บทที่๒๑
“ข้าคิดว่าพรุ่งนี้ต้องมาใหม่เสียแล้ว”
เพราะว่าเมื่อคืนนี้กว่าจะได้นอนก็เหนื่อยมากๆ แล้ว วันรุ่งขึ้นซูฮวาก็เลยไม่ตื่น หยางจินต้องส่งคนมาบอกที่กองทัพว่าจะเข้างานช้าหน่อย จินเยว่ที่ตั้งใจว่าจะมาหาซูฮวาก็เลยต้องนั่งรออย่างว่างงานอยู่ในห้องรับรองโดยมีถังเฟยให้การต้อนรับอย่างใกล้ชิด
ตอนที่ซูฮวาเดินเข้ามากับหยางจินซูฮวาเห็นเต็มสองลูกตาว่าจินเยว่กำลังนั่งพิงไหล่ของถังเฟยอยู่!
ร่างบางเบิกตากว้าง แอบดีดลูกคิดรางแก้วในใจถึงความเป็นไปได้ที่ทั้งสองคนจะเป็นคู่รักกัน
คิดไปคิดมาก็ต้องแอบมองหน้าของหานชินอ๋องผู้เป็นพระเชษฐาของเทียนชินอ๋องคนงาม
ความจริงแล้วจินเยว่ก็เป็นบุรุษที่งดงามมาก แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยันต่อโลกใบนี้ คงเพราะถูกปฏิบัติอย่างไม่ไยดีมาตั้งแต่เล็กนิสัยก็เลยไม่ค่อยอ่อนโยนเท่าไร ดูสิ พอเห็นหน้าข้าจินเยว่เพื่อนรักก็เดินเอาพัดมาเคาะหัวข้าแล้ว
“เจ้ามัวแต่นอนก้นโด่งอยู่ล่ะสิ!”
ข้ายอมรับว่าข้ามัวแต่นอนก้นโด่ง ท่านพี่ของเจ้าก็เลยมาทำงานสาย แต่สาเหตุที่ทำให้ข้านอนก้นโด่งก็คือพี่ของเจ้านั่นแหละ! ดูข้าสิ ขนาดทายาไปแล้วยังเดินขัดๆ อยู่เลย
คนงามเบะปากงอแง เจ้าเอาแต่ใจได้ข้าก็เอาแต่ใจได้เหมือนกัน
“วันนี้ข้าเดินไปรอบๆ ไม่ไหวแล้ว” ความจริงหยางจินจะให้ซูฮวาลาหยุดด้วยซ้ำ แต่ร่างบางกลัวจินเยว่จะโกรธก็เลยฝืนสังขารมาด้วย
“เจ้าจะปล่อยให้ข้ามานั่งเหงือกแห้งรอเจ้าทั้งวันเปล่าๆ น่ะหรือ!” จินเยว่กอดอกเชิดหน้าขึ้นอย่างวางมาด
“ก็เพราะพี่ของเจ้า... ไม่รู้ล่ะ วันนี้ข้าเดินเยอะๆ ไม่ได้”
ทั้งสองคนจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ถังเฟยที่นั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่ถอนหายใจก่อนจะเดินเข้ามากระทุ้งกล้ามท้องของท่านแม่ทัพใหญ่ เพื่อให้ชายหนุ่มเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยการทะเลาะกันของลูกแมวน้อยทั้งสองที แต่ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่กลับทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องเข้าไปห้าม
“คนหนึ่งก็เมีย คนหนึ่งก็น้อง ผู้ที่จะห้ามศึกนี้ได้มีแต่ท่านเท่านั้นนะ” ถังเฟยกระซิบกระซาบ
หยางจินถอนหายใจ เขาคิดว่าภาพยามซูฮวากำลังใช้พัดต่อสู้ตีแปะๆ กับจินเยว่นั้นน่ารักดีเลยอยากชมต่ออีกสักหน่อย แต่เจ้ารองแม่ทัพน่ารำคาญกลับ สอดมือเข้ามายุ่งไม่ดูกาลเทศะ
แต่ก่อนที่หยางจินจะออกหน้า เทียนชินอ๋องก็กล่าวขึ้นอย่างเอาแต่ใจว่า “ไม่รู้ล่ะ! วันนี้ข้ามาเยือนกองทัพก็เพราะได้ยินว่ากองทัพจะเบิกตัวเชลยศึกฝีมือดีของเผ่าต๋าต้ามาใช้สำหรับซ้อมรบ! เจ้าเดินไม่ไหวก็เรื่องของเจ้า! ข้าไปกับรองแม่ทัพก็ได้”
พอเห็นจินเยว่เดินไปคล้องแขนถังเฟยแถมยังเชิดปลายคางขึ้นอย่างดื้อรั้นดวงตาของซูฮวาก็เป็นประกาย
สองคนนี้เป็นอะไรกัน และด้วยความอยากรู้อยากเห็นนี้เองทำให้ร่างบางหันไปส่งสายตาออดอ้อนแก่ท่านแม่ทัพ “พี่หยางจิน ข้าไปกับจินเยว่ด้วยได้ไหม”
และแล้วซูฮวา จินเยว่ แม่ทัพและรองแม่ทัพก็เดินออกมาจากห้องรับรองด้วยกัน ก่อนออกมาหยางจินสั่งให้คนไปเอาหมวกที่มีผ้าคลุมหน้าติดอยู่มามอบให้แก่ภรรยาและน้องชายของตน
“ท่านช่างขี้หวงอะไรเช่นนี้” ถังเฟยที่เห็นคนงามสองคนถูกจับสวมหมวกซึ่งมีผ้าคลุมทึบแล้วอดสงสารไม่ได้ ท่าจะร้อนน่าดู
ทีแรกจินเยว่ดื้อรั้นไม่ยอมใส่ แถมยังประณามหยามเหยียดซูฮวาที่ยอมสวมหมวกอย่างว่าง่ายว่าเจ้ากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของหานชินอ๋องไปแล้วหรือ เขาสั่งอะไรเจ้าก็ทำตามไปหมด แต่พอว่าไปขนาดนั้นแล้วซูฮวายังไม่ถอดแถมยัง เถียงกลับว่าพี่หยางจินให้ใส่ เพราะหวังดีจินเยว่ก็น้ำลายท่วมปากและยอมใส่บ้างอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งสี่คนเดินมายังลานฝึกซึ่งเป็นลานประลองขนาดใหญ่
ซูฮวาต้องมองผ่านผ้าโปร่งสีขาวที่ใช้คลุมหน้าอยู่ก็เลยไม่สามารถมองอะไรได้ไกลเท่าไร ร่างบางจึงไม่ทันรู้ว่าเจ้าพวกทหารเดนตายทั้งหลายมีสีหน้าผิดหวังอย่างยิ่ง
กระทั่งใครคนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างเหลืออด “ท่านแม่ทัพ! ได้โปรดให้พวกเรามองหน้าภรรยาของท่านใกล้ๆ สักครั้งเถิด! ยามปกติท่านก็เก็บไว้ในห้องทำงานแถมยังเอาฉากมาวางกั้นไว้ คราวนี้พาออกมาข้างนอกท่านยังให้สวมหมวกปิดบังใบหน้าไว้อีก”
“เจ้าไปฝึกหวดลมพันครั้ง”
“ท่าน!” นายทหารใจกล้าคนนั้นแทบกระอักเลือดออกมาทันทีที่โดนสั่งลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม
พวกเพื่อนที่เหลือต่างก็อยากเห็นหน้าพระชายาที่ได้รับการกล่าวขานว่างามล่มเมืองตอนแรกก็พยักหน้าสนับสนุนให้ซูฮวาเปิดผ้า แต่พอเห็นจุดจบ อันน่าอนาถของผู้กล้าแล้วก็รีบหดคอเข้ากระดองกันแทบไม่ทัน
ท่านแม่ทัพขี้หวงเกินไปแล้ว!
“เชลยของเผ่าต๋าต้าที่ว่ามีชินอ๋องของทางนั้นด้วยไหม” ซูฮวาที่แสร้งทำเป็นไม่สนใจเสียงโอดครวญของเหล่าชายฉกรรจ์หันหน้าไปถามท่านแม่ทัพ
หยางจินพยักหน้าก่อนจะพาซูฮวากับจินเยว่ไปนั่งตรงเก้าอี้พิเศษซึ่งให้คนจัดเตรียมไว้ให้ ส่วนตนกับถังเฟยซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจกองทัพเอาไว้จะทำตัวเหลาะแหละไม่ได้จึงเดินเลี่ยงออกมาหลายช่วงตัว พวกเขาสองคนเริ่มสั่งให้พวกทหารจัดระเบียบ
ซูฮวาเท้าคางมองอย่างตื่นเต้น
ถึงอย่างไรคนตัวเล็กก็ชื่นชอบวิชาบู๊มากจริงๆ
“พวกเราจะขอประลองด้วยได้ไหมนะ” ซูฮวาหันไปถามจินเยว่
เทียนชินอ๋องแค่นเสียงเหอะในลำคอก่อนจะหันหน้ามาเตรียมจะกล่าวค่อนแคะซูฮวา แต่ดันลืมไปว่าต่างคนต่างสวมหมวกปีกกว้างสุดท้ายผลลัพธ์ก็คือปีกหมวกชนกันอย่างแรงจนหน้าหัน
เทียนชินอ๋องผู้เย่อหยิ่งรีบปรับท่านั่งเพื่อคงความสง่าเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ผิดกับพระชายาน้อยที่เสียมาดจนแทบหงายหลัง
“คิกๆ” ได้ยินเสียงคนข้างๆ หัวเราะเยาะแล้วซูฮวาก็ได้แต่เบะปากเงียบๆ
“เจ้าปวกเปียกขนาดนี้จะไปสู้กับใครได้เล่า ขนาดท่านพี่สอนวรยุทธเจ้าไปตั้งมากมาย เสียเวลาท่านพี่แท้ๆ กระบี่นี้ก็เสียเงินซื้อมาเปล่าๆ” เทียนชินอ๋องแกล้งเอานิ้วไปจิ้มๆ บนกระบี่ของซูฮวา
เพราะได้ยินว่าวันนี้จะมีการประลองยุทธซูฮวาก็เลยพกดาบมาด้วยเผื่อมีโอกาสแสดงฝีมือ
“เมื่อวานนี้ข้าอ่านสมุดบันทึกเกี่ยวกับเชลยศึกมานิดหน่อย ดูเหมือนว่าหนึ่งในนักโทษจะมีชินอ๋องของเผ่าต๋าต้าอยู่ด้วย เห็นว่าชื่อเหวินหลาง และถ้าจำไม่ผิดระหว่างที่พี่หยางจินรบอยู่ที่ชายแดนทางเหนือชินอ๋องเหวินหลางผู้นี้เป็นแม่ทัพของฝ่ายศัตรูเพียงคนเดียวที่มีวรยุทธทัดเทียมกับพี่หยางจิน”
เนื่องจากต้องหมั้นหมายกับหานชินอ๋องมาแต่เล็กทำให้ซูฮวามีความรอบรู้เกี่ยวกับอัตชีวประวัติของหานชินอ๋องอย่างแม่นยำ
“ข่าวลือว่าท่านพี่ตัวใหญ่ราวกับยักษ์ก็มาจากช่วงที่ประมือกับชายที่ชื่อว่าเหวินหลางนี่แหละ” จินเยว่นั่งไขว่ห้างเท้าคางอย่างเบื่อหน่าย ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมทอดมองไปยังทิศทางที่พี่ชายของตนกำลังยืนอยู่
การประลองเริ่มต้นขึ้นพอดี เริ่มจากการคัดหายอดฝีมือของกองทัพออกมาสิบคน การประลองนี้เป็นการประลองรอบละร้อยคนต่อสู้เป็นกลุ่มพร้อมกันทีเดียว ใครเหลือคนสุดท้ายก็คือผู้ชนะทำให้การประลองดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งครบสิบครั้งได้ผู้ชนะมาสิบคน
ได้เวลาเบิกตัวเชลยศึกออกมาแล้ว
ซูฮวาชูคอขึ้นมองอย่างตื่นเต้น นักโทษทั้งสิบคนที่ถูกเรียกตัวออกมามีร่างกายกำยำแม้จะโดนกักขังขาดอิสระอยู่ร่วมสี่เดือนแล้ว แววตาของพวกเขามองมายังชาวต้าจินอย่างอาฆาตแค้น และเมื่อนักโทษสิบคนเดินขึ้นเวทีไปแล้วโซ่ตรวนของพวกเขาก็ถูกปลดออก
กลองสัญญาณเริ่มต่อสู้ดังขึ้น
การต่อสู้ในครานี้เป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าดังนั้นจึงไม่มีทางที่ใครจะเป็นอะไรถึงชีวิต
ซูฮวาก้มลงมองกระบี่ในมือย่างเสียดาย หากสู้ด้วยมือเปล่าล่ะก็ซูฮวาไม่ไหวหรอก
และในขณะที่กำลังเหม่ออยู่นั้นเองร่างของใครบางคนก็กระเด็นออกมาจากสนาม ด้วยความที่มันเกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีใครตั้งตัวทันเชลยชาวต๋าต้าคนนั้นก็ชักดาบออกมาจากเอวของนายทหารที่ยืนอยู่ใกล้มือก่อนจะกระโจนเข้ามายังพวกซูฮวาที่นั่งอยู่
เชลยผู้นี้เคยเป็นถึงขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้ถูกทำลายศักดิ์ศรีจนย่อยยับ เขาไม่คิดจะมีชีวิตอย่างอัปยศเช่นนี้อีกแล้วแต่ก็ไม่อยากฆ่าตัวตายอย่างไร้ค่าในคุก
วันนี้คล้ายสวรรค์เห็นใจเขาแล้ว ได้รับการคัดเลือกออกมาประลองยุทธกับชาวต้าจิน แถมข้างสนามยังมีขุนนางน้อยท่าทางอ่อนแอนั่งอยู่ข้างๆ คุณชายท่านหนึ่งที่แต่งกายสูงศักดิ์ แม้จะเป็นชาวต่างเผ่าแต่ก็เดาสถานะของคุณชายท่านนี้ได้ไม่อยาก
อย่างน้อยก่อนตายอดีตขุนพลอย่างเขาก็ขอรีดเลือดออกจากหัวของ ท่านอ๋องน้อยแห่งต้าจินเสียหน่อยเถิด!
อดีตขุนพลร่างใหญ่กระโจนเพียงก้าวเดียวก็มาถึงตรงหน้าของพวก จินเยว่ ท่านอ๋องน้อยเงยหน้ามองคมดาบที่กำลังจะฟาดลงมากลางหัวของตนด้วยความตื่นตะลึง!
เคร้ง!
แต่ก่อนที่ชีวิตอันไร้ค่าของเทียนชินอ๋องจะหลุดลอยหายไปซูฮวาก็รีบใช้กระบี่ในมือของตนช่วยกันไว้ได้สำเร็จ
ทว่าเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของซูฮวาก็ยันเอาไว้เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ร่างบางหงายหลังล้มกลิ้งตามแรงผลักแต่ก็อุตส่าห์มีสติเหลือพอจึงคว้าแขนของ เพื่อนรักที่เป็นเป้าหมายของการสังหารโหดให้กลิ้งไปด้านหลังกับตนด้วย
คนตัวเล็กทั้งสองกลิ้งหลุนๆ ออกไปไม่ไกลนัก ขุนพลยักษ์รีบร้อนเตรียมจะเข้าไปซ้ำทว่าร่างกายอุดมไปด้วยมัดกล้ามของเขาก็ถูกแม่ทัพใหญ่แห่งต้าจิน อย่างหานชินอ๋องเตะเสยเข้าที่ปลายคางเต็มๆ
ขุนพลยักษ์โงนเงนจะล้มลง แต่ก่อนที่แผ่นหลังของเขาจะสัมผัสพื้น คมดาบในมือของหานชินอ๋องก็ปาดคอหอยปลิดชีวิตของเจ้าเชลยศึกชั้นต่ำผู้นี้ในพริบตา สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าหานชินอ๋องนั้นฆ่าขุนศึกฝีมือดีได้ในเวลาที่รวดเร็วกว่าการล้มลงของขุนศึกเสียอีก
ไม่รู้ว่าขุนศึกหงายหลังล้มลงช้าเกินไปหรือหยางจินสังหารคนว่องไวเกินไป พอแผ่นหลังของอดีตขุนศึกผู้นั้นสัมผัสพื้นลมหายใจของเจ้าตัวก็ดับสูญไปแล้ว
ความเงียบเกิดขึ้นทั่วบริเวณ ทหารทุกคนต่างตกใจเพราะเหตุการณ์ตั้งแต่เจ้าเชลยแย่งดาบจากเอวทหารจนกระทั่งมันตายนั้นเกิดขึ้นในชั่วอึดใจเท่านั้น บางคนที่อยู่ไกลออกไปยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
“แค่กๆ” จะมีก็แต่เสียงไอของคนที่ลงไปคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นนั่นแหละที่ช่วยทำลายความเงียบให้
ซูฮวาดูจะอาการหนักกว่าจินเยว่มาก ร่างบางไอไม่หยุด ดวงตาที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมมีน้ำตาไหลพราก ที่ดินในกองทัพส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทรายฝุ่นควันช่างมากมายนัก
“เจ้าโง่” จินเยว่ที่รอดตายหวุดหวิดคว้าตัวสหายรักเข้ามากอดอย่างเสียขวัญด้วยกลัวว่าตนจะตายแล้วลากเพื่อนไปตายด้วยอีกต่างหาก แต่ก็ยังคงปากแข็ง เขินจนไม่กล้ากล่าวคำขอบคุณ “ทำไมถึงโง่นัก แขนเจ้าจะเล็กกว่านิ้วโป้งของเชลยคนนั้นอยู่แล้ว”
จินเยว่กล่าวจบหยางจินก็เดินมาถึงทั้งสองคนพอดี
ทางซ้ายเป็นน้องชาย ทางขวาเป็นภรรยา ท่านแม่ทัพใหญ่เลือกไม่ได้อีกแล้วว่าควรปลอบขวัญใครก่อน ร่างสูงจึงตัดสินใจรวบทั้งสองคนเข้ามาในอ้อมแขนและหันไปสั่งรองแม่ทัพที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ จินเยว่ด้วยใบหน้าเป็นห่วงแต่ไม่กล้าเข้ามาแตะเนื้อต้องตัว
“เจ้าพาเชลยที่เหลือกลับไปรับโทษซะ”
สิ้นเสียงของหยางจินก็มีชายผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มเชลยที่กำลังจะโดนจับ ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคืออ๋องแห่งเผ่าต๋าต้า เหวินหลางนั่นเอง ชายหนุ่ม ผู้นี้แรกเริ่มเดิมทีมีร่างกายกำยำอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อเฉกเช่นหานชินอ๋อง ใน ยุคสมัยหนึ่งพวกเขาทั้งสองเคยประลองฝีมืออย่างสูสี แต่เหวินหลางที่ยืนอยู่ตรงหน้ายามนี้ไม่หลงเหลือเค้าลางแห่งอดีตแม่ทัพเผ่าต๋าต้าอีกแล้ว
ก่อนที่เผ่าต๋าต้าจะพ่ายแพ้ แม่ทัพอย่างเขาบาดเจ็บสาหัส เส้นยุทธทั่วร่างพากันอ่อนแอลง ฝีมือถดถอยลงครึ่งหนึ่ง
ยามนี้เขาไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรแล้ว แต่บนบ่าก็ยังแบกรับชีวิตของลูกน้องนับหมื่นชีวิตที่ถูกจับเป็นเชลยศึกมาพร้อมตนอยู่ เหวินหลางตัดสินใจคุกเข่าและก้มศีรษะลงแนบพื้นเพื่อขอร้องอดีตคู่ปรับอย่างหานชินอ๋อง
“ท่านแม่ทัพแห่งต้าจินได้โปรดเมตตาด้วย เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เหล่าสหายที่เหลืออีกหมื่นชีวิตล้วนไม่ล่วงรู้ว่าขุนพลตี้จะเสียสติลงมืออุกอาจ หากจะลงโทษเพื่อให้หลาบจำล่ะก็เชิญลงโทษข้าแต่เพียงผู้เดียวเถิด”
หยางจินมีสีหน้าเรียบเฉย
พลันรอบสนามประลองบังเกิดความเงียบก้อนใหญ่เข้าครอบงำ
กระทั่งแม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดินผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ชายหนุ่มหันไปมองใบหน้าของพระชายาที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้า เมื่อสบตากันแล้วหยางจินก็มองเห็น ความใจอ่อนอยู่ในนั้นเต็มไปหมด
มู่ซูฮวาเป็นบุตรชายของเจ้าผู้ครองแคว้นเล็กๆ มองเหวินหลางยามนี้ก็คล้ายมองเห็นคนในครอบครัว
อันผิงน่ะไม่เคยรบชนะใครหรอก เป็นแคว้นอ่อนแอของอ่อนแออีกทีหนึ่ง หน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานก็มีแต่จารึกไว้ว่าเคยเป็นเมืองขึ้นของใครนานเท่าไร แต่ละปีต้องจ่ายเครื่องบรรณาการอย่างไร กระนั้นบรรพบุรุษสกุลมู่ก็ไม่เคยขายประชาชนไปเป็นทาส
คนสกุลมู่ยอมลดศักดิ์ศรีของตนเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีให้แก่ชาวเมืองเสมอมา
การส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาเป็นเครื่องบรรณาการแห่งต้าจินคือการกล้ำกลืนทั้งน้ำตา
“ข้าไม่เป็นไร ท่านอย่าโกรธเลยนะ” ซูฮวากล่าวเสียงแผ่ว
น้ำเสียงของพระชายาน้อยดูไร้เรี่ยวแรงจนหยางจินใจหาย แต่ในเมื่อซูฮวาออกปากอ้อนวอนขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่อาจลากคอใครมาประหารได้ลง
“โบยเชลยศึกเหวินหลางสองร้อยไม้ ส่วนเชลยที่เหลืออีกหมื่นนายที่ถูกใช้แรงงานอยู่ทั่วต้าจินให้งดอาหารสามมื้อ!” หยางจินออกคำสั่งขั้นเด็ดขาด นี่นับว่าเป็นการลงโทษสถานเบาที่สุดเท่าที่เขามอบให้อดีตคู่ปรับผู้ตกต่ำของตนได้แล้ว
“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพ!” เหวินหลางละทิ้งความภาคภูมิใจ ชายหนุ่มก้มหัวจรดพื้นเพื่อทำแสดงความเคารพสูงสุดแก่หานชินอ๋อง
หยางจินเลิกสนใจความชุลมุนตรงหน้า เขาพาจินเยว่กับซูฮวากลับไปพักผ่อนที่วังของเทียนชินอ๋องในป่าไผ่
“เจ้าไปอยู่กับจินเยว่เถิด” เมื่อย่างเท้าเข้ามาในวังของผู้เป็นน้องหยางจินก็หันไปพูดกับถังเฟย
รองแม่ทัพหนุ่มมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “จะดีหรือ”
“ที่นี่มีแค่เรากับแม่เฒ่าใบ้ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง” หยางจินพเยิดหน้าไปยังร่างเล็กของเทียนชินอ๋องที่กำลังถอดหมวดออก เผยให้เห็นใบหน้างามที่เศร้าหมอง
“ท่านพี่ ข้าขอโทษด้วย เพราะความอับโชคของข้าซูฮวาก็เลยพลอยบาดเจ็บไปด้วย” จินเยว่ที่ถือตัวเชิดหยิ่งมาตลอดทางพอถอดหมวกออกแล้วก็ไม่สามารถปิดซ่อนใบหน้าอมทุกข์ได้ จึงตัดสินใจกล่าวออกมาตามตรงว่ารู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้คล้ายชนวนจุดระเบิด
ภายในใจของเทียนชินอ๋องมีก้อนกระจุกแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจก่อตัวขึ้น
หยางจินต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการปลอบขวัญน้องชายของเขา ซูฮวาเองก็อยากให้หยางจินปลอบจินเยว่ต่ออีกสักนิดแต่แม่ทัพหนุ่มกลับส่งต่อจินเยว่ให้ถังเฟยอย่างมีน้ำใจและพาพระชายาของตนเข้ามาในห้องนอนที่เขาใช้เสมอยามมาค้างบ้านน้อง
“ท่านไม่อยู่กับจินเยว่จะดีหรือ” ซูฮวารีบถามทันทีที่เดินเข้ามาข้างใน
หยางจินส่ายหน้า “จินเยว่มีถังเฟยอยู่แล้ว”
“แต่ท่านเป็นพี่” ซูฮวาแย้ง
“ถังเฟยก็เป็นพี่” หยางจินกล่าว
ซูฮวาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ หมายจะซักถามต่อแต่ร่างสูงกลับพาเขาไปที่เตียงก่อนจะยกมือบางที่มีผ้าพันไว้ขึ้นมา
ครั้งแรกที่หยางจินเห็นมือทั้งสองข้างของซูฮวาเขาตกใจและโกรธจนแทบจะหันไปตัดคอขุนพลหน้าโง่นั่นมาเสียบประจานหน้ากองทัพให้รู้แล้วรู้รอด! มันกล้าดีอย่างไรมาทำให้กระดูกบนฝ่ามือของพระชายาของเขาหักจนแทงทะลุเนื้อออกมาเช่นนี้!
ในความจริงขุนพลยักษ์ก็แค่ฟาดดาบลงมาเต็มแรงตามปกติ เขาหมายเอาชีวิตจินเยว่แต่ซูฮวายื่นกระบี่เข้ามาขวางไว้
แต่อนิจจา เรี่ยวแรงของขุนพลยักษ์มหาศาลเกินไป ส่งผลให้มือของคนที่สอดกระบี่เข้ามาขวางโดนฟาดอย่างแรง ไม่แขนหักก็นับว่าโชคดีแล้ว แต่ถึงกับกระดูกนิ้วแตกนี่หยางจินรับไม่ได้ เขาเห็นพระชายาน้อยน้ำตาไหลพรากๆ ขณะให้แพทย์ประจำกองทัพมาทำแผล
หยางจินลูบหลังมือบริเวณที่ไม่มีแผลอย่างปลอบประโลม
“ความเลินเล่อของข้าทำให้เจ้าต้องเจ็บตัว”
พระชายาน้อยส่ายหน้าไปมา “แค่ได้รับความเป็นห่วงจากท่านข้าก็เหมือนหายเจ็บไปหลายส่วนแล้ว”
ผู้ฟังชะงักไปชั่วขณะ หานชินอ๋องทอดมองรอยยิ้มหวานบนใบหน้าอันงดงามของคนตัวเล็กตรงหน้า คล้ายว่าเป็นพรจากสวรรค์ ด้วยรอยยิ้มจางๆ มุมปากของมู่ซูฮวา เปลวเพลิงที่คุกรุ่นในใจของไท่ติงหยางจินก็มลายหายไป
หยางจินเริ่มคิดจริงๆ แล้วว่าพระชายาของตนเป็นเทพเซียนลงมาเกิดบนโลกมนุษย์หรือไม่ก็เป็นดอกไม้วิเศษที่ได้รับพรจนกลายเป็นมนุษย์หรือไม่ เพราะถ้าไม่ใช่อย่างนั้น หยางจินก็ไม่รู้จะหาเหตุผลใดมารองรับแล้วว่าเพราะเหตุใดมู่ซูฮวาจึงครอบครองรอยยิ้มที่งดงามขนาดนี้
--------------------------------------
อะไรเอ่ยหลงเมียจัง 5555
#มาลาสุราลัย