ตอนที่ 6
[/b]
[พาร์ตของลูดี้]
ผมมองบ้านหลังเล็กตรงหน้าของผมอึ้ง ๆ ก็เพราะว่าสถานที่ที่วูฟพาผมมาคือ บ้านของผม! ผมหันไปมองเขาที่ลงจากรถมาตามผม จะบอกว่าการออกมากับร่างสูงครั้งนี้ ผู้ติดตามคุ้มกันเยอะมากครับ อย่างที่รู้กันดีว่า ตราบใดที่วูฟยังไม่ได้ขึ้นรับตำแหน่งผู้นำอัลฟาเต็มตัว การแข่งขันแย่งชิงอำนาจก็ยังไม่จบ จึงทำให้มีลูกน้องขับตามประกบคุ้มกันมาอีกสองคัน
“รอพวกฉันอยู่ข้างนอก” เสียงเข้มของวูฟหันไปสั่งลูกน้องที่จะเดินตาม
“แต่นายน้อยครับ มันจะดีเหรอครับ” ผมรู้ครับว่าความปลอดภัยของร่างสูงต้องได้รับการคุ้มกันอย่างดี เขาพยักหน้าให้กับลูกน้อง
“ทำตามคำสั่งของฉัน” แต่เสียงสั่งเข้มเด็ดขาดก็ทำให้ลูกน้องทุกคนพยักหน้ารับ เขามีอิทธิพลมากจริง ๆ วูฟหันมาสบตากับผมที่มองเขาตาปริบ ๆ
“ยืนจ้องหน้าฉันอยู่ทำไม เข้าไปในบ้านได้แล้ว...” เขาไม่ได้บอกเปล่าแต่กลับลากมือของผมเข้าไปภายในบ้านด้วย ผมเดินเข้าไปก็เจอพ่อกับแม่ของผมนั่งหน้าซีดเผือกอยู่ในห้องรับแขก
“พ่อครับ แม่ครับ...ผมคิดถึง..” ผมจะเข้าไปหาพวกท่าน แต่พวกเขากลับทำท่ากลัวผม ไม่กล้าให้ผมเข้าไปใกล้ แต่ดูเหมือนสายตาของพ่อกับแม่ของผมจะมองไปที่ข้างหลังของผมมากกว่า...คนที่อยู่ข้างหลังผมก็คือวูฟ...
“เออ ลูดี้เป็นยังไงบ้างลูก...” แม่ของผมถามเสียงอ่อนยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ
“สบายดีครับ แม่ได้รับเงินที่ผมส่งมารึยัง พอค่าใช้จ่ายไหมครับ” ผมถามอย่างห่วงใย ก่อนเสียงเข้มของร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังผมจะสวนกลับมา สร้างความประหลาดใจให้ผมทันที
“ฉันว่าอาจจะไม่พอหรอก ถ้าเข้าบ่อนทุกวันขนาดนั้น...”
“คุณว่าอะไรนะครับ?” ผมหันไปมองเขาที่มองไปทางพ่อกับแม่ของผม
“ถามพวกเขาสิ ว่าคิดจะหลอกนายไปถึงเมื่อไหร่กัน...” หลอก? หลอกเรื่องอะไรกันครับ ผมหันกลับไปมองแม่ที่หน้าซีดเผือก มือเริ่มสั่น
“แม่ครับ นี่มันเรื่องอะไรกัน มีอะไรเหรอ ทำไมตัวสั่นล่ะ” ผมจะเดินเข้าไปหาแต่ก็ชะงักกับมือหนาของวูฟที่ดึงผมไว้ พ่อของผมจึงตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด
และมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมอึ้ง...
“ลูดี้...ลูกไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อกับแม่ พ่อกับแม่ของลูกเสียตั้งแต่ยังเล็ก ๆ พวกเราเก็บลูกมา....แต่ไม่ได้บอกความจริงกับลูก” ผมที่ได้ฟังก็เบิกตากว้าง...แต่ผมก็ยิ้มบาง ๆ ออกมา ผมดึงมือของจากการจับกุมของร่างสูงแล้วเดินเข้าไปหาพ่อกับแม่ที่ทำหน้าอึ้งเมื่อผมคุกเข่าลงตรงหน้าของพวกเขา
วูฟจะเข้ามาห้ามแต่ประโยคที่ผมเอ่ยทำให้เขาเลือกที่จะยืนดูผมห่าง ๆ
“ผมพอจะรู้อยู่บ้างแต่ไม่ว่ายังไง พ่อกับแม่ก็เป็นคนเลี้ยงผมมาจนโตขนาดนี้....ไม่ว่ายังไงพ่อกับแม่ก็ยังเป็นคนที่คอยเลี้ยงดูผมมานะครับ” ผมกราบลงที่ตักของท่านทั้งสอง อันที่จริงเรื่องนี้ผมก็พอจะรู้สึกตัวมานานแล้ว แต่ก็อย่างที่บอกแหละครับ พ่อกับแม่เองถึงท่านจะไม่ชอบผมนัก แต่ท่านก็ยังเลี้ยงผมมาจนถึงตอนนี้ แค่นี้ก็ใจดีกับผมมาก ๆ แล้ว
พ่อกับแม่มองผมด้วยน้ำตาคลอเบ้า...ผมเชื่อนะ ว่าสักวันความดีของผมจะต้องเอาชนะใจของทุกคนได้ และผมก็เชื่ออย่างนั้นมาโดยตลอด
“พวกแม่ขอโทษ..ลูดี้ พวกแม่ทำกับหนูสารพัด เอาเงินที่หนูหามาไปเล่นการพนัน...” แม่ของพูดออกมา ผมเลยส่ายหน้าไม่ถือโทษโกรธอะไร ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรมาก แขนของผมก็ถูกดึงขึ้นตามแรงของวูฟจนผมเซไปยืนอยู่ข้างเขา
“ต่อไปนี้ ลูดี้ถือเป็นคนของตระกูลเฮอร์คิวแล้ว และก็คงจะไม่ได้กลับมาที่นี่...ฉันจะให้เงินสักก้อนกับพวกคุณ หวังว่าจะใช้ประโยชน์กับเงินก้อนนี้อย่างประหยัด ไม่ใช่ไปใช้แบบสิ้นเปลื้อง...” เสียงเข้มของเขาสั่งเสียงทุ้ม เป็นเสียงสั่งที่ทุกคนต้องยอมเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้ หนักแน่นทุกคำ
“ได้เวลากลับแล้ว” วูฟพูดจบก็พาผมเดินออกไปจากบ้าน ผมมองพ่อกับแม่ที่ยิ้มบาง ๆ อย่างสำนึกผิด ผมมองมือหนาที่กุมมือของผมไว้ แผ่นหลังกว้างตรงหน้าทำให้ผมยิ้ม
“คุณวูฟ ขอบคุณนะครับที่พาผมกลับมาบ้าน” ผมบอกจากใจจริง ก่อนจะชนแผ่นหลังของเขาที่หยุดเดินกะทันหันเมื่อเราออกมาหน้าบ้าน เขาหันมาหาผมและจับไหล่สองข้างของผมไว้
“นายยังมีหน้ามายิ้มอีกเหรอ!...ทั้งที่เจอเรื่องเสียใจแบบนั้นแท้ ๆ นายไม่ใช่ลูกของพวกเขา ไม่ตกใจบ้างรึไง” ผมยังคงยิ้มบาง ๆ ผมเดาว่าเขาคงไปสืบเรื่องของผมมาหมดแล้วแน่ ๆ
“ไม่หรอกครับ ผมก็พอจะรู้...ไม่เห็นมีอะไร...น่าตกใจ” ผมบอกแต่น้ำตาของผมกำลังไหลออกมาอย่างง่ายดาย ฮะ ๆ...ผมไม่ได้เข้มแข็งนี่ครับ วูฟดูตกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ ผมก็น้ำตาร่วงลงมาแบบนี้
“บ้าเอ๊ย...” เขาสบถ
หมับ...ผมถูกดึงเข้าไปซบหน้าอกกว้างตรงหน้า ท่ามกลางลูกน้องของวูฟที่ยืนคุมกันพวกเราอยู่
“ฝืนไปก็เหนื่อย อยากจะร้องก็ร้องออกมาให้หมด...” ประโยคของเขาแค่ประโยคเดียว ผมก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาราวกับฟิวส์ขาด ราวกับความรู้สึกทั้งหมดของผมที่เคยเก็บไว้กำลังถูกเปิดเผยออกมาจากปากของผม
“ฮึก...ฮือออ คุณวูฟ...ผมไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่ เพราะผมเป็นโอเมก้าเหรอครับ ทำไมผมถึงถูกทุกคนทิ้ง ทำไม ฮึก” ผมระบายออกมาทั้งหมด ไม่รู้ว่าผมพร่ำพูดว่าตัวเองเป็นโอเมก้ามากมายเท่าไหร่ ความน้อยใจที่ถูกเก็บไว้ถูกพูดออกมาให้วูฟได้ยินทั้งหมด โดยที่ร่างสูงได้แต่ยืนนิ่งลูบหลังของผมเบา ๆ
ความอบอุ่นจากเขา มันอบอุ่นมาก...จนผมสัมผัสได้จาง ๆ กลิ่นหอมที่ดึงดูดเราเข้าหากันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากเมื่ออยู่ใกล้วูฟแบบนี้
ไม่รู้ว่าผมร้องไห้ไปนานเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะนานพอสมควร ผมกับเขาเข้ามานั่งอยู่ในรถที่ยังไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหน พอผมเริ่มได้สติจากการฟิวส์ขาดก็เริ่มรู้สึกอาย...ก็เพราะว่าลูกน้องของเขาก็อยู่กันเต็ม แถมยังไปงอแงใส่วูฟเหมือนเด็กอีก เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมรู้อะไรหลายอย่างว่า วูฟเป็นคนใจดีกว่าที่คิด แม้ภายนอกอาจจะชอบทำหน้าดุ ขึ้นเสียงโหด แต่จิตใจของเขาช่างใสสะอาด เขาเองก็ไม่เคยมีท่าทีรังเกียจโอเมก้าเลยสักนิด...เช่นเดียวกับตระกูลเฮอร์คิว เขาเกือบจะล้างภาพลักษณ์ทั้งหมดของอัลฟาที่เคยถูกเล่าขานกันมาว่ากดขี่ข่มเหง ดูถูกโอเมก้า...
“คุณไปสืบเรื่องของผมมาเหรอครับ” ผมเริ่มถามหลังจากที่เช็ดน้ำตาออกจนหมด ร่างสูงที่เอามือเท้ากับเบาะรถเหลือบมองผม
“ฉันไม่ได้สืบเพราะสนใจอะไรนายหรอกนะ ก็แค่ทำตามที่พ่อสั่งเท่านั้น” เขาตอบกลับมาด้วยท่าทีเฉย ๆ เหมือนเดิม ผมยิ้มแม้จะแอบชะงักกับประโยคเย็นชานี้ก็เถอะ
ผมพยักหน้าและเบนสายตาออกไปนอกรถแทน แบบนี้ก็เท่ากับผมกลายเป็นคนของตระกูลเฮอร์คิวเต็มตัวแล้วงั้นเหรอ หากวันใดวันหนึ่ง...ผมจำเป็นต้องออกจากตระกูลเฮอร์คิว ผมจะยังกลับมาที่บ้านนี้อีกไหมนะ ไม่รู้สิครับ อนาคตใครจะไปรู้เรื่องแน่นอนได้ ฐานะของผมยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนได้ โอเมก้า...ก็ยังเป็นโอเมก้าวันยังค่ำ
“คิดอะไรอยู่อีก นายนี่ชอบเก็บอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปคิดชะมัด” วูฟทักและมันก็ถูกอย่างที่เขาว่าทุกอย่าง
ผมชอบคิดมาก...แต่ก็ดีกว่าไม่คิดอะไรใช่ไหมล่ะครับ
“ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อยครับ” ผมปฏิเสธ เขากระตุกยิ้มมุมปากหัวเราะในลำคอ
“หึ หน้าของนายมันไม่ได้บอกแบบนั้นสักนิด...อยากไปไหนต่อรึเปล่า ไหน ๆ ก็ออกมาข้างนอกแล้ว มีโอกาสไม่บ่อยหรอกนะที่นายจะได้ออกมาข้างนอก” เขาหันมาถาม
“ผมเลือกสถานที่ได้งั้นเหรอครับ?” ผมมีสิทธิ์ในการเลือกจะไปที่ไหนก็ได้ด้วย... วูฟไม่ได้ตอบคำถามผมแต่เป็นลูกน้องของเขาแทนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ
“ใช่แล้วครับคุณลูดี้ นายท่านสั่งให้นายน้อยพาคุณมาสูดอากาศเล่น”
“เงียบไปเลยข้างหน้าน่ะ นายนั่นแหละตกลงจะไปไหนก็บอกมา ชักช้าฉันจะพากลับบ้าน!” เสียงเข้มสั่งอีกรอบตามประสาเขา ผมไม่สะดุ้งแฮะคราวนี้...สงสัยเริ่มจะชินกับเสียงเข้ม ๆ ของเขา สถานที่ที่ผมอยากจะไปงั้นเหรอ...
“ผมอยากไปร้านหนังสือครับ...” ผมบอกแค่นั้น วูฟก็พยักหน้าให้คนขับที่นั่งฟังพูดเราอยู่ให้ขับพาผมไปยังที่หมาย
|ร้านหนังสือ| ร้านนี้ไม่ใช่ร้านหนังสือหรูหราเป็นเพียงร้านเล็ก ๆ ธรรมดาที่ขายหนังสือมือสองที่มีคุณภาพ ผมเข้ามาในร้านด้วยความคิดถึง นานเหมือนกันครับที่ผมไม่ได้เข้ามาร้านนี้เพราะช่วงหลัง ๆ เงินเริ่มหายากทำให้ผมต้องทำงานล้างจานอยู่ที่ร้านแทบจะไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย
“อ้าว ลูดี้ไม่ได้เห็นนานแล้ว...เป็นยังไงบ้างลูก” คุณยายเจ้าของร้านที่ใจดีกับผมมากยิ้มทักทายเป็นกันเอง ก่อนท่านจะเหลือบเห็นผู้ชายที่ใส่สูทดูดีเดินตามเข้ามาด้วย วูฟเป็นคนดัง ไม่ว่าใครก็รู้จักทั้งนั้น...ยายดูจะอึ้ง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรผม
“สบายดีครับ คุณยายสบายดีใช่ไหมครับ”
“จ๊ะ...เลือกกันตามสบายเลยนะ มีหนังสือเล่มใหม่มาด้วยนะ แนวที่ลูดี้ชอบด้วย” คุณยายชี้ไปมุมโปรดของผมทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม
“ขอบคุณครับคุณยาย” ผมเดินไปมุมนั้นโดยมีร่างสูงเดินตามมาด้วย
“นายอ่านหนังสือแนวไหน...แนวโรแมนซ์เนี่ยนะ?” วูฟถามและมองออกว่าหนังสือประเภทไหนที่ผมชอบอ่าน ผมยิ้มกว้างหยิบหนังสือขึ้นมาดู
“ครับ ผมว่าหนังสือพวกนี้มันดูให้คำนิยามความรักสวยงามดี”
“นายนี่แปลกประหลาดมาก รู้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะแบบนี้แต่ก็ยังใฝ่ฝันถึงรักแท้ อะไรพวกนั้นอีกงั้นเหรอ” เขาเอื้อมไปหยิบหนังสือเทพนิยายโรแมนติกมาพิจารณาดู ผมมองหน้าเขาที่เปิดดูหนังสือเหมือนว่ามันแปลกมาก...
“แล้วคนเราไม่มีสิทธิ์ที่จะฝันงั้นเหรอครับ” เขาละสายตาจากหนังสือแล้วสบตากับผม
“ก็ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“ทำไมคุณถึงไม่เชื่อว่ารักแท้มีจริง...” ผมถามออกไป ไม่รู้ว่าใช่คำถามที่ควรจะถามรึเปล่า...ไม่รู้ว่าจะได้รับคำตอบไหม
“นายก็รู้ว่าฉันอยู่ในฐานะอัลฟา ฉันย่อมรู้ว่าเส้นทางห่วงโซ่ที่ฉันกำลังจะไปเป็นศูนย์กลางมันเป็นยังไง ระบบชนชั้นที่ถูกแบ่งออก อัลฟาคือผูกพันธะสัญญา กับโอเมก้าคือผู้ถูกเลือก ในวงจรแบบนี้ นายคิดว่ามันจะมีรักแท้อยู่ในนี้รึไง” เขาพูดออกมา ที่แท้เขาก็ติดภาพลักษณ์ที่ถูกกำหนดขึ้น ผมเลือกดูหนังสือยิ้ม ๆ
“ผมก็เคยคิดแบบนั้นแหละครับ จนกระทั่งมาเจอตระกูลของคุณและเจอคุณ...มันก็ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองอะไรใหม่ ๆ ว่าอัลฟาอย่างคุณอ่อนโยนมาก...” ผมบอกก่อนจะได้ยินเสียงวูฟทำหนังสือหล่น ผมหันไปมองเขาที่ทำหน้าเหวอแวบหนึ่ง เขาเก็บหนังสือที่ทำตกขึ้นมาจนผมอดที่จะยิ้มไม่ได้
“ฉันไม่ได้อ่อนโยน ยิ้มอะไรของนาย...” เขาเอาหนังสือมาตีผมของผมเบา ๆ “เลือกเอาหนังสือเล่มที่นายต้องการตามสบาย หรืออยากได้ทั้งร้านฉันจะเหมาให้” เขาพูดออกมา ผมเลยรีบส่ายหน้า
“อ๊ะ ไม่ต้องครับ ไม่ต้องเหมา ขืนคุณเหมาคุณยายก็ไม่มีอะไรขายน่ะสิ”
“งั้นก็เลือกเล่มที่ต้องการ ฉันจะซื้อให้เอง”
“คุณใจดีจังเลยครับ”
“เปล่าฉันไม่ได้ใจดี...” เขาปฏิเสธอีกครั้งและหันหน้าหนีผมไปเรียบร้อย ผมแอบหลุดหัวเราะเบา ๆ เขาก็มีมุมน่ารักเหมือนกัน ผมว่าวูฟเขาคงถูกปลูกฝังเรื่องระบบชนชั้นคล้ายกับผมนี่แหละครับ ฝังใจเชื่อกับอะไรที่ถูกกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้ว โดยที่ไม่ได้เปิดรับความเป็นจริงว่ามันเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแล้ว
ผมเปิดดูหนังสือตรงหน้าพร้อมกับเลือกดูเล่มถัดไป คือผมหาหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมอยากอ่านมาก แต่หามันไม่เคยเจอสักทีเลย ดูเหมือนวูฟที่ยืนอยู่ข้างผมจะแอบมองผมทุกการกระทำ ก็ผมรู้สึกได้นี่...ผมถือหนังสือไว้สองสามเล่ม และก็ต้องเงยหน้ามองมือหนาที่ยื่นมาตรงหน้า
“ครับ?”
“ส่งหนังสือมา ฉันจะเอาไปกองไว้หน้าเคาท์เตอร์ให้” ผมเลิกคิ้วแปลกใจจนเขาสั่งเสียงเข้มอีก
“ส่งมาสิ” “เออ ครับ ๆ นี่ครับ” ผมยื่นให้เขาทั้งหมด เขาก็เอาไปวางทิ้งไว้ตรงเคาท์เตอร์และเดินกลับมาหาผมที่ยังคงหาเล่มที่อยากอ่านมาก ๆ
“นายหาเรื่องไหนอยู่อีก เผื่อฉันจะช่วยหา?”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวมือของคุณจะเปื้อนเอา” ผมบอก เพราะไม่อยากให้เสื้อสูทของเขาเปื้อน หนังสือที่นี่ไม่ใช่หนังสือใหม่แกะกล่อง มันก็มีฝุ่นเกาะเป็นธรรมดา แต่ถามว่าวูฟฟังผมไหม ร่างสูงถอดเสื้อสูทข้างนอกพาดบ่าไว้พร้อมกับพับแขนเสื้อสีขาวข้างในขึ้น
“ไม่เห็นจะเปื้อน บอกมาว่านายหาเรื่องอะไรอยู่ อย่าทำให้เสียเวลาได้ไหม” ประโยคหลังเลยทำให้ผมเข้าใจว่า เขาคงอยากจะกลับบ้านเต็มทนแล้ว ผมยิ้มเล็กน้อย อย่างน้อยเขาก็ยอมใจดีพาผมมาที่นี่แหละนะ
“ผมหาเรื่อง
เชื่อฉันว่ามันคือรัก อยู่ครับ...มันเป็นหนังสือที่ผมมาหานานแล้ว แต่ไม่เคยได้มันติดมือกลับไปด้วยเลย” วูฟหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ชื่อเรื่องบ่งบอกรสนิยมนายมาก...นายไปหามุมนั้นละกัน ฉันจะหาบนชั้น” เขาสั่งจริงจัง จนผมแอบแปลกใจ เขาจะช่วยผมหาจริง ๆ ด้วย
ผมกับเขาหันหลังให้กันและเริ่มหาหนังสือเล่มที่ผมต้องการ เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ เสียงเข้มก็ดังขึ้นทำให้ผมหันไปมอง
“โอ๊ะนั่น...”
“ครับ?” วูฟหันหน้ากลับมาหาผมและเอามือข้างหนึ่งซ่อนไว้ด้านหลัง เขาดูทำหน้าตาตื่น ๆ นะครับ?
“คุณเจอหนังสือไหมครับ คุณวูฟ” ผมถาม เขาก็เลยส่ายหน้า “ผมว่ามันคงจะไม่มีอีกตามเคย...ไว้มาหาวันหลังก็ได้ครับ ผมว่าเรากลับกันดีกว่า นี่ก็เริ่มจะเย็นแล้ว” ผมบอกพลางมองนาฬิกาของร้าน นี่เรามาหมกตัวอยู่ที่ร้านหนังสือนานมาก ไม่รู้ว่าข้างนอกลูกน้องของวูฟจะหลับกันหมดรึยัง พวกเขาเฝ้าอยู่แถวหน้าร้านนั่นแหละครับ
“อืม เอางั้นก็ได้ นายมีเล่มไหนอยากได้อีกก็ขนไปได้เลย จะได้เอาไว้ไปอ่าน...” เขาบอกอย่างใจดี ผมก็เลยหอบหนังสือที่ตัวเองสนใจสามสี่เล่มไปที่เคาท์เตอร์คิดเงิน โดยที่มีวูฟเดินเอามือไขว้หลังเดินตามผมมา
เขาจะเอามือไปไว้ข้างหลังทำไม ผมก็แค่สงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดเอะใจอะไรหรอก
“นายออกไปออกไปรอข้างนอกที่รถไป เดี๋ยวฉันจะจ่ายเงินเอง บอกลูกน้องเข้ามาขนหนังสือด้วย” เขาสั่ง ผมเหลือบมองเขาที่เอามือไขว้หลังอยู่เหมือนเดิม
“คุณไม่ได้ถูกกระดาษบาดใช่ไหมครับ” ผมถามห่วง ๆ แต่แววตาเข้มที่สั่งผมทางสายตาทำให้ผมยอมเดินออกไปรอข้างนอกแทน
“เปล่า ไปรอฉันข้างนอกได้แล้ว” ผมเดินออกมารอเขาพร้อมกับบอกลูกน้องที่ยืนอยู่สี่ห้าคนเข้าไปขนหนังสือออกมา ผมก็ยืนรอร่างสูงอยู่ข้างรถ
“คุณลูดี้เข้าไปนั่งรอในรถก่อนก็ได้นะครับ” ลูกน้องของวูฟบอกอย่างเกรงใจ ผมก็เลยยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวรอเข้าไปพร้อมกับคุณวูฟก็ได้...เออ คุณเหงื่อออกเยอะเลยครับ เอาผ้าเช็ดหน้าไปซับก่อนไหม” ผมมองลูกน้องของร่างสูงที่ยืนตากแดดอยู่ข้างนอกนาน เหงื่อเต็มหน้าเขาเลย ผมจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อย่างไม่ได้คิดอะไร ลูกน้องรีบส่ายหน้า และเป็นจังหวะเดียวกันกับมือหนาที่จับมือของผมไว้
“นายกำลังทำอะไร...” ยังไม่ทันจะได้ตอบผมก็เบิกตากว้างเมื่อถูกดึงเข้าไปใกล้วูฟ ริมฝีปากหนาตรงหน้าที่ก้มลงมาประกบปิดปากของผมช่างหนักแน่น รับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่คลุกกรุ่น...
“อื้อออ...คุณวูฟ” กลางสาธารณะเนี่ยนะ...เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย!!!...
เขากำลังประกาศไงครับ...ประกาศว่าผมคือของเขา แต่ผมไม่รู้ว่าเขาแบบนี้ไปทำไมกัน เขากำลังทำให้ใจของผมเต้นแรงขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ วูฟปล่อยผมออกก่อนจะตวัดสายตาไปมองลูกน้องของเขาที่ยืนเป็นบอดี้การ์ดนิ่ง
“ไปสตาร์ทรถได้แล้ว ฉันจะกลับบ้าน” วูฟสั่งพร้อมกับจูงมือของผมขึ้นรถด้วย
ระหว่างที่อยู่ในรถ บรรยากาศเงียบมาก จนผมคิดว่าตัวเองไปทำอะไรขัดใจวูฟเข้ารึเปล่า ผมมองเขาที่นั่งหน้าขรึมอึมครึมอยู่ ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย ผมอยากให้เขายิ้มบ่อย ๆ มากกว่า รอยยิ้มมันก็ต้องสดใสกว่าหน้าบึ้งอยู่แล้วใช่ไหมล่ะครับ
“จ้องหน้าฉันทำไมอยู่ได้” คนที่เอ่ยทำลายความเงียบก่อนก็คือ วูฟ ผมเขยิบเข้าไปนั่งใกล้เขาอีก เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่เหลือบมองเท่านั้น
“ขอบคุณนะครับ สำหรับหนังสือที่คุณซื้อให้ผมมากมายแบบนี้”
“ก็แค่หนังสือเอง ไม่เห็นจะได้ซื้ออะไรมากมาย”
“สำหรับคุณอาจจะไม่มากมาย แต่สำหรับผมที่ไม่เคยได้รับอะไรที่ดีแบบนี้ มันวิเศษมากเลยล่ะครับ” ผมบอกจากใจจริง ผมไม่มีโอกาสที่จะได้ซื้อหนังสือที่ตัวเองชอบมากขนาดนี้หรอกครับ เป็นโชคดีของผมจริง ๆ ที่ได้เจอคนที่ใจดีอย่างวูฟ
เขาเหลือบมามองผมแวบหนึ่งเหมือนอยากจะพูดอะไร วูฟทำหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา
“หนังสือเล่มที่นายอยากได้นี่...ทำไมนายถึงสนใจ” มันเป็นคำถามที่ทำให้ผมแปลกใจอยู่สักหน่อย ก็ไม่คิดว่าวูฟจะถามเรื่องหนังสือนินา แต่ผมก็ยินดีจะตอบนะครับ
“มันเป็นหนังสือทฤษฎีความรักน่ะครับ ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า เชื่อฉันว่ามันคือรัก...ผมอยากอ่านเรื่องราวในนั้นดูน่ะครับ ผมตามหาหนังสือเล่มนี้เพราะเจอจากหนังสือโรแมนซ์อันอื่นที่ผมอ่านมาอีกที” ผมอธิบายอย่างตั้งใจโดยที่ไม่รู้ว่าวูฟมองผมไม่ละสายตา
“นายนี่ดูจะเชื่อมั่นในรักแท้ดีนะ...”
“ครับ เพราะผมเชื่อว่ารักแท้ คือแกนโลกที่หมุนวนทำให้โลกของเราดำเนินต่อไป แม้หลายคนอาจจะไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องจริง แต่ผม....” ผมกำลังจะพูด
“แต่นายก็เชื่อมั่น จะพูดแบบนี้ล่ะสิ...” วูฟพูดล้อผมด้วยใบหน้านิ่ง ๆ ของเขา ก่อนผมจะโดนเข้าเอานิ้วมาดีดหน้าผากไม่แรงมากนัก
“นายมันเพ้อเจ้อจริง ๆ” ถึงเขาจะพูดแบบนั้น ปากของผมมันดันยิ้มออกมาเมื่อมองหน้าวูฟที่ละสายตาออกไปข้างนอก มุมปากของเขามีรอยยิ้มเล็ก ๆ ด้วยล่ะครับ ยิ้มกว้าง ๆ หน่อยก็ไม่ได้ อยากเห็น...
ผมกับร่างสูงกลับมาถึงบ้าน ผมก็ต้องตาโตกับห้องโถงที่เราเดินผ่านถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้สวยงามหลากสีสัน โต๊ะจีนสำหรับงานเลี้ยงถูกจัดวางไว้จำนวนหนึ่ง ตรีมงานยังกับงานแต่งงานแหนะครับ
“พรุ่งนี้จะเป็น
งานประกาศหมั้นอย่างเป็นทางการ จะมีตระกูลดังหลายตระกูลมา” เสียงเข้มที่เอ่ยขึ้นทำให้ผมหันขวับไปมองเขาที่ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้ว
“อะไรนะครับ งานหมั้น...”
“ฉันเคลียร์เรื่องครอบครัวของนายเรียบร้อย ส่วนเรื่องทางนี้พ่อกับแม่ของฉันเข้าขอมา ว่าอยากหมั้นอย่างเป็นทางการไปก่อน ถ้าจะแต่ง...ก็ต้องรอฉันขึ้นรับตำแหน่งอัลฟาเต็มตัวก่อน...ซึ่งก็ไม่รู้เมื่อไหร่....” เขาพูดชิว ส่วนผมเหรอครับ ไม่ได้ฟังเขาหรอก มัวแต่ดูดอกไม้สวย ๆ ที่ประดับประดาอยู่ จนวูฟสะกิดแขนผม
“กลับห้องไปนอนได้แล้ว มานี่เลย” อยากได้ดอกไม้...ผมเหลือบมองดอกไม้แวบหนึ่ง มันสวยก็อยากเอากลับห้องด้วยเฉย ๆ น่ะครับ... วูฟมองตามสายตาของผม
“ฉันเอาดอกไม้แจกันนี้ไปนะ หาอันใหม่มาเปลี่ยนด้วยก็แล้วกัน” ผมตาโตเมื่อวูฟไปหยิบแจกันที่ผมมองอยู่ด้วยมือเดียวของเขา พวกสาวใช้ก็พยักหน้ารับ ใครจะกล้าไปขัดร่างสูงกันล่ะครับ...แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะหยิบมันกลับไปทั้งแจกันขนาดนี้ มืออีกข้างที่ไม่ได้ถือแจกันเขาก็กุมมือผมให้เดินกลับไปบ้านของเขา
“มาได้แล้ว อะไรอีก อยากได้ดอกไม้ทั้งงานรึไง?” เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมไม่ยอมเดินตามเขาไป ก็มัวแต่อึ้งที่เขาทำแบบนี้อยู่...
“เปล่าครับ แค่แจกันนั้นก็พอแล้ว” ผมยิ้มกว้าง วูฟทำหน้านิ่ง ๆ แล้วเลิกสนใจผมที่แอบหลุดหัวเราะ
ก็กำลังคิดภาพว่าคนที่มองพวกเราจะคิดยังไง คนหนึ่งโดนลาก อีกคนถือแจกันด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างก็จูงมือผม...มันเป็นภาพพิลึกแปลก ๆ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันอบอุ่นนะ...
...
ขอบคุณคอมเมนต์เเละกำลังใจดี ๆ จากคนอ่านที่น่ารัก ^^
โอเมก้าถูกกำหนดทางชนชั้นว่าเป็นทาส ลูดี้เลยยังฝังใจกับเรื่องฐานะตัวเองอยู่
เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ด้วยน๊าาา จุ๊บบบ