แรงดึงดูด by zero- 1 -
“แกๆ พี่ปั้นมาๆ”
“อ๊าย แกกก หล่ออะ หล่อมากๆเลย”
“โอ๊ย พ่อของลูก แกๆ หน้าฉันเป็นไง ผมโอเคยัง”
“แก๊ มากันครบกลุ่มเลย อาหารตามากๆ”
เสียงของสาวๆรอบตัวผมดังลามจากอีกโต๊ะไปสู่อีกโต๊ะหนึ่งอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง เพียงแค่มนุษย์ผู้ชาย สูงยาวเข่าดีกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในโรงอาหารของคณะ โรงอาหารเล็กๆ ที่พอเพียงเลี้ยงปากเลี้ยงท้องชาวเราเศรษฐศาสตร์ รสชาติก็ธรรมดาแต่เมื่อเวลาหิวก็อร่อยดีเหมือนกัน คนส่วนมากที่กินอาหารที่นี่ก็เพราะไม่อยากเสียเวลาเดินไปโรงอาหารกลางหรือโรงอาหารคณะใกล้เคียงอย่างวิศวะที่มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ซึ่งสาวๆส่วนใหญ่ก็มักจะหอบสังขารพากันไปอย่างมีจุดประสงค์ แต่ส่วนพวกเด็กมีเงินทั้งหลายก็จะพากันขับรถกันออกไปหาอะไรกินกันตามห้างที่อยู่ไม่ไกลหรือร้านอาหารติดแอร์หน้ามหาวิทยาลัยมากกว่า โดยเฉพาะรุ่นพี่กลุ่มนี้ แต่วันนี้แปลกกลับแวะเวียนมาที่นี่ได้
“เฮียแม่งฮอตไม่เปลี่ยน ของเขาดีจริงๆ”
“อือ”ผมตอบรับอย่างเนือยๆ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับสาวๆรอบตัว หรือเหมือนกับไอ้ภีมที่มองไอดอลในดวงใจจนเหลียวหลัง เพราะตอนนี้ผมกำลังทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตัวอยู่ ทำเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาดมาหลายปี
“เฮ้ย! มึงนี่หัดสนใจรอบข้างบ้างดิว้า วันๆเอาแต่ก้มอยู่กับสมุดบัญชีหนังหมากับหนังสือเรียน”
“เอ้า ก็ของพวกนี้มันดีกับชีวิตกูนี่หว่า”ผมจะสนใจกับสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง การเรียน การทำมาหากินสร้างรายได้ อะไรที่ต้องเสียเงินหรือขัดขวางความก้าวหน้าในอนาคตผมจะไม่ค่อยสนใจ
อันที่จริงแล้วการสร้างคอนเนคชั่นตอนเรียนมหาวิทยาลัยนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่ผมเป็นพวกไม่ชอบใส่หน้ากากเข้าหาใคร ในคณะแห่งนี้แบ่งคนออกเป็นสามประเภทใหญ่ๆ หนึ่งพวกขยันเรียน ไม่ค่อยเข้าสังคมแต่ชอบเข้าหาอาจารย์ เพื่อนคนไหนที่ไม่เอื้อประโยชน์เรื่องการเรียนก็ไม่มาสุงสิงด้วย สงสัยจะกลัวโดนดูดความรู้มั้ง สองพวกชนชั้นสูง ไฮโซทั้งหลายที่มาเรียนที่นี่เพื่อหาคอนเนคชั่น เรียนบ้างเล่นบ้างจบไปก็มีงานที่บ้านรองรับ คนกลุ่มนี้ก็มีเป็นจำนวนไม่น้อยและเหมือนจะมีสิทธิ์มีเสียงมากในคณะ ประเภทสุดท้ายก็คือพวกธรรมดาสามัญชน เรียนกลางๆ บ้านไม่รวย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผมเอง
แน่นอนว่าการเลือกคบคนก็มักจะคบพวกเดียวกัน พวกเรียนเขาก็เอื้อประโยชน์ด้านการเรียน แต่ผมก็รู้สึกว่าเขาก็แข่งกันเอง พวกคนมีเงินก็คบกันเอง ใครที่ไหนจะอยากมาผูกมิตรกับมนุษย์ธรรมดาอย่างผมที่ไม่สามารถเอื้อประโยชน์ใดๆได้เลย แต่โชคดีหน่อยที่เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมหัวเกรียนกางเกงขาสั้นอย่างไอ้ภีมมันเลือกคณะและมหาวิทยาลัยเดียวกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครลดตัวลงมาคบกับผมเป็นแน่ ถึงจะไม่ชอบสุงสิงกับใครแต่ก็ใช่ว่าจะชอบอยู่ตัวคนเดียว ผมก็เป็นสัตว์สังคมนะแต่สังคมของผมมันก็ธรรมดาไม่ได้อู้ฟู่หรูหราเหมือนใครๆเขา
แต่ก็มีหลงผิดมาอยู่หนึ่งคนนะ เดินยิ้มหวานมาแต่ไกล
“ภีม คราม หวัดดี”
“หวัดดีตาม”ผมส่งเสียงทักทายพร้อมรอยยิ้ม เห็นตามทีไรรู้สึกเหมือนเห็นแบคกราวด์ด้านหลังเป็นทุ่งดอกไม้บานสะพรั่ง เหมือนฤดูใบไม้ผลิ ไม่ว่าจะเหนื่อยมาจากไหนแค่เห็นหน้าและรอยยิ้มตามก็รู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยา เปรียบเหมือนเทวดาตัวน้อยที่มาอยู่ผิดที่ผิดทาง
“หวัดดีไอ้กุ้งแห้ง”
“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกเราว่ากุ้งแห้งวะ”
“ก็ตอนมึงเลิกผอมนั่นแหละ นี่มึงผอมลงอีกแล้วป่ะวะ ปิดเทอมที่บ้านไม่ทำอาหารให้แดกไงวะ”
“บ้าดิ เราก็กินปกตินะเว้ย ภีมมั่วแล้ว”ถึงจะพูดวะพูดเว้ย ตามประสาผู้ชาย แต่ตามก็ไม่เคยพูดคำหยาบไปกว่านี้ ไม่พูดกูมึงกับพวกผม แต่ให้พวกผมพูดกับมันได้ อีกทั้งท่าทางมันดูนุ่มนิ่มผมก็ไม่กล้าหยาบคายใส่มันมาก ภาษาพูดของพวกเราเลยปนๆกันหลายระดับ ตอนแรกก็งงๆ แต่อยู่กันไปก็ชินเอง จะมีแต่ไอ้ภีมนี่แหละที่ชอบปล่อยหมาไปกัดขาตามอยู่เรื่อย
“แต่กูว่ามึงผอมลงจริงๆนะ”ผมออกความเห็น แขนก็เรียวเล็กกว่าเดิม ทั้งที่บ้านมันก็มีอันจะกิน แล้วก็ไปอังกฤษมาตั้งสิบกว่าวันก่อนจะเปิดเทอม อาหารฝรั่งก็รู้ๆอยู่ว่าอัดแน่นไปด้วยเนื้อนมไข่แต่ทำไมไม่เห็นอ้วนขึ้นเลย
ไอ้ตามหรือตามสิทธิ์ มันเป็นลูกคุณหนูแต่ไม่เหมือนลูกคุณหนูมากๆ คือที่บ้านมีฐานะดี แต่ถูกเลี้ยงดูมาแบบติดดิน ผมเคยไปที่บ้านมันหลายครั้ง พ่อแม่มันท่านเป็นผู้ใหญ่ใจดีและน่ารักมาก ไม่รังเกียจผมที่มาคบกับลูกชายท่าน ซ้ำยังคอยถามว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือได้มั้ยให้บอกมาเลยอย่าเกรงใจ แต่ใครจะไปกล้าบอกละครับว่าผมเดือดร้อนเรื่องเงินขอผมยืมสักสี่ห้าล้านได้มั้ย มีหวังท่านได้หงายหลัง พอลุกขึ้นได้ก็จะมาไล่เตะผมออกไปจากชีวิตลูกชายเขาทันที
“แล้วเมื่อเช้าอาจารย์สั่งงานอะไรมั้ย”เมื่อเช้ามันต้องไปส่งญาติมันกลับอังกฤษเลยไม่ได้มาเรียบคาบเช้าด้วยกัน
“ไม่มี แค่สอนไปหัวข้อเดียวไม่ยากนะ มึงลองอ่านตามชีทดู ไม่เข้าใจถามกูได้”วันนี้เปิดเทอมวันแรกตรงกับวันศุกร์ด้วย อาจารย์เลยยังไม่ใส่อะไรเต็มที่เพราะมาเรียนแค่วันเดียวก็ต้องหยุดอีกแล้ว ผมเลยข้องใจว่าทำไม่เลื่อนเปิดเทอมไปวันจันทร์เลยทีเดียว
“โอเค งั้นเดี๋ยวเราไปซื้ออะไรมากินก่อน หิวจะแย่”
“เออ กูฝากซื้อน้ำด้วยแห้ง”
“จิ๊ ฝากก็เอาเงินมา”
“โหย ออกไปก่อนดิ กูไม่มีเศษ”
“ตลอดเลยอ่ะภีม”
“แหมนิดๆหน่อยๆ แล้วกูก็เลี้ยงข้าวมึงกลับทุกที อย่างกเลยคนสวย”
“ภีม!”
“เออๆ กูไม่แกล้งแล้ว เอาแฟนต้าน้ำแดงนะ”
“อือ”
ผมส่ายหัวระอาไอ้ภีมมันชอบแกล้งตามให้โกรธไม่รู้เป็นอะไร สงสัยเป็นโรคจิตอ่อนๆ
“มึงนี่นะ ชอบแหย่มัน”
“กูมีความสุขอ่ะ”มันยอมรับหน้าชื่นตาบาน
“หึ ชักช้าระวังหมาคาบไปแดก”
“อะไรของมึง ก้มหน้าทำบัญชีไปอย่าวุ่นวือ”
“อย่ามาขอให้กูช่วยทีหลังนะ”
“อะไร๊ ช่วยอะไรไม่มี”
อย่าคิดว่าผมมองไม่ออก ไอ้เพื่อนรักของผมคนนี้มันชอบตาม การกระทำของมันเข้าข่ายที่ว่าเด็กผู้ชายชอบแกล้งคนที่ตัวเองชอบ แต่พึงระวังไว้แกล้งไปแกล้งมาจะได้กินแห้ว ใครที่ไหนบ้างที่จะชอบถูกแกล้ง ถ้ามีละก็แม่งต้องเป็นโรคจิตพอกัน
ผมเบื่อไอ้เพื่อนปากแข็ง มันไม่บอกผมก็ไม่ง้อ เรื่องของมัน หันมาสนใจยอดเงินคงเหลือในเดือนนี้ดีกว่า เพื่อนหาว่าผมเป็นคนขี้งก ขี้เหนียว เค็มจนเกลือเรียกพี่ แต่ผมก็เป็นแค่คนที่รู้จักใช้เงินเป็นเท่านั้นเอง คนเราจะต้องรู้จักใช้รู้จักเก็บ วันข้างหน้าจะได้ไม่ลำบาก เราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะต้องเจอกับอะไร การเตรียมความพร้อมด้านการเงินไว้เป็นสิ่งที่สมควรทำที่สุด ผมมีรายได้อยู่สามทาง หนึ่งคือได้จากแม่ทุกเดือน สองเงินที่ได้จากการสอนพิเศษคณิตศาสตร์เด็กม.ปลายในช่วงเย็นในจันทร์ถึงวันพุธ และสามเงินที่ได้จากการทำงานพิเศษในคืนวันพฤหัสและศุกร์ วันเสาร์ผมจะกลับบ้านไปหาแม่แลพกลับหออาทิตย์เพื่ออ่านหนังสือ
“พี่ปั้น พี่โดม พี่วอย พี่ชิดหวัดดีค้าบ”
เสียงทักทายของไอ้ภีมทำเอาผมที่กำลังจะจดค่าถ่ายเอกสารเมื่อเช้าต้องหยุดชะงัก เงยหน้ามองกลุ่มคนที่มายืนอยู่ตรงโต๊ะ ผมยกมือขึ้นสวัสดีพี่ปีสามสี่คนที่ยืนกดดันอยู่
“เออหวัดดี”พี่โดมทักทายกลับ ส่วนพี่ๆคนอื่นทำเพียงพยักหน้ารับ
“พวกพี่ๆไม่มีโต๊ะนั่งอ่ะ เราเลยชวนมานั่งด้วย”ไอ้ตามบอก
“เออพวกกูนั่งด้วยได้มั้ย เดี๋ยวมีเรียนจะรีบกินรีบไป”พี่โดมเป็นคนพูด
“ได้ดิพี่ ไม่มีปัญหา นั่งเลยๆ”
“เออขอบใจ”
“มีกันแค่สามคนพวกมึงเสือกนั่งโต๊ะยาวกันนะ”คราวนี้พี่วอยบ่น คือปกติโรงอาหารคณะผมมันไม่เคยเกิดปัญหาโต๊ะเต็ม อย่างที่บอกว่ามีตัวเลือกอื่นอีกเยอะสำหรับเด็กคณะนี้ แต่ที่วันนี้เต็มอาจเป็นเพราะกลุ่มพวกพี่เขามากินที่นี่ก็เป็นได้ ก่อนหน้านี้ยังมีโต๊ะว่างเป็นสิบๆโต๊ะอยู่เลย ก็นะแต่ละคนตัวท็อปทั้งนั้นเหมือนเลือกคบเพื่อนที่หน้าตา ตอนนี้เลยมีแต่คนมองมาที่โต๊ะเหมือนมีบอยแบนด์เกาหลีมาปรากฏตัว
“แหม ก็โต๊ะประจำอ่ะพี่ พวกผมนั่งตลอด กินข้าว อ่านหนังสือ ก็โต๊ะนี้แหละ ไอ้ครามมันชอบ ตรงนี้ใกล้บ่อปลา ต้นไม้เยอะดีด้วย”ใช่ครับ มันเป็นมุมที่ผมชอบ อ่านหนังสืออยู่ เบื่อๆก็มองดูปลาคราฟสีส้ม สีขาวว่ายไปมาจนเกิดความสงสัยว่ามันไม่เวียนหัวเหรอวะ แถมบริเวณนี้ยังงดสูบบุหรี่อีกด้วย สวรรค์ชัดๆ
“ทำไมวะ ใกล้บ่อปลา เวลาหิวเพื่อนมึงจะลงไปจับมาทุบหินแล้วแดกเหรอ”เชี่ย ผมไม่ใช่กอลั่มนะเว้ยไอ้พี่โดม
“เหอะๆ เพื่อนผมไม่ชอบกินปลาอ่ะ มันชอบกินไก่สด เนี่ยลากลงไปกินในบ่อประจำ น้ำในบ่อเน่าต้องโทษมันเลย”
“เชี่ยภีม! กูเพื่อนมึงนะ นี่เพื่อนไง”
“ฮ่าๆ ไอ้เชี่ย กูขำ”พี่โดมหัวเราะลั่นไม่เกรงใจใครเลย ไม่มีการห่วงภาพลักษณ์ คนอื่นๆก็พอกัน เออ เอากันเข้าไปแม่งนั่งหัวเราะกันทั้งโต๊ะเหมือนเมาเนื้อ ขนาดไอ้พี่ปั้นกับพี่ชิดที่เงียบๆยังหลุดหัวเราะอ่ะคิดดู
“มึงกินข้าวแล้วเหรอไอ้ภีม”
“เรียบร้อยแล้วพี่ หิวทนไม่ไหวไอ้ตามมันมาช้า”
ไอ้ภีมมันรู้จักกับพวกพี่กลุ่มนี้ดีเพราะเล่นบาส เตะบอลด้วยกันบ่อยๆมันเป็นน้องรหัสแฟนพี่โดมด้วย แต่นอกเหนือไปจากนั้นพี่ปั้นกับพี่ชิดเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนสมัยมัธยมของเราทั้งคู่ด้วย ไอ้ภีมมันเป็นเด็กกิจกรรมที่ใครๆก็รู้จักมัน เพราะสาระแนกับเขาไปทั่วแตกต่างจากผมที่เป็นเพื่อนสนิทมัน ผมค่อนข้างเก็บตัว (เพื่อนว่ากันแบบนั้น) แต่ความจริงแล้วผมไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นหรือทำกิจกรรมอะไรพวกนั้น เวลาของผมหมดไปกับการช่วยแม่ทำงานที่ร้านและหางานพิเศษทำเพื่อช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายที่บ้าน
“แล้วพี่จินอ่ะ”พี่จินคือพี่รหัสไอ้ภีม
“วันนี้ไม่มา พาแมวไปหาหมอ เชี่ย พูดแล้วอารมณ์เสีย เห็นแมวดีกว่ากู”
“มันก็ถูกแล้วนี่พี่”
“เดี๋ยวกูถีบไปนู่น”
ผมนั่งฟังพวกเขาคุยกันเงียบๆ ทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุด ทุกคนในโต๊ะนี้ยกเว้นผมเป็นเหมือนดวงดาวที่จรัสแสง ส่วนผมเป็นแค่เศษหินเล็กๆในอวกาศ สายตาจากโต๊ะอื่นที่มองมาก็ชื่นชนพวกพี่ๆ และเพื่อนผม
“เห้ย! นั่งเงียบ มึงไม่แดกข้าวไง เลิกทำได้แล้ว เงินมึงไม่งอกออกมาเป็นล้านหรอก”แล้วมันก็หันมาระรานผม บนโต๊ะนี้ไอ้ภีมพูดมากที่สุดแล้ว
“เรื่องของกู”
“เดี๋ยวกูตบปาก”เรื่องของกูเป็นคำต้องห้ามมากๆ สำหรับไอ้ภีม มันบอกว่าไม่มีเรื่องของผมเรื่องไหนที่ไม่ใช่เรื่องของมัน ด้วยความที่เราเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี เลยทำให้มันรับรู้ปัญหาของผม และที่ผมมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะมีเพื่อนอย่างมันคอยช่วย ครอบครัวของมันด้วย
“มึงสองตัวนี่เหมือนผัวเมีย”พี่โดมออกความเห็น เอาอะไรมามองว่าผมกับไอ้หน้าปลาตีนนี่เป็นผัวเมียกัน
“เห้ย พี่ อย่าคิดแบบนั้น ฟ้าจะผ่าเอา ให้ผมเอามันผมเอาไอ้ส้มเช้งในบ่อยังดีกว่า”
“ส้มเช้ง????”สี่เสียงประสานกัน
“ปลาคราฟในบ่ออ่ะพี่มีตัวนึงสีส้มทั้งตัวชื่อส้มเช้ง ไอ้ครามมันตั้งให้”
“น้องครามครับน้องขาดหรือน้องเกินครับเนี่ย”ไอ้พี่วอยหันมาถามผม สีหน้ามันล้อเลียนมาก ขาดหรือเกินนั่นหมายถึงสติปัญญาผมใช่มั้ย ทำไมวะทีหมาแมวยังตั้งชื่อได้เลย ตั้งชื่อให้ปลาผิดปกติตรงไหน
“พี่อย่าไปว่ามัน เดี๋ยวมันงอน แก้มป่องลอยไปกับลมแล้วจะตามเก็บไม่ทัน”
“ฮ่าๆ”
ไอ้เชี่ยภีมมันขยันขายผมจริงๆ ผมกลายเป็นตัวตลกให้พวกพี่มันหัวเราะแกล้มข้าวมันไก่ไปแล้ว
“นั่นกล่องอะไร”พี่ชิดพูดขึ้นมาครั้งแรกตั้งแต่นั่งร่วมโต๊ะ ยกเว้นตอนข้องใจชื่อส้มเช้งอ่ะนะ
“กล่องข้าวไอ้ครามมันอ่ะ”ผมกำลังจะอ้าปากตอบแต่ไอ้เพื่อนตัวดีก็ชิงตอบก่อน เออ ดี กูไม่มีบทพูดเลย ได้แต่คิดอยู่ในใจเนี่ย
“โหย มีข้าวกล่องมาด้วย โตขนาดนี้ยังพกข้าวกล่องมากินอีกเหรอ น้องครามอยู่ป.สองเหรอครับ”เป็นพี่วอยอีกครั้งที่ทำหน้าตาล้อเลียนผม แต่ครั้งนี้ผมไม่ขำ ไอ้ภีมกำลังจะอ้าปากตอบแทน แต่ผมชิงพูดขึ้นก่อน ตอนนี้ถึงบทผมแล้ว
“ทำไมครับ มีกฏหรือข้อห้ามไหนบอกว่าเด็กมหาลัยห้ามพกข้าวกล่องมากินเหรอครับ”หน้าผมร้อนวูบวาบจากอารมณ์กรุ่นข้างใน
“ก็...เปล่า เห้ย น้องขึ้นทำไม พี่แค่สงสัยอ่ะ”
“มันมีอะไรน่าสงสัยเหรอครับก็แค่ข้าวกล่องอ่ะ!”
“ครามใจเย็นนะ”ตามมันเอามือลูบแขนผมเบาๆ เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองยืนอยู่ ไม่ต้องถามว่าเด่นแค่ไหน แค่พวกพี่ๆมันมานั่งก็เป็นจุดรวมสายตาอยู่แล้ว ผมยังยืนแล้วพูดเสียงดังอีก พอรู้ตัวว่าขาดสติไปชั่วครู่ ผมก็ไม่กล้านั่งร่วมโต๊ะต่อเก็บข้าวของแล้วเดินออกมาเลย ไม่สนใจเสียงเรียกของเพื่อนทั้งสองคน ต้องพาตัวเองไปสงบสติอารมณ์ก่อน
ผมเดินมาจนถึงสวนหย่อมข้างคณะเพราะแดดแรงเลยไม่มีคนมานั่งเล่นที่โต๊ะม้าหิน พอหัวเย็นลงก็สำนึกได้ บ้าแท้ๆ ผมทำอะไรลงไป ผมเผลอไปนึกถึงเหตุการณ์แย่ๆในอดีต พอถูกพี่เขาถามแบบนั้นก็เลยของขึ้น มาคิดอีกทีพี่เขาอาจจะไม่ได้มีเจตนาอื่นนอกจากสงสัยอย่างที่บอกจริงๆ
X
“มึงไปไหนมาเนี่ยกูกับแห้งตามหาจนทั่ว”
ผมเดินเข้าห้องมาในคาบบ่าย อาจารย์ยังไม่เข้า พอมีเวลาให้ได้พูดคุยอยู่ หลังจากเดินไปที่สวนหย่อมและนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้กินข้าว เลยไปหามุมสงบกินข้าวกล่องที่เตรียมมาจากบ้านอย่างสุขใจแต่ไม่สุด ยังคงคิดถึงเรื่องที่ผมเสียมารยาทกับพวกพี่ๆอยู่
“แถวนี้แหละ เออ แล้วพี่เขาว่าอะไรมึงมั้ยตอนกูเดินออกมา”
“ก็ไม่อ่ะ พี่เขาแค่งงว่ามึงเป็นอะไร แต่กูอธิบายไปแล้ว”
“อธิบายว่า?”
“เรื่องของกู”
“ควาย”ผมด่ามัน มันพูดได้ครับคำนี้ แต่ผมห้ามพูด มันบอกว่าแค่ผมคิดเรื่องของตัวเองก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเสือกคิดเรื่องของมัน แปลอย่างสวยงามก็คือมันเป็นห่วงผมเพราะผมมีเรื่องให้คิดเยอะแล้วและมันยินดีที่จะแบ่งไปคิดให้ด้วย แต่มันจะไม่ยอมให้ผมไปแบ่งเรื่องของมันมาคิด มันกลัวผมเครียดเกินไป จะหาเพื่อนแสนดีและสารเลวในบางครั้งแบบมันได้จากที่ไหนอีก
“ตาม ไอ้ภีมมันบอกพี่เขาว่าไง”
“ไม่รู้อ่ะ เราเดินตามครามออกมา”
“แต่ขาสั้นไง ตามไปติดๆยังคลาดสายตา”
“จะไม่ว่าเราสักคำได้มั้ยเนี่ยภีม”
“ไม่ได้ มันคือความสุขกู”
“นิสัยไม่ดี”นี่แหละครับ ตามก็ด่าได้แค่นี้ นิสัยไม่ดี นิสัยเสีย บ้า เลว แล้วไอ้คนถูกด่ามันรู้สึกอะไรที่ไหนกัน ยังทำหน้าทำตาล้อ ขยับปากนิสัยไม่ดีๆเหมือนเด็กปัญญาอ่อน
สงครามเล็กๆสงบลงเพราะอาจารย์เข้ามาในห้องและเริ่มสอนทันที ผมตั้งใจฟังตั้งใจจดจนหมดคาบ ตารางสอนพิเศษและงานพิเศษผมจะเริ่มสัปดาห์หน้า วันนี้พอเลิกเรียบผมเลยตรงกลับห้องมีไอ้ภีมขับรถมาส่งผมก่อนที่มันจะขับไปส่งตามที่บ้านเพราะวันนี้ตามไม่ได้เอารถมา ถึงจะชอบแกล้งชอบแหย่แต่มันก็ตามเทคแคร์ตามอย่างกับอะไรดี ถ้าตัดเรื่องกวนประสาทออกไป ผมว่าตามน่าจะมองออกได้สักทีนะว่าไอ้ภีมคิดยังไง
ห้องพักของผมมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ พอให้ผู้ชายคนเดียวอยู่ได้สบาย การเดินทางไปมหาวิทยาลัยก็อยู่ในระยะสะดวกเดิน ปากซอยหาของกินง่ายมีคนพลุกพล่านไม่เปลี่ยว ระบบรักษาความปลอดภัยโอเค ค่าเช่าก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ใจจริงผมจะเช่าที่ถูกกว่านี้แต่แม่กับพี่สาวผมมาดูแล้วบอกไม่โอเค ไม่ปลอดภัย และแม่อยากให้ผมไปอยู่อีกหอหนึ่งด้วยซ้ำเพราะมันใหม่และกว้างกว่า อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีร้านสะดวกซื้ออยู่ใต้หอ แต่ผมเห็นว่ามันแพงเกินไป ผมมีห้องไว้พักอาศัยไม่ได้อวดใครหรือพาใครมาอยู่ด้วย ดังนั้นห้องที่อยู่ปัจจุบันนี้จึงเป็นอะไรที่ลงตัว เป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างแม่กับผม
ผมเปิดประตูระเบียงเพื่อออกไปทักทายลูกรัก กระบองเพชร กุหลาบหิน ประมาณสิบต้นเรียงรายอยู่บนชั้นสแตนเลส บางต้นก็กำลังออกดอก เห็นแล้วต้องยิ้มกับความสุขเล็กๆเหล่านี้ ชื่นชมสมอารมณ์หมายแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวกินมื้อเย็น กับข้าวฝีมือแม่ที่ห่อมาจากบ้าน แต่ยังไม่ทันได้เปิดกล่องเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ว่าไงวะ”ไอ้ภีมคือคนที่โทรมา
“แต่งตัวเตรียมไว้เลย เดี๋ยวอีกสักชั่วโมงกูเข้าไปรับ”
“หะ รับไปไหน?”เพิ่งแยกกันไม่ถึงชั่วโมงเลย
“แดกเหล้า”
“เชี่ย กูไม่ไป”
“มึงต้องไป งานนี้ฟรีมีคนเลี้ยง อีกอย่างมึงจะไปเที่ยวกับพวกกูได้ก็แค่ช่วงนี้ป่ะวะ เดี๋ยวมึงก็ไม่ว่าง และนี่นานทีปีหนสำหรับมึง พรุ่งนี้ก็วันหยุดมึงบอกเองว่าเสาร์นี้จะไม่กลับบ้าน ดังนั้นมึงต้องไป”ผมไม่น่าไปบอกมันเลยว่าจะไม่กลับบ้าน แม่เห็นว่าผมเพิ่งมาจากบ้านเมื่อวานเลยบอกว่าให้กลับอาทิตย์หน้าแทน
“มัดมือชกกูว่างั้น ถ้ากูยืนยันว่าไม่ไปอ่ะ”
“...”
“เชี่ย! มึงไม่ต้องเงียบกดดันกูเลย”
“.......................”
“เออ กูไปก็ได้!”ไม่เคยใจแข็งกับมันได้เลยจริงๆ เบื่อตัวเองเหมือนกัน
“เค เจอกันเพื่อนรัก ติ๊ด...”
“ควายเอ๊ย”ผมได้แต่ด่ามันตามหลัง เกิดบ้าอยากจะกินอะไรขึ้นมาตั้งแต่เปิดเทอมวะ แล้วใครที่เลี้ยงผมได้แต่คิดสงสัยแต่ไม่ได้โทรกลับไปถาม ใครเลี้ยงเดี๋ยวก็รู้เอง แต่ผมว่ามันนั่นแหละไม่มีใครหรอก ก็ถือว่าหยวนๆไป อย่างที่มันว่าผมไม่ค่อยได้เที่ยวกลางคืน เพราะมันเปลืองตังค์ไม่ใช่อะไร เหล้าผมก็ดื่มได้แต่ไม่ดื่มดีกว่า ไม่อยากเสียเงินแล้วยังทำลายสุขภาพอีกต่างหาก
ผมกินข้าวเย็นเสร็จก็แต่งตัวรอไอ้ภีมมารับ ก็ชุดง่ายๆตามประสาวัยรุ่น เสื้อยีดกางเกงยีนส์พอดีขา รองเท้าผ้าใบ คู่นี้พี่สาวซื้อให้ ตอนที่ได้รับมาก็อึ้งนิดๆบ่นพี่หน่อยๆว่าแพงซื้อมาทำไม แต่ปากนี่หุบยิ้มไม่ลงเลยจริงๆ ก็ผมชอบและอยากได้มากๆ แต่มาคิดแล้วว่าใส่แล้วมันก็เดินได้เหมือนรองเท้าทั่วไป ไม่ได้ทำให้เดินเร็วขึ้นหรือเหาะได้ผมก็เลยไม่ซื้อ
“โอ๊ย ครามหยุดทำไม เราเจ็บนะ”ผมไม่สนคำประท้องของไอ้ตามที่เดินเอาหน้ามาชนไหล่ผม เพราะสายตามัวแต่จ้องไปที่โต๊ะด้านใน ซึ่งมีคนกำลังกวักมือเรียกไอ้ภีมอยู่
“เชี่ยภีม ทำไมไม่บอกกูว่าคนที่เลี้ยงเป็นพวกพี่เขาวะ”
“เอ้าก็มึงไม่ถามนี่หว่า”
“แต่มึงควรคิดได้นะ เมื่อกลางวันกูทำอะไรไว้ ยังจะให้กูเสนอหน้ามาแดกฟรีของเขาอีกนะ”
“เอาน่าพี่ๆเขาไม่ได้ติดใจอะไร มึงไม่ต้องคิดมาก”
“ไม่เอากูจะกลับ”
“เชี่ยนี่กูไม่ให้กลับ ถ้ามึงรู้สึกผิดมึงก็แค่ขอโทษพี่เขาป่ะวะ พี่เขาไม่อะไรกับมึงอยู่แล้ว แมนๆคุยกัน”
“แล้วเขาจะมองกูยังไงวะ จะไม่คิดเหรอว่ากูไปขอโทษเขาเพื่อหวังจะกินของฟรี”
“โอ๊ย เชี่ยมึงคิดมากไปละ พี่วอยเขาให้กูชวนมึงด้วยแสดงว่าเขาไม่ได้คิดอะไร ไปๆ พี่เขามองมาแล้ว”มันดันหลังผมมาจนถึงโต๊ะเลยจำต้องไหว้พวกพี่ๆเขา ก่อนจะถูกไอ้เพื่อนชั่วผลักไปนั่งข้างพี่วอยที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวคนเดียว สารเลวจริงๆ
“กว่าจะมาถึงโต๊ะ มึงคุยอะไรกันนักหนาวะ”
“ไอ้ครามมันจะกลับอ่ะดิ อุตส่าห์มาถึงที่มาถึงจะกลับเลย บ้าไปแล้ว”มันเริ่มขายผมอีกแล้ว ไว้หน้ากูก็บ้างก็ได้ นี่เพื่อนไง มึงจำไม่ได้เหรอ
“ทำไมหรือมึงรังเกียจที่จะนั่งร่วมโต๊ะกับพวกกูวะ”
“เห้ย เปล่าพี่ ผมเกรงใจ ที่มาผมนึกว่าไอ้ภีมมันจะเลี้ยง ไม่คิดว่ามันจะพามากินกับพวกพี่”
“คิดมากไอ้ห่า มึงก็รุ่นน้องกูแดกๆ ไอ้ชิดชงมาให้มันดิ”
ผมรับแก้วมาจากพี่ชิดพร้อมกับคำขอบคุณ ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วทั้งโต๊ะที่มีสมาชิกอยู่สี่คน พี่จินแฟนพี่โดมมาด้วย พี่ชิดกับพี่วอยฉายเดี่ยว แต่เหมือนสมาชิกของแก๊งบอยแบนด์นี้จะขาดไปหนึ่งคน แล้วผมก็ไม่ต้องข้องใจนานเมื่อคนข้างๆผมถามขึ้นมา
“เชี่ยปั้นมันจะมามั้ยวะ”
“ไม่รู้ว่ะ ตอนเย็นกูเห็นออกไปกับกี้”พี่ชิดตอบ
“เอ้า แล้วมึงบอกมั้ยว่า...”พี่วอยเว้นคำในช่องว่างไว้ แต่เหมือนคนอื่นๆจะเข้าใจกันดี
“กูไลน์ไปบอกนะ เพราะโทรแล้วมันไม่รับสาย”
“กูว่ากี้คงไม่ปล่อยมันมาง่ายๆ ต้องเล่นจนน้ำหมดตัว ขาสั่น”
“โดม พูดจาน่าเกลียด”
“โหย ที่รักอ่ะมันเป็นเรื่องธรรมชาตินะตัวเอง”
“ธรรมาชาติหรือหื่นกาม”
“โอ๊ยๆ เจ็บครับ เจ็บแล้ว”ผู้ชายตัวใหญ่ดิ้นพล่านเพราะถูกบิดเอว ผมกลั้นยิ้มจนปวดแก้มที่เห็นพี่โดมหงอกับแฟนตัวเอง พูดจาเค้าตัวเองเสียงอ่อนเสียงหวานก็ดูน่ารักและตลกดี หันไปเจอพี่วอยที่กำลังมองผมอยู่ถึงกับสะดุ้งแล้วก็นึกขึ้นได้ เลยขอโทษเขาเรื่องตอนกลางวันไป ซึ่งเขาก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร ผมก็รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
“แต่กูสงสัย กูถามได้มั้ยวะ ทำไมมึงต้องของขึ้นด้วย”
“ก็ตอนมัธยมผมพกกล่องข้าวไปกินทุกวันก็โดนเพื่อนล้อตลอดผมเลยรู้สึกไม่ดี”
“อ่อ มึงจะไปสนทำไมวะ จะล้อก็เรื่องของมัน มึงไม่ได้ไปขอข้าวบ้านมันกินสักหน่อย”
“นั่นดิพี่ผมก็คิดอย่างนั้น แต่เวลามันพูดทีไรผมก็ของขึ้นทุกที มีอยู่ครั้งหนึ่งโมโหมาก ปากล่องข้าวใส่หน้าพวกมันเลย เกือบได้ต่อยกันแล้วด้วย แต่ไอ้ภีมเข้ามาห้ามก่อน”
“เปรี้ยวนักนะมึงตัวแค่นี้”
“ก็มันโมโหอ่ะพี่”
“เออกูเข้าใจ เป็นกูถีบยอดหน้าตั้งแต่ล้อครั้งที่สองละ”
“ไหนว่าให้ปล่อยไปไง”
“ครั้งสองครั้งกูก็ปล่อยหรอก มากๆเข้าจะเอาไว้ทำพ่อเหรอ”
“น่ะ เห็นมั้ย เป็นใครก็ของขึ้นทั้งนั้น”
“เออๆกูไม่เถียงละ แต่มึงนี่ก็เป็นคนคุยง่ายนี่หว่า”
“หะ? อะไรอ่ะพี่”
“ตอนแรกกูว่ามึงดูเข้าถึงยาก กิจกรรมก็ไม่ค่อยเข้า ปกติแล้วถ้าไม่เห็นมึงนั่งที่โต๊ะหินหน้าคณะกับไอ้ภีมพวกกูก็ไม่เห็นมึงที่อื่นเลย เป็นพวกเก็บตัวเหรอมึงอ่ะ”
“ก็เปล่านะ ผมก็ปกติ แต่หลังเลิกเรียนผมต้องไปสอนพิเศษไปทำงานเลยไม่ได้สังสรรค์กับคนอื่นเขา แล้วคนอย่างผมไม่มีใครเขาอยากคบด้วยหรอก”
“กูว่ามึงนี่ไม่ปกติแล้ว”
“ยังไงอ่ะพี่”
“เห้ย ไอ้ชิดรุ่นน้องมึงมันบอกว่าคนอย่างมันไม่มีใครอยากคบด้วยว่ะ”พี่วอยหันไปเรียกพี่ชิดที่กำลังกดโทรศัพท์เล่น ผู้ชายที่หล่อติดอันดับต้นๆของมหาวิทยาลัย อมยิ้มนิดๆมองมาทางผม
“คิดไปเองหรือเปล่าว่าไม่มีคนอยากคบ แต่ก็ดีแล้ว...”
“หืม? พี่ชิดว่าอะไรนะ”นักดนตรีซาวด์เช็คพอดีผมเลยได้ยินไม่ถนัด
“เปล่า มาๆชนแก้ว”แล้วผมก็ชนแก้วพี่เขาอย่างงงๆ อะไรของพวกพี่เขาวะ
“เอ้าๆ พวกมึงสองตัวตีอะไรกัน”เพราะเสียงพี่โดมทักขึ้นมา ผมเลยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมเพื่อนที่มาด้วยไปเลย มัวแต่คุยกับพี่วอย มันสองคนไปนั่งโซฟาอีกตัวที่ว่างอยู่ซึ่งนั่งได้สองคนพอดี
“เปล่าครับพี่”ตามหันมายิ้มแหยให้ทุกคน ก่อนจะหันไปค้อนให้ภีมที่นั่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อกี้มันทำอะไรกันวะ
“ไอ้ครามๆ”หันหันมาตามเสียงเรียกและแรงสะกิดของคนข้างๆ
“ครับ?”
“น้องตามเพื่อนมึงมีแฟนยังวะ?”
“พี่ถามทำไมอ่ะ?”
“กูชอบ จีบได้มั้ยวะ?”
ผมหันไปมองไอ้ภีมทันที แต่มันก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย งานจะเข้ามึงแล้วยังไม่รู้ตัวอีกภีมากร!
.
.
.
(มีต่อ)