ปล.ด้วยรักและคิดถึง#ภาคพิเศษ นิวกับโจ้ บ่น บ่น บ่น
“เฮ้ยยยยยยยยยยย โตขึ้นแล้วนี่หว่า โตขึ้นเยอะเลยนะเฮ้ยยยย จำพ่อได้ป่าว กุปปี้ จำได้มั้ยเนี่ยไอ้ตัวเล็ก”
มันตัวเล็กซะที่ไหนล่ะ ตัวแม่งใหญ่ขนาดนี้ มึงยังจะเรียกมันตัวเล็กอีกเนอะ
“กุปปี้มานี่”
เรียกให้หมาหน้ามึนลายจุดเข้ามาใกล้ และเจ้าหมาลายจุดตัวโตก็วิ่งเข้ามาใกล้ และก็โดนโจ้เตะเบา ๆ ไปที่ลำตัว
“โฮ่ง หงิง หงิง”
เยี่ยม ไอ้ซาดิสต์โจ้ มึงรักหมาได้น่ารักมากไอ้เหี้ย
“มึงไปเตะมันทำไมเนี่ย”
บ่นแต่ไม่มีประโยชน์เพราะโจ้หัวเราะร่า และหมาที่โดนเตะก็กระโดดเข้าใส่โจ้ แต่คราวนี้ยิ่งคึกหนักกว่าเดิม กระโดดไปมาเหมือนที่โดนเตะไปไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด
“กูเคยเตะจริงที่ไหนล่ะ แม่งชอบแกล้งสำออย ฉลาดจะตายหมาห่าเนี่ย.....ฉลาดเหมือนใครวะกุปปี้....เหมือนพ่อนิวมึงป่ะ”
แกล้งมองหน้าใครบางคนที่นั่งชันเข่าอยู่ที่สนามหญ้าและนิวก็มองหน้าของคนพูด
กวนตีนนะมึง
“แล้วหน้ามึนเหมือนใครกุปปี้ พ่อโจ้มึงป่ะ”
เออใช่เซ่ กูมันมึนเหอะ
มีอะไรดีบ้างมั้ยเนี่ย เคยมีอะไรดีบ้างมั้ย
“พ่อโจ้มันหน้ามึน ไม่มีอะไรดีเล้ยยยยยยยยยย ไอ้คนฉลาดมันถึงได้ปั่นหัวเล่นประจำ”
น้อยใจอีกแล้วสิมึง นิวถึงกับส่ายหน้ากับบางสิ่งบางอย่างที่โจ้พูด
และไอ้คนบ่นน้อยใจก็ลงมานั่งอยู่ข้าง ๆ กัน โดยมีไอ้กุปปี้หมามึนมานอนหมอบอยู่ข้างๆ
สงสัยแม่งจะเหนื่อย แม่บอกมันเล่นกับนิวตั้งแต่นิวมา
และในเวลานี้ก็เป็นเวลาของโจ้หน้ามึนที่นั่งถอนต้นหญ้าไปทำหน้างอไป
“กว่าจะมาหาเนอะ”
ก็มาแล้วนี่ไง วันไหนมาได้ก็มา เคยเหลวไหลที่ไหน วันนี้เลิกงานปุ๊บก็มาหามึงเลย
“โปรแกรมเมอร์มือหนึ่งแผนกไอทีของบริษัทไฮไซ เขาก็มาน้อยใจคนทำงานโรงงานหาเช้ากินค่ำอย่างเราเนอะ”
แกล้งแหย่ไป และโจ้ก็หันมามองหน้าของคนที่แกล้งพูดใส่พูดไปยิ้มไป แต่กูรู้หรอก มึงแกล้งแหย่กูเล่นให้กูทำหน้างี่เง่าอีกแล้วใช่มั้ย แกล้งกูตลอดแหละมึงอ่ะ
“ดูแต่งตัวสิ น่ามอง ไหนดูหน้าตาซิ โห อย่างนี้เดินไปทางไหนก็ไม่อายชาวบ้านเขาแล้ว……พนักงานโรงงานจน ๆ อย่างเราจะไปกล้าเมินเขาได้ยังไง”
เหรอ คล้ายจะดีเนอะ แต่จริง ๆ แม่งประชดชัด ๆ
“ได้ข่าวว่าปรับขึ้นเป็นรองหัวหน้าส่วนแล้วไม่ใช่”
ข่าวล่ามาเร็วนะมึง
“นั่นแหละที่กูเครียด แล้วก็เซ็ง เข้าไปไม่นานแต่ไปข้ามหน้าข้ามตาคนที่อยู่มาก่อน เส้นสายก็ไม่มี เสือกไปเข้าตากรรมการซะงั้น วันๆ โดนลองของวันละเป็นร้อยรอบ เฮ่ออออ”
เสียงถอนหายใจยาว ๆ ของนิว ทำให้โจ้ต้องนิ่งฟัง และส่งยิ้มบางๆ ให้
กูรู้มึงเครียด มึงอยากก้าวหน้า มึงทำอะไรมึงก็ทำอย่างจริงจังและตั้งใจ มันก็ไม่แปลกยิ่งมึงก้าวกระโดดไวเท่าไหร่ คนไม่ชอบหน้ามึงก็มีมากเท่านั้น
“เก็บเงินได้สักก้อน จะออกมาหาค้าขายอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นนายของตัวเองก็ยังดีกว่าไปอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก ยิ่งสูงแม่งก็ยิ่งหนาว”
ค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เหรอ
“ได้ข่าวว่าติดต่อค้าขายอะไหล่รถ ค้าขายไม่เล็กแล้วมั้ง เสี่ยนิว”
รู้ทันตลอด แค่รู้ทันยังไม่พอ แม่งยังส่งยิ้มยียวนกวนตีนให้กูได้ด้วย
“เออออออ มีเมีย เมียแม่งก็เจริญก้าวหน้าจนจะเปิดบริษัทเองอยู่แล้ว จะมาย่ำต๊อกไปวันๆ มันก็ใช่เรื่อง ใครจะยอมได้วะเรื่องแบบนี้”
เหรออออออออออ
“กูไม่ใช่คู่แข่งมึงนา”
ใครว่ามึงเป็นคู่แข่งล่ะ มึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ต้องพยายามให้มากกว่านี้ต่างหาก
“พ่อกับแม่ เขาก็คงคาดหวังอยากให้มึงมีครอบครัว หาผู้หญิงดี ๆ สักคนที่มึงรักมาแต่งด้วย…….กว่าจะถึงตอนนั้น กูก็ยังพอมีเวลาสร้างตัว......วันหนึ่งเกิดเขาคิดแบบนั้น และถ้าเขามองมาที่กูแล้วเห็นกูมีฐานะที่มั่นคงพอที่จะทำให้เขาเชื่อได้ว่า กูจะดูแลมึงได้ดีกว่าผู้หญิงดี ๆ สักคนแน่ ๆ เราจะได้มีเกราะป้องกันไงโจ้..........อย่างน้อยถ้าคิดอะไรไม่ออก เขาก็ยังพอมองออกได้ว่ากูเอง....ถึงเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ก็ดีพอที่จะดูแลมึงไปได้ตลอดชีวิต”
นิวเป็นคนคิดเยอะ วางแผนเยอะ เรื่องที่กูคิดคือน้อยใจที่มันไม่ค่อยว่าง ไม่มีเวลาให้
เรื่องที่กูคิด คือ การคิดไปเองว่านิวแม่งไม่ค่อยสนใจ ไม่ทำอะไรหวาน ๆ ซึ้ง ๆ น่ารักอย่างที่คนอื่นทำ
เรื่องโง่ ๆ ที่เอาแต่คิดไปเรื่อย ทั้งที่สิ่งที่นิวมันคิด คือเรื่องใหญ่ ๆ เรื่องความมั่นคง และสร้างความมั่นใจให้กับเราสองคน และรวมไปถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับครอบครัวของเราด้วย
กูแม่งปัญญาอ่อนว่ะ งี่เง่ากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งที่นิวมันต้องพยายามอยู่ตลอดเวลา
มึงเหนื่อย กูรู้ แต่บางทีกูก็งี่เง่าเอาแต่ใจ หาเรื่องให้มึงกลุ้มใจอยู่บ่อย ๆ
บางครั้งใครสักคน อาจมีข้อด้อย ที่มีบางอย่างไม่ได้อย่างใจเรา แต่คนที่มีข้อด้อยคนนั้น ก็มีข้อดี ที่มากมายจนข้อด้อยกลายเป็นสิ่งที่เราสามารถมองข้ามมันไปได้
ไม่เคยมีใครดีพร้อมสมบูรณ์สำหรับใคร มีแค่คนที่อยู่ด้วยกันและยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของกันและกันได้ และปรับเข้าหากัน จนพอดี พอดีสำหรับเราอาจไม่เหมือนคนอื่น
แต่มันก็คือเรา มันคือความพอดี ในแบบของเรา ที่คนอื่นเขาอาจจะอยากทำเหมือนเรา แต่เขาก็ทำไม่ได้
และมันก็เป็นความพอดี ที่เราชอบน้อยใจคิดไปเองว่าทำไมเราไม่เหมือนคู่อื่น ทั้งที่จริง ๆ แล้วเพราะเราเป็นแบบนี้ เราถึงได้พอดีในแบบของเราและไม่มีใครเลียนแบบความพอดีของเราได้
“บางทีกูก็น้อยใจมึงนะนิว”
กูรู้ กูเข้าใจว่าทำไมมึงถึงคิดแบบนั้น กูเข้าใจดี แต่กูรู้มึงจะอดทน เราเลยคำว่ารักหรือไม่รักไปแล้ว เราเลยการปรับตัวให้เข้ากันไปแล้ว สิ่งที่เรากำลังก้าวไปด้วยกันในเวลานี้
คือทำให้คนรอบข้างยอมรับในตัวเรา
มันเป็นก้าวเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่สำหรับเราในเวลานี้มาก และกูรู้.........มึงจะเดินไปพร้อมกับกูได้ โดยไม่ปริปากบ่น
แม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่กูรู้ ว่ามึงจะไม่ปล่อยมือกูระหว่างทางแน่นอน
“กูจะพยายามแสดงออกกับมึงเยอะ ๆ มึงน้อยใจกูได้ แต่อย่าท้อจนทิ้งกูไปซะก่อนนะ มึงมาจีบกูแล้ว มึงทำให้กูเป็นแบบนี้ ถ้ามึงทิ้งกูกลางทางกูเอาตายแน่”
อย่าทำแบบนี้นิว อย่าทำหน้าเฉยแบบนี้ แล้วพูดจาแบบนี้ มันยิ่งทำให้กูรักมึงเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่า
โจ้กำลังยิ้ม ยิ้มกว้างและยิ้มหวาน จนนิวต้องเมินหน้าหนีไปทางอื่น
เกินไปอีกแล้วนะมึง ไอ้เรื่องแสดงอารมณ์ดีใจเกินเหตุแบบไม่เก็บอาการนี่ล่ะเก่งนัก กูล่ะอยากจะทำให้ได้อย่างมึงจริง ๆ
“รักกูป่ะ”
เหอะ เอาแล้วไง มาแนวนี้อีกแล้ว มึงจะถามวันละสามสิบแปดรอบเลยใช่มั้ย
“อะไรของมึงนักหนาวะ”
แน่ะเขิน ให้พูดแค่นี้ทำเป็นเขิน
“รักกูป่ะเนี่ยยยยยยยยยยยยยย”
ลากเสียงยาวเชียวนะมึง แล้วเลิกเล่นซะที บทหน้าเศร้าเคล้าน้ำตาเนี่ย รันทดไปไหนของมึง อย่ามาทำเป็นเรื่องมากปัญหาเยอะหน่อยได้มั้ย
“แม่บอกจะไปซื้อกับข้าวที่ตลาด เห็นบอกจดรายการอยู่ ถ้าไปเดี๋ยวจะมาเรียก นั่นจะไปแล้วมั้ง เดินมาโน่นแล้ว”
เลี่ยงเหรอมึง เลี่ยงกูเหรอมึง
“ไปยังครับ แม่ครับ”
เหรออออออออออ
“แม่หุงข้าวก่อนนิว เดี๋ยวแม่เรียก อ้าวแล้วทำไมโจ้ไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะลูก ตั้งแต่กลับมาก็ใส่ชุดนี้ตลอดเลยเหรอ โตแล้วทำไมต้องให้แม่พูดมากอีกโจ้”
อ้าว งานเข้ากูอีก แล้วแม่ไม่ดูบ้างว่านิวมันก็ใส่ชุดทำงานมันเหมือนกัน แล้วทำไมแม่ไม่บ่นมันบ้างล่ะแม่
“ลำเอียงเห็น ๆ”
ได้ยินเสียงบ่นของใครบางคนแล้วนิวก็ได้แต่อมยิ้ม
ก็สมควรโดนบ่นอยู่หรอก ชุดทำงานกูมันใส่ทำอะไรได้สารพัด แต่ชุดทำงานมึง........ลักษณะเหมือนไปเดินแคทวอร์คมา
“ก็เมื่อเช้าไปพรีเซ้นจ์งานมาหรอก ไม่งั้นใครจะใส่ชุดนี้วะร้อนชิบหาย”
ร้อนแต่ก็ไม่ไปเปลี่ยน สมควรโดนบ่นอยู่หรอก
“ก็ไม่ไปเปลี่ยนซะล่ะ”
ก็เผื่อมึงจะบอกว่าน่ามองขึ้นมาตอนไหนใครจะไปรู้
รอให้มึงชมอยู่เนี่ย แม่งก็ไม่ยอมพูดเหอะ เล่นกับลูกมึงอยู่ได้
คิดแต่ไม่พูด และโจ้ก็พยายามขยับเนคไทด์ไปมาสองสามครั้งทำเหมือนสะบัดเสื้อแต่จริง ๆ อยากให้นิวเห็นว่าเนคไทด์ที่อยากโชว์เป็นของใครซื้อให้
อ่อ
นิวถึงกับอมยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก และลากหมาลายจุดที่นอนหมอบอยู่ข้าง ๆ ให้เข้ามาใกล้อีกนิด และยังลูบหัวลูกรักเล่นไปเรื่อย ๆ ทั้งที่อยากจะขำให้ตาย กับพฤติกรรมความน่ารักแบบสุดขั้วของใครบางคน
“กูรสนิยมดีใช่มั้ยล่ะ ก็บอกแล้วว่ามึงใส่เส้นนี้กับเสื้อตัวไหนก็ขึ้น”
เหรอ
แล้วไม่คิดว่าเพราะกูดูดี ก็เลยใส่เนคไทด์เส้นนี้ แต่งตัวแบบนี้ก็เลยทำให้กูดูดีไม่ใช่เหรอ
“แค่เนี้ยะ”
เออ แค่นี้แหละ อยากได้อะไรอีกล่ะ แค่นี้ไม่พอใจอีกหรือไง
“มึงนี่น๊า นิว....เฮ่อออออ”
อะไร ถอนหายใจแบบนั้นทำไม กูรู้หรอกว่ามึงหมายความว่ายังไงแต่กูแค่แกล้งมึงเฉย ๆ ให้มึงทำหน้างองี่เง่า เพลินดี
มองแล้วก็เพลิน เวลาที่สีหน้าของมึงแสดงอารมณ์หลากหลาย
“พรุ่งนี้จะไปเลือกให้อีกเส้นนะเทคไทด์น่ะ บางทีตอนนี้มึงก็ดูดีจนกูอาย”
นิว….
ชมแบบนี้ไม่เอาสิ ชมแบบจริงจังอย่างที่มึงคิด กูไม่เอา ไม่อยากได้
กูอยากให้มึงชมกูไป ประชดกูไป แบบที่มึงชอบทำ นั่นสมกับเป็นมึงดี
ชมไปด่าไป กูรู้มันไม่ได้หวานซึ้ง แต่กูชอบฟังแบบนั้นมากกว่าจะได้รู้ว่าในหัวมึงกำลังคิดอะไรที่จริงจัง
เช่นกูดูดีจนมึงอาย ซึ่งจริง ๆ แล้วกูไม่ได้ต้องการแบบนั้น
“เสี่ยนิว มีแฟนหน้าตาดี ดูดีก็ถูกแล้ว จะได้เป็นที่เชิดหน้าชูตาเวลาไปไหน ๆ ไง”
เพราะมันเป็นแบบนี้ เราถึงได้อยู่กันรอด
เพราะโจ้มันคิดอะไรในแง่สนุกสนาน ทำให้คนเครียด ๆ อย่างกูยิ้มออกมาได้
มันเป็นของมันแบบนี้ ถึงได้อยู่กันรอดมาถึงป่านนี้
เพราะความอดทนของมัน เพราะความเข้มแข็ง เพราะความมั่นคง เพราะการที่พยายามมองโลกในแง่สนุกสนานของมัน ถึงทำให้คนอีกคน ยิ้มได้
และมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ ๆ
“แล้วจะไปจันทบุรีเมื่อไหร่”
ช่วงวันหยุดยาวก็จะแวะไป มึงหยุดเหมือนกันนี่จะได้ไปด้วยกันเลย
“ตกลงหยุดเหมือนกันใช่มั้ย จะได้ให้พ่อดูผลไม้ไว้ให้”
หยุดสิ ไม่หยุดได้ไง ใครเขาก็หยุดกันทั้งนั้น
“พ่อกับแม่นิวเขาก็เลยไม่กลับมาอยู่ที่นี่แล้วใช่ป่ะ เมื่อก่อนทำงานส่งแต่หนี้ เดี๋ยวนี้ทำงานซื้อที่ เป็นเสี่ยค้าอะไหล่ต่อไปก็เป็นเจ้าของสวน โห... รวยว่ะ ไม่ได้แล้ว ปล่อยไม่ได้ต้องเกาะแน่น ๆ”
แล้วมันก็ทำอย่างที่พูดจริง ๆ ยื่นมือมาเกาะแขนแล้วก็กระพริบตาถี่ ๆ ส่งสายตาปิ๊ง ๆ ใส่
ตลกมากป่ะ ตลกมากนักนะมึง
“เหี้ยโจ้ มึงนี่”
ด่ากูไปเห้ออออออออ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเขิน แล้วก็ผลักหัวกูเนี่ยนะ
“เจ็บบบบบบบบบ นิวแม่งชอบเล่นแรง ๆ”
แรงเหี้ยอะไร ผลักหัวแค่นี้ไม่ได้ทำให้สมองมึงได้รับความกระทบกระเทือนหรอก
มารยาสาไถดีจริง ๆ นะมึง
“รวยแล้วจะได้มาขอมึงกับพ่อแม่มึงได้ เขาจะได้ยกให้ง่าย ๆ กูจะได้เอามึงไปใช้แรงงานปีนต้นไม้ซะให้เข็ด แทนแรงงานพม่า แถมค่าแรงก็ไม่ต้องจ่ายอีก โคตรคุ้ม”
โห เกินไปแล้ว มึงชักจะเกินไปแล้วนิว เห็นใจกูหน่อย กูไม่ได้สบายมาก แต่กูก็ไม่เคยลำบากนะเว้ย
“กูปีนต้นไม้ให้ฟรี ๆ แต่ถ้าขายผลไม้ได้ กูยึดค่าขายหมดเลยได้ป่ะล่ะ”
ฉลาดขึ้นมาแล้วนี่ ฉลาดเลวขึ้นเรื่อยๆ นะมึง
“เอาไปเห้ออออออออออ ไอ้ขี้งก”
นิวหัวเราะร่วน และโจ้ก็มองใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มของคนที่กว่าจะยิ้มได้น่ามองขนาดนี้ ต้องใช้เวลานานหลายปี
นาน.......จนลืมว่าเราใช้ชีวิตด้วยกันแบบนี้ เป็นกำลังใจของกันและกันแบบนี้มานานเท่าไหร่
“หยกบอกว่าให้ดูต้นไม้ให้ด้วย พ่อไอ้กัสจะเอามะม่วงมาลงที่หน้าบ้าน มึงช่วยกูจำนะ เดี๋ยวกูลืม แม่งด่ากูตายห่า”
เออ เดี๋ยวกูช่วยจำ
วันนี้กูก็แวะไปเอาขนมที่ร้านมันมา ตอนมีสัมมนาก็ได้ขนมกับกาแฟร้านมันนั่นแหละมาเลี้ยงแขกที่มาสัมมนา ไม่แพง รสชาติใช้ได้ แถมกูได้หน้าอีก
“ไอ้กัสมันคล่องแล้วเดี๋ยวนี้ แต่ไม่พูดเหมือนเดิมนะ แม่งยิ้มลูกเดียว แต่มันก็ขายของคนเดียวได้แล้วเดี๋ยวนี้ เก่งขึ้นเยอะ คิดเงินคล่องแล้ว”
ดีแล้ว แบบนี้ก็ดีแล้ว
“ไม่แวะไปหามันบ้างวะ ยังทำใจไม่ได้อีกเหรอ เวลาเจอหน้ามัน”
เรื่องนั้นน่ะ มันนานมาแล้วโจ้ กูเลิกคิดอะไรแบบนั้นไปตั้งนานแล้ว
แรก ๆ ตอนที่หยกกลับมาใหม่ ๆ มึงก็รู้ว่ากูยังทำใจไม่ได้ แต่ตอนนี้ กูลืมเรื่องนั้นไปสนิทแล้ว
เวลามองหน้าไอ้กัส กูไม่ได้รู้สึกกับมันในแง่อื่นอีกแล้ว
ความทรงจำดี ๆ ไม่เคยจางหายไป เพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
“กูมีมึงแล้ว....จะให้กูคิดอะไรกับคนอื่นอีก กูทำไม่ได้หรอก”
แมนสัดอีกแล้วมึง กูปลื้มมึงก็เพราะแบบนี้แหละ
เวลามึงชัดเจนมึงก็ชัดเจนเกิ๊น จนกูทั้งเขินทั้งซึ้ง
“รักกูป่ะ”
อ้าวแม่ง ออกอ่าวไปได้ตั้งไกล เสือกย้อนกลับมาเข้าทางไอ้โจ้อีกจนได้
“เออ”
ไม่ได้ยินว่ะ
“อะไรนะอีกที ขอแบบชัด ๆ”
อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไอ้โจ้ อย่ามาทำตัวเล่ห์เหลี่ยมเยอะขอร้อง
“นิว ไปยังลูก อ้าวไอ้เจ้านี้ ก็ยังไม่เปลี่ยนชุดอีก แม่บอกแล้วไม่ใช่หรือไงโจ้ เรานี่มันช้า เฉื่อย ชา เรื่อยเปื่อยได้ตลอด”
โดนบ่น และโจ้ที่กำลังยิ้มก็หน้ามุ่ยทันที
ลุกขึ้นยืนโดยมีใครอีกคนลุกขึ้นตาม กูเห็นนะ มึงยิ้มเยาะกูใช่มั้ย กูดื้อกับใครก็ได้ แต่คนนี้กูแพ้ตลอด
เออ กูต้องยอม ต้องยกให้หนึ่งคน แบบทำอะไรไม่ได้
“ไปเดี๋ยวนี้แหละ เดี๋ยวโจ้มา แม่อย่าเพิ่งไปนะ”
รีบเดินเข้าบ้าน โดยมีหมาลายจุดตัวใหญ่วิ่งตาม
“ไอ้กุปปี้ ไม่ต้องตาม ไปหาพ่อมึงโน่น”
อาการแบบนี้เรียกเหวี่ยง
และนิวก็ส่ายหน้ากับอาการที่เรียกว่าเหวี่ยงของคนที่เดินเข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“เนี่ยมันเป็นแบบนี้ตลอด โตป่านนี้ก็ต้องให้แม่บ่น ไม่รู้จักรับผิดชอบตัวเอง”
อยากให้มึงมาฟังจริง ๆ เลยว่ะโจ้ หน้ามึงคงหงิกน่าดู
“นิวก็อย่าไปตามใจมันมาก เฉื่อยแฉะขนาดนี้ เล่นไปวัน ๆ ไม่รู้บริษัทจ้างมันไปทำงานได้ยังไง”
นิวยังคงยิ้มรับกับสิ่งที่แม่พูดไปเรื่อยๆ ยิ้มไปเรื่อยและก็พยักหน้ารับฟังทุกสิ่งที่แม่พูด
“เห็นอย่างนั้น มีคนแย่งตัวมันหลายคนครับ โจ้มันเก่ง”
ชมให้แม่ได้ยินซึ่ง ๆ หน้า และแม่ก็ยิ้มกับสิ่งที่นิวพูด
“ฝากหน่อยนะนิว อย่าทิ้งกัน หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน อย่าถือสาลูกแม่ เวลาที่มันดื้อหรือทำอะไรไม่ดี ก็อย่าไปถือโทษโกรธ...อยู่ด้วยกันดูแลกันแบบนี้ไปนาน ๆ นะลูกนะ”
นิวกำลังอึ้งกับสิ่งที่แม่ของโจ้พูด ผู้ใหญ่ยังไงก็ดูออก แต่จะพูดหรือไม่พูดแค่นั้น
เตรียมใจมาตลอด เตรียมใจเอาไว้เสมอ ถ้าหากถูกถามเรื่องนี้ก็จะพูดตรง ๆ เพราะคุยกับโจ้ไว้แล้ว ว่าจะทำให้ชัดเจน
แต่ไม่นึกว่า....แม่จะรับได้ขนาดนี้ ไม่นึก....ว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้
นิวก้มหน้าลง ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้แม่ของโจ้และพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา
“นิวขอเป็นลูกชายแม่อีกคนนะครับ นิวจะดูแลโจ้ให้ดี ๆ จะไม่ทำให้แม่ผิดหวังครับ”
แม่รับไหว้และแตะมือเบา ๆ ที่ไหล่ของนิว
“ฝากโจ้มันด้วยนะนิวนะ”
ครับ
ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังครับ จะดูแลให้ดี ผมสัญญา จะดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่คน ๆ หนึ่งจะทำเพื่อใครสักคนได้
“ไอ้กุปปี้ บอกให้ไปหาพ่อมึงไงเล่า พันขาอยู่ได้ เฝ้าบ้าน บอกให้เฝ้าบ้าน”
แค่รู้ว่าโจ้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองและเดินออกมาจากบ้าน เจ้าหมาตัวโตก็วิ่งเข้าไปคลอเคลียทันที
และนิวก็มองตามคนที่เดินเข้ามาหาและยังบ่นอะไรเรื่อยเปื่อยไม่เลิก
“ไอ้กุปปี้มันชอบพันขาว่ะ แม่....ไปยังแม่”
โจ้โอบไหล่ของแม่ตัวเองและยังบ่นไม่เลิก
“ก็ไปสิ มัวแต่โอ้เอ้ชักช้าอยู่นั่น ชาวบ้านเขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว เราก็มัวแต่ช้า”
ยาว
บ่นยาวเลยงานนี้
“โอ้ยยยยยยยยยยยยย ปวดหู แม่บ่น บ่น บ่น บ่น จนโจ้หูชาแล้ว”
ยังงี่เง่างอแงแบบเด็ก ๆ ไปเรื่อย และโอบไหล่พาแม่มาขึ้นรถ
“หาว่าแม่บ่นปวดหู เดี๋ยวจะโดนดี ทำไมเรามันเป็นคนแบบนี้”
ไอ้กองกำลังสนับสนุนแม่งก็ยิ้มจัง แทนที่จะช่วยกูนี่ไม่มีเลยเนอะ ยิ้มลูกเดียว ห่านิว แทนที่จะช่วยกูบ้าง ไม่มีเลยนะมึง
นิวยังคงยิ้มเรื่อยเปื่อย ยิ้มอย่างมีความสุข
แต่โจ้ยังงอแงใส่แม่ไม่เลิก
“แม่รักโจ้ป่ะ”
มันเล่นไม้เดิมอีกแล้ว และแม่ก็ส่ายหน้าและต้องยอมตอบคำถามที่โจ้ถาม
“แม่ก็ต้องรักโจ้สิ ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง”
ฟังแล้วมันก็ยิ้ม แค่ยิ้มไม่พอมันยังมีหน้าหันมาถาม
“แล้วนิวรักโจ้ป่ะ”
เป็นการบีบบังคับกลาย ๆ ที่ทำให้นิวอึ้ง ไม่รู้จะตอบยังไง ได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง ควรตอบหรือยืนนิ่งเฉยไปดี
“ตอบ ๆ มันไปนิว ไม่งั้นก็จะเพ้อเจ้อแบบนี้ทั้งวัน”
แม่โบกไม้โบกมือและเดินขึ้นรถ
ไม่สนใจว่าลูกชายจะพูดอะไรต่อไป และเป็นนิวที่ถึงกับตาโตและด่าคนที่ถามอะไรไม่รู้จักคิด
“เหี้ยโจ้”
อะไรล่ะ ไม่เห็นมีอะไรซะหน่อย ก็ถามแบบนี้ทุกวัน มึงก็แค่ตอบแค่นั้น
“ไม่ตอบกูฟ้องแม่กูนะ เอาดิ”
ไอ้เหี้ยโจ้ มึงก็คิดได้เนอะ
นิวถึงกับส่ายหน้าและพูดไม่ออก ทั้งอยากจะยิ้มทั้งอยากจะตบกบาลไอ้คนถามที่ไม่รู้จักดูเวล่ำเวลา
“เออ.....รัก...จนอยากจะเบิ๊ดกระโหลกมึงอยู่แล้ว”
ก็แค่เนี้ยะ
“แอ่ะ เขิน เขิน ฮิ้ววววววววววว นิวเขินว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แล้วไอ้ตัวกวนประสาทก็เข้าไปอยู่ในรถเรียบร้อยทิ้งให้นิวได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มอยู่อย่างนั้น
บางครั้ง สิ่งที่เราสองคนต้องการอาจเป็นเพียงแค่ความเรียบง่ายที่เป็นอยู่ในเวลานี้เท่านั้น
แค่อยากอยู่กับใครสักคนด้วยความเข้าใจ แค่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
สำหรับเรา เพียงเท่านี้ ก็มีความสุขที่สุดแล้ว
TBC.