บทที่ 6
เมื่อน้องปูนสารภาพ
ผมเดินไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย ผมแค่ยังไม่อยากกลับหอตอนนี้ กลับไปก็คงนอนไม่หลับ ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า
สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอหยิบมาดูผมก็กดรับ
“ว่าไงไอ้โจม”
[“มึงยังไม่ถึงหอเหรอ กูได้ยินเสียงรถวิ่ง”] แม่งฉลาดขนาดนี้คงกินเพ็ดดีดรีประจำ
“เออ ยังไม่อยากกลับหอว่ะ”
[“อยู่ไหน”]
ผมอ่านป้ายที่ใกล้ที่สุดให้ โจมมันก็บอกว่าให้ผมเดินตรงมาอีกสักพัก มันจะรออยู่หน้าทางเข้าหอ ผมอดแปลกใจไม่ได้ นี่ผมเดินมาไกลถึงหอโจมมันเลยเหรอวะ
“ไงมึง” หน้ามันยังคงสดชื่นแม้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆ ตีสองแล้ว “เดินเล่นอะไนดึกป่านนี้วะ”
“มึงไปส่งไอ้พวกนั้นแล้วเหรอ”
“เปล่าหรอก มันนอนอยู่ที่ห้องกูนี่แหละ”
“งั้นกูนอนด้วยคนดิ นอนกับเพื่อนสนุกดี”
โจมจ้องผมสักพัก สายตาที่มองมาเหมือนกับกำลังสแกนหาความผิดปกติอะไรสักอย่าง ซึ่งผมมีเต็มๆ เลยครับ แล้วมันก็พยักหน้าก่อนจะพาผมขึ้นไปบนด้านบน หอของโจมกว้างมาก มีห้องนอนสองห้อง ห้องนั่นเล่นอีกห้องหนึ่ง ห้องที่มันอยู่สามารถอาศัยได้หลายคนเลย
“ว่าจะถามนานแล้ว ทำไมมึงต้องเช่าห้องใหญ่ขนาดนี้วะ”
โจมยังไม่ตอบในทันที มันเดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบกระป๋องเบียร์ออกมา เชี่ย ที่ร้านพี่เติมก็แดกมาขนาดนั้นแล้วยังมาแดกต่ออีกเหรอวะ
มึงจะไม่ใช่คนแล้ว
“มึงเอาป่ะ”
“เอา” ก็แหม มันเครียดๆ นี่ครับ อีกอย่างอย่าลืมนะว่าอยู่ที่ร้านผมดื่มแต่น้ำเปล่า
ผมรับเบียร์ที่มันส่งมาให้ โจมนั่งลงบนพื้นข้างๆ โซฟา อ้าว แล้วมึงไม่นั่งที่โซฟานุ่มๆ วะ เชี่ย กูเลยต้องนั่งพื้นกับมึงเลย
“ที่กูเช่าห้องนี้เพราะ…” มันเริ่มตอบคำถามผมพร้อมกับจิบเบียร์ไปด้วย กูลืมไปแล้วนะว่าถามอะไรไป กว่าจะตอบได้แม่งลีลาฉิบหาย รู้แล้วครับว่ามึงหล่อ ขนาดนั่งกินเบียร์ยังหล่ออ่ะ
แต่ขอย้ำครับว่าน้อยกว่าผม อิอิ
“บอกมาสักทีดิวะ” อยากรู้นะ บอกเลยเรื่องความอยากรู้อยากเห็นนี่ผมไม่แพ้ไอ้กล้าหรอก แต่แค่ไม่แสดงออกเฉยๆ
“เพราะกูรอเขาอยู่”
“ใคร?”
“ไม่ต้องรู้สักเรื่องก็ได้” โอเค เหมือนโดนด่าว่าเสือกกลายๆ “มึงนั่นแหละ ทำไมไม่กลับหอ”
“ไม่ต้องรู้สักเรื่องก็ได้”
“หึ...งั้นมึงกลับไปเลย” กูขอโทษครับ ไม่เห็นต้องไล่กูเลย นี่กูปูนเพื่อนมึงนะเว้ย ลืมแล้วเหรอ
“กูล้อเล่น แค่ไม่อยากพูดถึง”
“เรื่องมิ้มกับพี่เอื้อ? ทำไม มันเอากันให้มึงเห็นเหรอ” ผมอมองมันอย่างประหลาดใจ นี่มึงอ่านความคิดกูออกใช่ป่ะบอกมาที กลัวแล้วนะเนี่ย “เดาง่ายจะตาย ขึ้นรถไปก็นัวเนียกัน”
“เออ ก็อะไรประมาณนั้น” ผมไหวไหล่
“แล้วมึง...ยังโอเค”
“โอเคเหี้ยไรล่ะ กูเจ็บอยู่นี่” รสชาติขมปร่าของเครื่องดื่มทำให้ผมขมวดคิ้ว “ต้องไห้กูร้องไห้ฟูมฟายเหรอ ไม่เอาหรอก น่าอายจะตาย”
“หึ...งั้นแสดงว่ามึงยังไม่รักเขาจริงๆ เพราะถ้ามึงรักเขา...ร้องไห้มันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย” โจมเหม่อมองไปไกลเหมือนตอนนี้มันไม่ได้อยู่กับผม “ที่มึงเจ็บแบบนี้เพราะมึงอาจจะผิดหวังก็ได้”
“กูจะผิดหวังอะไร”
“ไม่รู้ดิ มึงหวังอะไรไว้ล่ะ”
ผมหวังอะไร...หวังแค่อยากเห็นรอยยิ้มมิ้มต่อไปเรื่อยๆ อยากให้เธอยิ้มให้ผมคนเดียวตลอดไป แต่คงเป็นไปไม่ได้แล้ว รอยยิ้มของมิ้มเป็นของคนอื่นไปแล้ว
“กูจะตัดใจ”
“หึ...นั่นแหละคือสิ่งที่มึงควรทำ” โจมยกเบียร์ขึ้นมาดื่มจนหมด มันกำกระป๋องแน่นจนบี้เข้าหากัน “มึงทำได้สบายอยู่แล้วปูน เพราะมึงยังไม่ได้รักเขา”
“...”
“ถ้ามึงเกิดรักใครสักคนขึ้นมา...แค่ห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเขา...ยังยากเลยว่ะ”
ผมมองโจม แต่ก็ไม่อยาถามอะไร คนอย่างมันถ้าไม่พูดก็คือไม่พูด ต่อให้เค้นแทบตายมันก็ไม่บอกอะไรสักคำ ปัญหาของใครก็ของมันครับ แค่เรื่องของผมก็ปวดหัวจะแย่แล้ว
แต่ผมว่า...ผมโอเคขึ้นแล้วนะ ถูกของโจม ถึงผมจะชอบมิ้มแต่ก็ยังไม่ได้รักเธอเสียหน่อย เรื่องตัดใจแค่นี้ผมทำได้สบายอยู่แล้ว
ก็พี่ปูนเก่งเสียอย่าง
“มึงว่า...กูจะเกลียดไอ้เอื้อดีป่ะวะ” ว่าพลางถอนหายใจ ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกก้ำกึ่งนี้ยังไง ผมไม่อยากโกรธหรือเกลียดใคร แต่เอื้อก็ทำเกินไป
“มึงเกลียดเขาแล้วมึงจะสบายใจเหรอ”
“ก็...ไม่”
“แล้วมึงจะเกลียดเขาไปทำไม” มันยิ้มมุมปาก ถ้าสาวๆ เห็นคงกรี๊ดลั่น “เท่าที่กูรู้จักมึงนะปูน...ในใจมึงมีคำตอบแล้ว”
ผมมีอยู่แล้ว...มีอะไรล่ะ ในหัวผมมันว่างเปล่าขนาดนี้ “กูว่ากูไม่มีนะ”
“งั้นมึงคงต้องหาคำตอบเอาเอง” โจมลุกขึ้นยืน มันชูแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วบิดตัวไปมา มันมีซิกแพ็กด้วยครับเมื่อกี้ผมแอบเห็น “ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เรียนบ่าย”
เออ รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำหรอก
♣♣♣♣♣
ผมกลับจากห้องโจมประมาณสิบโมงกว่าๆ ไอ้กล้ากับไอ้ฟ้าก็เช่นกัน เมื่อคืนผมว่าจะเข้าไปนอนกับมันสองคนในห้องแต่ภาพที่ผมเห็นทำให้ผมต้องเสียสละนอนโซฟาแทน พวกมันนอนกอดกันครับ โคตรฮาอ่ะ กอดกายกันเป็นก้อนเดียวเลย โจมมันแอบถ่ายรูปไว้ด้วย (มึงมันร้าย) มันบอกเอาไว้แบล็คเมล์ตอนจำเป็น
เมื่อกี้ผมเห็นเงาสะท้อนตัวเองในลิฟต์แล้วสะพรึงมาก คนอะไรหน้าโทรมได้ขนาดนั้น แม้ว่าหลังคุยกับโจมแล้วผมจะสบายใจจนนอนหลับได้ก็เถอะ แต่ตาก็โคตรคล้ำ แถมหน้ายังไม่สดชื่นอีก สาวๆ ครับ มีมาร์กหรือครีมบำรุงยี้ห้อไหนแนะนำผมหรือเปล่า ผมจะไปเหมามาเดี๋ยวนี้
อกหักแล้วก็ขอหล่อหน่อยเถอะ
ผมหยุดเดินพลางมองคนที่นั่งก้มหน้าข้างประตูห้องผมอย่างสงสัย มันใช่คนหรือเปล่าวะ แต่นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่แนวสยองขวัญ เพราะงั้นก็ตัดเรื่องที่มันเป็นผีทิ้งไปได้เลย
แล้วมึงเป็นใคร
พอได้ยินเสียงฝีเท้าของผมเดินเข้าไปใกล้มันก็เงยหน้าขึ้นมา
“...เอื้อ?” ไม่แน่ใจครับ เพราะหน้าอีกฝ่ายก็โทรมไม่แพ้ผม แต่ยังคงเห็นเคล้าโครงความหล่อชัดเจน แม่งไม่ยุดิธรรมอ่ะ
อีกฝ่ายขมวดคิ้วก่อนจะลุกขึ้นยืน หน้ามันคล้ายคนปวดหนักที่ไม่ได้ถ่ายมาสามวัน มองผมอย่างกับจะเข้ามาหักคอแล้วจิ้มน้ำพริกกิน
กูไปทำอะไรให้มึงวะ ทำไมต้องมองโหดๆ แบบนี้ด้วย
“มึงมีอะไร” ผมถามออกมาเมื่อมันไม่พูดอะไรสักที เอาแต่จ้องผมอยู่ได้ จ้องไปกูก็ไม่ท้องหรอกนะ
“มึงไปไหนมา”
“เกี่ยวอะไรกับมึงอ่ะ” ผมเดินเลี่ยงมันแล้วหยิบกุญแจขึ้นมาไขห้อง แต่อีกฝ่ายคว้ามือผมเอาไว้ “อะไรของมึงเนี่ยเอื้อ”
“กูถามว่ามึงไปไหนมา ไม่ได้ยินหรือไงวะ!” มันขึ้นเสียงใส่ เฮ้ยยยย อะไรของมึง มาขึ้นเสียงใส่กูทำไม
“แล้วมึงมายุ่งอะไร เรื่องของกูมันเกี่ยวอะไรกับมึง”
“มันก็ไม่เกี่ยวกับกูหรอก แต่กูเป็นหะ…” แล้วมันก็เงียบไปไม่พูดต่อ “ช่างเหอะ”
“อะไร เป็นห่วงเหรอ มาเป็นห่วงกูทำไม ในเมื่อเมื่อคืนมึงทำกับกูถึงขนาดนั้น ถามจริงเถอะ มึงทำได้ไงวะเอื้อ มึงก็น่าจะรู้ป่ะว่ากูชอบมิ้ม ทำไมมึงถึงทำแบบนั้น”
“กูเมา”
หน้ามันโคตรกวนตีนอ่ะ ตอบหน้าตายมาก ‘กูเมา’ แหมอยากจะถามหน่อย พอมึงเมาแล้วจะไปเอากับใครที่ไหนก็ได้หรือไง อย่างนี้ถ้าพี่บุ๊คอยู่ใกล้มึงตอนนั้นก็คือมึงจะนัวเนียกับพี่มันเรอะ
ทำไมคิดแล้วกูอยากจะอ้วกวะ =_=
ผมคิดไปตั้งมากมาย แต่ที่พูดออกมามีเพียง
“เหรอ!”
“อีกอย่าง ไม่ว่ามึงจะเชื่อหรือเปล่า แต่กูไม่ได้มีอะไรกับมิ้มนะ”
“คิดว่ากูโง่เหรอครับ ถ้าอยู่ดูต่ออีกนิดเดียวมึงได้กันต่อหน้ากูแน่ ยังมาทำเป็นพูดว่าไม่ได้มีอะไรกันนะแม่ง มือมึงนี่ล้วงไปถึงไหนต่อไหน ต้องให้กูบรรยายให้ฟังมั้ยวะไอ้เชี่ย!”
เดือดครับ เดือดมากด้วย แดกหัวคนได้สบายๆ และคนแรกที่จะแดกก็หัวไอ้เชี่ยเอื้อนี่แหละ
“กูก็ไม่ได้โรคจิตขนาดนั้น” มันกวนตีนอีกแล้วครับ ผมว่ามันกำลังพยายามเบี่ยงประเด็นอยู่ “มึงยังไม่ตอบคำถามกูเลยว่าไปไหนมา”
“ทำไมต้องตอบ” กวนตีนมากวนตีนกลับ ไม่โกง
“งั้นก็ตอบมาว่าเมื่อคืนมึงทิ้งรถกูไว้แบบนั้นแล้วมึงไปยังไงต่อ”
“ก็แล้วทำไมต้องตอบ”
“อย่ากวนตีนปูน” มันเรียกชื่อผมครั้งแรกเลย แถมเป็นเสียงดุๆ เหมือนที่คุณครูใช้กับนักเรียนที่กำลังดื้อด้วย แต่ผมไม่ใช่นักเรียนของมันสักหน่อย “มึงเดินกลับใช่มั้ย”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
อีกฝ่ายเหมือนพยายามสะกัดกลั้นอารมณ์โมโหเอาไว้ มันกำมือแล้วปล่อย สูดลมหายใจ แล้วผ่อนออก ฝีมือเรื่องกวนตีนผมไม่แพ้ใครครับ ตอนเด็กๆ เคยโดนต่อยด้วย (โธ่กู) โตขึ้นผมเลยสงบปากสงบคำขึ้นเยอะ จะกวนตีนก็จำเป็นจริงๆ
“มึงขัดคำสั่งกู ทำไมไม่เอารถกูกลับ”
ผมกระพริบตาปริบๆ ให้เอารถมันกลับอ่ะนะ จะบ้าเหรอ ผมว่าผมเลิกเถียงกับมันดีกว่า เสียเวลาจริงๆ แล้วนี่เมื่อไหร่ผมจะได้เข้าห้องวะ
“ปูน ถามอะไรก็ตอบหน่อยเถอะ ให้ความร่วมมือสักนิดจะตายมั้ย” มันหัวเสียแล้วครับ และด้วยความที่รำคาญอีกฝ่ายสุดๆ ผมเลยให้ความร่วมมืออย่างช่วยไม่ได้
อยากรู้ก็จะตอบให้หมดเลย
“ก็เดินกลับ ตอนแรกก็ว่าจะกลับหอ แต่มันไม่อยากอยู่คนเดียว ก็เลยไปค้างหอเพื่อนแล้วก็เพิ่งกลับมาห้องเพราะมีเรียนตอนบ่าย แล้วที่ไม่เอารถมึงไปก็เพราะมึงกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับแฟนมึงอยู่ไง” ผมตอบเร็วๆ แบบไม่อยากจะพูดถึง ก็ไม่อยากจริงๆ นั่นแหละ
“กูกับมิ้มไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“มึงคิดว่ากูโง่เหรอ”
“เออ เรื่องนี้มึงก็โง่จริงๆ”
มันด่าผมมมม มันด่าผมว่าโง่มาสองครั้งแล้วนะ!
“กูไม่ได้โง่!”
“มึงโง่ แยกคำว่าคู่นอนกับแฟนไม่ออกหรือไง”
ผมสลัดมือที่เอื้อจับไว้ทิ้ง (นี่ผมปล่อยให้มันจับนานขนาดนี้เลยเหรอวะ) แล้วยกขึ้นกอดอก มองมันอย่างที่คิดว่ากวนตีนสุดๆ
“ไม่ออก เพราะยังไงมึงก็เอาทั้งคู่อยู่ดี แล้วมันแตกต่างตรงไหนมิทราบ”
“เอาเพราะใคร่กับเพราะรักมันก็ต่างกันแล้ว”
“งั้นมึงก็ไม่ได้รักมิ้ม แล้วมึงทำแบบเมื่อคืนทำไม” ผมผลักอกมันแรงๆ (แต่แทนที่มันจะกระเด็น มันกลับแค่ถอยหลังไปก้าวเดียว อะไรวะ! แรงผมน้อยขนาดนั้นเลยเหรอ) “ถ้าไม่รักก็เลิกกับมิ้มไปดิ ไม่สงสารมิ้มหรือไง”
“ถ้ากูเลิกแล้วมึงจะจีบเขาต่อเหรอ”
“ก็เออไง!”
ผมตอแหลครับ ผมไม่คิดจะจีบมิ้มแล้ว ไม่คิดเลยนับตั้งแต่เดินออกมาเมื่อคืน แต่ที่ตอบเพราะอยากกวนตีนมันเฉยๆ แค่อยากประชดมัน อยากทำให้มันหัวโกรธก็แค่นั้น อีกอย่างลึกๆ แล้วก็อดสงสารมิ้มไม่ได้ เธอควรจะเจอใครที่รักเธอจริง ไม่ใช่คนอย่างไอ้หน้าหล่อนี่
“เหรอ งั้นเสียใจว่ะ เพราะกู-ไม่-เลิก”
“มึงมันเหี้ย”
“กูก็ไม่เคยบอกว่ากูเป็นคนดี” เอื้อไหวไหล่ “แต่คนเหี้ยๆ อย่างกูก็ไม่เคยเอาเปรียบ กูตกลงกับมิ้มตั้งแต่ต้นแล้วว่าเราไม่ใช่แฟนกัน แล้วมิ้มก็โอเค”
เห็นหน้ามันแล้วอยากต่อยสักหมัดจริงๆ เออ มึงหล่อมาก มึงหล่อสุดๆ มึงมันหล่อเลือกได้ มึงมันหล่อจนจะสร้างเงื่อนไขอะไรก็ได้ ผู้หญิงเขายอมเป็นของมึงโดยที่ไม่ใช่แฟนได้ไงวะ พวกเธอคิดอะไรอยู่กันแน่ พี่ปูนไม่เข้าใจจริงๆ จะคบกันมันก็ต้องเป็นแฟนกันไปเลยดิ
“มึงกลับห้องไปได้แล้วไป ไม่มีเรียนหรือไง” ประโยคหลังผมบ่นเฉยๆ ไม่ต้องการคำตอบ แต่มันก็ตอบมา
“มี แต่เข้าไม่ทันแล้ว เพราะมาคอยมึง”
“แล้วมาคอยทำไม”
“ห่วงไง มึงกลับหอเองทั้งที่ดึกขนาดนั้น กูก็กลัวว่าจะเป็นอะไรไป เลยมาหาที่ห้องก็ไม่เจอ กูต้องนั่งรอมึงตั้งแต่กี่โมงรู้ป่ะ”“กี่โมง” สาบานว่าผมไม่ได้อยากรู้ แต่ปากมันไวไปเท่านั้นเอง
“หกโมง” ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมง มันนั่งรอผมมาสี่ชั่วโมง ตอนหกโมงผมยังหลับสบายอยู่เลย
เอื้อเสมองไปทางอื่นไม่ได้มองหน้าผม รวมกับว่าสิ่งรอบตัวมันน่ามองกว่าหน้าหล่อๆ ของผมมากอย่างนั้น คำตอบและการกระทำของมันทำเอาผมรู้สึกแปลกๆ
“หมดห่วงก็กลับไปได้แล้ว” ผมไล่มันด้วยเสียงที่พยายามจะแข็งแรง แต่ทำไมเวลาพูดออกไปมันถึงได้เบาๆ ยังไงชอบกล
ทำไมพอได้ฟังที่มันบอกแล้วผมดันนึกหายโกรธมันขึ้นมาเฉยๆ เลยวะ ไม่ดิปูน มึงต้องโกรธมันดิ มึงต้องโกรธมัน!!
“ปูน”
“อะ อะไร” แล้วจะเสียงสั่นทำไมวะ
“กูไม่ได้มีอะไรกับมิ้มจริงๆ”
ผมมองสบตาอีกฝ่าย ต้องการจะหาความจริงใจจากคำพูดของมัน ซึ่งผมก็ได้รับมันทางสายตาของอีกฝ่ายอย่างเต็มเปี่ยม
“แล้ว...มาบอกกูทำไม”
“ไม่รู้ดิ...กูแค่ไม่อยากให้มึงเกลียดกูมั้ง”
พูดจบเอื้อก็หมุนตัวแล้วเดินไปทางลิฟต์ โดนไม่รอให้ผมตอบกลับอะไรออกไป ซึ่งผมก็ไม่มีวันบอกมันหรอกว่า
ผมไม่คิดจะเกลียดมันเลย…
..
.
ผมถึงมอตอนเที่ยงกว่าๆ แต่แทนที่ผมจะไปยังตึกเรียนซึ่งเพื่อนๆ กำลังรออยู่ ผมกลับเดินตรงไปที่คณะบริหารฯ แทน เป้าหมายคือใครบางคนที่ผมบอกว่าจะตัดใจเมื่อคืนนี้
ใช่แล้ว ผมมาหามิ้มครับ
ผมคิดว่าถ้าผมจะตัดใส่ ผมควรทำสิ่งที่ผมค้างคาใจมานาน และครั้งนี้มันก็ง่ายเสียเหลือเกิน ผมไม่มีความลังเลใจ ไม่มีความกังวลหรือตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว
ผมเดินตรงไปหามิ้ม แล้วขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว มิ้มดูเขินอายเมื่อได้เจอผม ก็แน่นอนล่ะ เมื่อคืนเธอปล่อยเนื้อปล่อยตัวเสียขนาดนั้น
“มีอะไรเหรอปูน” มือบางถูกยกขึ้นเพื่อลูบบริเวณต้นคอ ผมเข้าใจว่าเธอคงอยากปิด แต่ยิ่งทำแบบนั้นมันก็เรียกความสนใจของคนให้มองมากขึ้น จากที่ไม่สังเกต ผมก็เห็นว่าต้นคอมิ้มมีรอยแดงเข้มประทับอยู่
“เรามีเรื่องจะบอก”
“อะไรเหรอ”
“เราชอบมิ้มนะ ชอบมานานแล้ว ตั้งแต่เราเจอกันครั้งแรก”
“จะ จริงเหรอ” มิ้มตาโต เธอทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อแต่สุดท้ายก็พูดออกมา “ขอบใจนะ แต่เรา…”
“เรารู้ มิ้มคงไม่ชอบเราหรอก ก็มิ้มมีเอื้อ” พูดแล้วก็เจ็บครับ แต่ถ้าไม่มีเอื้อ ผมก็คงไม่กล้าบอกความรู้สึกกับเธอแบบนี้ “เราไม่ได้หวังว่ามิ้มจะชอบเราหรอก ที่มาบอกเพราะเราไม่อยากให้มันค้างคา”
“ขอโทษนะปูน แต่เราเป็นเพื่อนกันได้นะ”
“ขอเวลาเราทำใจก่อนแล้วกัน” ผมไม่พร้อมจะเป็นเพื่อนกับมิ้มตอนนี้จริงๆ
“เราเข้าใจ” มิ้มพยักหน้า เธอขอตัวกลับเพราะจะเตรียมตัวไปเรียน แต่ก่อนจะแยกกัน ผมก็นึกขึ้นถึงอีกเรื่องนึงได้
“เอ้อมิ้ม ขอถามอีกอย่างสิ” เธอหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามกลับ “คือมันอาจจะเสียมารยามหน่อยนะ แต่เมื่อคืนนี้มิ้มกับเอื้อได้...เอ่อ...คือ...นั่นแหละ...แล้วหรือยัง”
ใบหน้าสวยแดงซ่านไปถึงหู ตาโตๆ เบิกขึ้นอย่างคาดไม่ถึงว่าผมจะถามอะไรแบบนี้
“คือไม่ต้องตอบก็ได้นะ เราแค่…” ผมเกาแก้มตัวเองแก้เก้อ กูถามอะไรออกไปวะ ไม่น่าเลยยย ไม่น่าเอาสิ่งที่ไอ้บ้านั่นบอกมาคิดมากเลย
มิ้มจะมองผมยังไงเนี่ย!
และแล้วมิ้มก็ส่ายหน้า อะไร หมายความว่าไงวะ
“เปล่า...เรากับพี่เอื้อไม่ได้…”
“จริงเหรอ!”
“จริงๆ”
“เปล่าๆ เราไม่ได้หมายถึงมิ้ม”
ที่ผมถามเพราะผมไม่คิดว่าเอื้อมันจะพูดจริง คนอย่างมันอ่ะนะ เสือผู้หญิงที่ไอ้ฟ้าบอกทำไมถึงไม่ขย้ำเหยื่อที่อยู่ตรงหน้าวะ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
ผมเดินกลับมาที่คณะ ด้วยความมึนๆ กับเรื่องที่ได้รับรู้เมื่อกี้ พอเจอพวกเพื่อนๆ ผมก็รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟัง แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เอื้อมาหาเมื่อเช้า
“โธ่เพื่อนกู บอกชอบเขาได้ก็ต้องตัดใจแล้วเหรอวะ” ไอ้ฟ้าตบไหล่ผมดังปุๆ “แต่ดีแล้วมึง จะได้เปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ สักที สาวๆ สวยๆ มีเยอะนะ หรือถ้ามึงหาไม่ได้จริงๆ กูจะไปบังคับให้ไอ้บอบเสียสละหนูนาให้ก็ได้”
ไม่ต้องก็ได้มึง กูโคตรเกรงใจเลย อย่าลืมนะว่าผมต้องประกวดเดือนคณะคู่กับมันอ่ะ แล้วคุณคิดว่าระหว่างที่เก็บตัวด้วยกันผมเห็นอะไรจากมันมาบ้าง
แค่คิดผมก็...บรึ๋ยย
“เนื่องในโอกาสที่มึงได้สารภาพรักและอกหักไปพร้อมๆ กัน กูว่าคืนนี้เราไปฉลองกันเหอะ” ไอ้กล้าว่า แต่เดี๋ยว มึงไม่สงสารตับกูก็สงสารตับตัวเองบ้างเหอะ เมื่อคืนก็แดกจนเมาอย่างหมา
“มึงเพิ่งกินไปเองนะ” ผมท้วง
“เขาเรียกว่าถอนไง” มันยักคิ้วจึกๆ “เอาน่า...คืนนี้กูดูแลมึงเอง”
ให้มึงดูแลนี่กูดูแลตัวเองก็ได้นะ
“มึงจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอโจม” ไอ้กล้าหันไปถามคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อย่างเดียว “นี่เพื่อนมึงจะตัดใจแล้วนะ”
“ปูนบอกกูตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” โจมเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะก้มลงไปอีกครั้ง “แต่ไปถอนสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
“เยส! นี่สิเพื่อนแท้” กล้ามันยิ้มกริ่มเลยครับ เห็นแล้วโคตรหมั่นไส้อ่ะ
“เอาวะ ไปก็ไป คืนนี้กูจะเมาให้เป็นหมาเลย”
ถือว่าเป็นการส่งท้ายคนเก่า ต้อนรับคนใหม่แล้วกัน
สาธุ ขอให้ความผิดหวังครั้งนี้นำพาคนดีๆ เข้ามาในชีวิตพี่ปูนด้วยเถิด
เพี้ยง!!!
=============================================
==================================
ตอนนี้เอาพี่เอื้อมาง้อนะคะ มีคะแนนความสงสารมั้ย
พี่เขามานั่งรอน้องตั้งนานเลยน้าาา
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
ปล. เราจะเปิดเทมอแล้วว แงงงงง