• •* หาคู่หู*• •วันที่2
ไดโนเสาร์กลายพันธุ์ในร่างมนุษย์อย่างผมเดินออกมายังเขตหอพักพร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนเดิม...หลังจากที่รักษาลูกหมาป่าเสร็จอีกฝ่ายก็ตรงกลับโดยไม่มีแม้คำบอกกล่าวจนต้องวิ่งตามมาเองแบบนี้ มือที่ถูกกัดมีเลือดไหลอาบจนรู้สึกชานิดหน่อยอยากจะยกขึ้นมาเลียแต่ก็ไม่ได้เพราะมีคนอยู่ด้านข้าง
กลับห้องไปค่อยทำละกัน
ในหัวคิดแบบนั้นก่อนจะแยกตัวไปอีกทางหนึ่งแต่มือของคนด้านหลังก็จับเข้าที่ไหล่แล้วดึงเบาๆเหมือนจะบอกว่ามีเรื่องคุยด้วยผมเลยหันไปมองแต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำมีเพียงแค่แบมือออกแล้วยื่นมาเท่านั้น
“...?”
“มือ”อาจเป็นเพราะเห็นใบหน้างงๆเสียงทุ้มเลยเอ่ยสิ่งที่ต้องการออกมาถึงคำพูดนั่นจะสั้นจนไม่เข้าใจก็ตาม
มือนี่คือขอมือผม?
หรือว่าอยากให้ผมทำแผลมือของเขาที่บาดเจ็บ?
เมื่อไม่รู้เลยมีแต่ต้องสี่ยงตอบไป...
“ขอยืมที่ทำแผลหน่อยเดี๋ยวจะทำให้”ผมบอกก่อนจะจับมืออีกฝ่ายพลิกจนเห็นรอยเล็บแดงเป็นทางยาวที่มีเลือดไหลซึมอยู่และก็เป็นอีกครั้งที่เขาสะบัดมือผมทิ้ง
ผมรู้สึกโกรธจนรู้สึกเหมือนเส้นผมตัวเองกำลังจะย้อมเป็นสีน้ำเงินแล้ว...ดวงตาสีแดงอ่อนใต้คอนแทคเลนส์เงยหน้าขึ้นไปสบตาคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง
ถึงจะถูกใจดวงตาคู่นั้นแต่ถ้านิสัยแย่ขนาดนี้ก็ขอบายเถอะ
นึกว่าจะเป็นเพื่อนกันได้ซะอีก
“มือนาย”
“ห๊ะ?”
“...ขอมือนาย”อีกฝ่ายเงียบไปก่อนจะย้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่เข้มกว่าเดิม
ผมกระพริบตาปริบๆสองสามครั้งเพื่อทำความเข้าใจก่อนจะวางมือข้างที่ถูกกัดลงบนมือของคนตรงหน้าที่ยื่นรออยู่...ครั้งนี้ดูเหมือนจะตรงกับสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ เขาค่อยๆใส่ยาและพันแผลที่มือผมอย่างระมัดระวัง
ความรู้สึกอุ่นๆที่เข้ามาทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาบางๆ...ขอถอนคำพูดที่ว่านิสัยแย่ละกัน
เป็นคนที่แสดงความรู้สึกไม่เก่งสินะ
“ขอบคุณ...ฉันทำให้นายบ้างขอยืมยากับผ้าพันแผลหน่อยนะ”ครั้งนี้ผมไม่ยอมให้อีกฝ่ายสะบัดมือทิ้งเลยรีบคว้ามือนั่นจับไว้แน่นก่อนจะใส่ยาแล้วพันแผลให้บ้าง ทั้งที่คิดว่าน่าจะถูกขัดขืนมากกว่านี้แต่ก็ไม่มีเลย
“...ขอบคุณ”คำพูดนั่นเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปก่อนที่ดวงตาของเราจะประสานกัน...ดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั่นผมชอบมันจริงๆ
“บอกชื่อได้ไหม?”
“...”
“ไม่บอกก็ช่างเถอะ...ไว้เจอกันใหม่...”
“กลาเซ่ เฟวรีเย่”
“ห๊ะ?”ผมหันกลับทันทีที่ได้ยินแต่อีกฝ่ายก็เดินไปอีกทางแล้ว
กลาเซ่ เฟวรีเย่
ชื่อของคนที่อาจเป็นเพื่อนใหม่ดังขึ้นอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่ถูกเจฟลากไปกินข้าวที่โรงอาหารแสนแออัดหรือแม้แต่ตอนที่ถูกชวนคุยผมก็ทำเพียงตอบกลับไปบ้างเป็นบางครั้ง ความรู้สึกที่ไม่พอนี่มันคืออะไรกันนะ
อยากรู้จักกับอีกฝ่ายมากกว่านี้
“...แล้วพอฉันตีไปด้านขวานะหมอนั่นก็ดันโต้ได้จนสุดท้ายก็แพ้ไปอย่างน่าเสียดายเลย...นี่อานโน่ฟังอยู่ไหมเนี่ย?”เจฟถามแล้วจับไหล่ผมเขย่าไปมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ
“ฟังอยู่ๆ...แข่งแพ้ใช่ไหมล่ะ”
“ก็เออสิ...มันน่าโมโหชะมัดเลย...คราวหน้าไปแพ้แน่”
“สู้ๆ...การต่อสู้ก็แบบนี้แหละมีชนะมีแพ้เป็นเรื่องปกติ”
“โอเค...คราวหน้าฉันต้องชนะแน่นอน”ดูเหมือนเจฟจะมีกำลังใจแล้วล่ะ
“อืม”
“นี่อานโน่”
“หื้ม?”
“...คิดถึงใครอยู่รึเปล่า?”
“...”เจ้าของชื่อถึงกับชะงักพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยที่เจฟรู้สิ่งที่ตนคิดแบบนี้
มนุษย์ไม่น่ามีความสามารถในการอ่านใจขนาดนี้นี่
“ถูกใช่ไหมล่ะ?...ถูกแน่ๆ”ยิ่งเห็นผมนิ่งไปอีกฝ่ายก็ฟันธงลงไปอย่างมั่นใจ
“รู้ได้ไงเนี่ย?”
“นี่มันเป็นพื้นฐานของพื้นฐานเลยนะ...ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น”
“จริงเหรอ?”ใครๆกฌรู้แล้วทำไมผมถึงไม่รู้ล่ะ?
“จริงสิ...ดูง่ายๆเลยถ้ามีอาการเหม่อ...เงียบกว่าปกติหรือหันไปมองนอกหน้าต่างนั่นเป็นสัญญาณว่ากำลังมีเรื่องในใจและนายก็กำลังมีอาการแบบนั้นด้วย”เจฟอธิบายด้วยดวงตาสีเขียวอ่อนที่จ้องเขม็งมา
“...รู้จักผู้ชาย...”
“อะไรนะ?...นี่นายหลงรักผู้ชายคนไหนเหรอ?”
“ไม่ใช่สักหน่อยแค่เจอกันแล้วเขามีนิสัยแปลกๆเท่านั้นเอง”ผมถึงกับรีบอธิบายความจริงจนลิ้นแทบพันกันถึงในยุคนี้เรื่องรักร่วมเพศจะเป็นเรื่องปกติแต่พอมาถูกพูดถึงแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ
“อ้อ...แล้วใครล่ะ?...ไม่อยากจะคุยนะว่าฉันนี่แหละคนที่มีเพื่อนมากที่สุดในมหาวิทยาลัยนี้ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันหรือน้องปี3ปี2ปี1ไม่เว้นแม้แต่รุ่นพี่ที่จบไปแล้ว...ถ้าจะถามหาคนให้มหาวิทยาลัยนายถามถูกคนแล้วล่ะ”เจฟบอกด้วยความภาคภูมิใจ
นี่ขนาดไม่ได้คุยนะเนี่ย...
“รู้จักคงที่ชื่อกลาเซ่ เฟวรีเย่ไหม?”ผมลองถามดู
“...”
“เจฟ?”ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายเมื่อเพื่อนร่วมห้องอยู่ๆก็แข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็ง
หาไม่ง่ายหรอกนะที่คนพูดมากจะนิ่งขนาดนี้
“...ขอชื่ออีกรอบได้ไหม?...ฉันอาจจะฟังผิดไป”ชายหนุ่มด้านข้างถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจในแววตาสีเขียวอ่อนทอประกายด้วยความหวังบางอย่าง
“กลาเซ่ เฟวรีเย่”
“...พระเจ้า...พูดเป็นเล่นน่า”เจฟแสดงสีหน้าตกใจสุดก่อนจะจองมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“เขาทำไมเหรอ?”
“นายไปรู้จักกับคนระดับนั้นได้ยังไง?”
“ก็ไม่ได้รู้จัก...”
“ไม่ๆๆ...ต้องถามว่าคนระดับนั้นมารู้จักนายได้ยัง?”
“แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ?”ผมจะรู้จักเขาหรือเขาจะรู้จักผมยังไงความหมายมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
“ต่างสิ..ต่างมากๆด้วย...ชื่อนั้นนายรู้มาจากไหน?”เจฟถามพร้อมขยับเข้ามาใกล้จนผมต้องเขยิบไปจนชิดขอบโซฟาตัวยาวสีน้ำตาลที่ตั้งอยู่กลางห้อง
“...ก็เจ้าตัวบอกมาเอง”
“...”เป็นครั้งที่ร่างของเพื่อนร่วมห้องนิ่งสนิทราวกับโดนแช่แข็ง
“เจฟ?”
“Oh My God!...เรื่องจริงหรือนี่เจ้าชายน้ำแข็งคนนั้น!”
“ห๊ะ?...หมายความว่ายังไง?”คุยมาตั้งนานผมยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง
“รู้ไหมว่าเรื่องนี้มันใหญ่ขนาดไหน!?”เจฟตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นๆเหมือนกำลังกลัวและตกใจไปพร้อมๆกัน
“ทำไมล่ะ?”แค่บอกชื่อมันจะใหญ่อะไรขนาดนั้น?
“นี่นายไม่คุ้นหูนามสกุลเฟวรีเย่เลยเหรอ?”
“...ไม่นี่”ผมคิดสักพักก่อนตอบกลับไป
นามสกุลนี่พึ่งเคยได้ยินครั้งแรกเลย
“บ้านนายอยู่บนเกาะที่ห่างไกลผู้คนรึไง!”
“ใช่”ผมตอบกลับไป...ก็เกาะที่ผมอยู่มันห่างไกลผู้คนจริงๆนี่นะ
“ฉันประชดเว้ย!”
“...”ดูเหมือนเจฟจะไม่เชื่อว่าผมมาจากเกาะที่ห่างไกลผู้คนแฮะ
“เฮ่อ...ฉันบอกให้ก็ได้ตะกูลเฟวรีเย่เป็นตระกูลเก่าแก่ของประเทศฝรั่งเศสที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอัญมณีมาหลายชั่วรุ่น...ความสามารถของผู้นำตระกูลเป็นรองแค่นางฟ้าแห่งอัญมณีคุณฟาร์ฟาเล่ นาตารีเท่านั้น...จากที่พูดไปนี่รู้รึยังว่านามสกุลนี้มีชื่อเสียงขนาดไหน”
“อืม”ผมพยักหน้าเข้าใจ ถึงจะไม่เคยได้ยินชื่อเฟวรีเย่แต่ถ้าเป็นฟาร์ฟาเล่ นาตารีผมรู้จักอย่างแนบแน่นเลย...เพื่อนสนิทของคุณย่าที่เจอกันนับครั้งได้
“นี่นายพูดแค่ ‘อืม’ ...กับข้อมูลที่น่าตกใจขนาดนี่น่ะนะ...โอ้ย!...เพื่อนฉันมันไม่มีความรู้สึกรึไงกัน!”เจฟบ่นอย่างหัวเสียงพร้อมขยี้ผมสีน้ำตาลของตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด
“แล้วมันเกี่ยวยังไงกับกลาเช่ เฟวรีเย่ล่ะ?”ผมถามต่อ
“ห๊ะ?...นี่พูดขนาดนี้ยังไม่รู้อีกเหรอ?”
“...”ความรู้สึกตอนนี้เหมือนตัวเองกำลังถูกด่าว่าโง่อยู่กลายๆเลย
“เอาเถอะ...ความจริงก็น่าจะพอเดาได้นะ...กลาเช่ เฟวรีเย่หรือเชสเป็นลูกชายคนโตของตะกูลเฟวรีเย่ที่ได้รับการยอมรับตั้งแต่ยังไม่เข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลว่าเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดในหมู่ผู้นำ...ด้วยอายุแค่13ปีก็มีความสามารถด้านภาษาระดับโลก...พออายุ15ก็มีความรู้ด้านการแพทย์จนหลายๆคนอยากให้เขาสอบแพทย์แต่เพราะต้องสืบทอดธุรกิจต่อจากครอบครัวเลยเรียนด้านพาณิชย์แทน...”
“ยังไม่หมดแค่นั้นเมื่ออายุ17ปีก็มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์อย่างแตกฉาน...และมาถึงตอนนี้เขาก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะที่100ปีจะมีสักคน...ทีนี้เข้าใจรึยังว่าเขาสุดยอดขนาดไหน?”
“อืม”ผมพยักหน้ากับคำอธิบายอย่างละเอียดของเจฟ
“แค่ ‘อืม’...อีกแล้ว...ไม่มีคำพูดอื่นแล้วรึไง?”
“น่าสงสาร...”ผมพึมพำออกไป
“น่าสงสาร?...นายพูดผิดล่ะสิจะบอกว่าน่าอิจฉาก็พูดมาเถอะ...ใครๆก็อิจฉาหมอนั่นกันทั้งนั้นแหละ”เจฟเข้าใจว่าผมพูดแต่อยากบอกเลยว่าสิ่งที่พูดไปไม่ได้ผิดเลยสักนิด
สงสาร
นั่นคือความรู้สึกแรกที่ได้ยินเรื่องของกลาเช่หรือเชส...การที่เกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ย่อมมีแรงกดดันมากกว่าเด็กทั่วไปแล้วยิ่งถูกคาดหวังมาตั้งแต่เด็กๆคงยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่แน่
ไม่มีอิสระ
ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเลือกทางที่อยากจะก้าวไป
“...เพราะแบบนั้นเลยไม่ค่อยพูดสินะ”ผมพึมพำพร้อมนึกย้อนกลับไปยังตอนที่เราเจอกัน
“ไม่ใช่แค่ไม่ค่อยพูดนะต้องบอกว่าแทบไม่มีใครเคยได้ยินเสียงเขาเลยดีกว่า...ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรแต่ใครที่เชสคุยด้วยถือว่าเป็นบุคคลที่พิเศษมากกกกก”
“ขนาดนั้นเลย”
“ใช่สิ...ขนาดฉันที่มีเพื่อนมากที่สุดยังไม่เคยได้พูดกับเขาเลย”
“...”แปลว่าการที่เชสพูดกับผมแบบนี้มันก็เป็นสิ่งที่น่าตกใจสินะ
น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกตกใจ
มีเพียงแค่ความดีใจอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเท่านั้น
พรุ่งนี้ผมจะลองเข้าไปทักเขาดู
การเรียนในวันต่อมาผ่านไปอย่างไม่มีอะไรน่าห่วง...วิชาวิเคราะห์คณิตศาสตร์เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมชอบเพราะเพียงแค่จำสูตรได้ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรอยากก็แค่ค่อยๆแก้ไปทีละขั้นจนได้คำตอบที่ต้องการเท่านั้นเอง...วิชานี้เรียนช่วงบ่ายกว่าจะเสร็จก็ปาไปสี่โมงเย็น
ทันทีที่เลิกคลาสผมก็วิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึกเรียนก่อนจะจับที่ราวกั้นแล้วเอนตัวไปด้านหน้าพร้อมสูดกลิ่นต่างๆเข้ามาจนเต็มปอด...กลิ่นที่ตามหาอยู่คือกลิ่นของคนที่เจอเมื่อวานกลาเช่ เฟวรีเย่หรือเชสนั่นเอง
กลิ่นสะอาดๆและเป็นธรรมชาติ...
และมีกลิ่นหอมอ่อนๆแฝงอยู่ด้วย
“อ๊ะ...เจอล่ะ”ผมถึงกับยิ้มกว้างออกมาเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นของคนที่ต้องการได้
สองขารีบวิ่งไปหากลิ่นนั้นโดยที่จุดหมายปลายทางเป็นสถานที่ที่คุ้ยเคยเพราะพึ่งมาเมื่อวานนี้เอง...บริเวณชายป่าด้านหลังหอพักของผม พอกะระยะได้พอสมควรความเร็วในการวิ่งก็ค่อยๆลดลงจนเหลือแค่เดินเข้าไปใกล้เท่านั้น
ถึงจะบอกว่าบริเวณชายป่าแต่ที่ที่เชสอยู่นั้นลึกเข้าไปอีกหน่อยเรียกว่าถ้าแค่เดินผ่านก็คงจะมองไม่เห็นแน่...เสียงของลมหายใจที่เข้าออกเป็นจังหะสม่ำเสมอดังขึ้นเรื่อยๆก่อนจะปรากฏภาพของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างดีนั่งพิงต้นไม้โดยที่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั้นหลับพริ้มอย่างสบาย
“...สบายเลยนะ”ผมยิ้มออกมาก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นไม่นานผมก็นั่งลงข้างๆมนุษย์ที่หลับสนิท
สถานที่นี้อาจเป็นที่ที่อีกฝ่ายจะได้อยู่อย่างสบายใจก็ได้
ไม่มีเสียงดังรบกวน
ไม่มีความเสแสร้งที่ต้องปั้นหน้า
ไม่มีความอึดอัดหรือลำบากใจ
ผมปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมโดยทำเพียงพิงหลังเข้ากับต้นไม้ต้นเดียวกันปล่อยให้สายลมพัดผ่านด้วยความผ่อนคลาย...ตั้งแต่ที่มายังสังคมของมนุษย์นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกสงบขนาดนี้ทั้งที่มีมนุษย์อยู่ข้างๆ
จิ๊บ จิ๊บ
เสียงนกเล็กพูดคุกันสร้างบรรยากาศให้น่านอนมากขึ้นไปอีก...ดวงตาสีแดงอ่อนใต้คอนแทคเลนส์จึงค่อยๆหลับลงอย่างเชื่องช้าแต่ยังไม่หลับสนิทเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
‘นักล่าล่ะ’เสียงนกที่เกาะอยู่ไม่ไกลดังขึ้นทำให้สติที่กำลังจะวูบกลับเข้าร่างอีกครั้ง
‘จริงด้วย...ทำไมนักล่าถึงอยู่กับมนุษย์ล่ะ?’อีกเสียงพูดต่อ
‘หรือว่าจะกินมนุษย์คนนั้น?’
‘จริงเหรอ?...ว่าแต่ทำไมนักล่าถึงอยู่ในร่างมนุษย์ล่ะ?’
‘ไม่แน่นะนักล่าอาจกำลังกำให้เหยื่อตายใจก็ได้’
‘น่ากลัวเนอะ’
‘อืม...น่ากลัวจังเขาจะจับเรากินรึเปล่า?’
‘ฉันไม่กินพวกเธอหรอก’หลังจากที่หลับตาฟังอยู่ผมก็ลืมตาขึ้นพร้อมหันไปมองนกสองตัวที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้
‘...เขาพูดกับเราล่ะ?’
‘จริงด้วยๆแถมยังมองมาทางนี้อีก’
‘นี่คุณนักล่าทำไมถึงมาอยู่นี่ล่ะ?’นกตัวหนึ่งถามมา
‘มาเรียนรู้เรื่องมนุษย์’
‘มนุษย์?...ทำไมต้องเรียนรู้อาหารด้วยล่ะ?’
‘ฉันไม่กินมนุษย์หรอกนะ’
‘แปลว่าจะกินพวกเราเหรอ?...ว้ายหนีเร็ว!’เธอพูดพร้อมกับเตรียมกระพือปีก
‘ไม่ใช่นะ...ฉันไม่กินใครทั้งนั้นแหละไม่ต้องกลัวไป’ผมรีบอธิบายก่อนที่เสียงกระพือปีกจะทำให้คนข้างกายตื่นขึ้น
‘สัญญานะ’
‘อืม...สัญญา’
‘คุณนักล่าแปลกจังเลย...ใจดีจัง’
‘จริงด้วยใจดีๆ’
“ไม่ขนาดนั้นหรอก”ผมตอบกลับก่อนจะส่งยิ้มไปให้พวกเธอ
“อะไรไม่ขนาดนั้น?”เสียงทุ้มจากด้านหลังทำให้ผมชะงักก่อนจะหันกลับไปในจังหวะเดียวกับคนข้างหลังขยับเข้ามาใกล้ นั่นทำให้ปลายจมูกของเราสัมผัสกันเบาๆ...ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วไม่เหมือนกับผมที่ตอนนี้เหมือนวิญญาณหลุดไปเลย
“...ขยับออกไปสิ”ผมบอกเสียงเบา ความจริงผมก็อยากเป็นฝ่ายขยับอยู่หรอกแต่ตกใจจนร่างกายแข็งเกร็งไปหมดแล้ว
“ก็ทำเองสิ”คนตรงหน้าไม่ยอมทำตามแถมยังขยับเข้ามาใกล้มากว่าเดิม
“...ทำอะไรน่ะ?”
“ขอถามคำถามนั้นกลับเลยล่ะกัน”เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนจะค่อยๆดันหลังผมจนติดกับต้นไม้โดยมีอีกฝ่ายคร่อมตัวอยู่
“อะไร?”ไม่เห็นเข้าใจความหมายเลย
“มีธุระอะไรกับฉัน?”ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่จ้องมาราวกับจะไม่รับฟังคำโกหกใดๆ
“แค่อยากคุยด้วย”
“เรื่อง?”
“ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับนาย...”
“ไม่ต้องการ!...ไปบอกพ่อแม่หรือครอบครัวโลภๆของนายซะว่าถ้าคิดจะเข้าหาด้วยวิธีก็คิดผิดแล้ว!”คำพูดนั่นทำให้ผมถึงกับสติขาดผึ่งใช้เท้ายันอีกฝ่ายจนกระเด็ดไปกองกับพื้นดิน
“จะมากไปแล้ว!...นายจะว่าฉันก็ได้แต่อย่าพูดถึงครอบครัวฉันแบบนั้น!”อย่าพูดเหมือนพวกเขาสอนให้ผมทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่
“หึ...พูดความจริงแค่นี้ก็รับไม่ได้เลยสินะ”
“มันไม่ใช่ความจริง!...ครอบครัวฉันไม่ได้บอกให้มาหานาย!”ผมบอกออกไปตามตรง
“ใครเชื่อก็บ้าแล้ว...ไม่มีหรอกคนที่เข้าหาฉันโดยไม่หวังอะไร!...คนแบบนั้นมันไม่มีหรอก!”เสียงทุ้มเงยหน้าขึ้นมาตะโกนใส่ผมเสียงดังลั่นเหมือนกับกำลังระบายสิ่งที่ตัวเองอัดอั้นออกมาจนหมดสิ้น
ท่าทางของเขาบอกได้อย่างดีเลยว่าตั้งแต่เด็กต้องเจอกับเรื่องอะไรมา...
มนุษย์ก็แบบนี้แหละ
เห็นแก่ตัว
มีแต่ความโลภ
ขอแค่ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะโกหกหรือเสแสร้งแค่ไหนก็พร้อมจะทำ
“มีสิ”ผมบอกเสียงเบาก่อนจะคุกเข่านั่งลงข้างหน้าเชส
“...”ดวงตาสีน้ำเงินนั่นสื่อความหมายออกมาว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิด
“ฉันเองก็เข้าใจนายนะ...เข้าใจดีว่ามนุษย์น่ะน่ากลัวขนาดไหน...ความต้องที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้นต่อให้ต้องหลอกลวงใครก็จะทำอย่างไม่ลังเล ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการกระทำของตัวเองมันสร้างความเจ็บปวดให้ใครบ้าง...”ผมบอกสิ่งที่รู้สึกออกไป
เพราะเคยเจอกับมนุษย์แบบนั้นเลยรู้ถึงคำว่าหน้ากากที่ใส่เข้าหากันของมนุษย์
ครั้งแรกที่รับรู้ถึงมนุษย์ในแง่ลบเป็นวันที่ผมออกไปเจรจาภารกิจง่ายๆพร้อมกับพ่อและแม่...คำพูดของคนที่มาทำข้อตกลงทำให้เด็กที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างผมถึงกับกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
มีทั้งคำดูถูก...เหยียดหยาม...ข่มขวัญหรือแม้แต่คำวิงวอน
เชื่อไหมว่าไม่ต้องรอนานแม่ก็จัดการชกหน้าผู้ชายคนนั้นซะเละก่อนจะอุ้มผมแล้วเดินกลับบ้าน...สิ่งที่แม่กระซิบตลอดทางกลับบ้านมีเพียงคำขอโทษและคำพูดที่บอกว่า...
‘ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะเห็นแก่ตัวแบบนั้น’
คำพูดนั่นช่วยให้ผมเข้าใจและผมเองก็จะทำให้เขาเข้าใจเหมือนกัน
“เชส...ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่เห็นแก่ตัวแบบนั้น”
“...นายจะรู้อะไร”
“ฉันไม่รู้หรอกเพราะตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจมนุษย์เลย...ทำไมต้องโกหก...ทำไมต้องเสแสร้ง...ทำไมต้องเห็นแก่ตัวนัก...เพราะไม่เข้าใจเลยถูกให้มาอยู่นี่เพื่อจะได้เข้าใจมนุษย์มากขึ้น”ไม่รู้ว่าอะไรพาไปที่ทำให้ผมบอกความจริงออกไปแบบนั้น
ดีนะที่ยั้งเรื่องไดโนเสาร์ทัน
“แค่มานี่จะเข้าใจได้ยังไง...ไม่มีทาง”อีกฝ่ายบอกชัดก่อนจะเหยียดขายาวแล้วเสยเส้นผมสีน้ำตาลขึ้นอย่างลวกๆ
“คิดเหมือนกันเลย”
“...”
“นี่...นายบอกใช่ไหมว่าไม่มีคนที่เข้าหาโดยไม่หวังอะไร”
“...”เชสทำเพียงปลายตามามองก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า
“ก็คงจริงเพราะที่ฉันมาหานายก็หวังจริงๆนั่นแหละ”
“หึ...ว่าแล้ว”
“ฉันหวังแค่หาสถานที่ที่สามารถอยู่ได้อย่างสงบและผ่อนคลายแบบนี้...เหมือนตอนที่ได้อยู่กับนาย”
“...อธิบายมา”
“ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอกเพียงแค่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของนายทำให้ฉันรู้สึกสงบ...บรรยากาศรอบๆตัวนายมันสงบมากและกลิ่นของนายไม่เหมือนกับใครที่เคยได้กลิ่น”
“เป็นหมารึไง?”
“ใกล้เคียงมั้ง...เอาเป็นว่าขอแค่บางครั้ง...ให้ฉันมานั่งเงียบๆกับนายที่นี่ได้ไหม?”ผมหันไปถามอีกฝ่ายตรงๆ
“นายมันอันตราย”
“หื้อ?”
“ฉันสัมผัสได้แบบนั้น...บรรยากาศรอบๆตัวนายไม่เหมือนกับคนปกติ”คำพูดของเชสทำให้หัวใจผมเต้นเร็วขึ้นด้วยความกังวล...หรือว่าจะรู้ว่าผมไม่ใช่มนุษย์
“...”ไม่สิ...จะว่าไปมนุษย์ปกติไม่น่าแยกบรรยากาศรอบๆตัวออกนี่
“ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ”
“เปล่าก็แค่...แปลกใจ”
“นายเองก็รับรู้ได้นี่...มีไม่กี่คนหรอกที่ประสาทไวขนาดสัมผัสถึงบรรยากาศรอบๆตัวคนได้”
ผมถึงกับลอบถอนหายใจที่ความยังไม่แตก...เพิ่งรู้ว่ามนุษย์ก็มีส่วนน้อยที่มีความสามารถแบบนี้ด้วย
“แล้วที่บอกว่าอันตราย”
“...ไม่รู้สิ...อธิบายไม่ถูกแต่อาจคิดไปเอง”
“...อาจไม่ได้คิดไปเองก็ได้นะ”ผมบอกก่อนจะส่งยิ้มไปให้
ประสาทไวจริงๆด้วย...ที่ว่าอันตรายคงเป็นเพราะสายเลือดของไดโนเสาร์ที่ไหลเวียนอยู่นี่ล่ะนะ
“...”
“ฮะฮะ...ไม่ต้องขมวดคิ้วขนาดนั้นก็ได้...ฉันแค่ล้อเล่น”
“โกหก”
“...”ผมถึงกับหุบยิ้มทันทีที่ได้ยิน...
ทำไมถึงรู้ว่าผมโกหก?
“...ช่างเถอะ...จะปิดอะไรอยู่ก็ไม่เกี่ยวกับฉัน”เชสบอกแล้วลุกขึ้นยืนปัดเศษฝุ่นต่างๆออกจากเสื้อและกางเกง
“ขอบคุณ”เขาไม่ซักไซ้เลยสักนิด...น่าแปลกใจแต่ก็ต้องขอบคุณเพราะผมรู้เลยว่าไม่สามารถโกหกอีกฝ่ายได้
“...”
“เดี๋ยวก่อนเชส”ผมรั้งโดยวิ่งไปคว้าแขนเขาไว้
“อะไรอีก?”
“ฉันชื่ออาคริว...เรียกว่าอานโน่ก็ได้...พรุ่งนี้เรามาเจอกันได้ไหม?”
“จำเป็น?”อีกฝ่ายกลับมาใช้คำแบบประหยัดอีกแล้ว
“เข้าใจแล้วๆ...ไม่มาเจอก็ได้แต่บางครั้งก็ขอเข้าไปใกล้ๆนายบ้าง...ที่บอกว่าอยู่กับนายแล้วสงบพูดจริงนะ”ผมบอกพร้อมกับปล่อยมือที่รั้งเขาไว้
การพูดคุยกันครั้งแรกจบลงแล้วแต่ผลที่ได้นั้นดูจะเกินคาด...ไม่ใช่เชสแต่เป็นผม
ไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถคุยกับมนุษย์ได้ขนาดนี้...ปกติผมไม่ใช่พวกที่จะพวกที่จะเข้าหามนุษย์ก่อน เชสทำผมแปลกไปเขามีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดผมให้เข้าใกล้
ไม่ใช่แค่บรรยากาศหรือกลิ่น
มันมากกว่านั้น
อยากอยู่ข้างๆ
อาจเพราะเราคล้ายกันก็ได้มั้ง
::เชส::
ร่างโปร่งของอานโน่เดินกลับหอโดยที่ในหัวยังคิดเรื่องนี้อยู่ไม่หยุดทำให้ไม่สังเกตว่าอีกฝั่งมีคนมอง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของผมมองไปยังร่างโปร่งของคนที่อาจใช้คำว่าเพื่อนด้วยความไม่เข้าใจ...
บรรยากาศรอบตัวเด็กใหม่นั่นอันตราย
แต่ไม่รู้ว่าอันตรายแบบไหนกันแน่
ยิ่งไม่เข้าใจคิ้วสีน้ำตาลก็ยิ่งขมวดเข้าหากันมากขึ้น
พึ่งเจอกันแค่สองวันแต่กลับทำให้ผมเปิดใจได้อย่างน่าประหลาด...นี่เป็นครั้งแรกที่ระเบิดอารมณ์ออกใส่คนที่ไม่รู้จัก ขนาดคนที่รู้จักยังไม่เคยแสดงออกขนาดนี้เลย
สิ่งหนึ่งที่รู้คืออีกฝ่ายมีความคิดที่คล้ายกัน
“...เฮ่อ”ผมถอนหายใจแรงก่อนจะเดินไปยังหอตัวเองที่อยู่ไม่ไกล
หอพักผมอยู่ถัดออกไปด้านหลังหอพักของเด็กใหม่ที่ชื่ออาคริวหรืออานโน่...โดยห้องผมอยู่ชั้น6ห้อง610เป็นห้องเดียวในหอที่ไม่ต้องมีรูมเมทเหมือนอย่างห้องอื่นๆ การมีนามสะกุลเก่าแก่ก็มีประโยชน์หลายอย่างหนึ่งในนั้นก็คือประโยชน์ด้านความสะดวกสบายแค่บอกว่าอยากอยู่คนเดียวก็ได้อยู่ตามที่ต้องการ
การมีคนตามใจถือเป็นเรื่องที่ใครๆต่างก็อิจฉาโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของความสบายมันเป็นไปด้วยความอึดอัดและลำบากขนาดไหนโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่เด็กแบบผม
ทั้งไม่ได้อยากได้มันเลยสักนิด
ผมทิ้งตัวลงบนเตียงหกฟุตหลังจากอาบน้ำเสร็จด้วยความอ่อนล้า...ฝ่ามืออุ่นๆไล่ไปตามหน้าท้องก่อนจะหยุดอยู่ตรงรอยช้ำที่เริ่มเขียว รอยของการถูกถีบแถมแรงก็ไม่ใช่น้อยๆเลยด้วย
ยังลุกเดินได้ก็ถือว่าดีเท่าไหร่แล้ว
ยามราตรีที่แสนยาวนานได้ผ่านไปแทนที่ด้วยแสงแดดของเช้าวันใหม่วันนี้ไม่มีเรียนเลยไม่ต้องรีบทำอะไรวุ่นวายแต่เช้า...ความเจ็บที่ท้องแล่นเข้ามาในทันทีที่ลุกนั่งพอลองก้มมองก็เห็นรอยช้ำที่เริ่มเปลี่ยนจากเขียวเป็นม่วง
“แรงช้างชัดๆ”พึมพำจบพยุงตัวเองไปยังห้องน้ำ
เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำตาลอ่อนถูกสวมใส่ตามด้วยกางเกงขายาวสีเข้ม...ชุดลำลองธรรมดาเวลาไม่มีคลาสเรียน มื้อเช้าง่ายๆมีเพียงขนมปังกับนมสดหนึ่งแก้วก่อนจะตรงไปยังหอสมุดขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
ระหว่างทางก็มีทั้งเสียงกรี๊ดเสียงพูดคุยหรือแม้แต่เสียงนินทาดังไม่หยุด...ส่วนมากที่พูดก็มักจะบอกว่าผมหยิ่ง ไม่น่าคบหรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้มีชื่อเสียงแย่ๆออกมา ส่วนผู้หญิงก็มักจะส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดหรือเข้าหาอย่างสิ้นคิดมีบางคนถึงกับขอนอนกับผมตรงๆด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่าผู้หญิงสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมด
หนังสือเกี่ยวกับการบริหารระดับสูงถูกเปิดผ่านไปเรื่อยๆจนเวลาล่วงเลยมาในช่วงบ่าย มือที่ดันสันหนังสือเข้าไปยังชั้นเดิมชะงักเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ามีคนนัดเจอแต่คิดดูอีกทีผมก็ยังไม่ได้ตอบตกลงนี่นะ
ถ้าไม่ไปก็ไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อย
“...แค่ผ่านไปเท่านั้นเอง”เสียงทุ้มบอกกับตัวเองก่อนจะเปลี่ยนทิศจากที่จะเดินเข้าหอเป็นเดินไปยังด้านหลังหอบริเวณชายป่า
ผมเดินเข้าไปยังบริเวณที่ตัวเองชอบมาพักผ่อนโดยไม่คิดว่าจะเจอคนนัดจริงๆ...ชายหนุ่มรูปร่างโปร่งในชุดลำลองนอนเอาหลังพิงกับต้นไม้ใหญ่โดยที่ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทมีเพียงหน้าอกที่ขยับขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ
เส้นผมสีน้ำตาลซอยสั้นพลิ้วไหวไปตามแรงลม...ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดว่าสีผมนั้นมันดูขัดกับคนตรงหน้านัก ความจริงก็ไม่ใช่แค่สีผมแต่สีตาก็เหมือนกันถึงโดยรวมจะออกมาดูดีแต่ก็มีอะไรบางอย่างที่แปลกๆ
เหล่านกตัวเล็กหลายตัวบินลงมาเกาะทั้งบนหัว ไหล่และขาแต่คนที่หลับอยู่กลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด...ภาพนั่นทำให้ผมหยิบโทรศัพท์ในการเป๋าตัวเองขึ้นมาแล้วกดถ่ายรูปพร้อมพึมพำบางอย่างออกมา...
“รอจนหลับเลยเหรอ...อานโน่”
..........................................................................................
สวัสดีค่ะ
มาอัพต่อแล้ววว
มีใครรอบ้างเอ่ย?
ช่วงตอนแรกๆนี้อาจไม่มีไดโนเสาร์เข้ามาเกี่ยวข้องนักเพราะเป็นฉากในมหาวิทยาลัย...
ถ้ามีไดโนเสาร์เข้ามาเลยมันจะดูแปลกๆเลยเก็บไว้ก่อน
รอให้ทั้งคู่สนิทกันมากกว่านี้ก่อนเนอะค่อยมีไดโนเสาร์ออกมา
แต่อีกไม่กี่ตอนหรอกค่ะ
ตอนนี้พระเรามีบทแล้ว...ดีใจมาก
แรกๆที่แต่งก็ลังเลอยู่ว่าจะให้พระเอกนิสัยยังไงดีนะ แต่แต่งแบบพระเอกน่ารักมามากแล้วเลยอยากลองเปลี่ยนดูไม่รู้ว่าตอนหลังๆจะยังเย็นชาแบบนี้อยู่ไหม บอกได้อย่างหนึ่งว่าไม่อ้อนเท่ายูทาร์แน่ค่ะ55
จากที่บอกไปเมื่อตอนก่อนว่าอาจแต่งภาคต่อจากนี้ด้วยและมีคนทายถูกด้วยว่าเราคิดจะทำอะไร!(โฮ่...สุดยอดเลยค่า)แต่นั่นก็เป็นเรื่องในภายภาคหน้า(หน้านู้นเลย) ตอนนี้ขอสองเรื่องที่แต่งให้จบก่อนนะคะ อิอิ
ที่อานโน่ฉลาดอาจเพราะถูกเลี้ยงดูจากเหล่าอัจฉริยะทั้งเซโครและปู่ฟรานซิสตั้งแต่เด็กๆค่ะ...ความจริงถ้าใครถูกล้อมด้วยเหล่าคนเก่งขนาดนั้นก็ต้องมีซึบซับบ้างเนอะ
สำหรับพระเอกเรื่องนี้อาจดูเก่งเว่อไปหน่อย...เราอยากลองแต่งพระเอกที่เก่งๆแต่มีปมเล็กๆแบบนี้ดูมานานแล้ว
ถึงจะมีปมแต่ไม่คิดว่าคนอ่านจะต้องเตรียมหม้อมารอต้มมาม่าหรอกนะคะ...
สบายใจได้
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นต์และคำติชมนะคะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนค่ะ^^
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪