Lost 15 : รูปภาพที่หลังหนังสือ
กระจกหน้าต่างบานใหญ่ยาวที่ถูกปิดล็อคนับจากวันที่ผู้เป็นเจ้าของห้องได้เอ่ยปากสัญญาว่าจะไม่เปิดมันอีกขวางกั้นระหว่างคนสองคนไว้ ผ้าม่านสีขาวปิดบังเสี้ยวหน้าและแววตาของชายสองคนที่เผชิญหน้ากันอย่างเงียบเชียบ แม้เบื้องนอกจะเป้นเวลากลางวัน ทว่าบัดนี้กลับดูอึมครึม มืดครึ้มไปด้วยสาเหตุใดก็ไม่อาจจะทราบ
ฝ่าเท้าของบุรุษในชุดสีดำสนิทแตะลงบนกรอบหน้าต่าง ขณะที่ไคลน์ สไตร์คเซอร์จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยสายตาราวกับพร้อมจะกระโจนใส่ทุกเมื่อ ใบหน้าของชายผู้มาเยือนนั้นยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มพราย ก่อนจะหายไปจากหน้ากระจกบานนั้น และปรากฏตัวอยู่ข้างเตียงของชายหนุ่มผู้หลับสนิทโดยพลัน
"......!!" ไคลน์หันขวับ เบิกตากว้าง แทบจะกระโจนเข้าไปหาเมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายตวัดม่านผ้าคลุมสีควันบุหรี่ออก
"......ช่างหลับสนิทไร้ความกังวลใดๆซะจริง" น้ำเสียงเรียบเย็นเอ่ย พร้อมกันนั้นก็จ้องมองบุรุษที่ปราดเข้าหา และส่งสายตาเป็นอริอย่างชัดเจนมาให้
"ปล่อย" ไคลน์เอ่ยเสียงต่ำ จ้องมองมาอย่างไม่พอใจ
"...เจ้า...." เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังออกมาจากริมฝีปากอีกฝ่าย "ปิดหูปิดตาเขาไม่ได้ตลอดหรอก..."
"ปล่อยมือ" ชายหนุ่มยังคงมีท่าทีหงุดหงิดใจ ไม่ได้สนใจคำพูดของอีกคนสักนิด
"ข้าไม่ได้แตะต้องอะไรเสียหน่อย" คนถูกตวาดหัวเราะยอมรามือออกจากผ้าม่านในที่สุด ดวงตาสีแดงเข้มจัดจ้องมองใบหน้าผู้พูดเงียบๆก่อนจะยิ้มบาง "...และไม่ได้ทำผิดกฏใด"
"ไม่งั้นหรือ.." ไคลน์จ้องมองผู้พูดแล้วยิ้ม " ท่านพาเขาไปที่ไหนมา.."
"ข้าจำต้องตอบรึ?"
"กุหลาบดอกนั้น...."
"ใช่.." บุรุษปริศนารับคำและเอื้อมมือไปลูบขนการาเวนบนไหล่ตนเองเงียบๆ "ของเขา"
"...นี่มันผิด!..ท่านเป็นคนนอก อย่าได้เข้าม-----"
"ข้า ไม่ ใช่" ไม่ทันที่จะเอ่ยจบ ริมฝีปากของผู้ฟังก็เหยียดยิ้มและเอ่ยปากขัดสั้นๆ "เขาเป็นของข้า เจ้าก็รู้ดีแก่ใจ ไคลน์"
".....แต่ตอนนี้" ดูเหมือนคนฟังพยายามจะเอ่ยปากแย้ง..แม้จะทำได้ยากนัก
"เขาเป็นของข้า ทั้งก่อนหน้ายามนี้ และตลอดไป" กาดำตัวใหญ่ส่งเสียงร้องเบาๆพลางขยับปีกของมันหลายครั้ง มันจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างท้าทาย "แค่เพียงได้โอกาส...หาได้หมายความว่าเขาคือของเจ้า..และแม้ดวงใจจะเป็นเช่นนั้น แต่พวกเรา..หากไม่ได้หัวใจ ก็ใช่จะเป็นเรื่องใหญ่"
"หึ..." นิ่งฟังครู่หนึ่ง ไคลน์ก็เหยียดยิ้ม ริมฝีปากกระตุกราวกับกำลังขบขัน "ไม่ได้ใจใคร ก็ทำลายทิ้งเสีย นั่นเป็นวิธีการของพวกท่าน..ข้ารู้"
"รู้แล้วไย...ข้าหาได้สนใจ" ปลายนิ้วสีดำละออกจากขนกาสีเดียวกัน "ความจริงคือของเจ้า ความฝันคือของข้า"
"...เขาจะเชื่อสิ่งใด...ก็ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเอง"
เอ่ยแล้วเงาร่างสีดำนั้นก็ลับหายไปจากสายตาเพียงกระพริบ ขณะที่ไคลน์ยืนนิ่ง ชายหนุ่มจ้องมองความว่างเปล่าเบื้องหน้า นิ่งซึมซับถ้อยคำที่ได้รับมาอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจะหันไปจ้องมองชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่เบื้องหลัง แววตาคู่นั้นหม่นแสงลงอย่างเศร้าสร้อยเพียงชั่วครู่ พลันก็เปิดขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้
ก้าวขาไปยังเตียงใหญ่ มือป่ายเอาผ้าม่านผืนบางนั้นออกไปพลางโน้มกายเหนืออีกฝ่าย ไคลน์จ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าเงียบๆ ใบหน้างดงามยามนิทรา ดูผ่อนคลายและสงบนิ่ง เส้นผมสีทองระใบหน้าถูกปัดออกเงียบๆ ชายหนุ่มจ้องมองภาพเจ้าชายนิทราเบื้องหน้าเงียบๆครู่ใหญ่ ก่อนจะก้มลงจูบเบาๆที่หน้าผากบางอย่างอดรนทนไม่ไหว
กดจูบเงียบๆครู่ใหญ่ก่อนจะผละออกมาในที่สุด ไคลน์ลุกมาจากเตียง จัดผ้าม่านให้อยู่ในระดับเดิมก่อนจะหันไปยังประตู
ชายหนุ่มสบตา ฟาเอล กีโยต์เงียบๆ พ่นบ้านชราจ้องมองเขากลับด้วยดวงตาสีเทาที่ฟ้าฟางไปตามวัย บุรุษต่างวัยทั้งสองยังคงเงียบงันราวกับไร้บทสนทนา แต่เปล่าเลย...พวกเขากำลังนิ่ง และรอคอยว่าจะมีฝ่ายใดพูดขึ้นมามากกว่า
"คุณชาย...."
"ยังหลับอยู่ครับ อย่าใดห่วงเลย" ไคลน์เดินตรงเข้าไปหา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนเช่นเคย
"....ตัวคุณ" ฟาเอลขมวดคิ้วแน่น "กำลังทำอะ...."
"อะไรเหรอครับ?" ไคลน์ถามด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม ฝ่ามือโบกตวัดผ่านหน้าพ่อบ้านเฒ่า คนที่กำลังอ้าปากเอ่ยถามถึงสิ่งที่เห้น แต่ฟาเอลไม่มีโอกาศจะพูดออกมา เพราะบัดนี้ร่างของเขานิ่งงัน ริมฝีปากอ้าค้าง ไม่อาจพูดสิ่งใด และไม่อาจทำอะไรได้นอกจากยืนนิ่งราวกับรูปปั้น
ฝ่ามือที่ตวัดผ่านหน้าเมื่อครู่วางลงบนไหล่ ไคลน์ออกแรงบีบไหล่ชายชราเบาๆ ก่อนจะกระซิบเสียงเฉียบ
"...ช่วยอยู่นิ่งๆจะได้ไหม"
...เสียงดีดนิ้วดังขึ้นเบาๆข้างหู ฟาเอลชะงัก ชายชรากระพริบตาถี่ จ้องมองรอบกายก่อนจะพบว่าตัวเขายืนอยู่ในห้องคุณชายของบ้าน พ่อบ้านชราหันไปมองรอบกาย และได้สบมองรอยยิ้มเยื้อนแสนใจดีของไคลน์ สไตร์คเซอร์
"...ผมมาถามอาการคุณชาย ถ้ายังไงช่วยอธิบาย..." พ่อบ้านเฒ่าเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตน
"ได้สิครับ ผมจะเล่าให้ฟัง ยังไงเราไปคุยกันข้างล่างไหม กลัวจะรบกวนคนป่วยน่ะครับ" ไคลน์ยิ้มรับ
"ได้ครับ..ขอบคุณมาก" ฟาเอลเอ่ยปากรับคำ พลางเอื้มมือไปเปิดประตูแล้วเดินนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว พ่อบ้านชราแทบไม่เหลือความสงสัยใดเกี่ยวกับความงวยงงของตนที่ยืนอยู่ในห้องของคุณชายของบ้านเมื่อไหร่ก้ไม่ทราบใด ฟาเอลตระหนักถึงเพียงจุดประสงค์ อยากรู้เหตุการณ์และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคุณชายของเขาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ตนจึงนำอีกฝ่ายไปอย่างไม่รีรอ
...และแล้วก็เป็นอีกดครั้ง ที่ชิ้นส่วนความทรงจำอันหายไปไม่ติดปะต่อครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกปัดทิ้งออกจากความคิดอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ประตูปิดพับลงอย่างเงียบงัน และภายในห้องมีเพียงความเงียบสงบ ดวงตาของคนที่นอนนิ่งนิทรา กลับค่อยๆเปิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เอนีลลุกขึ้นมานั่งอยู่กลางเตียง ชายหนุ่มจ้องมองบานประตูก่อนจะปิดพับดวงตาลงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกุญแจรถ และลุกไปสวมเสื้อผ้าหน้ากระจกเงียบๆ ด้วยแววตาใคร่ครวญ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รถยนต์คันเดิมที่เคยถูกนำมาเป็นพาหนะยามออกไปเที่ยวกันเมื่อวันอาทิตย์ถูกนำมาใช้งานอีกครั้ง เอนีลลอบออกจากห้องและผ่านสายตาของบอดี้การ์ดออกไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มขับรถออกไปท่ามกลางท้องฟ้าสีครึ้มหม่นและเสียงเครื่องบินรบที่บินผ่านเหนือศรีษะ ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองเบื้องหน้าเงียบๆ ขณะที่ความคิดล่องลอยไปไกล
ยังคงมีคำถามในถ้อยคำและบทสนทนาอันแปลกประหลาดที่ได้ยิน เอนีลรู้สึกตัวตื่นมานับแต่ได้ยินเสียงของไคลน์ที่เอ่ยห้ามคนๆนั้นแตะปลายนิ้วลงมายังตัวเขาแล้ว แม้การจะหลับตาลงนั้นน่าแปลก หากเขากลับพบว่าการลืมตาตื่นนั้นน่าประหลาดกว่า คล้ายหลับไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าเวทย์มนต์ซึ่งไม่มีอยู่จริง ยามตื่นลืมตา จึงได้สับสนวุ่นวายยิ่งนัก
ชายหนุ่มทบทวนบทสนทนาที่ได้รู้นั้นเงียบๆ..อะไรคือของเขา..หรือของคนอื่น สิ่งที่ชายหนุ่มคนนั้นและไคนล์พุดกันมันคืออะไร เป็นเหมือนเรื่องของเขา แต่ก็ไม่ใช่ตัวเขา สิ่งที่ไคลน์ สไตร์คเซอร์และชายในชุดดำผู้นั้นเอ่ยถึง มันช่างเป็นเรื่องราวที่ยากจะเข้าใจ
แล้วยัง...ประโยคนั้น...
"ความจริงคือของเจ้า ความฝันคือของข้า"
มันหมายความว่าอย่างไร?
เกี่ยวข้องอะไรกับความฝันของเขา จะบอกว่าชายในชุดดำคนนั้นคือผู้ที่ทำให้เกิดฝันร้ายอันยาวนานกับเขากระนั้นหรือ...รึหมายถึงความฝันหลังจากนั้น ฝันดีบอกว่าตัวเองโดนฆ่าอีกครั้ง และเรื่องราวที่ถูกชักพาให้ไปยังดินแดนประหลาดนั่นน่ะรึ..คือความฝัน
แล้วยัง...ดอกกุหลาบนั่น
เพราะไคน์รู้ว่ามันเป็นของชายคนนั้น ไคลน์ถึงได้โกรธ..ถึงได้มีท่าทีฉุนเฉียวขนาดนั้นงั้นเหรอ?
..และ ไคลน์...ทำอะไรกับพ่อบ้านของเขา
เอนีลไม่ได้ลืมตา ชายหนุ่มไม่ได้แสดงอาการว่าตื่นขึ้นมาแม้กระทั่งยามที่ถูกจุมพิตหน้าผากด้วยความอ่อนโยนลึกซึ้งนั้น แม้หัวใจจะเต้นกระหน่ำด้วยความขัดเขินเพียงไหน ทว่าสิ่งที่ได้ยิน หลังจากนั้นไม่นาน นอกจากเสียงของบานประตูที่เปิดออก และคำถามชวนให้พูดไม่ออกของพ่อบ้านตน กลับเป็นเสียงที่เปลี่ยนไปของไคลน์ และ..หลังจากนั้นก็เป็นท่าทีที่แปลกไปของฟาเอลอีกด้วย
...ไคลน์ทำอะไรกัน?
เมื่อไม่ได้ลืมตามาย่อมไม่อาจมองเห้น เอนีลได้แต่เดาจากเสียงที่ตนได้ยินเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่อาจยืนยันอะไรได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้ คือด้วยพฤติกรรมและท่าทางของฟาเอล ไม่มีทางที่พ่อบ้านของเขาจะยอมปล่อยปละเรื่องราวนี้ไปได้ หากฟาเอลเห็นถึงพฤติกรรมและท่าทีอันเกิดปกติของพวกเขา ฟาเอลจะต้องถาม..และ...จะต้องนำเรื่องนี้ไปบอกกับบิดาของเขาแน่ๆ
แต่แล้วทำไม..เพียงเงียบไปเสียครึ่งคำ หลังประโยคหนึ่งของไคล์นลุงฟาเอลของเขาถึงได้เปลีย่นท่าทีรวดเร้วราวกับไม่เห็นอะไรอีก
....มันผิดปกติ เกินไป..
ทั้งชายคนนั้น ทั้งไคลน์ ทั้งลุงฟาเอล
มันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนปกปิด ปิดบังเขาจากความจริงกันแน่
แล้วเขาจะต้องอยู่อย่างไม่รู้อะไรไปอีกนานแค่ไหน? ทำไมถึงไม่มีใครยอมพูด ยอมบอกอะไรกับเขาซักอย่าง!!
เอ๊๊ยด
เหยีบเบรคตัวโก่งหลังจากพบว่าเหม่อเสียจนเกือบเลยเป้าหมาย เอนีลหมุนพวงมาลัย ขับรถเข้าไปยังหน้าโบสถ์ก่อนจะจอดและดับเครื่อง แต่ทว่าชายหนุ่มไม่ได้ลงไป เขานั่งเงียบอยู่หน้าพวกมาลัยครู่ใหญ่ราวกับจะทบทวนบางสิ่ง
โบสถ์สีขาวหลังเล็กเบื้องหน้าทะเลสาบกว้างใหญ่และงดงาม เขตแดนที่ไร้ผู้คนราวกับอยู่คนละโลก ที่ๆผุ้เป็นบาทหลวงบอกว่าผู้เป็นเจ้าของปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ทำมาใช้ประโยชน์ใด
...ที่มาถึงที่นี่ เป็นเพราะหนึ่งในฝันของเขา ความฝันนั้น...
ชายหนุ่มที่เหมือนจะเป็นตัวเอง.. ชายผู้รอคอยใครตคนหนึ่งมาหาในสุสาน และสุดท้ายก็ถูกคนผุ้นั้นฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม
ความสงสัยเล็กๆ เกิดขึ้นอย่างเงียบงันทำให้เอนีลตัดสินใจมาที่นี่อีกครั้ง
....แน่นอนว่าเขามาคนเดียว
ก๊อกๆ
เสียงเคาะเบาๆที่กระจกรถทำให้ใบหน้าที่ซบอยู่กับพวงมาลัยรถเงยขึ้นมา เอนีลหันไปมอง เขาสบมองดวงตาสีเทาที่ฉายแววอบอุ่นของหลวงพ่อฌอง ชายหนุ่มยิ้มบาง ก่อนจะพยักหน้าทักทายแล้วเอื้อมมือเปิดประตูรถ
"สวัสดีครับหลวงพ่อ ต้องทำให้ลำบากมาเรียก ขออภัยด้วยนะครับ" พอโผล่ออกมายืนเรียบร้อย เอนีลก็รีบขอโทษขอโพยเสียเป็นการใหญ่
"ไม่เป็นไรหรอก ลูกมาเยี่ยมพ่อก็ดีใจ" รอยย่นบนใบหน้าบ่งบอกความใจดีและเปี่ยมด้วยเมตตา ก่อนที่หลวงพ่อฌองจะมองเลยไปยังด้านหลังของเขา "แล้ววันนี้ อีกคนไม่มาด้วยรึ"
"เขาติดธุระน่ะครับ ผมเลยมาคนเดียว" เอนีลยิ้มให้แล้วเอ่ยปัดสั้นๆ ชายหนุ่มจ้องมองหลวงพ่อในชุดสีเข้มเบื้องหน้าก่อนจะกระแอมเบาๆ "พอดีผมมีเรื่องจะ..ปรึกษา"
"...ได้สิ สารภาพบาปหรือ?" หลวงพ่อฌองเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
"เปล่าหรอกครับ ผม..เอ่อ..อยากถามเกี่ยวกับ..ที่นี่" นายแพทย์หนุ่มเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง
"แปลกดี...ลูกเป็นคนแรกๆที่สนใจประวัติของที่นี่" บาทหลวงชราเอ่ยก่อนจะขยับก้าวเดินนำ "เข้าไปนั่งรอในโบสถ์ก่อนสิ พ่อมีรูปถ่ายแล้วก็หนังสือประวัติของโบสถ์นี้ ..แต่มันอยู่ในบ้าน ประเดี๋ยวจะเอามาให้ดู"
"อ่ะ.ขอบคุณ ขอบคุณมากนะครับ" นายแพทย์หนุ่มรีบเอ่ยปากทันควัน "รวมทั้งเรื่องวันนั้นด้วย ผมหมดสติไปคงทำให้ลำบากหลายอย่าง"
"หมดสติ?" สีหน้างวยงงนั้นทำให้เอนีลชะงัก
"ที่ผม...." นายแพทย์หนุ่มอ้าปากจะอธิบาย หากก็นิ่งเงียบและเปลี่ยนเป็นยิ้ม "ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จำผิดไป ยังไงจะไปนั่งรอหลวงพ่อในโบสถ์นะครับ"
"...ได้เลย งั้นรอสักครู่" เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ผู้ฟังก็ไม่ได้เอ่ยปากซักไซ้ หลวงพ่อฌองเดินเลียบข้างโบสถ์ไปยังบ้านพักที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ขณะที่เอนีลผละออกมาเดินเข้าไปในโบสถ์
ฝีเท้าย่ำเข้าไปในโบสถ์เล้กๆที่ไร้ผู้คน มันก้องสะท้อนเบาๆเนื่องจากความสูงของหลังคาที่ไร้ฝ้าเพดาน เอนีลยืนจ้องมองรูปปั้นของพระเยซูคริสต์เบื้องหน้า แสงอ่อนๆที่สาดส่องเข้ามานั้นน้อยนิดเหลือเกินจนตกกระทบเสี้ยวหน้าที่มีแต่ความโศกเศร้าของพระองค์เท่านั้น กระจกสีด้านหลังสะท้อนภาพเทวดาตัวน้อยได้อย่างเลือนรางเมื่อเบื่องนอกมืดครึ้มด้วยพายุฝน นายแพทย์หนุ่มยืนมองเงียบๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่แถวหลังสุดของโบสถ์
....หลวงพ่อฌองไม่ทราบว่าเขาหมดสติ
ก็ไม่แปลกหรอก เพราะเอนีลไปกับไคลน์สองคน ดูจากท่าทางชายหนุ่มคงมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะอุ้มเขาคนเดียวได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปเรียกหลวงพ่อฌองมาให้ยุ่งยาก จะแปลกอะไร..หากทำตัวเขามาแล้วเอาใส่รถพลางขับกลับไปเงียบๆ
...ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่มีคนเห็นหรอก..ไม่ใช่
แม้ก่อนจะไปเขาจะได้ยินหลวงพ่อฌองบอกเต็มปากว่าตัวเองจะถอนหญ้าอยู่หน้าบ้าน แต่ใช่ว่าสาธุคุรผู้นั้นจะอยู่ตลอดเวลาเสียเมื่อไหร่..
ก็แค่เรื่องธรรมดาสามัญที่มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ก็เท่านั้น
"รอนานรึเปล่า..." เหม่อลอยสักพัก เสียงของหลวงพ่อฌองก็ดังขึ้น เอนีลกระพริบตาช้าๆ ชายหนุ่มมองร่างของอีกฝ่ายที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าพลางถือเทียนมาด้วยแล้วยิ้มบางๆ
"ไม่หรอกครับ นั่งอยู่ตรงนี้สงบดี..ผมชอบ"
"...มีอะไรปรับทุกข์ก็บอกพ่อได้นะ.." คงเพราะสีหน้าของเขาชัดเจน เอนีรลได้แต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร ขณะที่หนังสือปกหนังเล่มใหญ่วางอยุ่ตรงหน้า
"นี่...." เอนีลจ้องมองมันเงียบๆ "ดูเก่า..มากเลยนะครับ"
"นับแต่สร้างโบสถ์ขึ้นมานะ มีอายุพอๆกันเลยเชียว" หลวงพ่อฌองเอ่ย ก่อนจะพลิกกระดาษสีน้ำตาลเก่าซีดช้าๆทีละแผ่น "เวลาจะอ่านต้องค่อยๆพลิก ...พ่ออ่านมันมาหลายรอบแล้ว แต่ครั้งนี้เพิ่งมีคนมาขออ่านด้วยกัน ก็รู้สึกแปลกดี"
"...ผมคงรบกวน" นายแพทย์หนุ่มยิ้มเจื่อน
"ไม่เลย..." บาทหลวงชราส่ายหน้าเงียบ"เป็นเรื่องดี หากมีคนรุ่นใหม่สนใจเรื่องเก่า...อา...นี่คือคำอุทิศ"
เอนีลจ้องมองถ้อยคำในกระดาษ ชายหนุ่มอ่านมันเงียบๆ "โบสถ์หลังนี้สร้างอุทิศแด่ลูกชายของมาควิสแชร์ซอง..ผู้จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย.."
"เป็นการจากลาที่น่าเสียดาย ว่ากันว่าท่านมาควิสเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมา เลยตัดสินใจสร้างโบสถ์แห่งนี้อุทิศให้กับวิญญาณของบุตรชายตน" หลวงพ่อฌองเอ่ยสั้นๆ "โบสถ์แห่งนี้บูรณะมาแล้วสามครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อสิบปีก่อน จึงได้ทาผนังเป็นสีขาว ซึ่งแต่เดิมมันถูกก่อด้วยอิฐสีแดง"
เอนีลพยักหน้ารับเงียบๆ ขณะที่หลวงพ่อฌองพลิกรูปวาดแสดงการบูรณะให้ดู
"..ดูเหมือนจะมีพินัยกรรม หรือคำสั่งอะไรก็แล้วแต่ ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ว่าห้ามขาย หรือทำลายที่ดินแห่งนี้ รวมทั้งห้ามทุบโบสถ์หลังนี้ทิ้งด้วย" สาธุคุณวัยชราเอ่ยต่อเบาๆ พลางพลิกกระดาษสีเหลืองกรอบช้าๆ "แต่ก่อนจะมีคนของตระกูลมาวางดอกไม้ และพวงหรีดเนื่องในวันเสียชีวิตของบุตรชายท่านมาร์ควิสที่นี่..แต่ระยะหลังก็ค่อยๆหายไป"
"...อาจจะเปลี่ยนที่กระมังครับ เพราะที่นี่ค่อนข้างไกล"
"อาจเป็นไปได้ เพราะสุสานที่อยู่ด้านหลัง แต่เดิมก็ไม่ใช่ของตระกูลอยู่แล้ว" ฝ่ามือของชายชราพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ "แต่ทว่า สาเหตุที่ต้องมาวางดอกไม้..เห็นว่าลูกชายของท่านมาควิสเสียชีวิตที่นั่น"
"เอ๋" ข้อความนั้นทำให้เอนีลใจหายวาบ "หมายถึง...สุสานน่ะหรือครับ"
"...ใช่แล้ว" หน้ากระดาษใกล้จะหมด ฝ่ามือเหี่ยวย่นจึงค่อยช้าลง "จากที่ได้ฟังมา..เห็นว่าเสียชีวิตอยู่ใต้ต้นเร้ดวู้ดที่ตอนนี้กลายเป็นต้นไม้ที่เฉาตายคาต้น...ว่ากันว่าถูกฆาตกรรม และจับมือใครดมไม่ได้ เพราะแบบนี้กระมัง ผู้เป็นพ่อถึงได้เสียใจนัก"
"อา...นั่น...สินะครับ" นายแพทย์หนุ่มเม้มปากแน่น ฝ่ามือสั่นระริก
"มีคำร่ำลือกันว่าเกิดอาถรรพ์จนต้นไม้ต้นนั้นเฉาตายคาต้นเสียแหนะ...สมัยก่อน เรื่องราวช่างมีหลากหลายเสียจริง" หลวงพ่อฌองเอ่ยก่อนจะยิ้ม "พ่อจำได้ว่ามีรูปวาดลูกชายท่านมาควิสอยู่ด้านหลัง วาดด้วยสีน้ำมันเสียสวย เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดี----------------"
ถ้อยคำที่จะเอ่ยต่อไปกลับเงียบกริบ ฝ่ามือที่จะพลิกกระดาษสีน้ำตาลซีดจางไปยังหน้าสุดท้ายพลันชะงักอยู่แค่นั้น เอนีลเลิกคิ้วงงๆ หันไปหาบาทหลวงชราอย่างไม่เข้าใจ
"มีอะไรรึเปล่าครับ?" เอนีลเอ่ยถาม
"เปล่าหรอก..พ่อแค่นึกได้ว่าตากผ้าทิ้งไว้ นี่ฝนก็ใกล้จะตกแล้ว ยังไงก็ต้องไปอะ-----"
ตุ๊บ
ดูเหมือนบาทหลวงชราจะรีบร้อนเสียจนทำหนังสือหล่น เอนีลรีบก้มไปหยิบมาก่อนด้วยความรวมเร็วตามประสาผู้ที่ร่างกายแข็งแรงกว่า ชายหนุ่มหยิบมันมายื่นให้หลวงพ่อฌองแล้วยิ้ม
"นี่ครับ ผมขอบคุณมากสำหรับ............."
ถ้อยคำที่จะออกมาจากปากของชายหนุ่มเงียบหายไปจนเหลือแต่เพียงถ้อยคำที่ไร้เสียง เอนีลจ้องมองภาพที่แลบออกมาจากด้านหลังของหนังสือ เส้นผมสีทองคำและดวงตาสีฟ้าของผุ้ที่อยู่ในภาพสีน้ำมันนั้นจ้องมองกลับมาอย่างเงียบๆ อะไรบางอย่างบอกให้เอื้อมมือไปหา เอนีลพลิกกระดาษสีน้ำตาลเก่าซีดนั้นช้าๆ ไปจนถึงหน้าสุดท้าย และได้มองภาพสีน้ำมันนั้นอย่างเต็มตา..
บุรุษผู้หนึ่งในชุดแต่งตัวอย่างในยุคกลาง เสื้อสีขาวมีเน็คไทอันใหญ่ติดอยู่ตรงใต้คอ เสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อนขลิบขาว นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ใบหน้าที่มองตรงมานั้นแฝงด้วยความอ่อนโยน ดวงตาสีท้องฟ้าจ้องมองตรงมาเงียบๆ เส้นผมสีทองคำคลอเคลียไหล่ถูกมัดรวบไว้ด้านหลังด้วยริบบิ้นสีสด ริมฝีปากพรายยิ้ม ใบหน้างดงามยิ่งนัก ทั้งเปี่ยมด้วยบรรยากาศความอบอุ่นอ่อนโยนและเป็นกันเอง
นายแพทย์หนุ่มเงยหน้าไปสบตาหลวงพ่อฌองเงียบๆ ขณะที่บาทหลวงชราเอื้อมมือไปคว้ากางเขนที่ห้อยอยู่ในลำคอมาแนบอกแล้วพึมพัมถึงพระเจ้าเสียงเบา
กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ พลางยื่นหนังสือคืนไปให้ เอนีลไม่รู้จะเอ่ยปากพูดสิ่งใด เมื่อคนในรูปนั้นเหมือนกับเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน!
++++++++++++++++++++++++++++++++
สองหนุ่มเจอกันแล้วแต่ก็คุยกันได้นิดหน่อย มารอบนี้คุณพ่อบ้านซวยเบาๆอีกล่ะ ฮ่า
ส่วนเอนีล ...อุตส่าห์ไปสืบคนเดียวทั้งที ดันมาเจอว่าตุเคยม่องที่นี่จริงๆซะงั้น แหม อาจจะเป็นแค่คนที่เหมือนกันก็ได้นะคะะะ
//ไว้รอตอนต่อไปเน้อออ