ในที่สุดวันที่ผมจะออกเดินทางก็มาถึง เพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆมาส่งผมกับเอ็มขึ้นเครื่อง แรกๆผมก็เฉยๆลไม่ได้รู้สึกกังวลเท่าไหร่

แต่พอแยกกับที่บ้านเท่านั้นละครับผมเริ่มสติแตกไปแล้วเพราะกลัว ผมกลัวมาก ผมไม่เคยต้องห่างบ้านไกลขนาดนี้มาก่อน ไม่แน่ใจด้วยว่าตัวเองจะไปรอดไหม ผมกับเอ็มผ่าน immigration เข้าไปก่อน พอตรวจหนังสือเดินทางเสร็จผมก็จิตหลุดไปเลย

ให้พี่ๆเดาว่าผมทำยังไง
“เอ็ม กรูกลัวว่ะ ไม่เคยห่างบ้านขนาดนี้มาก่อน” ผมเดินเข้าไปเขย่าแขนเสื้อเอ็ม
“ไม่ต้องกลัวเดียวกรูดูแลมรึงเอง”

ได้ยินประโยคนี้หัวใจของผมมันก็แทบจะตะโกนออกมาว่า “มรึงจะพระเอกไปไหน!!” ผมคว้าเอาสายเป้ของเอ็มแล้วเดินเข้าข้างในแบบหวั่นๆ
พวกเรานัดเจอกันย์กับพี่กีหน้า gate พอถึงเวลานัดพวกเรา 4 คนก็มาเจอกัน ผมโทรหาที่บ้านเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนเอ็มก็แยกไปคุยโทรศัพท์ ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นผมคิดอะไร แต่ผมบอกเอ็มก่อนเราทั้งคู่จะปิดมือถือ
“ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี้ แล้วไปเที่ยวกันนะ”
ขึ้นมาบนเครื่องพวกเรา 4 คนนั่งเรียงกัน ผมนั่งริมสุด ถัดมาเป็นเอ็ม กันย์และพี่กี ขึ้นเครื่องใหม่ๆก็สนุก แต่สัก 2-3 ชั่วโมงผมก็เบื่อ สุดท้ายเลยหลับ ตื่นมาอีกทีก็เกือบจะ landing แล้วครับ ตอนเปลี่ยนเครื่องผมก็ทำเรื่องอีกจนได้ มันมีเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง กันย์กับพี่กีขอแยกไปเดินซื้อของ ผมกับเอ็มก็เลยเดินเล่นไปเรื่อยๆในสนามบิน ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตังเองสายตาสั้นก่อนหน้านี้ไม่นานเลยไปตัดแว่นมาใช้สำหรับตอนไป summer แล้วมันก็ยังไม่ชินกับการมีอุปกรณ์เสริมมาอีก 1 ชิ้น มารู้ตัวเองอีกทีเเว่นก็หายไปแล้ว ตกใจครับเพราะเพิ่งซื้อมาไม่ถึงเดือน แล้วผมก็ไม่อยากมองภาพเบลอๆไปอีกตลอด 3 เดือนที่เหลือ ผมตะโกนบอกเอ็มที่กำลังเข้าห้องนำ้อยู่แล้ววิ่งออกมาเลยแล้ว

สนามบินกว้างออกขนาดนั้น ผมหาแว่นอันนิดเดียวไม่เจอหรอกครับ แต่ที่ซวยกว่านั้นคือพอผมกลับไปที่ห้องน้ำ้เอ็มก็หายไป

ผมคิดได้อย่างเดียวคือต้องไปรอเอ็มที่ gate พนักงานเริ่มเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องแล้ว พอเห็นผมพนักงานก็เรียก (แกมบังคับ) ให้ขึ้นเครื่องแต่ผมก็บอกว่าผมหลงกับเพื่อนขอรอเพื่อนอีกสักพักได้ไหม เขาก็บอกเเนวๆว่าอยากให้ผมไปรอบนเครื่องมากกว่า พอขึ้นเครื่องผมก็กังวล นั่งกัดเล็บตัวเองจนแอร์เดินมาถามว่าผมเป็นไรหรือเปล่า ผมก็เล่าเรื่องให้่แอร์ฟัง แอร์บอกว่าถ้าเพื่อนผมพูดภาษาอังกฤษได้ก็ไม่มีปัญหา สักพักเอ็มกับคนอื่นๆก็เข้ามา
“มรึงนิ กรูบอกแล้วว่าให้รอ แมร่งจะรีบไปไหนวะ” ผมโดนเอ็มดุตามระเบียบ

“ก็มันตกใจ เสียดายของ” ผมก็ก้มหน้าก้มตารับผิดตามระเบียบ

“แว่นแค่อันเดียวเสียดายทำไมวะ เวลาซื้อเสื้อผ้าไม่เห็นเสียดาย … ถ้ามรึงตกเครื่องกรูก็เที่ยวไม่สนุกดิ”
ต่อเครื่องหนสองดูหนังก็แล้ว คุยก็แล้ว เดินไปเดินมาแก้เซ็งแต่เวลามันก็ผ่านไปช้ามากๆ ผมเลยตัดสินใจกลับมานั่งที่เเล้วคิดว่าวิธีเดียวที่เวลาจะเดินเร็วที่สุดคือผมต้องนอน ผมหยิบเอาหูฟัง ipod ออกจากหูของเอ็มแล้วเอามาเสียบหูตัวเอง ฟังไปฟังมาก็เริ่มเคลิ้มแต่มันนอนไม่สบายพนักพิงก็แข็ง ผมเลยนอนซบไหล่เอ็มซะเลย

… ก็ที่นั่งมันไม่สบายนิครับ ไหล่เอ็มทั้งอุ่นทั้งสบายกว่าเยอะ

แอร์ก็เดินมามองผมกับเอ็มหลายรอบเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่สน ยังไงก็เจอเขาครั้งเดียวในชีวิตอยู่แล้ว เลยยังนอนซบเอ็มต่อไป แต่ไอ้เอ็มสิครับกระซิบผม
“นิว แอร์น่ารักว่ะ”
“เออ!! แล้วมรึงบอกกรูทำมะ”

แล้วผมก็กระแทกหัวลงกับไหล่ของจี ไม่สบอารมณ์อย่างแรง
นั่งไปนั่งมาสรุปว่าพวกเรา 4 คนนอนหลับกันหมด ตื่นมาอีกทีก็กำลังจะถึงแล้ว ที่ซวยคือเพราะพวกผมหลับแอร์เลยไม่ได้แจกแบบฟอร์มขอเข้าประเทศให้ พอลงมาถึงหน้า immigration ถึงได้รู้ว่าต้องใช้ ยืนเซ่อๆกันอยู่ 4 คนจนเจอแก๊งค์คนไทยเข้า เขาก็ใจดีบอกให้ไปเขียนใบขอเข้า้เมืองที่เคาน์เตอร์ตรงหัวมุม กว่าพวกผมจะเดินออกมาได้ก็ช้าไปเกือบ 2 ชั่วโมง กระเป๋าของพวกเราถูกเอาไปกองรวมกันอยู่ที่มุมห้อง
ออกมาปุ๊บพวกเราก็เจอ host เลยครับ (เรา 4 คนนอนคนละบ้านกัน) และ host ก็ไม่ปล่อยให้พวกผมมีเวลาร่ำ่ลากัน คือพอเจอหน้าผม host ก็ช่วยผมลากกระเป๋าแล้วเดินออกจากสนามบินเลยครับ

แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ผมกับเอ็มออกทางเดียวกัน ผมเลยมีเวลาพูดกันนิดหน่อย ผมบอกเอ็มว่าถึงที่บ้านแล้วจะโทรหา
บนรถผมก็คุยเรื่องกฏของบ้านกับ host พวกอะไรยิบๆย่อยๆนั่นแหละครับ เพราะทางบริษัทที่เมืองไทยบอกผมว่า บางบ้านจะมีกฏอะไรแปลกเช่นอาบน้ำ้ได้วันละครั้ง หรือว่าเรื่องตู้เย็นของอะไรที่ผมสามารถหยิบกินได้และอะไรที่หยิบไม่ได้ ผมโชคดีครับที่ host ผมใจดีไม่มีกฎอะไรเลย แถม host mother ยังพาผมแวะไปดูที่โรงเรียนอีกต่างหาก
ผมไปถึงวันศุกร์กว่าจะได้มาโรงเรียนก็วันจันทร์ยังมีเวลาอีก 2 วันให้เที่ยว ระหว่างทางกลับบ้าน Justin (ชื่อ host mother ผมครับ) อธิบายระบบคมนาคมให้ผมฟัง เธอให้ผมสังเกต landmark ว่าตรงไหนที่ผมควรจะลง แล้วก็พาผมไปแวะ supermarket ที่อยู่ใกล้บ้านซึ่งใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที พอเห็น super ผมก็อุ่นใจ ฮิฮิ ของกินเพียบเลย

ขอเล่าเรื่องบ้านที่ผมอยู่บ้างครับ บ้านผมเป็นบ้าน 3 ชั้น ผมมี mate ทั้งหมด 3 คนซึ่งทุกคนต่างก็ไม่ได้มาจากประเทศเดียวกัน ผมได้ห้องส่วนตัวอยู่ชั้นใต้ดินกับ mate 1 คน อีก 2 คนอยู่ชั้นบนกับชั้น 3 บ้านของ host แต่ละชั้นจะมีห้องครัวและห้องนั่งเล่นเป็นของตัวเอง แต่ปกติแล้วพวกเราจะกินข้าวกันที่ชั้น 2 ห้องนั่งเล่นชั้นที่ผมอยู่ถูกดัดแปลงให้เป็นห้องดูหนัง ร้องเกะและบางวันเราก็มากินข้าวเย็น + ดูหนังกันที่ห้องนี้
วันที่ผมมาถึง host ผมจัด party เล็กๆ ผมเข้ามาก็ยังไม่รู้จักใคร เอาของเข้าไปเก็บในห้องแล้วก็ชีพจรลงเท้าอยากออกไป jogging เอาบรรยากาศ เลยจัดเต็มที่เลยครับเหมือนในหนังเด๊ะๆ กางเกงวอร์ม เสื้อยืดคลุมด้วย sweater รองเท้าผ้าใบพร้อม ถาม Mark (host father) เขาบอกว่าเดินลงไปอีกหน่อยมี park ผมก็ออกจากบ้านเลยครับ อากาศช่วงนั้นหนาวครับก่อนวันที่ผมมาถึงหิมะเพิ่งจะตกไป ผมวิ่งๆอยู่นี่ก็เห็นกองหิมะขนาดย่อมๆตลอดทาง สรุปว่าวิ่งได้ 10 กว่านาทีก็ต้องเดินกลับแล้วเพราะลืมเอาหมวกไหมพรหมมา หูผมนี้เย็นจนเจ็บเลยครับ
กลับมาถึงบ้านเพื่อนๆ host ผมกับ mate ก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา ทักทายกันพอเป็นพิธีครับ ต่างคนต่างแนะนำตัวแล้วก็กินข้าว ช่วงค่ำ่ๆเขามี party คาราโอเกะกัน ผมเลยขอตัวแยกออกมาอาบน้ำนอน พอเปิดประตูห้องน้ำ้เท่านั้นล่ะครับ แทบร้องกรี๊ด

มันอยู่ตรงหน้าเลย แมงมุมครับ ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา แล้วแทนที่มันจะหนีผม ผมยกขาแบบว่า “อย่าเข้ามานะเว้ย!!” ผมก็ถอยซิครับ หันหลังเดินออกไปนอกห้อง
“Mark, could u please help me. There is something in the toilet.”

Mark ก็หน้าตาตื่นเดินเข้ามา พอเห็นเจ้าตัวปัญหาพี่แกก็เอามือหยิบมันใส่ชักโครก (เขาไม่รังเกียจมันบ้างหรือไง อีตัวไรไม่รู้มี 8 ขา แค่พูดก็ขนลุกแล้ว ชีวิตนี้ผมกลัวอยู่ 2 อย่างครับ แมงมุมกับแมลงสาบครับ) ... แล้วเจ้าแมงมุมน้อยก็ได้ลงไปเที่ยวโลกใต้บาดาล
อาบน้ำ้เสร็จผมก็ตาจะปิดแล้วครับ ผมลองโทรหาคนอื่น ทุกคนหลับกันหมดแล้ว ผมเหลือบดูนาฬิกา 2 ทุ่มเองครับดูค่ำ่เกินไปสำหรับผมที่จะนอน ข้างนอก party คงเริ่ิมแล้วเพราะผมได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮา แต่ผมก็เหนื่อยเกินไป ผมกินยาแก้แพ้เม็ดหนึ่งจะได้ง่วงๆ แล้วพอล้มตัวลงนอน...... ภาพมันก็ตัดหายไป
เช้าวันต่อมาผมตื่นเพราะเสียงเคาะประตูหน้าห้อง เปิดประตูออกมาก็เจอ Justin ยื่นโทรศัพท์มาให้จับใจความได้ว่าเพื่อนโทรมา เอ็มโทรมาครับ มันโทรมานัดผมไปข้างนอก แต่เพราะเราสองคนก็เพิ่งมาถึงเป็นวันเเรก จะไปยังไง จะเจอกันตรงไหนผมก็ยังไม่รู้ คุยกันอยู่เกือบ 20 นาทีเราเลยตกลงกันว่าจะโทรหากันใหม่ตอนเที่ยงๆ (คนที่นี่เขามีมารยาทมากนะครับ ตลอด 2 เดือนที่ผมอยู่กับเขา เขาไม่เคยเข้ามาในห้องเลย มีแค่ครั้งหนึ่งที่ลูกเขาเข้ามา Justin กับ Mark มาขอโทษผมใหญ่)
พอสายๆผมก็หมดหวังที่จะเจอใครแล้วครับวันนี้ อยากมากก็คิดว่าจะได้ไปดูของกินที่ supermarket ใกล้ๆ กินข้าวกลางวันอิ่มแล้วเอ็มก็ยังไม่โทรหาผม ผมเลยฆ่าเวลาด้วยการไปล้างจาน (อยากบอกว่าผมน่ะงานบ้านงานเรือนไม่เคยแตะ แต่อยู่ที่นี่ต้องทำเองหมดทุกอย่าง … เก่งไหมครับ ฮิฮิ) ก็ก้มหน้าก้มตาล้างจาน เงยหน้าขึ้นมาอีกที ตกใจครับ … เอ็มมายืนยิ้มให้อยู่นอกหน้าต่าง

ผมคิดว่าตัวเองฝันไป แต่ก็เป็นเอ็มจริงๆ ผมรีบล้างมือแล้วเดินไปเปิดประตูบ้าน เอ็มขอให้ host ขับรถมาส่งที่บ้านผม ดีใจมากครับเพราะกำลังเศร้าๆคิดว่าวันนี้จะไม่ได้เจอเอ็มแล้ว แต่พอเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นมัน คิดว่าตัวเองเพ้อไปซะแล้ว ตอนนั้นเข้าใจเลยครับว่านางเอกใน series เกาหลีเธอรู้สึกยังไงเวลาเศร้าๆแล้วเงยหน้าขึ้นมาเจอพระเอก

เอะ!! นี่ผมเป็นนางเอกของเรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย (เรื่องของผมผมก็ต้องเป็นพระเอกซิ) แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันพูดออกมาไม่ถูกจริงๆนะครับ

ผมพาเอ็มไปแนะนำกับคนอื่นๆในบ้านและทุกคนก็รู้จักเอ็มในฐานะ “New's best friend” เอ็มกินข้าวกลางวันกับผมก่อนที่เราสองคนจะเดินออกไปซื้อของที่ supermarket กัน ผมรู้ว่าบ้านพวกเรา 4 คนอยู่ใกล้กันแต่ก็พิ่งรู้ว่าบ้านจีถึงก่อนบ้านผมและ supermarket ก็เป็นเหมือนกึ่งกลางระหว่างบ้านเราสองคน ผมใช้เวลาเดินเกือบ 15 นาทีกว่าจะถึง มันเป็น supermarket ใหญ่นะครับหน้าตาประมาณ lotus บ้านเรา ผมกับเอ็มก็เดินสำรวจกันจนทั่ว แค่เห็นอาหารก็แบบว่านำ้ลายหยดแล้ว มีแต่ของหน้ากินทั้งนั้น
ผมซื่อผลไม้พวกตระกูล berry แพร์ ส้มกลับมากิน ที่นี่ถูกแล้วก็สดกว่าบ้านเราด้วย ผมชอบกินผลไม้ครับ ผมซื่อผลไม่กลับมาบ่อยมากจน host กับ mate ถามเลยครับว่าผมเป็นมังเหรอ ส่วนเอ็มซื่อขนม เอ็มไม่ชอบกินผลไม้ ผักก็ไม่ชอบ เอ็มมันจะชอบกินขนมพวก จะชอบพวกคุ๊กกี้มากกว่าพวก Mrs. Fields, popcorn อะไรแบบนั้นมากกว่า อยู่ที่โน้นแรกๆเอ็มมันเขี่ย salad ทิ้งหมดเลย ผมก็บังคับให้เอ็มกินนะ มันก็บ้าจี้ทำตามที่ผมบอก (เชื่องจัง)
ซื่อของเสร็จเอ็มมันก็เดินกลับมาส่งผมที่บ้าน มันเป็นเวลาเดียวกันกับที่บ้านผมกำลังทำข้าวเย็น Justin ก็ชวนเอ็มกินข้าวนะครับแต่เอ็มมันเกรงใจเลยขอกลับบ้านก่อน ผมเเอบเศร้าเล็กน้อยเพราะอยากอยู่กับเอ็มนานๆ mate ผมก็ยังไม่สนิท นั้งอยู่ด้วยนานๆเเล้วเกร็ง ก่อนกลับผมเลยถามเอ็มว่าพรุ่งนี้ลองชวนกันย์กับพี่กีไปเดินเลนในเมืองกัน
คืนนั้นผมนอนตอนหัวคำ่เหมือนเดิมเพราะยังคงอาการ jet lack อยู่แต่ก็ต้องลุกขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงคุยกันหน้าห้อง เปิดประตูออกมาก็เจอ mate คนอื่นๆนั้งจับกลุ่มคุยกันอยู่ในห้องนั้งเล่นผมเลยเข้ามานั้งคุยด้วย ทุกคนก็อายุไล่เลียกับผม คุยเรื่องทั่วไปกันได้ไม่นานมันก็วกมาเรื่องใต้สะดือ แม้ 2 ใน 3 ของmate ผมจะเป็นคนเอเซียแต่เขาก็รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาเต็มๆคือคุยกันเเบบไม่มีปิด ผมนั้งฟังเรื่องที่แต่ละคนเล่าว่าเสีย vergin ครั้งเเรกเป็นยังไงแล้วแบบว่า อ้าปากค้างเลยครับ

(คิดว่าของตัวเองเเรงแล้วนะครับเจอพวกนี้ข้าไปผมกระจอก เป็นเด็กหัดเดินไปเลย) คือพวกมันเล่ากันละเอียดมากแบบว่าเห็นกันเป็นฉาก ชัดเจนไม่ต้องเสียเลามานั้งจิ้นเอาเอง

จนสุดท้ายมันก็วนมาที่ผม “ตายห่าแหละ!! พวกมรึงขั้นเทพกันขนาดนั้น กรูจะอาอะไรไปโม้วะ"
“Sorry, I am vergin arrr.”

เท่านั้นละครับมันก็ฮาแตกใหญ่เลย มันบอกว่าไม่ต้องเอาถึงขั้นมี sex ก็ได้ ผมเคยจูบผู้หญิงหรือเปล่าผมก็ส่ายหัวตอบพวกมัน (กรูเคยจูบแต่ผู้ชายเว้ย

) มันก็ถามโน่นถามนี้แต่ผมก็ทำแบ๋วใส่มัน แบบว่าไม่รู้ไม่เคยทำ พวกมันคงเชื่อแหละครับเพราะแตาละคนทำหน้าเซ็งๆ แล้วถามคำถามดูถูกผมว่า … ผมเคยช่วยตัวเองหรือเปล่า

“ไอ้ห่า!! กรูไม่ใช้เด็กอนุบาลนะเว้ย” ผมรู้ว่าพวกมันก็ใจพอจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ผมฟัง แต่จะให้ผมเล่าเหรอว่าผมเคยคบกับเพื่อนสนิทตัวเองแล้วไอ้คนๆนั้นมันก็เป็นเพศเดียวกับผม ผมไม่กล้าหรอกครับ
ผมว่าความสนุกของการนั้งจับกลุ่มคุยกันแบบนี้มันไม่อยู่ที่หัวเื่องที่เราคุยกันอย่างเดียว ที่ผมชอบที่สุดคือเพราะพวกเรา 4 คนจ่างก็เป็นคนต่างชาติ ภาษาอังกฤษของแต่ละคนก็ไม่ได้จะแข็งเเรงอะไรมากแต่เราก็พยายามคุยกันจนรู้เรื่อง ทั้งเขียน ทั้งใช้มือ ทั้งเปิด talking dic. และหลังจากวันนั้นพวกเราก็สนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม
วันรุ่งขึ้นพอถึงเวลานัดทุกอย่างเกิดผิดแผน ผมนัดเจอเอ็มที่ป้ายรถ bus ใกล้ๆแต่เราสองคนคลาดกับกันย์และพี่กี ผมกับเอ็มนั้งรอในร้านกาแฟเกือบชั่วโมงก่อนจะตัดสินใจไปเดินเที่ยวกับเอ็ม 2 คน ตื่นเต้นมากครับเราเพิ่งมาถึงกันเมื่อวานแล้ววันนี้ก็ออกมาเที่ยวเลย แผนที่ก็ไม่มี รู้อย่างเดียวคือ bus คันไหนกับบ้าน เมืองสวยมากครับ อากาศก็ดีแม้จะหนาวไปหน่อยก็เถอะ เมืองที่พวกผมไปอยู่นี่ติดอันดับเมืองหน้าอยู่อันดับต้นๆของโลกเลยนะครับ ยิ่งถ้าวันไหนเป็น sunshine day ด้วยแล้วละก็ บรรยากาศดีสุดๆ
พวกเราเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ ทุดอย่างมันดูตื่นเต้นไปหมด เดินไปเดินผมกับเอ็มก็เริ่มรู้สึกหิวครับ มองไปไกลๆเห็น logo ของ Subway อยู่ลิบๆ ซื่อมาแบบ 12 นิ้ว ผมแบ่งกับเอ็มคนละครึ่งแต่ผมกินจริงๆก็แค่ครึ่งเดียวของตัวเองเองครับที่เหลือผมให้เอ็มกินเพราะผมปากแตก เวลาอ้าปากกว้างแล้วมันเจ็บ กว่าจะกินหมดทั้งอิ่มทั้งเจ็บปาก แล้วผมกับเอ็มก็เข้าไปเดินห้องกัน ห้างที่นี่ก็คล้ายๆกับบ้านเราแต่ราคาก็พอกัน เวลาคิดกลับมาเป็นเงินไทยแล้วแทบไม่ต่างกันเลย ผมกับเอ็มเลยไม่ได้อะไรติดไม่ติดมือกลับไป
เดินไปเดินมาสรุปว่าหลงครับ ออกมาจากห้างก็มาโผล่ถนนไหนก็ไม่รู้แล้วเอ็มก็พยายามเดินพาผมกลับมาทางเดิมแต่ยิ่งเดินมันก็ยิ่งไม่คุ้นจนในที่สุดเราก็ยอมรับครับว่าหลง

ความคิดแรกของผมเลยคือโทรกลับบ้านไปหา Justin แล้วบอกว่าหลง (น่าชื่นชมไหมครับ กระแด๊ะมาเที่ยวกันเองแล้วหลง โทรไปบอกเขาคงอายน่าดู) แต่พอผมเดินไปที่หัวมุมกำลังจะหยอดเหรียญโทรศัพท์ “เอะ!! ทางมันคุ้นๆนะ” แฮะๆ เราเดินเป้นวงกลมกลับมาที่ป้ายรถเลยครับ ก่อนกลับผมรู้สึกหนาวๆเลยแวะกิน Starbucks กับเอ็มแบ่งกันกินครับเพราะผมกินคนเดียวไม่หมด
ที่ผมแบ่งของกินกับเอ็มครึ่งนึงตลอดนี่ไม่ใช้เพราะอะไรคือผมกลัวอ้วนครับ ทุกครั้งที่ผมไปเที่ยวต่างประเทศผมจะนำ้หนักขึ้นทุกครั้ง คราวนี้ผมเลยตั้งใจว่าจะคุมอาหารและออกกำลังกายและ (สุดท้ายผมนำ้หนักลงครับ ฮิฮิ) อีกอย่างคือที่โน่นให้ข้าวเยอะครับ ฝรั้งเขากินเยอะกว่าเรามาก ข้าวหนึงจากกินได้สองคน ผมปกติที่เป็นคนกินข้าวน้อยอยู่แล้วเลยต้องแก้ปัญหาด้วยการแบ่งให้เอ็มกินครึ่งนึง ผมแบ่งกับข้าวกับเอ็มตลอด เอ็มก็ซื่อของมันกิน ผมก็ซื่อของผมแต่ผมจะแบ่งให้เอ็มครึ่งนึงทุกครั้ง
แรกๆมันก็บังคับผมให้ผมกินข้าวให้หมดแต่ผมไม่ไหวครับกินไปได้ 3 ใน 4 ผมก็จุกแล้ว ครุ้งสุดท้ายที่มันบังคบให้ผมกินข้าวจนหมดจานผลสุดท้ายคือผมอ้วกออกมาหมด หลังจากนั้นถือเป็นอันรู้กันว่ากับข้าวทั้งหมดของผมคร่ึงนึงเป็นของเอ็ม เอ็มมันตักแยกออกไปเลยตั้งแต่เเรก ก็ถือว่าเเลกกันเพราะผมกินผัก salad ในจากเอ็มให้แทน
ผมรู้ตัวว่าตัวเองชอบกินขนมแต่เพราะกลัวอ้วนไงครับทุกครั้งที่ผมซื่อขนมผมก็จะดูฉลากโภชนาการว่าผมถ้าผมซื่อไปผมครวจะกินมันครั้งละเท่าไหร่ เอ็มมันก็บ่นนะครับหาว่าผมบ้าแต่ผมก็ไม่สน ผมอ้วนข้นแล้วเขามาลดนำ้หนักแทนผมเหรอ อีกวิธีที่ผมทำคือผมก็ซื่อๆมา แกะกินพอหายอยากแล้วเอามันมาวางไว้ที่เคาร์เตอร์ในครัววันสองวันมันก็หายไปแล้วละครับ
