ชีวิตประจำวันของผมตื่นเช้ามาอาบน้ำ ทำข้าวเช้ากินเอง ผมเอาง่ายเข้าว่าครับ อาหารเช้าปกติของผมก็เป็นขนมปังปิ้งทาเนย ไส้กรอก หรือไม่ก็ cereal บางวันอารมณ์ดีผมก็ทอดไข่ดาวกิน กินข้าวเช้าไปผมก็ on MSN เม้าท์กับเพื่อนพร้อมๆกับการทำข้าวกลางวันไปกิน (ที่โรงเรียนไม่มี canteen ครับ คือถ้านักเรียนไม่ทำมากินเองก็ต้องไปหากินเอาข้างนอก) ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็น sandwich เกือบทุกวัน มันไม่ใช่ว่าผมชอบกินขนมปังประกบกับแฮมชีสหรอกครับแต่เพราะ skill การทำอาหารของผมมันต่ำ่มาก
เท่าที่ทำได้แล้วไม่ทำไฟไหม้บ้านเขาเนี่ยก็ถือว่าบุญมากแล้ว รสชาติก็แบบว่าแย่สุดๆ ถ้าเป็นที่เมืองไทยผมก็คงโยนทิ้งแล้วล่ะครับ
แต่มันจะดีหน่อยถ้าผมเก็บมื้อเย็นก่อนหน้านั้นมากินเป็นมื้อกลางวันของวันถัดไปด้วย ที่บ้านผมมื้อเย็นเด็กแต่ละคนจะได้โควต้าเป็นเนื้อ 2 ชิ้น ปกติผมก็จะแบ่งๆมาเก็บไว้ในตู้เย็นก่อน ผมต้องติดป้ายด้วยนะครับ “please do not eat me, New” ที่ติดนี่ไม่ใช่อะไร แต่ถ้าไม่แสดงความเป็นเจ้าของก็ถือว่าเป็นของส่วนกลาง วันรุ่งขึ้นมันก็จะหายไป
ทุกเช้าผมจะทอดไข่ดาวฟองหนึ่งสำหรับเป็นมื้อกลางวันของเอ็ม เอ็มมันชอบกินไข่ดาวครับ แต่เพราะมันตื่นสายเลยทำไม่ทัน แรกๆผมไม่ยอมทำให้นะครับ ไม่ใช่เพราะว่าจริตหรือว่าเล่นตัวอะไร แต่ผมนะ
…..... ทอดไข่ไม่เป็นครับ มันก็รู้นะครับว่าผมทำอาหารที่นอกเหนือกว่าการปิ้งขนมปัง เอาไส้กรอกไปกลิ้งๆบนกระทะไม่เป็นสักอย่าง แต่เอ็มมันก็ขอให้ผมทำให้มันกิน ทีนี้เลยลำบากผมที่ต้องไปแอบเหล่ดูเอาจาก mate
ทำเนียนเลยครับเวลาเห็นพวกมันทอดไข่ก็เข้าไปยืนเม้าท์อยู่ข้างๆ ปากก็พูดไปครับ แต่ตาจ้องอยู่ที่กะทะ ok ๆเห็นมันใช้น้ำ้มัน เนย ตอกไข่แล้วก็รอ แซะๆ ก็กินได้แล้ว พอดูจนแน่ใจว่าตัวเองทำได้ ผมก็ลองทำเองครับ สรุปว่าวันแรกที่ทำไปให้เอ็มกิน ไข่แดงมันแตกตอนผมแซะ เอ็มมันเลยต้องกินไข่แดงสุกทั้งๆที่มันสั่งไข่แดงดิบ (มรึงนี่ช่างเลือกแดรกเนอะไอ้เอ็ม) แต่ถึงมันจะเรื่องมากผมก็ทำให้มันกินทุกวันล่ะครับ
หลังจากเตรียมข้าวกลางวันเสร็จเรียบร้อยผมจะรีบออกจากบ้านก่อน mate คนอื่นๆ เพราะอะไรเหรอครับ เพราะผมนัดเอ็มไว้ที่ป้ายรถ bus ไง และผมจะต้องไปถึงที่นั่นก่อนเอ็ม มันเริ่มมาจากผมที่กลัวการไปโรงเรียนคนเดียว ช่วงแรกเราก็นัดเวลากันแต่ก็มักจะคลาดกันซะเป็นส่วนใหญ่ ผมเลยตัดปัญหาโดยการลงไปรอเอ็มที่ป้าย แรกๆ mate ผมก็งงๆว่าทำไมผมตองออกไปโรงเรียนแต่เช้า แต่พอมันเห็นผมกับเอ็มเดินขึ้น bus มาด้วยกันมันก็ไม่ได้ถามอะไรอีก :m17:vเป็นเรื่องบังเอิญนะครับที่พอผมขึ้นมาบน bus พร้อมกับเอ็มก็มักจะเจอ mate ผมทั้ง 3 คนนั่งอยู่ในรถเป็นประจำ
ผมรอเอ็มประมาณ 10 นาที แต่ไอ้นิสัยขี้เซาของมันนี่บางครั้งก็ทำให้ผมรอเก้อมาเรียนสายไปเลยก็มีนะครับ แล้วเวลาผมไปสายผมก็จะโดนอาจารย์ว่า ฝรั่ง่อะครับไม่ทำการบ้านนี่ยังไม่ผิดเท่ามาสาย แรกๆผมก็โกรธนะครับ คนอุตส่าห์ตื่นเช้ามายืนตากลมหนาวๆรอทุกวันแต่เจ้าตัวกับนอนไม่ตื่นซะนี่ ผมไม่มีทางรู้เลยว่าเอ็มมันตื่นหรือยัง เราสองคนเอามือถือมาครับแต่ไม่ได้เปิดใช้เพราะค่าโทรมันแพง ผมจะรอเอ็มจนถึงรถเที่ยวสุดท้ายที่ผมรู้สึกว่าถ้าผมขึ้นสายกว่านี้อีกคันหนึ่งผมจะสายแล้ว แรกๆผมก็อารมณ์เสียนะแต่คิดไปคิดมาผมก็ไม่รู้จะไปเหวี่ยงใส่มันทำไม เพราะผมก็เป็นฝ่ายอยากรอมันเอง ไม่รู้สิมันรู้สึกดีนะครับเวลาได้มองเห็นเอ็มเดินเลี้ยวออกมาจากมุมถนน เห็นมันเดินข้ามถนนมาแล้วส่งยิ้มให้ผม ยิ่งคิดแบบนี้ผมก็ยิ่งอยากไปยืนรอมันทุกเช้า
มื้อกลางวันผม เอ็ม กันย์จะมานั่งกินข้าวด้วยกัน ส่วนพี่กีเขาไปกินกับเพื่อนๆเขา บางวันถ้าพวกผมเบื่ออาหารฝีมือตัวเองสุดๆ เราก็จะเดินไปหาอะไรกินกันข้างนอก บางวันก็ pizza บางวันก็อาหารญี่ปุ่น แต่ก็นานๆทีล่ะครับเพราะค่าอาหารมันแพง พวกผมอยากเก็บเงินเอาไว้เที่ยวกันมากกว่า กินข้าวมื้อหนึ่งเกือบ 500 บาท ช่วงแรกผมซื้อน้ำ้กินขวดละเกือบๆ 100 บาท หลังๆผมเลยกดน้ำ้ใส่ขวดมาจากบ้านแทน
เล่าเรื่องทำอาหารให้พี่ๆฟังมาเยอะเเล้ว ผมขอเล่าถึงการทำอาหารแบบเป็นจริงเป็นจังครั้งแรกให้พี่ฟัง
คือตั้งแต่ผมอยู่เมืองไทยแล้วครับ Justin ส่งเมลล์มาบอกผมว่าให้ผมเอาเครื่องปรุงอาหารไทยมาด้วย ผมก็ไม่ใส่ใจครับ บอกแม่บ้านว่าให้ซื้อเครื่องปรุงสำเร็จรูปแบบซองๆมาให้หน่อย พี่เขาก็จัดให้เรียบร้อย พอไปถึงได้ ไม่ถึงสัปดาห์ Justin ก็ถามผมว่าเมื่อไหร่ผมจะทำอาหารไทยให้เขากิน
ผมก็แบบว่าอ้ำ้ๆอึ้งๆ “กรูต้องทำด้วยเหรอ มรึงอยากกินก็ทำเอาเองดิ” แต่สายไปแล้วครับเพราะความมึนผมตกปากรับคำว่าจะทำให้เขากินวันรุ่งขึ้น แย่แล้วครับผมรีบเปิดดูในซองเลยว่ามันมีอะไรบ้าง สิ่งที่มีอยู่ตรงหน้าคือเครื่องปรุงสำหรับต้มยำ พะเเนง ของยากๆทั้งนั้น แล้วไอ้ผมที่ไม่เคยแม้แต่จะเจียวไข่เองนี่มันจะรอดเหรอครับ
ที่เลวร้ายกว่านั้นคือพอผมเดินกลับขึ้นมา Justin ก็กำลังบอกทุกคนในบ้านว่าพรุ่งนี้ผมจะทำอาหารไทยให้กิน
แล้วทุกคนก็ตื่นเต้นกันมาก เพราะไม่มีใครเคยกินอาหารไทยมาก่อน มันให้ความรู้สึกเหมือนตัวแทนประเทศไปสร้างชื่อเสียงระดับนานาชาติเลยครับ คือถ้าผมทำแย่เขาคงจำฝังใจว่าอาหารไทยไม่อร่อย ผมก็นั่งฟัง Justin พูดถึงอาหารมื้อใหญ่วันพรุ่งนี้แล้วก็เหงื่อตก
ผมต้องซื้อของเองทุกอย่างแม้จะมีเครื่องปรุงแต่ผมก็กะไม่ได้ว่าผมต้องซื้อกุ้งสำหรับต้มยำและเนื้อสำหรับพะเเนงรวมถึงข้าวที่ต้องหุงให้คนเกือบ 10 คนกินในปริมาณเท่าไหร่ แล้วผมก็คิดถึงคนๆหนึ่งขึ้นมาครับ “พี่กี” ผู้หญิงคนเดียวที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายให้กับชื่อเสียงของประเทศชาติ เช้าวันต่อมาพอผมเห็นหน้าพี่กีผมก็ถลาเข้าไปหาเลยครับ
“พี่กี พี่ช่วยนิวหน่อยสิ Justin เขาจะให้นิวทำอาหารไทยนะ”
“ก็ทำไปดิ ไม่เห็นยากเลย เขาไม่รู้หรอกว่ารสชาติมันเป็นยังไง 55”
เอิ่มมมมม แล้วมันจะรอดไหมงานนี้
“เอาจริงๆดิพี่ นิวทำไม่เป็น ต้องซื้ออะไรเท่าไหร่นิวก็กะไม่ได้ เย็นนี้เลิกเรียนแล้วพี่ไปเดิน supermarket กับนิวหน่อยนะ” ผมใช้สายตาอ้อนวอนพี่กีเต็มที่จนสุดท้ายพี่กีก็ตอบตกลง
เย็นนั้นพวกเรา 4 คนไปเดินหาซื้อของมาทำอาหารกันที่ supermarket ใกล้บ้านผม ส่วนมากพี่กีจะเป็นคนเดินเลือกอยู่คนเดียว ผมมีหน้าที่เข็น จ่ายตังค์แล้วก็หันไปเม้าท์กับไอ้ 2 คนที่เหลือเป็นระยะๆ และก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน ไอ้เอ็มมันมาวางยาผมครับ
“ไม่ต้องกลัวนะนิว อย่างมากเมิงก็ติดคุกแค่ปีสองปี” ไอ้เลว
มือไม่พายแล้วยังเอาตรีนราน้ำ้อีก
แล้วพอผมเปิดประตูเข้าบ้านปุ๊บ “ตายห่าและ!!”
ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ทำหน้าทำตาเหมือนอยากกินอาหารไทยแท้ใจจะขาด ผมอ้างว่าขอเอาของไปเก็บในห้องก่อน แต่จริงๆแล้วขอเวลาไปทำใจครับ “เอาวะอย่างมากก็โดนข้อหาวางยา สู้ตายโว้ย!!” ขอเล่าทีละปัญหาเลยนะครับ
อย่างเเรกคือเรื่องหุงข้าว ผมไม่เคยหุงข้าวครับ ต้องใส่น้ำ้เท่าไหร่ผมก็ไม่รู้ เมื่อเช้าพี่กีสอนมาว่าใช้ข้าวประมาณ3-4 แก้วน้ำ้แล้วใส่น้ำ้สูงประมาณ 1 ข้อนิ้ว ฟังดูมันก็ง่ายนะครับ ข้าว 3 แก้วกับน้ำ้ 1 ข้อนิ้วแต่เอาเข้าจริง “แก้วที่บ้านกรูมีหลายขนาดว่ะแล้ว1ข้อนิ้วกรูกับ 1 ข้อนิ้วพี่กีนี้มันไม่เท่ากันอ่ะ” ผมก็ทำนิ่งครับเลือกมาสักแก้วหนึ่งขนาดกลางๆใส่ๆมันไปก่อน เติมน้ำ้ปิดฝาแล้วกดปุ่มเป็นอันเรียบร้อย สรุปว่าเปิดฝามาอีกทีข้าวมันแห้งครับ Justin ก็ถามว่าผมใส่น้ำ้น้อยไปหรือเปล่า จะเอายังไงดี ผมก็อึ้งสิครับ กรูถามมาแค่นี้มีด้วยเหรอใส่น้ำ้น้อยไป
ถ้าบอกว่าหุงใหม่เขาจะหมดความเชื่อถือในตัวกรูหรือเปล่าเนี่ย แล้วจู่ๆก็เหมือนมีเสียงสวรรค์ครับ ผมได้ยินเสียงบ่นของพ่อเข้ามาในหัวว่าถ้าใส่น้ำ้น้อยก็ใส่เพิ่มอีกได้ ผมเลยเติมน้ำ้ลงไปอีกหน่อย ปิดฝาแล้วนั่งกัดนิ้วรอ เปิดมาอีกที โชคช่วยครับข้าวหอมมะลิสีขาวกำลังสวยเลย
ต่อมาก็ต้ม้ยำ ผมมีซองเครื่องปรุงอยู่ 3 ห่อ ก็เปิดน้ำ้ใส่หมดแล้วใส่เครื่องปรุงแต่ผมใส่น้ำ้มากไปรสชาติมันเลยแบบว่าเจือจางมากกกกกกกกก มีกลิ่นต้มยำอยู่ปลายๆลิ้นผมก็เริ่มใจเสียแล้วครับ สงสัยงานนี้มีเททิ้งแต่ก็ยังฟอร์มครับ คนน้ำต้มยำไปเรื่อยๆใส่กุ้งฆ่าเวลา เขาจะได้ไม่รู้ว่าเรากำลังหลอกเขา
แล้วอยู่ๆ Justin ก็บอกผมว่าเขามี coconut milk อยู่จะเอามาใส่ ผมเห็นมันไม่มีอะไรจะเสียเเล้วเลยพยักหน้ารับแล้วหันไปทำอย่างอื่น กลับมาอีกทีผมเห็น Justin เทน้ำ้กะทิ 3 กระป๋องลงในหม้อเรียบร้อยแล้ว “ชิบหายแล้วกรู!!”
ลองชิมดูครับ “รสชาติแมร่งโคตรเหี้ยเลย” เหมือนกินน้ำ้กะทิเปล่าๆไม่มีผิด
ผมหันไปมองหน้า Justin she ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ประมาณว่ามีความสุขที่ได้ช่วยผม (ทำให้ต้มยำที่มันรสชาติแย่อยู่แล้วแย่ลงไปอีก) แล้วจะให้ผมพูดอะไรล่ะครับนอกจาก
“Yummy!!”
คิดในใจครับว่าถ้าให้คนไทยกินนี้มีหวังเขาบ้วนทิ้ง
สุดท้าย … พะเเนงเนื้อครับ ผมก็หั่นเนื้อเป็นลูกเต๋า (ตอนหั่นนี้เสียวจะปาดนิ้วตัวเองไปด้วยจริงๆ) แล้วก็เอาเครื่องปรุงมาผัดลงในกะทะ ผสมน้ำ้นิดหน่อยแล้วใส่เนื้อลงไป ปัญหามันอยู่ที่ผมไม่รู้ว่าเนื้อมันสุกหรือยัง!! เพราะงั้นผมถึงต้องทำไปชิมไปกว่าเนื้อจะสุกผมก็เกือบอิ่มแล้วล่ะครับ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารนี่ทุกคนดูมีความสุขกับการได้ลองลิ้มชมรสอาหารไทย (ปลอมๆ) ฝีมือของผม ทุกคนชมครับว่าอร่อยโดยเฉพาะต้มยำกุ้ง mate ผมทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยมาก ไม่เคยกินซุปที่ไหนอร่อยขนาดนี้มาก่อน คิดในใจนะครับว่าเขาจะรู้ไหมนะว่ารสชาตินี่ไม่ได้ใกล้เคียงของจริงเล้ยยยยย แต่ดูเหมือน Mark จะรู้ทันครับเพราะเขาถามผมว่าถ้ามันอร่อยขนาดนั้นทำไมผมถึงไม่แตะต้มยำเลย
(ฝรั่งแมร่งตาไว) ผมเลยได้แต่แสยะยิ้มแล้วบอกว่ามัน creamy มากไปสำหรับผม ปกติเราไม่ใส่กะทิเยอะขนาดนี้ แต่ทุกคนก็ไม่สนตั้งหน้าตั้งตากินจนหมด
จบจากมื้อนั้น Justin ก็บอกว่าอยากกินอาหารไทยฝีมือผมอีก ผมเลยต้องบอกเขาไปด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งว่าผมเอาเครื่องปรุงมาเท่าที่ใช้ไปวันนี้ (ในใจเหรอครับ Yes!!!!) แต่หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ Justin ก็ขอให้พี่กีมาทำอาหารไทยให้กินอีก เอ็มกับกันย์ก็มาช่วย แต่มื้อนี้ผมเป็นลูกมือท้ายแถวครับ คอยยืนส่งจานส่งชามอย่างเดียว ผมจำไม่ได้ว่าพี่กีทำอะไรบ้าง แต่ถ้าจำถูกจะเป็นผัดไท ผัดผัก ปลาหมึกนึ่งมะนาวอะไรประมาณนั้นล่ะครับ ผัดผักกับปลาหมึกนี่ก็รสชาติคล้ายเมืองไทยครับ แต่ผัดไทนี่คนละเรื่องเลย เพราะเราหาน้ำ้มะขามเปียกไม่ได้ พี่กีเลยเอาเส้นจันมาผัดกับซอสมะเขือเทศแทนแล้วก็เนียนๆบอกเขาว่ารสชาติเหมือนที่กินที่ีเมืองไทยเลย
“เอ๊ะ!! นี่ผมนอกเรื่องจากเรื่องข้าวกลางวันมาไกลขนาดนี้ได้ไง”
กลับมาเรื่องข้าวกลางวันนะครับ ก็อย่างที่บอกว่าปกติเราสามคนจะกินข้าวด้วยกัน น้อยครั้งครับที่จะแยกกันกิน มันก็มีอยู่วันหนึ่งมันเป็นวันเปลี่ยน section สัปดาห์ต่อไปก็ต้องจัดห้องเรียนกันใหม่ กันย์มันบอกผมตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับว่ามันจะไม่กินข้าวกลางวันด้วย เพราะจะไปกับเพื่อนๆใน class มัน ส่วนไอ้เอ็มมันก็เพิ่งมาบอกผมตอนพักของวันนั้น ผมก็เฉยๆ จริงๆแล้วก็งอนมันครับ เพราะผมไม่ไปกินข้าวกับคนอื่นใน class เพราะจะได้กินกับมัน ผมเลยเงียบๆ เอ็มมันรู้ครับว่าถ้าผมเงียบ + ทำหน้านิ่งๆนี่คือไม่พอใจ มันก็กลัวผมจะโกรธ ชวนผมไปกินข้าวด้วย ผมไม่ไปหรอกครับ ผมไม่รู้จักใครเลย ให้ไปนั่งกินข้าวด้วยนี่ผมอึดอัดตาย ผมเลยพูดดีๆกับมันบอกว่าผมไม่ได้โกรธ ไม่ต้องห่วง ผมกินข้าวคนเดียวได้ มันก็อืมๆแบบเกรงใจ (มรึงเกรงใจกรูแต่ก็ทิ้งกรูไปกินข้าวกับพวกมัน ชิห์)
พอพักกลางวันผมก็เดินไปกินข้าวอีก campus หนึ่ง เดินไปถึงห้องวางกระเป๋าเรียบร้อยแล้วนะครับ เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ให้ของขวัญอาจารย์ ผมเลยเดินกลับมาอีกครั้ง ระหว่างทางมันมีสวนสาธารณะอยู่ตรงข้างถนน วันนี้อากาศดีครับแดดออก sunshine day มาก หลายคนก็มานั่งกินข้าวกันในสวน ผมมองไปเรื่อยๆแล้วก็ไปสะดุดกับหลังคนๆหนึ่ง …. ไอ้เอ็มครับ ผมจำเสื้อมันได้เพราะผมเป็นคนไปเลือกซื้อกับมัน มันนั่งกินข้าวกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ สองคน ย้ำ้นะครับว่าสองคน แล้วมรึงบอกกรูว่าไปกินข้าวกับเพื่อนๆ เท่านั้นล่ะครับปรี๊ดครับปรี๊ด
ของขวัญไม่ให้แมร่งแล้ว เดี๋ยวค่อยให้วันหลังละกัน
ผมเดินกลับไปที่ campus
ระหว่างทางผมซื้อโค้กด้วยนะครับ คิดในใจว่าจะเอาไปสาดแมร่งทั้งผู้หญิงผู้ชาย แอบมาคบชู้กัน "นังเรยา นังงูพิษ"
แหะๆ เปล่าหรอกครับคืออารมณ์เสียไง เลยอยากกินอะไรหวานๆ เดินเข้ามาในห้อง ไม่มีใครมาสักคน ผมเอาหูฟัง ipod ยัดใส่หูตัวเองเปิดเสียงแบบไม่เกรงใจห้องข้างๆ (อย่ามายุ่งกับกรู คนกำลังโมโห) แล้วก็ก้มหน้าก้มตากิน sandwich รสชาติห่วยๆของตัวเองกับโค้ก
คิดแล้วมันปรี๊ดครับ ภาพนั้นย้ำติดตาผมอยู่เลย ตอนนี้เเมร่งคงกำลังมีความสุขนั่งกินข้าวกลางวันกันสองคนกลางสวนสาธารณะโรแมนติกตายห่า
แล้วผู้หญิงคนนั้นจะรู้ไหมว่าไอ้ sandwich ไข่ที่เอ็มมันกินน่ะฝีมือผมมมมมม!!
คิดแล้วแค้นครับ ผมกระดกโค้กจนหมดกระป๋องแล้วเขวี้ยงกระป๋องลงถังขยะสุดแรงเสียงดังเป๋งเลยครับ สะใจคิดซะว่าเป็นหัวไอ้เอ็มแต่มันก็ไม่หายโกรธ
พอใกล้บ่ายโมงไอ้ตัวต้นเรื่องก็เดินเข้ามา ผมชายหางตามองมัน เห็นเอ็มมันเดินมาหน้านิ่งๆ คิดว่ากรูจะเชื่อมรึงเหรอเดินมาทำหน้าเฉยๆในใจคงยิ้มระรื่นเลยสิ ข้าวกลางวันอร่อยไหมละมรึง แล้วมันก็เอากระเป๋ามาวางข้างๆผมก่อนจะนั่ง โอ๊ยแค่เห็นหน้ามันผมก็อยากกระโจนเข้าหักคอมันแล้วครับ
“มรึงกินข้าวที่นี่เหรอ”
“อืม” ก็ใช่สิ มรึงทิ้งกรูแล้วไปกินข้าวกับผู้หญิงนิ แล้วจะให้กรูกินข้าวกับหมาที่ไหน
“แล้วมรึงกินข้าวกับใคร” พ่อกรูมั้ง
“คนเดียว แล้วมรึงล่ะ” ถ้ามรึงโกหกกรูนะ น่าดู
“กินกับเพื่อนผู้หญิงเกาหลีที่สวนสาธารณะ” เกาหลีด้วยนะ คงน่ารักมากล่ะสิ
“เหรอ คงอร่อยเนอะ” ไม่ค่อยเก็บอาการเลยกรู
“นิว มรึงโกรธกรูเหรอ” มันเริ่มรู้ตัวเเล้วครับว่าผมกำลังงอน ตอนนั้นก็มีคนอื่นเข้ามาในห้องหลายคนแล้วเหมือนกันแต่มันง้อผมเป็นภาษาไทย ไม่มีใครฟังออกครับ เอ็มมันก็ง้ออย่างงั้นอย่างงี้จนผมเริ่มอารมณ์ดีขึ้น (ผมนี่ก็ใจอ่อนเนอะมันง้อนิดเดียวหายโกรธแล้ว) กำลังเคลิ้มเลยครับ อาจารย์เดินเข้าห้องมาพอดี เอ็มมันเลยหยุดง้อเพราะที่นี่เขามีกฎว่าต้องพูดแต่ภาษาอังกฤษ ถ้าพูดภาษาบ้านตัวเองล่ะก็ โดนทำโทษครับ … สรุปก็ไม่มีอะไรจบคาบมันก็ง้อผมต่อนิดหน่อย ผมก็หายโกรธตั้งแต่มันมาง้อผมแล้วครับ