23
“แฮ่กๆ ช่วยเปลี่ยนจากมัดมือไว้ด้านหลังมามัดไว้ด้านหน้าได้มั้ย กูปวดแขนไปหมดแล้ว”
“อย่าเรื่องมากจะได้มั้ยวะ มึงหยุดพูดสักวินาทีมึงจะตายมั้ย!”
“ก็กู แฮ่กๆ อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั่นคนเดียวไม่มีใครพูดมันก็ต้องอึดอัดสิวะ แล้วนี่จะถึงรึยัง จะพากูไปไหนกันแน่”
“โอ๊ย! มึงอย่าถามให้กูรำคาญในสิ่งที่มึงไม่ต้องรู้จะได้มั้ย มึงสองตัวหาอะไรมายัดปากมัน!”
“ไม่เอากูหายใจไม่สะดวก.....อุบ…อือๆ”ปากผมถูกเทปกาวชนิดที่เหนียวเป็นพิเศษมาปิดปาดเอาไว้ก่อนมันจะเอาผ้ามารัดทับไว้อีกที ทำแบบนี้บีบจมูกผมด้วยเลยจะดีกว่า แค่นี้ผมก็หายใจไม่ออกอยู่แล้ว และต้องมาพยายามต่อสู้กับพิษไข้ที่รุมกันทำร้ายผมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไอ้ที่ผมยังเดินได้นั่นเพราะมีคนมาลากถูอย่างที่แทบจะไม่ได้ออกแรงเดินเอง
“พี่! มันตัวร้อนจี๋เลยว่ะ”ไอ้ตัวที่มัดตัวผมไม่ให้ดิ้นให้อีกคนเอาเทปปิดปากรายงานรุ่นพี่มัน
“ก็ช่างมันสิวะ อย่าให้มาตายในมือกูก็พอ”
ผมหรี่ตามองคนที่อยู่ในรถและอยากจะโต้ตอบ แต่ติดตรงที่มันปิดกันไม่ให้ผมได้พูด ผมดิ้นอยู่นานเพื่อประท้วงให้มันเปิดปากผมออก เพราะจะไอก็ไอ้ไม่ได้มันสุดจะทรมาน แต่ไหนเลยพวกมันจะเห็นใจกลับแสดงท่าทีเฉยเมยไม่สนใจ จนผมหมดแรงดิ้นไปเอง หากเป็นร่างกายที่มีสภาวะปกติผมคงจะออกฤทธิ์ได้เยอะกว่านี้ แค่นี้ก็เต็มที่จนเหงื่อผมไหลพรากรู้สึกเปลือกตาที่ร้อนผ่าวหนักอึ้ง บวกกับอาการปวดหัวที่ยังตื้อไม่เลิกทำให้ผมไร้ความสามารถที่จะครองสติไว้ได้ตลอดจึงเผลอหมดสติไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
ราวสองถึงสามชั่วโมงกว่าที่ผมหมดสติไปรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่กับพื้นไม้ที่ดูสะอาดสะอ้าน มีกลิ่นอายของอาหารลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ถึงแม้ว่าจมูกผมมันจะไม่ได้ใช้งานได้ 100 เปอร์เซ็น แต่ก็ยังพอจับกลิ่นได้ ผมค่อยๆ กวาดสายตาที่ยังคงพร่าเลือนสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัวก็ถึงกับผงะเล็กน้องเมื่อมีใครคนหนึ่งขยุ้มเส้นผมของผมทางด้านหลังแล้วบังคับให้นั่งเชิดหน้าขึ้นพลันวางวัตถุสีเงินวาวกดคมมีดลงกับลำคอขาวของผม ผมเผลอสะดุ้งจนคมมีดฝากรอยแผลเป็นเส้นจนซึมเลือด นั่นทำให้ผมตระหนักว่าแค่ผมขยับมีดตรงหน้าฝังลงคอผมแน่นอน
“ฮึก....ฮือๆ”
“อยู่เงียบๆ อย่าคิดส่งเสียงหรือทำเสียงดัง.....เป็นเด็กดีเข้าใจรึเปล่า ฮึๆ”ใบหน้าที่ไร้ความปราณีก้มลงต่ำกระซิบใกล้กับใบหูของผม แล้วหัวเราะในลำคอจนฟังดูสยอง ผมหลับตาปริ่มรู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อคลอ ราวกับได้รู้จุดจบของตัวเอง
ความเงียบที่ทิ้งระยะเวลามาเนินนานบัดนี้กลับมีเสียงฝีเท้าของใครหลายคนที่กำลังเดินผ่านยังห้องที่ผมอยู่ ผมลืมตาได้แต่มองประตูที่ปิดสนิทราวกับปิดตาย หัวใจของผมมันเหนื่อยล้าไม่คิดจะมองหาความหวังอีกต่อไป แต่แล้วเสียงๆ หนึ่งกลับฉุดรั้งให้ผมต้องการจะมีชีวิตกลับไปอีกครั้งดังมาจากห้องข้างๆ ที่มีประตูเชื่อมถึง แม้จะเป็นแค่ความหวังที่เลือนราง
“บรรยากาศแบบนี้มันทำให้ผมนึกถึงครั้งแรกที่เรานักเจอกัน ไม่คิดว่าเราจะได้มีโอกาสมาพูดคุยกันแบบนี้อีก แต่ที่น่าแปลกคือครั้งนี้คุณเป็นฝ่ายเชิญผมมา ใช่มั้ยคุณฟรานซิส”
“แน่นอน เพราะครั้งนี้คงจะพิเศษกว่าครั้งไหนคุณคงจะไม่สามารถลืมนัดครั้งนี้ของเราได้เลยตลอดชีวิต”
“ฮึ! ฉันก็หวังว่าการตกลงทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี”
ผมลอบฟังบทสนทนาอย่างตั้งใจ บทสนทนาและน้ำเสียงทำให้ผมพอจะจิตนาการได้ว่าอารมณ์ของไอ้แก่เฉินขึ้นๆ ลงๆ ราวกับควบคุมตัวเองไม่อยู่ แต่อีกฝ่ายก็ใช้น้ำเสียงและวาจาที่ดูเรียบงายแต่แฝงไปด้วยการยั่วยุโทสะคนฟังได้ดีไม่ใช่น้อย
หลังจบบทสนทนาสั้นๆ ไม่กี่ประโยคเสียงครูดของขาเก้าอี้บ่งบอกว่าพวกเข้าเพิ่งจะได้นั่ง ก่อนทบสนทนาจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมขยับตัวเล็กน้องและอดไม่ได้ที่จะหายใจแรงหอบถี่เพราะแรงกดดันพยายามขยับเขยื้อนตัวเล็กน้อยแต่กลับถูกคนคุมออกแรงขยุ้มปอยผมตักเตือนทางอ้อมจนผมรู้สึกเจ็บสีหน้าแหยเก
“เข้าเรื่องเลยดีกว่า ฉันค่อนข้างจะใจร้อน และฉันเดาว่าของที่เป็นข้อต่อรองซึ่งอยู่ในมือของฉันอย่างที่คุณฟรานซิสต้องการอาจจะช้ำไปเสียก่อน”
ไม่บอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้คำพูดข่มขวัญ และดูเหมือนว่าสิ่งที่ไอ้แก่เฉินพูดคงไม่พ้นหมายถึงผม แล้วทำไมผมถึงได้เข้าไปอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าข้อต่อรองนั่นด้วย นั่นทำให้ผมนึกถึงคำพูดของไอ้โชคที่บอกผมก่อนหน้านี้หรือว่าฟรานซิสมาที่นี่เพราะต้องการตัวผม
ใช่แน่ๆ เขาคงจะรู้เรื่องที่ผมทำไม่ดีเอาไว้แล้วแน่ๆ เขาคงจะอยากได้ตัวผมเอาไปส่งตำรวจหรือไม่ก็....ทำให้ผมหายไปเพื่อเป็นการแก้แค้นก็เป็นไปได้ ผมรู้นะว่าเขาไม่ได้มีแค่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างเดียว แต่ยังมีอะไรที่ผมคิดว่าผมไม่รู้อีกเยอะ
ผม....ผมควรจะทำยังไงดี
“ผมไม่ได้สนใจหรอกว่า.....จะเป็นยังไง”แค่ได้ยินประโยคนั้นจากปากของฟรานซิส หัวใจผมกลับบีบตัวเสียแรงจนรู้สึกเจ็บอย่างที่ไม่เคยเจ็บมาก่อน
ผมควรจะหวังให้ใครมาสงสารอีกรึไง ในเมื่อทำกับคนอื่นเขาเจ็บแสบขนาดนี้
“ผมแค่อยากได้คนที่คุณเฉินดูเหมือนจะไม่ต้องการแล้วก็เท่านั้น และสิ่งที่ผมขอแลกรับรองว่ามันคุ้มเสียยิ่งกว่าได้ราคาจากตลาดมืดเสียอีก”
“ให้ผมได้เห็นสิ่งที่คุณคุยก่อนดีกว่า ผมถึงจะบอกได้ว่ามันคุ้มจริงหรือไม่.....ไหนล่ะ?”
“อาเธอร์ เอาสิ่งที่คุณเฉินอยากเห็นออกมา”
“ครับบอส”ความเงียบเกินขึ้นเพียงครู ความกดดันส่งผมถึงคนที่คุมผมอยู่อย่างชัดเจน เพราะมือที่ถือมีดเริ่มขยับกุมให้ถนัดมือขึ้นอีก ผมตัวแข็งทื่อสมองเริ่มรู้สึกเบลอขึ้นอีกครั้ง ลมหายใจยังรักษาความสม่ำเสมอไม่ได้ ความกดดันและความตึงเครียดหลายๆ อย่างทำให้ผมปวดหัวหนักขึ้นไปอีก
“ปากกา? นี่แกคิดจะเล่นตลกอะไรวะ ฮ่าๆ”
บทสนทนาสั้น ที่ผมได้ยินชัดเจนว่าฟรานซิสพูดถึงปากกา หัวใจผมมันก็เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ผมรู้อยู่แล้วว่าฟรานซิสไม่ใช่คนโง่ แต่ไม่นึกว่าเขาจะฉลาดเป็นกรดขนาดนี้ ผมเองที่เป็นคนจงใจวางปากกาที่ไอ้แก่เฉินให้ไว้กับผมทิ้งให้ฟรานซิส แค่หวังว่าหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น นั่นอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยผมได้ และมันคือแผนสำรองที่ผมแทบจะลืมมันไปแล้ว
“มันก็คงตลก ถ้าหากมันไม่ใช่ของผมแต่เป็นของคุณ จะลองฟังสิ่งนี้หน่อยมั้ย”
และเพียงไม่กี่วินาที เสียงสนทนาที่พอจะจับใจความได้ก็ดังขึ้น มันเป็นบทสนทนาระหว่างผมกับไอ้แก่เฉินตั้งแต่ตอนแรกที่มันยื่นปากกาใส่มือผม ผมกดบันทึกเสียงเอาไว้ตลอดการสนทนาเพียงเพราะแค่อยากลองของใหม่ที่ไม่เคยเห็น แต่เมื่อผมรู้วิธีใช้ หลังจากนั้นก็เป็นเสียงคุยกันผ่านโทรศัพท์ของผมกับไอ้แก่เฉินในหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งตอนที่มันส่งพวกมาข่มขู่ผมที่ตึกร้าง จริงๆ ก็มีตอนผมอยู่กับฟรานซิสแต่ผมกลับตัดมันทิ้งไปหมดแล้ว แค่หลักฐานเท่านี้ผมคิดว่ามันก็เพียงพอจะเอาผิดไอ้แก่เฉินให้เข้าไปอยู่ในคุกในตารางได้แล้ว และรวมไปถึงตัวผมเองด้วย
“นี่ก็เป็นแค่ของเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรสักเท่าไหร่นัก แต่คุณอาจจะนึกไม่ถึงถ้าได้เห็นของพวกนี้ แน่นอนว่ามันเยอะเสียจนผมนั่งรอให้คุณมานั่งพิจรณาสิ่งที่คุณทำตั้งแต่ต้นไม่ไหวแน่ๆ ”
คงไม่ต้องเดาว่าไอ้แก่เฉินจะเดือดขนาดไหนฟังจากเสียงที่เริ่มอึกทึกครึกโครมนั่นได้ แต่สิ่งที่เป็นปริศนาที่ฟรานซิสเอาให้ไอ้แก่เฉินดูผมเดาไม่ออกจริงๆ ว่ามันคืออะไร ถึงทำให้ไอ้แก่เฉินเดือดเป็นน้ำมันขนาดนั้น
“ไอ้เด็กเวรนั่นมันหักหลัง! ส่งปากกานั่นมาให้กู! แล้วของพวกนั้นด้วย!!!!”
“ย่อมได้ แต่คุณคงไม่ลืมสิ่งที่เรากำลังตกลงอยู่”
“เออ! เอาไปเลยถ้าแกอยากเอางูเห่าไปแว้งกัดคออีกคน ไปเอาตัวมันออกมาเว้ย!”
สิ้นเสียงกร้าวของไอ้แก่เฉินคนที่เอามีดจ่อคอผมอยู่ก็กระชากตัวผมลุกขึ้นก่อนจะเปิดประตูที่เชื่อมอีกห้องออกแล้วโยนผมออกไป ร่างของผมกระแทกลงกับพื้นโครมใหญ่เนื่องจากผมไม่มีมือแม้กระทั่งได้พยุงตัวผมรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและอ้อนล้า มันยากเกินไปที่ผมจะเงยหน้ามองดูสถานการณ์ได้ ผมมองเห็นแค่พื้นไม้ปาเก้กับรองเท้าหนังหลายคู่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ดวงตาผมมันหรี่จนแทบจะปิดสนิท
“ตามที่ตกลง”ผมจำได้ว่านั่นคือเสียงฟรานซิส“แต่สิ่งที่แกเอาไปได้ก็แค่ปากกาเท่านั้น”
“มึงหมายความว่ายังไง”
“ฮึ.....ก็หมายความตามที่พูด”
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรเมื่อจู่ๆ ในห้องก็เกิดความวุ่นวายจนคนในห้องเคลื่อนไหวกันให้ควั่ก เสียงประตูด้านหน้าเลื่อนเปิดออกรุนแรง เท้านับสิบเคลื่อนตัวเข้ามา ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์จากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นผมรู้สึกได้แค่มีเสียงทุ้มที่ฟังดูคุ้นเคยจนผมเผลอน้ำตาไหลออกมากระซิบกับผมอย่างแผ่วเบา
“กลับกันเถอะ....”แล้วร่างทั้งร่างของผมก็ถูกช้อนตัวขึ้นจนรู้สึกตัวเบาหวิวราวกับขนนก หน้าผมหมุนซบเข้าหาความอุ่น ทั้งสัมผัสและกลิ่นกรุ่นทำให้ผมเบาใจอย่างที่สุด ผมรู้ตัวว่าตัวเองสะอื้นไห้แต่มันก็แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เพราะหลังจากลำแขนแกร่งกระชับผมแน่นขึ้นผมก็หมดสติไปซะแล้ว
“เฮือก!......”วินาทีที่ผมเหมือนถูกกดหัวลงน้ำตัดช่องทางการหายใจ ร่างกายของผมมันก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมา ดึงสติผมให้ตื่นจากความฝัน สองมือบางของผมยกขึ้นโอบใบหน้าของตัวเองสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นของหยาดเหงื่อที่เกาะพราวอยู่ทั่วใบหน้า ผมจะค่อยๆ เลื่อนมือลงต่ำสัมผัสกับหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่ นี่คือสิ่งเดียวที่ผมมันใจว่าผมยังไม่ตาย ผมค่อยๆ กวาดสายตามองสำรวจไปยังบริเวณรอบๆ ตัวและพบว่าตัวเองอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยสักนิด
โต๊ะ ตู้ หน้าต่าง พื้น หรือแม้กระทั่งเตียงที่ผมนอนอยู่ก็ยังบอกอะไรผมไม่ได้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน
“ฟรานซิส.....”นั่นคือชื่อแรกที่ผมพึมพำออกมา แต่เสียงกลับเหือดแห้งราวกับเป็นใบไปแล้ว
ผมยังจำได้ วันนั้นคนที่อุ้มผมออกมาจากเหตุการณ์ชุลมุนวันนั้นเป็นเขา และตอนนี้ผมมั่นใจว่าเขาต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ
ครั้งแรกที่ผมลุกขึ้นห้องทั้งห้องแทบหมุนคว้างให้ผมเห็น ทุกอย่างมันหมุนไปหมดผมต้องใช้เวลาสักพักจึงจะนำร่างตัวเองที่แทบจะไม่มีแรงเดินไต่ผนังห้องออกไป ผมพึ่งสังเกตว่าหลังมือข้างซ้ายของผมมีพาสเตอร์แปะอยู่ด้วยความสงสัยผมจึงแกะมันออกและพบว่าเหมือนจะเป็นร่องรอยของการสอดเข็มน้ำเกลือ ถึงจะเป็นสิบปีมาแล้วที่ผมไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาล แต่ความรู้สึกและร่องรอยมันบอกผมได้จากประสบการณ์วัยเด็ก
บันใดวน?
คำถามผุดขึ้นเมื่อสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้ามันยิ่งสร้างความไม่คุ้นเคย ผมใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อพาตัวเองลงมาสู่ด้านล่าง ดีเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่โยนตัวเองลงมาจากชั้นสองเพราะสิ่งนี้
ด้านล้างก็เช่นกันมันเงียบสนิท ราวกับไม่มีคนอาศัยอยู่ บ้านออกตั้งกว้างแต่เงียบแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากหนังสยองขวัญสักเท่าไหร่
“ขอโทษครับ.....มีใครอยู่รึเปล่า”ผมพยายามแปล่งเสียงที่แหบพร่า และรู้เลยว่าตัวเองต้องการน้ำ ผมมองไปทั่วก็แล้วแต่ก็ยังไม่เจอกับใคร ผมจึงเดินแตร่ตามหาห้องครัวและในที่สุดก็เจอ สิ่งที่ผมทำไม่ได้ต่างไปจากคนที่เพิ่งเดินออกมาจากทะเลทรายที่ร่างกายต้องการดื่มน้ำ ผมกินน้ำเข้าไปเกือบหมดเหยือก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพิงตู้เย็นในมือยังถือแก้วน้ำที่ยังไม่ยอมวาง
ผมยกแก้วน้ำขึ้นตรงหน้ามองเหม่อเข้าไปในแก้วใบใส พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจนหัวแทบระเบิด เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ผมกลับนึกถึงสิ่งที่ฟรานซิสพูดตอนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผมไม่ได้สนใจหรอกว่า.....จะเป็นยังไง”
มันเป็นประโยคที่ทำผมรู้สึกเจ็บเป็นบ้า ทั้งๆ ที่ผมเองก็ควรจะรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวผมสำหรับเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมายอยู่แล้ว และยิ่งเขามารู้ว่าผมทำเรื่องแบบนั้น ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดไปได้สักกี่น้ำ เขาทวงผมกลับคืนจากไอ้แก่เฉินนั่นอาจจะอยากเป็นฝ่ายบีบผมเองเสียมากกว่า
ฮึ! ใครไม่แค้นก็บ้าแล้ว
“นายมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“คุณ!”ผมเกือบเผลอทำแก้วหล่นจากมือเมื่อมองเห็นร่างสูงที่คุ้นเคยผ่านแก้วใบใส ผมกำลังจะดันตัวขึ้นยืน แต่ฟรานซิสกลับเดินมาหาเสียก่อน เขาย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนยื่นแขนสองข้างขังผมไว้ในลำแขนแกร่งนั่น ผมตาเบิกโพล่งมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายความกลัวเกาะกินหัวใจผมไปแล้ว 90 เปอร์เซ็น
ใบหน้าที่ที่ดูดุดันส่อประกายความโกรธผ่านแววตาคมกริบ เขามองผมอยู่นานแต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนมือหนาที่ยื่นคร่อมไหลผมกลับเลื่อนลงมากุมท่อนแขนผมทั้งสองข้างแล้วรั้งให้ยืนขึ้น
แก้วในมือของผมถูกฟรานซิสชิงมันไปแล้ววางไว้บนตู้เย็นใบสูงราวกับมันแกะกะขวางทางเขาเหลือเกิน และอีกครั้งที่คิ้วหน้าได้รูปขมวดเข้าหากันรับกับนัยน์ตาคมกริบจ้องมองผมไม่เลิก ในเมื่อคนที่ทนความรู้สึกอึดอัดนี้ไม่ได้คนแรกคือผม สิ่งที่ผมทำคือทำลายความเงียบตรงหน้านี้ซะ
“คุณ คุณอยากจะพูดอะไรก็พูด อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ ผมรู้ว่าคุณรู้เรื่อง…..”ผมเว้นคำพูดเอาไว้ก่อนจะสูดลมหายใจรวบรวมความกล้าสบตาเขาอีกครั้ง“คุณคงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่ผมทำแล้ว”ผมกำลังพยายามไม่มือสั่น ไม่ตัวสั่น และไม่เสียงสั่นเพื่อบอกคนตรงหน้าว่าผมกลัวแค่ไหน
“ใช่ ฉันรู้หมดทุกอย่างแล้ว รวมถึงเรื่องที่นายขโมยข้อมูลบริษัทส่งให้ผู้ชายคนนั้น”เสียงกร้าวไม่ได้ตะคอกดังแต่กลับแฝงไปด้วยโทสะเต็มเปี่ยม
“ก็ดีครับ ผมจะได้ไม่ต้องอธิบายอีก คุณจะทำยังไงกับผมก็เชิญผมจะไม่แก้ตัวอะไรทั้งสิ้น”
“ฉันไม่มีทางปล่อยนายแน่ธัน.....แต่ที่ฉันส่งสัย และคงมีแต่นายคนเดียวที่ตอบฉันได้นั่นก็คือ ทำไมนายถึงทิ้งปากกานั่นไว้ให้ฉัน”
“คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้ฉลาดเท่าคุณ ผมก็แค่ลืมมันไว้”
“ลืม? ฉันจะเชื่ออย่างที่นายพูดก็ได้”ฟรานซิสเริ่มขยับตัวบ้างแล้ว เขายิ้มเยาะตรงมุมปากอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ท่าทีของเขาดูไม่สุภาพเหมือนแต่ก่อน แต่นั่นแหละ....ผมจะหวังให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมมันคงไม่มีทาง
และอีกครั้งที่ผมยังคงต้องผวา เมื่อเห็นฝ่ามือหนายื่นมาทางผม ไม่รู้เพราะด้วยสัญชาตญาณหรืออะไรทำให้ผมหลับตาสนิทนิ่งฝืนแกร็งทั้งใบหน้า แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ผมคิดกลับผิดถนัด เมื่อมือหนากลับยื่นมาสัมผัสและเกลี่ยแก้มของผมราวกับเล่นเล่ห์และขยับเข้าหาผมเรื่อยๆ ทำให้ผมต้องเบี่ยงตัวหนีอย่างกังวลไม่รู้ว่าสีหน้าที่ดูไร้อารมณ์และดวงตาเฉยชาคู่นั่นกำลังคิดอะไร
“ในเมื่อยอมรับสารภาพมาขนาดนี้ แสดงว่านายคงเตรียมใจรับการลงโทษจากฉันแล้วสินะธัน?”
“จะเอาผมส่งตำรวจตอนนี้ก็ยังได้ หลักฐานทั้งหมดก็อยู่ที่คุณแล้ว ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะไม่เก็บมันไว้แล้วยื่นให้ไอ้แก่เฉินนั่นไปทั้งแบบนั้น”ผมหยุดขยับหนีได้เพียงมองฟรานซิสด้วยแววตาอิดโรย
“นายเป็นคนพูดเองนะว่าพร้อมจะให้ฉันลงโทษ”
“ครับ ในเมื่อคุณไม่ได้สนใจว่าผมจะเป็นยังไง”
ผมอยากจะตบปากตัวเองเหลือเกินที่เผลอเอาความคิดประชดประชันแบบนั้นมาพูด
“ใช่ ฉันไม่สนว่านายจะเป็นยังไง หรือคิดยังไง”ท่าทางที่ฟรานซิสแสดงออก ราวกับเขาสามารถคว้ามีดเล่มใดเล่มหนึ่งในห้องครัวแล้วใช้มันปาดคอผมได้
เอาจริงๆ ผมเผลอมองหาทางรอดเพื่อจะหนีเอาไว้ซะแล้ว การเตรียมใจมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่ผมทึกทักเอาเองเลยสักนิด
“..........”
“ฉันโกรธสุดๆ นายคงเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกหักหลังดี และที่ฉันยอมทำเรื่องที่เสียเวลาพานายกลับมา ฉันก็มีจุดประสงค์ของตัวเอง”ร้อยยิ้มแสยะยังคงรุกผมไม่ห่าง ทำให้ผมที่ไม่คิดจะหนีรู้สึกกลัวจนเท้ามันขยับไปเอง
ไหนบอกว่าเตรียมใจให้เขาฆ่าให้เขาแกงแล้วไงวะ ทำไมพอเอาเข้าจริงๆ กลับกลัวจนหัวหนขนาดนี้!
“จุดประสงค์?.....ในเมื่อคุณเป็นคนลงทุนเอาตัวผมมาจากไอ้แก่เฉิน แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะทำอะไรกับผมก็ได้ ผมมันก็แค่ตัวปัญหาที่ทำให้คุณเดือดร้อนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”ถึงผมจะปากดีแต่ใจผมมันกลับอยากจะวิ่งหนี ผมไม่เคยรู้สึกกลัวฟรานซิสเท่าวันนี้มาก่อน ราวกับคนที่ผมไม่รู้จัก ดวงตาคมกริบที่เคยสะท้อนเงาผมในนั้นเวลานี้กลับดูว่างเปล่าและดุดันแผ่รังสีความเย็นยะเยือกบีบคั้นจิตใจ
“ฉันจะขอรับสิทธิ์นั้นเลยแล้วกัน.....”ร่างกายผมแข็งทื่อมองมือหนาที่ยื่นเข้ามา แม้จะไม่ทันสัมผัสผมก็แทบหายใจไม่ออก สีหน้าของผมคงซีดเผือกจนมองได้ชัดร่างสูงสง่าตรงหน้าจึงกระตุกยิ้มเยาะอย่างมีเลศนัย ผมตัวสั่นแทบจะหมดแรงยืนน้ำตาเกือบไหลพรากกลั้นหายใจสุดชีวิตในใจคิดไว้แล้วว่ายังไงก็หนีไม่พ้น
แต่ทว่าเมื่อมือหนาเข้าสัมผัสกับลำคอขาวซีดที่อุ่นร้อนซึ่งกำลังเชิดรั้งรอราวกลับไม่แกรงกลัว ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คิด แทนที่มือใหญ่คู่นั้นจะออกแรงบีบตัดช่องทางหายใจแต่เขากลับโอบรั้งเอาไว้ราวกับทะนุถนอม แต่กลัและใช้วิธีอื่นช่วงชิงอากาศที่ผมหายใจด้วยการกดริมฝีปากหนาเข้าฮุบอากาศที่ผมเพิ่งจะสูดหาบใจเป็นครั้งสุดท้ายไปต่อหน้าต่อตา
หากไม่มีความรู้สึกใดๆ ผมคงจะเสียสติไปแล้ว ทว่าครั้งนี้ผมกลับสับสน มึนงง คาดเดาอะไรไม่ถูกจากการกระทำของคนตรงหน้าเลยสักนิด เมื่อครู่เขาแสดงออกว่าแทบอยากจะฉีกผมเป็นชิ้นๆ เลยด้วยซ้ำแต่ว่า ทำไมตอนนี้?
“คุณ คุณไม่ได้จะบีบคอผมรึไง”ผมถามออกไปอย่างเปิดเผย สีหน้าก็พอรู้แล้วว่าผมสับสนแค่ไหน ท่าทางของผมมันคงตลกมากสินะถึงทำให้ฟรานซิสถึงกับพ่นเสียงหัวเราะออกมาได้
“บีบคอ....นายคิดว่าฉันจะทำอย่างนั้นรึไง”แววตามันฟ้องว่าเขากำลังเล่นตลกกับผม ผมปรับอารมณ์ไม่ถูกจริงๆ เรียกได้ว่าช๊อคกลางอากาศก็ยังได้
“ก็ ก็คุณ”ผมเอื้อมมือขึ้นไปจับมือหนาที่ยังคงครอบครองลำคอขาวผมไม่ปล่อย แต่คราวนี้เข้ากลับขยับนิ้วโป้งเข้าเกลี่ยแก้มของผมทั้งสองข้างราวกับมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ฉันบอกนายรึไงว่าฉันจะทำแบบนั้น”
“ก็คุณดูโกรธผม แล้วคุณยัง!”
“ยัง?”
“คุณทำท่าอย่างกับจะฆ่าผม”
“แล้วอะไรอีก?”คนตรงหน้าเพียงรั้งรอให้ผมพูดทั้งหมด เขาดูตั้งใจฟังแถมยังมองผมซะชิดใกล้อีก
“คุณพูดเองว่าคุณไม่ได้สนใจว่าผมจะเป็นยังไง และคิดยังไงด้วย”ผมก้มหน้างุดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น พลันทำให้ผมฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
“นั่นสินะฉันพูดแบบนั้น.....”
“หรือว่าคุณ แค่อยากจะแกล้งผม”
“ใครบอกฉันแกล้ง แต่ฉันโกรธนายจริงๆ ต่างหาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ ฉันจะไปโกรธคนที่โดนหลอกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ยังไง ฉันเองก็มีส่วนผิด”
“คุณว่าผม! ผมเข้าใจว่าโดนหลอกคืออะไร แต่หลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันหมายความว่ายังไง”ผมขยับแต่ฟรานซิสยังจับผมไม่ปล่อย ซ้ำร้ายยังรั้งใบหน้าผมให้สบตากับดวงคาคมกริบนั่นอีก ก่อนที่เขาจะเฉลยอะไรบางอย่างให้ผมเข้าใจ
“แผนการทั้งหมด ถ้านายสงสัยสักนิดน่าจะรู้ว่าใครกันที่ตามดูนายอยู่ตลอด”
“.....”ผมอ้าปากเหวอมองฟรานซิสอย่างหวาระแวงระคนงุนงง
“ไม่ขอบคุณฉันหน่อยรึไงที่ช่วยให้นายได้ข้อมูลนั่นไปให้กับคนๆ นั้น”
ผมยิ่งพูดอะไรไม่ออกเมื่อฟรานซิสพูดแบบนั้น ถึงว่าทำไมคนที่รอบคอบอย่างฟรานซิสกลับทิ้งรหัสค้างไว้ แถมข้อมูลที่ได้มาก็เป็นไวรัสที่แทบจะทำลายทั้งระบบเครือข่ายนั่งคงเป็นฝีมือใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เขา
“คุณ.....คุณทำผมทึ่งจริงๆ ยังมีอะไรอีกมั้ยที่ผมยังไม่รู้”ผมแทบทรุดทั้งยืนครุ่นคิดในสิ่งที่ผ่านมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ผมแทบอยากจะกำหมัดแน่นแล้วเหวี่ยงใส่ฟรานซิสซะเหลือเกินถ้างานนี้ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็น
เอาเข้าจริง ผมเริ่มชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่ถูกหักหลังหรือหลอกใช้ ผมเริ่มมองเห็นความโง่ดักดานของตัวเองขึ้นมาชัดเจนก็วันนี้
“ยังมีอีกเยอะแต่ไม่ต้องรีบร้อนจะรู้ก็ได้”
“ไม่! ผมอยากรู้ตอนนี้ คุณเล่ามาให้หมดเลย”ผมเขย่าตัวเขาราวกับจะให้เขาคายความลับทั้งหมดออกมา
ผมขอเจ็บทีเดียวเลยจะดีกว่าในเวลาที่ผมพอจะรับได้
“ถ้าหากอยากรู้.....ฉันจะค่อยๆ เล่าให้นายฟังบนเตียงนุ่มๆ จะดีกว่า”
“ฟรานซิส!”ผมร้องเสียงหลงเรียกชื่อผู้ชายตรงหน้าราวกับฟ้าจะถลม เมื่อจู่ๆ ฟรานซิสก็ช้อนตัวผมขึ้นแล้วจัดการนำตัวผมพาดบ่าเตรียมพาออกไปจากห้องครัว แค่เขาอ้าปากผมก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร นี่มันใช่เวลามาทำเรื่องแบบนี้มั้ย!
“ปล่อยผมลงนะ! คุณต้องบอกเรื่องทุกอย่างให้ผมฟังสิไม่ใช่ทำกับผมแบบนี้!”ผมดิ้นพรากอยู่บนไหล่แกร่งนั่นอย่างกับจะถูกโยนขึ้นเขียง แต่ผมมันอยู่ในกรณีโยนขึ้นเตียงที่โหดร้ายกว่าเขียงเยอะเป็นไหนๆ
อาจเพราะร่างกายของผมมันรู้หน้าที่สิ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์ก็กลับช่วยผมไว้
“โครกกกก......”
เสียงท้องร้องที่ดังอย่างกับเสือคำราม ผมแน่ใจว่าฟรานซิสคงได้ยินเต็มสองหูเขาจึงหยุดชะงักและวางผมลงกับขอบโต๊ะมองผมด้วยสีหน้าอ่อนใจ ผมมองฟรานซิสที่ยกมือขึ้นเสยผมนุ่มละเอียดนั่นแล้วผมก็ส่งสายตาวิงวอนออกไป เขารับรู้ในทันที พร้อมกับพยักหนาเบาๆ ตอบรับความต้องการของผม
“ฉันจะให้คนทำอาหารให้นายก็แล้วกัน”
“ขอบคุณ.....”ผมเก็บร้อยยิ้มผู้ชนะไว้ลึกสุดมุมปากลอบมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลุดโล่ง ครั้งนี้ผมอาจจะรอด แต่ครั้งหน้าผมจะใช้วิธีไหนนี่สิ แล้วเรื่องสะเทือนจิตใจที่เพิ่งจะสิ้นสุดเขาไม่คิดบ้างเหรอว่าผมควรจะได้รับความเห็นใจและเขาควรจะขอโทษผมสักคำ เพราะเขาก็หลอกผมมาตั้งแต่แรกที่ผมเหยียบเข้ามาในชีวิตเขาเหมือนกัน
แต่.....ถ้าเขาบอกว่าผมเองต่างหากที่เข้ามาหลอกเขาก่อน ซึ่งมันก็คือความจริง แล้วแบบนี้ตกลงใครผิดใครถูกกันแน่เนี้ย!!!
>>>>>to be continued