CHAPTER 5: Behind the Wall “ฮื่ออ..”ร่างเปี๊ยกแห่งเตียงล่างบิดลำตัวไปมา
“อืมม..”
ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ ภาพพร่าเลือนมาพร้อมกับแสงสว่าง มือขาวคว้าเปะปะหาแว่น
เจ้ย! แว่น แว่น นี่ขาแว่นกูหักไหม? แล้วกูหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่? อย่าบอกว่ากูนอนทับแว่นแดงอันเป็นที่รัก!
อย่างไรก็ตาม ม่อนแจ่มเอื้อมมือไปยังขอบโต๊ะเขียนหนังสือข้างเตียง ที่ประจำที่เขามักจะถอดแว่นวางไว้เวลานอน
แต่ไม่หรอก เขาจำได้.. เมื่อคืนเขายังไม่ได้ถอด.. แว่น..
ห๊ะ ว..แว่น นี่มันแว่น? มือเรียวสัมผัสโดนขาแว่นและเลนส์
เมื่อคว้ามาใส่ ภาพทุกอย่างก็กลับมาแจ่มชัด..
นี่แว่นแดงกู.. “ไอ้ม่อน! ลุกขึ้นเร็ว เดี๋ยวไปเรียนสาย”ไอดิลที่เพิ่งกลับมาจากห้องน้ำ แต่งตัวใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ่ยเรียกเขา
“อะ..” ม่อนแจ่มยังงงๆอยู่
“เร็วสิวะ ทำไมวันนี้ตื่นช้า”
เอ่อ.. เผอิญเมื่อคืนกูเล่นเกมส์จ้องตาอยู่ เป็นเกมที่แปลกมาก เพราะมีผู้เข้าแข่งขันเพียงคนเดียว นั่นคือกูเอง และมีกรรมการเป็นคนเดียวกับผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งก็คือกูเองอีกเหมือนกัน
“ไอ้ดิ้ล..” มือเรียวสัมผัสแว่นอย่างสงสัย
“เมื่อคืนมึงถอดแว่นให้กูเหรอวะ แล้ว.. แล้ววางไว้บนโต๊ะ”
“ห๊ะ?” คนถูกถามเลิกคิ้ว “มึงก็ถอดวางไว้เองทุกคืนนี่ กูหลับก่อนมึงอีก จะถอดให้มึงได้ไง”
เออ จริง.. แล้วกูละเมอถอดแว่นตัวเองเหรอวะ?
ไม่น่ะ.. ไม่น่าเป็นไปได้..ดวงตามองไปทางเตียงเดี่ยวฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่าเพราะเจ้าของคงออกไปเรียนแล้ว
หรือว่า..
ไม่.. ไม่น่าเป็นไปได้
..ไม่น่าได้ยิ่งกว่ากูละเมอถอดแว่นตัวเองเสียอีก สองหนุ่มวิศวฯ หนีบแฟ้มกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทางคณะ ปีหนึ่งเป็นต้องมีเรียนแปดโมงเช้าทุกวัน
“กูขอโทษนะเว้ย กูตื่นสาย ที่จริงมึงมาก่อนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอ” ม่อนแจ่มขอโทษขอโพย
ไอดิลออกมาก่อนนั้นไม่มีปัญหาเลย ถึงยังไงก็ไม่ได้เรียนวิชาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ไอดิลส่ายหน้าดิก
“เรียนทันอยู่ อย่าคิดมาก” ไอดิลเองก็ชินเสียแล้วที่จะไปไหนมาไหนกับเพื่อนซี้เช่นม่อนแจ่ม
“ว่าแต่.. ไหงวันนี้สายนัก ปกติก็ตื่นเร็วดี”
“ฮื่ออ” ม่อนแจ่มพ่นลมหายใจ “เมื่อคืนกูพยายามจ้องตาพชรอยู่”
เย้ย!
ไอดิลแทบสะดุดฟุตบาท “จ้อง จ้องตา?”
“เออ กูจะจ้องไปเรื่อยๆ คงมีสักวันที่แม่งจำหน้ากูได้”
“ไอ้ม่อน.. เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง” ไอดิลส่ายหน้าอ่อนๆ กึ่งเหนื่อยใจกึ่งขำ
“แล้วที่ว่าจะไปภาคปรัชญานี่คงไม่ได้คิดจะไปจริงๆหรอกนะ”
“กูไปมาแล้วเมื่อวาน”
เฮ้ย!
คราวนี้ ไอดิลสะดุดฟุตบาทจริงๆ ไม่ใช่แค่เกือบ
“ไปมาแล้ว?”
“เออ” ม่อนแจ่มพยักหน้ารับ มองซ้าย ขวาและผลักไหล่ไอดิลเบาๆ ข้ามถนนไปยังคณะ
แม้จะอัศจรรย์ใจ ทว่า ก็ยังอยากรู้อยากเห็น ไอดิลจึงถามอีกนิด “แล้ว.. แล้วมึงเจอพชรหรือเปล่า?”
“เจอ”
โอ้ววว!
“แล้ว.. ตกลงมันจำมึงได้ไหม?”
…..
มีเพียงอาการส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“เอ่อ..” ไอดิลตบไหล่รูมเมท “มันคงไม่ทันเห็นมึงน่ะสิ”
“มันนั่งตรงข้ามกูเลยเหอะ เขียนรหัสวิชาปรัชญาที่ควรลงเรียนเป็นตัวฟรียื่นให้กูเองอีกต่างหาก”
“อ่า..” ไอดิลทำหน้ายุ่งยากใจ
ก็เห็นใจม่อนแจ่มอยู่นะ แต่.. แต่คือแบบนี้นะ ไม่รู้สงสัยช้าไปหรือเปล่า แต่ไอดิลชักจะสงสัยว่า..
“ไอ้ม่อน..” หนุ่มสิ่งแวดล้อมค่อยๆเอ่ย “มึงชอบพชรรึเปล่าวะ?”
โครม!
เป็นม่อนแจ่มที่สะดุดอะไรก็ไม่รู้จนล้มลงไปนอนวัดพื้น
“มึงจะบ้าเหรอ! มึงบ้าใช่ไหม?” ร่างเล็กพยายามยันตัวลุกขึ้น ปัดเศษหญ้าออกจากกางเกง
มือไอดิลยื่นมาช่วย แต่เจ้าตัวไม่สนใจ ได้แต่ละล่ำละลักบอกเพื่อนหนุ่ม
“พชร มัน.. มันโคตรไม่ชอบขี้หน้ากู มันคงเห็นกูเป็นกิ้งกือหรือไม่ก็ลูกเขียดน้อย ทุกวันนี่กูแทบจะต้องกราบเบญจางคประดิษฐ์อ้อนวอนให้มันพูดกับกู มึงเพ้อเจ้อใช่ไหมไอ้ดิ้ล กู.. กู แล้วพชร-”
“ไอ้ม่อน..” ไอดิลยกมือเบรก ซึ่งเป็นท่าทางที่ทำบ่อยมากนับตั้งแต่ได้รู้จักม่อนแจ่ม
“อะไรของมึ๊ง? กูแค่ถามเล่นๆ มึงตอบมาประโยคเดียวว่า -กูไม่ชอบพชร- แค่นั้นก็จบเปล่าวะ มึงจะสาธยายอะไรมากมาย”
ไอดิลโคตรงง “แล้วทั้งหมดที่พูดมา กูยังไม่ได้ยินมึงปฏิเสธไม่ชอบพชรแม้แต่ครึ่งคำเลยนะเนี่ย..”
“กู.. กู คือกู!” ม่อนแจ่มพยายามอธิบายไล่หลัง ทว่า ไม่ทัน เพราะหนุ่มสิ่งแวดล้อมเดินลิ่วๆไปเรียนเรียบร้อยแล้ว
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ท่ามกลางดวงดาวทอประกายบางเบาบนผืนฟ้ากำมะหยี่.. ร่างเล็กนั่งชันเข่าขึ้น ใช้แขนข้างหนึ่งโอบเรียวแข้งตัวเองไว้บนม้านั่งยาวในสวน
ดวงหน้าขาวเงยมองฟ้ากว้างสลับกับผืนหญ้าเขียวเข้มที่ดูหม่นลงเพราะความสลัวยามย่ำค่ำแห่งบ้าน ‘ประดิษฐาพงศ์’
ข้างตัวมีเอกสาร Engineering Materials ที่เอามานั่งอ่านตั้งแต่ฟ้ายังสว่าง
“Metallic, Polymeric, Ceramic”
เสียงเล็กพึมพำ พยายามทำความเข้าใจวัสดุวิศวกรรมแต่ละตัวไปเรื่อยๆ “Composite, Electronics..”
และ.. ณ เวลาที่ความมืดโรยตัวลงมา เขาก็วางเอกสาร หยิบเศษกระดาษใบนั้นออกมา เศษกระดาษที่เขียนเลขหวัดๆไว้
011153 011269‘รหัสวิชาครับ’ ..
หูยังได้ยินเสียงเข้มที่เอ่ยวลีสั้นๆนั้น
ม่อนแจ่มปล่อยให้ใจประหวัดไปถึงหอสามชาย บ้านอีกหลังที่เป็นที่พักพิงมานานนับเดือน
จนแล้วจนรอดก็ต้องรบกวนลุงสมไปรับกลับบ้านบ้าง เพื่อพบหน้าบิดามารดาที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากงานเปิดตลาดใหม่ที่เยอรมนี แถมยังซื้อขนมมาฝากเขาเพียบเลย
พ่อกับแม่น่ารักเสมอ ..รู้ว่าม่อนแจ่มชอบกินขนม
'ชอบกินขนม' พฤติกรรมนี้ก็ทำให้นึกถึงไอดิล คู่ซี้ที่สนิทกันอย่างรวดเร็ว
อาจเพราะไอดิลเป็นเด็กหนุ่มที่มีลักษณะคล้ายๆเขาหลายประการ (จากที่ม่อนแจ่มไม่คิดแล้วว่าจะเจอคนเหมือนๆกัน)
ริมฝีปากยกยิ้ม เมื่อคิดว่าป่านนี้เมทสิ่งแวดล้อมจะทำอะไรอยู่.. อาจเป่าขลุ่ยดูโอกับกีต้าร์ของไอหมอกกระมัง..
คู่รักคู่นั้นมักจะเล่นดนตรีกันในวันศุกร์ ซึ่งไอหมอกไม่ไปซ้อมฟุตบอล ไอดิลมักจะนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ที่กรอบประตูระเบียง
ระเบียง..
มีอีกคนที่ชอบยืนที่ระเบียงเหมือนกัน
ยืนเงียบๆ มองออกไปยังเวิ้งฟ้าภายนอก
..รูมเมทปรัชญา..
..พชร..
ร่างสูงเมินจักรวาลคนนั้นจะทันได้สังเกตไหมนะ ว่าวันนี้เขาไม่ได้อยู่ในห้อง
พอจะรู้สึกไหมว่าเสียงบ่นมันเงียบลงไป
พอจะคิดได้ไหม.. ว่าเป็นเพราะเขาไม่อยู่
แต่จะว่าไป.. ถึงเขาอยู่ในห้อง ก็ไม่ได้หมายความว่าพชรจะรับรู้การมีตัวตนของเขาอยู่แล้ว
“นั่งเงียบเชียวคะ คุณม่อน?”ใบหน้าเอี้ยวไปตามเสียงเรียก “ป้าเพ็ญ”
ม่อนแจ่มยกยิ้มส่งให้ร่างอวบ แม่บ้านผู้แสนดี
“อีกแป๊ปนึง ไปรับประทานมื้อค่ำได้แล้วนะคะ”
“รับทราบครับ!” ม่อนแจ่มทำท่าตะเบ๊ะล้อเลียน แต่ก็ยังดูไม่กระตือรือร้นมากเท่าเดิมในสายตาแม่นม
“เป็นอะไรไปหรือเปล่า ตั้งแต่กลับมา ซึมๆไปนิดหนึ่ง ไม่ชอบชีวิตหอในหรือคะ”
“เปล่า.. เปล่าครับ ผมชอบ ผมมีเรื่องมาเล่าให้ป้าเพ็ญฟังเพียบเลย ทั้งเรื่องน้ำไม่ไหล ไฟดับ และเรื่อง..”
“ฮ่ะๆ” แม่บ้านหัวเราะร่า ทว่า เมื่อคุณหนูที่แสนเอ็นดูชะงักไป นัยน์ตาเซื่องลง เธอจึงเลิกคิ้ว
“แล้วเรื่องที่รบกวนจิตใจคุณม่อน ..คืออะไรหรือคะ?”
“เอ่อ..” ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย
“ป้าเพ็ญเคย.. เคยมีคนไม่ชอบป้าเพ็ญแบบไม่มีเหตุผลไหมครับ”
ใบหน้ากลมชื้นเหงื่อน้อยๆ ชะงักไป
“อืม.. ไม่ชอบหรือคะ ส่วนใหญ่ ป้าเพ็ญก็อยู่ที่บ้าน ไปตลาดบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้จักคนมากมายอะไร คนที่รู้จัก ก็ไม่น่าจะมีใครไม่ชอบนะคะ”
“นั่นสิ” ม่อนแจ่มพยักหน้าหงึกหงัก “ป้าเพ็ญน่ารักขนาดนี้ จะมีใครไม่ชอบได้ลงคอ”
“ฮ่ะๆ” แม่บ้านหัวเราะอีกครั้ง เอ่ยเสริม “คุณม่อนก็น่ารักขนาดนี้ คงไม่มีใครไม่ชอบเหมือนกันล่ะค่ะ”
…
……ได้แต่กลืนน้ำลาย
“มีครับ ..ไม่ชอบ ไม่ชอบมากเสียด้วย”
“ใครคะ?”
ม่อนแจ่มถอนหายใจ
“เป็นรูมเมทครับ เขา เอ่อ.. เขาไม่ใช่คนไม่ดีอะไรนะครับ เขาดี เขามีน้ำใจ เขาเท่ คือ.. ม่อนหมายความว่า.. เขาแค่ไม่ชอบม่อน ไม่ค่อยพูดกับม่อนเลย ไม่ยอมเรียกชื่อม่อนด้วย”
ไม่ได้นินทานะ ม่อนแจ่มแค่อยากระบายความอึดอัดออกไป
เป็นครั้งแรกในชีวิต.. ที่การวาดรูปไม่ได้ช่วยให้หายรู้สึกแย่..
“อืม..” ป้าเพ็ญใคร่ครวญหาคำพูด
“คุณม่อนแน่ใจหรือคะว่าไม่เคยทำหรือไม่เคยพูดอะไรไม่ดีกับเขามาก่อน”
ม่อนแจ่มส่ายหน้าดิก “ม่อนเพิ่งเคยเจอเขาที่หอ แล้วเขาก็ไม่ชอบม่อนตั้งแต่วันแรก เขาแปลกๆตั้งแต่แรกเลยจริงๆนะครับ..”
เป็นป้าเพ็ญบ้างที่ถอนใจ “ถ้าเป็นแบบนั้น ความไม่ชอบของเขาไม่ใช่ปัญหาของคุณม่อนแล้วนะคะ มันเป็นปัญหาของเขาอย่างเดียวเลย คุณม่อนอย่าเอาตัวไปรองรับความไม่ชอบของเขาสิคะ”
ก็คงถูกของป้าเพ็ญ..
“เราไปบังคับใจใครก็คงไม่ได้หรอก คงได้แค่ทำตัวเราให้ดี ถ้าคุณม่อนมั่นใจว่าทำดีแล้ว เขาจะไม่ชอบก็ช่างเขาเถอะค่ะ”
..ช่างพชร
“แค่อย่าใส่ใจ”
..อย่าใส่ใจพชร
“นะคะ คุณม่อน”
“ครับ..”
ใช่
แค่.. อย่าเอาตัวไปรองรับความไม่ชอบของพชร
แค่.. ช่างพชร
แค่.. อย่าใส่ใจพชร
ทำยังไงวะ?
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
มื้อค่ำบนโต๊ะอาหารใหญ่ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม.. ที่แตกต่างคือม่อนแจ่มมากกว่าซึ่งเริ่มจะไม่คุ้นชินเล็กน้อย เพราะนานนับเดือนแล้วที่นั่งกินข้าวกล่องในห้องเชียร์ สลับกับกินที่โรงอาหารใต้หอ, อ.มช.หรือไม่ก็ฟุตบาทหลังมอกับผองเพื่อนแห่งหอสามชายบ้าง วิศวฯเครื่องกลบ้าง
‘พจน์ ประดิษฐาพงศ์’ ผู้เป็นบิดานั่งหัวโต๊ะ และ ‘ระมิงค์ ประดิษฐาพงศ์’ ผู้เป็นมารดานั่งอยู่ทางขวา ส่วนม่อนแจ่มทางซ้ายตามปกติ ในโอกาสเทศกาลพิเศษเท่านั้นแหละ ถึงจะมีครอบครัวของอาๆ และลูกพี่ลูกน้องมาร่วมโต๊ะด้วยบ้าง
“อยู่หอมีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่าล่ะม่อน” นายพจน์ถามขึ้นระหว่างการรับประทาน
ม่อนแจ่มได้แต่ส่ายหน้าให้ใบหน้าคมเข้มของบิดา ใบหน้าที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ใบหน้าที่เขาแสนอิจฉา ท่านบอกว่ามีเชื้อสายเป็นคนใต้นี่นะ จึงได้หล่อคมถึงเพียงนี้ แม้จะในวัยห้าสิบเข้าไปแล้ว
“ปัญหาไม่มีครับ เอ่อ.. ม่อนสบายดีทุกอย่าง”
นัยน์ตาของเขาและป้าเพ็ญที่ยืนสำรวจความเรียบร้อยอยู่ข้างๆแอบสบกัน
กับคุณพ่อ.. ม่อนแจ่มไม่กล้าพูดคุยอะไรจุกๆจิกๆด้วยสักเท่าไรนักหรอก
หน้าเรียวหันไปมองคุณแม่บ้าง คุณแม่ทานข้าวพลาง มองเขายิ้มๆพลางเหมือนเคย
ดูคุณแม่จะชอบมองใบหน้าของเขาเสียจริง แต่คงว่าไม่ได้ แม่ที่ไหนก็คงชอบมองหน้าลูกล่ะนะ
“เดินทางเหนื่อยไหมครับ” ม่อนแจ่มถามขึ้นอีก
“ก็ธรรมดาจ้ะ ติดต่อธุรกิจ ก็มีเหนื่อยบ้าง แต่กลับมาบ้านเห็นหน้าม่อนก็หายเหนื่อยแล้วล่ะ”
ม่อนแจ่มยิ้มรับ คุณแม่พูดหวานกับเขาเสมอ
“แม่ซื้อขนมมาฝาก ม่อนจะแบ่งเอาไปฝากเพื่อนๆที่หอบ้างก็ได้นะ”
ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบลูกชายเสร็จเรียบร้อย หลังมื้ออาหาร ผู้ใหญ่ทั้งสองก็แยกย้ายขึ้นไปพักผ่อน
“ฝันดีนะครับ” ม่อนแจ่มเอ่ยบอกคนทั้งสอง
พ่อคงเดินเข้าห้องหนึ่ง ส่วนแม่ก็อีกห้องถัดไป สองท่านไม่ได้นอนห้องเดียวกัน
ทว่า ป้าเพ็ญบอกว่าไม่แปลก คนเป็นผู้ใหญ่แล้ว อยู่ด้วยกันมานานแล้ว บางทีพออายุมากขึ้น ก็อาจไม่ได้อยากนอนห้องเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นสามีภรรยา
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ม่อนแจ่มใช้เวลาวันเสาร์ทบทวนตำรับตำราเรียนและทำงานส่งอาจารย์ วิศวกรรมเครื่องกลเป็นศาสตร์ที่กว้างขวางเหลือเกิน ต้องประยุกต์หลายๆศาสตร์มาใช้ ทั้งคณิตฯ ฟิสิกส์ พลศาสตร์ วัสดุศาสตร์ สากกะเบือยันเรือรบกันเลยทีเดียว
เราก็ทำได้ไม่เลวหรอกนะ ..เขาคิด และจะพยายามทำอย่างดีที่สุดเพื่อมาช่วยพัฒนาจักรกลอุตสาหกรรมในโรงงานของบิดา
เย็นวันอาทิตย์แล้ว กว่าที่ม่อนแจ่มจะกลับมาถึงหอสามชาย พร้อมกับนำขนมติดไม้ติดมือมาไม่มากนัก
ไม่ใช่ไม่อยากฝาก แต่กลัวว่าเอามาเยอะแล้วจะโดนคิดว่าเอามาอวดเพราะพ่อแม่ซื้อมาฝากจากเมืองนอก
เขาทนความรู้สึกนั้นไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. หากมันมาจากพชร
ห้อง 338 ยังคงมีสภาพเหมือนเดิมเมื่อเปิดประตูเข้าไป
โต๊ะพับข้างประตู เตียงเดี่ยว เตียงสองชั้น โต๊ะเขียนหนังสือ ภาพวาด ‘ม่อนแจ่มแห่งวิศวฯเครื่องกล’ และ Mind Map ‘ม่อนแจ่ม-พชร ประจัญบาน’ ของเขาบนฝาผนังซึ่งแปะไว้ใกล้เตียงเดี่ยวมากเป็นพิเศษ
ไอดิลพุ่งมากอดรัดฟัดเหวี่ยงเขา พร้อมแหกปาก
“ไอ้ม่อน คิดถึงงงงง!!”ฮ่ะๆ ม่อนแจ่มหัวเราะร่า ไอ้ดิ้ลมันโคตรเกรียน “ระวังหมอกหึงนะมึง”
รูมเมทสิ่งแวดล้อมหัวเราะบ้าง “มึงไม่ได้ใกล้เคียงหมอกเลย”
“ไอ้สัด!” ม่อนแจ่มสรรเสริญ
กูเป็นลูกหมาปอมเมื่อเทียบกับหมอก จบเถอะ ประโยคนี้ อย่าเอามาใช้กับกูอีกเลย
“พชรล่ะ..” อ้อมแอ้มถาม เมื่อมองไปยังระเบียงก็ไม่เห็นร่างสูงๆยืนอยู่
ไอดิลมองมาอย่างพยายามทำท่าฉลาด แล้วหัวเราะหึหึในลำคอ จนม่อนแจ่มต้องเตะหน้าแข้งเพื่อนเบาๆอย่างไม่จริงจังนัก
“ไอ้สัด!”
“เอ้า ด่ากูอีก” ไอดิลหัวเราะ “ลำพูน พชรกลับลำพูน”
“มันกลับบ้านเหรอ แล้ว.. ไปยังไง จะกลับมาเมื่อไหร่วะ”
ฮ่ะๆ!
ไอดิลหัวเราะรุนแรงมากจนรูมเมทเครื่องกลถลึงตาใส่ แม่งจึงพยักหน้ายอมๆ
“เออๆ มันก็แว้น Kawasaki D-Tracker ดำเขียวของมันอย่างเคยนั่นแหละ ไปเมื่อวานเช้า ก็คงกลับมาค่ำๆล่ะนะ”
“อ่อ..” ม่อนแจ่มพยักหน้าบ้าง วางถุงข้าวของลงบนโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเองที่อยู่มุมสุดชิดเตียงล่าง
“เอาขนมมาฝาก”
“ฝากกูหรือฝากพชร”
“ไอ้ดิ้ล!”
“โอเคๆ กูแกะกินเดี๋ยวเนี้ย หิวๆ”
ม่อนแจ่มส่ายหน้าขำๆ “จะกินข้าวกี่โมงล่ะ กินไหนวันนี้ ข้างล่างเหรอ”
“รอหมอกที่รักกับฝันเพื่อนกูแป๊ป เดี๋ยวสักหกโมงค่อยออกไปหน้ามอกันบ้าง”
“โอเค”
ตกลงกันเสร็จสรรพ แล้วไอดิลก็มีสมาธิกับการกินขนม ส่วนม่อนแจ่มก็กางฉากตั้ง สอดกระดาษ A3 ตั้งท่าจะเริ่มวาดภาพใหม่อีกสักภาพ ทั้งที่ก็ยังไม่รู้จะวาดอะไร..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“พชร กินข้าวยัง ซื้อของกินมาฝาก”ไอดิลทักทายเมื่อกลับมาในตอนค่ำจัด แล้วได้เจอว่ารูมเมทปรัชญาแว้นจากลำพูนมาถึงมอเรียบร้อยแล้ว
อันที่จริง ก็มีคนรีๆรอๆ ไม่ยอมไปกินข้าวตรงเวลาคือหกโมงเย็นอยู่หรอก แต่เพราะไอดิลหิวจนจะแทะหัวม่อนแจ่มจึงต้องลากมันออกไปในเวลาหกโมงครึ่งซึ่งพชรยังไม่กลับมา
“เรียบร้อยมาจากบ้านแล้วล่ะ ขอบใจมาก” คนถูกถามพยักหน้ารับพร้อมกับขอบคุณ
‘ขอบคุณ’
เป็นคำที่ช่างงดงามจริงๆ เล่นเอาม่อนแจ่มอยากได้บ้าง
“พชร กูเอาหนมจากบ้านมาฝากอ่ะ วางไว้บนโต๊ะแล้ว”
..
..ไม่ตอบรับ
..ไม่ปฏิเสธ
..อย่างที่คาดเดาได้
หนึ่ง สอง และสามนาทีผ่านไป.. ม่อนแจ่มจึงรวบรวมลมปราณอีกครั้ง
“พชร พอดีพ่อกับแม่กูไปเยอรมัน ซื้อขนมมาฝาก กูก็เลยเอามาฝากมึงด้วย”
..
ประหลาดแล้วล่ะ.. ที่คราวนี้ ร่างสูงเมินโลกจะชะงักไป ใบหน้าที่ปกติเรียบเฉยนั้นเข้มขึ้นมาแว่บหนึ่ง
“ไม่เป็นไร เอากลับไปกินเถอะ”
..นี่ไม่ใช่สิ่งที่คาดว่าจะได้รับ
..แค่เสริม เพราะคิดว่าอย่างน้อย พชรก็น่าจะรับไว้ตามมารยาท
..แค่อยากให้รู้สึกเหมือนไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนตั้งใจเอามาฝากให้ต้องรู้สึกเกรงใจติดค้าง แต่พ่อกับแม่ซื้อมาไง อารมณ์แบบรูมเมทเอามาแบ่งกันกิน แค่นั้น..
“
ขอบคุณ ม่อนแจ่ม พูดแค่นี้จะตายไหมพชร”
“ไอ้ม่อน..” ไอดิลแตะไหล่เพื่อนอย่างปรามๆ
พชรพ่นลมหายใจน้อยๆ ไม่อยากตอบ ไม่อยากทะเลาะด้วย ตั้งท่าจะออกจากห้อง หลีกเลี่ยงการปะทะเหมือนเคย
ทว่า มือเล็กกว่ายึดท่อนแขนไว้
“พชร!”
ม่อนแจ่มไม่ยอมให้คนตรงหน้าเดินหนี พอแล้ว.. พอ..
ไม่คิดว่าตัวเองจะทนรับเอาไว้อีกต่อไป ไม่ไหว.. เขารับไม่ได้..
ถ้ามีปัญหากับเขา ทำไมพชรถึงไม่แค่พูดออกมา ภายหลังกำแพงนี้.. ม่อนแจ่มอยากจะรู้ ..มันมีอะไร
“พชร..”
“ถอยไป เครื่องกล”
เครื่องกล.. อีกแล้ว?
“ชื่อกูมันอุบาทว์มากหรือไงวะ มึงถึงไม่ยอมเรียก!” เสียงเล็กตะโกนลั่น
“ใช่สิ กูชื่อม่อนแจ่ม ไม่ได้ชื่อเท่พชรแบบมึง แต่จะให้กูทำยังไง ก็แม่กูชอบไปเที่ยวม่อนแจ่ม แม่กูตั้งแบบนี้ มึงจะให้กูไปขอแม่เปลี่ยนเป็นอินทนนท์ ขุนตาน อ่างขางหรือยังไง ในเมื่อแม่กูชอบม่อน-”
“หยุดพูดถึงแม่มึงได้แล้ว เครื่องกล!”
“เรียกชื่อกู พชร!”
มีเพียงเสียงลมหายใจหอบๆของม่อนแจ่มเองภายหลังเสียงสั่งนั้น
พชรไม่พูดอะไร ดวงหน้านิ่งอยู่ในองศาเดิม และการไร้ปฏิกิริยาตอบกลับเช่นนั้นก็ทำให้คู่กรณีไม่อาจหยุดตัวเองได้อยู่
“หันมามองกูเดี๋ยวนี้ พูดมา มึงไม่ชอบอะไรกูนักหนา หน้ากูเหมือนพ่อมึงหรือไงวะสัด!”
…
…..
ร่างสูงกว่ายืนนิ่ง ดวงตาสีดำสนิทที่มักจะมองไปทางอื่นและไม่สบสายตากลับหันมาประจันหน้า
และคราวนี้ ขายาวนั้นก้าวเข้ามาหาร่างเล็กด้วยตัวเอง เป็นม่อนแจ่มเสียอีกที่มองสบดวงตาคู่นั้นแล้วถึงกับต้องผงะถอยหลัง
ไม่ว่าจะไม่พอใจด้วยเรื่องอะไร การพูดถึงพ่อแม่นั้นเป็นสิ่งที่น่าตำหนิ ม่อนแจ่มรู้สึกตัวทันที
“กูขอโท-”
ทว่า พชรไม่ได้ต้องการฟัง ใบหน้าคมสันก้มลงมาใกล้ ราวกับอยากจะให้คนตัวเตี้ยกว่ามองเห็นเขาให้ชัดทุกรายละเอียด
“หน้ามึงไม่เหมือนพ่อกูหรอก..” เสียงเข้มเอ่ยเรียบๆเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนคือแววตาเชือดเฉือนคู่นั้น
“ว่าแต่หน้ากู.. เหมือนพ่อมึงหรือเปล่า?”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ