✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่12
เสียงฝีเท้าเหยียบลงบนพื้นจนเกิดเสียงก้องกังวานในระยะใกล้ส่งผลให้สติที่ดับวูบค่อยๆ กลับเข้าร่างทีละนิด ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์สีน้ำตาลปรือขึ้นโดยไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวซึ่งอาจสร้างพิรุจ ภาพแรกยามดวงตาลืมขึ้นคือพื้นคอนกรีดและกลิ่นของเหล็กลอยอยู่รอบๆ
มือทั้งสองข้างถูกจับมัดไพร่หลังไว้กับเสาเหล็กด้านหลังอย่างแน่นหนาในสภาพนั่งทรุดอยู่บนพื้นซึ่งด้านข้างมีน้ำนองอยู่เช่นเดียวกับปากที่ภายในถูกผ้าขึงมัดไว้ให้สามารถเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือได้
ความทรงจำก่อนหน้านี้ทยอยปรากฏขึ้นคล้ายกับจะหาถึงสาเหตุของการมาอยู่ตรงนี้...
จำได้ว่าผมและฮาเซลกลับจากการร่วมประชุม MG เมื่อหลายวันก่อนพร้อมกับข่าวอันน่าตกใจที่มากส์กับแซมถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล สภาพร่างกายของทั้งคู่อาจปลอดภัยรอดพ้นจากความตายมาได้ทว่ากลับต้องรักษาตัวอยู่หลายวันถึงจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้
ฮาเซลเองดูร้อนรนรีบถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และคำตอบพวกนั้นไม่เพียงแค่ทำให้ผมนิ่งไปแต่ฮาเซลถึงกับแผ่รังสีความโกรธปนโมโหออกมาเต็มห้องจนบอดี้การ์ดคนอื่นถอยหนีกับไปรวมอยู่มุมห้อง คงจำเหตุการณ์ตอนฮาเซลเกือบถูกเล็งยิงด้วยปืนไรเฟิ้ลได้สินะ จากการสอบสวนและสอบปากคำอย่างยาวนานในที่สุดหมอนั่นก็ยอมเปิดปากเรื่องสถานที่แห่งหนึ่งขึ้นมา พวกมากส์เลยพาบอดี้การ์ดเข้าไปตรวจสอบก่อนจะพบว่านั่นเป็นกับดังที่ไม่รู้ว่าวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนไหน ทั้งคู่ถูกอีกฝ่ายที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นใครละดมยิงจนต้องรีบถอยออกมา
แม้จะถอยออกมาได้ทางฝ่ายนั้นก็กัดไม่ปล่อยคว้างระเบิดมือมายังรถจนพุ่งตกทะเล โชคยังดีที่ทั้งคู่สามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมจึงได้มานอนพักอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้
ผมรู้ถึงชะตาของตัวการณ์ให้ข้อมูลเลยว่าต้องเจอกับจุดจบแบบไหน ฮาเซลอาจเหมือนคนกวนประสาทไม่สนใจใครแต่เมื่อลูกน้องคนสนิทโดนแบบนี้เข้าคงไม่อยู่เฉย
ไม่รู้ว่าฮาเซลคิดจะทำอะไร ที่แน่ๆ คือเขาออกไปคุยอะไรสักอย่างกับใครบางคนที่ดูแล้วคนไม่ใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน หลายวันต่อมาผมซึ่งได้รับหน้าที่จากแซมและมากส์ให้ดูแลฮาเซลอย่างใกล้ชิดก็เดินตามอีกฝ่ายเข้ามายังโรงพยาบาลเหมือนเช่นทุกวัน และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นขณะผมเผลอเพียงเสี้ยววินาทีตอนมีรถเข็นฉุกเฉินวิ่งตรงมาตามทาง ความเจ็บแปล๊บบริเวณศีรษะแล่นเข้ามาก่อนสติก็ดับวูบไปอย่างรวดเร็ว
พอตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่ซะแล้ว
ผมบังคับลมหายใจตัวเองให้ช้าลงเหมือนตอนหมดสติเพื่อไม่ให้ฝ่ายศัตรูจับได้ว่าผมมีสติกลับมาแล้ว เสียงฝีเท้าโดยรอบดังก้องอยู่ในหัวพร้อมพร้อมกับเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์
จำนวนมีเยอะ...ไม่ใช่เยอะธรรมดาแต่เป็นเยอะมาก
ฟังดูแล้วก็หลายสิบคู่ มีทั้งเดิน ทั้งวิ่งหรือแม้แต่นั่งใช่เท้าเคาะกับตู้คอนเทนเนอร์
อย่าบอกนะว่าคือแหล่งกบดานน่ะ
งานเข้าของแท้!
เดี๋ยวก่อนสิ มีบางอย่างที่ต้องหาคำตอบให้เจอก่อนจะตัดสินใจต่อว่าจะทำยังไง ทำไมถึงจับตัวผมมาแถมยังแบบมีลมหายใจ ถ้าเป็นผมหลังทำให้สลบคงปลิดชีวิตอีกฝ่ายทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาหาเชือกมามัด ความจริงคือควรฆ่าซะแต่แรกไม่ใช่มาเก็บไว้แบบนี้
นั่นแปลว่าต้องมีอะไรบางอย่าง
สาเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายละชีวิตผมไว้
แต่มันคืออะไรล่ะ
รอบกายมีแสงไฟส่องสว่างเป็นจุดๆ หมายความว่าตอนนี้อยู่ในช่วงกลางคืน ฮาเซลตอนนี้คงรู้แล้วว่าผมหายไป
เอาเถอะ
ตอนนี้ต้องคิดถึงสถานการณ์ตรงหน้าก่อน ในเมื่อหาเหตุผลของการไว้ชีวิตไม่เจอก็เหลือแค่ทางเดียวคือถามเอาจากปากศัตรูตรงๆ
“อึก...” ผมแกล้งสะดุ้งตัวพร้อมส่งเสียงออกไปเบาๆ ไม่กี่วิต่อมาใบหน้าก็เงยขึ้นสอดส่องสายตาไปรอบๆ ด้วยอาการแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก
นี่เป็นโอกาสให้ผมได้สังเกตสถานที่แห่งนี้มากขึ้น ไล่ตั้งแต่ด้านข้างทั้งสองฝากเต็มไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์เรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง สามชั้นบ้าง โดยแต่ละตู้คอนเทนเนอร์ผมเห็นแสงสว่างที่ลอดมาจากด้านในหมายถึงพวกนี้ใช้ตู้คอนเทนเนอร์เป็นที่อยู่ มองดูรอบๆ ได้ราวสองครั้งในสมองทำการวิเคราะห์และประมวลอย่างรวดเร็วจนได้คำตอบว่าที่นี่คือโกดังขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ติดทะเลเนื่องจากพอเอี้ยหูฟังแล้วได้ยินเสียงคลื่น
บุคคลหลายสิบชีวิตมีรูปร่างแตกต่างกันไปตั้งแต่บอบบางไปจนถึงกำยำ ส่วนมากจะรูปร่างกลางๆ ซะมากกว่า ไม่ใช่รูปร่างที่ทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นแต่เป็นกล่องลังไม้ด้านข้างหลายสิบลังต่างหาก ฝาของลังไม้กล่องหนึ่งถูกเลื่อนออกจนเห็นอาวุธปืนถูกวางอยู่ภายใน และอาวุธปืนคงไม่ใช่เพียงอย่างเดียว ที่อยู่ในลังนั่น
นี่มันเป็นคลังอาวุธชัดๆ คิดจะก่อการร้ายระดับไหนกันถึงได้ต้องตุนอาวุธไว้มากขนาดนี้
“โอ๊ะ เหมือนคนที่จับมาจะฟื้นแล้วนะเหว่ย” น้ำเสียงร่าเริงกับใบหน้านวลของหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมดังขึ้นพลางกวักมือเรียกใครบางคน
“อย่าเสียงดังไปเปอร์” ชายชื่อเหว่ยเดินมาจากในมุมมืด รูปร่างสูงสมส่วนกับใบหน้าคมนั่นดูคล้ายพวกมหาเศรษฐีของประเทศไหนสักที่
“พวกคุณเป็นใคร” ผมเอ่ยถามออกไปตามตรงในขณะใช้สายตาจับจ้องไปยังอีกฝ่ายเพื่อสังเกตทุกการเคลื่อนไหว
“เรื่องนั้นบอกไม่ได้” คนชื่อเหว่ยตอบ
“...จับผมมาทำไม” เมื่อคำถามแรกใช้ไม่ได้เลยยิงอีกคำถาม
ผมต้องการข้อมูลมากกว่านี้ ดังนั้นจึงควรหาเรื่องพูดคุยต่อเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่ม
“ลูกน้องของฮาเซลนี่โง่ขนาดนี้เลยเหรอ” ถ้อยคำสบประมาทจากชายหนุ่มในวัยเดียวกันอาจทำให้หลุดความหงุดหงิดออกไปได้ง่ายๆ ทว่าผมควบคุมตัวเองให้อยู่อย่างสงบนิ่งไม่ไปต่อปากต่อคำ
“ถึงจะเป็นลูกน้องแต่เพิ่งมาอยู่ได้ 6 เดือนเองนี่” ประโยคนั่นทำให้คิ้วผมเริ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
การเคลื่อนไหวของฮาเซลถูกจับตามองอยู่ตลอดตั้งแต่ก่อนผมจะเข้ามาเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ด
ไม่อยากเชื่อว่าจะสามารถจับตาดูได้โดยไม่มีใครรู้สึกตัวแม้แต่ผมที่ค่อนข้างมั่นใจเรื่องประสาทสัมผัสของตัวอยู่พอสมควรยังไม่เอะใจเลยว่าถูกจับตามองมาตลอด 6 เดือนแบบนี้
ไม่สิ ใจเย็นก่อน
การจะจับตาดูโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวไม่ใช่สิ่งยากขนาดนั้น การจับตามองในระยะใกล้มีความเสี่ยงสูงในการถูกจับได้ดังนั้นถ้าต้องการเพิ่มความปลอดภัยก็แค่เว้นระยะให้ห่างขึ้น แปลว่าถึงภาพรวมจะถูกจับตาแต่ก็ไม่มีข้อมูลชัดเจนอย่างเรื่องบทสนทนา
เรื่องที่ผมเป็นนักฆ่าเองคงยังไม่ถูกเปิดเผยเพราะผมค่อนข้างมั่นใจว่าทุกครั้งก่อนจะทำอะไรสังเกตรอบด้านอยู่เสมอ อีกอย่างคนธรรมดาไม่มีทางจับตามองการเคลื่อนไหวในระยะไกลได้...เมื่อนำข้อมูลมารวมกันทุกอย่างก็เริ่มปะติดปะต่อ...คนกลุ่มนี้เป็นนักฆ่าเหมือนผมไม่ก็ต้องเป็นสายลับ
“...พวกคุณเป็นนักฆ่า?” ผมพูดเสียงเบาหวิวพร้อมแกล้งทำดวงตาให้สั่นระริกคล้ายหวาดกลัว การจะหลอกหาข้อมูลจะทำได้ง่ายสุดต่อเมื่อทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า เพียงทำเป็นหวาดกลัวเดี๋ยวข้อมูลอะไรๆ ก็จะปรากฏขึ้นมาเอง
“โอ้...เริ่มฉลาดแล้วนี่”
ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อได้รับคำตอบ
ว่าแล้วเชียว หากเป็นอาชีพเดียวกันคงไม่ง่ายในการจับสัมผัส
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก ในเมื่อยังไม่มีคำสั่งให้กำจัดนายพวกเราก็ไม่คิดจะให้มือเปื้อนเลือดหรอก” คนชื่อเปอร์อธิบายด้วยรอยยิ้มยามเห็นร่างกายผมเริ่มสั่นน้อยๆ
นักฆ่าส่วนมากก็เป็นแบบนี้ ถึงจะมีฝีมือในการฆ่าแต่พวกเราก็ไม่ได้อยากนองเลือดใครโดยไม่จำเป็น หากพบกันในรูปแบบอื่นผมอาจจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับอีกฝ่ายก็เป็นได้
“คำสั่งนั่นมาจากคนที่จ้องเล่นงานฮาเซลอยู่ในช่วงนี้สินะ” ผมลองหยอดเผื่ออีกฝ่ายจะเปิดปากกว่านี้
อยากรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร
ใครกันที่จ้องเล่นงานฮาเซลอยู่
“เดาได้ดี พวกนายคงกำลังตามสืบอยู่สินะแต่เสียใจด้วยที่ต่อให้สืบไปอีก 10 ชาติก็คงไม่เจอคำตอบ”
“หมายถึงอะไร” จะบอกว่าไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นตัวการงั้นเหรอ
“คุณเหว่ย เจ้านายติดต่อมาบอกว่ากำลังจะมาที่นี่!” เสียงตะโกนของชายบนตู้คอนเทนเนอร์ด้านข้างสร้างความสนใจให้กับทุกคนโดยรอบ
“มาด้วยตัวเอง?”
“ใช่ อีกเดี๋ยวคงถึง พวกเราต้องเตรียมทำอาหารไหม?” ไม่รู้ว่าเป็นการเล่นตลกหรือจริงจังแต่ถ้าจริงจังคงเป็นภาพที่น่าดูไม่น้อย กลุ่มนักฆ่าหลายสิบคนนั่งหั่นผัก ทอดปลาเตรียมจัดโต๊ะสำหรับมื้ออาหาร
ถึงไม่ต้องถามต่อผมก็ปักใจเชื่อทันทีว่าพวกนี้เป็นกลุ่มนักฆ่าไม่ใช่เพียงแค่คนหรือสองคน และยิ่งแน่ใจมากขึ้นเมื่อเห็นทักษะการเคลื่อนไหวของชายด้านหน้าที่ใช้เท้ากระโดดม่วนตัวขึ้นไปยังด้านบนของตู้คอนเทนเนอร์ก่อนจะตบหัวคนเอ่ยถึงการทำอาหารก่อนหน้านี้จนหัวทิ่ม
“มีเวลามาทำอาหารที่ไหนเล่า!”
“ผมแค่พูดเล่นเอง”
“นายน่ะดูหายกลัวแล้วนี่ ปรับตัวได้เร็วดี” เหว่ยพูดระหว่างมองสำรวจผมตั้งแต่ใบหน้า
แย่ล่ะดันทำตัวนิ่งเร็วเกินไป หวังว่าจะไม่ถูกจับได้นะ
“...ขอบคุณ”
“ฉันจะบอกอะไรให้สักอย่างนะ พวกเราเป็นกลุ่มนักฆ่ารับจ้างซึ่งทำงานในเงามืดหากมีใครเห็นตัวจริงของเราก็ไม่อาจไว้ชีวิตได้” ความหมายคือต่อให้ผู้ว่างจ้างบอกให้ปล่อยผมก็อาจทำทีเป็นปล่อยก่อนจะตามเก็บในอีกไม่กี่ก้าวสินะ
เรื่องนี้ผมเข้าใจดี
สำหรับนักฆ่าการถูกล่วงรู้ใบหน้าก็เปรียบเหมือนการพ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ต้องสู้ ดังนั้นการทำงานทุกครั้งจึงต้องทำการปกปิดตัวเองไม่ว่าจะกับผู้ว่าจ้างหรือฝ่ายศัตรูก็ตาม
“งั้นทำไมถึงไม่ปกปิดไว้ล่ะ” ผมถามกลับ ถ้าเป็นแบบนั้นควรแต่งหน้าปกปิดไม่ใช่โชว์หน้าหลาทั้งที่ผู้ว่าจ้างกำลังมา
คงไม่บอกนะว่าเสร็จงานก็จะฆ่าผู้ว่าจ้างด้วยน่ะ
“กับคนคนนั้นไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร” น้ำเสียงแสดงถึงความจงรักภักดีจนผมได้แต่ทำหน้านิ่งอย่างไม่เข้าใจ
อะไรที่ทำให้อีกฝ่ายเชื่อใจได้ขนาดนั้นกัน
ผ่านไปหลายสิบนาทีประตูด้านหน้าโกดังก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่และกำยำของชายคนหนึ่งเดินเข้ามา เหล่านักฆ่ารับจ้างหลายสิบคนพากันก้มหัวให้ตลอดทางจนอีกฝ่ายมาหยุดอยู่ตรงหน้า แสงไฟด้านข้างช่วยให้ผมเห็นใบหน้าคมเข้มที่ดูเลยวัยหนุ่มไปค่อนข้างเยอะได้อย่างชัดเจน และเมื่อได้เห็นใบหน้านั่นเต็มตาขนทั้งร่างต่างพากันลุกตั้งชันด้วยความตกตะลึง
ไม่อยากเชื่อว่าจะได้เห็นใบหน้านั่นอีกครั้ง ไม่สิ ต้องบอกว่าทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่?!
คิง จามาน่า ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในคานทั้งสามต้นของประเทศนี้ก่อนหน้าฮาเซล กอนซาเลสจะขึ้นครองตำแหน่ง ว่าง่ายๆ คือชายคนนี้คือบุคคลระสูงผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงมืดอย่างค้าแรงงานตั้งแต่ระดับหัวกะทิไปจนถึงแรงงานระดับต่ำ เพียงค้าแรงงานคงไม่ทำให้ขึ้นไปอยู่บนคานมหาอำนาจได้ง่ายๆ แต่เพราะลูกน้องของเขาต่างเป็นนักฆ่าฝีมือเยี่ยมหาใครต่อกร
ช่วงที่คิง จามาน่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลอยู่คือก่อนหน้านี้ประมาณ 7 ปี มีข่าวลือออกมาว่าหนึ่งในสามคานหลักของประเทศถูกลอบสังหารซึ่งแทบไม่มีใครเชื่อข่าวลือนั่นเนื่องจากรู้กันดีถึงพรรคพวกนักฆ่าฝีมือเยี่ยม นักฆ่าธรรมดาไม่มีทางเทียบฝีมือของพวกเขาได้ แต่แล้วหลังจากข่าวนั่นถูกปล่อยออกมาคิง จามาน่าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุหรือเรื่องราวใดๆ
รู้เพียงว่าอยู่ๆ ก็หายไป
และไม่กี่วันต่อมาฮาเซล กอนซาเลสได้ถูกยกให้เป็นหนึ่งในคานมหาอำนาจทั้งสามของประเทศ แต่แล้ว 7 ปีผ่านไปชายผู้หายสาบสูญกลับมายืนอยู่ตรงหน้าผมโดยรวมกลุ่มนักฆ่ามืออาชีพหมายจะจัดการฮาเซล เรื่องนี้มันเป็นยังไงกันแน่เนี่ย
“ทำหน้าแบบนั้นคงรู้สินะว่าฉันเป็นใคร” น้ำเสียงแหบกร้านดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือแข็งๆ ที่เชยคางผมขึ้นไปด้านบนจนสามารถสบสายตากับอีกฝ่ายได้ ดวงตาสีควันบุหรี่กับบริเวณหัวที่ไร้เส้นผมนั่นเป็นคิง จามาน่าตัวจริง
“...คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักคุณ” ผมบอกไปตามตรง
“หึ ตอบได้ดี ไอ้ฮาเซลคงปลื้มแกน่าดูเลยสิเพิ่งเข้าใหม่ดันได้ติดตามใกล้ชิดขนาดนั้น”
“...” ผมเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป ยังไงประโยคนั่นก็ไม่ใช่ประโยคคำถามอยู่แล้ว
“เหว่ย ใครจะเป็นคนทำตามแผนที่ฉันให้ไป” คิง จามาน่าปล่อยมือจากคางผมก่อนจะหันไปถามคนด้านข้าง
“เปอร์ครับ ด้วยรูปร่างที่คล้ายกันประกอบกับทักษะ ความสามารถของเขาจะทำให้ภารกิจประสบความสำเร็จแน่นอนครับ” เหว่ยตอบเจ้านายแล้วดันร่างเปอร์ให้มาอยู่ตรงหน้า
“จับมันยืนขึ้น” คิง จามาน่าชี้มายังผม ชายสองคนที่อยู่ไม่ไกลรีบเข้ามากระชากร่างผมให้รีบลุกขึ้นจนข้อมือที่ถูกจับไพร่หลังเสียดสีไปกับราวเหล็กจนต้องข่มความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
“โอ๊ย!...” แม้จะข่มความเจ็บปวดได้แต่ผมเลือกส่งเสียงร้องออกไปให้ดูเป็นธรรมชาติ ศีรษะผมโครงเครงเล็กน้อยซบเข้ากับไหล่ชายคนด้านขวา ชายคนนั้นออกแรงผลักหัวผมออกในจังหวะเดียวกับของชิ้นเล็กตกใส่มือพอดิบพอดี ในมือผมไม่มีอะไรมากนอกจากเส้นผมเส้นเรียวเล็กของตัวเอง
อาจดูเหมือนของไร้ประโยชน์แต่เชื่อไหมว่าผมสามารถหลุดจากการมัดนี้ได้โดยใช้เส้นผมเพียงเส้นเดียวจัดการเชือกที่มัดอยู่ได้
“อืม รูปร่าง ส่วนสูงเหมือนกันแป๊ะ ผิวเองก็สีเดียวกัน...ถ้าปลอมตัวสักหน่อยคงแยกไม่ออกว่าใครเป็นตัวจริง” คำพูดจากคิง จามาน่าดูพอใจกับการมองร่างผมกับชายหนุ่มชื่อเปอร์สลับกันไปมา
“เรื่องการปลอมตัวผมมั่นใจว่าไม่มีใครเทียบ รับรองว่าจะไม่ทำให้หัวหน้าผิดหวังครับ” เปอร์พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“เหรอ แต่ฉันว่ามีคนที่เก่งกว่านะ...ยมทูตแห่งความตาย” ทั้งโกดังตกอยู่ในความเงียบหลังจากชื่อยมทูตแห่งความตายถูกเอ่ยออกมาแม้แต่ตัวผมยังเผลอเกร็งร่างขึ้นโดยอัตโนมัติ
ยมทูตแห่งความตาย
ฉายาของผมเอง
ที่มาของฉายาก็ตรงตามชื่อ ทุกงานที่ได้รับมอบหมาย ทุกภารกิจที่ต้องการให้ทำ ทุกการปลอบตัวที่ไม่มีสามารถแยกหรือจดจำได้ อีกอย่างคืออัตราความสำเร็จของภาระกิจ 100 เปอร์เซ็น ไม่มีงานไหนที่ผมพลาด ทุกอย่างทำโดยคนเพียงคนเดียวไม่มีพรรคพวกหรือคนสนับสนุน
ถือมีดราวกับเคียว เก็บเกี่ยวชีวิตของอีกฝ่ายราวกับผู้มาปลดเปลื้องกายหยาบด้วยภาพลักษณ์อันทรงเสน่ห์เย้ายวนทั้งชายและหญิง
นั่นจึงเป็นที่มาของฉายายมทูตแห่งความนี้
ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งแต่ผมว่ามันก็เหมาะดี
ถ้าเจอก็อยากจะขอบคุณคนตั้งฉายานี่ให้สักหน่อย
“เรื่องของยมทูตแห่งความตายพวกเราเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน” เหว่ยเอ่ยหลังจากนิ่งเงียบมาสักพัก
“ฉันเองอยากจะได้เจ้านั่นมาร่วมด้วยแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่มีการตอบรับภารกิจทางเมล” คนฟังอย่างผมเบิกตากว้างเมื่อนึกได้ว่าตลอดการมาเป็นบอดี้การ์ดให้ฮาเซลนั้นทำให้ไม่ได้เปิดดูเมลเลยสักครั้ง
เรียกว่าลืมก็ไม่ผิดซะทีเดียว
แต่ใครจะคิดละว่ามีงานมาจากคิง จามาน่า ถึงเปิดเมลดูความเป็นไปได้ที่จะรู้ว่าผู้ว่าจ้างเป็นใครก็แทบเป็นศูนย์ยกเว้นเมลจากคิง จามาน่าซึ่งจะมีตัวอักษรเป็นเหมือนสัญลักษณ์พิเศษที่ในหมู่นักฆ่าต่างรู้จักกันดี
“ไม่แน่ว่าอาจตายไปแล้ว” เหว่ยเสนอความเห็นที่ทำเอาผมแสดงสีหน้าตึงๆ ออกไปก่อนจะรีบเปลี่ยนกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“หึ ก็ไม่รู้สิแต่ถ้าตายง่ายๆ แบบนั้นฉันก็ไม่ต้องการ” คิง จามาน่าพูด
ผมเองก็ไม่คิดจะรับงานง่ายๆ หรอกนะ
“ครับ เพราะงั้นเจ้านายเชื่อใจพวกเราได้เลย เปอร์ถูกฝึกมาอย่างดีรับรองว่าต้องลอบสังหารฮาเซลสำเร็จแน่” ผมหรี่ตามองร่างของเปอร์ที่อยู่ตรงหน้าก่อนสำรวจ ไม่ว่าจะเป็นส่วนสูง รูปร่าง สีผิวก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอกคือคล้ายผมมากถ้าเพิ่มทักษะในการปลอมตัวเข้าไปคงเหมือนจนแยกไม่ออก
“ฝึกมาดีก็ใช่ แต่ปัญหาคือคนที่ต้องสวมรอยเป็นผู้มาใหม่ที่แทบไม่มีข้อมูล ไม่รู้ว่าเป็นคนขององค์กรไหนถึงสามารถปกปิดตัวตนได้แต่ในสถานการณ์นี้คงรู้นะว่าถ้าไม่ทำตามจะเกิดอะไร” พูดจบเท้าหนักๆ ก็ตรงเข้ายังหน้าท้องผม
“อุ๊ก!...” ความเจ็บแล่นเข้าสู่หัวพร้อมร่างกายที่แทบจะทรุดลงพื้นถ้าไม่ยันกายไว้
“ยอมทำตามดีๆ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว...หรือว่าชอบความเจ็บปวดล่ะ” ไม่พูดเปล่าคิง จามาน่าดึงเส้นผมสีดำของผมขึ้นแรงจนเหมือนหนังหัวจะหลุด
ดีนะที่ช่วงนี้ผมเลือกที่จะไม่ใช้วิก ขืนใส่วิกแล้วถูกดึงขนาดนี้ความคงแตกกันพอดี
“...ต้องการอะไร” ผมถามด้วยใบหน้าเจ็บปวด
“ข้อมูลของตัวแก ทุกอย่าง ไม่ว่าจะคำที่ใช้เรียกไอ้ฮาเซล นิสัยหรือแม้แต่ของกินที่ชอบ คายออกมาให้หมดซะ” มือหยาบยังคงดึงเส้นผมสีดำขึ้นก่อนจะออกแรงกระแทกหัวผมกับเสาด้านหลัง
“อึก...เข้าใจแล้ว ผมจะบอก”
“อ้อ...ถ้าคิดจะโกหกเตรียมตัวตายได้เลย เหว่ยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาแค่การโกหกดูออกแน่” อีกฝ่ายขู่อีกรอบ มือหยาบถูกเปลี่ยนจากเส้นผมสีดำมาบีบคางแรงๆ ทีนึงก่อนปล่อยผมให้เป็นอิสระ
“โอ๊ย!” ผมร้องออกมาเบาๆ
“เหว่ย จัดการเรื่องนี้แล้วรายงานผลมา”
“ครับเจ้านาย”
“แกด้วย จำไว้ว่าต่อให้ตายก็ต้องแทงไอ้ฮาเซลให้ได้สักแผล” สั่งการเหว่ยเสร็จก็หันไปพูดกับเปอร์ต่อ
คิง จามาน่าคุยกับพวกเหว่ยต่ออีกไม่กี่ประโยคเสียงโทรศัพท์ดังแทรกพร้อมกับร่างของผู้คุ้มกันเดินมาจาด้านนอก เจ้านายอย่างคิง จามาน่าหันไปมองผู้มาใหม่สักพักพร้อมพยักหน้าเดินออกจากโกดังไป จากนั้นชายชื่อเปอร์หันหลังเดินจากไปก่อนจะกลับมาในอีกไม่กี่นาทีต่อมาพร้อมกล่องอุปกรณ์ปลอมตัวและแต่งหน้า
“เอาล่ะ นั่งดีๆ ให้ฉันมองหน้านายตรงๆ” คอนแทคเลนส์สีน้ำตาลออกเข้มถูกหยิบออกมาจากกล่องคอนแทคเลนส์ที่ดูแล้วน่าจะมีอยู่หลายสิบสี
ของครบเลยนี่
ผมเองมีคอนแทกเลนส์อยู่ทุกสีเช่นเดียวกัน สีตาไม่ใช่มีเพียงสีฟ้า น้ำตาล เขียว ทองหรือดำแต่ยังมีโทนสีที่ต่างกันไปอย่างน้ำตาลมีทั้งน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้ม การจะปลอมตัวให้เหมือนจึงต้องใช้มีอุปกรณ์ครบครัน ดวงตาของเปอร์จริงๆเป็นสีเทาอ่อนพอสวมคอนแทคเลนส์สีน้ำตาลเข้าไปทำให้ดูเปลี่ยนไปพอสมควรเช่นเดียวกับสีผมที่ถูกทำให้เป็นสีดำสนิท
ด้วยอายุใกล้ๆ กันทำให้การปลอมตัวกินเวลาไม่มาก ไม่กี่นาทีแฝดคนละฝาก็ถือกำเนิดขึ้น จากการมองตั้งแต่สีผมไล่ลงมาจนถึงต้นคอทุกส่วนถูกแต่งเสริมให้เหมือนกับใบหน้าผมแบบเป๊ะๆ
นี่ถ้าไม่โดนมัดผมคงชูนิ้วโป้งชมอีกฝ่ายไปแล้ว
“ได้เวลาบอกข้อมูลแล้ว เหว่ย” เปอร์หันไปกวักมือเรียกเหว่ยให้มานั่งใกล้ๆ คอยสังเกตอาการผิดปกติของผม
“อย่าคิดโกหกเชียว ไม่งั้นนิ้วนายอาจหายไปได้ง่ายๆ” คำขู่นั่นไม่ได้น่ากลัวแต่ผมก็แกล้งตัวสั่นเล็กๆ
“...เข้าใจแล้ว”
“เริ่มจากนายชื่ออะไร” ดูจากคำถามแรกอีกฝ่ายคงไม่มีข้อมูลของผมเลยสักอย่างนอกจากมาทำงานเป็นบอดี้การ์ดของฮาเซลเมื่อ 6 เดือนก่อน
แบบนี้สิน่าสนุก
“เทเลอร์” ผมตอบไปด้วยท่าทางสบายๆ
“ฮาเซลเรียกนายว่าไง แล้วนายเรียกเขาว่าไง” อีกสองคำถามตามมาติดๆ
“ฮาเซลเรียกผมว่าเรย์ ส่วนผมเรียกว่าคุณฮาเซล” คำโกหกจังๆ ถูกเอ่ยออกไปอย่างแนบเนียนราวกับกำลังพูดเรื่องจริง
การจับสังเกตหรือศาสตร์จิตวิทยาเป็นสิ่งที่น่ากลัว ทว่าพวกเขาพลาดตั้งแต่ให้ผมรู้แล้วว่าจะมีคนคอยจับผิด ยิ่งรู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญยิ่งง่ายต่อการโกหกหรือหลบเลี่ยง
ผมรู้เรื่องการจับโกหกดี ไม่เพียงดูจังหวะการเต้นหรือการบีบของหัวใจอย่างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์แต่ยังสามารถดูการกระพริบของตาที่จะต่างไปหากมีการพูดโกหก แล้วยังมีจังหวะการหายใจ...คนเวลาโกหกมักจะหายใจเร็วกว่าปกติอีกทั้งอาจมีการพูดติดอ่าง ซึ่งพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ถึงจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถทำได้ทว่าเหว่ยเป็นผู้เชี่ยวชาญแปลว่ามีมากกว่านั้น...
ถ้าให้เดาว่าเป็นอะไรคงเป็นดวงตา...ไม่ใช่การกระพริบตาแต่เป็นการเคลื่อนไหวของสายตา สัญชาตญาณของมนุษย์เวลาทำผิดมักหลบสายตาไปด้านขวาทว่ามีหลายคนที่ไม่ใช่จึงต้องอาศัยการสังเกตทุกการเคลื่อนไหวถึงจะบอกได้ว่าโกหกหรือพูดจริง
สำหรับผมแค่ตอบด้วยท่าทีเหมือนเดิมก็ไม่มีปัญหา
“บอกนิสัยของนายมา” เปอร์ถามต่อ คำตอบทุกอย่างถูกจดลงในสมุดบันทึกอย่างละเอียด
“ผมเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยชอบพูดกับใครเท่าไหร่นอกจากเวลาที่คุณฮาเซลถามและเขาเป็นคนเดียวที่ผมมักส่งยิ้มให้”
“แปลว่าคุยกับฮาเซลมากสุด”
“อืม...มีแค่คุณฮาเซลที่ผมจะตอบทุกคำถาม”
“ปกติฮาเซลคุยอะไรกับนาย”
“เอ่อ...เรื่องนั้น...” ผมแสร้งทำเป็นหลบหน้าด้วยใบหน้าแดงๆ
“อย่าคิดโกหกไม่งั้นนิ้วขาดแน่” เหว่ยที่อยู่ไม่ไกลควักมีดออกมาเตรียมจัดการหากผมไม่พูด
“ขะ เข้าใจแล้ว คือปกติผมจะเข้าไปคุยกับคุณฮาเซลในห้องนอน...ตอนกลางคืน” ผมเอ่ยประโยคหลังสุดด้วยเสียงเบาหวิวคล้ายไม่อยากตอบ
ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมทั้งเหว่ยและเปอร์ต่างรู้ดีถึงความหมายของประโยค พูดคุยในห้องตอนกลางคืน ความหมายของมันคือผมกับฮาเซลเป็นอะไรที่มากกว่าบอดี้การ์ดปกติ
“...หน้าตาแบบนายจะเป็นที่สนใจของฮาเซลคงไม่แปลกใจเท่าไหร่” นิ่งไปไม่นานเปอร์ก็พูดต่อ
“อย่าบอกนะว่าที่ได้อยู่ข้างกายฮาเซลเพราะเรื่องนี้” เหว่ยถามบ้าง
“...” ผมไม่ตอบแต่ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์สั่นน้อยๆ แทนคำโกหกที่ถูกส่งไป
“หึ เหมือนฉันจะได้คำตอบแล้ว”
“นิสัยอย่างอื่นล่ะ”
“ผมเป็นคนขี้หนาวเลยไม่ค่อยชอบเปิดแอร์เย็น เวลาอยู่กับคุณฮาเซลผมมักจะเดินไปปรับแอร์ให้อุ่นขึ้น” ก็ไม่ได้โกหกไปซะทั้งหมดนะ ผมขี้หนาวจริงนะเออแค่ชอบเปิดแอร์ให้ห้องมันเย็นๆ แค่นั้นเอง
“กิจวัตรประจำวันล่ะ” เปอร์ยังคงถามต่อ
“ติดตามท่านฮาเซลทุกที่ บางวันผมจะได้รับเวลาพักก็จะอยู่แค่ในห้องตัวเอง”
“อาหารหรือขนมที่ชอบล่ะ”
“ผมไม่ชอบของหวาน คุณฮาเซลเองก็ไม่ชอบพวกเราเลยมักดื่มกาแฟด้วยกับตอนเช้า...อาหารที่ผมชอบคืออาหารจีน” ซะทีไหน ผมไม่ชอบอาหารจีนเพราะมีน้ำมันเยอะ
การโกหกรอบนี้ไม่ธรรมดา...ผมยังแปลกใจเลยที่ตัวเองกล้าพูดว่าไม่ชอบของหวาน ยังไงผมต้องให้ข้อมูลปลอมๆ เพื่อให้ฮาเซลรู้ว่านั่นไม่ใช่ผมตัวจริง เรื่องยากคือต่อจากนี้ไป หลังจากฮาเซลรู้แล้วผมจะบอกที่อยู่ยังไงดี จริงอยู่ที่ผมพอจำกัดบริเวณได้ว่าอยู่ตรงไหนแต่การจะบอกฮาเซลโดยผ่านศัตรูไม่ใช่เรื่องง่าย
“มีอะไรที่นายต้องทำเป็นประจำบ้างไหม พวกนิสัยติดตัวน่ะ” พอเปอร์ถามมาผมก็นึกวิธีในการสื่อสารกับฮาเซลขึ้นมาได้
“มีสิ...ผมน่ะ...” การถามตอบยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คำถามของเปอร์ผมถือว่าครอบคลุมและมากพอในการจะปลอมเป็นใครสักคนไม่ว่าจะเป็นการถามถึงห้องที่ผมอาศัยหรือลักษณะการแต่งตัว เรียกว่าเป็นคนมีฝีมือคนหนึ่งเลย
แต่แค่มีฝีมือคงจัดการฮาเซลไม่ได้หรอก ขนาดผมยังพ่ายแพ้มาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
ไม่มีทางที่นักฆ่าอย่างเปอร์จะทำอะไรฮาเซลได้
ที่เหลือก็แค่รอ...
รอให้ฮาเซลรู้ถึงข้อความและจัดการกับเรื่องยุ่งยากนี่
ผมมั่นใจว่าฮาเซลจะรู้ว่านั่นคือตัวปลอมจากเซ้นส์ที่ผมเกลียดแสนเกลียดนั่น
ลองไม่รู้ผมจะตามไปจัดการถึงภพหน้าเลยฮาเซล กอนซาเลส!
หากเรื่องครั้งนี้จบลง...งานของผมคงจะจบลงเช่นเดียวกัน น่าแปลกที่กลับไม่ค่อยรู้สึกดีใจเลยเมื่อคิดถึงเรื่องราวยามกลับไปอยู่คนเดียวแม้ในความจริงผมจะชินกับการอยู่คนเดียวมานับสิบปีแล้วก็ตาม
...................................................
สวัสดีค่า
ตอนนี้บอกเลยว่าแต่งค่อนข้างยากสำหรับเราเนื่องจากปกติจะชินกับการให้เรย์โต้ตอบกับฮสเซลซะมากกว่า พอในตอนนี้ไม่มีฮาเซลเลยค่อนข้างสั้นไปนิดนึง
ถึงเรย์จะเก่งแต่ก็อย่างว่าไม่ว่าจะเก่งหรือมีฝีมือแค่ไหนก็ต้องมีช่วงที่เผลอหรือไม่ระวังตัวบ้าง
ฉากเรย์ถูกจับตัวนี่เป็นหนึ่งในฉากในวางไว้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่คิดจะแต่งเรื่องนี้เลย
ตอนหน้าจะเป็นพาทของฮาเซล มารอลุ้นไปด้วยกันว่าคนที่ปลอมตัวแฝงเข้าไปเป็นเรย์จะสามารถสังหารฮาเซลได้ไหม หรือฮาเซลจะรู้ตัวก่อน และช่วยเรย์ได้อย่างไร
คงต้องให้รอลุ้นกันอาทิตย์หน้า
ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์ที่ติดตามเสมอนะคะ
ไว้เจอกันใหม่
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪