ซ่อนรัก
บทที่ ๒๕
ลดาเพิ่งเดินเข้าบ้านได้ไม่ถึงห้านาที หล่อนกำลังจะอ้าปากเรียกพนักงานรับใช้ แต่เสียงสะอื้นเบาๆ ที่ดังมาจากห้องรับแขกก็ดังขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นของหล่อนพวยพุ่งอย่างหยุดไม่อยู่ แม้จะรู้ดีว่าเป็นการเสียมารยาท แต่หล่อนถือคติว่าเรื่องของคนในบ้านก็ไม่ต่างอะไรจากเรื่องของหล่อน
เสียงสะอื้นยังคงดังต่อเนื่อง บางครั้งก็เจือด้วยความเกรี้ยวกราดแต่เพียงผู้เดียว เพ็ญแขที่หล่อนเคยเห็นคือคนที่ไม่เคยมองต่ำ มาวันนี้ไม่ต่างอะไรกับผู้เป็นแม่ทั่วไป มีความผิดหวังที่บรรยายด้วยหยาดน้ำตา กระนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งมารยาท ไม่ลงไม้ลงมือ ไม่ตะโกนเสียงดังจนหยาบคาย
ลดารู้เพียงคนในบ้านหลังนี้ก่อเรื่องราวใหญ่จนไม่อาจอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ กระนั้นหล่อนกลับต้องเบิกตาค้างเมื่อชื่อของใครบางคนอยู่ในบทสนทนา หล่อนยืนนิ่งอย่างมีหวังว่าจะไม่ใช่มันคนนั้น แต่แล้วชื่อที่ทำให้หล่อนอาจต้องลำบากอีกครั้งก็ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความชิงชัง
ความโมโหเกาะกุมจิตใจของหล่อนและขยับขยายไปทั่วผิวกาย ความรังเกียจเต็มตื้นและเฝ้าโทษคนให้กำเนิดอีกคน ถึงมันจะเป็นลูก แต่เศษเสี้ยวความรักที่เคยให้ก็มลายหายไปตั้งนานแล้ว หล่อนลืมความรู้สึกนั้นไปนานและไม่อาจหาเหตุผลมาปกป้องหรือเข้าข้างได้
หล่อนกำมือแน่นและจินตนาการถึงความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้และไร้เงินทองใช้จ่ายอย่างเป็นสุข ลดาก็ไม่อาจทนได้แล้ว
“มายืนทำอะไรตรงนี้คะ”
ลดาสะดุ้ง เมื่อรู้ตัวหล่อนจึงขยับเสื้อและมองไปยังต้นเสียง “สาระแน ฉันจะมองอะไรแล้วแกเดือดร้อนหรือ”
“เปล่าค่ะ” กิ่งกาญจน์ตอบ “แต่คุณวุฒิกำลังคุยกับคุณเพ็ญแขอยู่เกรงว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวค่ะ”
“แกมีหน้าที่อะไรก็ไปทำ อย่ามายุ่งเรื่องเจ้านายให้มาก ระวังจะไม่มีที่อยู่”
กิ่งกาญจน์ไม่รอให้ลดาพูดจบก็หันหลังไม่รับฟังและเร่งฝีเท้าเข้าไปเตรียมอาหารเย็นในครัว
ภายในห้องรับแขกเงียบแล้ว แต่ทิ้งร่องรอยของความเสียใจและความโกรธขึ้งไว้อย่างแนบเนียนไว้บนพื้นผิวและบรรยากาศ
“คุณวุฒิต้องจัดการ เพราะพี่ไม่เชื่อว่าพฤทธิ์จะเป็นคนเริ่มก่อน”
“เรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป การที่คุณแขไปตามดูด้วยตัวก็ใช่จะเป็นอย่างที่เห็นนะครับ”
เพ็ญแขตาแดงก่ำ หลักฐานแน่นหนาขนาดนั้นจะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร “หรือคุณวุฒิอยากจะลองไปดูเองล่ะคะจะได้รู้ว่าที่พี่พูดไม่เกินจริงเลย”
“เราควรจะถามเด็กทั้งสองคนก่อนจะโยนความผิดให้ใครคนหนึ่งนะครับ”
“คุณวุฒิเลี้ยงเด็กคนนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ และพี่เลี้ยงคุณพฤทธิ์มาตั้งแต่ไหน ทำไมเราต่างไม่รู้ว่าพื้นเพลูกของเราเป็นอย่างไร” เพ็ญแขหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ความรวดร้าวและผิดหวังคล้ายสายน้ำขุ่นมัว มันไหลทะลุทะลวงในทุกหย่อมหญ้า สร้างความเสียหายด้วยความสกปรกในทุกความคิดและความรู้สึก “พี่เลี้ยงลูกชายมาตั้งแต่คลอด คุณพฤทธิ์ไม่เคยยุ่งกับอะไรที่ไม่ควร”
เพ็ญแขพูดถูก เขาไม่ได้เลี้ยงหลงมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าถูกขัดเกลามาอย่างไร แต่ในเมื่ออยู่ที่นี่ ได้เป็นลูกชายคนเล็กของเขา..วุฒิก็พอจะอนุมานได้ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใครกล่าวหา “ผมจะจัดการเรื่องนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่ให้กระทบความรู้สึกของเด็ก ๆ นะครับ”
“พี่คาดหวังอยู่นะคะว่ามันจะดีขึ้น” หล่อนซับน้ำตาและจัดการตนเองให้เรียบร้อย ก่อนจะหยิบกระเป๋าโดยไร้ซึ่งคำอำลา มีเพียงกระแสความทุกข์ใจและความผิดหวังเป็นร่องรอยของการมาเยือน
มันเป็นวันที่เหนื่อยล้า เป็นวันที่ให้ความรู้สึกไม่สบายใจ เด็กหนุ่มที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านด้วยความอ่อนเพลีย ลูกชายคนโตที่ก้าวตามมาติด ๆ พร้อมด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและกระเป๋าที่อัดแน่นไปด้วยเอกสาร
เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารเย็น บรรยากาศก็ไม่เหมือนเดิม ลดาที่แทบไม่รับประทานอาหารเย็นพร้อมกันกลับนั่งรออยู่ สีหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความหงุดหงิด กระนั้นริมฝีปากกลับยิ้มเอาใจสามีเหมือนอย่างเคย ต่างคนต่างรู้สึกแปลกใจ แต่เพราะอะไร ๆ ก็คล้ายจะไปในทางที่ดีจึงไม่มีใครกล้าทำลายบรรยากาศด้วยการลุกออกไปทั้งที่อิ่มแล้ว
“วันนี้ไม่กินข้าวเย็นข้างนอกหรือ” วุฒิถาม ขณะที่พนักงานรับใช้ยกกล้วยบวชชีมาวางบนโต๊ะ
“ลดาอยากกินข้าวพร้อมกับคุณวุฒิและเด็ก ๆ บ้างค่ะ” หล่อนพูดเอาใจพลางตักของหวานให้ผู้ร่วมโต๊ะ “เหมือนเราไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้นานแล้ว”
“อืม..วันหลังตื่นมากินข้าวเช้าด้วยกันสิ”
“ลดาจะตื่นให้ทันค่ะ”
วุฒิเหลือบตามองเด็กหนุ่ม ใบหน้าน่าเอ็นดูไม่แสดงอารมณ์ที่อะไร มีเพียงเสียงช้อนที่กระทบกับถ้วยเบา ๆ เสียงปลายเท้าขยับเป็นระยะ ทุกอย่างเป็นปกติ ทว่ามีเพียงเรื่องราวบางอย่างที่คอยแทรกเข้ามาทลายกำแพงที่มั่นคงให้กร่อนลงช้า ๆ รอยร้าวขยับขยายเกินกว่าจินตนาการไว้และหยุดลงเมื่อมื้อค่ำผ่านพ้นไป ก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว
เขาไม่ได้ร้องขอให้เด็กหนุ่มนั่งคุยกันเหมือนทุกวัน เพราะใบหน้าเด็กหนุ่มดูเหนื่อยล้า แต่ไร้ซึ่งความกังวล ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นวุฒิที่ตั้งคำถามกับตัวเองและเก็บความสงสัยไว้ใต้ใบหน้าที่ดูไม่ทุกข์ร้อน
ช่วงค่ำนี้ในห้องพักผ่อนที่อยู่ข้างในมีเพียงเขาและลดานั่งอยู่ด้วยกัน หล่อนนั่งดูละครหลังข่าว บางครั้งก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบใครบางคน ก่อนบทสนทนาที่นาน ๆ ครั้งจะมีก็เริ่มขึ้น
“คุณวุฒิพรุ่งนี้ออกไปไหนหรือเปล่าคะ”
“ออกเช้า ๆ ครับ มีอะไรหรือเปล่า” วุฒิละจากหนังสือตรงหน้าพลางมองหน้าลดาที่เอ่ยปากถาม “ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะถาม นึกอย่างไรถึงถามขึ้นมา”
“ลดาอยากตื่นมาส่งค่ะ” หล่อนเงียบ เมื่อเห็นสามีรอฟังจึงรีบพูดต่อ “ตอนเย็นจะกลับมาสักกี่โมงคะ ลดาอยากทำอาหารเย็นให้”
“วันนี้จะกลับดึกหน่อย พอดีอาจารย์ของกรณ์เขาเกษียณอายุเลยจัดงานอำลาเล็ก ๆ ที่บ้าน ไว้วันหลังเธอค่อยทำให้ฉันดีไหม”
“ค่ะ..ลดารักคุณวุฒินะคะ” ลดาขยับตัวเข้าใกล้และเอนซบเอาใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ในวันที่พระอาทิตย์เกียจคร้าน ดวงดาวกระจุ๋มกระจิ๋มทอประกายแสงสว่างในช่วงเช้ามืด นาฬิกาบอกเวลาว่าล่วงเลยหกโมงเช้าแล้ว กระนั้นแสงสีส้มก็ยังเร้นกายหลังท้องฟ้าสีเข้ม แม้พยายามเฉิดฉายก็ยังพ่ายแพ้เมฆหมอกอันหนาทึบ
ชั้นหนึ่งของบ้านสว่างไสวด้วยแสงไฟส่องตามทางเดินไล่มาจนถึงห้องรับประทานอาหาร ความแปลกประหลาดเกิดขึ้นเมื่อพนักงานรับใช้ในบ้านเห็นคุณผู้หญิงคนใหม่แต่งตัวสวยงามและใส่เครื่องประดับเล็ก ๆ ให้พอสะดุดตา หล่อนเดินลงมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น พร้อมกระเป๋าและเสื้อคลุมด้านนอกของเจ้าของบ้าน
“จัดที่ให้ฉันด้วย” ริมฝีปากของหล่อนเป็นสีชมพูสะดุดตา กระนั้นก็แฝงความนุ่มนวลของเฉดสีนั้นไว้
เวลาเจ็ดนาฬิกา ไฟดวงใหญ่ดับลง มีเพียงแสงจากโคมเล็ก ๆ ให้บรรยากาศอบอุ่น เสียงรองเท้าใส่ในบ้านเสียดกับพื้นหินอ่อนใกล้เข้ามาอย่างใจเย็น
วุฒิผ่านประตูที่เปิดไว้ทั้งสองบานและเดินเข้ามาด้วยความแปลกใจ “ตื่นเช้าเสียจริง”
“ลดาบอกคุณแล้วว่าอยากตื่นมาส่ง”
ลดาและวุฒิรอประมาณห้านาที กรณ์ก็เข้ามานั่งภายในห้องรับประทานอาหาร เขาขมวดคิ้วเล็ก ๆ เมื่อเห็นหล่อนนั่งข้างบิดา กระนั้นก็ไม่อยากถามหาเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้นกับสมองของหล่อนในระหว่างนี้ “สวัสดีตอนเช้าครับ”
“เมื่อคืนทำงานดึกหรือ” วุฒิเอ่ยปากถาม
“ไม่ดึกครับ แต่รู้สึกอาทิตย์นี้เหนื่อยแปลก ๆ สงสัยจะเหนื่อยสะสม”
“น้องยังไม่ลงอีกหรือกรณ์”
“ยังครับ สงสัยจะเหนื่อย” เขาเงียบพลางมองลดาที่เริ่มขมวดคิ้วเล็ก ๆ “การเป็นนิสิตนักศึกษาก็ต้องมีช่วงเวลาแบบนี้บ้าง จะให้ตื่นเช้ามาเป็นกิจวัตรผมก็ว่าประหลาดอยู่”
พวกเขาเริ่มรับประทานอาหารเงียบ ๆ ก่อนมื้อเช้าจะจบลงในสิบห้านาทีเท่านั้น
ก่อนออกจากบ้าน ลดาช่วยถือกระเป๋าและเสื้อนอกให้สามีอย่างเอาอกเอาใจจนพนักงานในบ้านเริ่มสงสัยพฤติกรรมที่ไม่เคยพบของหล่อน “เดินทางกลับดี ๆ นะคะ”
“ขอบคุณมาก”
รถยนต์สีดำแล่นออกจากตัวบ้านจนกระทั่งลับสายตา ประตูเหล็กบานใหญ่เคลื่อนปิดสนิท บดบังความสอดรู้สอดเห็นจากภายนอก ในที่แห่งนี้ไม่หลงเหลือความโอบอ้อมอารีแล้ว มีเพียงผู้หญิงที่พยายามประคับประคองความอยู่รอดของตนเองและผลักไสความเดือดร้อนให้พ้นตัว
ลดาทอดสายตาไปยังประตูข้างหน้าร่วมสิบนาที เมื่อแน่ใจว่ารถยนต์คันนั้นจะไม่หวนกลับมา หล่อนจึงหันไปมองพนักงานรับใช้ที่ทำหน้าตาเลิกลัก “มองทำไม มีงานอะไรก็ไปสิ!”
ประกายตาของหล่อนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากน้ำผึ้งกลายเป็นยาพิษ จากแม่กลายเป็นคนอื่น แน่นอนว่าไม่มีใครอยากมีเรื่องกับหล่อน ไม่ว่าจะปะทะด้วยคำพูดหรือการกระทำ คนในบ้านต่างก็หลีกเลี่ยงทั้งนั้น ขนาดลูกชายตัวเองหล่อนยังลงมือมาแล้ว สำหรับพนักงานรับใช้อย่างพวกเขาคงไม่เหลือทางรอดให้ไปฟ้องคุณวุฒิ
หล่อนหันหลังกลับเข้ามาภายในบ้าน แล้วตรงไปยังบันไดสู่ชั้นสอง เสียงรองเท้าผ้ากระทบพื้นหินอ่อน แม้ไม่ดังจนเสียดหู แต่ก็รู้ว่าผู้สวมใส่อยู่ในอารมณ์ไหน
ทุกอย่างก้าวของหล่อนประทับรอยความหงุดหงิด จารึกไว้ให้ผู้ที่ติดตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนกระทั่งถึงที่หมาย ชั้นสองของบ้านมีห้องนอนเพียงสี่ห้องนอนเท่านั้น ลดาเดินไปยังห้องที่อยู่ไม่ไกล ออกแรงจับลูกบิดและหมุนมันอย่างแรง การปิดกั้นยิ่งทำให้หล่อนโกรธขึ้งมากกว่าเดิมนัก
เมื่อไม่มีเจ้านายคนไหนอยู่ในบ้าน หล่อนก็เป็นเพียงเจ้านายคนเดียวที่เหลืออยู่ ไม่ว่าหล่อนจะตะโกนเสียงดังเท่าใดก็ไม่มีใครกล้าตำหนิหล่อนต่อหน้า “ไอ้หลง ไอ้เด็กเหลือขอ!”
เสียงของลดาดังลั่นทั่วทั้งตึก ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก ไม่มีใครกล้าขวางหล่อนเมื่อปลายเท้าเริ่มเตะที่บานประตู “เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
ภายในห้องที่เงียบสงบ ผ้าม่านที่ปิดสนิท เครื่องปรับอากาศที่มีอุณหภูมิพอเหมาะกับการซุกตัวใต้ผ้านวมอบอุ่น ความฝันที่อยู่กับครอบครัวและคนรักอย่างเป็นสุข รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักและการยอมรับจากมารดา หล่อหลอมให้จิตใต้สำนึกดำดิ่งสู่โลกแห่งความฝัน และถูกปกป้องด้วยประตูไม้ปิดกั้นโลกแห่งความจริงอย่างแน่นหนา
ในทางกลับกัน ข้างนอกห้องคือความรุ่มร้อนและโกรธเกรี้ยว ปราศจากความอารีที่มีอยู่ในความฝัน
“จะยืนทำหน้าโง่ ๆ ของพวกแกอีกนานไหม ไปเอากุญแจสำรองมา!”
ความอดทนของหล่อนไม่ต่างอะไรจากน้ำก้นแก้ว มันน้อยนิดและไม่เหลือซึ่งความห่วงใยใด ๆ ในน้ำเสียง “ใครถือกุญแจ ไปเอากุญแจมาไขเดี๋ยวนี้!”
“ย..อยู่กับป้ากิ่งค่ะ”
“ก็ไปเอากับมันสิอีโง่!” สิ้นสุดความอดทนตรงนี้ หล่อนผลักพนักงานรับใช้เต็มแรงจนอีกฝ่ายล้มกองกับพื้น คนที่เหลือไม่กล้าตักเตือนได้แต่ทำตามคำสั่งของหล่อนด้วยความหวั่นใจ
หากบ้านหลังนี้มีพื้นที่สำหรับการซุกตัวนอน เสียงของลดาก็ไม่ต่างอะไรจากเสียงฟ้าร้อง ใครต่อใครอาจจะชะโงกหน้าเข้ามาด่าและสิ้นสุดกันตรงนี้ ทว่าสถานที่แห่งนี้หล่อนคือผู้ว่าจ้างคนหนึ่ง ไม่มีใครขัดยกเว้นแต่กิ่งกาญจน์ที่อยู่มานานพอจะรู้ว่าอะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำ
กิ่งกาญจน์เดินขึ้นมายังชั้นสอง ทางเดินที่มีพนักงานรับใช้ยืนกุมมือเรียงกันด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เมื่อหล่อนมองไปยังปลายทาง คุณผู้หญิงที่ท่าทางอ่อนหวานเมื่อเช้าไม่ต่างอะไรจากภาพลวงตา ใบหน้าของลดาเกรี้ยวกราด ริมฝีปากสีชมพูหมดความละมุนละไม เหลือเพียงใครบางคนที่หล่อนคุ้นชิน
“จะเอากุญแจไปทำอะไรคะ”
“แกมีตาก็เปิดดูว่าฉันกำลังจะทำอะไร”
“คุณบอกเหตุผลของการเปิดห้องของคุณหลงมาก่อน ถ้าดิฉันเห็นสมควรจะช่วยเปิดห้องให้” กิ่งกาญจน์ไม่แสดงท่าทีหวั่นเกรงหล่อนเหมือนพนักงานรับใช้คนอื่น
“ทำไมต้องบอกให้แกรู้ด้วย ธุระอะไรของแก กุญแจอยู่ไหนรีบส่งมาให้ฉันก่อนที่แกจะกระเด็นออกจากบ้านหลังนี้”
“ขอโทษนะคะ แต่ดิฉันทำงานมานานก็พอจะรู้ว่าต้องรับใช้ใคร” หล่อนหันหลังและกำลังจะเดินออกจากตรงนั้น แต่นิ้วที่ขยุ้มศีรษะหล่อนอย่างแรง ความเจ็บเสียดแทงขึ้นมาจนต้องส่งเสียงร้อง พนักงานรับใช้หมายจะเข้ามาช่วย แต่สายตาของลดาก็ทำให้ต้องหลบออกไปด้วยความหวาดกลัว
“อย่ามาเรื่องมาก คิดว่าฉันจะทำแค่ดึงหัวแกเล่น ๆ หรือ” ลดาจิกเส้นผมคนตรงหน้าและดึงแรงขึ้นเมื่อกิ่งกาญจน์ไม่ยอมปริปาก
พนักงานรับใช้คนหนึ่งใจกล้า รีบเดินเข้ามาและถามกิ่งกาญจน์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “กุญแจอยู่ตรงไหนป้า หนูจะลงไปเอาให้คุณผู้หญิง”
ดวงตาของกิ่งกาญจน์คลอหยาดน้ำ กระนั้นหล่อนก็ไม่ปริปากขณะที่ลดาออกแรงหนักกว่าเดิมนัก
“ที่เดิมใช่ไหมป้า” พนักงานรับใช้ทำท่าจะร้องไห้ เมื่อผู้ใหญ่ที่เคารพถูกกระทำอย่างไม่ให้เกียรติ “คุณผู้หญิงปล่อยมือป้าเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูลงไปเอาให้”