนแรง มนุษย์ก็จะสามารถสัมผัสกับวิญญาณได้เหมือนกัน มันก็เหมือนกับที่พวกมนุษย์จิตตกสามารถมองเห็นวิญญาณนั่นแหละ"
“อย่างงี้นี่เอง" มิวส์พยักหน้าอย่างหงึก ๆ อย่าเข้าใจ
มิวส์ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมทุกครั้งที่เจ้านายโกรธถึงได้โดนเจ้านายทารุณกรรมทุกครั้ง และจากที่ท่านเจ้าที่บอกจะสอนให้เขาสามารถสัมผัสตัวมนุษย์ได้ คราวนี้มิวส์ก็มีโอกาสจะได้แก้แค้นเจ้านายสุดหล่ออย่างสบายใจแล้วใช่ไหม "งั้นรีบฝึกกันเถอะท่านลุง ข้าต้องทำยังไงบ้าง"
“บ๊ะ! ไอ้นี่ ใจร้อนเป็นวัยรุ่นไปได้ ทีเมื่อกี้ยังแกล้งหลับอยู่เลย นี่เจ้ากำลังคิดจะใช้วิชาความรู้ที่ข้าตั้งใจจะสอนไปทำอะไรชั่ว ๆ หรือเปล่า" ท่านเจ้าที่ยักคิ้วด้วยความสงสัย
“เปล่านี่ครับ" มิวส์รีบโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณการปฏิเสธเต็มที่ "ก็เผื่อเจ้านายมีไรให้ช่วย ผมก็จะได้ช่วยเต็มที่ไง"
“ดี... งั้นก็รีบเข้าไปในห้องรับแขกกันเลย" ท่านเจ้าที่เอ่ยกับมิวส์ก่อนจะหันไปมองวิญญาณเด็ก "เจ้าก็ด้วยนะไอ้ตัวเล็ก"
“ครับ" น้องเปอร์ตอบออกมาก่อนจะเดินตามวิญญาณผู้พี่เข้าไปในศาลพระภูมิ
ก่อนจะเริ่มการฝึก ท่านเจ้าที่ได้สั่งให้วิญญาณสองตนนั่งสมาธิและห้ามวอกแวก ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรต้องห้ามลืมตา ห้ามเอ่ยปากถาม และห้ามกระดุกกระดิก และในระหว่างนั้นท่านเจ้าที่จะเตรียมของที่ใช้ในการฝึก ทว่าพอได้ยินเสียงฝีเท้าของท่านเจ้าที่ที่เดินไปเดินมาพร้อมกับถืออะไรบางอย่างที่มีกลิ่นหอมหวรรัญจวนใจ มันก็ทำให้มิวส์อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมาดู และผลก็คือ...
“โอ๊ย...” มิวส์เอ่ยร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อไม้เท้าในมือของท่านเจ้าที่ถูกฟาดไปที่กลางหลัง
“ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามลืมตา" ท่านเจ้าที่บ่นก่อนจะเดินหันหลังจากไป แถมยังพูดทิ้งท้ายขู่ให้วิญญาณหน่อมแน้มอย่างมิวส์รู้สึกหวาดผวาด้วย "ถ้าเจ้ายังขืนลืมตาหรือกระดุกกระดิกอีก ข้าจะออกแรงฟาดให้แรงกว่าเมื่อครู่นี้ร้อยเท่า"
หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ท่านเจ้าที่ต้องอารมณ์เสียอีกเลย เมื่อลูกศิษย์ผู้อยู่ในโอวาททั้งสองต่างทำใจนั่งสมาธิและอยู่ในความสงบ จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เมื่อท่านเจ้าที่เห็นว่าน่าจะหยุดทำสมาธิได้แล้ว ท่านเจ้าที่ก็เลยปลุกลูกศิษย์ทั้งสอง
“เอ้า... ลืมตาได้แล้ว"
สิ้นเสียงของท่านเจ้าที่ วิญญาณเด็กก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาผิดกลับวิญญาณอีกตนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่ดวงตายังคงปิดสนิทไม่มีการตอบสนองใด ๆ
“เจ้ามิวส์ ข้าบอกให้ลืมตาได้แล้ว" ท่านเจ้าที่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่ามิวส์ยังคงอยู่ในสมาธิ แต่เหมือนว่าท่านเจ้าที่จะเข้าใจผิด เพราะพอเอาไม้เท้าไปแหย่ที่หัวไหล่ ล่างของมิวส์ก็เอนลงก่อนจะล้มฟุบไปกับพื้นตามแรงดันของไม้เท้าท่านเจ้าที่
“หน็อย!!! เจ้ากล้าหลับเรอะ" ท่านเจ้าที่ตวาดเสียงดังลั่น ก่อนจะยกไม้เท้าขึ้นสูงแล้วฟาดมันลงไปที่กลางหลังของมิวส์อย่างแรง และผลจากการฟาดก็
“โอ๊ยยย!!!” วิญญาณที่เผลอหลับร้องเสียงดังลั่นก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ววิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปตามมุมต่าง ๆ เพราะภาพใบหน้ายามโกรธของท่านเจ้าที่ช่างน่ากลัวกว่ามนุษย์หน้าไหนที่เขาเคยเจอเสียจริง ...แต่ขอเว้นเจ้านายไว้คนหนึ่งนะ เพราะหมอนั่นเวลาโกรธน่ากลัวกว่าท่านเจ้าที่ร้อยเท่าพันเท่าเชียวล่ะ
“ออกมานี่ มานั่งที่เดิม" ท่านเจ้าที่ทำเสียงดุเมื่อเห็นมิวส์หลบอยู่หลังประตูห้อง จากนั้นผู้ที่โดนดุก็ค่อย ๆ เดินคอตกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ โดยที่มีน้องเปอร์มองตามด้วยความชอบใจ
“เอาล่ะ ต่อไปข้าจะให้พวกเจ้าลองจับไม้กวาด" ท่านเจ้าที่เอ่ยขึ้น
“โถ่... แค่ไม้กวาดเอง ของเบา ๆ ไร้น้ำหนักแบบนี้วิญญาณตนไหนก็จับได้" มิวส์เอ่ยขึ้น เพราะตั้งแต่ที่เขาสิ้นลมหายใจแล้วกลายเป็นวิญญาณติดที่ ของใช้ที่อยู่ในห้องเขาก็แอบลองหยิบจับทุกวัน ถ้าน้ำหนักไม่เกิน 3 กิโลกรัม ส่วนใหญ่เขาก็จะสัมผัสมันได้ทั้งนั้น
ส่วนถ้าของใหญ่หน่อย อย่างตู้เสื้อผ้าหรือเตียงนอน แม้จะไม่สามารถอุ้มได้ แต่ก็สามารถทำให้ร่างกายสามารถไปนอนหนุนหรือนั่งพิงได้สบาย ๆ อยู่แล้ว
“เออ... ยังไงก็ต้องฝึกทีละขั้นตอน จะได้รู้ด้วยว่าไอ้หนูนั่นด้วยว่าจับอะไรได้บ้าง" ท่านเจ้าที่ว่า พอหันไปมองวิญญาณเด็กที่จับไม้กวาดสำเร็จก็เอ่ยปากชม ก่อนจะสั่งให้มิวส์จับบ้างจากนั้นก็... “พวกเจ้าคงเคยจับของ แต่ไม่เคยจับอะไรนาน ๆ ใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้น การฝึกขั้นต่อไป พวกเจ้าต้องจับไม้กวาดนี่และกวาดเศษฝุ่นภายในศาลพระภูมินี้ให้สะอาดที่สุด"
“กวาด?” มิวส์ทวนคำ ก่อนจะหันไปมองท่านเจ้าที่ด้วยสายตาที่มีเลศนัย "จะหลอกใช้ข้ากับเด็กเหรอท่านลุง"
“หึ! ถ้าเจ้าสามารถทำสำเร็จ ข้าจะให้กินนั่น" ท่านเจ้าที่คลี่ยิ้มออกมา เพราะรู้อยู่แล้วว่าไอ้หน่อมแน้มมันต้องสงสัยในการฝึกแน่ ๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีของรางวัลจากการฝึกเสร็จสักหน่อย ซึ่งนั่นก็คือพิซซ่าในกล่องที่มีเด็กในหอพักนำมาถวายเมื่อเช้านี้
พอเห็นของรางวัลมิวส์ก็ผงกหัวรับก่อนที่จะทำตามคำสั่งของท่านเจ้าที่อย่างว่าง่าย
มิวส์กับน้องเปอร์แบ่งกันกวาดศาลพระภูมิคนละชั้น เนื่องจากศาลพระภูมิหลังนี้เป็นศาลพระภูมิหลังใหญ่ที่มีจำนวนห้องหลายห้องแถมยังมีตั้งสองชั้น มิวส์เลยอาสารับกวาดชั้นล่างที่มีพื้นที่บริเวณกว้างกว่าและสกปรกมากกว่าเนื่องจากมีการเดินเข้าเดินออกบ่อยกว่า
เวลาผ่านไป 5 นาทีแรก การกวาดบ้านไม่มีปัญหาอะไร แต่ทว่าพอใกล้จะกวาดเสร็จ มือที่เคยจับไม้กวาดอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรกลับค่อย ๆ อ่อนแรงและเหมือนกับว่าจะจับมันต่อไปไม่ไหว
มิวส์พยายามเกร็งนิ้วมือเพื่อจับมัน แต่ท้ายที่สุด ไม้กวาดก็หลุดออกจากมือและตกไปกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดังทำให้ท่านเจ้าที่ต้องหันมามอง
“มันเกิดอะไรขึ้น" มิวส์บ่นอุบอิบ
“หึ ๆ" ท่านเจ้าที่หัวเราะอย่างมีเลศนัยก่อนจะสาวเท้าเข้ามาหา "จิตวิญญาณของเจ้ายังไม่เข้มแข็งพอที่จะสัมผัสอะไรได้นาน ๆ ยังไงล่ะ"
“แล้วผมต้องทำยังไงบ้างครับ" สิ้นเสียงของมิวส์ เสียงวิ่งกุกกัก ๆ ที่ดังมาจากบันไดปรากฏร่างของวิญญาณเด็กที่กำลังวิ่งลงมาด้วยความตกใจ
“ท่านปู่... ผมจับไม้กวาดไม่ได้แล้วครับ" น้องเปอร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะในทีแรกเขาสามารถจับไม้กวาดได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่ทว่าพอเวลาผ่านไปสักพัก ไม้กวาดก็กลับหลุดมือไปเสียดื้อ ๆ แถมพยายามจะจับใหม่ตั้งนานก็จับไม่ได้สักที
“อืม... เจ้าลงมาก็ดีแล้ว ข้าจะบอกวิธีที่ทำให้พวกเจ้าทั้งสองมีจิตที่แข็งแกร่งขึ้นจนสามารถจับต้องอะไรได้ตามใจชอบนานแค่ไหนก็ได้เดี๋ยวนี้แหละ" ท่านเจ้าที่เอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปมองลูกศิษย์ทั้งสอง "พวกเจ้าต้องการที่จะรับการฝึกหรือไม่"
“ครับ" น้องเปอร์ตอบอย่างเต็มใจ ในขณะที่มิวส์กำลังลังเลใจว่าจะตอบรับดีหรือไม่ เพราะการฝึกกับท่านเจ้าที่เกิดทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาแล้วต้องโดนไม้เท้าตีมันก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าไม่ฝึกก็จะกลั่นแกล้งเจ้านายไม่ได้เหมือน
พอคิดถึงเหตุผลข้อหลัง มิวส์ก็ตัดสินใจตอบรับแต่โดยดี "ครับ"
“ดีมาก เอาล่ะ เริ่มแรกพวกเจ้าก็ต้องทำสมาธิ... แล้วเพ่งเล็งจิตทั้งหมดไปกับสิ่งของที่ต้องการจะจับ เริ่มแรกอาจจะต้องทำสมาธิมากหน่อย... แต่หลังจากที่พวกเจ้าฝึกบ่อย ๆ ความเคยชินจะทำให้เจ้าทั้งสองคนสามารถจับต้องอะไรได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องออกแรงเพ่งสมาธิเลย"
สิ้นเสียงของท่านเจ้าที่ วันนั้นทั้งวันมิวส์กับน้องเปอร์ก็หมดตัวอยู่แต่ในศาลพระภูมิเพื่อฝึกจับสิ่งของ โดยไม่ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันที่ด้านนอกศาลพระภูมิเลยสักนิด เพราะมิวส์ต้องการฝึกจับต้องสิ่งของให้ได้ไวที่สุดก่อนที่เจ้านายของเขาจะต้องไปรับน้อง
เหมือนว่าการฝึกหนักของมิวส์จะได้ผล เพราะคืนก่อนวันรับน้อง มิวส์สามารถจับต้องสิ่งของได้ตามใจชอบ แถมพอไปลองแต๊ะอั๋งที่ขาอ่อนเจ้านายในตอนที่เจ้านายหลับเขาก็สามารถจับต้องได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ทำให้มิวส์คลี่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจกับผลของการฝึกหนักและเขาก็หวังว่าความสามารถนี้จะทำให้เขามีประโยชน์ต่อเจ้านายมากยิ่งขึ้น และในขณะที่มิวส์กำลังจับขาอ่อนเจ้านายอยู่นั้นอาจเป็นเพราะมือที่ซุกซนเกินไปเลยทำให้เจ้านายขี้เซาอย่างไม้ดันตื่นขึ้นมากลางดึก
“ไอ้มิวส์" ไม้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดแต่มันก็ดังพอที่จะทำให้วิญญาณอย่างมิวส์ได้ยิน
“ครับ" มิวส์ตอบออกมาพลางขมวดคิ้วสงสัยว่าเพราะออะไรไม้ถึงต้องรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เพราะปกติปลุกให้ตายอย่างไรก็ไม่เคยตื่นง่าย ๆ สักที พอแอบแต๊ะอั๋งนิดเดียวดันตื่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“มึงทำอะไร"
“ผม เอ่อ...” มิวส์ตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก จะบอกว่าแต๊ะอั๋งเจ้านายมันก็ประเจิดประเจ้อเกินไป "อ๋อ ผมจะมาขอให้เจ้านายพาผมไปรับน้องด้วยพรุ่งนี้"
พูดจบก็ทำสายตาบ้องแบ๊วแถมยังกะพริบปริบ ๆ เป็นจังหวะเพื่อออดอ้อนเจ้านายสุดหล่อ "นะครับเจ้านาย"
เห็นดังนั้นไม้ก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเอือมระอา จะเถียงกลับก็ไม่ได้เสียด้วยเพราะเดี๋ยวแม็กกี้จะตื่น ท้ายที่สุดไม้ก็เลยต้องจำใจตอบตกลงออกไป...
“เออ" ไม้พยักหน้ารับ "แต่ตอนนี้มึงลงไปที่ศาลพระภูมิเลยไป"
“เจ้านายก็...ไม่เห็นต้องไล่เลย รู้น่าว่าเจ้านายอยากทำอะไรสนุก ๆ กับแม็กกี้ งั้นพรุ่งนี้เช้าผมจะรออยู่ข้างล่างเลยนะครับ" พูดจบก็ยิ้มแก้มปริแถมยังรีบหายตัวลงไปในศาลพระภูมิทันทีเพราะไม่อยากให้เจ้านายมีโอกาสเปิดปากด่าได้ทัน
'ไอ้วิญญาณเจ้าเล่ห์เอ๊ย' ไม้ได้แต่บ่นในใจพลางถอนหายใจด้วยความขัดใจที่ไอ้วิญญาณนั่นมันคิดแต่เรื่องอย่างว่า
จบตอน