ถนนยามสายของกรุงเทพมหานครก็ยังมีรถราคลาคล่ำไม่ต่างจากเวลาเช้าหรือเย็นเสียเท่าไหร่ โชคยังดีที่ในรถยนต์นั้นเปิดแอร์เย็นฉ่ำจนแทบไม่รับรู้ถึงไอร้อนแผดเผาของแสงแดดจากภายนอก ทว่า…คนที่นั่งข้างคนขับก็ยังมีท่าทีร้อนรนราวกับอยู่ในที่ร้อนอย่างไรอย่างนั้น
“มันไม่รับสาย” เบอร์โทร.ของทรงพลยังอยู่ในเครื่องของจอมขวัญ และเขาโทร.ออกหามันแทบจะนับสิบครั้งได้แล้ว แต่ไม่มีสักครั้งที่มันจะรับสาย
…สมกับเป็นไอ้ทรงพล! เวลาเขาหน้าสิ่วหน้าขวานควานหาตัวมัน มันไม่เคยพร้อมจะให้เจอ ทีเวลาเขาอยากซื้อของจากมัน โทร.ไปแค่ครั้งเดียวก็รับสาย! แม่งเอ๊ย!!! รู้ได้ยังไงวะ! ว่าเวลาไหนกูอยากได้อะไร!!!...
จอมขวัญกำลังจะก้มหน้าลงกดโทรศัพท์อีกครั้ง ทว่าคนขับรถที่นั่งอยู่ข้างกายกลับหักพวงมาลัยเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ อย่างที่ทำเอาเขาต้องหันมามองอธิป
“พี่โตจะไปไหน?” หรืออธิปรู้ว่าทรงพลมาช้อปปิ้ง?
“สายแล้ว ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า แวะกินข้าวก่อนแล้วกัน” จอมขวัญเดือดร้อนจะเป็นจะตาย แต่อธิปจะแวะกินข้าว!!
“แต่!...”
อธิปหันมามองคนที่กำลังจะค้าน ก่อนจะเอ่ยปากเรียบๆ
“โทร.หาไม่ติดไม่ใช่เหรอ ขับต่อไปก็เปลืองน้ำมันเพราะไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ก็พักกินข้าวก่อน แล้วค่อยว่ากัน แล้วอีกอย่าง…ตอนนี้คุณจักรเองก็ไปไหนไม่ได้ด้วย เมื่อกี้ลุงชัยก็โทร.มาบอกแล้วนี่ว่าคุณจักรยังอยู่ในโรงแรม” ร่างโปร่งเถียงไม่ออก เมื่ออธิปดักทางเอาไว้เสียหมด เขาได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายขับรถขึ้นลานจอด
ห้างสรรพสินค้าในเวลานี้ที่เพิ่งเปิดนั้น รถยังน้อย และคนก็ยังไม่เยอะ จอมขวัญได้แต่เดินตามร่างสูงเบื้องหน้าเข้าร้านอาหารที่เขาโยนให้อีกฝ่ายเป็นคนเลือก และเขาก็ให้อธิปเลือกทุกอย่างแม้กระทั่งที่นั่ง หรืออาหาร ส่วนตัวเองเอาแต่จ้องโทรศัพท์ และคอยแต่จะกดหาทรงพลยิกๆ จนกระทั่งอธิปสั่งอาหารเสร็จ บริกรรับรายการอาหารจากไปแล้ว และกลับมาอีกครั้งพร้อมอาหารที่นำมาเสิร์ฟ แต่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของอธิปก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสนใจสิ่งอื่นนอกจากโทรศัพท์สักที
“ของขวัญ เอาโทรศัพท์มาให้พี่” จอมขวัญเงยหน้ามองคนพูดงงๆ ที่อยู่ดีๆอธิปก็อยากได้โทรศัพท์ของเขา แต่ก็ส่งให้โดยดีไม่ถามอะไร หากแต่เมื่ออธิปรับไปแล้ว กลับเก็บโทรศัพท์ของคนรักลงกระเป๋าเสื้อตัวเอง
“อ้าว!” เจ้าของโทรศัพท์ร้องเสียงหลง
“เวลากินก็ต้องกิน กดแต่โทรศัพท์อยู่นั่น”
“ก็!...”
“ทรงพลไม่โทร.มาตอนนี้หรอก”
“รู้ได้ไง?!”
“ก็ถ้าจะโทร.มา ก็คงโทร.กลับมานานแล้ว ของขวัญโทร.หาจะครบร้อยรอบแล้วมั้ง” จอมขวัญได้แต่หงุดหงิดที่อธิปตัดบททุกอย่าง และไม่ยอมให้เขาแตะโทรศัพท์อีก ร่างโปร่งได้แต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความอยากรู้…ลุงชัยก็เหลือเกินจริงๆ! ไม่ยอมให้เขากลับโรงแรมไปด้วย ก็เพราะจะให้อธิปมาปราบเขาแบบนี้ล่ะสิ!...
ร่างโปร่งได้แต่นึกหงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้…ปกติเขาไม่ใช่คนยอมความง่ายนักหรอก แต่เพราะอธิปหว่านล้อมชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด เขาก็เลยเถียงไม่ขึ้น ชักจะรู้สึกว่าอธิปคล้ายลุงชัยนิดหน่อย ตรงที่หว่านล้อมเขาจนไม่มีทางเถียงได้นี่ล่ะ…
“ของขวัญ…เรื่องนี้ ไม่ต้องเข้าไปยุ่งได้มั้ย”
“แต่…”
“ไหนว่าเรื่องผู้หญิงคนนั้น จะให้ป้ารีเป็นคนจัดการไงล่ะ” จอมขวัญเงียบอีก เขาไม่รู้ว่าคุณพัชรีไปจัดการอะไรยังไงหรือไม่ เรื่องนี้ป้าไม่พูดกับเขาเลย ไม่มีใครพูดถึงเรื่องอัญญิกาอีก ไม่มีใครบอกเล่าว่าเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไร จนกระทั่งน้ำทิพย์โทร.มาหาเขาเมื่อเช้าเพื่อเล่าว่าไปเจออัญญิกาอยู่กับทรงพล…และไอ้ที่เจออยู่กับทรงพลนั่นล่ะ! คือเรื่องที่เขาอยากรู้มากที่สุด!!...
“กินข้าวเสร็จแล้ว เดี๋ยวไปซื้อของหน่อยนะ พี่มีของต้องซื้อ” ว่าแล้วอธิปก็หาแม่น้ำอีกสายมาชักให้จอมขวัญไม่ต้องไปไหนทั้งสิ้น เล่นเอาร่างโปร่งต้องหันมอง
“อ้าว ไหนว่าแค่แวะเข้ามากินข้าวอย่างเดียว…”
อธิปมองคนพูด ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างที่ทำให้ร่างโปร่งได้แต่เงียบ
“ถ้าอย่างนั้น…พี่ไปซื้อคนเดียวก็ได้…” เล่นทิ้งประโยคขอความเห็นใจด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไรแบบนี้ยิ่งจุดชนวนความน่าสงสารในใจจอมขวัญมากกว่าเดิม เขาได้แต่ถอนหายใจเบา แล้วจ้องหน้าอธิปอย่างคาดโทษ
“ก็ได้…ไปซื้อของด้วยก็ได้…”
แล้วคำว่า ‘ก็ได้’ ของจอมขวัญ ก็ทำให้เขาและอธิปเดินไม่พ้นห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นอีกเลยจนกระทั่งสี่โมงเย็น ร่างสูงถึงได้พาคนรักกลับไปที่บ้านเรือนไทย ชนิดส่งถึงมือคุณพัชรีกันเลยทีเดียว!
…แล้วแบบนี้จะตุกติกแอบไปหาทรงพลคนเดียวได้ยังไงกันเล่า!!!...
……………………………..
ค่ำมากแล้ว…ตอนที่จักรกฤษณ์ปลีกตัวจากทุกสายตาจับจ้องของ ‘คนของพ่อ’ แล้วแวบออกมาจากโรงแรมได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตก ไหนจะสายตาลุงวิทยาที่พ่อส่งมาดูแลช่วยเหลืองานเขาแต่พอถึงเวลาอย่างนี้ทีไร ลุงวิทยากลายร่างเป็นสายสืบให้พ่อเขาทุกที…ยิ่งเฉพาะวันนี้
วันนี้ที่จักรกฤษณ์โทร.นัดใครบางคน และไอ้บางคนคนนั้นก็บอกให้เขามาพบมันได้ที่ผับประจำของมัน
“มาไวดีนี่หว่า” ทันทีที่จักรกฤษณ์ทรุดตัวลงนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วก็ส่งเสียงทักทันที ก่อนจะหันมากระตุกรอยยิ้มที่มุมปากน้อยๆอย่างเจ้าเล่ห์สมกับเป็น ‘ทรงพล’ คนเดิม จักรกฤษณ์ไม่ได้หันไปยิ้มตอบ เขาสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ ก่อนจะเอ่ยปากโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
“กูมีเรื่องอยากจะคุยกับมึง”
“อ้าว! ไม่ได้อยากจะซื้อของจากกูหรอกเหรอ” ทรงพลผู้มีอาชีพ ‘พ่อค้า’ ย้อนถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์เช่นเคย อย่างที่ทำเอาจักรกฤษณ์ต้องหันมองด้วยสายตาหงุดหงิด
“มึงกับไอ้จอมนี่สายตาแบบเดียวกันเลยว่ะ สมกับที่เป็นพี่น้องกัน ไม่สิ…เป็นลูกพี่ลูกน้องสินะ”
“กูไม่ได้มานั่งให้มึงพูดเรื่องกูกับน้อง กูอยากรู้เรื่องของมึงกับ ‘น้อง’ ของมึงมากกว่า” จักรกฤษณ์ย้อนด้วยคำพูดอย่างที่ทำเอาทรงพลเงียบ ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายหันไปหยิบแก้วเหล้าขึ้นมากระดก
“ห้าพัน” มันว่าอย่างนั้น หนุ่มผิวเข้มขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ทรงพลเลยเสริมต่อ
“ห้าพัน…ค่าเล่าเรื่อง”
“มึงนี่มัน…!”
“กูเป็นพ่อค้า กูขายได้ทุกอย่างแหละ แม้แต่เวลาของกูเอง ว่าไง…ห้าพันสำหรับการพูดคุยระหว่างกูกับมึงครึ่งชั่วโมง นี่กูลดราคาให้มากแล้วนะ เวลาของกูเป็นเงินเป็นทอง เอาไปทำอย่างอื่นครึ่งชั่วโมงนี่ได้เป็นแสน แต่เห็นแก่ว่ามึงเป็นพี่ไอ้จอม กูเลยลดให้เหลือห้าพัน…ว่าไง? สนมั้ย” ไม่มีคำตอบนอกจากจักรกฤษณ์ควักกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาหยิบธนบัตรใบละพันแล้วโยนลงบนเคาน์เตอร์ตรงหน้า ทรงพลเหลือบตามอง ก่อนจะหยิบขึ้นมานับทีละใบ
“หนึ่ง…สอง…สาม…สี่…ห้า…หก…หกพัน…ดี! สมกับเป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมหน่อย มีทิปกูแบบนี้” ทรงพลเก็บเงินลงกระเป๋าเสื้อ จักรกฤษณ์มองด้วยสายตาเหยียดหยาม ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหน้าเงินถึงขนาดนี้เขาก็ยิ่งสะอิดสะเอียนและไม่อยากรู้จัก ไม่รู้ว่าจอมขวัญคบไปได้อย่างไร
“มึงกับอีฟรู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่” และก่อนที่เขาจะรังเกียจพ่อค้าอย่างทรงพลไปมากกว่านี้ จักรกฤษณ์ก็ถามตัดบท ทรงพลกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะตอบเสียงเรื่อยเอื่อยเฉื่อย
“นาน…จนกูไม่อยากจะจำ” …ไอ้หอกเอ๊ย!! หกพันที่กูจ่ายมึงไปไม่ได้หมายความว่าให้ตอบกูแบบนี้!!!... จักรกฤษณ์อยากกระทืบทรงพลดูสักที โทษฐานที่มันพูดจากวนประสาท
“ทำไมแม่ของอีฟเรียกมึงว่าลูก” คำถามนี้ ทรงพลนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงเอื่อยเหมือนเมื่อครู่
“ก็กูเป็นลูกเขา”
“หมายความว่ามึงกับอีฟเป็นพี่น้องกันงั้นสิ?!!”
“อืม” สั้นๆแต่ได้ใจความ จักรกฤษณ์นิ่งงันกับทฤษฎีโลกกลมที่เกิดขึ้น ทรงพลหันมามอง ใบหน้าของมันเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“แต่มึง…” จักรกฤษณ์พูดไม่ออก เขาจำได้ว่าจอมขวัญเล่าให้ฟังว่าซื้อข้อมูลทุกอย่างของอัญญิกาจากทรงพล แล้วทำไม…ทำไม…ทั้งๆที่เป็นพี่น้องกัน…ทำไม…
“กูบอกแล้วว่ากูเป็นพ่อค้า กูขายทุกอย่างที่ขายได้ แม้แต่เรื่องของน้องคนละพ่อของกูก็เถอะ” ทรงพลแสยะยิ้มที่มุมปาก ทว่ามันกลับเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยและน่าสงสาร
“แม่มึง…แต่งงานใหม่อย่างนั้นเหรอ”
“อืม…นานมากแล้ว ตั้งแต่เขาทิ้งกูไปนั่นล่ะ หึ! ทิ้งกูไปสร้างครอบครัวใหม่ แล้วเป็นไง ลูกใหม่สร้างแต่เรื่องให้ทั้งนั้น ทั้งท้องไม่มีพ่อ แล้วก็แท้ง แถมตอนนี้ยังไปเป็นเมียเก็บไอ้เปี๊ยกจนท้องขึ้นมาอีก...แล้วพอจัดการอะไรไม่ได้ ก็เพิ่งจะมาสำนึกว่ามีกูเป็นลูกอีกคน…” ทรงพลขบกรามอย่างอาฆาตแค้น “…จะให้กูช่วยอย่างนั้นหรือ…ไม่มีทาง กูไม่ช่วยน้องนอกไส้อย่างนั้นหรอก…” ดวงตานั้นเลื่อนลอย เขาไม่เคยได้รับการยอมรับจากครอบครัวใหม่ของมารดา ทรงพลโตขึ้นมากับการถูกทิ้ง เป็นเด็กข้างถนน และใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืดของสังคมและกฎหมาย จนกระทั่งวันนี้…แม้จะยังจมปลักอยู่กับการใช้ชีวิตเหนือกฎเกณฑ์และเป็นพ่อค้าของเถื่อน แต่ความร่ำรวยและอำนาจที่มี กลับทำให้เขาถูกเรียกว่า ‘ลูก’ จากมารดาที่ทิ้งเขาไปและไม่เคยหันมาสนใจใยดี
“หมายความว่าตอนนี้อีฟท้อง?” จักรกฤษณ์ถาม สำหรับเขาแล้ว ผู้หญิงคนนั้นยังทิ้งแผลใจเอาไว้จนมันเป็นรอยแผลเป็นที่ไม่มีวันลบหาย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับอัญญิกาอีกแล้ว แม้จะรู้ว่าเธอท้องกับผู้ชายที่แต่งงานแล้ว แต่เขาก็ยังถามแค่เพราะอยากรู้ ไม่ได้รู้สึกใจหายหรือเป็นห่วงแต่อย่างใด
“อืม…กำลังหนีเมียหลวงหัวซุกหัวซุนอยู่ เพราะทางนั้นจะให้เอาเด็กออก” ทรงพลรู้เรื่องของน้องสาวจากการนัดพบกันระหว่างเขา มารดา และอัญญิกา หลังจากไม่พบกันมานานนับสิบปี นับตั้งแต่เกิดเรื่องคราวก่อนที่อัญญิกาคบหากับสองพี่น้องวิมลกิตติแล้วตั้งท้องก่อนจะกลายเป็นแท้ง
…คิดถึงสองพี่น้องวิมลกิตติแล้ว ทรงพลก็ได้แต่หันมามองจักรกฤษณ์…
“มึงนี่ก็ดีนะ ไอ้จอมไม่ใช่น้องแท้ๆ แถมมันทำเลวสารพัดก็ยังให้อภัยมัน” เขาเคยสงสัย…ทำไมทั้งจักรกฤษณ์และจอมขวัญถึงรักกันขนาดนั้นแม้จะเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง จอมขวัญนั้นไม่ต่างจากกาฝากที่พ่อแม่ตายและถูกลุงป้ารับมาเลี้ยงดู จะเลี้ยงดูตามยถากรรมก็ได้ จะทิ้งขว้างก็ได้ จะตัดขาดเพราะมันเลวร้ายชั่วช้าก็ได้…แต่…ทรงพลไม่เคยเห็นช่วงเวลานั้นในชีวิตของจอมขวัญเลย
…มันซื้อยาจากเขา มันซื้อปืนจากเขา แต่ละเรื่องที่มันทำ ล้วนไม่ใช่เรื่องดีๆทั้งสิ้น…และแน่นอน…ไม่มีเรื่องไหนที่ลุงและป้ามันไม่รู้ ในเมื่อเขาเคยได้รับโทรศัพท์จากลุงของมันเพื่อถามไถ่เรื่องปืนที่จอมขวัญมี…แต่…แม้สองคนนั่นจะรับรู้การกระทำของหลานชาย ก็ยังให้อภัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
“สำหรับบ้านกู ไอ้ขวัญคือคนในครอบครัว ไม่มีคำว่าแท้ไม่แท้หรอก” ทรงพลนิ่งไป เรื่องแบบนี้คงเกิดขึ้นกับเขาไม่ได้ ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยรู้สึกถึงคำว่า ‘คนในครอบครัว’ เลย
“เพราะฉะนั้น ถ้ามึงคิดจะรวมหัวกับอีฟมาทำอะไรไอ้ขวัญล่ะก็ กูไม่เอามึงไว้แน่!!” จักรกฤษณ์สั่งเสียงเข้ม อย่างที่ทำเอาทรงพลต้องหันมองก่อนจะกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์
“มึงนี่เหมือนพี่ติดน้องเลยว่ะ รักไอ้จอมอย่างน้องจริงๆ หรือว่า…” ท้ายประโยคนั้น ทรงพลใช้สายตาถามอย่างที่ทำเอาจักรกฤษณ์ตาเบิกโพลงแล้วชี้หน้า
“อย่าแม้แต่จะคิด! ไอ้ทรงพล!!”
ทรงพลยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ
“ก็แค่คิดเล่นๆ อีกอย่างน้องมึงก็มีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ” คราวนี้เป็นจักรกฤษณ์ที่นิ่งไป เขาเหลือบตามองคนพูดอย่างไม่วางใจ เรื่องคนรักของจอมขวัญ จะมีใครรู้ได้ยังไงในเมื่อน้องเขาไม่เคยเปิดเผยที่ไหน
“เอ…ใช่คนที่…เป็นลูกชายเจ้าของบริษัทอหังสาฯอะไรสักอย่างรึเปล่า”
“ก…กูไม่รู้!” ทรงพลยิ้มบาง
“แต่กูว่ามึงรู้นะ…ขนาดกูยังรู้เลยนี่หว่า”
“มึงอาจจะรู้มาผิดๆก็ได้!”
“กูว่าไม่ผิดหรอกม้างงงง…เพราะกูเห็นกับตาว่ามันเคยพาผู้ชายคนนั้นมาหากูครั้งนึง ไม่สิ ผู้ชายคนนั้นแค่ตามมาด้วย ซึ่งผิดวิสัยไอ้จอมเป็นอย่างยิ่งที่พกพาใครต่อใครไว้ข้างกาย ถ้าไม่ใช่…แฟนตัวจริง…ว่าแต่…มีใครรู้บ้างน้า…ว่าจอมขวัญ วิมลกิตติไฮโซหนุ่มรูปหล่อร่ำรวยและโสด มีความรักครั้งใหม่กับผู้ชายด้วยกัน”
“มึงอย่ามายุ่งกับเรื่องของน้องกู!” ทรงพลไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำตัดบทสั่งห้ามของจักรกฤษณ์ เพราะเขารู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ บางครั้งเขาเห็นจอมขวัญเป็นแค่ลูกค้า บางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนว่ามันเป็นเพื่อนร่วมโลกที่ประสบชะตากรรมขาดพ่อขาดแม่เหมือนเขา และบางครั้ง เขาก็เห็นมันเป็นหนูทดลอง…
…จอมขวัญคือกระจกสะท้อนอดีตที่อุบาทว์และน่าสมเพชของทรงพล เขาเลวร้ายพอๆกับมัน ทำได้ทุกอย่างที่อารมณ์พาไป ชีวิตเขาขาดพ่อขาดแม่เหมือนมัน เวลาเขาเห็นมันทำอะไร เขาอยากรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตของมันจะตกต่ำไปมากแค่ไหน…แต่…ไม่มีครั้งไหนเลยที่มันย่ำแย่แล้วไม่ได้รับความช่วยเหลือ…
…คนกลุ่มเดียวที่คอยช่วยเหลือมัน ที่คอยยืนเคียงข้างมันคือครอบครัววิมลกิตติที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่ใช่พี่น้องแท้ๆ…แต่เป็นแค่ลุงกับป้าและลูกพี่ลูกน้อง ทว่า…ครอบครัวนี้กลับช่วยเหลือมันทุกอย่าง จนมันเป็นผู้เป็นคนอย่างทุกวันนี้…
แม้เขาจะคอยหยิบยื่นทุกอย่างเพื่อให้มันได้ทำเลวสมใจแค่ไหน ทั้งหายา หาปืน หรือแม้แต่หาที่อยู่ของน้องเขามาให้มัน…แต่…จอมขวัญก็ยังมีครอบครัววิมลกิตติเคียงข้างเสมอ…คนโชคดีอย่างมัน จะมีสักกี่คนในโลกใบนี้…
ทรงพลยอมแพ้…เขายอมแพ้ที่จะพยายามฉุดมันให้ลงมา ‘เลว’ ร่วมกับเขา…เขากับมัน ขาดพ่อขาดแม่เหมือนกัน พบเจอเส้นทางเดินชีวิตที่ไม่สวยงามเหมือนกัน แต่ต่างกันที่…มันมีครอบครัวอื่นดูแลและเอาใจใส่พร้อมกับพยายามฉุดมันขึ้นมาจากความโสมม ส่วนเขา…ต้องจมอยู่กับความทะเยอทะยานและไขว่คว้าไม่สิ้นสุด…
…มันโชคดี…แต่เขาโชคร้าย…โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลย…
เสียงแก้ววางกระทบเคาท์เตอร์ดังขึ้นเบาๆ ทำเอาทรงพลตื่นจากภวังค์เห็นแก้วเหล้าแก้วใหม่วางอยู่ตรงหน้า ทำให้ต้องหันมองคนข้างกาย จักรกฤษณ์ยกแก้วเหล้าของตนเองขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะพูด
“กูเลี้ยง…” หมายความว่าแก้วเหล้าแก้วใหม่ที่บาร์เทนเดอร์วางลงตรงหน้าทรงพล จะถูกจ่ายโดยเงินของจักรกฤษณ์อย่างนั้นหรือ คนถูกเลี้ยงขมวดคิ้วน้อยๆอย่างไม่เข้าใจ
“…มึงกับไอ้ขวัญมีอะไรบางอย่างเหมือนกัน แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน กูไม่รู้ว่าพื้นฐานครอบครัวมึงเป็นยังไง แต่ว่าช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรับรู้การมีอยู่ของครอบครัว…มึงอาจจะมองว่าน้องมึงทำตัวเอง เกิดอะไรขึ้นมาก็สาสมแล้ว แต่ว่า…กูถามจริงๆเถอะ นอกจากความสะใจ สมเพชแล้ว มึงสงสารเขามั้ย…คนเราเกิดมาเลือกครอบครัวไม่ได้ เลือกพี่น้องไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือการเลือกว่าจะช่วยเหลือพี่น้องของเรา หรือแค่มองดูแล้วปล่อยให้เขาไปตามยถากรรม” จักรกฤษณ์หันมองคนที่นั่งอยู่ข้างกาย ทรงพลเงียบไป จักรกฤษณ์จึงลุกขึ้นยืน วันนี้เขาหมดธุระกับมันแล้ว
…มันกับอัญญิกาเป็นพี่น้องกัน และเป็นพี่น้องที่ไม่สนิทกันอย่างที่ควรจะสนิท…และตอนนี้อัญญิกาก็กำลังมีปัญหาของตัวเอง…ชีวิตของเธอจะจมอยู่กับความมืดมิดไร้ทางออกไปถึงเมื่อไหร่ เรื่องนี้เขาไม่รู้ และเขาไม่อยากรู้ เธอเลือกชีวิตของเธอเอง เธอทำให้มันเกิดขึ้นและดำเนินต่อไปราวกับเป็นวัฏจักรที่ไม่มีทางหลุดพ้น…ใช้ชีวิตเหลวแหลก ตั้งครรภ์ แท้ง แล้วก็ประชดชีวิตด้วยการใช้มันอย่างมั่วซั่ว ก่อนจะตั้งครรภ์อีกครั้ง…เขาไม่รู้ว่าชีวิตของเธอจะจบลงแบบไหน แต่หากชีวิตของอัญญิกาเป็นละครฉากหนึ่ง มันก็เป็นละครที่มีเนื้อหาซ้ำๆที่ตัวละครไม่มีวันเดินพ้นบทออกมา…
จักรกฤษณ์หมุนกายเดินออกมาจากเคาท์เตอร์ ทว่าเสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เขาหันมอง
“เดี๋ยว…” เขาหันมองตาม ทรงพลกำลังมองเขาอยู่
“กูไม่สัญญาหรอกนะ ว่าจะไม่ยุ่งกับน้องมึงอีก…” มันขึ้นต้นด้วยประโยคแบบที่ทำเอาจักรกฤษณ์คันเท้าคันมือยิกๆ …ทำไมมันกวนส้นอย่างงี้วะ!!!...
“…แต่กูสัญญา…ถ้ามันขอให้กูช่วยเรื่องชั่วๆอีก กูจะโทร.บอกมึง…”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ต้อง” จักรกฤษณ์ตอบกลับไปอย่างมั่นใจ “…น้องกูจะไม่ทำเรื่องชั่วๆแบบที่มึงว่าอีก…เพราะครอบครัวกูจะอยู่กับเขา กูจะไม่ทิ้งเขาให้เผชิญกับอะไรเพียงลำพังจนต้องเดินเส้นทางผิดๆอีกแล้ว” ทรงพลได้แต่นิ่งงันกับความมั่นใจที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างสูงเข้มของจักรกฤษณ์
“ถ้ามึงอยากจะช่วยจริงๆ ช่วยจัดการน้องมึงก็แล้วกัน ส่วนจะจัดการยังไง นั่นคือเรื่องของมึงและครอบครัวของมึง…กูแนะนำวิธีไม่ได้ เพราะครอบครัวกูกับครอบครัวมึงไม่เหมือนกัน พวกกูก็ลองผิดลองถูกมาเยอะ กว่าที่จะมาเป็นแบบนี้ได้ แต่วิธีนึงที่บ้านกูทำไม่ได้ และไม่คิดจะทำ ก็คือตัดใครสักคนออกไปเพียงเพราะว่าเขาทำผิด มึงถามตัวมึงเองเถอะ รู้ว่าอีฟเป็นน้องมึง รู้ว่าเขาเป็นสายเลือดเดียวกับมึง เห็นเขากำลังแย่ แล้วมึงยืนดูเขาเฉยๆโดยไม่เจ็บไม่ปวดสักนิดได้มั้ย”
ฝ่ายนั้นเดินจากไปแล้ว ออกจากประตูร้านไปแล้ว แต่ทรงพลยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม…
… ‘เห็นเขากำลังแย่ แล้วมึงยืนดูเขาเฉยๆโดยไม่เจ็บไม่ปวดสักนิดได้มั้ย’ …
เจ็บปวดอย่างนั้นหรือ…ความรู้สึกในใจเขามันอื้ออึงและตีรวนจนไม่รู้ว่าสิ่งที่มีให้กับน้องสาวคนเดียวเป็นความรักหรือความชัง…บางครั้งเขาสงสารเธอ แต่บางครั้งเขาก็สมเพชและรังเกียจ เธอมีครอบครัวครบพร้อมอย่างที่เขาไม่มี แต่กลับทำให้ครอบครัวแหลกสลายด้วยการกระทำสิ้นคิดของตัวเอง…
ทรงพลได้แต่กำมือเข้าหากันแน่นด้วยความอึดอัดในอก ใจหนึ่งนั้นชังน้ำหน้า แต่อีกใจก็บอกว่านั่นคือน้อง…น้องที่ร่วมสายเลือดกันครึ่งหนึ่ง
ภาพดวงหน้าเลื่อนลอยของอัญญิกาที่เขาพบครั้งหลังสุดในร้านอาหาร ในวันที่แม่นัดให้เขาไปเจอนั้น กลับเข้ามาอยู่ในหัวอีกครั้ง หลังจากพยายามสลัดมันทิ้งมาหลายวัน
…น้อง…ผู้หญิงคนนั้นคือน้องสาว…แม้จะเป็นน้องที่ไม่เคยมาหยอกล้อเล่นหัวกับเขา แม้จะเป็นน้องที่เขาไม่สนิท ไม่พูดคุยด้วย แต่…สายเลือดครึ่งหนึ่งก็เหมือนเขา…
…อะไรบางอย่างบอกทรงพลว่าถ้ายังปล่อยให้อัญญิกาอยู่ในสภาพนั้น นี่จะเป็นสภาพสุดท้ายของอายุขัยของเธอ…อัญญิกาเหมือนคนใกล้ตาย และไม่มีความหวังจะมีชีวิตอยู่ เขาไม่รู้ว่าอนุชาพูดอะไร หรือทำสิ่งใดกับเธอ สิ่งที่รู้มีแค่เรื่องที่เธอท้อง…วัฏจักรชีวิตกลับมาซ้ำๆ นั่นคือทางออกเดียวที่มีคือการที่เธอต้องไปทำแท้ง ถ้าไม่อยากให้ภรรยาของอนุชามาตามราวี…
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดไล่หาเบอร์โทร.ช้าๆ ก่อนกดโทร.ออก เขานั่งฟังสัญญาณเรียกเข้าอยู่พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงรับจากปลายสาย ทรงพลรู้สึกสากระคายไปทั้งคอ มันพูดยากเหลือเกิน…แต่…ถ้านั่นคือน้อง…น้องที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก…
“แม่…ตอนนี้อีฟอยู่ที่บ้านรึเปล่า”
“อืม…รออยู่ที่นั่น เดี๋ยวจะไปหา…” ทรงพลลุกขึ้นช้าๆ เขาหันมองแก้วเหล้าที่จักรกฤษณ์บอกว่าเลี้ยง แต่เขายังไม่ได้ยกมันขึ้นดื่มเลยแม้แต่อึกเดียว ชายหนุ่มกระตุกยิ้มบางที่มุมปาก
“เลี้ยงกูงั้นเหรอ?...ให้เป็นเงินสดยังจะดีซะกว่า…” เขาพึมพำเบาๆ แต่ก็ยกแก้วนั้นขึ้นกระดกน้ำสีอำพันเข้าปากจนหมด ก่อนจะเดินหายลับออกจากร้านไปอีกคน
ติดตามตอนต่อไป (พุธหน้า)
แอบรู้สึกว่าพาร์ทนี้ทรงพลหล่ออ่ะ >,< แต่หล่อแบบเทาๆ คือไม่หล่อขาวสะอาด และไม่แบดบอยดำมืด
หล่อแบบมัวๆ หล่อเบลอๆนั่นเอง ฮ่าฮ่า
เปลี่ยนไปยกป้ายไฟให้ทรงพลดีกว่า อิอิ
พาร์ทหน้าน่าจะจบแล้ว สำหรับเรื่องนี้ (ตามพล๊อตที่วางเอาไว้อ่ะนะ)
ส่วนสเป บัวอยากเขียนมากกกกกกก เพราะคุณพระเอกยังไม่ทำหน้าที่ตามที่ควร ฮ่าฮ่า
เพราะงั้นแปะโป้งความหวานของพี่โตเอาไว้ในสเปก็แล้วกันนะ
เจอกันพาร์ทหน้า (ที่คาดว่าจะเป็นพาร์ทจบ)
ขอบคุณคนอ่าน คนติดตาม คนเม้นท์ ทุกกำลังใจ และพื้นที่บอร์ดด้วยนะคะ