ป ฐ ม บ ท ¬• จ้ า ว ธ า ร า
-๑๐-
ขบวนลำเรือเตรียมอพยพถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างเร่งด่วนอีกครั้งหนึ่งตอนเช้ามืด เหล่าจระเข้แทบทุกตัวเก็บข้าวของด้วยใบหน้าเศร้าหมองและอิดโรยนัก มีเพียงกลุ่มหนึ่งที่อาสาจะอยู่ยั้งเฝ้าเรือนนี้ หากโชคดีสถานการณ์สงบลงจึงจะตามเผ่าพันธุ์กลับมาดังเดิม
…และพันวังเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
แม้ว่าจะมีปากเสียงกับจ้าวแสนตาไม่น้อยเลยก็ตาม
“เจ้าไปเสีย!”
“ข้าไม่ไป!”
“เด็กดื้อ!”สุรเสียงแหบทุ้มร้องลั่น ตรงไปเก็บข้าวของอีกคนยัดใส่ถุงย่ามแบบรวกๆ “รีบไปเสีย ก่อนจะไม่มีโอกาส”
“ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“พันวัง”
“ข้าจะอยู่ที่นี่ หากต้องตาย…จักตายกับอ้ายพี่”
ชายหนุ่มยกมือลูบหน้า “ข้าสั่งให้เจ้าไปเสีย”
“ข้าไม่ไป!”
“เจ้ามิเชื่อฟังข้ารึ!?”
“หากข้ามิเชื่อฟังแล้วท่านจะทำเช่นไรรึ? จะเฆี่ยมตีหรือประหารข้าเล่า?” ดวงหน้าน่ารักเชิดขึ้นอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะเอ่ยคำต่อ “ถ้าเช่นนั้นก็มาเลย…ข้ามิกลัวดอก”
คำท้าทายเช่นนั้นหากไม่ได้เอ่ยออกมาจากคนตัวเล็กก็ไม่รู้เลยว่าจะเป็นเช่นไร หากเป็นบ่าวคงอื่นคงไม่ยากที่จะจับเฆี่ยนตีดั่งคำนั้นว่า อีกฝ่ายยกมือลูบหน้าอีกครั้งด้วยปลงในสถานการณ์ เขาลุกขึ้นปล่อยให้ถุงย่ามสีเข้มตกลงกองที่พื้น แล้วเดินกลับเข้ามาหาเจ้าตัวดีที่ถอยหลังกรูด ตรงไปกอดเสาเตียงไม่ยอมปล่อย
“ท่าน…ต่อให้ท่านใช้กำลังข้าก็ไม่ไปไหน” มือเล็กกอดเสาเตียงแน่น ใช้ดวงตากลมโตจ้องมองตรงมา
“เอาดาบเอาหอกมาแทงข้าเสีย แล้วลากศพข้าขึ้นเรือก็แล้วกัน” คนฟังยกมือก่ายหน้าผาก “เจ้าไปเอาคำเปรียบเปรยเช่นนั้นมาจากไหนกันน่ะ…”
“ข้าแค่จะบอกว่าข้าไม่ไป”
“เจ้าก็เห็น…อยู่ที่นี่อันตรายนัก” ร่างสูงใหญ่เอ่ยเสียงเบา ทิ้งตัวนั่งลงที่ข้างตัวก่อนเอื้อมมือไปรั้งเอวบางมานั่งที่ตัก “หากวันนั้นเจ้าดื้อกว่านี้ รั้นจะอยู่ข้างกายข้ายามรบมิยอมไปหลบซ่อนตัว ข้าก็มิรู้จะปกป้องเจ้าได้รึไม่”
มือกร้านเกลี่ยแตะที่ข้างแก้มแผ่วเบาคล้ายกำลังสัมผัสประติมากรรมแก้วละเอียด เด็กหนุ่มเอียงหน้ารับเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้น…ก่อนริมฝีปากหยักจะกดทบแนบลงมา แล้วเกลี่ยรสจูบหอมหวานจนร่างกายร้อนผ่าวอีกครา
“…ข้าจะอยู่กับอ้ายพี่” เสียงหวานกล่าวออดอ้อน “ได้โปรด ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“เจ้านี่ช่างดื้อนัก”
“ข้าสิดื้อได้มากกว่านี้อีก”
“ให้ตายสิ…”
“ได้โปรด…อย่าไล่ให้ข้าไปไหน” ร่างโปร่งกระซิบบอกแผ่วเบา กอดเกี่ยวอีกคนไว้แน่น
“หากท่านปล่อยข้าไป จะกี่ร้อยกี่พันหนข้าก็จะกลับมา” น้ำคำนั้นหวานนัก จนอีกฝ่ายอดจะปรือตามองยอดรักของตนมิได้ ความดื้อรั้นของคนตรงหน้าก็เขาเองเนี่ยแหละที่รู้ดียิ่งกว่าใคร
“ดวงใจข้า…” ชายหนุ่มกระซิบเสียงพร่า บดจุมพิตลงที่ริมฝีปากนุ่มอีกครั้ง
“…หากเจ้าเป็นอะไรไป…ข้าคงมิต่างจากตายทั้งเป็น…” “อ้ายพี่แสนตา…”
ครึ่งหนึ่งของทั้งหมดคืออาการใจอ่อนยวบ อีกครึ่งหนึ่งคือความปรารถนาจากส่วนลึกของจิตใจ
ด้วยไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม ร้ายดีเพียงไรก็ตาม หากเพียงอีกคนยืนอยู่เคียงข้างจวบจนลมหายใจสุดท้ายเท่านั้นก็เกินพอ แต่กว่าครึ่งนั้นก็เจ็บปวดนักยามนึกถึงภาพคนรักถูกสังหารด้วยน้ำมือมนุษย์ใจหยาบช้าพวกนั้น
…ดวงใจจึงจะแหลกลงเสียให้ได้… “ตอนนี้เจ้าจักอยู่ที่นี่ก็ตามแต่ใจเจ้า หากถึงยามนั้น…โปรดฟังข้า ไม่ว่าข้าจะสั่งอะไรก็ตาม”
“เพียงไม่ไล่ข้าไปให้พ้นตา ข้าจักทำตามที่อ้ายพี่ปรารถนาทุกประการ”
“ที่นี่ต่างหากบ้านเดิมเจ้านัก” ดวงหน้าคมคายละออกไป ประคองสะโพกมนให้นั่งหนัดบนตักแต่ดี “เต็มไปด้วยสงครามสู้รบฆ่าฟัน ข้ามิอาจนึกภาพยามเจ้าเผชิญหน้ากับศัตรูได้เลย”
“อ้ายพี่สิดูถูกข้านัก อยู่บ้านโน้นวิชาดาบข้าก็เรียนรู้มาบ้าง”
คนฟังยกยิ้มนิดๆ “จริงรึ?”
“จริงสิ ถึงจะไม่เชี่ยวชาญนักก็คงพอเอาตัวรอดได้บ้าง”
“งั้นข้าขอชมสักตั้ง”
“ไม่ได้ดอก” คนตัวเล็กส่ายหน้าหวือ “ข้าสิเก็บไม้ตายไว้ใช้ตอนสุดท้ายน่ะขอรับ”
“เจ้านี่….ช่างน่าตีนัก”
เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคัก “คิดตีข้าเท่าไหร่ก็ตามแต่ประสงค์จ้าว กายข้าเป็นของท่าน ดวงใจข้าเป็นของท่าน จะต้มยำทำแกงเช่นไรขอเพียงได้อยู่ข้างกายท่านเท่านั้น ด้วยน้ำมือของท่าน…ข้ามิปรารถนาสิ่งใดอีก”
ในอกจ้าวแสนตาสั่นไหวนัก ราวน้ำหนึ่งหยดที่ตกกระทบผิวใจ เร่งให้ข้างในชุ่มฉ่ำหอมหวาน พันวังช่างเหมือนปาฏิหาริย์นักที่ทำให้เขารู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นนี้
เขาหยิกจมูกอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว
คนถูกกระทำแสร้งทำเป็นร้องโอดโอย ก่อนจะเปลี่ยนมาถาม
“แล้วใยอ้ายพี่ถึงไม่อพยพไปด้วยเล่า…ยังโกรธเคืองจ้าวพี่โคจรอยู่กระนั้นรึ?”
คนฟังชะงักเพียงชั่วครู่หนึ่ง ก่อนโคลงศีรษะช้าๆ
มิใช่ความโกรธเกลียดแค้นเคือง..
…เพียงมิรู้จะทำสีหน้าเช่นไรยามที่เห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกันเพียงเท่านั้น หากเวลาคือยาที่รักษาได้ทุกบาดแผล แสดงว่าเขาคงยังใช้ยาไม่เพียงพอ ทั้งที่หมดใจคือให้อภัยแล้วสิ้น หนำซ้ำยังได้สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่ามาครอบครอง ไร้เรื่องบาดหมางใดให้รู้สึกคลางแคลงใจ
กระนั้นอีกฝ่ายเล่าจะเป็นเช่นไร..?
หลังจากแย่งภรรยาของเพื่อนไป…จะสะดวกใจมากพออย่างนั้นหรือ?
“ทั้งข้าทั้งเจ้านั้น…คงไม่สะดวกที่จะพบหน้ากันในยามนี้เท่าไหร่” เขาตอบ “ฤๅเจ้าจะเปลี่ยนใจลงเรือเดินทางตามไปก็ย่อมได้ ข้ามิเหนี่ยวรั้งเจ้าไว้ดอก”
“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นเล่า ข้าสิบอกกี่ร้อยกี่พันหนแล้วว่าข้าจักอยู่กับท่าน”
“…ยอดรัก ข้าแค่เป็นห่วงเจ้าเพียงเท่านั้น”
“ข้าก็เป็นห่วงท่านมิแพ้กันดอก ทำมาพูดดีไป”
ดวงใจเจ้ากรรมเต้นโครมครามกระหน่ำยามที่ดวงเนตรทั้งสองเบือนมาสบกัน มือเล็กแตะลงบนแขนแกร่งที่กรำบาดแผลใหญ่อย่างแผ่วเบา เลื่อนปลายนิ้วขึ้นมาถึงไหล่กว้าง ก่อนจะสอดมือทั้งสองคล้องลำคออีกคนไว้
คนตัวเล็กแหงนหน้าประทับริมฝีปากลงบนคางสาก คลอเคลียอยู่ที่กรามแข็งอยู่นานจนคนถูกกระทำครางฮืมในลำคอ
“อ้ายพี่แสนตา…”
เสียงหวานเอื้อนเอ่ยออกไป สั่นระริกคล้ายเก้อเขินนัก
“ข้ามีเรื่อง…ที่ต้องบอกท่าน…”
ชายหนุ่มหลุบตามองพวงแก้มใสที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนจูบลงที่ข้างแก้มอย่างเผลอไผล
“อ้ายพี่…”
“มีอะไรรึ ข้าสิฟังอยู่”
พันวังปรือนัยน์ตาลง สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นดังจนคล้ายกับว่าจะหลุดออกจากอกข้างซ้ายของตัวเอง
…เพียงคำรัก…
…เพียงคำรักเท่านั้น… “อ้ายพี่แสนตา….จริงๆแล้วข้าน่ะ…..”
ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูที่ดังขัดขึ้นเสียก่อนทำให้ดวงใจเจ้ากรรมแทบจะทะลักออกมาทางปาก เด็กหนุ่มก้มหน้าฉับเคลื่อนตัวลงจากตักของอีกฝ่าย ส่วนแสนตาน่ะหรือถึงกับตบเข่าฉาดใหญ่ แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู
“มีอะไรรึ?”
บ่าวคนสนิทกระพริบตาปริบๆมองด้วยสายตามากคำถาม ประการแรกคือเหตุใดนายเหนือหัวของตนจึงได้ทำท่าทางหงุดหงิดนัก แต่ก็ต้องโคลงศีรษะ
“ข้าแค่จะมาเรียนว่า พอคุยไปคุยมาแล้วจระเข้ทุกตัวไม่ยอมอพยพน่ะขอรับ”
“อะไรนะ!?”
“เอ่อ…คงจะเป็นความผิดข้าเองกระมังขอรับ ที่เผลอหลุดปากบอกไปว่าท่านจ้าวจะไม่ไปกับพวกเขาด้วย” ทองดีกระอักกระอ่วน แต่ก็พูดออกมาจนได้ “ข้าก็มิรู้จะพูดเช่นไร เพราะตัวข้าเองก็มิได้อยากจะจากเรือนจากบ้าน จากนายเหนือหัวของข้าไปด้วย”
“อ้ายทองดี….!”
“เฆี่ยนเลยขอรับ ถ้าหากจะทำให้ข้าอยู่รับใช้ได้ก็เฆี่ยนมาเลยขอรับ!”
“บ๊ะ!! ไอ้พวกนี้ จะตนใดๆก็บอกให้ข้าเฆี่ยนทั้งนั้น ฤๅจะบอกว่าข้าเป็นคนใจร้ายกระนั้นรึ!?”
“มิได้ขอรับ ข้าเพียงแค่อยากจะตายที่นี่ มิต้องการเดินทางไปตายที่ใด”
“อ้ายทองดี!”
พันวังกระพริบตาปริบๆ ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงมาที่ประตูบ้าง
อ้ายพี่แสนตาของตนมีท่าทางกระวนกระวายนัก เขาทอดมองออกไปเห็นตะวันใกล้จะขึ้นอยู่ลิบตา ชะรอยจะออกเรือไม่ทันกาล จึงเคาะมือกับขอบประตูเพื่อตริตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่อีกสักครั้งหนึ่ง
ก่อนร่างสูงจะสาวเท้าเดินออกจากเรือนอีกครั้งหนึ่งเพื่อเผชิญหน้ากับบรรดาบ่าวไพร่ของตนที่นั่งคุกเข่าดั่งปูพรมอยู่ที่พื้นด้านล่าง เมื่อหยุดยืนที่หัวกระไดจึงก้มสบตากับทุกผู้ที่ยกสิบนิ้วประนมแนบอก สบดวงตาสีอำพันสว่างแน่วแน่ไม่บิดเผือนทุกคู่ที่ต้องมองตรงมา
มันเป็นบรรยากาศที่ไม่มีใครพูดอะไร
…ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ด้วยสายตานั้น…เปี่ยมมากกว่าแค่คำว่า
‘ภักดี’= = = = = = = = = =
พันวังไม่เคยออกรบมาก่อน
มิใช่เพียงแค่นั้น...แม้แต่คำว่า ‘สงคราม’ เขายังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำไป
เด็กหนุ่มเดินวนไปมาที่ใต้ถุนบ้าน ท่ามกลางจระเข้กลุ่มหนึ่งที่นั่งทำข้าวต้มมัดยามยากอยู่ เขาพยายามเร่วิ่งถามเสียตั้งแต่หัววันว่าตนสามารถช่วยสิ่งใดได้บ้าง คำตอบคือไม่เลย เพราะเขาเองก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นจากสิ่งใดดี
เช้าวันนั้นสถานการณ์ปกติดีทุกอย่าง แต่อ้ายทองดีบอกว่ายามพายุจะมีผิวน้ำจะสงบฉันใดก็ฉันนั้น จระเข้บางตัวหลุบนอนพักผ่อนตามเปลญวณ มิมีใครกล้าแตกฝูงไปทำนา นอกจากพวกอ้ายพี่แสนตาที่ล่องเรือไปสำรวจค่ายต้นน้ำเสียแต่หัววัน
แม่น้ำที่เมื่อย่ำรุ่งเพิ่งถูกย้อมด้วยสีแดงละลายจางหายไป คงเหลือไว้เพียงกลิ่นคาวที่ยังแตะอยู่ปลายจมูกที่ขยี้เช่นไรก็ไม่หาย
เขารู้ดีว่าหนึ่งในที่มาของกลิ่นน้ำคือจระเข้ฝั่งเราเอง และอดไม่ได้ที่จะนึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้ สิ่งเหล่านั้นตอกย้ำลงไปกับคำถามที่ว่าเหตุใดมนุษย์ถึงโหดร้ายนัก เมื่อพวกเราเพียงแค่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่เพียงเท่านั้น
พันวังเดินออกมายังจุดที่เคยเป็นศาลาริมน้ำ บัดนี้ถูกเพลิงเผาไหม้เหลือเพียงตอตะโกสีดำสนิท เขาเฝ้าชะโงกหน้าอยู่ตรงท่าเรือกว่าครึ่งวันก็ยังไม่เห็นวี่แววกองเรือสำรวจ ทั้งร้อนกายร้อนใจ หากทำได้ก็คงมุดดำกายลงใต้น้ำและแหวกว่ายไปหา
“เดี๋ยวก็มา” อ้ายทองดีย้ำรอบที่สามล้านเห็นจะได้ “เจ้าจักกังวลไปใย”
“แต่ข้ากังวลนัก ครั้งล่าสุดที่ข้าเห็นอ้ายพี่สหัสออกไป ข้าก็มิได้เห็นเขากลับมา”
“นั่นคือจ้าวแสนตา มิใช่อ้ายสหัสเสียหน่อย”
“ข้าเป็นห่วง…”
“จ้าวแสนตาแข็งแกร่งนัก บาดแผลเมื่อวานเพียงเพราะปกป้องชาวเราด้วยกันเอง ซ้ำอาการชอกช้ำในอกยังมิหายดี…แต่มิระคายผิวอันใดให้เจ้าต้องวิตก”
“แต่…”
“ท่านจ้าวต้องกลับมาหาเจ้าแน่” ชายวัยกลางกล่าวด้วยรอยยิ้มใคร่รู้นัก “นั่นเป็นสิ่งที่ท่านปรารถนามากกว่าสิ่งใดทั้งหมด”
“อ…อ้ายพี่ทองดีพูดอะไรเล่า”
“เจ้าสิทำมาเขิน ข้าอยู่มานานมีรึจะไม่รู้”
“อ้ายพี่ทองดี!”
“วางใจเถิด ข้ามิบอกผู้ใดหรอก” คู่สนทนาพยักหน้าอย่างมุ่งมั่น “เพราะเขารู้กันทั้งเรือนแล้ว”
“อ้ายพี่ทองดี!”
“กิริยาเช่นนั้นเก็บไปทำกับท่านจ้าวเถิด ฮ่าๆๆ”
..ปล่อยระเบิดแล้วก็เดินจากไป.. เด็กหนุ่มยังคงยืนฮึดฮัดอยู่ที่ท่าน้ำ เขาหมุนซ้ายทีขวาทีมองไปรอบๆ จึงได้ทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิลงเช่นนั้น สองมือเท้าคางจ้องมองออกไปที่สุดคุ้งน้ำ เฝ้าหวังว่ามิช้านานคงได้เห็นเงาอ้ายพี่ของตนเอง
..แต่จวบจนเย็นย่ำก็มิได้กลับมา.. ค่ำคืนนั้นช่างร้อนระอุนัก อาจเพราะแสงไฟจากคบเพลิงสว่างจ้ากว่ายามปกติ จระเข้ทุกตัวมานั่งรวมกันที่ใต้ถุนเรือน สีหน้าของทุกคนเปี่ยมไปด้วยหลากหลายความรู้สึก อาจจะเป็นความตื่นกลัว กระวนกระวาย หรืออาจจะมากกว่านั้น
การรอคอยสิ่งที่รู้ว่ามันจะเกิด แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่…คือภาวะกดดันที่ทำให้พันวังนั่งไม่ติด เขากระสับกระส่ายคอยลุกขึ้นจ้องมองไปยังท่าน้ำตลอดเวลา แล้วนั่งลงใหม่
“เดี๋ยวก็มา” อ้ายท้องดีย้ำรอบที่แปดล้าน “เจ้าจักกังวัลไปใย”
“ฤๅท่านไม่กังวลรึ? อ้ายพี่แสนตาสีออกเดินทางไปตั้งแต่เช้ามืด จนตะวันตกดินก็แล้ว พระจันทร์ขึ้นก็แล้ว ใยจึงไม่เห็นแม้แต่เงาเล่า”
“เจ้าเห็นว่าพายเรือไปกลับจากค่ายต้นน้ำมันไวเช่นนั้นเลยรึ”
“ข-ข้าจะไปรู้รึไร ก็เห็นอ้ายพี่ไม่กลับมา….”
“ข้าก็รู้ว่าเข้าเป็นห่วงนัก พวกเราก็เป็นห่วงมิได้ต่างกันดอก”
“ข้ารู้…แต่…”
“เจ้าสิเรื่องมากนัก บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ”
ชายวัยกลางโคลงศีรษะ ขยี้เรือนผมอีกคนอย่างเอ็นดู…ก่อนจะหันไปมองที่ลำน้ำนั่น ไม่นานเสียงไม้พายกระทบผิวน้ำจ๋อมก็ดังขึ้นเรียกให้ทุกผู้ลุกขึ้นชะโงกดู
“นั่นประไร…พูดยังมิทันขาดคำ ขบวนเรือจ้าวแสนตาก็มาพอ…..”
ยังมิทำจะสิ้นคำประโยคบอกกล่าว ร่างโปร่งก็ผลุนลุกพรวดกระโจนไปพรวดเดียวถึงท่าน้ำ เล่นเอาคนที่นั่งเครียดๆกันอยู่จนถึงเมื่อครู่หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“อ้าวเฮ้ย เจ้ามิเห็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นเลยนี่เว้ย”
“พุ่งไปรอรับเจ้าของก่อนใครเช่นนี้ เรียกว่าอะไรนะ?”
“สุนัข”
“ใช่! สุนัข!”
“สัตว์เลี้ยงของมนุษย์”
คนถูกค่อนแคะหันมาแยกเขี้ยว “ข-ข้าสิเพียงเป็นห่วงเท่านั้น ใยต้องเปรียบเปรยให้น่าขันด้วยเล่า”
ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงยืนระริกระรี้อยู่ที่ท่าน้ำ ดวงตากลมโตสอดมองออกไปด้านนอก จับจ้องลำเรือที่แล่นแหวกเลียบน้ำมาอย่างเงียบกริบนั่น
บางทีอาจจะเพราะมันไกลจนสุดสายตา ทำให้เขาต้องเพ่งมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในความมืดนั้นไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเงาร่างของขบวนเรือที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กับเสียงของผืนน้ำที่ถูกแหวกออกและไม้พายโบกสะบัด
“อ้ายพี่…” พันวังเลิกคิ้ว ตัดสินใจโบกมือเรียกออกไป “อ้ายพี่แสนตา”
มีบางอย่างขยับไหว ใครสักคนคงเห็นที่เขาโบกมือเรียกแล้ว
..แต่ไม่มีใครตอบกลับมา คนตัวเล็กชะงัก ลดแขนที่โบกอยู่จนถึงเมื่อครู่ลงมาช้าๆ..
“เฮ้ ข้าว่า…มันแปลกๆอยู่นะ”
“นั่นสิ”
“เฮ้! ท่านจ้าวขอรับ!” ใครสักคนตะโกนขึ้นบ้าง แล้วโบกไม้โบกมือ
..เงียบ.. “เหตุใดจึงไม่จุดตะเกียงเล่า?”
“แล้วเหตุใด…ถึงไม่ตอบอะไรกลับมาเลยเล่า..?”
ช่วงจังหวะนั้นที่ความมึนตึงเข้าครอบงำทุกคน พันวังถัดขาถอยหลังจากพื้นไม้บริเวณท่าน้ำมายืนบนผืนดินอีกครั้งอย่างเชื่องช้า เขารู้สึกไม่ชอบมาพากล…ซึ่งที่จริงมันก็ประหลาดมาเสียตั้งแต่แรกแล้ว
“นั่นไม่ใช่…อ้ายพี่แสนตา…” อ้ายทองดีได้สติโดยพลัน รีบหันมาตะโกนลั่น
“ลางไม่ดีแล้ว! ไปพวกเจ้า!! หลบไปจากตรงนี้!!! ไปหยิบอาวุธมาให้…….” ฟ้าววววววว
ฉึก!! แท่งโลหะบางอย่างวิ่งผ่านอากาศเสียงหวิวจนเด็กหนุ่มเผลอหดตัวด้วยอัตโนมัติ ศรดอกหนึ่งปักลงที่กลางแผ่นหลังคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว
ชายวัยกลางเบิกตาโพลงมองหน้าเขา มันเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เหมือนกับยาวนานเหลือเกินกว่าที่ร่างสูงกว่านั้นจะค่อยๆทรุดลงไป
“ศรอาคม!!!”
ใครอีกคนหนึ่งร้องต่อ
“หาที่กำบัง!!!”
จราจลเกิดขึ้นทันทีหลังการหลั่งเลือดครั้งแรกเกิดขึ้น ชายกลุ่มหนึ่งไม่ลังเลที่จะกระโจนลงน้ำแหวกว่ายกลายร่างเป็นกุมภาทั้งฝูงตรงไปยังขบวนเรือ เงาร่างของคนที่อยู่ไกลๆนั้นพากันขยับไหวด้วยกันทั้งหมด ต่างคว้าหยิบทั้งหอกทั้งดาบออกมาเตรียมพร้อมเผชิญหน้า
เสียงม่านน้ำแตกกระเซ็นยามชนสองฝ่ายตรงเข้าโรมรัน เหล่าจระเข้ร่วมใจจมเรือลำแรกที่ลอยเข้ามาได้ก่อน เสียงกรีดร้องโหยหวนของมนุษย์ดังขึ้น ทันทีที่เสียงหอกคมแหวกอากาศดังอีกครั้ง…จึงเป็นเสียงของจระเข้
ฝูงชนที่มุงรอรับท่านจ้าวของตนอยู่จนถึงเมื่อครู่แตกหือกันไปเตรียมการ บ้างวิ่งไปเก็บข้าวของใต้ถุนเรือน บ้างตรงไปหยิบคว้าดาบคว้าธนูมาเล็งเป้า
ทว่าเด็กหนุ่มยังตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หาย เขายังคงยืนอยู่ที่นั้น พร้อมประคองรับร่างแรกที่โดนการโจมตีแล้วทรุดไปด้วยกัน
“อ้ายพี่ทองดี!! อ้ายพี่ทองดี!!!”
เขาพร่ำเรียกด้วยอารามตกใจ ยามโอบแผ่นหลังกว้าง…ของเหลวเหนียวหนืดจึงติดมือกลับมาให้สะท้าน สัมผัสของโลหิตช่างน่าขยะแขยงนัก แต่ความตกใจทำให้ลืมเลือนเรื่องนั้นไปเสียสิ้น
“อ้ายพี่ทองดี!!”
“…อ่อกก” เจ้าของนามสำลักออกมาเป็นเลือด สีคล้ำเข้มฉาบตั้งแต่ริมฝีปากลงมาถึงลำคอ “…รีบ…ไปซ่อน….”
“อ้ายพี่….”
“ไปซ่อนเสีย…ไป!!”
ฟิ้ววววว....!!! อีกครั้งหนึ่งที่เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังกระหึ่ม และครานี้ไม่ได้มาเพียงดอกเดียว เมื่อพันวังเงยหน้าขึ้นเห็นแห่ฝนลูกศรจึงหลับตาแน่น
ฉึก!! ฉึก!! ฉึก!! ปลายศรฝังลงบนผิวเนื้อ เสียงกรีดร้องอย่างปวดร้าวดังระงมจนใบไม้ไหว
ทว่าเด็กหนุ่มกลับยังปลอดภัยไร้ริ้วรอย
ทองดีขยับตัวเฮือกสุดท้ายขึ้นแทนตัวเองดั่งเกราะกำบังใหญ่ ก่อนจะทรุดกายแน่นิ่งไปในอ้อมกอด
“อ้ายพี่…อ้ายพี่ทองดี..!!”
แม้พยายามจะเรียกขานชื่อมากมายเท่าไหร่ แต่คนถูกเรียกก็ไม่แม้แต่จะขยับขึ้นมาใหม่ เด็กหนุ่มรู้สึกลำคอแห้งผาก ราวหยดน้ำทุกหยดของร่างไปกองอยู่ที่ดวงตา แล้วหลั่งไหลออกมาเป็นความเสียใจ
ใครบางคนฉุดเขาให้ลุกขึ้นจากตรงนั้นทั้งแรงสะอื้น เด็กหนุ่มร้องไห้จนตาพร่าเลือน เขารู้ดีว่าที่ตนทำอยู่ช่างไร้ประโยชน์นัก..แถมยังเป็นภาระให้กับคนทั้งบ้าน
..โหดร้ายนัก..โหดร้ายนัก..
..ใยมนุษย์จึงต้องโหดร้ายได้ขนาดนั้น.. ตูมม!! เสียงดินปืนระเบิดดังกึกก้องไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ พันวังพยายามเบือนดวงหน้ากลับไปมองจนเห็นเศษร่างของเผ่าพันธุ์เดียวกันกระเด็นมาตกอยู่ที่ปลายเท้า เขากรีดร้องลั่น แต่ก็โดนฉุดรั้งให้หลบไปอยู่เสียใต้ถุนบ้าน
“พันวัง เจ้าสิไปเสีย”
ใครคนนั้นเขย่าแขนเขาเรียกสติ
“ลงน้ำแล้วว่ายกลับพิจิตรไปเสีย! ถ้าเพียงเจ้าคนเดียวย่อมทำได้แน่!”
คนถูกสั่งยังคงหอบหายใจ เขายกมือปาดน้ำตา
“ข้าไปไหนมิได้….ข้าจักอยู่กับอ้ายพี่แสนตา…”
“เจ้าดื้อ!”
“ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ข้าบอกแล้วมิใช่รึ…ยามนี้ให้ฟังคำข้า”
จ้าวแสนตาร้องลั่น ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มถึงได้รู้ว่าในโพรงปากนั้นกลบไปด้วยเลือด ซ้ำยังด้วยบาดแผลทางร่างกายและร่องรอยของแผลเก่าที่เปิดออก
“ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้ ต้องให้ข้าบอกเจ้ากี่ร้อยกี่พันหนกันว่าข้าน่ะ…..”
“ข้ารักท่าน! จ้าวแสนตา!” เด็กหนุ่มโพล่งลั่น จ้องหน้าอีกคนแน่วแน่
“ข้าไม่มีวันไปไหน...โดยไม่มีท่าน” สิ่งที่วิ่งเข้ามาคั่นกลางระหว่างระหว่างเขาสองคนคือเสียงกรีดร้องและการสู้กัน เพียงสิ่งเหล่านั้นกลับอยู่ไกลออกไปในยามนี้
“…หากทำได้…ข้าเพียงปรารถนาจะรั้งกายเจ้ามากอด จูบปลอบให้หายหวาดกลัวหรือร้องไห้..” ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบา…ปรือดวงตามองอย่างห่วงหา
“สวรรค์ช่างใจร้ายนัก ให้เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง…ในวันสุดท้าย…” “อ้ายพี่แสนตา…”
มือหยาบเกลี่ยลงมาที่ข้างแก้มใส ประคองให้ดวงหน้านั้นเงยขึ้นมาสบตา…พันวังจึงเพิ่งสังเกตเห็นในความมืด ว่าดวงตาข้างหนึ่งของอ้ายพี่แสนตาที่ตนรักนั้นมีรอยคมมีดบาด…จนมิอาจลืมขึ้นได้อีก
ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างเปียกชุ่มจนกลายเป็นสีเลือด เช่นเดียวกับแขนข้างขวา..ที่แม้แต่จะขยับยกยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
…สงคราม…
…ก่อให้เกิดการเข่นฆ่ามากมายโดยไม่จำเป็น… “น้องพันวัง…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ โปรดจำไว้เพียงว่า…” คำนั้นทำให้เด็กหนุ่มสะอึกสะอื้นออกมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ดวงตายังจับจ้องเพียงคนตรงหน้าไม่ได้เบือนหลบไปไหน
“...‘ดวงใจข้า’…จะไม่หวนคืนสู่ห้วงธารา…” ..เพียงเจ้า..เท่านั้น..TBC=======================