ตอนที่ 17
เพื่อชดใช้บาปกรรมที่เราแกล้งทำเป็นหลงลืม
"หลังจากที่เราตาย เราก็ใช้ชีวิตปกติอยู่ในบ้านเรา ตอนกลางคืนก็ออกไปพูดคุยกับผีตัวอื่นบ้างให้หายเหงา เราคิดว่าชีวิตหลังความตายจะเป็นเหมือนในละคร แบบว่าเราจะหายตัวไปนั่นไปนี่ได้ อ่านความคิดของคนอื่นได้ ทำให้ฝนตก ทำให้ฟ้าผ่าเวลาโกรธ แต่จริงๆ ไม่เป็นอย่างนั้นเลย มันก็เหมือนเดิมแค่ไม่มีใครเห็นและเป็นวิญญาณที่ไม่มีความรู้สึก ไม่เจ็บ ไม่เหนื่อย ไม่หิว ไม่ง่วงนอน เราแตะต้องสิ่งของหรือผู้คนได้เป็นบางครั้ง อย่างวันที่เราจะลูบหัวเธอเล่นแล้วดันโดนจริงๆ ตอนที่กดกล้องก็ด้วย"
"..."
"แล้วคืนนั้นเราเจอพลีสที่กำลังจะกระโดดตึก เรารีบเข้าไปช่วยเพราะคิดว่าจะแตะตัวพลีสได้ แต่สุดท้ายเราตกจากตึกพร้อมกับพลีส แล้วลืมตาขึ้นมาอีกทีในร่างของพลีส ตอนนั้นเราตกใจทำอะไรไม่ถูก เราไม่เคยสิงร่างใครมาก่อน ทำยังไงมันก็ออกจากร่างพลีสไม่ได้ จนเราได้รู้ว่าพลีสเป็นใคร และได้มาเจอกับเธอ"
"..."
"จริงๆ เราไม่ควรจะเข้าไปคุยกับเธอ เราบอกตัวเองให้อยู่ห่างจากเธอแต่ความเห็นแก่ตัวของเรามันมีมากเกินไป เราก็เลยเข้าไปหาเธอที่โบสถ์วันนั้น เวลาที่อยู่กับเธอเราไม่ได้พยายามที่จะเป็นพลีส แต่เราเผลอเป็นตัวของตัวเองจนมันทำให้เธอสงสัยอยู่หลายครั้งเลยใช่ไหมล่ะ เราคอยตามเธอไปทุกที่เพราะอยากใช้เวลากับเธอ จนถึงวันที่เราไปส่งเธอที่หอแล้วก็นัดเจอกันในวันอาทิตย์ ตอนขากลับเราถูกรถชน วิญญาณหลุดออกมา เราก็เลยไม่ได้ไปหาเธอ"
"..."
"พลีสกลับมาเป็นพลีส เธอเองก็คงจะสับสน แต่หลังจากวันนั้นเราก็ยังไปหาเธอทุกวัน ไปที่ทำงานของเธอ ไปส่งเธอให้ถึงหอ คิดว่าอยากคุยกับเธออีกสักครั้ง จนกระทั่งเรากลับมาอยู่ในร่างของพลีสอีกตั้งแต่วันที่ตกบันไดที่ตึกร้าง เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ เราหาโอกาสที่จะบอกเธออยู่นานเพราะไม่รู้จะทำยังไงให้เธอเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ นะ เรารู้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ควรบอกเธอ ไม่ควรทำให้เรื่องมันยุ่งยาก แต่เรามีเรื่องอยากคุยกับเธอ มีเรื่องที่ต้องพูดกับเธออีกเยอะเลย"
ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ตามฟังอย่างยืดยาว ขณะที่อีกคนก็เอาแต่มองด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่อาจคาดเดาความรู้สึก ตามไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้แต่ตอนที่ผมถาม
"เธอเชื่อเราใช่ไหม"
"เชื่อ"
"แล้วทำไมไม่ยอมพูดอะไรเลย"
"..."
"ยังโกรธเราอยู่เหรอ"
"..."
"โกรธมากใช่ไหม"
"..."
"เกลียดเราหรือเปล่า"
"คิดถึง"
"..."
"คิดถึงต่างหาก"
พูดจบก็ดึงผมเข้าไปกอด เพราะว่ามันเป็นร่างกายของพลีส สำหรับตามมันอาจจะยากหน่อยที่จะรู้สึกว่าผมคือแสงจริงๆ แต่สำหรับผมแล้วคนที่อยู่ตรงหน้า ยังไงก็คือตาม เป็นตามของผม ที่อยากกอดมาโดยตลอด
"เราน่าจะกลับมาให้เร็วกว่านี้"
"..."
"สามปีมันคงนานมากเลยใช่ไหม"
ตามพยักหน้ารับ ในแววตาที่ยังคลอไปด้วยน้ำตา ตามฝืนยิ้มแล้วบอกกับผม
"ชีวิตที่ไม่มีเธอ"
"..."
"หนึ่งนาทีมันก็นานมากแล้ว"
กลายเป็นผมที่น้ำตาร่วงอีกรอบ ทั้งๆ ที่เราเพิ่งจะหยุดร้องไห้กันไปแท้ๆ แต่ในสถานการณ์นี้คงต้องยอมให้น้ำตาไหลออกมาจนกว่าความเจ็บปวดจะบรรเทาลงไปบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี ตามยังคงกอดผมเอาไว้ภายใต้ความคิดถึงจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านั้น ผมทำได้เพียงเอ่ยคำว่าขอโทษ ซ้ำแล้วซ้ำอีก
"เราขอโทษ ขอโทษนะตาม ขอโทษที่ต้องทิ้งเธอ"
"..."
"ขอโทษที่ต้องจากไป" ...
เย็นวันนี้ผมมีนัดกับพี่ต่อ ก็เลยตรงไปคลินิกทันทีหลังเลิกเรียน และในระหว่างทางที่กำลังเดินอยู่ริมฟุตบาท ผมก็หันไปเห็นตามที่เดินอยู่อีกฝั่งถนน หาจังหวะที่ถนนว่างจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปทัก
"เธอ!"
"เฮ้ย!" ตามสะดุ้งเฮือก ปล่อยของในมือร่วงลงกับพื้น ก่อนผมจะเห็นว่ามันคือลูกชิ้นปิ้งหนึ่งไม้ที่ยังไม่ได้กินสักลูกเลย ตามหันขวับมามองตาขวาง
"ไม้ละตั้งสิบบาท"
"ขอโทษ ไม่คิดว่าจะตกใจขนาดนี้"
"หลอกทั้งตอนเป็นผี เป็นคนเลยนะ" ตามบ่นพึมพำพลางหยิบลูกชิ้นไม้นั้นไปทิ้งขยะที่อยู่ใกล้ๆ
"เราไปหลอกอะไรเธอ"
"ก็กล้องโพลาลอยด์ไง ตกใจแทบช็อก"
"เห็นหน้าเธอแล้ว ซีดเป็นไก่ต้ม"
ตามเบ้ปากใส่ก่อนหยิบลูกชิ้นไม้ใหม่ส่งให้ผม ก่อนหยิบอีกไม้ใส่ปากตัวเอง หลุดยิ้มกับลูกชิ้นสองลูกที่ยัดอยู่ข้างกระพุ้งแก้ม ก่อนตามจะใช้ปากที่ยังเคี้ยวตุ้ยๆ หันมาพูดกับผม
"นี่จะไปไหนอะ"
"มีนัดกับพี่ต่อ บอกว่าจะพาไปกินข้าว"
"พี่ต่อมันว่างมากมั้ง วันๆ คิดแต่จะพรากผู้เยาว์"
"พลีสอายุยี่สิบแล้วเหอะ!"
"เธอไปในฐานะพลีสนะ อย่าไปหลงรักพี่ต่อเชียว"
"เราตายไปแล้ว จะมาหึงอะไรล่ะ"
ตามยักไหล่หน่อยๆ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
"แล้วเธอล่ะ ไปทำงานเหรอ"
"ไปทำความสะอาดคลินิกให้พี่ต่อก่อน แล้วค่อยไปทำงาน"
"ทำไมถึงใช้ชีวิตแบบนี้"
"ไรนะ?"
"เธอน่ะ ทำไมปล่อยให้ชีวิตเป็นแบบนี้ ทำไมไม่หางานดีๆ ทำ ทำงานประจำให้เป็นหลักเป็นแหล่ง เธอจะได้กินข้าวให้อิ่ม นอนหลับให้สบาย ไม่ใช่ทำงานหนักจนร่างกายผอมเหลือแต่กระดูกแบบนี้ เธอต้องถูพื้นร้านสะดวกซื้อ เก็บขยะอยู่หลังร้านกาแฟ ก้มหัวให้คนอื่นเขาดูถูก เราโคตรจะไม่ชอบเลย!" ผมไม่สามารถยับยั้งอารมณ์ที่กำลังหงุดหงิด แต่อีกคนกลับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
"ขี้บ่นแบบนี้สิ โคตรจะเป็นเธอเลย"
"ตาม เราจริงจังนะเว้ย! ลาออกจากร้านสะดวกซื้อนั้นก่อนเลย"
"ให้เราเก็บเงินก่อนสิ เกือบจะได้ไปฝรั่งเศสแล้ว"
"ช่างหัวฝรั่งเศสเถอะน่า"
"ช่างได้ไง เธออยากไป"
"แต่ถ้ามันลำบากขนาดนั้นก็ไม่ต้องไปหรอก"
"เราจะไป!"
ผมหยุดกึกตอนที่ตามหันมาเสียงดังใส่ ตกใจจนตาค้าง ตามถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดต่อ
"เราต้องไป"
"..."
"ก็เพื่อเธอ"
"ก็...ก็ได้"
จะเอาอะไรมาเถียงล่ะ ในเมื่อตามทำเพื่อผมขนาดนั้น แม้เป็นความฝันที่ควรจะปล่อยให้มันตายไปพร้อมกันด้วยซ้ำ แต่ตามทำทุกอย่างที่ผมยังไม่ได้ทำ หากแต่สิ่งที่ตามทำให้ มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีใจเท่าไรนัก เพราะตามกำลังใช้ชีวิตเผื่อผม...
จนไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง"กินชาไข่มุกป่ะ"
"อะไรนะ" ผมเงยหน้าถามเพราะไม่ทันได้ฟัง ก่อนที่ตามจะพยักหน้าไปยังร้านชาไข่มุกที่เดินมาหยุดอยู่ตรงนี้พอดี ไม่รอคำตอบจากผมแล้วกำลังจะเปิดประตูเข้าไป แต่ในตอนนั้นคนข้างในก็เปิดออกมาพอดี เมื่อเป็นคนที่รู้จักก็พลั้งปากเรียกด้วยความเคยชิน
"อ้วน"
"อ้วนไร เดี๋ยวตีเลย" สายป่านพูดขำๆ ก่อนยกกำปั้นทุบแขนผมเบาๆ พลันเลื่อนสายตาไปหาตามที่อยู่ข้างๆ เกิดเป็นความอึดอัดระหว่างกันที่เห็นได้ชัด ต่างคนต่างหลบตา ผมคิดขึ้นมาได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันในวันครบรอบวันตายของผม สายป่านด่าตามเละเทะ แล้วมาบอกกับผมว่าอยากจะขอโทษ เดาว่าตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอกันจนถึงตอนนี้
"พี่ตาม"
ตามยิ้มนิดๆ ดูเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก จึงทำท่าจะเดินไปสั่งชาไข่มุกแต่ถูกสายป่านดึงมือเอาไว้ก่อน
"หนูมีเรื่องอยากคุยกับพี่"
ตามหันมองผมนิดหนึ่ง ก่อนที่ผมจะพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้ไปคุยกัน ส่วนตัวผมจะไปที่คลินิกพี่ต่อก่อน คิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยได้ เพราะสำหรับสายป่านผมก็ยังคงเป็นพลีส
ผมมานั่งรอพี่ต่อที่คลินิกอยู่พักหนึ่ง ไม่นานนักตามก็มาถึงแล้วเข้ามารายงานให้ผมฟังว่าคืนดีกับสายป่านเรียบร้อย คิดอยู่แล้วว่ามันคงไม่ยาก เพราะตามก็เอ็นดูสายป่านเหมือนน้องสาวมาโดยตลอด ส่วนความโกรธเคืองที่สายป่านมีก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ ในใจที่ละทิ้งได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพยายามด้วยซ้ำ หลังจากนี้ตามกับสายป่านก็คงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้เหมือนเดิม
"ตาม เราถามอะไรหน่อยสิ"
ตามเลิกคิ้วขึ้นมอง ก่อนที่ผมจะถามในเรื่องที่อยากรู้
"ครอบครัวเราไม่รู้จักพลีสเหรอ"
"รู้จักแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นหน้า"
"ไม่เคยเลยเหรอ"
"ไม่เคยเลย ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องพลีสก็ไม่ยอมเจอหน้าใครเลย"
"ถึงว่า ทั้งแม่ทั้งสายป่านไม่เคยพูดอะไรตอนที่เราเข้าหาด้วยร่างของพลีส"
"แล้วทำไมเมื่อกี้เธอไม่เข้าไป"
"คิดว่าเธอควรจะคุยกับน้องแค่สองคนมากกว่า"
"น่าจะเข้าไปแล้วบอกว่าเธอคือใคร "
ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
"เธอไม่ได้คิดจะบอกคนที่บ้านเหรอ"
"ไม่ล่ะ คิดว่าไม่ดีกว่า"
หัวคิ้วของตามขยับเข้าหากันคล้ายว่าจะสงสัยอะไรบางอย่าง ตามเป็นคนฉลาดและการเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนั้นคงไม่ได้ยากจนเกินไป ความสงสัยจึงกลายเป็นคำถามที่ผมรู้อยู่แล้วว่าตามจะต้องพูดในสักวัน
"เดี๋ยวเธอก็ต้องไปใช่ไหม หมายถึงเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดไปใช่ไหม"
"อืม...ใช่"
สีหน้าแห่งความผิดหวังแสดงออกจนเห็นได้ชัด ตามไม่ได้พูดอะไรอีก ในขณะที่พี่ต่อเปิดประตูเข้ามาพอดี เอ่ยปากทักตามก่อน แล้วหันมาพูดกับผม
"พี่ไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง น้องไปรอที่รถก็ได้ครับ"
"ครับ" ผมตอบรับก่อนพี่ต่อจะเดินออกไป ตามก็ยังคงไม่พูดอะไร จนผมลุกขึ้น
"เราไปก่อนนะ"
มือของผมถูกรั้งเอาไว้จากอีกคน ในตอนที่กำลังจะเดินออกมา
"ไม่ไปได้ไหม"
"ไม่อยากให้เราไปกับพี่ต่อเหรอ"
"เปล่า"
"..."
"ไม่อยากให้เธอไปจากที่นี่"
"..."
"เธออยู่ตรงนี้ตลอดไปไม่ได้เหรอ"
"ตลอดไปไม่ได้หรอก"
"แต่เธอเพิ่งจะกลับมา"
"..."
"จะต้องไปจริงๆ เหรอ"
ผมเห็นแววตาของตามที่ดูเหมือนจะร้องไห้ อยากจะกอดเขาในตอนนี้ แต่สถานการณ์ไม่ยอมให้เป็นไปเช่นนั้น พี่ต่อเดินกลับมาเรียกผมอีกที ผมจึงต้องเดินออกมาจากตรงนั้นก่อน และหันบอกกับตามผ่านเสียงแผ่วเบาเพื่อปลอบใจ
"ยังไม่ไปหรอก"
"..."
"ยังไม่ใช่วันนี้"
ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องไปตอนไหนหรือเหลือเวลาอีกนานเท่าไร แต่ถ้าผมมีสิทธิ์ที่จะร้องขอหรืออ้อนวอนจากใครสักคน ผมก็คงภาวนาให้ช่วงเวลาที่เหลือนั้น...
นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ...
พี่ต่อพาผมมากินข้าวในร้านอาหารหรูบนชั้นเกือบจะสูงสุดของโรงแรมที่มองเห็นวิวเมืองได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ผมเคยเห็นร้านแบบนี้ผ่านละครที่พ่อกับแม่ชอบดู การตกแต่งร้านหรูๆ มีดนตรีคลาสสิกบรรเลงในบทเพลงที่พาเคลิ้มลอยไปได้ไกล มีราศีแห่งความร่ำรวยจากผู้คนที่เข้ามากินอาหารที่นี่ ผมโผล่หน้าออกมาจากเมนูอาหารเล่มใหญ่ที่บดบังทั้งตัวของผมได้ตอนที่กางออก ก่อนกระซิบบอกพี่ต่อ
"พี่ต่อ"
"ครับ"
"ไม่เห็นต้องมาร้านหรูแบบนี้เลย พี่ดูผมสิ ยังอยู่ในชุดนักเรียนด้วยซ้ำ"
"ชุดนักเรียนก็น่ารักดีนี่ครับ"
จะละมุนละไมอะไรก็ดูสถานการณ์บ้างเหอะ! ถึงแม้ว่าผมจะอยู่ในร่างของพลีสที่มีทั้งหน้าตาและผิวพรรณจัดอยู่ในประเภทที่ดูออกว่าเป็นลูกคนรวยก็เถอะ แต่ตอนนี้ความมั่นใจหดหายไปหมดสิ้นไม่ชินกับอะไรแบบนี้เลย
"แต่ร้านนี้มันแบบ..."
"พี่อ่านเจอในรีวิวมา เขาบอกว่าบรรยากาศเหมาะที่จะมาเดต พี่อยากให้น้องประทับใจ เวอร์ไปเหรอ"
ช่างน่าเอ็นดู...
เห็นหน้าจ๋อยๆ ของเขาผมก็ไม่กล้าจะว่าอะไรอีก พี่ต่อดูเหมือนเด็กที่เพิ่งหัดออกเดต เท่าที่ผมจำได้พี่ต่อก็ไม่เคยมีแฟนเลยเพราะทุ่มเทกับงานเสียมากกว่า พลีสคงมีความพิเศษอะไรบางอย่างที่ทำให้พี่ต่อสนใจอย่างแน่นอน
"อยากไปร้านอื่นไหม"
"ไม่เป็นไรครับ ร้านนี้ก็ได้"
ไม่อยากทำลายความตั้งใจของเขา ก็เลยต้องเลยตามเลย ยิ้มให้เขาแล้วมุดกลับไปดูเมนู แค่เห็นราคาก็จุกแล้วเนี่ย
"เลือกได้หรือยัง จะสั่งเลยไหมครับ"
"ไม่รู้ว่าอะไรอร่อย พี่สั่งให้ผมหน่อย"
"งั้นพี่เลือกให้นะ"
ถึงแม้ผมจะอ่านเมนูที่เป็นภาษาอังกฤษออก แต่ก็ไม่รู้สักนิดว่าหน้าตามันเป็นยังไง เลยปล่อยให้พี่ต่อเป็นคนจัดการสั่ง รอนานสามชาติครึ่ง อาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ เป็นอาหารยุโรปหน้าตาหรูหราสองจาน ซุปครีมข้น และน้ำผลไม้คั้นสดร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมก้มมองจานที่ถูกวางตรงหน้า มีเนื้อชิ้นเล็กๆ วางอยู่บนซอสสีน้ำตาลอ่อนๆ ข้างๆ จานมีเห็ดสไลด์บางเฉียบกับหน่อไม้ฝรั่งหนึ่งชิ้นและโรยด้วยใบสะระแหน่ โอ้ไม่สิ...เปปเปอร์มินต์
"กินเลยสิครับ"
"ครับ"
ผมตอบรับ ก่อนเอามีดเขี่ยไอ้เนื้อก้อนเล็กๆ นั่น อันที่จริงงับคำเดียวก็หมดชิ้นแล้ว แต่ด้วยความสุภาพและเป็นผู้ดี เลยต้องทำให้มันกินได้หลายๆ คำ ดื่มด่ำรสชาติและบรรยากาศในตอนที่ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีไปช้าๆ เพลงบรรเลงเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศเช่นนี้ ผมอยากให้เป็นพลีสที่ได้อยู่ตรงนี้กับพี่ต่อ...เพราะมันโคตรจะโรแมนติกเลย
หลังจบมื้อเย็นพี่ต่อก็มาส่งผมที่บ้าน ก่อนจะลงจากรถก็กำชับให้นอนเร็ว ห่มผ้า และอย่าตื่นสาย จบการเดตที่ไม่หวือหวาแต่ว่าอบอุ่นเพราะเป็นพี่ต่อ ในความคิดของผมแล้ว ช่วงอายุที่ห่างกันนั้นดูไม่เป็นปัญหา และเด็กชายที่น่าสงสารอย่างพลีสก็เหมาะสมที่จะมีคนที่อบอุ่นและใจดีอย่างพี่ต่อคอยดูแล คงจะดีถ้าพี่ต่อได้เข้ามาเป็นรอยยิ้มและสว่างให้ชีวิตสีเทาของพลีสได้มีความสุขขึ้นมาบ้าง
ผมยืนรอจนกว่าพี่ต่อขับรถออกไปจากหน้าบ้าน หันหลังตั้งใจจะเข้าบ้านแต่เสียงร้องของความหิวโหยก็หยุดสองขาของผมเอาไว้ก่อน
"โครก" รสชาติอาหารระดับมิชลีนสตาร์กลับไม่ถูกปากผมสักนิด ซ้ำปริมาณยังไม่มากพอที่จะทำให้อิ่มได้ ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงกระเพาะก็โอดครวญร้องหาอาหารประทังความหิว ผมจึงเปลี่ยนใจที่จะเข้าบ้าน แล้วเดินออกไปหาอะไรกินที่ร้านสะดวกซื้อ ยังไม่ทันได้เดินเข้าร้าน ก็เห็นตามนั่งกินข้าวกล่องอยู่หน้าร้าน เมื่ออีกคนหันมาเห็นผมก็ยกมือทักเพราะปากไม่ว่าง
"รอแป๊บหนึ่ง" ผมบอก ก่อนพุ่งตัวเข้าไปในร้าน หยิบมาม่าถ้วยใหญ่กับไข่ต้มสองฟอง คิดเงินเสร็จก็เดินออกไปนั่งข้างๆ ตาม
"ไหนบอกไปกินข้าวกับพี่ต่อไง"
"ไม่อิ่ม"
"พี่ต่อพาไปกินอะไรมา"
"ร้านหรูหราห้าดาวมิชลีน"
"มันอ่านรีวิวมาแน่เลย"
ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกับตาม ระหว่างที่รอเส้นมาม่าสุกก็หยิบไข่มาปอก ผมชอบไข่ต้มแต่ไม่ชอบไข่แดงเลยยื่นไปใส่กล่องข้าวของตาม อีกคนเงยหน้ามอง ยกมุมปากขึ้นยิ้มพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ
"หัวเราะอะไร"
ตามไม่พูดอะไรได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ แต่ผมเดาความคิดของเขาออก ด้วยผลของการกระทำเมื่อครู่มันคงย้ำให้ตามแน่ใจว่าผมเป็นผมที่เขารู้จักจริงๆ ก่อนที่เส้นมาม่าของผมจะสุกได้ที่พอดีจึงจัดการตักใส่ปากทั้งที่ยังร้อนๆ พ่นควันออกมาจนตามหลุดหัวเราะ
"เป่าก่อนไหมล่ะ"
โดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ ตามหยิบถ้วยมาม่าไปจากผม เป่าให้คลายร้อนแล้วส่งคืนมาให้ เราต่างคนต่างจัดการอาหารในมือตัวเอง เป็นมื้อเย็นรอบที่สองด้วยอาหารง่ายๆ ในร้านสะดวกซื้อ ใช้เวลาไม่นานก็หมดเกลี้ยงและอิ่มแปล้ ผมเก็บกล่องข้าวและถ้วยมาม่าลุกไปทิ้งขยะก่อนจะหันไปถามตาม
"ไอติมไหมตาม"
"เอาวนิลา"
ผมพยักหน้ารับก่อนเดินเข้าไปซื้อให้ไอติมสำหรับเราคนละอันเป็นของหวานหลังมื้ออาหาร ระหว่างนั้นผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปถามคนข้างๆ
"ตาม ทำไมพี่ต่อจำเราไม่ได้"
"ฮึ?"
"เราเคยพูดชื่อตัวเองอยู่ครั้งหนึ่งในร้านกาแฟ แต่พี่ต่อบอกว่าไม่รู้จักเรา พี่ต่อจำเราไม่ได้เหรอ"
ตามนิ่งไปหลังจบคำถามนั้น สีหน้าที่แสดงออก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่ผมตายไปแล้วแน่นอน
"เกิดอะไรขึ้นเหรอ"
"พี่ต่อรถคว่ำวันเดียวกับที่เธอตาย"
ดวงตาผมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ผมไม่รู้มาก่อนเลย...
"พอพี่ต่อฟื้นก็จำอะไรไม่ได้ ความทรงจำปะปนกันมั่วไปหมด แต่ผ่านไปไม่นานพี่ต่อก็เริ่มจำอะไรๆ ได้บ้าง แต่เรื่องบางอย่างก็หายไปเลย เรื่องของเธอเป็นหนึ่งในนั้น ที่มันไม่กลับมา"
ผมได้แต่พยักหน้ารับ ด้วยเหตุนั้นพี่ต่อจึงไม่รู้จักผม แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่าไรนัก เพราะว่าเรื่องของผม เรื่องราวที่เกี่ยวกับผม...คงเป็นเรื่องที่พี่ต่อไม่อยากจำ
และผมไม่รู้มาก่อนเลยว่า วันเดียวกับวันที่ผมตายจะมีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นอีก ไม่รู้เลยว่าในวันนั้น ผมได้ทิ้งตามเอาไว้กับเรื่องราวโหดร้ายเหล่านั้นเพียงลำพัง
"วันนั้น มันคงแย่มากเลยสินะ"
ตามพยักหน้ารับ
"มันผ่านไปแล้วนะ"
"ไม่เลย"
"..."
"ไม่เคยผ่านไปได้เลยสักวัน"
ผมไม่อยากเห็นตามต้องร้องไห้อีก แต่ก็หนีไม่พ้นต้องเป็นคนทำให้ตามร้องไห้จนได้ ตามก็คงจะหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องเสียน้ำตาบ่อย จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยกไอติมที่ไหลละลายเลอะมือขึ้นมาให้ผมดู
"ไอติมละลายเลยแม่ง"
ผมหลุดหัวเราะพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้ตาม บทสนทนาแห่งความสงสัยยังคงไม่จบ คราวนี้ตามเป็นฝ่ายถามผมบ้าง
"ที่เธอมาเข้าร่างพลีสได้ เป็นเพราะเธอเป็นคนช่วยพลีสเอาไว้ใช่ไหม"
"จริงๆ เรามารู้ทีหลังว่าพลีสคือเด็กคนนั้น"
"พลีสรู้สึกผิดเรื่องเธอมากเลยนะ"
ผมได้แต่พยักหน้ารับ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าผมจะช่วยพลีสได้ก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้ยังไง ผมพยายามที่จะบอกผ่านคนอื่น กระทั่งฝากบางข้อความเอาไว้เพื่อให้พลีสได้รู้สึกดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าความรู้สึกผิดที่มีในใจของพลีสมันอยู่ในปริมาณที่มากเกินจะผ่านไปได้ง่ายๆ คงไม่มีสิ่งใดเยียวยาความรู้สึกของพลีสได้นอกจากเวลา ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าต้องนานอีกสักเท่าไร
"แล้วเธอรู้สึกตั้งแต่เมื่อไรว่าพลีสไม่ใช่พลีส"
"ก็สงสัยมาตลอดแต่ไม่ได้คิดว่าเป็นเธอ เรารู้จักพลีสตั้งแต่วันที่เธอตาย พลีสเป็นเด็กน่าสงสาร ทั้งเศร้า ทั้งหดหู่ดูไม่มีความสุขเลย เพราะสิ่งที่พลีสต้องเจอมันคงทรมานไม่ต่างกับความตาย"
"นั่นสินะ"
"แล้ววันดีคืนดี พลีสก็ดูสดใสแปลกๆ เข้ามาคุยกับเราก่อน หาเรื่องชวนกินข้าว ไปไหนก็เจอทุกที่ บางทีก็พูดจาประหลาด รู้จักเราไปซะทุกเรื่อง แต่ที่เราคาใจที่สุดก็ตอนที่เรียกเราว่า เธอ"
"หลุดปากน่ะ"
ตามได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนที่จะเกิดความเงียบ ผมก็หยิบยกบทสนทนาขึ้นมาอีกเรื่อง
"ตาม เรื่องที่เธอพูดที่โบสถ์น่ะ"
"เรื่องไหน"
"ที่บอกว่ากำลังนอกใจเรา"
"..."
"เป็นพลีสใช่ไหม คนที่เธอกำลังชอบอยู่"
ตามเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมพูดออกมา
"โกรธหรือเปล่า"
"ไม่โกรธสักนิด เธอไม่ได้ทำบาปอะไรทำไมต้องรู้สึกผิดด้วย"
"ก็เราไม่เคยเลิกกัน"
"แต่เราไม่อยู่แล้ว เธอจะรักใครก็ได้"
"แต่ไม่ใช่พลีสหรอก"
"ไม่ใช่...พลีสเหรอ"
"ตอนแรกก็คิดว่าใช่ แต่ตอนนี้ได้คำตอบแล้วว่าไม่ใช่"
"หมายความว่าไง"
"มันเกิดขึ้นตอนที่เรารู้สึกว่าพลีสเริ่มเหมือนเธอเข้าไปทุกที ตอนที่พลีสเป็นพลีส เราไม่เคยรู้สึกอะไรเลยนอกจากความสงสาร"
"..."
"แต่ตอนที่พลีสไม่ใช่พลีสมันทำให้เราคิดถึงเธอ คิดว่าตัวเองกำลังอยู่ใกล้ๆ และได้พูดคุยอยู่กับเธอ แล้วมันก็คือเธอจริงๆ"
"..."
"เพราะงั้นคนที่เราชอบไม่ใช่พลีส แต่เป็นเธอ"
"..."
"เป็นเธอ"
"..."
"เสมอ"