ตอนที่ 18
แล้วการคาดเดาของแฟนก็ไม่มีผิดพลาด เพียงสามวันหลังจากที่เพลงถูกปล่อยยอดวิวและยอดแชร์ก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆจนติดชาร์ทในแทบทุกรายการ
“พะ พอแล้ว ถ้ามึงจะดีใจแบบนี้...”
เสียงพูดเงียบหายลงไปในลำคอดื้อๆเมื่อแฟนอ่อนแรงกับการจะเปล่งเสียง ขณะที่ตัวต้นเหตุยังคงเคลื่อนไหวส่วนล่างเข้าหาอย่างลึกซึ้งเชื่องช้า
ถ้าเป็นผู้หญิงและไม่ได้ป้องกันคงออกลูกเป็นคอก
“รางวัลของกู”
แม้ปากของคนใต้ร่างจะบอกว่าพอแต่ความนุ่มอุ่นร้อนยังคงโอบรอบไม่คลาย สวนทางกับความต้องการของจิตใจจนหินยกยิ้ม
“มึงเอารางวัลมาจนจะ อึก เช้าแล้ว”
ท้องฟ้าที่เคยย้อมไปด้วยสีเข้มสนิท ตอนนี้กลับกลายเป็นสีครึ้มบ่งบอกเวลาใกล้เช้า
“เอารางวัลที่ไหน เอามึง” แม้อยากจะยกมือขึ้นฟาดคนเล่นมุกหื่นสักทีแต่ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะทำอย่างนั้น
หินทอดมองใบหน้าของคนใต้ร่างซึ่งเบ้บิดด้วยความเสียวซ่าน ตามกรอบหน้าเล็กชื้นไปด้วยเหงื่อจนผมบางส่วนเปียกชุ่ม ปากบางอ้าเผยอเปล่งเสียงครางอย่างอ่อนแรง
ภาพนี้ที่ชอบแสนชอบ
“ขอบคุณ”
ถ้อยคำลอยๆดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงครางต่ำ แฟนที่จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ปรือตาขึ้นมามองคนด้านบน ชั่ววินาทีหนึ่งระหว่างการตื่นหรือการหลับเหมือนเห็นว่าหินเอ่ยอะไร แต่ห้วงความเหนื่อยล้าก็พรากสติที่มีอยู่น้อยนิดไปจนจับใจความไม่ได้
“อือ...”
มีเพียงเสียงรับคำแสนแผ่วเบาในลำคอที่หลุดรอด ส่วนคำที่อีกคนเอ่ยออกมาพร้อมความอบอุ่นทางสายตาและรอยยิ้ม แฟนไม่อาจรับรู้
--
“ไม่ลองคุยสักหน่อยเลยเหรอวะ”
เสียงเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจดังขึ้น ขณะที่สายตาของคนถูกถามจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งกำลังฉายรายการเกี่ยวกับเพลง
ท่าทางนิ่งเงียบนั้นทำให้ทุกคนในห้องสบสายตามองกันพลางส่ายหน้าน้อยๆ นานหลายทีจนเกือบถอดใจว่าหินคงไม่ตอบคำถามเสียงทุ้มก็ดังขึ้น
“ลองคุยก่อน แต่ไม่รับปากว่าจะตกลง”
คนในห้องทั้งหมดเกือบลุกขึ้นกระโดดดีใจเมื่อได้ยินคำตอบนั้น แต่เพราะรู้ดีว่าหากไม่เก็บอาการ คำตอบเมื่อครู่อาจเปลี่ยนเป็นปฏิเสธ แล้วความพยายามของทุกคนที่พูดกล่อมมาก็จะกลายเป็นศูนย์
เมื่อเพลงถูกปล่อยแล้วติดหูคนไปทั้งประเทศ คนทำเพลงย่อมต้องถูกพูดถึงและถูกตามหา ตอนนี้หินคือคนที่หลายคนอยากรู้จักรองลงมาจากนักร้องเบื้องหน้า
“แค่มึงลองคุยก็โอเคแล้ว งั้นกูนัดเขาให้เลยนะ” น้ำเสียงนั้นกระตือรือร้นอย่างไม่อาจเก็บอาการ
“อืม”
หินรับคำในลำคอ ความคิดมากมายวิ่งวนในหัวมาหลายชั่วโมงหยุดอยู่นิ่งเหมือนตะกอนที่ค่อยๆตกสู่ก้นบ่อ เปลือกตาหนาปิดลงราวกับการตัดสินใจนี้ได้สิ้นสุด
‘เรื่องอื่นฉันจะไม่ยุ่ง แต่ถ้าจะจริงจังไปไกลกว่านี้ก็ต้องทำอีกมาก...’ถ้าจะคิดถึงแต่ตัวเองแบบที่ผ่านมา แม้แต่การพูดคุยก็คงไม่เกิดขึ้น แต่วันนี้ไม่ใช่ตัวคนเดียว ไม่สามารถใช้ชีวิตตามใจตัวเองได้ดั่งที่ผ่านมา
ยังมีใครอีกคนที่ต้องนึกถึง
--
“ผูกเนคไทให้หน่อย”
ร่างสูงในชุดทำงานเดินตรงเข้ามาซ้อนทางด้านหลังด้วยใบหน้ายุ่งยาก ภาพสะท้อนจากกระจกบานใหญ่คือหินซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็ค ถือเนคไทที่จำได้ว่าเพิ่งซื้อมาเมื่อวานอยู่ในมือ
“ออกไปไหน ทำไมวันนี้ใส่เนคไทด้วย”
ร่างเล็กที่ยังคงอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำหมุนตัวกลับไปหา ใบหน้าเนียนฉ่ำไปด้วยครีมบำรุงที่ทาไปเมื่อครู่เล็กน้อย
“คุยงาน”
“สำคัญเหรอ”
เอ่ยถามทั้งยังเอื้อมไปหยิบของในมือหิน ก่อนจะพาดมันรอบลำคอแกร่งแล้วจัดการผูกเนคไทให้อย่างคล่องแคล่ว
“อืม”
“เออ นี่เพื่อนกูฟังแต่เพลงที่มึงแต่งทั้งวัน เมื่อวานไปห้างก็ได้ยิน ไปที่ไหนก็ได้ยิน ถ้าพวกมันรู้ว่ามึงมีส่วนร่วมคงกรี๊ดกันหูแตก”
แฟนพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ถึงจะว่าเพื่อนติดเพลงนี้อย่างหนักแต่ความจริงแล้วตัวเองก็อาการหนักไม่แพ้กัน ยามขึ้นรถเป็นอันต้องเปิดฟัง ซ้ำยังเปิดอยู่แค่เพลงเดียววนไปมา
ขณะที่คนฟังก็ยกยิ้ม ภูมิใจกับกระแสตอบรับจนแทบลืมเลือนความเหนื่อยในช่วงเวลาก่อนหน้าไปหมดสิ้น
“ไม่คิดเหมือนกันว่าจะขนาดนี้”
ไม่ปฏิเสธว่าคาดหวังแต่ก็ไม่เคยคาดหวังไกลขนาดนั้น และถึงแม้ว่าเพลงนี้จะประสบความสำเร็จมากก็ไม่คิดหลงระเริง อีกอย่างแค่ตัวเองไม่อาจนำพางานให้สำเร็จลุล่วงได้ถ้าไม่มีทีมงานทุกคน
“มึงเก่ง กูบอกแล้วไง”
มือเล็กขยับเนคไทที่ผูกแล้วอีกเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดด้วยรอยยิ้มบางที่มาจากความภูมิใจ“คนอื่นก็เก่ง ไม่ใช่แค่กู” ท่อนแขนใหญ่รั้งเอวบางเข้าหาพลางตอบกลับ
“อืม...แต่มึงเสียอยู่อย่างเดียว”
“อะไร?”
“หื่นเกินคนไปหน่อย”
คนถูกว่าหัวเราะรับอย่างไม่ปฏิเสธ ก่อนจะบดเบียดปลายจมูกลงไปสูดดมความหอมจากแก้มเนียนราวกับให้รางวัลสำหรับการผูกเนคไท
“พูดถึงเรื่องนี้แล้วนึกขึ้นได้ วันก่อนก่อนกูจะหลับไป มึงจะพูดอะไร”
คำถามนั้นทำให้หินยกยิ้ม ดวงตาคมเป็นประกายขึ้นมาชั่ววินาที
“ไม่มีอะไร” คิ้วได้รูปขมวดมุ่นเมื่อคำตอบกับสีหน้าอีกคนดูเหมือนจะสวนทางกัน
“แต่แววตามึงมันบอกว่ามีอะไร”
“ไม่มีอะไรน่า มึงไปแต่งตัวต่อไป”
ร่างเล็กถูกจับให้หมุนกลับไปทางหน้ากระจกก่อนคนที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วจะก้าวยาวๆออกไปจากห้อง ทิ้งความสงสัยของแฟนไว้ด้านหลังโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้ถามอะไร
--
(วันนี้กูกลับดึก คงจะค้างที่ห้องตัวเอง) ถ้อยคำจากปลายสายส่งผลให้คนฟังใจแป๊ว เกิดความวูบโหวงตามมา
“ทำไมล่ะ”
(คุยงานยาว ว่าจะกลับไปซ้อมดนตรีด้วย)
“กูไปค้างที่ห้องมึงด้วยไม่ได้เหรอ”
เป็นประโยคคำถามแต่คล้ายกับว่าเจือความออดอ้อนอยู่มากโดยไม่รู้ตัวจนคนฟังยกยิ้ม ใบหน้าคมที่เรียบตึงมาทั้งวันผ่อนคลายลงทันใด
(พรุ่งนี้วันเสาร์ มึงต้องกลับบ้านหนิ)
“ก็ออกจากห้องมึงแล้วก็กลับบ้านเลยไง”
(งั้นก็ตามใจ) ได้ยินคำอนุญาตนั้นพลันใบหน้าสวยก็เกิดรอยยิ้ม
“กูไปรอที่ห้องมึงเลยนะ”
(อืม กูจะพยายามรีบกลับ)
“โอเค”
(แล้วเจอกัน)
สัญญาณถูกตัดไปจากนั้นแฟนจึงทำงานบนโต๊ะต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะตรงไปยังห้องของหินโดยไม่วกกลับไปที่คอนโดตัวเองให้เสียเวลา
นิ้วมือเล็กเคาะกับพวงมาลัยตามจังหวะเพลงที่เปิดคลอเมื่อการจราจรติดขัดจนขยับรถได้ทีละนิด ระหว่างนั้นดวงตาคู่สวยก็กวาดมองไปรอบตัวแก้เบื่อ มองรถคันข้างๆ มองรถอีกเลนที่ติดขนัดไม่ต่างกัน พลางมองเลยไปยังริมทาง
กึก
ซุปเปอร์มาเก็ตที่มีสีประจำเป็นสีเขียวปรากฏอยู่ด้านขวามือ คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันเมื่อเจ้าตัวกำลังใช้ความคิด
ไหนๆก็ต้องไปรอหินอยู่ห้องคนเดียวแล้ว แวะซุปเปอร์ฆ่าเวลาหน่อยดีกว่า
เมื่อคิดได้แฟนก็ตัดสินใจว่าจะแวะห้างแถวอพาร์ตเมนต์ของหิน รอการจราจรตรงหน้าคลายตัวจนรถสามารถแล่นได้เรื่อยๆจึงรีบตรงไปยังที่หมาย
20.39 น.กว่าจะเดินซื้อของและซื้ออาหารเย็นกลับมาครบก็เพลิดเพลินไปกับการเดินจนท้องฟ้ามืดมิด ข้าวของต่างๆถูกวางไว้บนโต๊ะในห้องครัวก่อนแฟนจะรีบอาบน้ำก่อนเป็นอันดับแรก ต่อด้วยการกินข้าวเนื่องจากความหิว เมื่อเรียบร้อยจึงเปิดโทรทัศน์ดูซีรีส์ต่างประเทศรออีกคน
แกร๊ก
เสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามาราวสองชั่วโมงผ่านไป ร่างสูงที่ออกจากห้องไปด้วยชุดทำงานเต็มยศเมื่อเช้ากลับมาในสภาพชายเสื้อถูกดึงออกด้านนอก แขนเสื้อถูกพับขึ้นจนถึงข้อศอก อีกทั้งยังปลดกระดุมลงมาหลายเม็ดให้เห็นแผงอกรำไร
ร้อนหรืออยากโชว์กันแน่
“มารอตั้งแต่กี่โมง” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่ผุดลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้ามาหา
“กูแวะห้าง มาถึงตอนสองทุ่มกว่าได้”
“กินอะไรรึยัง”
“กินแล้ว มึงล่ะ กูซื้อกับข้าวมาเผื่อด้วย”
“ยัง หิวจะแย่”
“งั้นก็ไปอาบน้ำก่อนไป จะได้ออกมากินข้าวแบบสบายตัว”
หินพยักหน้ารับพลางกดริมฝีปากแนบลงมาบนหน้าผากเนียนก่อนจะหมุนตัวไปทางห้องนอน ทิ้งสัมผัสอุ่นวาบไว้ให้คนถูกจูบนิ่งงันจนต้องตั้งสติอยู่เกือบนาทีจึงจะเดินตรงไปยังห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารไว้รออีกคนได้
“เห็นมึงซื้ออะไรเข้าห้องกูเยอะแยะ”
เอ่ยถามหลังจากข้าวในจานหมดลงเรียบร้อย อาหารบนโต๊ะหมดแทบทุกอย่างเพราะความหิวโหย
“ก็ของใช้ที่กูพอจำได้ว่ามันไม่มี แล้วบางอันก็ซื้อมาเผื่อไว้”
“ถ้าง่วงก็เข้านอนก่อนได้เลย กูจะไปซ้อมดนตรีในห้อง”
ร่างสูงลุกขึ้นเก็บจานที่เหลือเพียงเศษอาหารให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับมาหาคนที่นั่งรออยู่
“กูเข้าไปดูด้วยได้ไหม” แฟนเบี่ยงตัวไปด้านข้าง แหงนหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจนรู้สึกเมื่อยคอ
“คิดยังไง” คิ้วหนาเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจกับคำร้องขอ
“ก็ไม่คิดไง ยังไม่ง่วง”
“เสียงดังนะ”
“อือ...ขี่หลังหน่อย ขี้เกียจเดิน”
ไม่รู้ว่าเป็นความขี้เกียจหรือความอยากอ้อนเนื่องจากต้องกลับบ้านพรุ่งนี้ แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าสวยก็ยังแสดงออกเช่นปกติ ขณะที่หินทำเพียงแค่หันหลังแล้วทรุดตัวนั่งลง ต่อจากนั้นท่อนแขนเล็กจึงสอดรัดรอบลำคอ กายเล็กถ่ายน้ำหนักลงมาจนหมด
“แล้วทำไมวันนี้มึงซ้อม มีงานเหรอ” ปลายคางวางลงบนไหล่กว้างยามเอียงหน้าถาม
“ซ้อมเฉยๆ กูไม่ได้เล่นที่ผับแล้วเลยไม่ได้ซ้อมบ่อยเท่าเมื่อก่อน”
“เห็นมึงเล่นแต่ดนตรีสากลซะส่วนใหญ่ แล้วเล่นดนตรีไทยได้ไหม” ปากบางเอ่ยเจื้อยแจ้วถามไประหว่างทางอย่างไม่มีอะไรทำ
“ก็พอได้”
มือหนาเอื้อมไปหมุนลูกบิดก่อนจะเปิดประตูเข้าไป จากนั้นจึงเดินหาสวิตช์แล้วกดเปิดให้ทั้งห้องตกอยู่ในความสว่าง พลันคนบนหลังก็ขยับลงไปยืนบนพื้นเรียบร้อย
“กูขอเปิดคอมได้ไหม”
เอ่ยขอเมื่อระหว่างอีกคนซ้อมดนตรีก็คงต้องหาอะไรทำแก้เบื้อ และไอแมคที่ตั้งเด่นหราอยู่บนมุมซ้ายของโต๊ะทำงานนั้นก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี
“ตามสบาย”
อนุญาตเสร็จร่างสูงก็เดินไปยังมุมของเครื่องดนตรี หินทรุดตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเปียโนเป็นอันดับแรก เริ่มต้นทำสมาธิด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึก ตัดทุกสิ่งรอบตัวออกไปจากหัวแล้ววางนิ้วลงบนแป้น
เสียงเครื่องดนตรีแสนหวานดังขึ้นในความเงียบ ผู้บรรเลงปิดเปลือกตาขณะนิ้วมือยังทำหน้าที่อย่างพลิ้วไหว ราวกับทุกประสาทสัมผัสคุ้นชินจนไม่ต้องใช้สายตา จิตวิญญาณของนักดนตรีที่แสดงออกมาทำให้แฟนนิ่งมองไม่แม้แต่จะกะพริบตา ความคิดที่ว่าจะหาอะไรทำปลิวหาย
ตอนอีกคนตีกลองก็ให้ความรู้สึกอีกแบบ...แต่ไม่ว่าจะแบบไหน เวลาหินอยู่กับเครื่องดนตรีก็ล้วนแต่น่ามอง
ไม่เพียงแต่เจ้าตัวที่ตกอยู่ในห้วงของดนตรี ทว่าคนที่มองก็ถูกดึงให้หลุดเข้าไปอยู่ในภวังค์นั้นเช่นกัน
2 ชั่วโมงผ่านไป“อะ” ขวดน้ำเย็นเฉียบถูกยื่นมาตรงหน้ายามหินกำลังนั่งอยู่หลังกลองด้วยสภาพเหงื่อโซมกาย
เสื้อกล้ามที่สวมใส่ถูกถอดออกจนส่วนบนเหลือเพียงความเปลือยเปล่ามันเลื่อม ไม่ว่าจะเวียนไปซ้อมเครื่องดนตรีชนิดใด สุดท้ายก็ต้องจบลงที่เครื่องดนตรีคู่ใจไปทุกครั้ง
เพราะกลองได้ใช้แรง เลยชอบเป็นพิเศษ
“เบื่อไหม” เอ่ยถามพลางเอื้อมมือที่ออกแรงจนเป็นรอยไปหยิบน้ำมาดื่ม
“ดูมึงไปก็เพลินดี”
“กูลืมไปเลยว่ามึงอยู่ในห้อง”
“ก็เล่นจริงจังซะขนาดนั้น...ไม้กลองมึงสวยดี มีสลักชื่อด้วยเหรอ”
แฟนเอ่ยไปอีกเรื่องเมื่อมายืนอยู่ใกล้ๆแล้วสังเกตเห็นว่าไม้กล้องที่ถูกวางเอาไว้มีชื่อของหินสลักอยู่ด้วยตัวเขียนเล็กๆตรงส่วนปลาย
“อืม เป็นไม้กลองสั่งทำ” หินวางขวดน้ำลงแล้วหยิบไม้กลองขึ้นมาควงเล่นด้วยความเคยชิน
“ถึงขั้นต้องสั่งเลยเหรอ” น้ำเสียงนั้นสูงขึ้นเนื่องด้วยความแปลกใจ
“ก็แล้วแต่ความพอใจ มึงจะใช้ที่เขามีขายอยู่ทั่วไปก็ได้ หรืออยากได้อันพิเศษที่เป็นแค่ของตัวเองก็ได้”
อธิบายพร้อมทั้งจับจ้องไม้กลองคู่ใจในมือตัวไปเงียบๆ ในหัวมีความคิดบางอย่างวิ่งวน
“แล้วเวลาสั่งทำนี่ต้องบอกอะไรบ้าง”
“นึกยังไงถึงถามเป็นเจ้าหนูจำไม”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัยแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ ซ้ำยังยินดีที่จะตอบคำถาม
“ก็อยากรู้เฉยๆ กูไม่เคยรู้เรื่องอะไรพวกนี้มาก่อน” แฟนเอ่ยตอบ
“หลักๆจะบอกเรื่องขนาดความเล็กใหญ่ของไม้และรูปทรงของหัวไม้กลอง แต่ละขนาดและรูปทรงก็แล้วแต่ว่านักดนตรีอยากใช้เล่นกับเพลงสไตล์ไหน นอกจากขนาดก็มีวัสดุที่ใช้ทำ ปกติทั่วไปที่มึงรู้อยู่แล้วก็คือไม้กลองทำจากไม้ แต่มันยังมีแบบอื่นอีกโดยสามารถเปลี่ยนตรงส่วนหัวที่ทำจากไม้เป็นอย่างอื่น เช่นหัวไม้กลองที่ทำจากไนลอน วัสดุตรงนี้ก็จะส่งผลต่อเสียงเวลาตีเช่นกัน ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของเนื้อไม้ อะไรประมาณนั้น”
คำอธิบายยืดยาวผ่านเข้าหูของคนฟังพร้อมทั้งใช้เวลาประมวลผลชั่วครู่จึงได้เข้าใจแบบแจ่มแจ้ง
“อันนี้สวยตรงที่มีชื่อมึง”
Sila ตัวอักษรสี่ตัวที่มาจากชื่อจริงของหินถูกสลักเรียงอย่างสวยงาม อาจเพราะแฟนชอบชื่อของอีกคนจึงรู้สึกว่าคำนี้มันสวยเวลาที่ถูกเขียนลงบนอะไรสักอย่าง
“อยากได้ไหม”
“หืม”
เสียงร้องในลำคอดังขึ้นเมื่อหินเอ่ยประโยคที่ไม่คาดคิด มุมปากได้รูปโค้งคิดเล็กน้อยยามเบี่ยงตัวมาด้านข้างแล้วรั้งอีกคนมายืนตรงหว่างขา
ใจจริงอยากจะดึงเข้ามาแนบชิดกว่านี้แต่เพราะร่างกายตัวเองชื้นไปด้วยเหงื่อจึงต้องเว้นระยะห่าง
“คู่นี้กูให้มึงเก็บไว้” ไม้กลองในมือหนาถูกยกขึ้นมาตรงหน้า
“ให้เก็บทำไม” แฟนเอ่ยถามเสียงฉงน
“จะได้สมกับที่เป็นเมียนักดนตรี” “...”
“กลองเป็นเครื่องดนตรีที่กูชอบและรักที่สุด เป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่หัดเล่นตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ” เสียงทุ้มพูดเรียบเรื่อยยามสองสายตามองสบกันนิ่ง
“กูกลัวทำหาย” แฟนยังคงไม่รับมาพลางบอกเหตุผลที่ตัวเองลังเล
“ไม่หายหรอกน่า...รับไป”
“ถ้ากูทำหายมึงจะโกรธไหม”
ดวงตาสวยวูบไหวไปชั่วครู่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
“มึงไม่ได้ตั้งใจก็ไม่โกรธ ขอแค่ถ้าวันไหนงอนกูมากก็อย่าหักมันทิ้งหรือโยนลงถังขยะก็เป็นพอ เพราะอันนั้นคงโกรธแน่”
“ใครจะทำแบบนั้นกัน”
ปากเล็กยื่นออกมายามเอ่ยพูดพลางตัดสินใจรับไม้กลองของหินมาไว้ในมือ
สภาพซึ่งผ่านมาใช้งานมาอย่างยาวนานไม่ได้ทำให้มันดูเก่าแต่กลับดูดีในความรู้สึก ร่องรอยการถลอกของเนื้อไม้คือสิ่งที่บ่งบอกว่ามันผ่านช่วงเวลาหนึ่งมาพร้อมกับหิน
“ถ้าให้กูแล้วมึงจะใช้อะไร”
“นักดนตรีที่ไหนมีไม้กลองคู่เดียว”
แฟนพยักหน้ารับเชื่องช้าขณะพินิจดูของในมือโดยละเอียด กระทั่งพอใจจึงเบือนสายตามองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“จะรักษาอย่างดี” คำสัญญามาพร้อมกับรอยยิ้มบางพาให้คนมองยกยิ้มตาม
“ถ้าวันไหนอยากลองเล่นกลองกูจะสอนให้”
“จริงเหรอ” น้ำเสียงนั้นเจือความตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายวาววับ
“อยู่ที่ว่ามึงสนใจไหม”
“สนสิ เอาไว้หลังกลับมาจาก...เออ กูบอกมึงหรือยังว่าก่อนสงกรานต์ครอบครัวกูจะไปซานโตรินีกันประมาณสามสี่วัน”
ใบหน้าของคนพูดเปลี่ยนไปก่อนจะเล่าเรื่องที่นึกขึ้นมาได้ ส่วนคนฟังนั้นส่ายหน้าตอบ
“ยัง”
“อือ นั่นแหละ ไปอาทิตย์หน้า กลับมาเล่นสงกรานต์วันที่14”
เพราะเป็นแผนการที่เพิ่งได้ข้อสรุปจึงยังไม่ได้บอกอีกคนให้แน่ชัด กระทั่งคิดเรื่องของช่วงเวลาขึ้นมาจึงนึกขึ้นได้
“อืม กูคงกลับขอนแก่น” หินรับคำพลางบอกแพลนของตัวเองในช่วงเวลาดังกล่าว
“กูอยากไปเล่นน้ำที่ขอนแก่นบ้าง”
ได้เห็นเพียงจากข่าวในโทรทัศน์แต่ยังไม่เคยได้ไปถึงที่เลยสักครั้ง เมื่อได้ยินหินบอกจะกลับขอนแก่นเลยเกิดความอยากไปด้วยขึ้นมา
อีกอย่างจะได้ไปเรียนรู้วิถีของหิน สถานที่เติบโต ความเป็นอยู่...คงสนุกน่าดู
“หึ เอาไว้ปีหน้าก็เปลี่ยนจากไปต่างประเทศเป็นต่างจังหวัด”
“ก็น่าสน ไปกันทั้งครอบครัว” เมื่อลองคิดภาพตามแล้วก็ยิ้มออกมากับตัวเอง
ไม่ต้องเหนื่อยเดินทางแถมยังเป็นวันหยุดยาวที่จะได้อยู่กับหินและครอบครัว...ดีที่สุดเลยล่ะ
“เอาสิ มาพักบ้านกู ถ้าครอบครัวมึงอยู่ได้นะ”
ประโยคนั้นทำให้แฟนกะพริบตามองคนตรงหน้า คำเอ่ยชวนส่งผลต่อใจจนเกิดความรู้สึกสั่นไหว
“กลัวแต่บ้านมึงสิจะลำบาก ครอบครัวกูมีตั้งหลายคน”
เสียงที่เอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก เพียงแค่คิดถึงการรวมตัวของทั้งสองครอบครัวซึ่งบ่งบอกความสัมพันธ์แล้วริมฝีปากก็พลันจะฉีกยิ้ม รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
“หึ เอาไว้จะไปจริงแล้วค่อยว่ากัน”
แผนการในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงในเร็ววันถูกพักเอาไว้เพราะเวลาอีกยาวไกล แฟนพยักหน้ารับยามคิดถึงเรื่องครอบครัวอยู่ในหัว ส่วนทางด้านหินกลับกำลังคิดถึงเรื่องอาทิตย์หน้าที่แฟนจะไม่อยู่
บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง การต้องอยู่ห่างกันและยาวนานขนาดนี้เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรก
“มึงจะไปอาบน้ำรึยัง เดี๋ยวกูจะเอานี่ไปเก็บก่อน”
เรื่องในหัวถูกพับเก็บก่อนจะถามหินขึ้น กายใหญ่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อจนเส้นผมตามกรอบหน้าเปียกชื้น พอไม่มีเรื่องอะไรให้คิดแล้วถึงเพิ่งรู้ว่าภาพตรงหน้านี้ชวนมองแค่ไหน
อึก
เหมือนจะได้ยินเสียงกลืนน้ำลายตัวเอง
ตอนหินตีกลองอยู่ก็ว่าฮ็อตแล้ว พอได้มายืนอยู่ใกล้ๆจนได้กลิ่นเหงื่อจางๆแบบนี้ความคิดยิ่งถลำไปไกล
“อืม มึงไปนอนเถอะ ตื่นมาต้องกลับบ้านอีก”
“อะ อือ”
รับคำเสียงสั่นจากนั้นร่างเล็กจึงรีบหมุนตัวเดินออกจากห้องเพื่อเอาไม้กลองนี้ไปเก็บ ก่อนที่ตัวเองจะเผลอแสดงออกให้อีกคนรู้ตัว
ใช่ว่าจะมีแค่หินที่คิดแต่จะลากเขาขึ้นเตียงเสียเมื่อไหร่...
--
“ยู๊ได่ฮอดวันที่สิบห่า วันที่สิบหกต่องกลับมาสอน...ครับ...จั้งได่สิบอกอีกเทือ...สวัสดีครับ” (อยู่ได้ถึงวันที่สิบห้า วันที่สิบหกต้องกลับมาสอน...ครับ...ยังไงจะบอกอีกที...สวัสดีครับ)
เสียงบทสนทนาด้วยภาษาไม่คุ้นชินทำให้คนนอนค่อยๆรู้สึกตัวตื่น แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามพูดคุยด้วยเสียงอันแผ่วเบาทว่าเมื่อแขนเล็กควานไปข้างตัวแล้วไม่พบกับร่างที่อยากซุกซบเปลือกตาจึงขยับเปิด
หินที่เห็นการขยับตัวนั้นจึงยื่นมือไปจับมือเล็กเอาไว้ เอี้ยวตัวไปเก็บโทรศัพท์เสร็จจึงเอนกายนอนลงแล้วรั้งร่างของแฟนเข้ามากอด
“กูทำมึงตื่นเหรอ”
ตอนนี้ยังคงเป็นเวลาเช้าตรู่สำหรับการจะตื่น กว่าแฟนจะกลับบ้านก็คงเป็นตอนบ่าย ถือว่ายังมีเวลาอีกมาก
“อือ”
คนเพิ่งลืมตาหลับลงอีกครั้งเมื่อความอบอุ่นโอบกระชับรอบตัว สัมผัสที่แนบชิดทำให้รู้สึกสบายจนต้องเบียดกายเข้าหา ใบหน้าซุกซบอยู่กับอกกว้าง เส้นผมที่ระอยู่กับผิวเนื้อส่งผลให้หินรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย
“นอนต่อซะ”
เสียงทุ้มที่กระซิบอยู่เหนือหัวดังห่างไกลออกไปทุกที กระทั่งแฟนหลุดเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้ง
“ตัวมึงอุ่นๆ จะไม่สบายหรือเปล่า”
หินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากถอนปากออกจากการจูบลา ลมหายใจที่หลอมรวมกันร้อนกว่าปกติจนสัมผัสได้ ยิ่งยามฝ่ามือหนาวางทาบลงบนหน้าผากเล็กเพื่อวัดไข้ ความสงสัยยิ่งชัดเจน
“ไม่รู้สิ” เจ้าตัวตอบ แม้จะรู้สึกอึนๆอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่มากพอจะรู้สึกว่าตัวเองป่วย
“ยังไงก็กินยาไว้หน่อยแล้วกัน จะขับรถไหวรึเปล่า”
“ไหว แค่นี้เอง”
คนเป็นห่วงไม่วางใจ ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าเนียนที่ยังคงดูปกตินิ่ง ถึงภายนอกแฟนจะยังดูไม่เป็นไรแต่หินยังอดเป็นกังวลไม่ได้
“กูไปส่งมึงดีกว่า”
“ฮื่อ ส่งทำไม เดี๋ยวมึงก็ต้องกลับไปกลับมา”
แฟนส่ายหน้าปฏิเสธ บ้านกับคอนโดไกลกันไม่น้อย การจราจรในกรุงเทพยิ่งทำให้เสียเวลาไปกันใหญ่
“กลับไปกลับมาก็กลับไปกลับมา” ยิ่งมือหนาสัมผัสซอกคอบางคิ้วเข้มยิ่งขมวดมุ่น
“กูไหวน่า”
“อย่าดื้อ”
เสียงที่เอ่ยเข้มขึ้นโดยไม่รู้ตัวจนแฟนได้แต่กะพริบตา แค่ตัวอุ่นนิดเดียวอีกคนกลับทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ถึงอย่างนั้นคนถูกเป็นห่วงก็ย่อมเกิดความรู้สึกดี บวกกับอาการของตัวเองแล้วจึงยิ่งอยากอ้อนเข้าไปใหญ่
“มึงก็อย่าดุนักสิ”
หัวเล็กโน้มลงซบกับอก องศาและที่ประจำยามแนบชิด เพียงแต่ครั้งนี้เป็นการยืน ไม่ใช่การนอนแบบหลายครั้ง
ส่วนคนที่ถูกอีกคนออดอ้อนด้วยทั้งคำพูดและการกระทำก็ถอนหายใจ สุดท้ายจึงทนไม่ไหวที่จะยกมือขึ้นโอบร่างบางเข้าหา ลมหายใจแห่งความเป็นห่วงถูกพรูออก
ถึงจะสบายใจที่อย่างน้อยแฟนก็จะได้อยู่ในการดูแลของคนในครอบครัว แต่ใจนั้นกลับอยากเป็นคนดูแลคนป่วยเสียเอง
หน้าที่นี้ หินรับมันมาจากพ่อและแม่ของแฟนแล้ว
“เป็นอย่างนี้จะไม่ให้ดุยังไง” คำพูดช่างสวนทางกับการกระทำอันอ่อนโยนจนแฟนระบายยิ้ม
“จะไปส่งก็แล้วแต่มึง แต่ต้องให้คนที่บ้านกูมาส่งเหมือนกัน โอเคไหม”
“อืม เดี๋ยวกูไปเอายามาให้กิน เสร็จแล้วจะได้รีบไป”
มือหนาดันคนในอ้อมกอดออกก่อนจะรีบหมุนตัวก้าวไปหายามาให้ ขณะที่แฟนนั้นได้แต่มองตามร่างสูงไปพร้อมรอยยิ้ม
การถูกเป็นห่วงนี่มันดีต่อใจจริงๆนะ
TBC.
มาแล้วค่า ฮือ ตอนนี้เรื่อยๆกว่าตอนที่แล้วอีกค่ะ>< แต่ความจริงแล้วมันมีความหมายมากๆในทุกฉากเลยน้า
เอามาลงให้ก่อนเพราะวันพรุ่งนี้กับมะรืนโซแอลไปคอนค่ะ อิอิ
อ่านแล้วเป็นยังไงคอมเมนต์มาติชมได้น้า ตอนหน้ามาดูคนน้องป่วยกันค่ะ จุ๊บ
ฝากแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ อ่านทุกคอมเมนต์ ทุกแท็ก ทุกข้อความเลยจริงๆ^^
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ