เวรกรรมตามทันในภพนี้
By: Dezair
…………………………
ตอนที่ 10
ร่มธรรมก้าวเท้าออกจากลิฟต์ทั้งๆที่ยังงุนงงไม่หาย
ครองภพบอกว่าจะมาเยี่ยมเขา ตอนแรกยังคิดว่าพูดเล่นจนกระทั่งสิบนาทีต่อมาเจ้าตัวส่งข้อความมาบอกว่าถึงคอนโดแล้ว ให้ลงมารับ เจ้าของห้องที่ยังบาดเจ็บจึงต้องลงลิฟต์มาด้วยหน้าตาเหรอหรา
ยิ่งเห็นนักแสดงหนุ่มรุ่นน้องยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางล็อบบี้ก็ยิ่งตะลึงตะลานจนหัวใจเต้นถี่
หัวใจ...เต้นถี่
มือข้างหนึ่งหมายจะยกขึ้นแตะที่กลางอกเพราะรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นจนแทบหลุด แต่ลืมไปว่ามือข้างนั้นเป็นข้างเดียวกับแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บและยังใส่เฝือกกับผ้าคล้องคออยู่ พอยกมือขึ้นเลยพลอยให้อาการเจ็บจี๊ดวิ่งพล่านจนสะดุ้ง
“โอ๊ย” เสียงร้องนั้นไม่ดัง แต่สำหรับคนที่ก้าวเท้าเข้ามาหากลับได้ยินชัดเจน ดวงตาของครองภพขยายขึ้นเล็กน้อย ทว่าแค่เพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก
“ยกแขนขึ้นมาทำไม” ปากดุ ตาก็ดุ แต่มือที่ยื่นมาแตะแขนของร่มธรรมกลับสัมผัสอย่างนุ่มนวล
“ไป...ขึ้นห้อง จะได้พัก”
แล้วคนอายุน้อยกว่าก็เริ่มก้าวเท้าโดยไม่ยอมละมือออกจากแขนของคนบาดเจ็บเลยสักนิด ร่มธรรมทำตัวไม่ถูก ก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ในช่วงหมางเมิน ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเองที่เลือกให้เป็นเช่นนั้น เวลานี้หากจะดื้อแพ่งให้เป็นอย่างที่เคยตัดสินใจก็...ยังเจ็บ...
...เจ็บทั้งใจ เจ็บทั้งแขน...จน...ไม่กล้าให้อีกฝ่ายปล่อยมือ
แต่...ถ้าไม่ปฏิเสธ...ความสัมพันธ์ของพวกเราก็อาจจะ...
เพราะมัวแต่สองจิตสองใจไม่รู้ว่าตนเองควรจะถอยห่างหรือปล่อยให้อีกฝ่ายใกล้ชิดเช่นนี้ต่อไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ครองภพขอคีย์การ์ดไปเปิดประตูแล้ว
ถูกพาเข้าห้อง ถูกพาไปนั่งที่โซฟา ก่อนที่แขกผู้มีเกียรติจะวางกล่องขนมลงบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า
“ผมซื้อมาฝาก”
“หือ?” ร่มธรรมเงยมองคนพูด แล้วก้มลงมองกล่องขนมอีกครั้ง สัญลักษณ์ตัว ร.เรือ เด่นหรา คุ้นตาจนต้องตั้งสติ พออ่านชื่อร้านที่อยู่ข้างกล่องก็พบว่าร้านที่สัญลักษณ์คุ้นตานี้คือร้านกาแฟของเขาเอง
“นี่ขนมจากร้านพี่?” เจ้าของร้าน ร.รอ เงยหน้าถาม
“ใช่ ผมให้พนักงานเลือกขนมที่คุณชอบมาให้”
“แวะไปที่ร้านพี่มาหรือ”
“ผมไปรอที่นั่น”
...รอ...
คำว่ารอเหมือนค้อนปอนด์ทุบเข้าที่ศีรษะของคนเจ็บ คนอย่างครองภพที่งานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน แต่กลับมีเวลา ‘รอ’ อย่างนั้นหรือ
คำตอบของคำถามไม่ใช่เรื่องที่ต้องหาอีกแล้ว ในเมื่อครองภพยืนอยู่ตรงหน้าเขาแบบนี้
“อ...อ้อ...ขอบคุณนะ”
ไม่รู้ว่าวันๆหนึ่งจะต้องงุนงงกับผู้ชายที่อายุน้อยกว่าตั้ง 6 ปี อีกสักกี่ครั้ง มาเยี่ยมก็ชวนงงแล้ว มาเยี่ยมพร้อมด้วยขนมจากร้านที่ร่มธรรมเป็นเจ้าของก็ยิ่งชวนให้เกาศีรษะ ยิ่งมาได้ยินคำว่าไปนั่งรอที้ร้านกาแฟ ก็ยิ่งงงจนมึนตึ้บไปหมด
คนมาเยี่ยมยังยืนประกบข้าง กวาดตามองสภาพของคนเจ็บที่ดูเหมือนตกอยู่ในภวังค์อีกแล้ว ก็เอ่ยปากถาม
“แล้วคุณกินอะไรรึยัง”
“ย...ยัง เพิ่งตื่นน่ะ แต่นี่มันเพิ่งห้าโมงครึ่งเอง ยังไม่หิวหรอก”
“แล้วยังปวดอยู่รึเปล่า ผมเห็นหมอจ่ายยาแก้ปวดมาด้วย จะกินเลยมั้ย” เรื่องนี้เกือบจะชวนให้งงอีกรอบแล้ว แต่ดีว่าร่มธรรมนึกออกเสียก่อนว่าตอนที่รินฤดีอธิบายเรื่องยาและเรื่องพบหมอให้เขารับรู้ที่โรงพยาบาล ครองภพก็อยู่ที่นั่นด้วย
“อ่า...กินตอนกินข้าวก็ได้”
ครองภพพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่วายเจ้ากี้เจ้าการถามต่อ
“แล้วยาอยู่ไหน”
ร่มธรรมรู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กลีบเป็นเด็กๆที่ถูกผู้ใหญ่ซักไซ้
“อยู่...อยู่ในห้องนอน...” เพราะไม่รู้ว่าวันนี้เจอครองภพอาฟเตอร์ช็อกไปกี่ครั้ง ตอนที่บอกว่าอยู่ในห้องนอน ร่มธรรมเลยเผลอชี้นิ้วโป้งข้ามไหล่บอกทิศห้องนอนเสร็จสรรพ
“ขอผมเข้าไปหยิบยาหน่อย” แล้วคนมาเยี่ยมก็ไม่รอคำอนุญาต ออกปากขอแล้วก็เดินดุ่มๆไปยังห้องที่เจ้าของคอนโดชี้ทันที กว่าร่มธรรมจะรู้ตัวว่าครองภพบุกเข้าไปถึงห้องนอนเขาแล้ว ก็ตอนที่อีกฝ่ายออกมาพร้อมถุงยา นักแสดงหนุ่มรุ่นน้องกลับมายืนที่เดิม อ่านรายละเอียดซองยาอีกรอบ นับเวลาจากนาฬิกาข้อมือ แล้วก้มลงมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟา
“ผมว่าคุณกินข้าวเย็นเลยดีกว่า มีอะไรกินมั้ย หรือจะให้ผมโทร.บอกพี่ณุให้ซื้อมาให้”
“ไม่ต้องๆ พี่รินเตรียมไว้ให้แล้ว”
ครองภพกวาดตามองรอบตัวทันที ราวกับว่าถ้าไม่เห็นกับตาว่าร่มธรรมมีอาหารเย็น เขาจะไม่เลิกจี้ถามเรื่องนี้
“อยู่ในครัว” เป็นเจ้าของห้องที่ต้องอธิบายเพิ่ม
“ขอผมเข้าไปดูหน่อย” แล้วคนหนุ่มใจร้อนก็หมุนตัวเดินเข้าครัวทันที เขาหายไปอึดใจเดียวก็ออกมา
“คุณกินข้าวเลยแล้วกัน จะได้พักผ่อนต่อ ขอผมใช้ครัวหน่อย จะอุ่นข้าวต้มให้”
ร่มธรรมไม่กล้ามีปากเสียง หรือจะพูดให้ถูกคือเขาทั้งมึนทั้งเบลอเพราะเจอแต่เรื่องเหนือคาดหมายของครองภพ รู้ตัวอีกที ก็ตอนที่กลิ่นข้าวต้มหอมฉุยลอยมาปะทะจมูกแล้ว ครองภพยกถ้วยข้าวต้มที่อุ่นร้อนจนควันโฉ ออกมาวางลงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะกลับมาพยุงคนเจ็บพาไปนั่งที่เก้าอี้
“คุณใช้มือขวาได้ใช่มั้ย ต้องให้ผมป้อนมั้ย”
“ไม่ต้องๆ” คนเจ็บเข้าเฝือกแขนซ้ายรีบสั่นหน้าปฏิเสธ แต่ก็ต้องใช้มือขวาหยิบช้อนมาตักข้าวต้มเข้าปากให้ดูหนึ่งคำ คนมาเยี่ยมถึงได้ยอมถอยไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวแต่โดยดี
แต่ร่มธรรม...อย่างไรก็เป็นร่มธรรม ความห่วงใยที่มีให้ครองภพตั้งแต่เรื่องใหญ่มาจนถึงเรื่องเล็กเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้
“แล้วครองล่ะ มีอะไรกินรึเปล่า โทร.สั่งร้านตามสั่งมั้ย พี่มีเบอร์...”
“ไม่ต้องห่วงผม คุณกินของคุณเถอะ” พอแขกว่าอย่างนั้น เจ้าบ้านก็ไม่พูดอะไรอีก ระหว่างมื้อเย็นของคนเจ็บมีแต่ความเงียบและการถูกจ้องตาไม่กะพริบ จนกระทั่งเป็นฝ่ายร่มธรรมทนถูกจ้องอย่างเงียบๆแบบนี้ไม่ไหว เอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“เอ่อ...แล้ว...ครอง...ผ่านมาแถวนี้หรือ”
ภาวะสมองเบลอ อีกทั้งความสัมพันธ์ของพวกเขาก่อนหน้านี้ก็เป็นปัญหา เลยยิ่งคิดบทสนทนาชวนคุยไม่ออก คำถามจึงทั้งเด๋อด๋าทั้งรู้คำตอบอยู่แล้ว
...ถ้าไม่ ‘ผ่านมาแถวนี้’ แล้วครองภพจะมาได้อย่างไรกัน?...
… ‘ตั้งใจมา’ อย่างนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้...
...เพราะ ‘เรา’ ...ไม่ได้สนิทกันอีกแล้ว...
“ไม่ได้ผ่าน” ทว่าคำตอบของหนุ่มรุ่นน้องกลับไม่ใช่สิ่งที่คาด
เป็นอีกครั้งของวันนี้ที่ครองภพทำหรือพูดในสิ่งที่ทำให้ตกตะลึง
“หา...” ใบหน้าของคนเจ็บเงยจากถ้วยข้าวต้มมามองตาปริบๆ
ดวงตาเรียวเหลือบลงมองแขนข้างที่เข้าเฝือกและยังมีสายคล้องคอ เนื้อตัวของร่มธรรมไม่ได้มีคราบเลือด ไม่มีแผลแตก แต่ตอนเกิดเหตุ ใบหน้าแดงก่ำที่แสดงออกว่าเจ็บปวดยังคงติดอยู่ในใจของครองภพ
แต่ทั้งๆที่บาดเจ็บ ร่มธรรมกลับถามเขาก่อนจะพูดถึงตนเองด้วยซ้ำ
‘ครองเจ็บตรงไหนรึเปล่า’
‘ครองเป็นอะไรไหม’
ความห่วงใยที่ถ่ายทอดผ่านทางน้ำเสียงและสีหน้าตื่นตระหนกของคนตรงหน้าไม่ใช่เรื่องที่จะลืมได้เลย
“คุณเป็นแบบนี้เพราะผม” เขาเอ่ย แม้น้ำเสียงจะไม่แหบพร่า ไม่มีทีท่าสะเทือนอกสะเทือนใจ แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับไหววูบด้วยแววห่วงใย
แวว...ที่ทำให้หัวใจของร่มธรรมเต้นถี่
บรรยากาศกำลังพาไป บรรยากาศกำลังทำให้คนสองคนเปิดใจ แต่...ร่มธรรมบอกตัวเองว่าต้องมีสติ
เขาจะไม่ปล่อยให้สิ่งรอบตัวทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเติบโตไปในทิศทางนั้นอีกแล้ว
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกหน่า ไกลหัวใจตั้งเยอะนะ” ร่มธรรมพูดหยอกยิ้มแย้ม สีหน้ารื่นเริงแบบผู้ใหญ่นั้นช่างแห้งแล้งในความรู้สึก แต่...วงการบันเทิงไม่มีที่ยืนสำหรับความสัมพันธ์ฉันคนรักของเพศเดียวกัน
...เราเป็นได้เพียงพี่น้องและเพื่อนเท่านั้น...
“น้องครองไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แล้วสร้อยที่พี่ให้ ใส่แล้วใช่ไหม”
ร่มธรรมตักข้าวต้มเข้าปากแล้วถามไปอีกเรื่องหนึ่ง เบี่ยงประเด็นออกจากความห่วงใยที่ทำให้หัวใจสะท้านนั่นไป
“ใส่แล้ว” ไม่พูดอย่างเดียวแต่ชายหนุ่มยังดึงสร้อยทองที่คอออกมาให้ดู เจ้าของสร้อยพยักหน้าช้าๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลายลง
ไม่รู้ว่าผีกลัวพระหรือไม่ แต่ชายนุ่งโจงผู้นั้นเคยติดตามเขามาตั้งแต่เด็ก หากวันนี้สิ่งที่เคยติดตัวเขาไปอยู่ที่ตัวครองภพโดยความสมัครใจ อย่างน้อย ผีตนนั้นก็คงอาจจะฉุกคิดได้บ้าง ว่าครองภพไม่ใช่คนเลวร้ายสำหรับร่มธรรม ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มอบของมีค่าส่วนตัวที่สวมมาตลอดชีวิตให้กับคนที่เขาไม่ปรารถนาดี
“คุณเอามาให้ผม แล้วคุณใส่อะไร”
“ห้องพระที่บ้านพี่ชายพี่น่าจะมีองค์อื่น ค่อยกลับไปเอาก็ได้” ร่มธรรมบอกพลางยิ้ม ทว่าครองภพกลับส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นเอาคืนไป” มือกำลังจะแกะตะขอ แต่เสียงปรามดังขึ้นเสียก่อน
“อย่า”
พอครองภพเงยหน้ามองก็ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาด้วยแววตาขอร้อง
“อย่าคืน ใส่เถอะ พี่ขอ”
“ทำไม”
ร่มธรรมไม่รู้ว่าเขาจะเริ่มเล่าอย่างไรดี ในโลกที่วิทยาศาสตร์ครอบคลุมไปทุกแขนงวิชาความรู้ การพูดในเรื่องที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ ย่อมเป็นเรื่อง...ไร้สาระ
แต่...ท่าทีรอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจของครองภพทำให้คนสองจิตสองใจต้องถอนหายใจเบา
“พี่...เห็น...เห็นผู้ชายนุ่งโจงยืนอยู่ข้างหลังครอง ก่อน...ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ”
ครองภพนิ่งงัน คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนี้
ความเงียบของเขาทำเอาคนที่อุตส่าห์ตัดสินใจเอ่ยปากในสิ่งที่เห็นรู้สึกเก้อจนต้องหัวเราะแก้เขิน เป็นเสียงหัวเราะแห้งๆที่ไม่มีอารมณ์ขันเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เชื่อล่ะสิ...พี่รู้ๆ มันฟังไม่น่าเชื่อ...”
“ผมเชื่อ” เสียงที่แทรกขึ้นมาทำเอาคนกำลังจะหาเรื่องแก้ตัวมาอ้างให้ฟังเป็นเรื่องขำขันพลันหยุดชะงักไปอีกรอบ
ยิ่งสบตา ก็ยิ่งรู้สึกว่าคำว่าเชื่อของครองภพนั้นหาใช่แค่คำพูดที่ลอยตามลมแล้วจางหายไป
ครองภพเชื่อในคำพูดที่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด
เพราะเป็นคำพูดของร่มธรรม
และ...เพราะเขาเองก็เคยฝันเห็น...
“ผมก็เคยฝันเห็นผู้ชายนุ่งโจง...”
“...ตอนเด็กๆฝันเห็นบ่อยๆ...แต่พอโตก็ไม่ค่อยฝันอีก แต่...พักหลังมานี่...ฝันเห็นบ่อยขึ้น...”
พักหลังที่ว่า คือนับตั้งแต่ได้พบกับร่มธรรม
ครองภพจำความฝันไม่ได้ และแต่ละครั้งก็มักเป็นความฝันที่ไม่ปะติดปะต่อ แต่ก็รู้ว่าน่าจะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน หรือเนื้อเรื่องของความฝันเกี่ยวเนื่องกัน
บางครั้งฝันเห็นชายนุ่งโจงร่างสันทัดที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท บางครั้งรับรู้แค่ความเจ็บปวดและสูญเสีย บางครั้งมีแต่ความมืดและความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ มันดำดิ่งจนกลายเป็นความโกรธแค้น แต่พอตื่น...ก็เหลือเพียงแค่ความรู้สึกที่ตกผลึก ไม่รู้จะกวนให้มันลอยขึ้นมาได้อย่างไร
แต่พอพบร่มธรรม สิ่งที่คิดว่าตกตะกอนอยู่ก้นบึ้งหัวใจก็ถูกตีรวนขึ้นมา
วินาทีแรกที่เห็นหน้า ความรู้สึกบางอย่างในใจบอกให้ก่อกำแพงกั้นระหว่างพวกเขา แต่หลายครั้งไม่อาจทำได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเพราะตัวเขาเองที่ไม่สามารถบอกตนเองได้ว่าทำไมถึงสนใจใคร่รู้อีกฝ่ายมากเกินกว่าในฐานะคนร่วมงาน หรือจะเพราะร่มธรรมที่วนเวียนอยู่รอบกาย สุดท้าย กำแพงไม่ทันเป็นรูปร่าง ความรู้สึกก็พัฒนาไปเป็นอย่างอื่น
แล้วพอพัฒนา ก็มีเหตุนำไปสู่ความหมางเมินจนแทบจะกลายเป็นคนอื่นสำหรับกันและกัน แต่...ก็ยังมีเหตุการณ์นำพาให้พวกเขาต้องกลับมานั่งด้วยกันเช่นนี้อีก
ราวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ก็ถูกขัดขวาง ทว่าขวางอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
“ฝันเห็นอะไร บอกพี่ได้ไหม”
“จำไม่ค่อยได้ แต่เคยฝันเห็นคนนุ่งโจง เป็นผู้ชาย...มาไม่ดี”
คำตอบของครองภพทำเอาคนฟังชะงัก
แม้ไม่มีอะไรบ่งชี้แน่ชัดว่าชายนุ่งโจงที่ครองภพพูดถึงและชายนุ่งโจงคนที่ร่มธรรมเคยฝันเห็นจะเป็นคนเดียวกัน แต่อุบัติเหตุในกองถ่ายเมื่อตอนบ่าย โดยมีชายนุ่งโจงยืนประกบหลังครองภพ และชายนุ่งโจงผู้นั้น...คือคนเดียวกับที่ร่มธรรมเคยฝันเห็น
หรือเขาและครองภพจะเคยเกี่ยวข้องกัน โดยมีชายคนนั้นเป็นคนกลาง?
ร่มธรรมจำได้ ชายคนนั้นเคยบอกให้เขาระวัง ‘ไอ้แผน’ ต่อให้ไม่มีหลักฐาน แต่ความอาฆาตของชายคนนั้นพุ่งเป้าไปที่ครองภพ ราวกับบอกเป็นนัยว่า ‘ครองภพ’ คือ ‘ไอ้แผน’
...ไอ้แผน...
...คนที่ต้องระวัง...
ระวังหรือ?
น่าขำ ป่านนี้จะให้ระวังอะไร ในเมื่อความรู้สึกในใจของร่มธรรมทำให้เขาบ้าบิ่นถึงขั้นเสี่ยงอันตรายแทนครองภพด้วยซ้ำ
หนุ่มรุ่นพี่ไม่รู้ว่าตนเองควรจะบอกเล่าเรื่องราวที่เขากำลังเชื่อมโยงกันในหัวออกมาเป็นถ้อยคำให้อีกฝ่ายเข้าใจดีหรือไม่ หากชายนุ่งโจงคนนั้นนับถือเรียกเขาเป็น ‘คุณหลวง’ แต่กลับอาฆาตมาดร้ายครองภพ แสดงว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและครองภพในชีวิตหนึ่งก็...คงไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ดี
พอคิดถึงช่วงเวลาดีๆที่พวกเขาสนิทสนมไปมาหาสู่ ไปจนถึงช่วงเวลาที่หมางเมินกัน และเวลานี้ที่อีกฝ่ายแวะมาเยี่ยมเยียน ก็ทำเอาร่มธรรมใจหาย
ความสัมพันธ์ของพวกเขาหักเหไปมา มีขึ้นมีลง ช่วงขึ้นนั้นแสนสุข ช่วงลงก็แสนทุกข์ และนับจากนี้ มันก็คงไม่มีทางขึ้นไปสูงอีกแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากให้มันดำดิ่งตกต่ำเหมือนช่วงที่หมางเมินเช่นกัน
“คิดอะไรอยู่” เพราะร่มธรรมเอาแต่ขมวดคิ้วราวกับตกอยู่ในห้วงความคิด เสียงทุ้มจึงดังเรียกสติ
“ป...ปวดแขนน่ะ...”
เพราะไม่ใช่คนโกหกเก่ง คำตอบจึงแสนเบาและเอาแต่ก้มหน้าต่ำ ทว่าคนมาเยี่ยมไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะโกหก ยิ่งเป็นการพูดเรื่องอาการเจ็บปวด จากการสงวนท่าทีเพราะความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นกุลีกุจอหาหมอนอิงมาเสริมท่าให้คนป่วยได้อยู่ในท่าสบายมากขึ้น
“กินข้าวเสร็จแล้วกินยาเลย แล้วถ้ายังไม่หายปวด ผมจะพาไปโรงพยาบาล” ครองภพมีท่าทีจริงจัง สีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่านและคิ้วผูกกันเป็นโบว์ไม่ใช่สิ่งที่แสดงออกบนสีหน้าของผู้ชายนิ่งเฉยอย่างเขา หากไม่ใช่เพราะบทบาทที่ได้รับในฐานะนักแสดง ก็ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนในโลกใบนี้ที่ได้เห็นครองภพยิ้ม หัวเราะ หงุดหงิด หรือแม้แต่ร้องไห้
แต่...ร่มธรรมได้เห็น อย่างน้อยก็ได้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของครองภพที่ไม่ใช่ในฐานะนักแสดง
“มองอะไร” เพราะคนเจ็บเอาแต่จับจ้อง ครองภพผู้ยังเอาแต่ขมวดคิ้วไม่เลิกเลยย้อนถาม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูเข้มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เวลาทำหน้าเฉยก็หล่อแทบแย่ พอมาทำหน้าตาหงุดหงิดแบบนี้ ดูหล่อหนักกว่าเดิมอีก
“อ่า...น้องครองไม่ต้องซีเรียส พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากนะ หมอก็บอกว่าแค่นิดเดียว”
“เจ็บตัวแบบนี้น่ะเหรอ นิดเดียว?” แรกเริ่มขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง แต่ตอนนี้ชักจะขมวดคิ้วเพราะความหงุดหงิดที่คนเจ็บยังมีหน้ามายิ้มและออกปากว่าไม่เป็นอะไรมากอีก
คนประเภทนี้นี่มันยังไง เจ็บตัวแทนคนอื่นแล้วยังยิ้มระรื่น แล้วที่เจ็บตัวก็ไม่ใช่เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยซ้ำ แต่เพราะเห็นเค้าลางว่าจะเกิดเรื่องร้ายถึงได้ยื่นมือมาช่วยเหลือจนเจ็บตัวแบบนี้
“แล้วเรื่องที่คุณบอกว่าเห็นคนนุ่งโจงน่ะ เห็นครั้งแรกหรือว่าเห็นหลายครั้งแล้ว”
คำถามของครองภพทำเอาร่มธรรมนิ่งงัน
“อ...เอ่อ...ก็...ก็สมัยเด็กๆ...ก็เคยเห็นหลายครั้ง”
“แต่ละครั้งเป็นยังไง”
“อ่า...จำไม่ได้หรอก สมัยเด็กๆน่ะ มันก็หลายสิบปีแล้วนะ...”
“แล้วเคยฝันเห็นไหม”
“ก็...เคย”
“ฝันว่าอะไร”
“...จ...จำไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นฝัน...” ไม่กล้าเล่าเรื่องความฝัน ไม่กล้าพูดว่าคาดเดาความสัมพันธ์ของเขาและครองภพในชีวิตก่อนอาจถึงขั้นเลวร้าย ไม่รู้ใครร้ายต่อใคร แต่...ชีวิตนี้ เวลานี้ ร่มธรรมไม่อยากให้ความบาดหมางในอดีตชาติมาทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาอีกแล้ว
เราอุตส่าห์ได้เริ่มชีวิตใหม่ ทำไมเรายังต้องผูกอยู่กับเรื่องในอดีต
แค่เรื่องที่ต้องเป็นห่วงอย่างปัจจุบัน และความกังวลเกี่ยวกับอนาคตยังไม่มากพออีกหรือ
ครองภพจะมีอันตรายอะไรอีกบ้างไหม ชายนุ่งโจงคนนั้นจะรามือไหม แล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาจะทำให้อนาคตเป็นเช่นไร
ความสัมพันธ์...ที่เวลานี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะไปในทิศทางใด ก่อนหน้านี้โกรธเคือง วันนี้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง แม้จะเป็นสองต่อสองที่เกิดจากการมาเยี่ยมคนบาดเจ็บก็ตามที
“แล้วเคยฝันเห็นผมไหม”
คำถามต่อมาทำเอาคนที่เอาแต่คิดกลับไปกลับมาถึงกับเงยหน้ามอง
“ฝันเห็นครอง? จะไปเคยได้ไงน่ะ”
ท่าทีและคำตอบของเขาคราวนี้เสียงดังฟังชัด ครองภพพยักหน้ารับรู้
“ผมก็ไม่เคยฝันเห็นคุณเหมือนกัน”
“มันก็ต้องแบบนั้นแหละ จะฝันเห็นกันได้ยังไง...” คนเจ็บเปรยเสียงเบาแล้วได้แต่เกาหน้าผากอย่างเก้อๆ คนมาเยี่ยมพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ผมจะไปเอาน้ำมาให้ กินข้าวเสร็จจะได้กินยา ส่วนขนม...ผมจะใส่ตู้เย็นเอาไว้ แล้วถ้าคุณหิวดึกๆก็หยิบมาทานแล้วกัน”
“ขอบคุณครับ”
นักแสดงหนุ่มรุ่นน้องไม่ได้อยู่รอฟังคำพูดประโยคนั้นก็คว้าเอากล่องขนมของฝากหมุนตัวเดินหายเข้าไปในครัว ทำเอาคนถูกสอบสวนเมื่อครู่ถึงกับถอนหายใจพรูอย่างโล่งอก ทว่า...หากร่มธรรมติดตามอีกฝ่ายเข้าไปในครัวคงได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่เข้มคมขึ้นอีกเพราะสีหน้าบึ้งตึงและขมวดคิ้วมุ่น
คราวนี้ไม่ใช่เพราะความห่วงใยที่มีต่อร่มธรรม หรือเพราะหงุดหงิดที่คนอายุมากกว่ายังยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งๆที่เจ็บตัว แต่คิ้วขมวด...เพราะจับโกหกได้
ตอนถามถึงคนนุ่งโจงกลับตอบงึมงำ แต่พอถามว่าฝันเห็นเขาบ้างไหมกลับตอบเสียงดังฟังชัดผิดเป็นคนละคน
เรื่องใดเรื่องหนึ่งในสองเรื่องนี้ ร่มธรรมโกหกเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน ทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับครองภพอย่างไม่ต้องสงสัย และร่มธรรมเลือกที่จะไม่บอกให้เขารู้
แล้วคนอย่างครองภพก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้เรื่องที่สงสัยกลายเป็นเพียงฝุ่นผง หากเขาอยากรู้ ก็ต้องได้รู้ แล้วยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพวกเขา ร่มธรรมก็อย่าหวังว่าจะได้เก็บเป็นความลับกับเขาอีกเลย!!
……………………..