ดราม่านิดนึงนะครับ ตอนนี้... เขียนไปคิดถึงม้าไป...
..........................................................................
ตอนที่ 59 ใจน้อย น้อยใจผมเข้าสอบ TOEFL เป็นครั้งแรกในเดือนถัดมา ครั้งนั้นที่สอบมี 4 Parts คือ Writing, Grammar, Reading และ Vocaburary ซึ่งผมต้องบอกว่า มันเป็นการสอบภาษาอังกฤษที่ยากมาก... โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ไปเรียนติวที่ไหนมาอย่างผม
เรื่องไปเรียนเมืองนอก ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับครอบครัวผม หลายๆ คนตื่นเต้น ยกเว้นคนๆ เดียวที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากให้ผมไปเท่าไรนัก
“ดิน...อยากไปเมืองนอกเหรอลูก” ม้าถามผมในวันนึง ที่ผมกลับบ้านแล้วคุยกัน ม้าชอบให้ผมหนุนตัก แล้วเอากิ๊บติดผมสีดำ แคะทำความสะอาดรูหูให้ผม..
“ครับม้า... ม้าว่าไงล่ะครับ”
“ก็...” ม้านิ่งไปพักนึง เหมือนจะชั่งใจ “เรียนที่เมืองไทยดีกว่าไหม”
“ไปเรียนที่โน่น ผมจะได้ภาษาด้วยไงครับ ม้า... เรียนที่เมืองไทยก็ไม่ได้ภาษา ทำงานแล้วมันไม่โตอ่ะครับ... ผมอยากทำงานให้ได้เงินเยอะๆ ม้าจะได้สบาย... ม้าไม่อยากให้ผมไปเหรอครับ”
ม้าลูบหัวผม “ม้าอยู่อย่างนี้ก็สบายนะดิน... ดินไปอเมริกา ห่างไปไกล ที่โน่นจะเป็นไงบ้างไม่รู้ ม้าคงคิดถึงดินนะ...”
“ผมไปไม่นานหรอกครับ ม้า... สองสามปี ผมก็จะกลับมา”
“จริงนะ” ม้ามีสีหน้าดีขึ้น อ้าว... ม้ากลัวผมไม่กลับมานั่นเอง
“จริงสิครับ ม้า”
“แล้วกลับมาจะพาสะใภ้แหม่มมาให้ม้าด้วยหรือเปล่าล่ะ?” ม้าถามยิ้มๆ
“กลัวพูดกันไม่รู้เรื่องเหรอครับ ม้า รับรองครับ ผมจะต้องหาสะใภ้ที่ม้าชอบมาให้ม้าให้ได้...”
“โฮ้ย... อย่ามาขึ้นอยู่กับม้าเลย ม้าจะอยู่กับดินได้นานสักเท่าไรกัน แต่คนนั้นเค้าต้องอยู่กับดินไปตลอดชีวิต ดีไม่ดี ก็อยู่ที่ดินแหละ... จะรักใครชอบใคร ม้าไม่ว่าหรอก”
“คงยากอะครับ ม้า...”
ม้าเอามือคีบจมูกผมเบาๆ... “ไอ้เรานี่น้า... เรื่องเก่าๆ ไม่รู้จะเก็บเอาไว้ทำร้ายตัวเองทำไม” ม้าหมายถึงน้องษา แฟนผมที่เลิกลากันไปเมื่อหลายปีมาแล้ว ซึ่งน้องษาเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมพามาบ้าน และม้าก็ยังไม่เคยเห็นผมพาใครมาบ้านอีก
“อะไรที่มันผ่านไปแล้ว ลืมได้ก็ลืมไปเหอะ ดิน” ม้าเอ่ยออกมาในที่สุด
ผมนิ่ง ไม่ตอบม้า... อันที่จริง ผมก็ยังไม่ได้ลืมน้องเค้าซะทีเดียว มันยังเป็นความเจ็บอยู่ลึกๆ ประกอบกับช่วงนี้ผมมีไอ้ชลกับพี่ธีร์ ที่ดึงเวลาของผมไปจนหมดจนไม่มีเวลาไปมองหาใคร...
“แล้วชลเค้ารู้รึเปล่า ดิน... ว่าเราจะไปเมืองนอก” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมม้าถึงถาม
“ยังไม่รู้ครับ... ยังไม่ได้บอก...” ผมส่ายหน้า เพราะอะไรไม่รู้เหมือนกันที่ทำให้ผมเก็บเรื่องนี้ ไม่บอกมัน ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวผมที่มันไม่รู้
“อ้าว... แล้วเราทำไมไม่บอกเค้าล่ะ?” ม้าถามอย่างแปลกใจ สีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย... “ระวังเค้าจะเสียใจนะ” (ตกลงว่าม้ารับเอาไอ้ชลเป็นลูกสะใภ้ไปแล้วหรือไงวะ...)
“ไว้ผมได้วีซ่าก่อนครับม้า แล้วค่อยบอก ไอ้ชลมันไม่เป็นไรหรอก...” ผมบอกส่งๆ ไป
“ชลเค้ารักดินนะ” (แบบไหนล่ะครับม้า... หุ หุ ชล... ตกลง แม่กรูรู้หรือเปล่าวะเนี่ย?)
“ครับ” ผมพยักหน้า อันนี้ผมรู้แล้ว... มันบอกผมทุกครั้งที่เจอกัน
“ดิน... เราน่ะ ปากแข็ง กระด้าง ไม่ค่อยเปิดเผยความรู้สึกให้ใครรู้ ไม่ว่าจะรัก ไม่รัก จะชอบ ไม่ชอบ หรือว่า เกลียด... ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ไม่รู้ไปได้ใครมา” ม้าตำหนิผมตรงๆ “บางครั้ง เราก็ไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกไว้คนเดียวหรอกนะ...”
ผมพลิกตัวตะแคงไปอีกด้านหนึ่ง เอามือกอดม้าเอาไว้... เปลี่ยนเรื่อง “ถ้าผมได้วีซ่า... วันผมไป ม้าไปส่งผมนะ..”
ม้าอึ้งไป ไม่นึกว่าผมจะเปลี่ยนมาเป็นเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ม้าไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย “จะดีเหรอ ดินก็รู้ม้าไม่ชอบขึ้นรถ... ม้าเมารถ ไปไหนมาไหนลำบาก”
“นะครับ ม้า... ผมอยากให้ม้าไปส่ง... และวันผมกลับมา ก็อยากให้ม้าไปรับผมที่สนามบินด้วย นะครับม้า” ผมอ้อน
“ตัวโตอย่างกับอะไร ไปหาสาวมาอ้อนได้แล้ว อย่ามาอ้อนม้า...” ม้าเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง อันที่จริงม้าก็ชอบแหละ แต่ปากแข็ง...หุ หุ รู้หรือยังครับว่าผมได้นิสัยนี้มาจากใคร...
ตอนนั้น ถ้าจะถามว่า อะไรที่เป็นจุดอ่อนของผมมากที่สุด... ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของม้า... ผู้หญิงที่ผมรักเคารพเทอดทูนที่สุดในชีวิต... ไอ้ดินจะลำบากยังไง แต่ม้าต้องมาก่อน... ไม่เคยปริปากบ่นสักนิด ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน
ม้าเอง ในวัยหกสิบกว่า (ตอนนั้น) เริ่มมีอาการของต้อกระจก... ดวงตาพร่ามัวลง แต่ม้าก็ไม่บ่นให้ผมได้ยิน แต่ม้าต้องใส่แว่นหนาขึ้น หนาขึ้น... ผมและพี่ชาย จึงตัดสินใจว่า จะต้องให้ม้าผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา...
พี่ชายที่ทำงานทางด้านสาธารณสุข พยายามสืบหาว่าหมอคนไหนที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการเปลี่ยนกระจกตาคนไข้ที่เป็นต้อกระจกจากหลายๆ ช่องทาง... และในที่สุดม้าก็ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา ซึ่งการผ่าตัด ผ่านไปด้วยดี... แต่ม้าต้องมาตรวจติดตาม ทุกๆ เดือน
ม้าที่อยู่ต่างจังหวัด และเราก็ไม่มีบ้านอยู่ในกรุงเทพฯ กันเลย... ดังนั้น ที่สะดวกที่สุดก็คือม้าจะต้องเดินทางมากรุงเทพฯ ด้วยรถไฟเที่ยวเช้า ลงที่สถานีรถไฟมักกระสันประมาณเก้าโมง ผมจะไปรับที่นั่น เพื่อพาม้ามาหาหมอที่โรงพยาบาล ก่อนจะพาม้าไปส่งขึ้นรถไฟที่หัวลำโพงในเที่ยวบ่ายเพื่อกลับบ้าน...วันที่ม้ามาหาหมอ ก็คือวันที่ผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อไปดูแลม้า... คอยระวังตอนขึ้น-ลงบันได ชานชาลาสถานี พาไปขึ้นรถตุ๊กๆ ที่ม้าเมาน้อยที่สุด กว่าแท๊กซี่...ก่อนจะเข้าทำงานในตอนบ่าย
สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่า ไม่ลำบาก แต่ม้าผมไม่ค่อยได้ไปไหนเพราะ ไม่ชอบคนเยอะ และชอบเมารถจึงค่อนข้างจะลำบากไม่น้อย... แต่ม้าบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก ดิน... ม้ามาได้ ไม่ลำบากหรอก” ซึ่งผมก็ได้แต่กล้ำกลืนเพราะไม่รู้จะทำให้ดีมากไปกว่านี้ได้ยังไง
สองสามครั้งแรกผ่านไปได้ด้วยดี... จนกระทั่ง...
วันนั้น เป็นวันที่ม้าจะต้องมาหาหมอ แต่ผมติดงานในช่วงเช้า ซึ่งจะต้องเคลียรงานให้เสร็จก่อนจะวิ่งไปที่สถานีรถไฟ ซึ่งจะเป็นเวลาฉิวเฉียดมาก...
“ชล... พรุ่งนี้กูติดงานตอนเช้า กูกลัวไปรับม้าไม่ทัน...” ผมบอกไอ้ชลมันวันก่อนหน้า ที่ม้าจะมา... ไอ้ชลมันรีบบอก
“เดี๋ยวกูไปรับม้าให้... มึงไม่ต้องรีบ...”
ไอ้ชลรับปากรับคำเป็นอย่างดี ซึ่งผมก็เบาใจ เพราะไอ้ชลมันรักม้าพอๆ กับผม... (แม่ย่ามันนี่...)
วันรุ่งขึ้น... ผมรีบไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะจะได้รีบเคลียร์งานให้เสร็จ ก่อนที่รถไฟของม้าจะมาถึงสถานีมักกระสัน ประมาณเก้าโมงเช้า
ประมาณแปดโมงครึ่ง ผมกำลังจะปิดงานเสร็จ... เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะผมก็ดังขึ้น
“ดิน... มึงรีบไป... รถติดมาก...กูกลัวไปไม่ทัน...”
ผมมองนาฬิกาที่ผนัง ใจหายวูบ... วางหูโทรศัพท์อย่างไม่ทันได้บอกอะไรไอ้ชล... รีบส่งงานให้หัวหน้าก่อนจะบอกลาในวันนี้ เร่งเดินออกมาที่หน้าบริษัท...
กวักมือเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่จอดอยู่แถวนั้นมาคันนึง “ไปสถานีรถไฟมักกระสันครับ ด่วนเลย” ผมบอกอย่างไม่ได้ต่อราคาก่อนจะก้าวขึ้นคล่อมซ้อนท้าย...
คนขับมอเตอร์ไซค์ พาผมซอกแซกไปตามการจราจรที่แออัดในช่วงเช้า ของถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เลี้ยวเข้าสู่ถนนราชปรารภ ผ่านหน้าประตูน้ำก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าถนนเลียบทางรถไฟมักกะสัน... ตลอดทาง ผมภาวนาให้รถไฟเสียเวลา เข้ามาช้ากว่าปกติ... มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ บอกเวลา เก้าโมงสิบนาทีแล้ว... ใจผมร้อนเหมือนไฟลน...
พอถึง ผมก็รีบควักแบงค์ร้อยให้ ไม่ได้สนใจเงินทอนด้วยซ้ำ... รีบวิ่งเข้าไปในชานชาลาสถานีรถไฟ...
ผมเห็นนายสถานีที่ถือธงแดงกับเขียวที่พันม้วนเก็บเรียบร้อย กำลังเดินสวนเข้ามา...
“พี่ครับ... รถไฟเที่ยว....... เข้ามาหรือยังครับ...”
“เข้ามาแล้ว วันนี้เข้าตรงเวลา”
ใจผมหายวูบ...รีบวิ่งออกไปที่ชานชาลา... หันซ้ายหันขวา... เห็นคนกำลังรุมล้อมอะไรอยู่ตรงม้านั่งข้างชานชาลาด้านหนึ่ง ผมวิ่งเข้าไปทันที
“ม้า...” ผมเรียกม้าอย่างตกใจ เพราะหญิงชราที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งตรงนั้น คือแม่ของผมเอง ม้านั่งถลกผ้าซิ่น ตรงหัวเข่ามีรอยถลอกเลือดไหลซิบๆ อยู่
“ม้าเป็นไรครับ ทำไม...”
“ม้าไม่เป็นอะไรหรอก ดิน...” ม้าบอก “มัวแต่มองหาดินอยู่น่ะ เลยสะดุดหกล้มนิดหน่อย”
ผมแตะแผลที่หัวเข่าของม้าอย่างเบามือ เจ็บปวดแทนม้า... ผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักและเทิดทูน... “ผมขอโทษ มาช้า” ผมบอกม้าเสียงแหบอย่างเสียใจที่สุด
“ไม่เป็นไร ดิน... ม้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย อ้าว ชลมาพอดี” ม้าบอกผม เมื่อเห็นไอ้ชลมันเดินมาที่เราอย่างเร่งรีบ
“ม้าเป็นไร... ทำไมมีเลือดอ่ะครับ” ไอ้ชลถาม หน้าซีดเผือด
“ม้าหกล้ม... มัวแต่มองหากู” ผมบอกมันเสียงขื่น “กูผิดเอง ม้าคนเดียว กูดูแลได้ไม่ดี...” ผมปาดมือผ่านตาที่น้ำตาหยดนึงไหลออกมาอย่างแค้นใจ บอกไม่ถูกว่าตอนนั้นผมโกรธใคร โกรธตัวเอง โกรธไอ้ชล หรือโกรธคนทั้งโลก... ผมรู้แต่ว่า ผมกำลังพาล...
“กูขอโทษ ดิน... กูมาไม่ทัน” ไอ้ชลพูดเสียงสั่น หน้าที่เผือดอยู่แล้ว ซีดจ๋อยลงไปอีก เมื่อเห็นน้ำตาผม นัยน์ตามันเริ่มมีน้ำเอ่อขึ้นมาขังที่ขอบตา มันเองก็รักม้า ไม่น้อยไปกว่าผมหรอก
“ไม่เอาน่า ดิน ม้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ไปเหอะ ไปโรงพยาบาลกัน เดี๋ยวจะสาย” ม้าเตือนผม...
เรานั่งรถสามล้อ ตุ๊กตุ๊ก (ซึ่งเป็นรถประเภทเดียวในกรุงเทพที่ม้าสามารถนั่งได้โดยไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะ) ไปโรงพยาบาล เพื่อตรวจติดตามอาการของม้าซึ่งผ่านไปด้วยดี เราไปรับยา แล้วพาม้าไปที่สถานีรถไฟหัวลำโพง เพื่อขึ้นรถกลับบ้าน ที่ต้องมาขึ้นที่นี่ เพราะม้าจะได้มีที่นั่ง เพราะม้าเคยเล่าว่าต้องยืนไปเกือบถึงบ้านถ้าไปขึ้นที่สถานีรถไฟมักกะสัน ซึ่งเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงเลย ทั้งๆ ที่ ไอ้รถไฟสายนี้มันต้องผ่าน สถาบันดัง สถาบันนึง แถบชานเมืองและมีนักศึกษาใช้บริการกันเต็ม แต่นักศึกษาอนาคตของชาติ มันก็ไม่ลุกให้ม้าที่อายุ หกสิบกว่าแล้ว (ในตอนนั้น) นั่ง...
ตลอดวันนั้น ผมนิ่งเงียบ สมองคิดถึงภาพสะเทือนใจ คือม้าที่นั่งอยู่ที่สถานีรถไฟมักกะสัน หัวเข่าแตก มีเลือดไหลซิบๆ ผมทำใจไม่ได้กับภาพที่เห็น... ทั้งวันผมปล่อยให้ไอ้ชลมันดูแลม้า พาม้าไปหาหมอ รับยา พาไปเข้าห้องน้ำ พาไปทานข้าว ซื้อข้าวมาให้ม้ากิน จนกระทั่งส่งม้ากับผมขึ้นรถตุ๊กๆ หน้าโรงพยาบาล ผมแยกไปส่งม้าไปที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ส่วนไอ้ชลแยกกลับหอก่อน ตลอดเวลา ผมก็ยังไม่ได้พูดอะไรกับไอ้ชลสักคำ...
...................................................
ฝันดีนะครับ แฟนคลับ คนอ่านของผม