The Timeless Tide...Side Story : กันตวิชญ์ (จบ)เป็นเวลาสามสี่วันมาแล้วที่สถาปนิกหนุ่มอย่างอรรถนนท์สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเพื่อนสนิท...หลายครั้งที่เขาเอ่ยปากเรียกหรือเริ่มบทสนทนาอะไรสักอย่างแต่กลับไม่ได้รับคำตอบใดคล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง อาการเหม่อลอยมีให้เห็นบ่อยครั้งจนแม้แต่คนใกล้ตัวอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้...แต่ทุกครั้งเจ้าตัวก็เพียงสะดุ้งน้อยๆเมื่อถูกดึงสติกลับมาแล้วตอบกลับเพียงแค่ว่า
'ไม่ได้เป็นอะไร'
ไม่ใช่แค่ตัวเขาที่รู้สึก แม้แต่พี่ชายคนโตอย่างอิงทัศน์เองก็สังเกตได้เพียงแค่ใช้เวลากับชายหนุ่มในเย็นวันหนึ่งที่ร้านอาหารกึ่งผับหรูย่านใจกลางเมือง เมื่อสองคนพี่น้องนัดแนะเพื่อนฝูงนักเรียนนอกออกมาสังสรรค์และถือโอกาสชักชวนมาร่วมงานวันเกิดของผู้เป็นพ่อไปในตัว
"พี่ว่าจะให้คุณพ่อรับรองแขกผู้ใหญ่ในบ้าน ส่วนด้านนอกก็จัดเป็นค็อกเทลปาร์ตี้ให้พวกเด็กๆได้ผ่อนคลายกัน"พี่ชายคนโตของบ้านกล่าวสรุป
"แล้วอย่างพวกผมยังนับเป็นเด็กอยู่ไหมครับพี่อิง"หนึ่งในชายหนุ่มถามแกมหยอกเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมวง
"พวกแกสี่คนอายุรวมกันก็เกินร้อยไปหลายปีแล้วยังจะกล้าถามอีกนะรัชต์"อิงทัศน์ได้แต่ปรายตามองเจ้าของชื่อพลางส่ายหน้าปลง ยิ่งทำให้นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอย่างรัชตะถูกเพื่อนโห่แซวเสียงดังแต่เจ้าตัวกลับไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนยังคงหัวเราะร่าเพราะรู้ว่า'พี่ใหญ่'ของกลุ่มเพียงหยอกเล่นเท่านั้น
"ว่าแต่งานวันเกิดของท่านทูตทั้งทีทำไมถึงจัดที่บ้านล่ะครับ ปกติผมเห็นเขาจัดกันในโรงแรมใหญ่โต"หนุ่มร่างท้วมท่าทางอารมณ์ดีพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้านอาหารชื่อดังอย่างธาวินอดถามขึ้นไม่ได้
"คุณพ่อท่านว่าจัดที่บ้านดูเป็นกันเองมากกว่าน่ะ ท่านอยากได้งานเล็กๆจะได้ดูแลกันได้ทั่วถึง"
"ระดับท่านทูตกิตติผมว่าจัดที่บ้านหรือที่โรงแรมก็คงไม่เล็กหรอกมั้งพี่"รัชตะยิ้มแซวทำเอาเพื่อนร่วมวงพยักหน้าเห็นด้วยกันเป็นแถว
"เอาน่า...คุณพ่อท่านอยากได้แบบนั้นก็ตามใจท่านหน่อย ว่าแต่พวกแกว่างกันหรือเปล่า"อรรถนนท์กล่าวตัดบทก่อนเอ่ยชักชวนเพื่อนฝูงที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตอบรับกันทั้งนั้น เหลือเพียงแต่คนตัวสูงที่นั่งอยู่ด้านในสุดที่ยังคงจดจ้องแก้วไวน์ทรงสูงในมือนานสองนานราวกับว่ามันเป็นของวิเศษนักหนา
"เป็นอะไรของมัน"แว่วเสียงบ่นของรัชตะอยู่ไม่ไกลจนเพื่อนร่วมวงต่างหันมามองเป็นตาเดียว ธาวินเองก็ตั้งท่าจะเอื้อมมือไปสะกิดเรียกหากแต่ถูกอรรถนนท์ที่นั่งอยู่ข้างๆห้ามเอาไว้เสียก่อน
"ปล่อยมัน ช่วงนี้ใจลอยพิกลสงสัยมีเรื่องให้คิด"สถาปนิกหนุ่มพ่นลมหายใจหนักก่อนหันไปชักชวนเพื่อนเริ่มบทสนทนาอื่นต่อด้วยเกรงว่าอาการแปลกๆของคนตัวสูงจะทำให้เสียบรรยากาศ มีก็เพียงพี่ชายคนโตอย่างอิงทัศน์ที่ยังคงปรายสายตามองเป็นระยะ จนเมื่ออีกฝ่ายขอตัวไปเข้าห้องน้ำนั่นล่ะถึงได้สบโอกาสเดินตาม
"กันต์..."อิงทัศน์ออกปากเรียกเมื่อคนตัวสูงเดินเลี่ยงออกมายืนรับลมตรงระเบียงด้านนอก ใบหน้าคมด้านข้างแม้เรียบเฉยหากแต่คนเป็นพี่ยังสังเกตได้ถึงอาการผิดปกติ
...กันตวิชญ์คนนี้เงียบขรึมจนเกินไป...
"เป็นอะไรหรือเปล่า ช่วงนี้ดูแปลกไปนะ"
"เปล่าครับ"แต่คำตอบก็ยังคงเหมือนทุกครั้ง หนุ่มใหญ่ร่างสูงจึงทำได้เพียงถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นวางบนไหล่ของอีกฝ่าย ออกแรงตบเบาๆสักสองสามทีแล้วลงน้ำหนักค้างเอาไว้
"แกก็เหมือนน้องชายพี่คนหนึ่ง ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็บอกพี่ได้"ชายหนุ่มไม่ตอบเพียงพยักหน้ารับน้อยๆก่อนทอดสายตามองทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงแทน เห็นแบบนั้นอิงทัศน์จึงทำได้เพียงยืนเคียงข้าง ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมเพราะรู้ดีว่าคาดคั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ เขารู้จักนิสัยของกันตวิชญ์ดีพอที่จะรู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังมีเรื่องให้คิดแต่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดปากเล่าให้ใครฟัง
...คงต้องรอจนกว่าเจ้าตัวจะจัดการปัญหาได้ด้วยตัวเองนั่นล่ะถึงจะกลับมาเป็นกันตวิชญ์คนเดิม...
.
.
.
เกือบล่วงเข้าวันใหม่กว่าที่มื้ออาหารค่ำของบรรดาหนุ่มนักเรียนนอกจะจบลง ถึงอย่างนั้นรัชตะกับธาวินยังออกปากชวนเพื่อนฝูงไปท่องราตรีต่อด้วยกันตามประสาหนุ่มโสดอารมณ์ดี หากแต่สามคนที่เหลือกลับปฏิเสธ สุดท้ายสองพี่น้องอย่างอิงทัศน์และอรรถนนท์ถึงได้อาสามาส่งชายหนุ่มผู้เงียบขรึมตลอดทั้งคืนเหมือนเช่นทุกครั้ง
ร่างสูงสมส่วนทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวทันทีที่กลับถึงห้อง มือหนายกขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่สวมอยู่พร้อมกับระบายลมหายใจอ่อน ดวงตาคมจดจ้องเพียงเพดานด้านบนนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่ทั้งที่ความคิดในหัวยังคงวนเวียน
"เหมือนคนบ้าไม่มีผิด"ได้แต่บ่นพึมพำเพราะรู้ตัวดีว่าไม่กี่วันมานี้เขาออกอาการแปลกๆให้คนรอบข้างสังเกตเห็นมากเพียงใด แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่ไม่สามารถจัดการเรื่องที่เป็นกังวลได้
...ทั้งคิดถึงทั้งสับสน...คงเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง...
เกิดมาจนอายุ๓๐ปียังไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้สักครั้ง คนรักที่เรียกได้ว่ารักจริงน่ะก็เคยมีแต่ไม่เคยมีใครทำให้กระวนกระวายได้แบบนี้สักคน...ใช่สิ จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่กำลังนึกถึงเลยสักเรื่องนอกจากเรื่องราวในอดีตที่ตัวเองจดจำได้...แต่เพียงแค่ความทรงจำเหล่านั้นมันเพียงพอให้เขาเดินหน้าต่อไปหรือ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดีใจที่ได้รับรู้ว่าใครคนนั้นมีตัวตน และเขาก็ไม่ปฏิเสธว่ายังรักคนๆนั้นอย่างหมดหัวใจ แม้ว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีประสบการณ์ตกหลุมรักผู้ชายด้วยกันสักครั้งก็เถอะ
แต่เหนือกว่าความยินดีที่ได้รู้ว่าคนที่รอคอยอยู่ใกล้แค่เอื้อม คือความกลัวแผ่ซ่านจนไม่อาจข่มใจให้เป็นสุขได้ จริงอยู่ที่เขาอยากพบคนๆนั้นจนนึกอยากไปหาเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่กับอีกฝ่ายที่เขาไม่รู้แม้แต่ความคิด ไม่รู้ว่าเวลาที่ผ่านมาหลายปีทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ไม่รู้ว่าในโลกของคนๆนั้น ความคิดของคนๆนั้น ยังมีเขาอยู่บ้างหรือเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากพบกันอีกครั้งคนๆนั้นยังจำเขาได้หรือไม่
...ลืมพี่หรือยังหนอคนดี เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้ยังมีพี่อยู่ในใจเจ้าบ้างไหม...
คำถามที่เขาคอยเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆแต่กลับไม่มีคำตอบ ถึงอย่างนั้นคำว่า'คิดถึง'ยังคงไม่จางหาย แม้ทุกวันที่ผ่านไปเขายังอยู่กับคำว่าไม่รู้ แต่ก็ยังอยากพบ อยากเห็นแม้เสี้ยวหน้า อยากสบตาคมสวยคู่นั้น ได้มองรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากบาง...ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นอาจไม่ได้มีเพื่อเขาอีกแล้วก็ตาม...
.........................................................................
ร่างสูงสมส่วนภายใต้เสื้อยืดคอปกสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีเข้มและรองเท้าผ้าใบคงดูโดดเด่นสำหรับคนที่เดินผ่านไปมาในสถานทูตไม่น้อย สังเกตได้จากสายตาหลายคู่ที่จับจ้อง ทั้งเสียงกระซิบกระซาบของหญิงสาวรอบข้างที่ลอยผ่านมาเข้าหู หากแต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจเมื่อยังมีเรื่องอื่นให้เป็นกังวลมากกว่า...ชายหนุ่มยกมือกระชับแว่นกันแดดสีชาพร้อมกับสองขาที่ก้าววนไปมาอยู่กลางโถงทางเดิน ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว เจ้าหน้าที่สถานทูตหลายคนเริ่มทยอยลุกจากที่นั่งเมื่อถึงเวลาพักกลางวัน แต่กับคนที่รอคอยยังไม่มีวี่แววจะได้พบจึงทำได้เพียงเดินวนไปเวียนมาไม่เป็นสุข
เพราะความคิดถึงทำให้กันตวิชญ์ไม่ลังเลที่จะต่อสายตรงไปหาเพื่อนสนิทกลางดึกคืนนั้น ใช้เพียงคำพูดลอยๆไม่กี่คำเพื่อหลอกถามอรรถนนท์ถึงสถานที่ทำงานของคนที่เขาอยากพบ สถาปนิกหนุ่มเองก็ดูไม่ติดใจสงสัยถึงได้ยอมบอกแต่โดยดี แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าหากได้พบกันเขาควรทำตัวเช่นไร
...ควรเดินเข้าไปหาดีไหม หรือคอยมองอยู่ห่างๆเท่านั้น และหากนึกอยากเข้าไปคุยด้วยเล่า จะเริ่มต้นอย่างไรดี...
...ฟุ้งซ่าน...
ในหัวมีแต่เรื่องฟุ้งซ่านเต็มไปหมด
"อยากทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าครับ"ทว่าเสียงนุ่มคุ้นหูที่ได้ยินกลับทำเอาสองขาชะงักนิ่ง หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อนึกไปถึงคนที่กำลังเดินมาทางด้านหลัง หากเพียงตัดสินใจจะหันกลับไปเผชิญหน้า อีกเสียงหนึ่งกลับดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
"แล้วแต่ธีร์เลยค่ะ พราวทานอะไรก็ได้"แม้ไม่ได้หันไปมองก็รู้ดีว่าหญิงสาวเจ้าของเสียงหวานนั้นกำลังโต้ตอบกับใครอีกคนที่เขาเฝ้ารอ สองขายาวจึงทำได้เพียงก้าวหลบไปยืนหลังกำแพง สายตาคมลอบมองชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินผ่านหน้าโดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนเฝ้าดูอยู่
ใบหน้าที่ติดอยู่ในความทรงจำนั้นยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน รูปร่างหรือก็สูงโปร่งออกจะมีน้ำมีนวลกว่าเก่า ผมที่เคยยาวระต้นคอตอนนี้ถูกตัดให้สั้นลงถึงอย่างนั้นก็ยังยาวเคลียแก้มขาว ดวงตาสวยปนโศกและรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากบางนั้นก็เหมือนเดิม...ผิดไปก็ตรงที่
...รอยยิ้มนั้นไม่ได้มีให้กับเขา...
เพราะเจ้าตัวกำลังยิ้มหวานขณะผายมือให้คนด้านข้างเดินผ่านบานประตูไปก่อน แว่วเสียงขอบคุณจากหญิงสาวตัวเล็ก ผมยาวเคลียไหล่ ท่าทีอ่อนน้อมเมื่อโน้มศีรษะลงเล็กน้อยยามเดินผ่านหน้า ก่อนที่ชายหนุ่มร่างโปร่งจะเดินตามออกไปเคียงคู่กัน เสี้ยวหน้าที่นึกถึงแสดงอาการดีใจยามพูดคุย ไม่ต่างจากหญิงสาวข้างๆที่กำลังหัวเราะเมื่อถูกหยอกล้อ ทั้งยังเอื้อมมือเรียวเล็กออกไปผลักไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
ท่าทีขัดเขินแบบนั้นทำเอาหัวใจของกันตวิชญ์แทบหล่นหาย คำพูดที่นึกเตรียมมาแต่ต้น ความกังวลสารพัดกลับถูกแทนที่ด้วยอาการปวดหนึบตรงหน้าอกข้างซ้าย...เขาไม่รู้หรอกว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร อาจเป็นเพื่อนร่วมงาน คนสนิท หรือมากกว่านั้น หากแต่สิ่งเดียวที่เขารับรู้...คือสองคนนั้นเหมาะสมกันเหลือเกิน...
...เหมาะสม...จนเขาทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆแล้วหันหลังกลับไปทันที...
...............................................................................................
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่กันตวิชญ์เอาแต่นั่งทอดสายตามองเจ้าพระยาสายใหญ่เบื้องหน้าจากศาลาแปดเหลี่ยมของเรือนไม้เก่าแก่หลังเดิม รู้ตัวอีกทีเมื่อตอนที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงแผดเสียงร้องจนเจ้าตัวสะดุ้งน้อยๆก่อนจะหยิบมันขึ้นดูเพื่อพบว่าปลายสายที่โทรเข้ามาคือเพื่อนสนิทคนเดิม
'อยู่ไหนของแก' กันตวิชญ์ปรายสายตามองรอบตัว หากเขาบอกไปว่าอยู่ที่นี่จะทำให้เจ้าของบ้านไม่พอใจหรือเปล่านะ อยู่ดีๆก็ถือวิสาสะเข้ามานั่งใจลอยอยู่ในเขตรั้วบ้านเขาแบบนี้
"มีอะไรหรือเปล่า"สุดท้ายเลยได้แต่บ่ายเบี่ยงถามถึงธุระกลับไปแทน
'คุณพ่อท่านอยากพบเลยให้โทรมาถามว่าเย็นนี้ว่างไหม'
"คุณลุงมีธุระด่วนหรือ"เสียงทุ้มตอบกลับไปไม่ใส่ใจนัก ตั้งใจเอาไว้ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญอะไรเขาคงขอเลื่อนนัดเป็นวันพรุ่งนี้แทนเพราะตอนนี้เขายังไม่มีอารมณ์พบปะใครเอาเสียเลย
'จะว่าด่วนก็คงไม่ด่วน แต่แกคงอยากให้มันด่วน'
"อย่ามาเล่นลิ้นน่า"คนตัวสูงขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบามาตามสาย ก่อนที่สถาปนิกหนุ่มจะเอ่ยคำเฉลยจนคนฟังแทบลุกพรวดพราดจากม้านั่ง
'คุณพ่อท่านอยากคุยเรื่องเรือนริมน้ำ เห็นเปรยๆว่าเกือบใจอ่อนแล้วอะไรนี่ล่ะ'
"ล้อกันเล่นหรือเปล่าอาร์ม!"
'ถ้าอยากรู้ก็มาที่บ้านสิ ท่านชวนมาทานมื้อเย็นด้วย...ดูซิ ตั้งแต่รู้จักแกวันๆก็เอาแต่ถามถึง ไม่รู้ถูกใจอะไรแกนัก ฉันเป็นลูกชายแท้ๆยังไม่ถามหาขนาดนี้...'ชายหนุ่มเพียงปล่อยให้ปลายสายบ่นแกมหยอกโดยไม่โต้ตอบอะไรเมื่อความคิดจดจ่อเพียงแค่เรื่องเรือนหลังงามตรงหน้า...ความกังวลเมื่อครู่ปลิวหายไปทันทีเมื่อมีเรื่องสำคัญให้คิดถึงมากกว่า ชั่วขณะหนึ่งที่เขาหวนนึกถึงภาพถ่ายขาวดำที่แขวนโดดเด่นกลางห้องนั่งเล่นกว้างขวางกับคำอธิษฐานจิตเมื่อหลายวันก่อน รูปภาพนั้นนิ่งเฉยไร้ชีวิตหากแต่คนตัวสูงกลับนึกไปถึงรอยยิ้มและน้ำเสียงอ่อนโยนของผู้มีพระคุณล้นเหลือในอดีตชาติ...ดวงตาคู่สวยปราดมองประตูเรือนที่ลงกลอนแน่นหนาพร้อมกับที่ริมฝีปากหยักขยับเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ก่อนที่สองขายาวจะรีบก้าวไปให้ถึงรถเก๋งที่จอดอยู่แล้วขับออกไปทันที
'ขอบพระคุณขอรับเจ้าคุณท่าน'
.
.
.
.
สิ่งที่หวังไว้แม้ยังไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจแต่ก็เรียกได้ว่าไม่สูญเปล่า เมื่อเย็นวันนั้นกันตวิชญ์ได้รับคำยืนยันจากท่านทูตกิตติเรื่องการตัดสินใจขายมรดกชิ้นสำคัญ ชายหนุ่มจับกระแสบางอย่างได้ในน้ำเสียงของผู้อาวุโสยามเอ่ยถึงเรือนริมน้ำหลังนั้น ทั้งยังท่าทีโอนอ่อนเมื่อเขาเปรยเรื่องราคาหรือแม้แต่สีหน้ายินดียามเขาอาสาเป็นผู้รับผิดชอบค่าซ่อมบำรุงเรือนเสียเองหากท่านยอมตกลงขาย นั่นทำให้กันตวิชญ์ค่อนข้างแน่ใจว่าอีกไม่นานเขาคงได้สมบัติชิ้นสำคัญมาไว้ในครอบครอง
ชายหนุ่มเผลอนึกไปถึงวันที่ตนได้เป็นเจ้าของเรือนหลังนั้นโดยสมบูรณ์ เขาอยากปรับปรุงอะไรอีกหลายอย่าง ทั้งห้องทำงานชั้นล่างที่ตอนนี้โล่งโจ้งไร้เครื่องเรือน ห้องนั่งเล่นกว้างขวางแต่เหลือเพียงชุดโซฟากับนาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้น หรือแม้แต่สวนด้านหน้าที่เคยเต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับส่งกลิ่นหอมฟุ้งหากแต่ตอนนี้กลับโล่งเตียนเพราะขาดคนดูแล ยังมีศาลาริมน้ำนั่นอีก...เอ๊! ตรงนั้นเคยมีต้นแก้วปลูกเอาไว้นี่นา สงสัยต้องไปหาต้นแก้วพันธุ์ดีมาลงไว้เหมือนเดิมเสียแล้ว เวลาแขกไปใครมาจะได้กลิ่นหอมของดอกแก้วให้ชื่นใจ
กันตวิชญ์ชอบดอกแก้ว...จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็กเขาชอบเด็ดช่อดอกแก้วสีขาวนวลที่ปลูกอยู่ริมรั้วบ้านมาให้คุณยายใส่ขวดโหลหล่อน้ำแล้วเอามาวางไว้หัวเตียงเสมอเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆช่วยให้เขาหลับฝันดี...เขาเคยนึกสงสัยว่าทำไมถึงได้ติดใจกลิ่นหอมของมันนัก จนมาวันนี้ถึงได้เข้าใจ
...เพราะดอกแก้วคือดอกไม้แทนตัวเขาเองเมื่อครั้งอดีต...ดอกไม้...ที่เป็นตัวแทนของความดีและความบริสุทธิ์ เหมือนอย่างที่ตัวเขาเคยเป็น และจวบจนตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น...
'หน้าฝนปีหน้าต้นแก้วที่ศาลาริมน้ำก็คงออกดอกแล้วสิครับ'
แว่วเสียงคุ้นหูดังแทรกในความคิด...เสียงของใครคนหนึ่งที่เคยถามเอาไว้ในคืนฝนโปรย ในมือประคองช่อดอกแก้วโชยกลิ่นหอมอ่อนๆให้พอชื่นใจ หากยังหอมไม่เท่าเจ้าของมือเรียวในอ้อมกอด กลิ่นกายหอมเหมือนเด็กน้อยชวนให้หลงใหลที่ไม่ว่าจะสัมผัสสักกี่ครั้งก็ไม่เคยพอ
'อยากให้พ่อธีร์ได้เห็น'
เขายังจำคำตอบในคืนนั้นได้ดี ตั้งใจเอาไว้แน่วแน่ว่าจะดูแลต้นแก้วต้นนั้นให้เติบใหญ่ออกดอกงดงาม ใจนึกไปถึงรอยยิ้มหวานของใครคนนั้นยามได้เห็นช่อดอกไม้ขาวนวลผลิออกแซมประดับใบเขียวครึ้ม อยากได้ยินแม้น้ำเสียงระคนตื่นเต้นที่จะได้เห็นมัน
แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่มีโอกาส เพราะในวันที่ต้นแก้วต้นนั้นผลิดอก กลับกลายเป็นเขาที่ยืนมองมันเพียงลำพัง คนที่เคยตั้งตารอไม่เคยหวนกลับมา เช่นเดียวกับต้นแก้วต้นนั้นที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาไม่ต่างอะไรกับตัวเขา
...จนถึงตอนนี้ คนดียังอยากเห็นมันอยู่ไหมหนอ หากพี่คิดจะปลูกต้นแก้วไว้ที่เดิมอีกครั้ง เจ้าจะตั้งตารอให้มันผลิดอกเช่นที่เคยบอกพี่หรือไม่...
.................................................................................................
งานวันเกิดของท่านทูตกิตติถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตไม่ผิดคำที่หนุ่มนักเรียนนอกอย่างรัชตะเคยว่าไว้...สวนสวยหน้าบ้านถูกประดับด้วยไฟจนสว่างไสว ทั้งยังคลาคล่ำด้วยแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน เสียงพูดคุยจอแจดังไม่ขาดเมื่อต่างคนต่างจับกลุ่มสนทนา เช่นเดียวกับชายหนุ่มทั้งห้าที่จับจองพื้นที่ในมุมหนึ่งของสวนเพื่อพูดคุยเรื่องต่างๆหลังจากเข้าไปอวยพรเจ้าของวันเกิดเป็นที่เรียบร้อย คงมีเพียงคนตัวสูงที่ออกอาการแปลกๆตั้งแต่มาถึง ใบหน้าคมนิ่งเฉยไม่มีแม้รอยยิ้มประดับ หากแต่สายตาคมกลับวูบไหวคล้ายคนกำลังกังวลใจอะไรสักอย่างจนแม้แต่คนใกล้ชิดยังสังเกตได้
อิงทัศน์และอรรถนนท์ทำได้เพียงลอบมองท่าทีของเพื่อนสนิท ไม่มีใครออกปากถามเพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าคำตอบที่ได้รับคงเป็นคำพูดเดิมๆที่ไม่ได้ช่วยไขความกระจ่างอะไร ถึงอย่างนั้นก็ยังคอยส่งสายตาเป็นห่วงมาให้เป็นระยะทั้งที่คนถูกจดจ้องไม่รับรู้ด้วยซ้ำ
"เห็นแกบอกว่ามีคนอยากแนะนำให้รู้จัก"หากคำถามของธาวินทำเอาชายหนุ่มหลุดจากความคิดแล้วหันมาสนใจเพื่อนร่วมกลุ่มอีกครั้ง
"ลูกชายเพื่อนสนิทคุณพ่อน่ะ แต่ยังไม่เห็นเลยสงสัยยังมาไม่ถึง"สายตาคมอดชำเลืองมองตามอรรถนนท์ที่หันซ้ายแลขวาไปรอบๆไม่ได้ แม้เหตุการณ์ที่สถานทูตในวันนั้นทำเอาเจ้าตัวเสียความมั่นใจไปไม่น้อยแต่กลับไม่ทำให้ความคิดถึงและอยากพบหน้าหดหายลง...เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากได้พบกันซึ่งหน้าเขาควรมีปฏิกิริยาแบบไหนดี ควรทำเป็นไม่รู้จักหรือส่งรอยยิ้มหวานเช่นที่เคยทำเมื่อครั้งอดีต แล้วถ้าเป็นอย่างหลัง...คนๆนั้นจะยังส่งยิ้มกลับมาให้เหมือนเคยหรือเปล่า
"อ้อ! ที่เคยเล่าว่าสนิทกัน"
"อย่าเรียกว่าสนิทเลย ธีร์น่ะ เหมือนน้องชายคนเล็กของบ้านมากกว่า ตอนเด็กๆก็ชอบงอแงขอมาเล่นที่บ้านนี้ พอตอนจะกลับก็ร้องไห้ไม่ยอมกลับอีกต่างหาก"อิงทัศน์หัวเราะเบาพาให้คนฟังนึกไปถึงภาพเด็กชายตัวน้อยที่คอยวิ่งตามหลังพี่ชายทั้งสอง ทั้งยังน้ำเสียงออดอ้อนผู้เป็นพ่อเมื่อรู้ว่าถึงเวลาต้องกลับบ้าน เพียงแค่นั้นรอยยิ้มบางก็ปรากฏบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
"มีไอ้อาร์มเป็นน้องชายคนเดียวไม่พอหรือไงครับพี่อิง"รัชตะเอ่ยแซวพร้อมข้อศอกที่ถองเบาๆเข้าที่เอวของคนตัวสูงใหญ่
"ไอ้นี่น่ะมันแสบ พูดอะไรก็ไม่ฟัง ไม่เหมือนธีร์หรอก"
"อ้าวพี่อิง เผากันแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ ตอนเด็กๆพี่เองก็แสบใช่ย่อยเหมือนกันล่ะน่า"แว่วเสียงหัวเราะดังจากเพื่อนร่วมวง ก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนเป็นเรื่องในวัยเด็กของสองหนุ่มเจ้าของบ้านแทน
กันตวิชญ์ยังปรายสายตามองเรื่อยเปื่อยไม่ได้สนใจบทสนทนาตรงหน้าเท่าไหร่นัก เพียงครู่หนึ่งสายตาก็สะดุดอยู่ที่ประตูบ้าน เมื่อคนที่กำลังเดินเข้ามาคือคนที่นึกถึงแทบตลอดเวลา ร่างสูงโปร่งติดผอมบางอยู่ในชุดสูทสีควันบุหรี่ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวในปลดกระดุมเม็ดบนทำให้ดูไม่เป็นทางการมากนัก เรือนผมดำสนิทเคลียแก้มใสเช่นเดียวกับนัยน์ตาสวยปนโศกสีเดียวกัน ริมฝีปากบางยกยิ้มนิดๆยามกล่าวทักทายคนที่เดินผ่าน ในมือประคองกล่องของขวัญขนาดไม่ใหญ่นัก
ชายหนุ่มเหลียวมองจนอีกฝ่ายเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้าน พยายามเพ่งสายตาดูว่าคนที่คิดถึงมาพร้อมใครอีกคนที่เขานึกหวั่นใจหรือเปล่า หากเพียงมองให้ดีกลับพบว่าเจ้าตัวมาเพียงลำพัง เท่านั้นก็พอให้เขาระบายลมหายใจบางเบาอย่างโล่งอก หันกลับมาหาเพื่อนร่วมกลุ่มอีกครั้งก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงเช่นเดิม ดูท่าว่าสองพี่น้องอย่างอิงทัศน์และอรรถนนท์ยังให้ความสนใจในบทสนทนากับเพื่อนฝูงมากกว่าจึงไม่ทันสังเกตเห็นคนที่พวกเขาเอ่ยถึงเมื่อครู่ มีเพียงกันตวิชญ์ที่สายตาจดจ่ออยู่กับประตูบ้านบานใหญ่เนิ่นนานราวกับรอคอยอะไรสักอย่าง
จนเมื่อร่างโปร่งของคนที่นึกถึงโผล่พ้นประตูออกมา ใบหน้าติดหวานหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง พลันสายตาคู่งามเวียนมาหยุดตรงหน้าคล้ายสบตากัน เมื่อนั้นชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งสุดตัวแล้วหันหลังกลับในทันที หัวใจเต้นแรงรัวจนกลบเสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมวงยามที่ปลายหางตามองเห็นว่าคนที่คิดถึงกำลังเดินตรงมาทางนี้
...ตื่นเต้น...
ใช้คำนี้ก็คงไม่ผิดนัก
หากยังไม่ทันได้คิดอะไร แรงสั่นเบาๆในกระเป๋ากางเกงกลับเรียกสติของเจ้าตัวกลับคืน มือหนาล้วงเข้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูชื่อคนโทรเข้า เมื่อเห็นว่าเป็นมารดาของตนก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นเพราะปกติคุณแม่ไม่เคยโทรหาเวลานี้ถ้าไม่มีเรื่องด่วนจริงๆ
"ครับคุณแม่"เสียงทุ้มตอบกลับเป็นจังหวะเดียวกับที่อรรถนนท์สังเกตเห็นคนที่ยืนชะเง้อคอมองหาอยู่ด้านหลัง ทว่าคำตอบของมารดากลับทำเอาลมหายใจแทบสะดุดจนเผลอลืมเรื่องที่กำลังกังวลอยู่จนหมดสิ้น
'กันต์! รีบมาที่โรงพยาบาลเร็วๆนะลูก...คุณยายหกล้ม'
มือที่ประคองโทรศัพท์ไหววูบ ทั้งดวงตาเบิกกว้างจนแม้แต่เพื่อนร่วมกลุ่มยังสังเกตได้ เขารู้สึกถึงแรงเขย่าเบาๆบนต้นแขนจากธาวิน สีหน้าสงสัยของรัชตะ หรือแม้แต่เรียวคิ้วที่ขมวดน้อยๆของอิงทัศน์
"ฉันกลับก่อนนะ คุณยายเข้าโรงพยาบาล"เพียงแค่ประโยคทิ้งท้ายสั้นๆก่อนที่เขาจะรีบร้อนเดินออกจากบ้านไปทันที ทิ้งความกังวลให้คนอยู่เบื้องหลัง ไม่เว้นแม้แต่คนมาใหม่ที่อรรถนนท์เพิ่งพามาแนะนำให้รู้จัก
...รีบร้อน...จนไม่ทันสังเกตเห็นสายตาคู่งามที่มองตามแผ่นหลังกว้างของตัวเอง
...ร้อนรน...จนลืมความตื่นเต้นระคนตระหนกที่รบกวนจิตใจมาหลายวัน
...เร่งรีบ...จนพลาดโอกาสได้สบดวงตาสวยปนโศกที่ตนเฝ้านึกถึง
...เพียงเพราะคนสำคัญอีกคนที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร...
....................................................................................