ตอนที่ 13 บังเอิญคืนนี้พระจันทร์สวย
ผมรู้สึกตัวตื่นตามเวลาปกติทั้งๆที่เมื่อคืนกว่าจะนอนก็เกือบสว่าง ความรู้สึกแรกก่อนลืมตาขึ้นมาคือ อึดอัด เมื่อปรับสายตาจากอาการงัวเงียได้แล้ว ผมจึงรู้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของพี่ดีน
จะว่าตกใจมันก็ตกใจไม่สุดครับ เพราะเราก็อยู่กันท่านี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ผมยังนอนนิ่งๆแอบลอบสังเกตพี่เขายามหลับ ใบหน้าหล่อเหลาที่ติดตาติดใจผมตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ในเวลานี้กลับดูเด็กลงอย่างไม่น่าเชื่อ ค่อยเหมือนนักศึกษาชั้นปีที่สามหน่อย คงเป็นเพราะผมยุ่งๆกับใบหน้าผ่อนคลายของพี่เขา
เมื่อแอบจ้องใบหน้าพี่ดีนได้สักพัก ผมจึงตัดสินใจขยับกายออกจากวงแขนที่ยังโอบเอวผมอยู่ ก่อนจะตรงดิ่งไปยังห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แต่ยังไม่อาบน้ำ เพราะอาบครั้งล่าสุดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง งั้นขอเก็บไว้ก่อนดีกว่า
ออกมาจากห้องน้ำผมก็แอบสำรวจห้องนอนของพี่ดีน เดาไว้อยู่แล้วว่าห้องพี่แกต้องเป็นระเบียบ ขนาดห้องกว้างกว่าห้องที่หอพักเป็นเท่าตัว ดูเหมือนพี่ดีนจะใช้เวลาอยู่ในห้องเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะในห้องนี้มีครบทุกอย่างเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี ตู้เย็น โต๊ะอ่านหนังสือ ชั้นวางของ ตู้หนังสือ พี่ดีนมีหนังสืออยู่เยอะมากๆ ทั้งการ์ตูน วรรณกรรมภาษาอังกฤษ นิยายสืบสวน ผมแอบเห็นว่ามีกีต้าวางหลบมุมอยู่ด้วย ไม่รู้มาก่อนเลยครับว่าพี่ดีนก็เล่นดนตรีได้เหมือนกัน
หันซ้ายหันขวา ไม่รู้จะทำอะไรดี ตอนนี้พึ่งจะเจ็ดโมงเช้า พี่ดีนคงไม่ตื่นเร็วๆนี้แน่
แต่จะให้ผมกลับไปนอนอีกรอบก็นอนไม่หลับอ่ะ ตื่นเช้าจนติดเป็นนิสัยก็ไม่ดีเหมือนกันนะ พอจะนอนตื่นสายหน่อยก็ทำไม่ได้ ร่างกายมันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
ผมพึ่งสังเกตว่าห้องนี้มีประตูทางออกไปยังระเบียงห้อง จึงเดินเข้าไปใกล้ๆก่อนจะใช้มือเลื่อนผ้าม่านที่ถูกปิดให้เปิดออก ด้านนอกมีกระถางต้นไม้วางอยู่จนเต็มแนวระเบียง มีเก้าอี้ตัวใหญ่พร้อมเบาะรองนั่ง ที่ปรับเอนพนักพิงได้
ผมขยับประตูบานเลื่อนให้เปิดออกด้วยเสียงเบาที่สุด กลัวไปรบกวนเจ้าของห้อง เดินออกไปสำรวจข้างนอก ห้องนอนของพี่ดีนอยู่ด้านหน้าของตัวบ้าน มองลงไปจะเห็นสวนร่มรื่น ผมชะโงกหน้าลงไปมองเห็นเจ้าเดนเด็นวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน จนหลุดยิ้มออกมา
หันหลังกลับมาสำรวจในตัวระเบียงอีกครั้ง ตรงมุมระเบียบมีบัวรดน้ำต้นไม้ขนาดเล็กวางอยู่ใกล้กันมีก๊อกน้ำ จึงเดินเข้าคว้ามันมา เปิดน้ำใส่ ก่อนจะรดน้ำต้นไม้ทุกต้นที่ถูกปลูกไว้ให้เจ้าของ เป็นการตอบแทนที่ให้ผมพักค้างคืน
เมื่อรดน้ำครบทุกต้นแล้ว ผมจึงเอาบัวรดน้ำไปคว่ำไว้ที่เดิม ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง
เมื่อเปิดประตูเข้ามา ผมเห็นพี่ดีนนอนตะแคงข้างหันมามองผมอยู่ก่อน
“เอ่อ ตื่นนานแล้วหรอครับ”
“พึ่งตื่น” เสียงแหบๆของคนพึ่งตื่นนอนตอบกลับผมมา “ออกไปทำอะไรข้างนอก”
“รดน้ำต้นไม้ครับ”
“ทำไมตื่นเช้า พึ่งนอนไปไม่กี่ชั่วโมง”
“มันตื่นเองครับ ยางทำให้พี่ตื่นหรือเปล่า”
“อื้อ ขยับตัวแล้วไม่เจอมึง” พี่ดีนพูดพร้อมกับละตัวออกจากผ้าห่ม เดินโซเซไปทางห้องน้ำ ทิ้งให้ผมมองตามเขาไปจนบานประตูปิดลง
เมื่อพี่ดีนทำธุระในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวเอ่ยชวนผมให้ลงไปหาอะไรกินข้างล่าง เมื่อเดินเข้าไปในครัวก็ไม่เจอใคร บวกกับบรรยากาศรอบกายที่เงียบผิดปกติเหมือนมีเราอยู่กันแค่สองคน ทั้งๆที่พ่อแม่พี่ดีนน่าจะตื่นกันแล้ว แต่ผมยังไม่เจอท่านทั้งสองเลยครับ ใจอยากเข้าไปทักทายทั้งคู่จะแย่ เพราะมาอาศัยนอนบ้านเขายังไม่ได้ขออนุญาตเลยสักคำ
“พ่อกับแม่พี่ยังไม่ลงมาหรอครับ”
“ออกไปข้างนอกแล้ว” พี่ดีนเอ่ยตอบโดนที่เจ้าตัวยังนั่งยองๆอยู่หน้าตู้เย็น มองหาอะไรสักอย่างในตู้
“อ้าว ออกไปกันตั้งแต่เช้าเลยหรอครับ” แบบนี้ผมก็ไม่ได้ทักทายของจริงเลยสิครับ แย่จัง
“อื้อ พ่อต้องไปเป็นประธานงานแต่งที่ต่างจังหวัด เลยออกไปกันตั้งแต่เช้า”
ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้พี่ดีนที่ยังยุ่งอยู่กับการหาของในตู้เย็น
“หาอะไรหรอครับ” ผมก้มลงเอามือทั้งสองข้างค้ำไว้ตรงหัวเข่า ชะโงกหน้าเข้าไปดูบ้าง
“กำลังคิดว่าจะทำอะไรกินดี”
“พี่ดีนทำกับข้าวเป็นด้วยหรอ”
“อื้อ มึงอยากกินอะไร”
“ข้าวไข่เจียวก็ได้ครับ” หลังพูดจบพี่เขาก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องผม พร้อมกับเงียบไปสักพัก
“ยังไม่ได้หุงข้าว กว่าจะสุกคงอีกสักพัก ไข่เจียวอย่างเดียวได้มั้ย”
“ได้ครับ ให้ยางช่วยมั้ย” ผมว่าพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งยองๆข้างพี่ดีน
“ไปชงอะไรดื่มรองท้องตรงนู้นก่อนไป ทำให้กูแก้วนึงด้วย”
ปรากฏว่ามื้อเช้าของเรามันไม่ใช่แค่ ไข่เจียว หน่ะสิครับ แต่มันคืออาหารเช้าที่ดูดีมากๆ คาดไม่ถึงเลยว่าพี่ดีนจะทำอาหารเก่งขนาดนี้ ถ้าเป็นผมนะ ทอดไข่ดาวให้ไข่แดงไม่แตกยังทำไม่ได้เลยครับ
อาหารเช้าวันนี้คือ ออมเล็ตใส่เห็ดและชีส กินคู่กับสลัดกับขนมปังกระเทียม ที่สำคัญอร่อยมากเลยครับ
เมื่อเราทานมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อย ผมจึงอาสาเก็บกวาดครัวให้ ในขณะที่พี่ดีนหายไปให้อาหารเจ้าหมาสองตัว ก่อนจะเดินมาบอกผมว่าขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อน ถ้าเสร็จแล้วก็ให้รีบตามขึ้นไป
ผมเช็คอ่างล้างจานให้แห้งสนิทเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนจะเช็คปลั๊กไฟในครัวให้เรียบร้อย ถ้าเรื่องทำความสะอาดบ้าน ไว้ใจน้ำยางได้เลยฮ่ะ งานนี้ผมถนัด
จากนั้นก็เดินไปเล่นกับเจ้าลูฟี่และช็อปเปอร์อยู่พักใหญ่ เล่นเพลินจนพี่ดีนต้องลงมาตามให้ขึ้นไปอาบน้ำ
“อยากไปไหนหรือเปล่า” พี่ดีนถามผมตอนที่กำลังเป่าผมให้แห้งด้วยพัดลมในห้องนอนพี่เขา
“อืมมม อยากไปท้องฟ้าจำลองครับ”
“ไปทำอะไร”
“อยากดูดาว”
“มันไม่ใช่ของจริง ไปทำไม”
“ก็ของจริงในกรุงเทพมันไม่มีให้เห็นเลยนี่ครับ”
“งั้นก็รีบแต่งตัว”
“พี่ดีนจะพาไปหรอ” ผมหมุนตัว หันหน้าไปทางพี่เขาที่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา
“ช้าก็อด”
“เสร็จแล้วครับ เสร็จแล้ว” ผมรีบบอก พร้อมกับเด้งตัวลุกขึ้นจากพื้น กดปิดพัดลม ก่อนจะวิ่งไปตรงระเบียงห้อง เอาผ้าขนหนูไปตาก
.
.
.
.
“ทำไมท้องฟ้าจำลองมันไกลจังเลยครับ” ผมเอ่ยถามพี่ดีน หลังจากที่เรานั่งอยู่บนรถมาเป็นชั่วโมงกว่า และถ้าให้ผมเดาเส้นทางตอนนี้เริ่มออกห่างจากตัวเมืองเข้าไปแล้ว
“จะพาไปดูของจริง”
“ห๊ะ ที่ไหนอ่ะ”
“ถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้ ง่วงก็นอนไป”
“มันไกลมากเลยหรอครับ”
“น่าจะอีกสองชั่วโมง”
“ยางนั่งเป็นเพื่อนพี่ดีนดีกว่า แต่เดินทางไกลแบบนี้ แวะปั๊มน้ำมันก่อนได้ไหมครับ” ผมเอ่ยขอพี่เขา ปกติผมไม่ค่อยได้เดินทางไปไหน เพราะที่บ้านก็ยุ่งๆทำงานกับหมด ปิดเทอมเลยได้แต่นอนเล่นที่เรือนคุณปู่ หรือถ้าจะเดินทางไปไหนมักจะขับรถกันไปเอง ผมจึงชินกับการนั่งรถข้ามจังหวัดที่ใช้เวลาหลายชั่วโมง นั่งได้สบายมาก แถมชอบอีกต่างหาก
ผมชอบความรู้สึกตอนที่เราแวะปั๊มหรือจุดพักรถต่างๆ เพื่อซื้อกาแฟ ของกิน และขนมของฝากประจำแต่ล่ะท้องถิ่น พอได้ยินจากพี่ดีนว่าเรายังต้องนั่งรถต่อไปอีกเป็นชั่วโมง ถ้าไม่อยากให้เผลอหลับไป ก็ต้องหาอะไรมาเคี้ยวไว้ครับ
“อื้อ เดี๋ยวเจอจุดใหญ่จะแวะ”
เมื่อออกเดินทางกันได้สักระยะ ผมจึงรู้ว่าเส้นทางที่เรามานั้นมันคือเส้นที่วิ่งลงสู่ภาคใต้
ระหว่างทางพวกเราแวะกันหลายที่มากๆ จนตอนนี้ก็ห้าโมงเย็นแล้ว ผมยังไม่รู้จุดหมายปลายทางของเรากันเลยครับ รู้แค่ว่าตอนนี้เราอยู่กันที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขับไปต่ออีก3-4ชั่วโมงก็กลับบ้านผมได้เลยแฮะ
หวังว่าพี่เขาคงไม่ได้หลอกผมไปทิ้งที่บ้านนะครับ
เราแวะทานมื้อเย็นกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวริมทาง เมื่อกลับเข้ามาในรถพี่ดีนก็ยื่นโทรศัพท์มือถือของเขามาให้ผม ผมก้มมองหน้าจอ จึงรู้จุดประสงค์ของพี่เขา
“ช่วยดูทางให้หน่อย”
พี่ดีนปักหมุดปลายทางไว้ในกูเกิ้ลแมพแล้ว ผมถึงรู้ว่าสถานที่ที่เราจะไปนั้นคือ บึงบัว เขาสามร้อยยอด
รถเริ่มวิ่งเข้าสู่เส้นทางชนบทที่ข้างทางมืดสนิท แทบไม่มีบ้านคน บวกกับถนนลูกรัง โชคดีที่วันนี้พี่ดีนไม่ได้เอาเบนซ์ของตัวเองมา เปลี่ยนมาขับซีอาร์วีแทน ผมล่ะกลัวหินกระเด็นขีดรถพี่เขามากเลยฮ่ะ
พวกเราใช้เวลาพอสมควรกว่าจะไปถึงปลายทาง เพราะผมกลัวหลงหรือดูแผนที่ผิด จึงบอกให้พี่ดีนขับช้าๆ
“อีกสามร้อยเมตรก็จะถึงแล้วครับ” ผมก้มลงมองแผนที่ในมือถือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาช่วยพี่ดีนมองหาปลายทางของเรา
เมื่อรถจอดสนิทอยู่ตรงหน้าอาคารที่ทำการจึงพากันลงจากรถ มองหาใครสักคนเพื่อสอบถาม แต่เมื่อไม่เจอใครจึงตัดสินใจเดินเข้าไปตรงสะพานไม้ที่ทอดยาวไปในบึงขนาดใหญ่ ไม่เห็นป้ายห้ามและเวลาเปิดปิด มีเพียงแต่ป้ายเตือนให้ระมัดระวังเวลาเดินเนื่องจากสะพานค่อนข้างเก่า
ผมยิ้มกว้างเมื่อลมเย็นๆ ปะทะกับใบหน้า สูดหายใจเข้าลึกๆอย่างโหยหาอากาศดีดีเช่นนี้
พี่ดีนเดินนำหน้าผมอยู่หน่อย ในมือมีไฟฉายที่เปิดจากมือถือคอยส่องมองทาง เดินมาได้สักระยะ แต่ไม่ได้ไกลจากฝั่งเท่าไรนัก ก่อนพี่เขาจะหยุดเดิน พร้อมกับปิดไฟในมือถือ
“ดูสิ” แล้วพี่ดีนก็หันมายิ้มให้ผม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ผมมองตามสายตาของพี่เขา ก่อนลมหายใจจะสะดุด
สวยมาก สวยมากๆ
เป็นเพราะตรงนี้มืดสนิทไม่มีแม้แต่ดวงไฟสักดวง จึงทำให้มองเห็นแสงจากธรรมชาติที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน
ดาวดวงเล็กๆ กระจายอยู่เต็มผืนฟ้า ส่องประกายระยิบระยับเหมือนแข่งกันอวดแสงสว่างในตัวเองว่าใครจะส่งประกายได้สวยงามกว่ากัน
ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นที่ไหนมีดาวเยอะเท่าที่นี้มาก่อน แม้กระทั่งบ้านสวนที่ห่างไกลของผม จำนวนดวงดาวบนท้องฟ้ายังมีไม่ถึงครึ่ง เมื่อเทียบกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้
“สวยมากเลยครับ”
“ถ้าเรามาช่วงต้นปีจะมองเห็นทางช้างเผือก”
“จริงหรอครับ ผมอยากเห็น” ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เมื่อได้ยินพี่ดีนบอกอย่างนั้น ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเราจะมองเห็นทางช้างเผือกของจริงได้จากจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ และสำคัญ ไม่ได้ไกลจากบ้านเกิดผมเลยฮ่ะ
ตั้งแต่เด็กๆผมคิดไปเองมาตลอดว่า ถ้าเราอยากเห็นดวงดาวอย่างชัดๆ ก็ต้องไปยืนให้ใกล้มันที่สุด เช่นบนภูเขาสูงๆอย่างยอดดอยทางภาคเหนือ
ยิ่งใกล้ฟ้ามากเท่าไร เราจะยิ่งเห็นดวงดาวได้มากขึ้น
แต่ผมลืมคิดไป ว่าต่อให้ยืนอยู่ที่ไหน ท้องฟ้าที่เราเห็น มันก็คือผืนฟ้าแผ่นเดียวกัน
“ไว้มาใหม่” พี่ดีนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ แต่ผมกลับได้ยินมันอย่างชัดเจนเนื่องจากบรรยากาศรอบกายที่เงียบสนิท
“ขอบคุณที่พามานะครับ”
“อื้อ”
ผมหันไปมองพี่เขาที่ยินพิงตัวเท้าแขนกับราวสะพาน
ใบหน้าพี่ดีนมีรอยยิ้มเหมือนกับผม แม้จะไม่กว้างเท่า แต่สิ่งสำคัญคือพี่เขากำลังยิ้ม
ยิ้มที่สื่อความหมายเหมือนกัน
ผมทิ้งสายตาไว้ตรงใบหน้าของพี่ดีน เบื้องหลังพี่เขาคือผืนฟ้ากว้างใหญ่ที่มองไปได้ไกลจนสุดตา แสงระยิบระยับจากดวงดาวและพระจันทร์เป็นตัวช่วยส่องแสงให้ผมมองเห็นใบหน้าพี่เขาได้ชัดขึ้น
“พี่ดีน”
เป็นอีกครั้งที่เราสบตากัน ผมมองเห็นแววตาดวงเดิมที่สะท้อนภาพผมไม่ต่างกัน
และหวังว่ามันจะสะท้อนความรู้สึกเดียวกันกับผม
“ยางไม่รู้ ว่าที่ผ่านมาพี่ดีนเคยสงสัยอะไรบ้างหรือเปล่า หรือต่อให้ไม่สงสัยอะไรเลย ยางก็อยากจะพูดมันออกมาให้ชัดเจน” ผมเว้นระยะ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ยางรักพี่ดีน เป็นแฟนกับยางได้ไหมครับ”
“น้ำยาง”
“ยางสบายใจที่ได้อยู่ใกล้พี่ อยากอยู่กันพี่บ่อยๆ มีตั้งหลายที่ที่ยางอยากไปกับพี่ดีน มีหลายเรื่องที่ยางอยากเล่าให้พี่ดีนฟัง แล้วยางก็อยากฟังจากพี่ดีนด้วย…
ยางอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อย แต่ยางคิดว่าเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันดีมากๆเลยใช่ไหมครับ พี่ดีนเองก็รู้สึกแบบนั้นใช่ไหม” ผมยังคงจับจ้องที่ดวงตาคู่เดิม หวังจะสื่อสารความรู้สึกให้พี่เขารับรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ
พีดีนส่งยิ้มกลับมาให้ผม พวกเราเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพี่เขาจะเริ่มเอ่ยกลับมา
“อะไรที่ยางรู้สึก พี่เองก็รู้สึกไม่ต่าง...
แต่เป็นเหมือนทุกวันนี้มันก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
หัวใจผมเต้นแรงในประโยคแรก แต่กลับต้องแผ่วเบาลงเหมือนใช้ความเร็วเต็มอัตราจนหมดแรง
“ทำไมล่ะครับ”
“แบบนี้คงดีกว่า” ผมเห็น เห็นว่าพี่เขาหลบสายตา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราสบตากันตลอด
“ดียังไง พี่ดีนกลัวอะไรครับ บอกยางได้ไหม เราจะได้ช่วยกันทำให้มันดีขึ้นไง”
“ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ดีมากพอแล้ว”
“พี่ดีนแน่ใจหรอครับ” ผมกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้พี่เขาให้มากขึ้น
“พี่แน่ใจ เป็นยางต่างหากที่ไม่มั่นใจ” พี่ดีนหันกลับมาสบตาผมอีกครั้ง แต่แววตาครั้งนี้มันเปลี่ยนไป
“แล้วจะให้ยางเอาความมั่นใจมาจากไหน ในเมื่อเราไม่เคยพูดให้มันชัดเจนเลย เราอย่ามาเดากันเองแบบนี้ดีไหมครับ ยางบอกพี่ไปหมดแล้ว ถึงคราวที่พี่ดีนต้องบอกยางบ้างแล้วนะ”
“พี่พูดไปแล้ว”
“พูดว่าอะไรครับ” ผมไม่เข้าใจ จนเกือบจะหงุดหงิดใส่พี่เขา
“อะไรที่ยางรู้สึก ให้รู้ไว้ว่าพี่เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน”
“งั้นคบกันสิครับ เป็นแฟนกันนะ แค่ตอบตกลงเอง แค่ตกลง” ใจผมเจ็บไปหมด ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเพราะอะไร ในเมื่อรู้สึกเหมือนกันแท้ๆ ทำไมต้องทำให้มันยากด้วย
“น้ำยาง”
“พี่ดีนไม่ได้รู้สึกเหมือนยางเลยสักนิด” เป็นผมที่เบี่ยงหน้าหลบสายตาเขาบ้าง
“พี่ไม่เคยโกหก”
“แล้วให้คำตอบที่ชัดเจนได้ไหมครับ” ว่าเราเป็นอะไรกันแน่
“พี่..ไม่อยากให้ยางต้องอึดอัด ไม่อยากให้ยางต้องเสียใจ”
“มันจะไม่มากไปกว่านี้แล้วล่ะครับ”
“อย่าร้องไห้สิ”
“ยางจะรอฟังคำตอบที่ชัดเจน แต่ถ้าพี่ยังยืนยันคำเดิม ยางคงไปต่อไม่ไหว” ผมปาดน้ำตาทิ้งอย่าลวกๆ เข้าใจมาตลอดว่าเวลาที่คนเราเสียใจมากๆ ต้องร้องไห้สะอื้นจนตัวโยง ซึ่งผิดกับตัวผมในตอนนี้เลย ผมมั่นใจว่าในใจกำลังทรมานอย่างถึงที่สุด แต่มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างเงียบๆ ไม่มีมีแม้กระทั่งเสียงสะอื้นหลุดออกมา
“ไม่เอา”
“พี่ดีนมีความสุขจริงๆหรอครับ กับความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียกแบบนี้ มันไม่มีจริงๆหรอกนะครับ ความสัมพันธ์บ้าบออะไรนั่น มันก็แค่ข้ออ้างของคนที่ไม่หนักแน่น แต่ถ้าพี่ดีนเลือกแบบนั้น ยางยอมแพ้เองก็ได้”
“ฟังก่อน ฟังพี่ก่อนนะ” พี่ดีนก้าวเข้ามารวบตัวผมไปกอดไว้ ผมรู้สึกได้ว่าตัวพี่เขาสั่น
“ถ้าพี่อยากอธิบาย ยางก็พร้อมที่จะรับฟัง”
.
.
.
.
เราเดินกลับมายังฝั่ง นั่งลงข้างกันบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ริมบึง บรรยากาศรอบตัวยังคงเงียบสงัดกับดวงดาวเต็มท้องฟ้า
“พี่คิดว่าตัวเองมีปัญหา”
หลังจากที่เราเงียบกันไปสักพัก พี่ดีนก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบนั้นไป ผมหันไปมองพี่เขาหลังจบประโยค เห็นว่าเจ้าตัวกำลังทอดสายตาไปยังที่ไกลแสนไกล
“เป็นเด็กขาดความอบอุ่นทั้งๆที่ครอบครัวไม่ได้แตกแยกหน่ะ”
ผมเลือกที่จะเงียบ เป็นผู้ฟังที่ดีไม่เอ่ยขัดอะไรเขา
“พี่อายุห่างจากพี่ชาย 5 ปี…
ตั้งแต่จำความได้ พี่เห็นแดนกับดอนตัวติดกันตลอด
เล่นก็เล่นด้วยกัน ใช้ของเหมือนๆกัน พอเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกันทีไร ก็อยากเข้าไปเล่นด้วย ตอนแรกก็เล่นกันอยู่ดีๆ แต่เพราะอายุห่างเกินไปล่ะมั้ง เลยเล่นได้แค่แปปเดียว แล้วเขาก็แยกตัวออกไปเล่นกันสองคน….
เคยได้ยินเรื่องความสัมพันธ์ของฝาแฝดหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าสองคนนั้นไม่รักน้องชายอย่างพี่หรอกนะ เพียงแต่เขาสนิทกันมาก สนิทจนบางครั้งสองคนนั้นก็เผลอทิ้งพี่ไว้คนเดียว พี่รู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ อาจจะเพราะยังเด็กเลยไม่รู้ว่าบางครั้งกระทำของเขามันส่งผลกระทบจนฝังใจใครอีกคน…
อายุพวกเราก็ห่างกันตั้งหลายปี พี่เลยตามแดนกับดอนไม่เคยทัน
พยายามหัดเล่นเกมทีเขาชอบเล่นให้เก่งๆ จะได้ไปเล่นด้วยกันได้ แต่กว่าจะเล่นเก่ง แดนกับดอนก็เบื่อเกมนั้นแล้วหันไปเล่นเกมใหม่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเล่นกับพี่เลยนะ แต่มันคงไม่สนุกเพราะพี่เอาแต่แพ้อยู่เรื่อย
เป็นแบบนี้บ่อยๆเข้ามันก็เหงา ทั้งๆที่มีพี่ชายตั้งสองคน นี่เป็นเหตุผลที่พี่เคยบอกแม่ว่าอยากมีน้อง
แต่ความรู้สึกนั้นมันหายไป ตอนเรียนอยู่ ป.3 เพราะมีเพื่อนใหม่ที่ย้ายเข้ามากลางเทอม
มันเป็นเด็กตัวเล็กกว่าเพื่อน ขี้อาย เพื่อนในห้องเลยชอบแกล้งจนมันร้องไห้” พี่ดีนหลุดขำออกมาเบาๆ เมื่อหวนคิดถึงเหตุการณ์นั้น
“พี่ริว ใช่ไหมครับ” ผมเดาได้ไม่ยากเลย
“อืม พอเห็นมันร้องไห้ ก็เข้าไปปลอบเพราะสงสาร ไปๆมาๆก็สนิทกัน ริวมันตัวติดพี่มาก มันเคยบอกว่า อยู่ใกล้พี่แล้วปลอดภัย ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแกล้ง เพราะพี่คอยปกป้องมันได้…
ความรู้สึกของเด็กที่อยากมีน้องในตอนนั้นคือดีใจมาก จากที่ไม่เคยเล่นกับใครแล้วสนุก แต่พอมาเจอริวชีวิตตอนนั้นก็เปลี่ยน รู้สึกเป็นคนสำคัญขึ้นมา
จนมารู้ว่าคอนโดที่ริวพักคือตึกหลังบ้าน หลังจากนั้นริวมันก็มาเล่นที่บ้านบ่อยๆ
แดนกับดอนเห็นว่าริวมันน่ารักเลยชอบเข้าไปแกล้ง รู้ตัวอีกที จากตอนแรกที่ริวมันเรียกหาแต่พี่ มันก็เปลี่ยนไปเรียกหาแดนแทน” พี่ดีนแค่นหัวเราะให้ผมต้องหันกลับไปมองใบหน้าของพี่เขาอีกครั้ง
“พี่ดีน ชอบพี่ริวหรอครับ” ผมถามกลับไปด้วยใจที่สงบขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวที่พี่เขาเล่ามา
“ชอบ แต่ไม่ได้ชอบแบบแฟนหรอก ตอนนั้นยังเด็ก ยังไม่รู้จักความรู้สึกแบบนั้น มันเหมือนเพื่อนสนิทที่ตัวติดกัน จู่ๆก็ดันย้ายกลุ่มไปสนิทกับคนอื่นแทน”
“แล้วพี่แดนกับพี่ริวเป็นแฟนกันตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรอครับ”
“เปล่า พึ่งเป็นตอนพี่อยู่ ม.2”
“พี่ดีน เสียใจมั้ยครับ”
“เสียใจทำไม พี่ไม่ได้รักริวแบบนั้น” พี่ดีนเอ่ยพร้อมกับหันมามองหน้าผม
“เล่าต่อสิครับ”
“แล้วก็ไอ้เด็น...
แดนกับดอนไปเจอที่โรงบาลสัตว์ของมหาลัย เจ้าของเขาบอกว่าเลี้ยงไม่ไหวเพราะคลอดออกมาตั้ง 6 ตัว แดนดอนเห็นมันน่ารักเลยขอมาเลี้ยง
แทนที่จะขอมาตัวเดียว แต่กลัวมันเหงาเลยขอมาสองตัว เป็นหมาของแดนตัวนึง ของดอนตัวนึง
พี่เคยถามว่าทำไมไม่เอามา 3 ตัวไปเลย ไหนๆเขาก็เลี้ยงไม่ไหว ดอนมันบอกว่าเอามาเยอะก็กลัวเป็นเราที่เลี้ยงไม่ไหว แต่สุดท้ายสองคนนั้นก็ไม่ได้เลี้ยงหรอก เพราะแดนกับดอนมันอยู่หอใกล้มหาลัย ไอ้เด็นมันเลยต้องให้พี่เลี้ยงแทน แต่ก็ต้องขอบคุณแดนกับดอนนะ เพราะตั้งแต่ได้สองตัวนี้มาพี่ก็หายเหงาเวลาอยู่บ้านได้เยอะ”
“ทำไมอยู่บ้านถึงเหงาล่ะครับ” ผมไม่เข้าใจ เพราะอยู่บ้านผมไม่เคยต้องเหงา
“อยู่คนเดียวมันก็ต้องเหงาสิ บ้านทั้งหลัง”
“แล้วพ่อกับแม่ล่ะครับ”
“ท่านทำงานหนักตั้งแต่พี่เด็กๆแล้ว ไม่ค่อยได้อยู่บ้านหรอก ปกติที่บ้านมีแค่ป้าแม่บ้านที่มาทำงานแบบเช้าเย็นกลับ ไม่ได้ค้างคืน”
“แต่ยางยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องของเรายังไงหรอครับ” ผมเอ่ยถามขึ้น เพราะยังไม่เห็นถึงเหตุผลที่ทำให้เราคบกันไม่ได้
“คนที่คิดว่าตัวเองขาดความอบอุ่นหน่ะ พอเขาได้รับแล้วก็ไม่อยากเสียมันไปหรอกนะ”
“ใครๆก็ไม่อยากเสียสิ่งที่เป็นที่รักไปหรอกครับ”
“มันอาจจะฟังดูงี่เง่า เพราะไม่อยากต้องเสียอะไรไป สู้ไม่มีไว้ให้ต้องเสียมันไปจะดีกว่า พี่ถึงได้กลัวว่าวันหนึ่งยางจะอึดอัดจนไม่อยากอยู่ด้วยกันบ่อยๆแบบนี้แล้ว….
ไม่อยากรู้สึกเหมือนได้ครอบรองอะไรไว้แค่ในเวลาสั้นๆ” พี่ดีนถอนออกใจออกมาเบาๆ
“เหตุการณ์มันยังมาไม่ถึง ไม่มีใครรู้หรอกนะครับ”
“แต่เราป้องกันไม่ให้มันเกิดได้ไม่ใช่หรือไง”
“โดยการปิดตัวเองแบบนี้หน่ะหรอครับ มันน่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่า อย่างเช่น พูดคุยทำความเข้าใจกัน” ผมลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าไปยืนตรงหน้าพี่เขา
“อย่าให้เรื่องในอดีต ตัดสินสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเลยนะครับ ถ้าพี่คิดว่าการที่เรากำหนดสถานะให้กัน เป็นการทำร้ายตัวเองภายหลังในวันที่ความสัมพันธ์จบลง ผมอยากให้พี่คิดใหม่ ว่าการที่เรามีสถานะอย่างชัดเจนให้กัน คือการที่เรายอมรับกันและกัน ให้อีกฝ่ายเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรา เหมือนกับที่เราก็มีบทบาทในชีวิตเขา สำหรับยางแล้ว ถ้ายางรักใคร ยางก็หวงคนนั้น แล้วก็อยากให้เขาหวงเราด้วย มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วล่ะครับ ไม่หวงกันเลยสิแปลก…ให้โอกาสยางได้ไหมครับ ให้โอกาสตัวพี่ดีนเองด้วย” ผมเอื้อมือไปกุมมือพี่เขาไว้ ก่อนคนตัวสูงกว่าจะค่อยๆยืนตามขึ้นมา
“พี่ไม่อยากรักแล้วต้องเสียใครไปทีหลังเพราะมันคงเจ็บ แต่ตอนนี้พี่มั่นใจ ว่าถ้าเป็นยางคงไม่ทำให้พี่ต้องเจ็บ พี่เองก็จะไม่ทำเหมือนกัน”
หลังจบประโยคนั้นพี่ดีนก้าวเข้ามาสวมกอดผมไว้แน่น ผมกอดตอบพี่เขาพร้อมกับลูบแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างต้องการปลอบประโลมให้กับความรู้สึกในวัยเยาว์
“คำนี้พี่ขอเป็นคนพูดเอง…
เป็นแฟนพี่นะน้ำยาง”
Tbc.
ภาพประกอบ บึงบัว เขาสามร้อยยอด จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์
ขอบคุณเดรติดในภาพนะคะ
หลายตอนที่ผ่านมา พี่ดีนเจ็บมาเยอะ เพราะโดนด่า 55555
ไม่รู้ว่าพอจะเข้าใจความรู้สึกของพี่ดีนกันหรือเปล่า
ปมเล็กๆที่มันฝังอยู่ในใจ
ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า พี่แดนพี่ดอนเขาไม่รักน้องชายนะคะ เพียงแต่อาจจะเผลอลืมน้องไว้ข้างหลัง
จนเด็กมันแอบงอน 55555 นี่กลับกันถ้าน้ำยางมาเกิดในครอบครัวนี้ น้องคงงอนพี่ชายแล้วพร้อมโวยวาย ฮ่าาา
เอาล่ะ ต่อจากนี้ไปพี่ดีนจะชดใช้ให้เองนะน้องยาง 55555 ไม่รู้ใครจะติดใครแทนล่ะ
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะคะ เรารักทุกคนเลย~~
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า