ป ฐ ม บ ท ¬• จ้ า ว ธ า ร า
-๗-
“…จ้าวพี่โคจร…” มันคือความเงียบงัน
…ยิ่งกว่าความเงียบทั้งหมดที่เคยเผชิญมาก่อนในชีวิต
หลังจากน้ำเสียงสั่นระริกที่เปรยเรียกออกไปอย่างลืมตัวเช่นนั้น ก็ไม่มีใครแม้แต่จะขยับตัวหรือส่งเสียงอันใดอีก ทั้งสี่คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ทำสีหน้าราวกับมีใครเอาน้ำเย็นมาสาดโครม และยืนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น จ้องมองตรงไปยังสถานการณ์ด้านหน้า
ยกเว้นเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มใส หลั่งรินอย่างไร้ซึ่งความหมาย
อ้ายรดินและอ้ายสหัสมองหน้ากัน ก่อนทั้งคู่จะเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน…พวกเขาเปลี่ยนมายืนห่างกันสองช่วงแขน โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไม ไม่ว่าใครตรงนั้นก็คงอยากถามหาเหตุผลออกมา แต่…ไม่มีคำตอบ ไม่ว่าใครตรงนั้นก็ให้คำตอบของเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
และในเพลาต่อมา เด็กหนุ่มจึงได้เบือนสายตาหันไปมองอ้ายพี่แสนตาของตนที่ข้างตัว
ดวงหน้าคมเข้มไม่แสดงสีหน้าใดๆนอกจากมองตรงไปข้างหน้า หันไปมองคนที่เคยเป็น ‘เพื่อนรัก’ ครั้งหนึ่ง…แล้วปลายสายตามอง ‘ภรรยา’ ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง กิริยาเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่องช้า…กระทั่งแผ่นอกแกร่งก็ไม่มีวี่แววของการกระเพื่อม ราวกับว่าจระเข้ตนนี้ลืมแม้กระทั่งเวลาหายใจของตัวเอง
จ้าวโคจรขยับตัวตาม ก้าวเท้าเข้ามาหา..อย่างเชื่องช้า
แต่อีกคนกลับยกมือขึ้น หมายมาดให้เพื่อนรักหยุดอยู่ตรงนั้น
มันเป็นการกระทำที่พันวังมองแล้วเผลอหลั่งน้ำตาออกมาจนเปียกแก้ม ผิวหน้านุ่มค่อยแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดแข็งตามร่องรอยความชื้น กระนั้นเขาก็ห้ามไม่ได้ ต่อให้ต้องร่ำไห้จนร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นจระเข้เสียเต็มตัวเขาก็ห้ามมิได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา…จริงอยู่ที่เขารับรู้ความรู้สึกที่อ้ายพี่โคจรมีต่อแม่หญิงบุหลัน รับรู้…และเก็บซ่อนไว้ภายในเสมอ ปกปิดความจริงด้วยความภักดี แม้จะหึงหวงมากมายแค่ไหน…ก็ต้องยอรับว่าตนต่ำทรามขนาดยอมร่วมรักกับจ้าวต่างแดนเพื่อระบายความทุกข์ในอกได้ แย่ถึงขนาดเอาความรู้สึกของอ้ายพี่มาล้อเล่นเช่นก่อนหน้านั้น
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ตั้งตัวได้ ด้วยเพราะอีกฝ่ายกำลังจะแต่งงาน..ไม่ควรมีภาระพันผูกกับนายกำนัลต่างถิ่น พวกเขาคิดว่าเรื่องทั้งหมดใกล้จะจบลงด้วยดี…ด้วยคืนแต่งงานที่คงทำให้สถานการณ์เคลือบแคลงเช่นนี้มันจางหายลงไป
….แล้วนี่อะไร?
…….สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้…คืออะไร? ที่แย่ไปกว่านั้น…กับอ้ายพี่แสนตาที่แสนดีของเขา……… พันวังไม่รู้ว่าตัวเองเผลอทำสีหน้าเช่นไรออกไปให้จ้าวเหนือหัวของตัวเองเมื่ออีกฝ่ายทอดมองมา เขารู้แต่เพียงว่าน้ำตานี่ทำให้ภาพพร่าเลือนเหลือเกิน ขาที่ยืนอยู่ก็ซัดเซไร้เรี่ยวแรงแทบจะล้มเสียตรงนั้น
ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้…แล้วอ้ายพี่แสนตาเล่า
..หนึ่งก็เพื่อนรัก ส่วนอีกหนึ่งก็ภรรยาของตัวเอง..
ในอกเขาเสียใจและผิดหวัง แต่ความรู้สึกที่แทรกขึ้นมายิ่งกว่านั้นคือความสงสารคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขารู้ว่าตัวเองเจ็บแค่ไหน และ..รู้ว่าคนตรงหน้าเจ็บทบทวีมากกว่าเพียงใด แม้ดวงหน้านั้นจะไม่แสดงอะไรออกมาเลยก็ตาม
“พวกเจ้า….” นาน…นานมากพอที่จะได้คิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆ ถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดมา
แสนตาสูดลมหายใจ หยดน้ำหนึ่งไหลรินออกจากดวงตา
“…ออกไป…จากบ้านข้าบัดเดี๋ยวนี้…”= = = = = = = = = =
คืนเดือนมืด
จากเพลาที่ทุกอย่างใกล้จะมืดสนิท กลับสว่างไสวขึ้นอีกครั้งด้วยไฟจากตะเกียงน้ำมันตามจุดต่างๆ เสียงสับเท้ากระทบพื้นไม้ดังไปทั่วเสมือนเป็นเวลาฟ้าสางก็มิปาน คล้ายกับเรือนไม้หลังนี้กำลังตื่นขึ้น…ตื่นขึ้นผิดเวล่ำเวลา
ประตูเรือนบ่าวรับใช้เปิดผ่างออก พร้อมเจ้าของดวงตาข้างเดียวจึงได้กล่าวเข้าไปในห้อง แล้วหยิบค้อนมาฟาดระฆังด้านหน้าเรือนให้ดังเหง่งหง่างสั่นสะเทือนอยู่นาน
จระเข้น้อยใหญ่พากันผุดลุกเงยหน้าขึ้นมาจากที่นอนเรียงรายกัน แล้วถามเสียงไม่สร่างเมา
“อะไร? มีเรื่องอะไรกันรึ!?”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“ศัตรูบุกรึไร?”
“มิใช่ดอก พวกเจ้าสิเตรียมตัวกลับเมืองพิจิตรได้แล้ว” คำตอบสั้นๆเช่นนั้นทำให้คนฟังทุกคนเลิกคิ้ว หันมาสบตากันอย่างมึนงงนัก
“มีเหตุอันใดเกิดขึ้นรึ?”
“โปรดอย่าซักถามนัก” รดินกล่าว ตั้งหน้าตั้งตาเก็บสัมภาระของตัวเอง “เก็บข้าวของเสีย เราจะออกเดินทางจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
“อ้ายรดิน…”
“อย่าถามข้า” เขาพูด ด้วยน้ำเสียงที่ปรับให้เรียบนิ่งมากที่สุด
“…ได้โปรด” จนทุกคนที่กึ่งหลับกึ่งตื่นในเรือนบ่าวจำต้องพยักหน้าเข้าใจ แล้วเริ่มต้นปฏิบัติตามอย่างเสียมิได้ ใครบางคนจุดไฟที่กลางเรือน แสงสว่างเพียงเล็กน้อยเหล่านั้นก็มากพอจะให้ทุกคนกวาดข้าวของส่วนตัวลงถุงย่าม..ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เตรียมตัวพร้อมแน่นอนนัก
กลุ่มหนึ่งไปเตรียมนำเรือเข้าเทียบท่า อีกกลุ่มหนึ่งได้รับอนุญาตให้ขนบรรดาอาหารออกจากครัว แม้จะไม่มาเป็นลักษณะของปิ่นโตเรียบร้อยแต่ก็พอประทังความหิวโหยระหว่างทางไปได้
“เกิดเหตุอันใดขึ้นรึ?”
“มิรู้สิ..ถามข้าแล้วข้าจักไปถามผู้ใด”
“แล้วท่านจ้าวเล่าไปไหนเสีย”
“เดี๋ยวก็คงมากระมัง”
“ง่วงนัก…นี่คิดเช่นใดจึงจะออกเดินทางเวลานี้กันเนี่ย”
“ข้าสิยังมิได้หลับสักตื่น จะหอบเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปถึงพิจิตรได้เล่า”
คำถามมากมายดังขึ้นมาเซ็งแซ่ระหว่างเตรียมการ ไม่นานเรือก็ทยอยกันเข้ามาเทียบท่า พร้อมๆกับลำเลียงลูกเรือลงไปประจำตำแหน่ง
อ้ายรดินแบกอ้ายอินทรที่หลับใหลเมาไม่ได้สติโยนขึ้นเรือไปก่อน แล้วเป็นคนบังคับการเองทั้งๆที่รู้ดีว่าความรู้สึกตน…ก็มิได้ปกตินัก ไม่ต่างจากใครต่อใครเลยด้วยซ้ำ แต่ในเพลาเช่นนี้ใครเล่าจะสั่งการได้เช่นปกติ
..วาระที่เห็นจ้าวของตัวเอง…กระทำการเช่นนั้น.. หากตนเองเป็นจ้าวแสนตาคงได้เข้าไปต่อยเสียหนึ่งหมัด ซ้ำยังไม่ฆ่าให้ตายก็ดีถมเถไป แต่ด้วยตนเป็นเพียงบ่าวรับใช้อีกนายหนึ่ง จะว่ากระไรได้เล่า
…หากนึกอย่างเห็นแก่ตัวก็เพียงแค่ทีนี้ชาวเราก็มิต้องกังวลเรื่องการสืบเผ่าพันธุ์อีกต่อไป เพียงแค่ ‘ขโมย’ นางกลับมาเพียงเท่านั้น ขโมยด้วยวิธีที่ย่ำแย่ที่สุด มากพอจะทำลายความรู้สึกและสัมพันธ์อันดีที่มีมาตลอดหลายสิบปีนี่
ชายหนุ่มทอดสายตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของตัวเองขึ้นไปยังบนเรือนใหญ่ ระหว่างโบกมือไล่พวกบ่าวรับใช้ตนอื่นลงเรือกันไปเสียก่อน
…ฤๅไมตรีอันดีจะขาดสะบั้นลงเพียงเท่านี้…
…พิจิตรและอโยธยา…
ฝ่ายพันวังนั้นยังอยู่บนเรือน เขาเป็นคนปิดประตูห้องอ้ายแม่หญิงบุหลันด้วยมือตัวเอง
เด็กหนุ่มหยุดที่จะสะอึกสะอื้น หยาดน้ำตาทุกหยดแห้งลงไปอย่างง่ายดายเหลือเกิน แล้วจึงหันกลับมาเดินตามชายหนุ่มเจ้าของผิวสีเข้มไปแทน ทิ้งให้จ้าวโคจรและแม่หญิงบุหลันแต่งกายให้เรียบร้อยอยู่ในห้อง ด้วยเวลาที่ไม่รู้ว่าอ้ายพี่จะให้มากมายเท่าไหร่
โดยไม่ต้องเดาเลย…จ้าวแสนตาเตรียมจะเดินเข้าห้องด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆเหมือนเช่นก่อนหน้านี้
…และภาพที่เห็นนั้นช่างเจ็บปวดนัก… “อ้ายพี่แสนตา” คำที่เรียกนั้นทำให้เจ้าของนามชะงักอยู่ตรงประตูห้อง อีกคนไม่ได้หันมา
“…มีกระไรรึ…น้องพันวัง?”
เสียงที่เอ่ยทั้งแหบแห้งและสั่นพร่า แผ่นหลังกว้างสีน้ำตาลนี้ดูอ่อนแอยิ่งกว่าที่เคยเห็นครั้งไหนๆ กระนั้นก็ยังรักษากระแสเสียงอ่อนโยนที่ใช้พูดกับเขาเป็นประจำไว้ได้
ร่างโปร่งสูดลมหายใจสะอึก ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหา
“…เป็น…อะไรรึเปล่าขอรับ?”
อีกฝ่ายหลับตาลง ยกมือกดนวดที่หว่างคิ้วของตัวเอง..ทั้งน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “จะเป็นกระไรเล่า แค่เห็นเพื่อนรักกับเมียร่วมเตียงกัน…มิใช่เรื่องที่น่าหนักใจอะไรนักดอก”
“อ้ายพี่….”
“ข้าสิ…ข้าผิดเอง…”
เขายังคงพูดต่อไป เสียงทุ้มแหบสั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าสิบอกไปแล้วว่าอ้ายแม่หญิงมีสิทธิเลือก มีสิทธิที่จะรักใคร เลือกใคร หรือแม้กระทั่งร่วมหลับนอนกับใคร ข้าสิให้โอกาสนางเสมอ ด้วยเป็นตัวเมียที่เหลืออยู่เพียงไม่มาก…นั่นก็ล้ำค่านักแล้ว”
“อ้ายพี่…”
“ช่างน่าขันนัก” ชายหนุ่มนึกขำ แต่นั่นช่างฝืนเหลือเกิน ”ทั้งที่บางที..ข้าคิดว่าหากอ้ายแม่หญิงตั้งท้องลูกของอ้ายโคจรด้วยข้าก็มินึกห้าม เพื่อเผ่าพันธุ์ของเราจะได้ดำรงสืบไป…ไม่ว่าจะเป็นพิจิตรหรืออโยธยา…”
คราที่จ้าวโคจรแบ่งปันนายกำนัลคนโปรดให้ หรือจะกี่ร้อยกี่พันครั้งที่พวกเขามีน้ำใจไมตรีต่อกัน ด้วยเป็นจระเข้ ด้วยเป็นพี่น้องที่มีเหลืออยู่ไม่มากนัก
…หรือจะด้วย…อะไรก็ตามแต่ “ข้าเพียง…เพียงแค่คืนนี้ คืนนี้มันเป็นคืนแต่งงานของข้า” คำนั้นหลุดออกมาดัง คล้ายจะขาดใจ
“…ข้าก็แค่โดน ‘ทรยศ’ เท่านั้นเอง…” เบาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งก้อนตะกอนตกค้างคาไว้ในจิตใจ
บรรยากาศกลับเข้าสู่ความเงียบงันอยู่เนิ่นนาน คงฟังรู้สึกคอแห้งคล้ายกลืนกำทรายหนึ่งหยิบมือ แต่ก็ทำอะไรมิได้นอกจากยืนมองแผ่นหลังสะท้านนั่นอยู่แบบนั้น ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทรกกลาง ปล่อยให้เงาจากแสงไฟตะเกียงที่หัวเรือนขยับไหววูบ
“…เจ้าจงรีบไปเก็บของเสีย” นาน..ก่อนจะพูดต่อ “…ตามจ้าวพี่ของเจ้ากลับไปเสียเถิด”
“แต่อ้ายพี่…”
“รีบไปเถิด” เขาย้ำ..อีกครั้งหนึ่ง “..ข้า..อยากอยู่คนเดียว”
พันวังคิดว่าตัวเองบ่อน้ำตาตื่นเสียเหลือเกิน เขาขยับกายเข้าไปกอดอีกคนจากด้านหลัง แล้วซุกหน้าลงที่แผ่นหลังกว้าง…ก่อนแน่นิ่งอยู่แบบนั้น
“….ข้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้….” คำนั้นพูดออกไปไม่ชัดนัก ทั้งน้ำมูกน้ำตาพาลอึดอัดไปเสียหมด
“ข้าปล่อย…ให้ท่านอยู่เพียงคนเดียวมิได้….” ..อ้ายพี่แสนตาที่แสนดี.. กี่ร้อยกี่พันครั้งที่อ้อมแขนนี้กอดเขาด้วยความรักความอ่อนโยน คอยปลอบประโลมยามเจ็บช้ำไม่ว่าเรื่องอะไร คำหวานทุกคำที่พร่ำบอกพร่ำเอาใจ หรือแม้กระทั่งสีหน้าตอนที่ตัวเองเนี่ยแหละเป็นคนเอื้อนเอ่ยบอกตัดความสัมพันธ์
ไม่ว่าจะครั้งไหนหนใด จ้าวแสนตาก็เก็บอารมณ์ได้ดีเสมอ เขาต่างจากจ้าวโคจรที่มักแสดงสีหน้าท่าทางที่หลากหลาย แต่นั่นมิได้หมายความว่าไม่ได้มีความรู้สึกรู้สา เพียงแค่เก็บซ่อนอารมณ์ต่างๆไว้ข้างในเท่านั้นเอง
แตกต่าง…ตรงที่แม้กระทั่งความเจ็บปวดนี้ก็ไม่มีใครเข้าใจ…
“..ข้าจักอยู่กับอ้ายพี่แสนตา..”TBC===================