Eleventh Songอากาศวันนี้สดใสกว่าทุกวัน...อย่างน้อยเขาก็คิดอย่างนั้น
ใบหน้าคมสันจุดยิ้มขึ้นอย่างสุขใจเมื่อเห็นอีกคนวิ่งไปวิ่งมาทั่วห้องทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านศึกหนักกับเขามาหมาดๆ
เด็กหนุ่มก็แรงดีแบบนี้ล่ะ
ดวงตากลมฉายแววรำคาญใส่เขาเล็กน้อย ถ้าให้เดา เจ้าตัวก็คงแอบค้อนความเอาแต่ใจของเขาอยู่ในใจเล็กๆ นั่นล่ะ
ก็ยอมรับว่าเมื่อครู่นี้หนักมือไปหน่อย แต่จะให้เขาทำยังไงในเมื่อเจ้าแมวน้อยดันน่ารักเสียขนาดนั้น น่ารักเสียจนเขาจดจำมันได้ทุกสัมผัส
เสียงกระเส่านั้นแว่วหวาน ผิวนุ่มขาวเรียบเนียนน่าจับ นัยน์ตาฉ่ำปรือไปด้วยหยาดน้ำใสชวนให้รักให้กอด
แล้วจะให้เขาห้ามตัวเองไม่ให้รักอีกคนหนักๆ ได้ยังไง
รอยยิ้มสุขใจเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือก
...แล้วเขาจะปล่อยให้เจ้าเหมียวออกไปเจอเอกชาติง่ายๆ ได้ยังไงกัน...
“ลุง ทำไมเสื้อผมมันมีกลิ่นน้ำหอมลุงฟุ้งไปหมดเลยเนี่ย”
นัยน์ตาคมรีบปรับอารมณ์ของตัวเองกลับมาเป็นความอ่อนละมุนตามเดิมก่อนจะหันไปยิ้มบางให้กับคนที่ยืนหงุดหงิดอยู่หน้ากระจก
“จริงเหรอ สงสัยฉันคงเผลอฉีดไปโดนแน่ๆ ขอโทษทีนะ”
เขารู้ดีว่าดิมเป็นพวกเพอร์เฟ็กชั่นนิสอ่อนๆ ถ้าของมันไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้เจ้าตัวก็จะอารมณ์เสีย แต่ก็ไม่ได้มากเสียจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เพราะแบบนั้นเขาเลยกล้าทำ
...กล้าที่จะฉีดน้ำหอมของตัวเองลงไปบนเสื้อผ้าของอีกคน...
เอกชาติเคยเจอเขามาสองสามครั้งแล้ว ถ้ามันได้กลิ่นมันต้องจำได้ น้ำหอมของเขาคือน้ำหอมสั่งผสม เป็นกลิ่นที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เขาคิดสูตรน้ำหอมขึ้นมาเองโดยมีผู้เชี่ยวชาญช่วยปรับแต่งนิดหน่อย มันเป็นกลิ่นเฉพาะของเขาที่หาที่ไหนไม่ได้ เป็นกลิ่นของปราณ บุญสรนพ
กลิ่นของปราณ...กลิ่นของเขาต้องติดตัวเจ้าแมวน้อยไปทุกที ‘มัน’ ต้องสำเหนียกว่าตัวเองกำลังยุ่งอยู่กับใคร ‘มัน’ ต้องรู้ว่าคนที่มันคิดจะมายุ่งด้วยคือคนของใคร
แม้การกระทำของเขาจะดูละลาบละล้วงสิทธิส่วนบุคคลของอีกฝ่ายไปบ้าง แต่จะมาโทษเขาอย่างเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่อเจ้าตัวเลือกจะเก็บงำความลับจนเขาไม่สามารถออกหน้าปกป้องได้ เขาเลยต้องแกล้งไม่รู้อะไรแล้วปกป้องอีกคนลับหลังแทน ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่โทษหรอกว่าการเก็บงำความลับไว้คนเดียวคือความผิดของอีกฝ่าย
เขารู้จักเด็กคนนี้ดีกว่าใคร ดิมเป็นคนแบบนั้น เป็นคนที่ไม่ยอมพูดปัญหาของตัวเองให้ใครฟัง
เก็บเอาไว้แล้วก็พยายามแก้ทุกอย่างด้วยตัวเอง...คนเดียว
เป็นแบบนั้นมาตลอด
...เด็กคนนั้นมีกำแพงแก้วบางๆ กั้นอยู่รอบตัวมาตลอด...
แม้มันจะเป็นเพียงกำแพงแก้วที่บางและใส แต่เขาก็ไม่สามารถผ่านมันเข้าไปได้เลย ทำได้เพียงเฝ้ามองแล้วรอให้อีกคนทำลายมันออกมาเอง
“ลุงนะลุง ผมไม่ได้เตรียมเสื้อตัวอื่นไว้ด้วยเนี่ย”
เสียงบ่นอุบอิบจากหน้ากระจกดึงเขากลับมาจากภวังค์
ใบหน้ามีเสน่ห์นั้นหงิกงอไปหมด ปากก็บ่นงุบงิบพึมพำอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว แม้ใครจะดูว่าเด็กหนุ่มเป็นพวกเรื่องมาก แต่เขากลับมองว่ามันน่ารัก
ชอบก็บอก ไม่ชอบก็บอก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีมารยาท สง่า สุภาพและรู้กาลเทศะ
...เป็นแมวที่น่ารักมากจริงๆ ...
“ก็ฉีดน้ำหอมฉันไปสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย”
แมวน่ะเอาแต่ใจ แต่เจ้าของแมวต้องรู้จักวิธีจัดการ
“นี่มันกลิ่นของลุง ใครดมก็รู้แล้ว”
สิ่งสำคัญคือต้องใจเย็น
“ฉันไม่ได้ออกงานสังคมบ่อยขนาดนั้น พวกเด็กรุ่นใหม่จะมีสักกี่คนที่เคยเจอตัวฉันจริงๆ หรือต่อให้เธอไปเจอคนที่เคยเจอฉัน เขาก็จำกลิ่นไม่ได้อยู่ดี”
เด็กหนุ่มมีสีหน้าลังเลอยู่หน่อยๆ เพราะแบบนั้นเขาเลยต้องช่วยย้ำความมั่นใจ
“ถ้าไม่แน่ใจก็ลองนึกดูว่าเธอจำกลิ่นของวิโรจน์เพื่อนสนิทของฉันได้ไหม เธอเจอเขาตั้งสองครั้ง แล้วเขาก็มีน้ำหอมเป็นของตัวเองเหมือนกับฉันไม่มีผิด”
เขาโกหก น้ำหอมของวิโรจน์เป็นเพียงน้ำหอมมียี่ห้อธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ถ้านั่นทำให้คิ้วที่ขมวดยุ่งค่อยๆ คลายลง มันก็คุ้มค่าที่จะโกหก
“ถ้าเธอจำไม่ได้ แสดงว่าคนอื่นก็จำไม่ได้เหมือนกันนั่นล่ะ”
คนสูงวัยลุกจากเตียงแล้วเดินไปหยิบขวดน้ำหอมของตัวเองมาไว้ในมือ
ดูเด็กน้อยตรงหน้าเขาสิ นัยน์ตากลมคู่นั้นดื้อดึงนักเชียว
“เอามือมาเร็ว”
คนตรงหน้ามีท่าทีอิดออด แต่เขาก็ไม่คิดจะเร่งรัดอะไร
แมวเป็นสัตว์ขี้ลังเล การทำให้เชื่อใจต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
“อย่าฉีดเยอะล่ะ”
ในที่สุดข้อมือขาวก็เลื่อนมาอยู่ตรงหน้าเขา
ออกแรงกดนิ้วลงไปนิดหน่อย น้ำหอมก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว
ออกแรงกดนิ้วไปอีกนิดหน่อย กลิ่นของเขาก็อาบร่างของอีกคนไปทั่ว
ดี ให้กลิ่นของเขาซึมลึกเข้าไปในร่างของอีกคนได้ยิ่งดี
“ลุง”
อีกคนเรียกชื่อเขาขึ้นมาแล้วเงียบไปชั่วครู่
“ผมถูกพนักงานในร้านทำผิดสัญญา”
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไม่ได้ขมวดคิ้วเพราะอีกฝ่ายโดนพนักงานหลอก ไอ้เรื่องนั้นเขารู้ตั้งแต่แอบฟังอีกคนคุยโทรศัพท์กับเพื่อนแล้ว แต่ที่เขาแปลกใจคือทำไม...ทำไมอีกฝ่ายถึงยอมบอกเขา
“พนักงานเขารับคิวลูกค้าโดยไม่ถามผม ทั้งๆ ที่ตอนจ้างก็คุยกันแล้วว่าผมต้องโอเคก่อน ไม่งั้นก็ไม่รับ ถ้าให้เดา เขาคงโดนติดสินบนเลยยอมรับคิวมาโดยไม่ถามผมก่อน คงได้เงินมามากด้วย ไม่งั้นไม่ยอมเสี่ยงให้ตัวเองถูกไล่ออกหรอก”
แปลก...แปลกมากๆ
นัยน์ตาของเขาคงเก็บความฉงนสงสัยเอาไว้ไม่มิด แต่โชคดีที่อีกฝ่ายง่วนอยู่กับการจัดการเสื้อผ้าตัวเองจนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
“คนที่ทำมันเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมเอง ชื่อเอกชาติ แต่ผมกับเดลเรียกมันว่าเอก ตอนเด็กๆ ก็โตมาพร้อมกับผมและเดลนั่นล่ะ แต่มันปากหมา นิสัยก็หมา พอโตขึ้นก็เลยเกลียดขี้หน้ากันไปเลย”
พอพูดจบอีกคนก็นิ่งไปเหมือนกำลังคิดใคร่ครวญบางอย่าง
“จริงๆ ผมโทรไปปรึกษาเดลแล้ว มันก็บอกว่าอย่าไป แต่ผมอยากรู้ว่าไอ้เอกมันเป็นบ้าอะไรถึงได้ทำแบบนี้ ลุงรู้ไหมว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก มันเคยทำแบบนี้มาแล้ว แล้วผมก็ไล่พนักงานรันคิวคนเก่าออก พอจ้างคนใหม่มามันก็ยังทำอีก”
นัยน์ตากลมสบเข้ามาด้วยแววตากึ่งกล้ากึ่งกลัว
“ผมอยากรู้ว่าทำไมมันต้องอยากเจอหน้าผมนัก ผมเลยต้องไปดู ไปหามันให้รู้แล้วรู้รอดกันไป มันนัดผมที่ร้านผมเอง ในห้างคนพลุกพล่านคงไม่เป็นไร”
เด็กหนุ่มพยายามปลอบใจตัวเองพร้อมๆ กับปลอบใจเขาไปด้วย
“มันคงไม่เป็นไร”
“เป็นสิ”
คำพูดของเขาที่สวนขึ้นมาทำให้คนที่พยายามเก็บความกังวลเผลอหลุดแสดงความวิตกออกมาผ่านแววตา
แมวเป็นสัตว์ขี้กังวล ถ้าผิดที่ ผิดกลิ่น มันจะเครียดและตื่นกลัว
เพราะแบบนั้นเขาเลยดึงอีกคนเข้ามากอดเบาๆ
“อยากให้ฉันไปด้วยไหม”
เขาโยนหินถามทาง
...หินก้อนที่สำคัญที่สุดที่จะใช้ตัดสินการกระทำของเขาหลังจากนี้ทั้งหมด...
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร”
คำตอบที่ออกมาหลังจากอีกฝ่ายนิ่งไปชั่วครู่ทำให้ใจของเขากระตุกไปเล็กน้อย
...อดยอมรับไม่ได้ว่ามันผิดหวังอยู่ลึกๆ ...
เมื่อไหร่จะไว้ใจกันเสียที เมื่อไหร่จะยอมรับสักทีว่ามันไม่มีคำว่าเรื่องของเธอหรือเรื่องของฉันอีกแล้ว ตอนนี้มันมีแต่คำว่าเรื่องของเรา
เอาเถอะ ไม่เป็นไร
กำแพงยังไม่ถล่มตอนนี้ก็ยังไม่เป็นไร เขารอได้
ถึงจะยังไม่ถล่มแต่อย่างน้อยมันก็ร้าว สามปีที่ผ่านมามันไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่มีวันได้ยินเรื่องราวพวกนี้ออกจากปากของอีกคนแน่ แม้จะช้า แต่อีกคนก็ยอมให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากขึ้นทุกที
ไม่เป็นไร ยังไม่ได้หัวใจทั้งหมดก็ไม่เป็นไร เขารอได้
...สำหรับแมวดื้อ แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว...
“โอเค ถ้าอย่างงั้นต้องดูแลตัวเองด้วยรู้ไหม”
“รู้น่า ผมพกสเปรย์พริกไทยไปแล้วเนี่ย”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่ายทำให้เขาต้องยิ้มตาม
“งั้นไปกินข้าวกัน จะได้ออกไปทันนัด”
เขาก้มหอมแก้มอีกฝ่ายฟอดใหญ่
“จำไว้ว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น โทรหาฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ”
“ครับ”
แค่คำรับปากนี้ก็พอแล้ว
แค่นี้เขาก็อุ่นใจแล้วว่าอีกคนจะนึกถึงเขาเป็นคนแรกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“งั้นผมออกไปก่อนนะลุง ออกจากห้องแล้วอย่าลืมล็อกประตูด้วยนะ”
“แล้วคืนนี้จะค้างที่ไหน”
นัยน์ตากลมปรายมองมาที่เขาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปง่วนกับการเลือกรองเท้าต่อ
“ที่ร้านลุงสิ”
เขากระตุกยิ้มบางทันทีที่ได้ยิน
เจ้าเหมียวกลับเข้าสู่สภาวะอารมณ์ปกติแล้ว
“โอเค แล้วเจอกัน”
“แล้วเจอกันครับ”
คนตัวเตี้ยกว่าเขย่งเท้าขึ้นเพื่อประทับรอยจูบตรงแก้มเขาเบาๆ ก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินออกจากห้องไป
ดูไปชีวิตของพวกเขาก็เหมือนกับคู่แต่งงานอยู่เหมือนกัน
หลังจากอีกฝ่ายออกไป ตอนนี้ในห้องก็เหลือเพียงเขา แสงแดดอุ่นๆ ที่ส่องลอดประตูเลื่อนกระจกเข้ามาจากทางระเบียงกับกองจานที่กองระเกะระกะอยู่ในอ่างล้างจานรอให้เขาไปจัดการ
ไม่สิ ยังมีอีกเรื่องที่เขาต้องจัดการ
ใบหน้าคมสันประดับด้วยรอยยิ้มเย็นในขณะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหู หลังจากรออยู่ไม่ถึงอึดใจ ปลายสายก็มีการตอบรับ
[ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับคุณปราณ ผมส่งคนไปเฝ้าทั้งที่ลานจอดรถ ที่ร้าน และจุดอื่นๆ ที่คาดว่าคุณดิมจะเดินผ่านเพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาดครับ]
“ดี”
นั่นคือสิ่งที่เขาอยากได้ยิน สมแล้วที่เป็นคนที่ทำงานด้วยกันมานาน
“แล้วไอ้เอกชาติมันมารึยัง”
[ยังครับ]
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยิน
แปลก...ค่อนข้างน่าแปลกสำหรับพวกมีแผนในใจ มันไม่คิดจะไปเตรียมการก่อนรึยังไง
[แต่ที่น่าแปลกคือผมเห็นนายวิทย์ครับ วิทยา สินศรีจำรูญ แฟนเก่าของคุณดิมน่ะครับ]
เพียงแค่ได้ยินชื่ออีกฝ่ายมือใหญ่เผลอบีบอุปกรณ์เครื่องเล็กในมือโดยไม่รู้ตัว
“มันอยู่ไหน”
[ป้วนเปี้ยนอยู่หน้าร้านคุณดิมครับ]
ดวงตาคมฉายแววคุกรุ่น
เอกชาติไม่มาแต่ดันเจออีกคนแทน สำคัญคือดิมบอกว่าเอกชาติน่าจะติดสินบนพนักงาน...
...อ๋อ อย่างนี้นี่เอง...
“ก้องภพ”
หลังจากนิ่งคิดไปพักใหญ่ เขาก็เรียกชื่อเลขาตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบกว่าเคย
...โชคดีที่อีกฝ่ายหัวไวพอที่จะไม่ทำให้เขาหงุดหงิดเพิ่ม...
[ทราบแล้วครับ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมจะเผื่อแผนไว้ทั้งสองด้าน ถ้ามันเป็นแผนของเอกชาติจริงๆ คุณดิมจะได้ไม่เสี่ยง แต่ถ้านี่เป็นแผนของวิทยา ผมจะเป็นคนกันเขาออกจากคุณดิมเอง]
“ดี”
เขาพูดแค่นั้นก่อนจะกดตัดสายอย่างรวดเร็ว ที่ต้องรีบเพราะเขาไม่อยากให้ลูกน้องมารับรู้อารมณ์ของเขามากเกินควร
เขาหงุดหงิด หงุดหงิดจนแทบบ้า
มือหนาบีบอุปกรณ์สื่อสารในมือแน่นเสียจนแทบแหลก ในใจเขาร้อนรุ่มราวกับถูกเพลิงสุม
ทำไมต้องเป็นไอ้วิทย์ ทำไม ทำไมกัน
ในตอนแรกที่รู้ว่าเด็กหนุ่มจะออกไปพบเอกชาติ เขาก็แอบเตรียมการอารักขาอีกคนอย่างลับๆ ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะแบบนั้นตอนที่อีกฝ่ายมาบอกความจริงมันเลยไม่น่าตื่นตระหนกอะไร
เขารู้ว่าเขาควบคุมสถานการณ์ได้
เขารู้ดีว่าเขาจะจัดการทุกอย่างได้ แค่เอกชาติ คนอย่างมันไม่คณามือเขาเลยสักนิด แต่ถ้าต้นเหตุของปัญหาเปลี่ยนจากเอกชาติเป็นวิทยา...เขาไม่แน่ใจ
ลำพังปกป้องทางกายมันง่ายแสนง่าย แต่จิตใจล่ะ...
ดิมยังรักวิทย์อยู่ไหม เขาเองก็ไม่กล้าฟันธงอะไร ในเมื่อตลอดสามปีที่ผ่านมาเด็กหนุ่มไม่เคยได้เจอแฟนเก่าของตัวเองเลย ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ไม่เคยโผล่มาให้ดิมได้เห็นเลยสักครั้งเดียว
แล้วเขาจะแน่ใจได้ยังไง เขาจะรู้ได้ยังไงว่าดิมจะไม่หวั่นไหว ในเมื่อเด็กหนุ่มเคยรักอีกฝ่ายมาก...มากเสียจนยอมผ่าตัดมดลูกเพื่อสร้างครอบครัวด้วยกัน
...เขาจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะสู้มันได้...
นัยน์ตาคมปรายมองไปยังตู้เอกสารของอีกฝ่ายก่อนจะถือวิสาสะรื้อค้นโดยพลการ เพียงไม่นานสมุดเล่มบางสีสันสดใสก็มาอยู่ในมือเขาอีกครั้ง
...อีกครั้ง...
เขาหยุดอ่านหน้าปกที่เขียนด้วยตัวอักษรสบายตาว่า ‘บันทึกสุขภาพสำหรับผู้ผ่าตัดปลูกถ่ายมดลูก’ อยู่อึดใจก่อนจะเปิดด้านในไปทีละหน้า
ทีละหน้า – ทีละหน้า จนกระทั่งถึงตรงกลางเล่ม
ใบหน้าคมสันก็พลันกระตุกยิ้มเมื่อเห็นสิ่งที่เขียนว่า ‘ตารางบอกรอบเดือนและวันไข่ตกประจำเดือน’
วันไข่ตกของเจ้าของสมุดเล่มนี้คือเมื่อวาน...คือวันที่เขา ‘จงใจเมา’
ก็ยอมรับว่าเขาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ใจจริงใช่ว่าอยากเร่งรัดอีกฝ่ายด้วยวิธีนี้นักหรอก แต่เขาเองก็รอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ไอ้เขามันก็อายุปูนนี้แล้ว แถมยังอยู่ในวงการที่แสนอันตรายนี้อีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ อย่างน้อยก่อนตายก็อยากมีโอกาสชีวิตอย่างที่หวังมาตลอดก่อน
...อยากมีครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาก่อนจะตายจากกันไป...
อาจจะดูเห็นแก่ตัวและแย่จนน่าประณามแต่เขาก็ยอม ถ้าการกระทำแย่ๆ นี้มันจะทำให้เขาได้ดิมและลูกมาอยู่ด้วยกันได้ เขายอม
ถ้าวิธีนี้จะทำให้เด็กคนนั้นไม่หนีเขาไปไหน...เขายอม
มือใหญ่พับหนังสือเล่มน้อยเก็บเข้าที่ตามเดิมเพื่อไม่ให้อีกคนสงสัย ก่อนจะเปิดโทรศัพท์มือถือในมือเพื่อบันทึกสิ่งที่ต้องทำลงในปฏิทินในอีกสิบวันให้หลัง
ปกติแล้วการตรวจตั้งครรภ์จะสามารถตรวจได้หลังจากไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้วสิบสี่วัน ถ้าในกรณีผู้หญิงทั่วไปคงสามารถตรวจได้ด้วยที่ตรวจครรภ์ตามท้องตลาด แต่ในเพศชายทุกอย่างมันซับซ้อนกว่านั้น
ช่องทางมดลูกที่ปลูกถ่ายมาจะเชื่อมต่อกับทวารหนักต่างจากผู้หญิงที่เชื่อมต่อกับช่องคลอดโดยตรง รังไข่และการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงก็มีน้อยกว่าในผู้หญิงทั่วไป ในเมื่อระดับฮอร์โมนไม่เหมือนเพศหญิง จะให้เขาไปซื้อที่ตรวจครรภ์ของเพศหญิงมาตรวจก็น่ากลัวว่าจะได้ผลไม่แม่นยำ งั้นสิ่งที่เขาควรทำก็คงจะเป็น...
นัยน์ตาคมหรี่ลงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
...เขาต้องคิดวิธีหลอกล่อเจ้าแมวไปหาหมอ...
ต้องทำยังไงให้อีกฝ่ายยอมเจาะเลือดตรวจโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
ต้องทำยังไงให้อีกฝ่ายไม่ตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นแม่คน
มีแต่เรื่องให้ต้องคิดต้องวางแผนมากมายเสียจนเขาอดคิดไม่ได้ว่า การเป็นเจ้าของแมวที่ต้องดูใจดีตลอดเวลานี่มันก็...เหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
***********************************************************************
***********************************************************************
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ