Chapter 2“ว่าแต่นายชื่ออะไร...เอ๊ะ เอ่อ...พี่ลืมไปว่านายพูดไม่ได้” เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนๆให้กับร่างสูง
“หนูเขียนหนังสือได้ไหมจ๊ะ” เค้าพยักหน้า ก็ยังดีที่ยังเขียนหนังสือออกแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย
หนึ่งสยามหยิบกระดาษและปากกาให้อีกฝ่าย เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาเขียนชื่อตัวเองลงไปในกระดาษ แล้วยื่นให้หนึ่งสยาม ตัวอักษรที่เรียบเรียงอยู่ในกระดาษเป็นชื่อของเด็กคนนี้สินะ
‘Mike Zhou’“ไมค์โจว? ชื่อของนายเหรอ” คนตัวเล็กพยักหน้า
“แปลกจริง คนอะไรชื่อไมค์โจว” หนึ่งสยามเดินเข้าไปขยี้ผมอีกคน
“นี่ตาหนึ่งไปทำเรื่องรับเด็กคนนี้เป็นบุตรบุญธรรมแม่หน่อยสิ อ๋อ...แล้วก็ให้เค้าตามสืบหาญาติของเด็กคนนี้ด้วยนะ เพื่อนแกเป็นตำรวจเยอะเลยนี่หน่า”
“ครับแม่ แม่แน่ใจนะที่จะรับเค้าเป็นบุตรบุญธรรมน่ะ”
“แม่แน่ใจ เมื่อกี้แม่ก็โทรเล่าให้พ่อฟังทั้งหมดแล้ว พ่อก็โอเคนะ อ๋อ..จริงสิ แม่ต้องกลับไปเฝ้าตาสองแล้วล่ะ หนูไมค์อยู่กับพี่หนึ่งไปก่อนนะลูก” ไมค์พยักหน้ายิ้มๆให้คุณหญิง
“ฉันอยากรู้ประวัติของนาย นายช่วยเขียนให้ฉันอ่านได้ไหม”
ไมค์พยักหน้ารับก่อนจะหยิบกระดาษอีกแผ่นมาเขียนยุกยิกๆอยู่นานพอสมควร ประวัติที่หนึ่งสยามต้องการทราบถูกเรียบเรียงเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเต็มสองหน้ากระดาษ อะไรกัน...เด็กที่ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้อง แถมยังเป็นใบ้แบบนี้ไปเรียนภาษาอังกฤษมาจากไหน คำศัพท์หรือไวยากรณ์ที่เขียนลงถูกต้องตามหลักการทุกอย่าง ทำเอาคนที่เรียนจบปริญญาโทอย่างหนึ่งสยามยังอาย มันน่าแปลกใจจริงๆ
“นายเขียนภาษาไทยไม่ได้เหรอ” เค้าส่ายหัวแทนคำตอบ โอเคเด็กคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เค้าเป็นใบ้ ฟังภาษาไทยออก เขียนไทยไม่ได้...แต่ภาษาอังกฤษจะเก่งไปไหนเหมือนเป็นเจ้าของภาษาเองยังไงอย่างนั้นเลย
เรื่องราวทั้งหมดในกระดาษที่หนึ่งสยามกำลังอ่านเริ่มต้นขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว พ่อแม่ของเด็กไมค์คนนี้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตทั้งคู่ ไมค์เป็นเด็กลูกครึ่งไทยไต้หวัน พ่อเป็นคนไต้หวันส่วนแม่เป็นคนไทย หลังจากที่พ่อกับแม่เสียชีวิตลงก็ถูกน้องชายพ่อฮุบมรดกและสมบัติทั้งหมดในทันที ผู้เป็นอาหลอกล่อว่าจะพาไมค์มาส่งให้พี่สาวของแม่ที่ประเทศไทย และแล้วเค้าก็ถูกทิ้งไว้ที่สนามบินคนเดียว ทั้งเป็นใบ้ทั้งสื่อสารภาษาไทยไม่ได้ เงินติดตัวก็มีน้อยนิดจึงทำให้เด็กหนุ่มเร่ร่อนไปเรื่อยๆ
จนในที่สุดไมค์ก็ได้มาทำงานเป็นเด็กล้างจานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเจ้าของร้านเป็นคุณป้าใจดีที่พบไมค์ตอนที่เค้านอนอยู่ข้างถนน เธอพาเค้าไปมาทำงานที่ร้านแลกกับเงินเดือนเล็กๆน้อย อาหารสามมื้อและที่พักอาศัยซึ่งเป็นห้องเล็กๆธรรมดาห้องหนึ่ง ไม่มีเตียงไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลยสักอย่างต่างกับที่ไมค์เคยอยู่เหลือเกิน ไมค์เป็นลูกคนเดียวเค้าเคยสบายมาก่อน พอมาเจอเรื่องลำบากแบบนี้ก็พยายามปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ฟังภาษาไทยไม่ออกก็พยายามที่จะฟังและเรียนรู้จากลูกค้าบ้าง เด็กเสิร์ฟในร้านบ้าง
สามปีที่อยู่อย่างลำบากทำให้ไมค์สู้ชีวิตถึงแม้เค้าจะพูดไม่ได้แต่เค้าก็พยายามที่จะอยู่ให้ได้ ไมค์เหมือนกับแรงงานคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้าประเทศยังไงอย่างนั้น ไม่กล้าไปไหนมาไหนใกล้จากร้านอาหารที่ทำอยู่ ป้าเจ้าของร้านบอกว่าเดี๋ยวตำรวจจะจับไป หลังจากนั้นไม่นานป้าเจ้าของร้านก็ล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ลูกสาวของเธอก็เลยมาดูแลร้านแทน และวันที่เกิดอุบัติเหตุนั้นไมค์โดนลูกสาวเจ้าของร้านไล่ออก แต่เค้าไม่ยอมออก เธอเลยสั่งให้ลูกน้องเป็นชายฉกรรย์สามคนมาหิ้วปีกไมค์ออกจากร้าน เค้าถูกผลักไปกลางถนนพอดีกับที่รถที่แล่นมาด้วยความเร็วสูง ตอนนั้นไมค์คิดว่าเค้าจะตายเสียแล้วจากนั้นสติไมค์ก็ดับวูบด้วยความตกใจ เหตุการณ์หลังจากนั้นไมค์ก็ไม่รู้อะไรอีก
“เป็นแบบนี้นี่เอง...ชีวิตนายช่างน่าสงสารซะจริงๆ เดี๋ยวฉัน...เอ่อ..พี่จะให้เพื่อนที่เป็นตำรวจตามหาญาติที่ไต้หวันให้นะ ช่วงนี้ก็อยู่กับพี่ไปก่อน” ไมค์ยิ้มรับกอดจะโผเข้ากอดร่างสูง
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่ต้องกลัวอะไรอีก พี่จะดูแลนายเอง” หนึ่งสยามยิ้มให้กับการกระทำของอีกคนก่อนจะลูบหัวปลอบ
“ว่าแต่เราอายุเท่าไหร่แล้ว จำได้ไหม” ไมค์ชูนิ้วชี้ขึ้นหนึ่งนิ้วแล้วมืออีกข้างนึงเค้าก็กำมือเป็นกำปั้นขึ้น
“สิบขวบ!!!?” เค้าก็ส่ายหัวแล้วยิ้มๆ ก่อนจะชูนิ้วขึ้นมาอีกแปดนิ้ว
“อ๋อ...สิบแปดเองเหรอเนี่ย หึหึ สงสัยต้องเป็นน้องเล็กของบ้านแล้วล่ะ พี่ชื่อหนึ่งสยามเรียกพี่หนึ่งก็ได้ครับตอนนี้ใกล้จะสามสิบแล้ว ส่วนเอ่อ...คนที่ขับรถเฉียวไมค์น่ะเค้าชื่อสองเมืองอายุยี่สิบห้าเป็นพี่คนรอง อีกคนชื่อสามภพอายุยี่สิบปี และคนที่สี่เด็กชายไมค์ อายุสิบแปด” ร่างสูงจิ้มหน้าผากอีกคนเบาๆก่อนจะหัวเราะ
เด็กคนนี้ยิ่งมองยิ่งหน้าเอ็นดูซะจริงๆ แลดูไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรด้วย คุณหญิงหยกมณีก็ชอบใจ ส่วนตัวหนึ่งสยามเองก็เอ็นดูไมค์เหมือนน้องชายอีกคนจริงๆ หวังว่าเจ้าสองเมืองกับสามภพคงจะยอมรับเด็กคนนี้ด้วยนะ
ปัง!!!!
“หนึ่ง! พี่หนึ่งแม่ให้มาตามไปดูพี่สอง พี่สองอาระวาดใหญ่แล้ว เร็วๆเข้า”
อยู่ดีๆสามภพก็เปิดประตูเข้ามาดึงแขนพี่ชายตัวเองแล้วลากไปยังห้องวีไอพีอีกห้องซึ่งเป็นห้องของสองเมืองนั้นเอง พอเปิดประตูเข้าไปหนึ่งสยามก็ต้องตกใจเมื่อวานเจ้าสองเมืองน้องชายของเค้ากำลังดิ้นและโวยวายเสียงดังลั่น ทั้งหมอนและแจกันกระจัดกระจายไปทั่วห้อง คุณหญิงหยกมณีได้แต่ยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้น และก็มีหมอกับพยาบาลกำลังช่วยกันจับตัวสองเมืองที่กำลังดิ้นไปมาอยู่บนเตียงผู้ป่วย ในที่สุดสองเมืองก็โดนหมอฉีดยาสลบและกลับไปนอนสงบนิ่งเหมือนเดิม
“เกิดอะไรขึ้นครับแม่ ทำไมเจ้าสองเป็นแบบนั้น”
“ฮึก...นะ...น้องแก...มองไม่เห็น”
“ว่าไงนะครับ!” สองเมืองฟื้นทำให้เค้ารู้สึกดีใจแต่เรื่องที่ได้ยินจากปากมารดาก็ทำหนึ่งสยามสลดลงไปอีก
“พี่สองตาบอด...หมอบอกว่าเศษกระจกชิ้นเล็กๆมันเข้าตาพี่สองแล้วทำให้ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงก็เลย...เอ่อ..มองไม่เห็น” ร่างของคุณหญิงหยกมณีทรุดลง สามภพผู้ที่อยู่ใกล้มารดาก็รีบเข้าไปประคองไว้แล้วพามารดาไปนั่งพักที่โซฟา
“มีทางแก้ไขไหมครับคุณหมอ” หนึ่งสยามหันไปถามหมอที่กำลังตรวจเช็คร่างกายของสองเมืองอยู่
“มีครับ...ต้องมีผู้บริจาคกระจกตาให้เค้าน่ะครับ ทางเราได้จัดให้คุณสองเมืองเป็นคิวแรกในการได้รับบริจาคแล้วครับ แต่ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะมีผู้มาบริจาค”
“แล้วมีส่วนอื่นเป็นอะไรอีกไหมครับ”
“ไม่ครับ มีแค่หัวแตกกับตาเท่านั้นแหละครับ นอกนั้นน้องชายคุณไม่ได้เป็นอะไร หมอเช็คดูแล้ว”
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ....แล้วน้องชายผมจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ครับ”
“อืม..พรุ่งนี้ก็ออกได้แล้วครับ เพราะเค้าไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ถ้ามีอะไรก็โทรเรียกหมอได้เลยนะครับ หมอรับเค้าเป็นคนไข้พิเศษแล้ว”
“ขอบคุณมากๆเลยครับคุณหมอ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หมอขอตัวนะครับ”
เรื่องที่สองเมืองตาบอดหนึ่งสยามได้โทรรายงานท่านปิ่นฤดีเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งผู้เป็นบิดาก็ได้แต่หัวเราะแล้วบอกเป็นเวรเป็นกรรมของสองเมืองเอง ส่วนสามภพก็โทรบอกเพื่อนๆของพี่ชายตัวเองเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เพื่อนรักของสองเมืองตกใจอยู่ไม่น้อย
คุณหญิงหยกมณีได้บอกกับสามภพว่าเธอจะรับเลี้ยงเด็กที่สองเมืองขับรถเฉียว สามภพเองก็ไม่ได้ขัดศรัทธาผู้เป็นแม่ แต่ก็ยังแอบไม่พอใจในการตัดสินใจของคุณหญิงอยู่เหมือนกัน ตลอดมาเค้าเป็นน้อวเล็กของบ้านเป็นที่รักของทุกคน ตอนนี้จะมีคนแย่งตำแหน่งไปแล้วหรือเนี่ย แถมเจ้าเด็กนั้นยังหน้าตาน่ารักอีก ป้าๆแม่บ้านที่ทำงานอยู่บ้านใหญ่ต้องเห่อมันแน่ๆ สามภพคิดแล้วมันช่างทำให้หงุดหงิดใจยิ่งนัก
พอรุ่งเช้าหนึ่งสยามก็ไปทำเรื่องบุตรบุญธรรมให้แก่มารดาตัวเอง ส่วนคุณหญิงหยกมณีก็กลับบ้านใหญ่ไปจัดการห้องหับให้กับลูกชายบุญธรรมของตัวเอง ปล่อยให้สามภพอยู่กับสองเมืองสองคนเพราะวันนี้สามภพไม่มีเรียนจึงได้รับหน้าที่เฝ้าพี่ชาย
“โธ่เว้ย! มึงรู้ไหมไอ้สาม พอกูตื่นขึ้นมาโลกทั้งใบกูก็เป็นสีดำไปหมด เซ็งจริงๆเลยเว้ย!” พอตื่นขึ้นมาได้สักพักสองเมืองก็เริ่มโวยวายกับน้องตัวเองต่อ
“เอาหน้าพี่...หมอบอกยังไงพี่ก็เป็นคิวแรกนะที่จะได้รับบริจาคกระจกตา” สามภพพยายามพูดปลอบใจพี่ชายตัวเอง
“แล้วเมื่อไหร่วะ! แม่งเอ้ย....ป่านนี้ไอ้เฟร็ดเดอริกมันคงหัวเราะเยาะก็แล้วมั้ง”
เพราะเฟร็ดเดอริกคนเดียวที่ทำให้เค้าต้องตาบอด ถ้ามันไม่ท้าทายให้เค้าแข่งรถกับมันละก็ป่านนี้ก็คงไม่มานั่งเซ็งแบบนี้หรอก ตาบอดมองไม่เห็นแบบนี้จะไปทำอะไรได้ จะออกไปสู้หน้าเพื่อนๆได้ยังไง ยิ่งเป็นไอ้เฟร็ดเดอริกแล้วล่ะก็ มันคงจะหัวเราะเยาะเค้าแน่ๆ เจ็บใจชะมัด ทำไมเค้าต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ด้วยนะ
“เออพี่สอง จำคนที่พี่เกือบขับรถชนได้ไหม...”
“เออสัส ไอ้บ้านั้นก็อีกคนที่เป็นสาเหตุทำให้กูตาบอด!”
“เด็กนั้นน่ะ...แม่รับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมนะ”
“มึงว่าไงนะ!!!!!!!!!”
“ใจเย็นก่อนพี่...ก็เด็กนั้นโดนไล่ออกจากร้านอาหารที่ทำงานประจำอยู่ แถมยังไม่มีญาติที่ไหนอีก แม่สงสารเลยรับมาเลี้ยง”
“เหอะ! แม่ทำแบบนี้ได้ยังไง มันเป็นคนทำให้กูตาบอดนะเว้ย เลี้ยงงูเห่าไว้ในบ้านจริงๆ”
“ผมก็ไม่ชอบมันเหมือนกัน...แม่งใช้หน้าตาเป็นอาวุธอ้อนผู้ใหญ่ซะจริงๆ”
ครั้งแรกที่สามภพเห็นเจ้าเด็กไมค์ยอมรับเลยว่าเด็กคนนี้หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมากๆ แต่เจ้าเด็กนั้นก็ไม่ได้ทำให้เค้าใจอ่อนได้หรอก อย่ามาใช้สายตาออดอ้อนนั้นกับคนอย่างสามภพ บอกเลยไม่หลงกลเด็ดขาด ถึงจะน่าสงสารแต่ก็น่าหมั่นไส้ในคราเดียวกัน บังอาจมาแย่งตำแหน่งลูกชายคนเล็กของบ้านได้ยังไงกัน
“หน้าตามันเป็นยังไงวะ…”
“หน้าตาอัปลักษณ์สุดๆเลยว่ะพี่ หึหึ”
“อะไรกัน...เบื่อลูกชายหน้าตาหล่อเหลาจนต้องหาลูกหน้าตาขี้เหล่มาแทนแล้วเหรอ บ้าไปแล้วแน่ๆ”
ตอนนี้ในสมองของสองเมืองเต็มไปเด็กคนที่แม่ของเค้ารับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ไอ้สามภพบอกว่าหน้าตาอัปลักษณ์สินะ หึหึ ไม่เจียมตัวเอาซะเลยที่จะมาเป็นลูกชายคนที่สี่ของตระกูลหงษ์วิไลเลิศสกุล ในขณะที่คิดอะไรเพลินๆเพื่อนรักของสองเมืองก็เข้ามาเยี่ยมพอดี
“เหี้ยสอง มึงตาบอดเหรอวะ ฮ่าๆๆๆๆ” คนแรกที่ทักทายเค้าก็คือฮ่องเต้
“สัส หยุดพูดตอกย้ำกูสักทีเถอะ” สองเมืองล้มตัวนอนลงบนเตียงผู้ป่วย
“เดี๋ยวก็มีคนมาบริจาคเองแหละหน่า....” มิน เพื่อนอีกคนเอ่อยปลอบก่อนจะเดินตบบ่าร่างสูงที่นอนหน้ามุ่ยอยู่บนเตียง
“เดี๋ยวร้านพวกกูดูแลให้ เงินเดือนเดือนหน้าไม่ต้องเอานะสอง มึงกลับมาทำงานค่อยมารับโบนัสกับเงินเดือนทีเดียว ฮ่าๆๆๆๆ” ฮ่องเต้ยังคงพูดติดตลกอยู่เสมอ ไม่เห็นรึไงว่าสองเมืองเครียดจะตายกับเรื่องที่ตัวเองตาบอด
“เรื่องนี้ไอ้เฟร็ดมันรู้ยัง”
“ยัง..ไอ้นั้นมันก็รถคว่ำเหมือนกันกับมึง ได้ยินข่าวมา” มิน หนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อติดหวานเอ่ยขึ้น
“หึ” สองเมืองแค่นหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินข่าวของเฟร็ดเดอริกคู่อริของเค้า
“เออ ถ้าพวกไอ้เฟร็ดมันถามหามึง เดี๋ยวกูบอกมึงไปเรียนต่อโทที่เมืองนอกแล้วกัน ช่วงนี้มึงก็อยู่บ้านรักษาตัวให้ดีรอผ่าตัดตา พอมองเห็นได้อีกครั้งมึงก็ไปเยาะเย้ยมันต่อดิ” ฮ่องเต้หนุ่มหน้าคมหล่อเหลาแนะนำเพื่อนในทางที่ผิดอีกแล้ว มินเห็นดังนั้นเลยกระทุ้งศอกเข้าที่ท้องฮ่องเต้อย่างแรง
“โอ๊ยย เชี่ยมิน!”
“เลิกยุยงส่งเสริมให้เพื่อนมึงทำไม่ดีเถอะว่ะ”
ระหว่างที่สามคนเพื่อนพ้องคุยกันออกรสออกชาด สามภพก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นแม่ว่าให้ไปดูแลเด็กไมค์ที่อยู่ห้องถัดไปจากห้องสองเมือง ตอนแรกสามภพก็ไม่ยอมไปหรอกนะแต่โดนคุณหญิงหยกมณีขึ้นเสียงใส่เลยต้องจำยอมไป
แอ๊ดดด...
สามภพเปิดประตูเข้าห้องวีไอพีที่อยู่ถัดจากห้องสองเมืองก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอย่างถือวิสาสะ คนตัวเล็กกำลังหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ร่างสูงเดินไปหยุดที่ข้างเตียงผู้ป่วยก่อนจะยืนมองคนหลับอย่างลืมตัว ยิ่งมองยิ่งน่าเอ็นดูจริงๆด้วย หน้าตาน่ารักแบบนี้เสียงจะเป็นยังไงนะถ้าเจ้าเด็กคนนี้มันพูดได้ หึหึ เป็นใบ้น่ะดีแล้วเวลาสามภพแกล้งอะไรจะได้ไม่มีเสียงไว้ฟ้องคุณหญิงหยกมณีกับพี่หนึ่งสยามของเค้า
“นี่...ไอ้เปี๊ยกตื่นได้แล้ว” ร่างสูงเขย่าแขนคนที่หลับอยู่ ไมค์ตัวน้อยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมองร่างสูงก่อนจะเด้งตัวขึ้นนั่งแล้วยกมือไหว้ แหม..มีมารยาทซะด้วย
“มึงไปอ้อนแม่กู ให้แม่กูรับมึงไปเลี้ยงใช่ไหมห่ะ”
ไมค์ส่ายหัวแทนคำตอบ
“กูไม่ชอบมึง มึงมาแย่งตำแหน่งน้องเล็กของบ้านไป อย่าหวังเลยว่าจะอยู่ในบ้านอย่างมีความสุข”
คนตัวเล็กได้แต่แสดงสีหน้าหงอยๆใส่ร่างสูง อย่าคิดนะหน้าตาแบบนั้นจะทำให้สามภพใจอ่อนง่ายๆ ไม่มีทางซะหรอก แล้วก็ดวงตาโตๆใสๆนั้นไม่ต้องออดอ้อนขนาดนั้นก็ได้ ยังไงก็ไม่มีทางญาติดีด้วยหรอก ไม่มีทาง...ไม่มีทาง...
“มะ...มึง! มึงหิวรึเปล่าห่ะไอ้เปี๊ยก!!” แล้วทำไมสามภพถึงต้องขึ้นเสียงใส่ไมค์ตัวน้อย ในขณะที่เป็นประโยคคำถามแท้ๆ ไมค์ไม่เข้าใจ
คนตัวเล็กพยักหน้าเบาๆและยกนิ้วชี้ไปทางโซฟาที่มีกล่องข้าวอยู่แถมด้วยสายตาออดอ้อนเหมือนเดิม สามภพจึงเดินไปหยิบข้าวกล่องมาให้คนป่วยที่อยู่บนเตียง แต่เดี๋ยวสิ...ทำไมสามภพต้องทำตามที่มันบอกด้วยนะ เหมือนตัวเค้าถูกสะกดจิตยังไงอย่างนั้นเลย นี่เค้าแพ้สายตาออดอ้อนของเจ้าเด็กนี่เหรอเนี่ย
“กูไม่ได้เป็นห่วงมึงหรอกนะ แม่สั่งมาเท่านั้นแหละโว้ย!!!”
และแล้วสามภพก็เดินปึงปังออกจากห้องคนตัวเล็กไป ตอนนี้คงต้องยอมรับเลยว่าสายตาออดอ้อนกับหน้าตาน่ารักแบบนั้นสามารถควบคุมทุกคนได้จริงๆ ขนาดสามภพเป็นคนใจแข็งแล้วเชียวไหงกลับโดนสะกดจิตได้ล่ะ เอาล่ะ...การแกล้งคนตัวเล็กเค้าคงทำไม่ได้แน่ๆถ้าเจอสายตาแบบนั้น สงสัยงานนี้ต้องยกให้เป็นงานของสองเมืองแล้วล่ะ
ก็พี่สองเมืองตาบอด...คงไม่หลงกลสายตาออดอ้อนของเด็กคนนั้นหรอก
TBC.