@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน บารมีก็งอนเป็น
“พี่บัส สบายดีมั้ยพี่”
ร้อยวันพันปี ปาจรีย์ไม่เคยโทรมาถามไถ่ว่าเป็นอยู่ยังไง สบายดีหรือเปล่าแต่อยู่ดี ๆ วันนี้ก็โทรมา
โทรมาหาในวันที่บารมีกำลังพักผ่อนสบายอยู่กับบ้านและนั่นก็ทำให้บารมีรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“ฝนตกหนักแน่ ๆ อยู่ดี ๆ มึงก็โทรหากู เป็นไงล่ะอยู่เมืองนอกเมืองนา สบายเป็นคุณนายเลยสิ”
พูดจาประชดประชันอย่างที่เคยพูด แต่ครั้งนี้น้องสาวไม่ได้โต้เถียงหรือพูดอะไรกลับมา นอกจากนิ่งเงียบ จนบารมีต้องรีบเอ่ยถาม
“เป็นอะไรของมึงปา มีอะไรหรือไง”
เสียงถอนหายใจยาว ๆ ของปาจรีย์ทำให้คนฟังขมวดคิ้วมุ่น
บารมีกำลังสงสัยว่าคงเกิดเรื่องไม่ดีกับน้องสาวขึ้นแน่ ๆ
“ปาจะกลับบ้านนะ พอจะมีที่ให้ปาซุกหัวนอนได้บ้างมั้ยพี่บัส”
กลับบ้าน????
บารมีได้ยินชัดถึงสิ่งที่น้องสาวบอก
ถ้าถึงขนาดร่ำร้องอยากกลับบ้าน นั่นหมายความว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับปาจรีย์แน่
“กลับมา อยู่ไม่ได้ก็กลับมา บ้านเราก็มี มึงจะให้กูทำยังไงบอกมา เดี๋ยวกูจัดการให้”
แค่เพียงคำพูดง่าย ๆ แม้ไม่ใช่ถ้อยคำสวยหรู แต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงใย และทำให้ปาจรีย์ถึงกับปล่อยเสียงสะอื้นที่พยายามกลั้นเอาไว้ออกมา
“ปาอยากกลับบ้าน ปาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วพี่ ปาจะกลับบ้าน ฮือออ”
เสียงร้องไห้ของน้องสาวยิ่งพาให้บารมีใจเสีย
“มึงกลับมา จะให้พี่ทำยังไง ให้พี่ช่วยยังไงบอกมา”
สิ่งที่พี่ชายบอก ยิ่งทำให้ปาจรีย์ร้องไห้ไม่หยุด ในเวลานี้จิตใจอ่อนแอเกินกว่าจะพูดอะไรได้อีก
“ปาจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ปาจะกลับวันนี้ พี่บัสมารับปาที่สนามบินได้มั้ย ปาจะกลับบ้าน ปาไม่อยู่แล้ว”
“มึงกลับมาเลยปา กลับมาวันนี้เลย”
บารมีตอบรับน้องสาวทันทีและคุยกันอีกเล็กน้อยถึงกำหนดการ
และเมื่อน้องสาววางสายไปเรียบร้อย บารมีก็ถอนหายใจยาวและวางโทรศัพท์เอาไว้บนโต๊ะ
หันไปมองคนที่ก้าวขาเดินหิ้วตะกร้าผ้าเข้ามาในบ้านแล้วเพิ่งนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
.............พิพัฒน์.............
“......................”
บารมีไม่รู้ว่าพิพัฒน์รู้เรื่องนี้หรือเปล่า
เรื่องที่ปาจรีย์กำลังจะกลับมา เรื่องที่กำลังมีปัญหา และมันคงยากที่สองคนนี้จะเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน
“พัฒน์”
เรียกคนที่กำลังจัดการงานบ้าน แล้วพิพัฒน์ก็หันมามองและเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อเห็นบารมีทำหน้าจริงจังตอนที่เรียก
“ครับ”
“ทำอะไรอยู่.....”
พิพัฒน์วางมือจากงานที่ทำ และมองหน้าบารมีด้วยความสงสัย
“งานมีตอนเย็นไม่ใช่เหรอ จะให้รีดเสื้อให้ตอนนี้เลยหรือเปล่า”
คิดเอาไว้ว่าคงเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมเสื้อผ้าให้บารมีที่ต้องไปงานเลี้ยงตอนเย็น แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เพราะบารมียังขมวดคิ้วและเหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่ดูลังเลที่จะพูดออกมา
“ถ้าไม่มีอะไรจะไปตากผ้าต่อแล้วนะ เดี๋ยวผ้าแห้งไม่ทันแดด”
“อีปามันจะกลับมาวันนี้นะ”
พิพัฒน์ที่กำลังดึงผ้าออกมาจากเครื่องซักผ้าถึงกับชะงักนิ่งค้างและบารมีก็มองปฏิกิริยานั้นของพิพัฒน์ด้วยความรู้สึกอึดอัดใจไม่ต่างกัน
“.....ครับ....”
ตอบรับเงียบ ๆ และพิพัฒน์ก็กลับไปจัดการงานบ้านของตัวเองที่ทำค้างเอาไว้
พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
ทำเหมือน..........ไม่ได้คิดอะไรอีกแล้ว
ทำเหมือนว่า.........
พิพัฒน์หิ้วตะกร้าผ้าเดินออกจากบ้านไปแล้ว และบารมีก็มองตาม ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปหาพิพัฒน์ที่หน้าบ้าน
“พัฒน์”
เรียกอีกครั้ง และพิพัฒน์ก็สะบัดผ้าใส่ไม้แขวนเสื้อและตากผ้าไปเรื่อย ๆ
ทำงานบ้านที่ต้องทำไปตามปกติ
ทำทุกอย่างให้เป็นปกติ
ทำตัวให้เป็นปกติ
แต่แม้จะพยายามเก็บสีหน้า เก็บอาการ แต่บารมีก็มองเห็นถึงความไม่ปกติที่พิพัฒน์พยายามปกปิดเอาไว้
บารมียืนนิ่งเงียบไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีก
“.....................”
“....................”
ต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดอะไรกัน
บารมีช่วยส่งไม้แขวนเสื้อและช่วยตากผ้า ส่วนพิพัฒน์สะบัดเสื้อและยื่นส่งให้คนที่มาช่วยทำงานบ้าน
ใช้เวลาไม่นานงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สองคนช่วยกันทำก็เสร็จเรียบร้อย
และพิพัฒน์ก็เดินหนีเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ได้คิดอะไร
ไม่ได้สงสัยอะไร
ไม่ได้อยากรู้อะไรทั้งนั้น
ก็แค่ปาจะกลับมา
ก็แค่คนที่เคยใช้ชีวิตด้วยกันกำลังจะกลับมา
ก็แค่คนที่เคยคิดจะสร้างครอบครัวด้วยกันกำลังจะกลับมา
ก็แค่คนที่เคยทิ้งไป กำลังจะกลับมา
ก็.........แค่......
“พัฒน์”
“ไอ้พัฒน์”
“พัฒน์มึงอย่าเดินหนี มาคุยให้รู้เรื่องก่อน”
พิพัฒน์ไม่รู้จะคุยอะไร ไม่รู้ว่าต้องคุยเรื่องของปาจรีย์ยังไง ไม่รู้ว่าควรทำอะไร สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงแค่เดินหนี
ทำใจได้หรือยังไม่รู้แต่ที่รู้คือยังไม่พร้อมจะพบหน้ากันตอนนี้ทั้งที่อยากเจอ แต่ก็ไม่พร้อมจะเจอ
ทั้งอยากเจอทั้งไม่อยากเจอ
และเมื่อบารมีเดินมายืนตรงหน้าและจับไหล่ของพิพัฒน์เอาไว้ให้หยุดเพื่อจะได้คุยกันแบบจริง ๆ จัง ๆ พิพัฒน์ก็เลยต้องจำใจหยุดยืนนิ่ง ๆ
ไม่ได้สบสายตาบารมีที่มองมา แต่ก้มหน้าลงและพยายามระงับความรู้สึกสับสนที่กำลังเกิดขึ้นในใจ
“อีปาเป็นน้องกู กูไม่สนว่าเมื่อก่อนพวกมึงเคยเป็นอะไรกัน เพราะตอนนี้มึงเลิกกันแล้ว มึงกับน้องกูไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว”
นั่นก็รู้อยู่แล้ว
รู้ยิ่งกว่ารู้
“เพราะฉะนั้นมึงอย่าทำหน้าแบบนี้ หรือแสดงอาการเหมือนมึงยังมีใจให้น้องกูอยู่ เห็นใจกูหน่อยพัฒน์ กูทนไม่ได้ถ้าต้องรับรู้ว่าใจมึงไม่ได้อยู่กับกู แล้วถ้ามึงยังพอสงสารกูบ้าง ก็ช่วยแกล้งทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับอีปาเวลาที่อยู่ต่อหน้ากูก็ได้”
พูดแค่นั้น
บอกเพียงแค่นั้น
และกลายเป็นพิพัฒน์ที่ต้องเงยหน้าขึ้นมองหน้าของบารมีเต็มตา
คิดว่าบารมีอาจจะโกรธ คิดว่าอาจจะไม่พอใจ แต่สิ่งที่เห็น คือแววตาหมองเศร้าและอารมณ์ที่ไม่มั่นคงของคนพูด
บารมีถอนหายใจยาว ๆ และปล่อยมือจากไหล่ของพิพัฒน์ ก้าวขาเดินหนีขึ้นห้องไปเงียบ ๆ และพิพัฒน์ที่มองตามก็ยืนนิ่งเงียบ ก้มหน้าลงและถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ
บารมีไม่ได้โมโหหรือโวยวายใส่ แต่ขอร้องให้สงสารและเห็นใจกันบ้างแค่นั้น
เสียงหัวใจที่อยู่ในอกกำลังเต้นรัวขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ดวงตาหม่นหมองที่มองมาจะทำให้รู้สึกถึงอารมณ์ที่ไม่มั่นคงของบารมี แต่นั่นทำให้พิพัฒน์รู้สึกดีที่ได้รู้ว่าบารมีกำลังรู้สึกยังไง
รีบก้าวขาเดินขึ้นบันไดบ้านไปอย่างรวดเร็วและมาหยุดยืนที่หน้าห้อง
“เข้าไปนะ”
บอกเพียงเท่านั้นและพิพัฒน์ก็หมุนลูกบิดประตูห้องเข้าไป บารมีเอนหลังอยู่บนเตียงและเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง เหลือบสายตามองคนที่เข้ามาหาและมานั่งลงข้าง ๆ แล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบและมองเมินไปทางอื่น
พิพัฒน์ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการมานั่งมองหน้าของบารมีนิ่ง ๆ
มองเงียบ ๆ และค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้บารมีทีละน้อย
“มึงไม่ต้องมายุ่งกับกูเลยพัฒน์”
ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ
พูดแบบนี้แล้วใครจะเลิกยุ่งด้วย
พิพัฒน์ขยับเข้ามาใกล้อีกนิด และพยายามดึงมือของบารมีที่สะบัดหนีมากุมเอาไว้
“อย่ามาจับมือกู กูไม่ใช่คนที่มึงคิดจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบนะพัฒน์ เออ....ใช่สิ... กูสั่งมึงได้ทุกเรื่องแหละ แต่เรื่องนี้กูไม่มีปัญญาสั่งมึง กูยอมแพ้ก็ได้”
น้ำเสียงที่เอ่ยบอกเจือไปด้วยความน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด
และเมื่อบารมีดึงมือหนีพิพัฒน์อีกครั้ง พิพัฒน์ก็เลยแตะริมฝีปากหนัก ๆ ที่หลังมือของบารมีและจับเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ไอ้พัฒน์”
เอ็ดคนที่มาหยอกเย้าเสียงดัง แต่พิพัฒน์ทำเพียงแค่เหลือบตามองและยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของบารมี เปิดผมที่ปรกหน้าผากของบารมีขึ้นและยื่นหน้าไปกดปลายจมูกหนัก ๆ ที่หน้าผากของบารมีและบารมีก็ผลักหน้าพิพัฒน์ออกห่างทันที
“เหี้ยพัฒน์ เนี่ยะ มึงก็เป็นแบบนี้ตลอด หลอกล่อกูสารพัด วันๆ กูไม่มีปัญญาจะคิดเรื่องอื่นแล้ว มีแต่เรื่องของมึงเต็มหัวไปหมด แล้วมึงจะให้กูทำยังไง เป็นใครมาเจอแบบกูก็ต้องรู้สึกทั้งนั้น ทางนั้นก็น้อง ทางนี้ก็........มะ...อ”
พูดได้ไม่เต็มปาก
จะพูดอะไรก็มีอันต้องหยุด
“ทางนี้ก็........มึง.......”
บารมีรีบเปลี่ยนคำพูดของตัวเอง และพิพัฒน์ก็ตั้งใจฟังสิ่งที่บารมีพูด
“กูก็รู้อยู่เต็มอกว่ามึงกับน้องกูเคยเป็นอะไรกันมาก่อน แต่กูกับมึงก็มาถึงขนาดนี้กันแล้ว แล้วมึงจะให้กูทำยังไง มึงจะให้กูรู้สึกยังไงพัฒน์ เป็นใครมาเจอแบบกูแล้วยังสบายใจได้ แม่งก็เก่งชิบหายแหละ”
บารมีไม่ชอบใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่พิพัฒน์อมยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากเพราะเรื่องที่บารมีกังวลใจและบ่นออกมาด้วยความหงุดหงิดโมโห
“ทางนี้ก็....เมีย....สิ ไม่ใช่ทางนี้ก็มึง”
อย่ามากวนตีนกูพัฒน์
“เมียเหี้ยอะไร ใจไม่ได้อยู่กับกูสักนิด กูจะไปมีปัญญาให้มึงมาเป็นอะไรกับกูได้ ทั้งหมดก็แล้วแต่มึงแหละพัฒน์ อย่างกูจะไปมีปัญญาบังคับใจมึงให้คิดตามที่กูต้องการได้ยังไง”
นั่นสิ
ถ้าไม่มีปัญญาพูดไม่มีปัญญาบังคับก็อย่าพูดเลยดีกว่า
บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่องที่อยู่ในหัวออกมาทั้งหมดก็ได้
เช่นว่า........
พิพัฒน์มองหน้าของบารมีนิ่ง ๆ และค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมาหา
และบารมีก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจยาวด้วยความกลุ้มใจ
เอาชนะพิพัฒน์ได้ทุกเรื่อง สั่งพิพัฒน์ได้ทุกอย่าง
ยกเว้นแค่เรื่องนี้
“ไอ้พัฒน์”
บารมีได้แต่บ่นพึมพำเสียงเบาในลำคอ และพิพัฒน์ก็ยิ้มใส่ตาของคนที่กำลังทำหน้าไม่พอใจตอนที่ขึ้นมานั่งเกยทับอยู่เหนือร่างของบารมีและเริ่มลงมือปลดกระดุมเสื้อของบารมีทีละเม็ด
“เออ กูยอม แม่งแบบนี้ตลอดแหละมึง พัฒน์”
บารมีได้แต่ส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิดแต่พิพัฒน์ยิ้มอย่างสบายใจและเริ่มลากปลายนิ้วไปที่แผ่นอกกว้างของคนที่นอนนิ่งไปเรื่อยๆ
“ผมก็ไม่รู้จะอธิบายกับพี่ยังไงซะด้วย”
บารมีเลิกคิ้วขึ้นสูง จ้องมองใบหน้าของคนที่กำลังไล้ปลายนิ้วไปตามแนวชายโครงและยุ่งอยู่กับการปลดกระดุมเสื้อของบารมีอย่างตั้งอกตั้งใจ
“มึงไม่เคยอธิบายอะไรสักอย่างนั่นแหละพัฒน์ ไม่ว่าเรื่องอะไรมึงก็ไม่เคยจะพูด ปล่อยให้กูเดาใจมึงไปเรื่อย”
พิพัฒน์ได้แต่ยิ้มบาง ๆ
และไม่รู้จะตอบกลับบารมียังไงให้ชัดเจนไปกว่านี้ได้
นอกจาก.........
“พัฒน์ไม่เคยเป็นแบบนี้นะ”
พิพัฒน์โน้มใบหน้าลงมาหา และหยอกเย้าด้วยการขบกัดที่ริมฝีปากล่างของบารมีเบา ๆ ก่อนจะซุกซบใบหน้าลงที่ข้างซอกคอของบารมีและกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกและความต้องการของตัวเองออกมาทั้งหมด
“....พัฒน์เป็นแบบนี้กับพี่คนเดียว”
TBC.