◄◄◄ VILLAIN | ร้ายออกฤทธิ์ ►►► ตอนที่ 24 จบบริบูรณ์ 3/3/2018 ❤️ จบแล้วจ้า END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◄◄◄ VILLAIN | ร้ายออกฤทธิ์ ►►► ตอนที่ 24 จบบริบูรณ์ 3/3/2018 ❤️ จบแล้วจ้า END  (อ่าน 49404 ครั้ง)

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3

“ผมก็ไม่ได้บอกให้แก้อะไรนี่ ...เอ๊ะ นี่มีคนแจ้งตำรวจรึยังครับ ถ้ายัง รีบโทรแจ้งเลยนะครับ… เพราะตอนนี้ผมมีหลักฐานที่เป็นคำพูดคุณทุกคำอยู่ในโทรศัพท์เครื่องนี้” ผมแกว่งมีดไปมาก่อนจะชี้มันลงที่กระเป๋ากางเกงข้างนึง คนฟังดูจะยิ่งโมโหและนิ่วหน้ามากขึ้น คนเรายังไงมันก็ต้องกลัวความผิดจนไม่รู้ผิดรู้ถูกอยู่ดี ลูกสาวกำลังจะตายอยู่ตรงหน้ากลับมีสีหน้ากังวลเกี่ยวกับความชั่วช้าที่อาจจะเอาตัวเองเข้าคุก

“อย่าท้าอานะพอช ที่อายังนิ่งเพราะเห็นว่าเป็นเราที่โตมาด้วยกันกับอาเป็นสิบ ๆ ปี” ผมร้องหึออกมาเมื่อรู้สึกเหมือนถูกทวงบุญคุณ คิดว่าผมอินโนเซนรึไงที่จะมองไม่ออกว่าคนคนนี้กำลังพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบให้ผมเย็นลง แต่เสียใจนะเพราะว่าอันที่จริงผมใจเย็นจนไม่รู้จะเย็นยังไงแล้วล่ะ

“ป้าวรรณครับ… รบกวนแจ้งตำรวจที คดีฉ้อโกงคงติดคุกไม่กี่ปี” ผมหันไปหาป้าวรรณที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ซักพัก ในจังหวะที่เอี้ยวตัวจนน้องต้าต้องโอดโอยตามแรงไปด้วย ป้าวรรณก็ยกมือขึ้นอุดปากตัวเองแล้วร้องไห้ออกมาราวกับใจจะขาด สายตาผิดหวังที่ส่งมาทำให้ผมหวั่นไหวเป็นครั้งแรก กับคนที่อยู่เป็นเพื่อนผมกินข้าวในครัวแทบทุกวันอาจจะคุ้นชินกับการที่เห็นผมเป็นเด็กดีคนนึง ...ซึ่งเด็กคนนั้นมันไม่มีจริง

“ไม่ต้อง…!” เสียงร้องห้ามจากคุณผู้ชายของบ้านทำให้ผมแทบจะหัวเราะ จังหวะนี้คงจะมีเพียงผมคนเดียวที่รู้สึกสนุกเหมือนอยู่บนเครื่องเล่นที่ค่อย ๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งระทึก ตื่นเต้น สนุกสนาน น่าจดจำ

“อันนี้ก็แล้วแต่นะครับ เพราะว่าผมพร้อมเจอตำรวจเสมอ คิด ๆ ดูการขึ้นศาลมันก็น่าสนุกดี” ผมยกยิ้มปรายตามองหญิงกลางคนที่วิ่งกระหืดกระหอบทั้งน้ำตาเข้ามาพร้อมกระดาษสองสามแผ่นในมือ อีกทั้งในมือขวาของเธอยังมีสิ่งนึงที่ผมกลัวมาตลอดชีวิต อาวุธที่ผมไม่เคยคิดจะเข้าใกล้ เสียงของมันทำให้ผมมีปมและเสียสติกับเสียงดังปังมาทั้งชีวิต แต่แปลกดีที่วันนี้ผมดันรู้สึกอยากแตะต้องมันเป็นครั้งแรก และฟังเสียงของมันใกล้ ๆ ซักครั้ง ...ทั้งที่ใจสั่น ทั้งที่ลึก ๆ กลัว ทั้งที่ผมไม่มีทางเข้าใจตัวเอง

“มาแล้ว ของที่แกต้องการ จะปล่อยลูกสาวฉันได้รึยัง” เมื่อมาถึงคุณโสมก็ยื่นของสองอย่างตรงหน้าผม ผมปรายตามองกระดาษไร้ค่าพวกนั้นก่อนจะจดจ้องที่ปืนลูกโม่ที่ถูกขัดจนวาววับ แววตาผมสั่นไหว แต่ก็คงจะเสียศักดิ์ศรีถ้าผมยอมแพ้ให้กับความกลัวของตัวเองตอนนี้

“เอาปืนมานี่…” ผมเอ่ยเสียงเรียบยื่นมือข้างที่ไม่ได้ถือมีดออกไป เมื่อวัตถุโลหะถูกวางลงที่มือผมรู้สึกแปร๊บที่ใจราวกับถูกไฟช็อต น้ำหนักของมันมีมากกว่าที่คาดและก็ไม่ได้ดูใช้งานยากเย็นมากไปกว่าในทีวี

“ปล่อยลูกฉันได้แล้ว”

“ได้...แต่ต้องแลกกับตัวคุณโสมแทน โอเคมั้ยครับ” ดูเหมือนว่าวันนี้ผมพูดอะไรก็จะขัดหูทุกคนไปหมด ก็แบบนี้แหละนะคนไม่ใช่ทำอะไรมันก็ผิดทั้งนั้น

“พอได้แล้วพอช!!”

“ตกลงมั้ยครับ…” ผมแสร้งเป็นไม่ได้ยินประโยคห้ามปรามจากเต็ม สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าคุณโสมจะตอบตกลงอย่างเลือกไม่ได้ เธอพยักหน้าร้องไห้ออกมาจนไม่เหลือคราบผู้หญิงหยิ่งทระนงที่ผมรู้จัก มือเธอเอื้อมแตะข้อมือลูกสาวก่อนจะเข้ามาอยู่ในเงื้อมมีดผมแทนคนที่เธอพยายามจะปกป้อง

“ต้า!!” เต็มโผรับน้องตัวเองเข้าไปกอดไว้ คนเป็นพี่ลูบหัวน้องสาวซ้ำ ๆ ทั้งพรมจูบที่หน้าผากอย่างที่ไม่เคยแสดงความรักเช่นนี้มาก่อน แต่ที่ดูจะขัดหูขัดตาหน่อยก็ตรงที่สะใภ้ของบ้านก็เข้ามาปลอบประโลมราวกับอยากมีส่วนร่วมกับเขาเหลือเกิน

“จะเอาอะไรอีก ห่ะ!!!”

“เอาไปเซ็น...กรอกรายละเอียดให้ครบ ...หุ้นทั้งหมดที่มีในส่วนของคุณอา ชื่อผู้รับโอนให้เว้นไว้ แล้วอย่าคิดตุกติก” ผมเหล่ตามองที่แผ่นกระดาษในมือคุณโสมเพื่อเป็นสัญญาณ คุณอาดึงมันไปด้วยมือสั่น ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นอย่างที่ไม่เหลือคราบผู้บริหาร เพื่อครอบครัวแล้วจะให้ก้มลงเขียนกับพื้นต่อหน้าคนที่เคยกดให้อยู่ต่ำกว่าก็ย่อมได้สินะ

“พ่อคะ…”

“พ่อไม่เป็นไร ต้าไหวมั้ยลูก” คุณอาเงยหน้าขึ้นมองลูกสาวก่อนจะจรดปลายปากกาลงไปในช่องว่างด้วยฟ้อนต์ตัวเขียนที่ยึกยือไปมาตามแรงสั่นของมือ ระหว่างเดียวกันนั้นผมก็ยกปืนในมือขึ้นพินิจอย่างไม่คุ้นเคย แขนสองข้างที่โอบรอบคอคุณโสมช่วยกันสัมผัสเรียนรู้ทั้งที่มีดเปื้อนเลือดยังอยู่ในมือเพื่อเป็นข้อต่อรองที่ดี จังหวะนึงที่เรียวนิ้วผมเคลื่อนผ่านช่องบรรจุกระสุนทรงกระบอก ผมก็ปลดล็อคมันออกมาได้ราวกับละครไทยไม่มีผิด นับว่าโชคดีที่คุณอาบรรจุกระสุนเอาไว้ครบแปดนัด แต่ก็แย่น้อยที่ปริมาณกระสุนพวกนี้มันมากกว่าที่ผมต้องการ

“ต้องการอะไรอีก”

“ชู่วววว อยู่เงียบ ๆ อีกซักนาทีนะครับ ...อดใจไว้รอก่อนนะ” ผมบอกคนในการเกาะกุม ยอมรับตรง ๆ ว่าตอนนี้ผมกำลังประมาทที่เอาแต่จ้องปืนในมือจนลืมมองบรรยากาศรอบด้าน แต่ตอนนี้คงไม่มีอะไรดึงความสนใจผมไปได้มากกว่าสิ่งที่ผมกลัวที่สุด แม้รูปลักษณ์ของมันจะไม่เหมือนปืนที่อยู่ในมือแม่ผมในคืนนั้นแต่แค่จินตนาการถึงเสียงดังกึกก้องมือผมมันก็เย็นเฉียบสั่นเทาจนแทบควบคุมเอาไว้ไม่ได้

“เรียบร้อยแล้ว… พอได้รึยัง” อาบวรปล่อยปากกาลงกับพื้น ยันมือตัวเองลงกับเข่าเงยหน้าขึ้นมองผมอย่างเหนื่อยล้าเหลือทน อะไรกันนี่มันพึ่งเป็นอินโทรเองนะครับ… เกมจริง ๆ มันยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ

กริ๊ก!! .... เสียงจากของที่ผมพึ่งจะทิ้งลงกับพื้นเรียกความสนใจได้จากทุกคน กระสุนปืนที่ถูกถอดออกพากันกลิ้งกระจัดกระจายทั่วพื้น ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะเริ่มงงว่าผมต้องการอะไรกันแน่ ผมดันช่องบรรจุกระสุนเข้าไปในตำแหน่งเดิม ถือมันเอาไว้ในมือขวาด้วยท่าทางที่ไม่ถนัดนัก ขณะเดียวกันนั้นมือซ้ายก็โอบล้อมยื่นคมมีดเข้าใกล้คอคุณโสมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“อันที่จริงผมก็ใกล้จะพอใจแล้ว” ผมรู้สึกตัวว่ากำลังสั่นไปทั้งร่าง มีแค่สติเท่านั้นที่พยายามบอกตัวเองว่าไม่ต้องกลัว ผมบังคับแขนตัวเองให้เหยียดตรงออกไปในทิศที่ไม่มีคน ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงเมื่อเรียวนิ้วสัมผัสเจ้าที่ไกปืน





บางที ความกลัวอาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไรก็ได้

เลิกกลัวได้แล้วพอช





แกร๊ก… เสียงเบา ๆ ทำให้ร่างกายผมกระตุก แต่ยังโชคดีที่ยังควบคุมสติทั้งหมดได้อยู่ เพราะจังหวะที่เหนี่ยวไกออกไปเมื่อครู่นั้นไม่มีลูกกระสุนใด ๆ พุ่งตัวออกไปตามกลไก เสียงเตือนภัยดังแกร๊กแทนที่จะเป็นเสียงกังวาลดังปังนั่นจึงยังทำให้ผมปลอดภัยจากความกลัวแม้ว่าจะไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นก็ตาม

แกร๊ก… แกร๊ก… แกร๊ก… แกร๊ก… เสียงเหนี่ยวไกปืนดังขึ้นสี่ครั้งติดต่อกัน แม้สิ่งที่ออกจากปลายกระบอกจะมีเพียงแต่ลม แต่มือผมมันดันสั่นเพิ่มมากขึ้นทุกครั้งที่สมองสั่งให้กดนิ้วลงไปควบคุมปืน

“ปืนนี่...เหลือกระสุนอยู่แค่หนึ่งลูก เมื่อกี้ผมเหนี่ยวไกเรียกขวัญกำลังใจไปแล้วห้า ...เหลือให้ลุ้นกันอีกแค่สาม… ใช่มั้ยครับคุณโสม” ผมโน้มตัวลงกระซิบข้างหูคุณโสมขณะที่สายตาพุ่งตรงไปยังเต็มไม่กระพริบ ผมกำลังเหนือกว่าทุกคนที่นี่ในทุก ๆ ด้าน และทันทีที่เกมนี้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังผมจะควบคุมสถานการณ์ได้เพียงแค่สมองคิด

“............”

“ใช่มั้ยครับ!!”

“ช...ใช่”

“งั้นผมว่าเรามาเล่นสนุกกันดีกว่า แต่ว่าผมไม่ใจร้ายใจดำอะไรหรอก เพราะผมมีทางเลือกให้คุณโสมสองทาง…” ผมพยายามลดเสียงลงต่ำที่สุดเพื่อให้การกระซิบครั้งนี้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน อีกอย่างคนอื่น ๆ จะได้ตื่นเต้นและไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกับฉากคนดีศรีสังคมที่ผมกำลังแสดงอยู่

“.....….”

“เลือกเอาว่าจะยิงตัวเองแค่หนี่งในสามนัด ...หรือจะยิงสามีสุดที่รักด้วยกระสุนสองนัดติด ...ตัดสินใจตอนนี้แถมฟรีพวงหรีดหน้าศพนะครับ โปรโมชั่นไม่ได้มีมาบ่อย ๆ” ระหว่างที่พูดผมก็ปรายตามองบุคคลเบื้องหน้าทีละคนอย่างตั้งใจ เอมประครองน้องต้าไปทรุดตัวอยู่ที่พื้นอีกมุม แววตาหวาดกลัวหวั่นใจของผู้หญิงสองคนแทบไม่ต่างกัน ส่วนเต็มไม่มีอะไรเด่นชัดมากไปกว่าดวงตาแข็งเขม็งจ้องมองผมพร้อมหยดน้ำใสเอ่อล้นออกมา สุดท้ายสายตาผมมันก็หยุดอยู่ที่อาบวร ผู้มีพระคุณของผมยังคงนั่งคุกเข่ารอชะตากรรมอยู่กับพื้น...





ได้เวลาเกมวัดใจแล้ว

หนึ่ง หรือ สอง

สอง หรือ หนึ่ง


ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 23 เกมโอเวอร์


“เลือกเอาว่าจะยิงตัวเองแค่หนี่งในสามนัด ...หรือจะยิงสามีสุดที่รักด้วยกระสุนสองนัดติด ...ตัดสินใจตอนนี้แถมฟรีพวงหรีดหน้าศพนะครับ โปรโมชั่นไม่ได้มีมาบ่อย ๆ”

“ก...แกจะบ้ารึไง”

“เลือกมาเถอะครับ ผมมีทางเลือกให้ขนาดนี้แล้ว…” ดูเหมือนว่าลูกไก่ในกำมือผมจะไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ในทันที การกระตุ้นด้วยคมมีดจึงต้องเริ่มต้นขึ้น ผมบิดข้อมือเอียงช่วงข้างใบมีดเย็นเฉียบสัมผัสราบเข้าที่คอคุณโสม คงจะเพราะมีดเล่มเล็ก ๆ มันเย็นจนเกินไป ลูกไก่ที่ผมขังเอาไว้ในกำมือถึงได้สั่นเป็นลูกนกแบบนี้

“ฉันไม่ทำ! แกมันบ้า! แกมันบ้าไอ้พอช!!”

“ขอเตือนว่าให้รีบ...ก่อนจะไม่มีสิทธิแม้แต่จะเลือก!” คำก็บ้า สองคำก็บ้า คำที่สามก็ยังหาว่าผมบ้า พูดออกมาบ่อย ๆ คนใจเย็นอย่างผมมันก็โมโหเหมือนกันนะครับ ดูสิจากด้านใบมีดที่ไม่มีความคม ผมจึงต้องเปลี่ยนให้ด้านคมมีดกดลงลำคอที่ไม่มีวันเหี่ยวย่นเพราะโบท็อกแบบนี้

“ฮึก….” แรงกดเบา ๆ แบบปราณีทำให้คนในการควบคุมสะดุ้งเฮือก ผมยกยิ้มขึ้นมาเพราะรู้แล้วว่าคุณโสมกำลังหวาดกลัวจนถึงขีดสุด แถมสายตาขอร้องอ้อนวอนและเสียงกรีดร้องหวาดกลัวของครอบครัวนี้ก็ยิ่งทำให้ผมมีความสุข ผมยัดปืนใส่มือเธออย่างยากลำบาก นิ้วที่ไม่เคยผ่านการทำงานหนักมันไม่ยอมจับปลายกระบอกปืนเอาไว้เสียที

“จับสิวะ!!!”

“พอเถอะพอช! กูขอร้องนะ…” เต็มขัดคำสั่งผมและพูดจาไม่น่าฟังขึ้นมาอีกครั้ง คนคนนี้กำลังร้องไห้และทึ้งหัวตัวเองราวกับคนเสียสติ ขายาว ๆ นั่นพยายามก้าวเข้ามาหาผมแต่พอเห็นสายตาที่ไม่มีวันยอมก็ต้องถอยกลับไปยืนที่เดิมอยู่ดี

“หรือจะให้ผมไปเล่นเกมนี้กับลูกชายคุณโสมดีครับ” ผมก้มลงกระซิบข้างหูคุณโสมอีกครั้ง คราวนี้เธอนิ่งไปไม่มีแม้แต่เสียงใดเล็ดรอดออกมาให้ผมรำคาญใจ และที่ทำให้ผมถูกใจที่สุดก็คงการที่เธอรับปืนเข้าไปกำไว้ด้วยสองมือ สายตาของเต็มที่มองมามันทำให้ขอบตาผมร้อนผ่าว… ไม่รู้สิว่าความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร ผมไม่ได้เสียใจหรือว่าอยากจะร้องไห้ มันมีเพียงแค่ความตื้นตันและความภูมิใจในตัวเองก็เท่านั้น

“ฮืออออ… แกมันเลว ฮือออ” คุณโสมร้องไห้เป็นเผาเต่าขนาดนี้ก็ยังจะมีอารมณ์มาชื่นชมผมจนอดจะภูมิใจไม่ได้ เสียงสะอื้นตัวโยนน่าหดหู่ยิ่งทำให้ผมได้ใจและสะใจที่ครั้งนึงผมเป็นฝ่ายทำให้เธอต้องเสียน้ำตาบ้าง กี่ครั้งที่เธอพูดจาแดกดันเด็กบ้านแตกคนนึง กี่ครั้งที่เธอคอยย้ำว่าผมมันก็แค่กาฝากที่คอยเกาะกินครอบครัวเธอ





อันที่จริง มันก็คงเป็นจริงอย่างที่เธอว่าทุกข้อ





“ผมจะนับหนึ่งถึงสามเลือกเป้าหมายแล้วลั่นไกซะก่อนที่ผมจะทำให้ศพของคุณไม่สวย”

“...........” ความนิ่งเงียบของคุณโสมทำให้ผมต้องกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แก้เบื่อ ร่างกายสั่นเทายังคงเอาแต่ร้องไห้ไม่เลิกจนผมต้องถอนให้ใจทิ้งตัดความรำคาญแล้วกดปุ่มสคริปช่วงโฆษณาไร้ค่าตอนนี้เสียที

“หนึ่ง…”

“ฉันทำไม่ได้!”

“สอง...” ผมเพิ่มน้ำหนักมือที่คอคุณโสมซ้ำอีกครั้ง

“ฮืออออออ”

“สาม…”

“ย...อย่า…” ในโลกที่มีแค่ผมกับคุณโสม เสียงนับเลขแค่สามตัวคงจะดังก้องจนหยุดทุกสิ่งรอบตัวไปเสียหมด ผมไม่เห็นอะไรเลยนอกจากปลายกระบอกปืนที่ค่อย ๆ เคลื่อนออกตัวด้วยสองมือที่ทั้งสั่นไหวและไร้ความมั่นคงใด ๆ ภายในใจของคนที่พยายามจะประครองมันก็คงจะไหวสั่นไม่น้อยเช่นกัน ไม่ว่าเกมนรกเกมนี้จะเดินไปในทิศทางใด ในตอนจบก็คงจะมีเพียงเสียงหัวเราะของผมอยู่ดี

“สาม….” จนผมออกเสียงตัวเลขตัวเดิมซ้ำอีกครั้ง

“ค...คุณ!!” ปลายกระบอกอาวุธอันตรายจ่อไปยังคุณอาบวรที่นั่งใจหายอยู่กับพื้น ทุกสายตาจดจ้องไปยังตำแหน่งเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมายเอาไว้ล่วงหน้า แต่ภาพแววตาของตัวผมเองในค่ำคืนเลวร้ายดันย้อนกลับมาจนเกือบเผลอปล่อยตัวเองด่ำดิ่งลงไปกับปมในใจ

“แม่ครับ!”

“คุณโสม...คุณจะ...จะทำอะไร”

“ฮือออออ คุณคะ…. ช่วยฉันด้วย”

“คุณแม่คะ!”

“ปัง…. ปัง!!!” ผมรีบกระซิบเชิงออกให้สั่งให้คุณโสมทำในสิ่งที่ควรทำก่อนที่คนอื่นจะเข้ามายุ่งวุ่นวายจนเสียเรื่อง และเพียงเสี้ยววินาทีต่อจากนั้นเสียงกลไกก็ดังขึ้นสองครั้งติดจนทำให้ผมหัวเราะแบบบ้าคลั่งออกมาไม่หยุด





แกร๊ก!! แกร๊ก!!





“ฮือออออออออ” บรรยากาศทะมึนรอบตัวทำให้ผมสัมผัสได้ว่าคนที่เหนี่ยวไกคงจะโล่งใจที่ไม่ได้มีเสียงดังปังและเขม่าดินปืนพรวยพุ่งออกมา ส่วนคนที่ถูกความตายเข้าจู่โจมก็คงใจหายวูบและรู้สึกถึงการสูญสิ้นชีวิตโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงเขาคนนั้นจะยังมีลมหายใจทั้งที่ไม่สมควรก็ตาม

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ วู้ววววววว” ผมหัวเราะแบบไม่ปล่อยให้ตัวเองอัดอั้น สองมือผลักคุณโสมลงกับพื้น ก่อนจะปรบมือรัวมองเกมสนุก ๆ ของตัวเองอย่างสาแก่ใจ ดู ๆ ไปผมมันก็เหมือนคนเสียสติคนนึงทั้งที่สตินึกคิดผิดชอบชั่วดียังคงมีเต็มร้อย

“นี่มันอะไรกันครับแม่…”

“ค...คุณแม่คะ...ฮืออออ”

“แม่… แม่ไม่มีทางเลือกแล้วลูก ฮืออออออ” เธอปล่อยปืนล่วงลงกับพื้น ก้าวขาถอยตัวหนีอย่างหวาดกลัว ลูกชายและลูกสาวก็ใจหายวูบจนใบหน้าซีดขาวกันไปหมด ขณะที่ผู้เป็นสามีกำลังน้ำตาคลอเบ้าอย่างที่ไม่เข้าใจอะไรเลย และดูท่าว่าไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเวรกรรมอะไรนำพาให้เขาต้องมาเจอเรื่องราวแบบนี้

“ฮือออออ คุณคะ” พอตั้งสติได้คุณโสมก็ถลาเข้ากอดคุณบวรด้วยความเสียใจ ไม่รู้ว่าเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจทำทำลงไป หรือเสียใจเพราะสามียังไม่ตายกันแน่

“นี่… คุณโสม…”

“ฮือออออ ฉันถูกบังคับ ฮืออออ”

“หึ...พูดความจริงสิครับคุณโสม ฮ่า ๆ ๆ ๆ” ผมพูดไปหัวเราะไปด้วยฟิลลิ่งแสนสุข ขยับคอซ้ายขวาไปมาแก้ปวดเมื่อยเมื่อใช้เวลาล็อคตัวคนสองคนเอาไว้เสียนาน เช็ดมีดพกในมือที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความเปรอะเปื้อนกับเสื้อเชิ้ตของตัวเองแล้วโยนมันลงไปกับพื้นเมื่อไร้ประโยชน์ใด ๆ อีกต่อไป

“ฮืออออออ ฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันไม่รู้” คุณบวรเอื้อมมือตบหลังปลอบใจผู้เป็นภรรยา ก่อนจะนิ่งไปเพราะประโยคถัดมาจากผม

“คุณรู้ครับคุณโสมว่าคุณจะต้องทำยังไง… ผมให้โอกาสเลือกแล้วว่าจะยิงตัวเองหรือจะยิงคู่ชีวิต คู่ทุกข์ คู่ยาก… สุดท้ายคุณก็เลือกชีวิตตัวเอง”

“...............” ไม่มีเสียงใดหลุดออกมาจากอาบวร สองมือยังคงกอดภรรยาที่ร้องไห้ตัวโยนเอาไว้นิ่ง ๆ และหลับตาลงราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว

“เป็นไงล่ะครับ รู้สึกยังไงตอนที่โดนเมียตัวเองเอาปืนจ่อยิง... มีภาพอะไรอยู่ในหัวบ้าง ตอบให้ผมชื่นใจหน่อย เพราะว่าพ่อผมไม่เคยมีโอกาสมาบอกความรู้สึกนั้นกับผมเลย”

“ฉันรู้… รู้แล้ว...”

“แล้วมึงล่ะเต็ม….รู้สึกยังไง” เป็นครั้งแรกที่ผมหันไปคุยกับเต็มอย่างตั้งใจหลังจากที่ตวาดให้เจ้าตัวอยู่ในความเงียบมาหลายครั้ง ผมไม่เห็นความรู้สึกสลดใจใด ๆ บนใบหน้ามัน มีเพียงความสับสนทุกข์ใจแสดงออกมาให้เห็นพร้อมหยดน้ำตาเท่านั้น

“กูเสียใจพอช” ร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเข้ามาหาผมเรื่อย ๆ ขณะที่เอมกับน้องต้าค่อย ๆ เข้าไปกอดสองผัวเมียเพื่อปลอบใจหลังโดนเรื่องราวสุดระทึกใจไปหมาด ๆ

“เสียใจแค่ไหนล่ะ” ผมไม่ได้ถอยหนีหรือแสดงท่าทีเจ็บปวดใจใด ๆ มีเพียงสายตาที่รังเกียจเดียดฉันท์เท่านั้นที่ทำให้คนมองอย่างเต็มยอมหยุดยืนก่อนที่จะเข้ามาใกล้ผมเกินความจำเป็น

“ทั้งหมดที่กูทำเพราะว่ากูมันโง่ กูเห็นแก่ตัวที่รั้งมึงไว้ทุกวิธีโดยไม่สนความรู้สึกของมึงเลย…. ทั้งหมดกูเสียใจจริง ๆ”

“กูไม่ได้ถามเรื่องนั้น!! กูถามว่ามึงรู้สึกยังไงที่มึงเห็นแม่มึงจะฆ่าพ่อมึงตายต่อหน้าต่อตา!!!” ผมพุ่งตัวเข้ากระชากคอเสื้อเต็มเอาไว้ในมือ แรงที่เกินขีดจำกัดทำให้เรียวเล็บทะลุผ่านเนื้อผ้ายับย่นจนผมรู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือของตนเอง

“กูเสียใจ…”

“พอ.......” ผมกัดฟันกรอดเพราะเริ่มหงุดหงุดที่คนตรงหน้าพูดคำ ๆ เดิมซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาคมจ้องมองผมและเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดขัดกันกับน้ำเสียงหนักแน่นที่ยิ่งฟังก็ยิ่งทำให้ผมโมโห

“กูเสียใจพอช…”

“มึงหยุดพูดคำนี้ได้แล้ว”

“กูเสียใจที่การที่กูอยากจะมีมึงอยู่ใกล้ ๆ ยิ่งทำให้เรายิ่งห่างกันออกไปทุกที… กูเสียใจที่กูทำเรื่องโง่ ๆ ฮึก กูทำเรื่องโง่ ๆ กับมึงมาตลอด ...พอช กูขอโทษ” ผมยอมรับว่าท่าทีของตนเองเปลี่ยนไปเมื่อเห็นคนตรงหน้าสะอึกสะอื้นราวกับเด็ก ๆ ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะทิ้งน้ำหนักตัวเองลงกับมือผม จนแรงที่คิดว่ามากพอไม่อาจรั้งร่างที่สูงกว่าเอาไว้ได้ เต็มทรุดลงไปคุกเข่าตรงหน้าผม ขณะที่ผมก็เริ่มจะกำมือที่พึ่งปล่อยคอเสื้อของอีกฝ่ายแน่นจนเห็นรอยเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา

“หยุดพร่ำพรรณาเรื่องที่มันไร้ประโยชน์เถอะว่ะ มึงก็รู้ว่าวินาทีนี้กูคงไม่ลดตัวลงไปโง่กับมึงแล้ว” ผมโน้มตัวลงไปมองแววตาคนที่กลับกลายเป็นอ่อนแอให้เต็มตา ก่อนจะเคลื่อนไปมองสมาชิกครอบครัวแสนสุขในบ้านหลังนี้เป็นครั้งสุดท้าย

“ถ้ากูย้อนเวลากลับไปได้...ฮึก...”

“เหอะ...ซึ่งมึงทำไม่ได้” ผมจิปากอย่างรำคาญใจ ยกนิ้วชี้ขึ้นสัมผัสที่กึ่งกลางหน้าผากเต็มก่อนจะกดเต็มแรงอย่างเหนือกว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ตั้งแต่เกิดมา ตั้งแต่โตมา ตั้งแต่ผมยืนยันว่าตัวเองหลงผิดไปรักมัน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าสมองของตนเองอยู่เหนือทุกความรู้สึกใด ๆ

“ถ้ากูทำได้กูจะบอกตัวเองให้ปล่อยมึงไป กูจะไม่รั้งมึงไว้เลยพอช…”

“หรอ… แต่ถ้าเป็นกู กูคงไม่ย้อนเวลากลับไปทำอะไรหรอกว่ะ เพราะอะไรรู้มั้ย ...เพราะกูจะได้เรียนรู้ว่าความรักจากมึงมันเลวร้ายยังไง” ลมหายใจจากอากาศที่กรุ่นไปด้วยความเกลียดถูกสูดเข้าปอดเฮือกใหญ่ ผมยิ้มส่งท้ายให้กับความหลงผิดโง่เง่าก่อนจะเดินไปหยิบแผ่นกระดาษที่มีร่องรอยขีดเขียนตรงหน้าคนกลุ่มนึง

“ทำไมพี่พอชทำกับทุกคนแบบนี้…” ระหว่างที่ผมหยิบกระดาษพวกนี้ขึ้นมาพิจารณา เสียงของน้องต้าก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองด้วยใจรังเกียจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับเธอมาก่อน

“แล้วทำไมทุกคนทำกับพี่แบบนั้นล่ะคะ…”

“ต้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่พอชกลับมาเป็นพี่พอชของต้าไม่ได้แล้วหรอคะ” ผมอยากจะตอบออกไปเหลือเกินว่าคงไม่ได้ ถ้าตราบใดเธอยังคงปล่อยให้พี่สะใภ้คนดีโอบกอดปลอบประโลม ตราบใดที่เธอไม่เคยเข้าใจความเจ็บปวดที่หล่อหลอมให้ผมเป็นแบบนี้ เธอก็จะไม่มีวันได้ตัวผมที่จอมปลอมคนเดิมกลับคืนไป

“ต้า… จำภาพที่คุณพ่อของต้ากำลังจะถูกยิงเอาไว้ให้ดี ๆ จำภาพใจสลายเอาไว้ให้ขึ้นใจ นั่นแหละเศษเสี้ยวของสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ ...ส่วนคุณอา ขอให้รักยืนยาวกับคนที่รักคุณอาจนลั่นไกปืนใส่นะครับ” ทำไมผมจะไม่รู้ว่าดวงตาคู่นั้นพะอืดพะอมสับสนกับอ้อมกอดของภรรยาตัวเองมากแค่ไหน ร่างกายแข็งทื่อนั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกรังเกียจ ใครกันล่ะ ใครที่จะสุขใจกับสัมผัสจากคนที่คิดจะยิงตัวเองโดยไม่ลังเล ใครกันจะสนิทใจกับคนที่แสดงออกชัดว่ารักตัวเองมากกว่า

“ใจร้ายเกินไปแล้วนะพอช…”

“เราก็ร้ายเสมอต้นเสมอตายแบบนี้แหละเอม ว่าแต่ตัวเธอเองเถอะ จะอดทนตอแหลได้จนถึงวันที่ลูกคลอดรึเปล่า ...ถ้ามันมีโอกาสได้เกิดมาน่ะนะ” ผมเน้นเสียงคำว่ามันขณะที่เหลือบตาลงไปมองที่ช่วงท้องที่ยังคงราบเรียบของเธอ คงเปล่าประโยชน์ถ้าผมยังคงให้ความสนใจกับคนที่ไม่มีประโยชน์กับชีวิตอีกต่อไป เมื่อผมไม่ต้องการเต็มแล้วเอมเองก็คงไม่ใช่คนที่ผมควรให้ความสนใจจนเสียเวลาชีวิต แม้ว่าใจจะยังเกลียดแค่ไหน สิ่งดี ๆ สิ่งเดียวที่ผมทำให้เธอได้ก็คงแค่การสาปแช่งเด็กตัวเล็ก ๆ ที่คงจะเป็นแก้วตาดวงใจของเธอในอนาคตเท่านั้น





คำสาปแช่งของผมมันอาจจะไม่ได้รุนแรงและไม่ได้เกิดผลดังใจ แต่ผมเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่กำลังรวมตัวจากก้อนเลือดจะได้ยินและจดจำคำพูดของผมเอาไว้





“ถ้าไม่สำลักความเลวของพ่อกับแม่ตายในท้องไปซะก่อน ก็ขอให้เกิดมาพ่อไม่รักนะเด็กน้อย… แต่ถ้าพ่อเขาคิดจะพิศวาสรักหนูขึ้นมา… ก็ขอให้แลกกับการที่ทั้งครอบครัวต้องพินาศไม่มีชิ้นดี ...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ล่วงหน้านะ ...ตัวเล็ก”









50%





เต็ม เตวิน





บางครั้งเรื่องราวหนักหนาก็ถาโถมเข้ามาหาเราโดยไม่ทันตั้งตัว ดังเช่นผมที่กำลังเจอปัญหาใหญ่ที่สุดในชีวิต ผมเผลอทำร้ายคนคนนึงหลายต่อหลายครั้งจนจิตใจของอีกฝ่ายพังทลายไม่มีชิ้นดี ขณะเดียวกันหัวใจของผมมันก็ยับเยินไม่ต่างกัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าทำให้ผมไม่อาจมองผลลัพธ์ในทางที่ดีทางใดได้อีก ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากผมอย่างไม่มีข้อโต้เถียง ทั้งเรื่องที่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ของผมกับพอชดำเนินไปจนยากที่จะย้อนกลับ ทั้งเรื่องพฤติกรรมเห็นแก่ตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ไหนจะเรื่องที่ผมโกหก ผิดสัญญา และทำให้พอชเจ็บปวดซ้ำ ๆ โดยใช้คำว่ารักของตัวเองเข้ามาบังหน้า ที่ผมร้องไห้อย่างไม่อายอยู่ตอนนี้ก็เพราะความรู้สึกอับจนหนทาง และไม่อาจดิ้นหนีความจริงที่ผมไม่สามารถรั้งพอชเอาไว้ได้อีก





ผมไม่ได้อยากยอมแพ้ ไม่ได้อยากเสียพอชไป ...ไม่เลย





“รู้อะไรมั้ยต้า เมื่อกี้พี่ให้แม่ต้าเลือกยิงตัวเองแค่ครั้งเดียวแต่เธอก็ดันไม่เสี่ยง… โชคดีแค่ไหนแล้วที่กระสุนลูกเดียวที่เหลือมันไม่ลั่นดังปังแล้ว…… ปิ้ววววว มาเข้าตรงนี้ ฮา ๆ ๆ” พอชพับนิ้วให้เป็นรูปปืนก่อนจะเคลื่อนไหวซ้ายขวาไปมาบนอากาศแล้วสัมผัสปลายนิ้วนิ่ง ๆ ที่หน้าผากของพ่อผม แววตา การกระทำ ทุกอย่างที่เป็นตัวพอชตอนนี้มันไร้ความเคารพยำเกรงโดยสิ้นเชิง แต่ก็แปลกดีที่ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองการกระทำอุกอาจร้ายกาจเกินจะคาดเดา หนึ่งสิ่งที่ผมรู้สึกกับคนสองกลุ่ม คือเป็นห่วงทุกคนในครอบครัว และเป็นห่วงในสิ่งที่ไม่น่าห่วงอย่างความรู้สึกของพอชเท่านั้น

“พอได้แล้วค่ะพี่พอช...ฮือออ” ผมมองภาพน้องสาวตัวเองร้องไห้ยกสองมือขึ้นปิดหูโดยไม่คิดจะทำอะไรซักอย่าง ก่อนจะปรายตาไปมองปืนเจ้าปัญหาที่วางอยู่กับพื้น ไม่รู้เหมือนกันว่าความอึดอัดในสมองตอนนี้มันคืออะไร ผมรับรู้แค่ว่าผมเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ผมเป็นคนทำให้พอชที่กลัวเสียงปืนยิ่งกว่าอะไรลุกขึ้นมาคว้าปืนเป็นเครื่องต่อรองเกมชีวิตโดยไม่เกรงกลัว

“ฝากดูแลทุกคนที่นี่ด้วยนะเอม ...ปอกลอกอย่าให้เหลือล่ะ ออ… ส่วนที่เราอวยพรเรื่องเจ้าตัวเล็ก อย่าลืมย้ำให้เขาฟังทุกคืนก่อนนอนนะ” ภาพความจริงตรงหน้าผมมันเลือนลางขึ้นทุกที ความเครียด ความกดดันทำให้สมองผมเต้นตุบ ๆ และมองภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด พอชกำลังเดินผ่านหน้าผมไปพร้อมแผ่นกระดาษในมือ สายตารังเกียจนั่นบาดลึกจนผมอยากจะดิ้นลงไปตายเสียตรงหน้า ผมมองภาพนั้นได้ไม่นานก็ต้องหลับตาลงสบัดหัวไปมา เพื่อหวังให้ความปวดที่ขมับสองข้างจางลงไปบ้าง แต่เปล่าเลย… เพราะเสียงฝีเท้าที่วนกลับมาหยุดตรงหน้าและเสียงหัวเราะร่ายิ่งทำให้ผมเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม

“กูรักมึงมาตั้งนานจะไม่ร่ำลากันซักหน่อยก็คงจะแปลก ๆ …”

“...........” พอชโน้มตัวลงมาหาผมที่นั่งอยู่กับพื้น ระยะที่ใบหน้าเราห่างกันไม่ถึงห้าเซนติเมตรทำให้แววตาคมเฉียบบาดลึกจนผมพูดอะไรไม่ออก

“จำกูไว้นะเต็ม อย่าลืมกู ...แล้วถ้าครอบครัวมึงจะพินาศมากกว่านี้ในอนาคต ...ก็ถือซะว่ากูเหลือไว้ให้เป็นที่ระลึก”

“กูขอโทษ…” ผมรู้ว่าคำขอโทษมันงี่เง่าแบะไร้ประโยชน์ แต่สำหรับคนที่มาถึงทางตันก็คงไม่ได้มีทางเลือกมากนัก

“อยากให้กูยกโทษให้มากมั้ยล่ะ นู้น…. ปืนยังเหลือนัดสุดท้าย สนใจจะเล่นเกมกันดูมั้ย” ดวงหน้าเจ้าเล่ห์หันไปทางที่ปืนวางอยู่ ผมยกยิ้มมุมปากเพราะรู้ดีว่าต่อให้ผมเล่นตามเกมตามใจพอช สุดท้ายแล้วผมก็จะไม่ได้รับการอภัยใด ๆ อยู่ดี ...แต่ก็คงอย่างว่า ผมไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก

“ตามแต่ใจมึงต้องการเลยพอช” ผมไม่ได้ฟัง ไม่ได้สนใจประโยคยาวเหยียดที่พอชพูดต่อมาแม้แต่คำเดียว พอตั้งสติได้ทั้งที่ความคิดในสมองยังวิ่งชนกันตุบตับ ร่างกายหนัก ๆ ก็ยันตัวเองลุกขึ้นก้าวไม่กี่ก้าวแล้วคว้าปืนเอาไว้ในมือ ผมหันไปมองคนที่ยังมีดวงตาฉายแววร้ายแล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอีกครั้ง ผมรักพอช ผมไม่อาจหาคำแก้ตัวใด ๆ ที่เหมาะสมมากกว่าไปผมรักพอช ผมรักคนที่ผมทำร้าย ผมรักคนที่ทำร้ายคนในครอบครัวผม ผมรักคนที่ยังพูดไม่หยุดและเดินกอดอกอย่างเหนือกว่าเขามาหาผมเรื่อย ๆ มันอาจจะดูเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น แต่สำหรับคนคนนึงคงไม่มีอะไรงี่เง่าไปได้มากกว่าความรักอีกแล้ว





แกร๊ก!!





ทันทีที่ปืนถูกยกขึ้นจ่อขมับของตัวเองเรียวนิ้วของผมมันก็กดลั่นไกในทันที แต่เปล่าเลย… ไม่มีสัมผัสที่รู้สึกเจ็บหรือกลิ่นคาวเลือดใด ๆ หลุดออกมาตัดสติสัมปชัญญะผม มีเพียงเสียงกรีดร้องของคนรอบตัวที่ร้องโฮขึ้นมาราวกับผมทำเรื่องที่มันเหนือธรรมชาติ ส่วนคนที่อยู่ในสายตาผมตลอดเวลากลับทำเพียงจดจ้องการกระทำของผมนิ่ง ๆ แล้วกำมือแน่นจนแผ่นกระดาษในมือเริ่มยับย่น

“ว้าว จบแบบนี้มันก็ดีเหมือนกันนะ”

“..........” ถ้าผมมองไม่ผิดเสี้ยวหนึ่งของแววตาพอชมันหลุดจากความแข็งกร้าวออกมาตัดพ้อผม ผมไม่เข้าใจความหมายสายตาที่มองมาซักนิด ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าในนัดที่ปืนควรจะคร่าชีวิตใครซักคน แต่ทำไมผมยังคงยืนนิ่งงันอยู่ตรงนี้

“ไม่ต้องตีหน้างงหรอก… มึงมันก็โง่เสมอต้นเสมอปลายอยู่แล้วเต็ม โง่เหมือนทุกคนในบ้านมึงนั่นแหละ ถ้าฉลาดนับลูกปืนซักหน่อยก็น่าจะรู้แล้วว่าปืนนั่นมันไม่มีลูกตั้งแต่แรก… แต่ช่างมันเถอะ เพราะกูก็ไม่คิดว่าเกมคู่ลูกจะซึ้งใจกว่าคู่พ่อแม่ตั้งเยอะ รู้งี้เล่นสนุกกับมึงตั้งแต่แรกดีกว่า… ยิ่งตอกย้ำยิ่งรู้สึกว่าเจ็บดี” ก็คงจริงอย่างที่พอชพูด ผมมันโง่เสมอต้นเสมอปลายไม่เคยเปลี่ยน โง่แม้กระทั่งคิดทำร้ายตัวเองจนกระทั่งวินาทีที่ยังยืนหายใจอยู่ตอนนี้ก็ตาม

“วรรณ!!! เรียกรถพยาบาล!!” เสียงของพ่อทำให้ผมต้องดึงสติกลับมาในโลกความจริง เรียวนิ้วที่เคยลั่นไกยกขึ้นปาดน้ำตาตัวเองที่ไหลไม่หยุด พอชก้าวยาวออกไปไกลสายตาผมเรื่อย ๆ ขณะที่คนอื่น ๆ วิ่งกรูเข้ามาสวมกอดผมไว้แน่น เคยได้ยินว่าอ้อมกอดของคนในครอบครัวอบอุ่นที่สุด แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกหนาวเย็นราวกับไม่ได้เติบโตมาพร้อมครอบครัวนี้ บางทีครอบครัวและความอบอุ่นทั้งหมดของผมอาจจะถูกคนที่เดินจากพรากไปหมดแล้วก็ได้

“ทำไมเมื่อกี้ทำอะไรแบบนั้นล่ะลูก แม่ใจเสียหมดเลยรู้มั้ย ฮือออ”

“เลิกร้องไห้ได้แล้วคุณ เต็มดูน้องก่อน น้องจะไม่ไหวอยู่แล้ว!” ผมเคลื่อนสายตาลงมามองน้องสาวที่สวมกอดช่วงเอวด้วยท่าทางอิดโรย ผมพยายามบังคับสองแขนแข็ง ๆ ประครองน้องสาวตัวเองไว้ สีหน้าที่ต้าเงยหน้าขึ้นมามองยิ่งทำให้รู้สึกปวดหัวจนอยากจะทุบให้แตก ๆ ไปเสียที





ยิ่งตอกย้ำยิ่งรู้สึกว่าเจ็บดี





“ต้า… เมื่อกี้ก่อนที่พี่จะยิง… ต้าได้ยินมั้ยว่าพอชเขาพูดอะไร” จู่ ๆ ประโยคสุดท้ายที่พอชพูดกับผมก็ฉุกให้คิดได้ขึ้นมา บางทีความโง่ของผมอีกข้ออาจจะเป็นการที่ไม่ยอมฟังกติกาจนจบก็ได้

“ถามอะไรน้องเนี่ย แกเลิกงมงายกับมันไดเแล้ว!!”

“พ่อเงียบไปเลยน่า!!” ผมสะบัดแขนให้ทั้งพ่อ ทั้งแม่ และทั้งเอมออกห่างจากอาณาเขตความรู้สึก ตอนนี้คงจะมีเพียงแค่ต้าในอ้อมกอดเท่านั้นที่จะประครองให้ผมยังคงยืนอยู่

“พี่พอช… พี่พอชให้พี่เต็มเลือกยิงตัวเองเพื่อพี่เอมค่ะ... แต่ถ้าพี่เต็มรักพี่พอชจริง ๆ ก...ก็ขอให้พี่เต็มหันไปยิงพี่พอชซะ...” เสียงสั่น ๆ ของต้าทำให้ผมผละน้องสาวออกแล้วพาตัวเองกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาอย่างทุลักทุเล อันที่จริงไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะต้องไล่ตามพอชอีก แต่ความโง่เง่าครั้งสุดท้ายมันบอกผมว่าไม่ควรปล่อยให้เกมจบลงทั้งที่ผมทำผิดกติกา





ที่ผมตัดสินใจยิงตัวเองนั่นก็เพราะผมรักพอชต่างหาก

คนอย่างผมมันโคตรบัดซบใช่มั้ยล่ะ?





“พอช… พอช!!” ผมตะโกนออกไปเพื่อรั้งคนที่คิดว่าน่าจะเดินจากไปไกล แต่ก็นับว่าโชคดีที่ตอนนี้พอชถูกรั้งไว้ด้วยคนสอบคนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดี หนึ่งคุณภากรที่ผมไม่เคยถูกชะตา สองพี่พีทที่ผมยังจำสีหน้าโกรธแค้นของเขาได้ไม่มีลืม สองคนนั่นไม่ได้มีสีหน้าที่แตกต่างกันซักเท่าไหร่ พวกเขาดูผิดหวัง เสียใจ และคงจะมีความรู้สึกผิดเข้ามาร่วมด้วย ระหว่างที่พอชกำลังยิ้มร่ามีความสุขแล้วโปรยแผ่นกระดาษที่ถูกฉีกจนเหลือแต่เศษขึ้นฟ้าราวกับไม่มีค่าอะไร

“กร! ปล่อยพีท! พอชจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”

“ปล่อยน้องไปก่อนเถอะน่า ตั้งสติก่อนพีท!”

“มันไม่เคยรู้อะไรเลยว่าพีทพยายามมามากแค่ไหน โอกาสมีมากถึงขนาดนี้แต่มันจะไม่เอาอะไรเลยเนี่ยนะกร! คิดอะไรอยู่พอช!! คิดอะไรอยู่!! บอกพี่มาสิ!!” พี่พีทคว้าต้นแขนของพอชเอาไว้แน่น ระหว่างที่ผมกำลังเดินเข้าไปใกล้ทุกคนตรงนั้นเรื่อย ๆ

“ก็แค่กำลังคิดว่าพวกคุณมันไร้สาระสิ้นดี” พอชยังคงยิ้มและติดหัวเราะขัดกันกับอารมณ์ของคู่สนทนา จนกระทั่งเสี้ยวนึงของหางตาพอชหันมาเห็นผมรอยยิ้มเย็นยะเยือกเมื่อครู่ก็แปลเปลี่ยนเป็นความเบื่อหน่ายและพร้อมจะหลีกหนีผมในทุกวินาที

“พอช… ขอกูพูด…”

“โอ๊ย ทำไมถึงมีแต่เรื่องน่าเบื่อนักวะ” พอชสะบัดตัวหนีจนทำให้ผมต้องเร่งฝีเท้าหวังจะพุ่งเข้าไปรั้งเจ้าตัวไว้ได้ซักนาที แต่กลายเป็นว่าคนที่ยังอารมณ์ครุกกรุ่นอยู่อย่างพี่พีทเข้ามาขวางทางจนลมหายใจของผมเริ่มติดขัดและอึดอัดในสมองยิ่งกว่าเดิม

“จะมายุ่งอะไรกับน้องกูอีกห่ะ!”

“ผ….ผมขอนะพี่ ...พี่พีท ...ผมขอ” ผมเริ่มพูดติดขัดขึ้นเรื่อย ๆ อาจจะด้วยความเครียดหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผมปวดหัวอยู่ตอนนี้

“แค่นี้พอชมันยังเจ็บไม่พอรึไงวะ!!” พี่พีทผลักอกผมเต็มแรง ผมมองผ่านร่างเขาไปก็เห็นพอชเดินจนแทบจะถึงรถอยู่แล้ว จู่ ๆ น้ำตามันก็รื้นขึ้นมาอีก นี่อาจจะโอกาสสุดท้ายของผมแล้วก็ได้

“พีท! ปล่อยให้เขาไปคุยกัน”

“กร!”

“ไปสิ!” คุณกรที่ผมเคยนึกเกลียดรั้งพี่พีทไปไว้กับอก เมื่อหนทางสะดวกผมก็รีบวิ่งสาวเท้าจนคว้าเรียวมือที่เคยอยากจะปกป้องเอาไว้ได้ในที่สุด อันที่จริงผมอยากจะหยุดยืนนิ่ง ๆ ให้หายหอบเหนื่อยแต่จากสีหน้าแต่แววตาของคนตรงหน้าผมคงไม่มีเวลามากพอที่จะทำเรื่องแบบนั้น





พอชกำลังเกลียดผมแบบที่เขาพูดจริง ๆ





“พอช…”

“ปล่อย”

“กูอยากจะพูดอีกครั้งนึง… ว่ากูเสียใจจริง ๆ ที่เรื่องของเรามันเป็นแบบนี้”

“เลิกคุยเถอะ… เพราะว่าคนที่เสียใจมันเป็นกู ไม่ใช่มึง” พอชพยายามจะดึงมือออก แต่ผมกลับจับมันให้แน่นขึ้นแล้วดึงมันเข้าหาตัวด้วยแรงทั้งหมดที่มี ผมบังคับพอชให้สัมผัสแรงเต้นของหัวใจที่มีจังหวะช้าลงทุกที แม้ว่าตอนนี้ความรู้สึกใด ๆ จะไม่อาจส่งถึงพอชได้อีกต่อไป แต่หยดน้ำตาผมที่ไหลอาบแก้มหยดลงบนฝ่ามือพอชอาจจะช่วยบอกคนคนนี้ได้บ้าง ...ว่าผมกำลังเจ็บปวดเสียใจกับการกระทำของตัวเองจริง ๆ

“ที่กูยิงตัวเอง… เพราะว่ากูรักมึงพอช ที่กูอยากจะตาย ๆ ไปซะไม่ใช่เพราะปกป้องเอม แต่เพราะกูจะไม่มีวันทำร้ายมึงอีก และกูต้องการปกป้องตัวเองในวันที่จะไม่มีมึง ...กูรักมึง ...กูรักมึง” สีหน้านิ่งเฉียบเย็นชามันลุกเกินกว่าที่ผมจะคาดเดา รอยยิ้มยกเล็ก ๆ ที่มุมปากก็ไม่อาจช่วยให้ผมกระจ่างใจได้เช่นกัน จนกระทั่งเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินจากพอชจะทำให้ผมเข้าใจทุกอย่างและเข้าใจตัวเองดี





“หรอ… ถ้างั้นก็ไปตายซะสิ”





สุดท้ายแล้วพอหัวใจเหนื่อยที่จะรั้ง ผมก็ต้องปล่อยให้พอชจากไปตามที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก ความพยายามที่มันทุลักทุเลจะให้ผลลัพธ์แบบนี้ก็คงไม่แปลกอะไรนัก ระหว่างที่ดวงตาสองข้างมองตามตัวรถค่อย ๆ เคลื่อนออกไป สองมือผมก็กำลังจัดการกับของที่หยิบติดมือมาตั้งแต่แรก รวมไปถึงของอีกสิ่งที่ผมก้มเก็บเอาไว้ ก่อนที่จะวิ่งออกมาเพื่อตามคนที่ไม่อาจจะหวนคืน





หากขออะไรซักอย่างในอนาคตได้

ผมอยากขอให้พอชกับผมกลับไปเป็นเหมือนในอดีต

















ปั้ง!!!!!!!













เอี๊ยดดดดดดด!! เสียงปังสะท้านเล่นเอาใจคนที่นั่งอยู่ในรถเต้นรัวจนแทบทะลุออกมานอกอก พอชเหยียบเบรคกระทันหันเมื่อได้ยินเสียงอาวุธที่ยังคงจำได้ขึ้นใจ เหงื่อเปียกชื้นเริ่มผุดขึ้นมาบริเวณฝ่ามือที่เจ้าตัวกำพวงมาลัยรถเอาไว้แน่น ร่างกายสั่นเทาไม่อาจสั่งให้ตัวเองหันกลับไปมองเหตุการณ์ด้านหลัง และในขณะเดียวกันก็ยากเหลือเกินที่จะสั่งให้ตัวเองเดินหน้าต่อไปทั้งที่ความกลัวกำลังเข้าครอบงำจิตใจ





“โง่!! โง่ตั้งแต่ต้นยันจบ!!” น้ำตาไหลผ่านขอบตาร้อนผ่าวอย่างที่ไม่อาจห้ามเอาไว้ได้อยู่ พอชกำลังสั่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาเผลอมองกระจกมองข้างขณะที่สายตาหลุกหลิกไปมา ภาพใครคนนึงแน่นิ่งอยู่กับพื้นมันชัดเกินว่าจะจินตนาการเป็นภาพชวนฝันใด ๆ





จนวินาทีนี้มึงก็ยังโกหก

ไหนว่าจะไม่มีวันทำร้ายกูอีกไง






ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Chapter 24 จบบริบูรณ์

“At least nobody got hurt ….”

“..........”

“Poche , Do you hear me?”

“Sorry guy , I'm absentminded today” ผมถูกเพื่อนร่วมงานสะกิดแรง ๆ ที่หัวไหล่เมื่อเผลอเหม่อลอยระหว่างดูข่าวอาชญากรรมกลางเมืองใหญ่ เมื่อครู่ผมก็แต่เผลอคิดตามเนื้อข่าวที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อออนไลน์ นับว่าโชคดีที่เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บนอกจากเจ้าตัวผู้ก่อเหตุ แต่การที่ชายคนนั้นหันปลายกระปอกปืนเข้าหาตัวเองมันคงไม่ใช่เรื่องที่จะนับเป็นโชคดี...เพราะงั้นประโยคที่เอเว่นว่า อย่างน้อยก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ จึงไม่เรื่องที่ถูกต้องสำหรับผมเท่าไหร่นัก

“Not today , you always zone out , dude” อาจจริงอย่างที่เขาว่าไม่ใช่แค่วันนี้ที่ผมเผลอปล่อยใจให้เหม่อลอยล่องไปในอากาศ ตลอดเวลาที่ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่บ่อยครั้งนักที่เผลอยิ้มตามหรือตีหน้าเศร้าไปกับเรื่องในหัว มันก็คงเป็นเรื่องปกติของคนเรานั่นแหละครับ ตราบใดที่ไม่ได้ความจำเสื่อม เรื่องราวทุกอย่างในชีวิตก็จะติดตามเราไปจนตาย

“Really? ,I must have done it subconsciously” ผมตอบหน้าตายว่าที่ไอ้อาการเหม่อลอยที่เอเว่นเห็นมันก็แค่สิ่งที่ผมแสดงออกไปโดยไม่รู้ตัว

“I told you so! ,You should not smile like this!” ดูท่าเอเว่นจะหงุดหงิดกับรอยยิ้มร้าย ๆ ซิคเนเจอร์ของผมจนออกท่าทางออกทาง แต่ผมสนใจที่ไหนกัน นอกจากจะยิ้มให้เขาดูชัด ๆ แล้วยังแถมการยักคิ้วไปให้อีกหนึ่ง ก่อนที่จะคว้าแทบเล็ตข้างตัวลุกหนีออกไปทำงานที่ควรทำซักที

ร้านช็อคโกแลตเล็ก ๆ กลางกรุงซิดนีย์เป็นทั้งบ้านทั้งที่ทำงานและเพื่อนแก้เหงาของผม ผมมาอยู่ที่นี่ได้ด้วยการช่วยเหลือของเอเว่นหุ้นส่วนรายใหญ่ของร้านนี้ และแน่นอนคนอย่างผมคงไม่ก้มหัวเป็นลูกจ้างใคร แต่ก็ต้องรับสภาพการเป็นหุ้นส่วนรายยิบย่อยที่ได้เงินปันผลน้อยราวกับเงินเดือนลูกจ้าง

ผมเกลียดขนมหวาน และเกลียดงานบริการอย่างกับอะไรดี แต่ผมตรัสรู้แล้วว่าคนเราคงไม่ได้มีทางเลือกมากมายอะไรนัก ผมเจอเอเว่นเพื่อนร่วมชั้นปีสมัยเรียนอย่างบังเอิญที่ฮ่องกง พร้อมกับขณะนั้นเงินเก็บก้อนสุดท้ายในบัญชีมันบอกผมว่าควรจะทำอะไรซักอย่างก่อนที่ตัวเองจะอดตาย





ไม่ต้องงงนะครับ

ผมเจเอเว่นที่ฮ่องกง

และตอนนี้ผมใช้ชีวิตอยู่ที่ซิดนีย์





เรื่องราวมันเป็นมายังไงน่ะหรอ

จะให้ผมเริ่มเล่าย้อนตั้งแต่ตอนไหนดีล่ะครับ

เพราะนั่นมันก็ 4 ปี 4 เดือน กับอีก 13 วันผ่านมาแล้ว





หลังจากเล่นเกมสนุก ๆ จนสาแก่ใจ ก็ดูเหมือนว่าพี่ชายของผมและตัวผมเองจะเริ่มเรียนรู้ว่าเราสองคนนั้นเหมือนกันแค่ไหน เราสองคนต่างมีความร้ายกาจอยู่ในตัวไม่ต่างกัน การที่ผมฉีกเอกสารที่อาจจะทำให้ครอบครัวเราผงาดขึ้นมาอีกครั้งต่อหน้าต่อตา ทำให้พี่พีทปรี๊ดแตกที่ผมทำตัวเหมือนคนไม่มีสมอง แต่มันก็จริงนะครับ… เพราะว่าผมทำแบบนั้นลงไปก็เพื่อความสะใจ และเพื่อปั่นหัวพี่พีทเล่นบ้างก็เท่านั้น ไม่ได้ใช้สมองส่วนไหนเลยซักนิด





“คุณดูสิ...ว่าผมได้อะไรมา”

“พอช! ในที่สุดพอชก็ทำได้...”

“คุณดีใจมากหรอ”

“ดีใจสิ นี่ทันคือสิ่งที่พี่พยายามมาตลอดหลายปี เรากำลังจะได้ทุกอย่างที่เป็นของเราคืนมาแล้วนะพอช”

“ไม่คิดเลยว่าแค่กระดาษแผ่นสองแผ่นจะทำให้หัวขโมยลิงโลดได้ขนาดนี้ ถ้าดีใจขนาดนี้ ...เรียนรู้การเป็นหมากตัวนึงในเกมบ้างนะครับ ...คุณพีท”





อันที่จริงอาจจะเพราะผมไม่เคยอยากได้ของของใคร ผมไม่ชอบการเป็นหัวขโมยเพราะรู้ดีว่าคนที่เป็นฝ่ายสูญเสียจะเจ็บปวดแค่ไหน สิ่งที่คุณอาบวรสร้างมากับสิ่งที่เขาทำลายลงไปมันคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง บริษัทของพ่อในวันนั้นไม่อาจเทียบความยิ่งใหญ่ของบริษัทอาบวรในวันนี้ได้เลยด้วยซ้ำ จากสายตาทั้งหมดที่อาบวรมองผมในวันนั้น ผมเชื่อว่าซักวันหรืออาจจะวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ทุกอย่างจะตอบแทนเขาเองโดยที่ผมไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลย





การเล่นสงครามประสาทมันจะทำให้เกิดความพินาศโดยที่ผมอยู่ในสถานะที่เป็นเพียงผู้ชม





ต่อให้วันนั้นผมให้เอกสารพวกนั้นกับพี่พีทไป ต่อให้พี่พีทจัดการต่อจนเอกสารการโอนหุ้นเสร็จสมบูรณ์ คิดหรอว่าเรื่องราวมันจะจบลงง่าย ๆ และแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตเหมือนในละคร เชื่อเถอะ ว่าเรื่องราวมันจะวุ่นวายเสียยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายการเอาคืนจะถูกเวียนวนกลับมาไม่รู้จบ ผมไม่ใช่พ่อพระที่ปรงตกและบรรลุถึงสัจธรรม แต่แค่รู้สึกว่าถ้าเรื่องมันเป็นแบบนั้นโดยที่ผมมีส่วนพัวพันมันก็คงน่ารำคาญสิ้นดี

ผมตัดสินใจทิ้งรถพี่กรเอาไว้ไม่ไกลจากที่นั่นนัก กระเป๋าใบเดียวถูกย้ายขึ้นรถแท็คซี่พร้อมรอยยิ้มที่ไม่สามารถหุบเอาไว้ได้อยู่ วินาทีนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองคงจะต้องเข้าพบจิตแพทย์ ผมยิ้มออกมาทั้งที่ใจมันแหลกเหลว หัวเราะไม่เป็นภาษาทั้งที่น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ความหวาดกลัว หวาดหวั่น ถาโถมเข้ามาจนปฏิดสธไม่ได้ว่าผมกำลังเสียใจ และกลัวว่าจะเสียใครคนนึงจากโลกนี้ไป

สนามบินคือสถานที่ที่ผมเดินทางมาถึง อันที่จริงผมไม่ได้มีจุดหมายหรือปลายทางที่ชัดเจนแน่นอนในหัวเลยซักนิด ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คงจะเป็นไฟล์ทบินที่เร็วที่สุดที่วีซ่าในเล่มพาสปอร์ตและเงินของผมมันเอื้ออำนวย ผมไม่ได้หนีเพราะผมยังเชื่อมั่นว่าตนเองไม่ได้มีความผิด แต่ผมอยากออกไปจากสังคมและบรรยากาศที่คุ้นเคย





‘คลิปเสียงที่อาบวรรับสารภาพ’

‘จะทำอะไรก็ทำ’

‘ฝากลาแฟนพี่ด้วย โชคดี’





ผมส่งคลิปเสียงที่อัดเอาไว้ตลอดเหตุการณ์ลุ้นระทึกไปให้พี่กร ก่อนจะตัดสินใจลบทุกโปรแกรมแชททิ้ง ตามด้วยถอดซิมการ์ดลงถังขยะ ผมคงไม่อาจหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้ สิ่งที่ผมทำมันก็แค่อิสระภาพ ณ ตอนนั้น เวลานั้นเท่านั้น ฟังดูอาจจะโหดร้ายกับคนอื่นและดูเหมือนว่าผมจะตัดจากทุกสิ่งง่ายเกินไปหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าความอึดอัดในใจตลอดเวลาที่บินอยู่เหนือน่านฟ้ามันทรมานแค่ไหน ผมเฝ้าภาวนาทุกวินาทีให้ตื่นลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความสุขที่ไหนซักที ที่ไหนก็ได้ที่ผมจะไม่รู้สึกกระวนกระวายใจเหมือนตายไปแล้วทั้งเป็น

นักท่องเที่ยวจำเป็นอย่างผมใช้ชีวิตไร้ปลายทางที่ฮ่องกงอยู่ได้ไม่ถึงสัปดาห์ ‘เอเว่น’ เพื่อนร่วมเมเจอร์สมัยเรียนที่ผมไม่เคยคิดจะคบค้าสมาคมก็เข้ามาทักทายระหว่างที่ผมเสียเวลาไปกับเครื่องดื่มมึนเมา ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดครั้งนึงในชีวิต คนที่ผมเคยมองข้ามจะกลายมาเป็นที่พึ่งสุดท้ายได้

ผมตามเอเว่นไปซิดนีย์ด้วยเหตุผลที่ให้กับเขาว่าอยากจะเที่ยวต่อ และดูเหมือนว่าเอเว่นเองก็คงพอจะเดาออกว่าผมคงกำลังหนีปัญหาบางอย่าง โดยเฉพาะการที่ผมเลี่ยงตอบคำถามถึงเพื่อนคนไทยอีกคนนึงที่เขารู้จัก และนี่ก็เป็นหนึ่งข้อดีของเพื่อนแบบเอเว่นที่ทำให้ผมตัดสินใจเล่าบางเรื่องให้เขาฟังในที่สุด

เอเว่นเล่าให้ผมฟังถึงแพลนธุรกิจร้านช็อคโกแลตเล็ก ๆ ที่ต่อยอดจากร้านกาแฟของครอบครัว การชักชวนให้ผมพักใจในรูปแบบทีเล่นทีจริงของเขาทำให้ผมลังเล ตอนนั้นผมเหลือเงินติดบัญชีไม่กี่แสนบาทไทยและมันคงจะหมดลงไปเรื่อย ๆ ถ้าผมไม่ตัดสินใจทำอะไรซักอย่าง ...ทุกสิ่งที่ผมเกลียดจึงเป็นชีวิตของผมอยู่ตอนนี้





และทั้งหมดนี้ก็คือจุดเริ่มต้นจุดใหม่ของชีวิตผม





เรื่องราวเหล่านั้นผ่านมานานกว่าสี่ปี แต่ก็ใช่ว่าผมจะตัดขาดจากประเทศไทยได้ร้อยเปอร์เซ็น ตราบใดที่ผมยังถือพาสปอร์ตสัญชาติไทยก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดสี่ปีกว่าผมกลับไปที่นั่นบ่อยครั้ง แต่ก็คงต้องขอบคุณคนคนเดิมที่ช่วยเหลืออย่างเอเว่น ที่ช่วยให้ผมได้รับอนุญาตในการทำงานที่ซิดนีย์อย่างถูกกฎหมาย แม้จำนวนเงินจะไม่มาก และผู้คนจะไม่ใช่ชาติพันธุ์ที่เป็นแหล่งกำเนิดแต่ผมกลับมีความสุขดี ใช้ชีวิตของตัวเองในแบบที่ใจต้องการได้ทุกอย่าง กินอิ่ม นอนหลับ เรื่องที่กังวลใจที่สุดก็คงเป็นแค่เรื่องลูกค้าล้นร้านจนตีหน้ายิ้มไปต้อนรับไม่ทันเท่านั้น

ถึงจะดูเหมือนผมเลือกที่จะหนีทุกอย่างมาและลืมทุกสิ่งไป แต่ก็ใช่ว่าผมจะลืมได้จริง ๆ หรือว่าหนีทุกเรื่องได้พ้น ไม่มีทางหรอกครับที่ผมจะหลีกหนีสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ผมยังรับรู้ทุกเรื่องราวของคนเหล่านั้นที่เคยอยู่ในชีวิตผมอยู่เรื่อย ๆ ในทางกลับกันพวกเขาต่างหากที่ไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวใด ๆ ของผมนอกจากหลักฐานการเข้าออกประเทศที่คงจะหาได้ไม่ยาก

ปีแรก… ข่าวสังคมธุรกิจพัดกระพือเรื่องบริษัทบวรพร็อพโพตี้เทกระจาดขายหุ้นมากกว่าครึ่ง ซึ่งคนที่ซื้อไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือคุณธากร ลูกชายคุณสาโรจน์ที่ผมเคยรู้จักดี และในปีเดียวกันนั้นข่าวนักธุรกิจหนุ่มคนเดิมได้ถือฤกษ์ดีเปิดบริษัทใหม่ และเปิดตัวแฟนที่เป็นผู้ชายก็เกรียวกราวทั่วสังคมออนไลน์

ปีที่สอง… น่าเศร้าหน่อยตรงที่เป็นข่าวซุบซิบในเว็บไซต์สังคมไฮโซ คุณบวรกับคุณโสมเลิกลากันโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เห็นว่าเป็นเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลกันจนคาราคาซังมาจนปีที่สี่





‘ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ’





ปีที่สาม… หน้าเฟซบุ๊คของพี่พีทได้โพสต์รูปนึงที่เปิดพับบลิคเอาไว้อย่างตั้งใจ เขากำลังกอดผู้หญิงคนนึงที่ดูชราไปมาก ใบหน้าของเธอขาดการดูแลจนผมจำแทบไม่ได้ มีเพียงแววตาของเธอที่ผมเห็นแล้วก็ยิ้มตามออกมาไม่หยุด ‘แม่’ ผู้หญิงที่ผมไม่ได้เจอมาหลายปีตอนนี้เธอออกมาสู้ในชีวิตจริงอีกครั้งแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าผมคงไม่ลืมสิ่งที่เธอทำ แต่ใจมันด้านชาจนรู้สึกเฉย ๆ กับความโกรธไปซะแล้ว

ปีที่สี่… ต้นปีน้องต้าได้เข้าสู่วงการบันเทิงที่เธอรัก ผมเห็นชื่อเธอรวมอยู่กับนักแสดงภาพยนตร์เรื่องนึง แม้ว่าเท่าที่รู้จะไม่ใช่บทที่โดดเด่นมากมายอะไรนัก แต่ผมว่าเธอคงมีความสุขกับมันไม่มากก็น้อย ส่วนในปลายปี บวรพร็อพโพตี้ตกแชมป์บริษัทอสังหาอย่างน่าเสียดาย ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือเว็บไซต์ทางการของบริษัทเองก็มีการชี้แจงเรื่องการปรับโฉมใหม่และยกเครื่องบอร์ดบริหารทั้งหมด รวมถึงการเปิดกิจกรรมประกวดชื่อใหม่บริษัทราวกับทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลง

สี่เดือนที่เหลือ… ผมแทบยังไม่ได้ข่าวคราวอะไรที่ควรจะจารึกให้จดจำ ชีวิตผมมันก็มีเท่านี้ ใครว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่เราต้องตัดทุกอย่างทิ้งไป ผมว่ามันไม่ใช่ ในชีวิตจริง ๆ เราไม่สามารถเลือกที่จะลืมหรือจำอะไรได้ และในเมื่อเราเลือกไม่ได้แล้วนั้นสิ่งเดียวที่เราควรทำคือการพิจารณาเอาเองว่าควรเอาเรื่องรกสมองมาคิดให้เปลืองเวลารึเปล่า ซึ่งสำหรับผม เรื่องที่ผมรับรู้ทั้งหมดมันก็แค่บทเรียนนึงในวิชาความรู้ทั่วไปเท่านั้น





ทั้งหมดคือเรื่องราวที่ผมรับรู้

จริง ๆ มันก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ

ยังมีอีกคนนึงที่ผมยังไม่ได้พูดถึง





‘เต็ม’ ชื่อคุ้นเคยที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงการนึกถึงมาหลายปี แต่ถ้าถามว่าผมทำได้อย่างที่พยายามมั้ยล่ะก็ ถ้าจะให้สวยหรูดูดีผมก็คงตอบว่าผมทำได้สบายมาก เต็มไม่ได้อยู่ในความทรงจำของผมนานแล้ว แต่ถ้าจะให้ตอบแบบไม่กลัวความจริง คือผมก็ยังมีเรื่องของเขาผลักเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาในหัวอยู่เรื่อย ๆ เพียงแต่ว่าความรู้สึกตอนนี้มันไม่เหมือนก่อนแล้วเท่านั้น





หลังจากเสียงปืนนั่นจบลง

ทุกความสัมพันธ์ของเราก็จบลงเช่นกัน





สิ้นเสียงดังปังในวันนั้น ผมใช้เวลาตัดสินใจกับตัวเองอยู่หลายนาที แต่สุดท้ายแล้วน้ำตาและความเหนื่อยล้าก็บอกกับผมว่า ...ผมไม่ควรหันหลังกลับไปอีก… ใครจะเป็น หรือใครจะตาย สุดท้ายคนที่เจ็บปวดมันก็ยังเป็นผม เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ควรปล่อยให้ความโง่เง่าของคนคนนึงทรมานตัวผมเองอีกต่อไป

เสียงกรีดร้องจากระยะไกลไม่อาจรั้งผมไว้ และไม่อาจทำให้ผมวิ่งเข้าไปร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนเสียสติ ผมขับรถออกมาโดยไม่หันไปเหลียวแลอะไรอีก ผมไม่รู้ว่ากระสุนทะลุเข้าส่วนไหนของร่างกายเต็ม แม้ภาพร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้นจะติดตาในแทบทุกวินาทีต่อจากนั้น แต่ผมไม่อยากรับรู้ ไม่อยากทำให้ตัวเองถูกฝังไปกลับความรู้สึกแย่ ๆ ซ้ำเดิมไปมาอีกแล้ว ถ้าคุณจะดุด่าว่าผมใจร้าย ผมก็จะยอมยิ้มรับทั้งน้ำตาว่าผมมันใจร้ายได้มากกว่าที่พวกคุณคิดไว้อีกเยอะ





‘ไฮโซหนุ่มลั่นปืนเข้าท้ายทอยหวังปลิดชีวิต โชคช่วย! กระสุนพลาด! ไม่โดนจุดสำคัญ!’





ผมจำไม่ได้แล้วว่ารู้สึกยังไงตอนที่อ่านข้อความพวกนี้ตอนที่เครื่องบินแลนดิ้งบนแผ่นดินฮ่องกงเรียบร้อย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นผมหยุดร้องไห้ไปแล้วรึยัง ไม่รู้ว่าดีใจ เสียใจ หรือรู้สึกประหลาดใจกับปาฏิหารย์ครั้งนี้มากแค่ไหน จำได้แค่เพียงว่าผมทรุดตัวลงกลางสนามบินราวกับคนหมดแรง ร่างกายมันเหมือนลมที่พร้อมจะปลิวไปในทิศทางใดก็ได้ อาจจะเพราะ... ผมกำลังโล่งใจที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุให้ใครซักคนตาย ...ก็แค่นั้น

ปีแรก… ข่าวครึกโครมในสังคมไฮโซจอมปลอมที่ตามมาหลังข่าวบวรพรอพโพตี้ประกาศขายหุ้นได้ไม่นาน คู่รักข่าวใหม่ปลามันอย่างเอมและเต็มหย่ากันทั้งที่เอมพึ่งคลอดลูกได้ไม่กี่เดือน แต่ผมก็ไม่ได้แปลกใจเพราะข่าวที่ตามมาหลังจากนั้นก็เป็นแบบพี่ผมคาด ...เอมมีผู้ชายคนใหม่

ปีที่สอง… ผมไม่ได้ข่าวอะไรเลย

ปีที่สาม… ผมไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับเต็มแม้แต่น้อย

ปีที่สี่… คนที่ผมเคยรักมากที่สุดได้หายไปจากชีวิตผมโดยสมบูรณ์





ที่ยังเหลือก็คงแค่ความทรงจำเก่า ๆ





“Poche! Poche!”

“.............” ผมไม่ได้ส่งเสียงตอบกลับเอเว่น และตั้งสมาธิกับการเช็คสต็อคสินค้าบนเชลล์ผ่านแทบเล็ตต่อไป แล้วเชื่อผมเถอะ อีกไม่เกินสองนาที เอเว่นจะโวยวายและกล่าวหาว่าผมเอาแต่เหม่อลอยอีก

“Do you hear me?!” นั่นไงครับ ไม่ใช่แค่โวยวายเปล่า ๆ แต่ยังเดินมาใช้เท้าสะกิดขาผมถึงที่ด้วย นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนผู้มีบุญคุณล้นหัวจะหันไปด่าให้หาทางกลับบ้านไม่เจอเลย

“I can’ t hear anything”

“Don’ t bullshit me. I need some help now!”

“What?”

“Now we have customer in our store”

“So what?”

“He is an asian” เอเว่นกำลังตอบบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ ปกติเขาเคยมีปัญหากับการต้อนรับลูกค้าซะที่ไหน ต่อให้เป็นลูกค้าเอเชียหรือบุคคลที่มาจากโลกที่สามเอเว่นก็ผ่านการรับมือมาได้หมด

“So what! Evan waittttt!” แน่นอนว่าเอเว่นไม่ฟัง แถมยังดันหลังผมให้ออกมาในส่วนของสโตร์ทั้งที่ยังไม่เข้าใจ แต่พอผมเห็นลูกค้าคนเดียวของร้านตอนนี้ผมก็เริ่มเข้าใจทุกอย่างอย่างทะลุปุโปร่ง





เอเว่นเป็นโรคไม่ถูกกับเด็ก





“He didn’ t say anything. I give it as your problem” ผมอยากจะหันไปศอกใส่เอเว่นซักทีซักที ยังมีความหน้าด้านบอกว่าจะยกให้มันเป็นปัญหาของผม ขอประทานโทษคนอย่างผมนี่หน้าเหมือนนักสังคมสงเคราะห์ที่จะรักเด็กนักรึไง เอาเถอะ งานนี้ผมขอสัญญาแค่จะไม่ฆ่าเด็กให้ตายคามือก็แล้วกัน

“Boredom makes me go crazy!” ความเบื่อหน่ายน่าจะทำให้ผมกลายเป็นบ้าเข้าฉันวัน ไอ้ร้านช็อคโกแลตที่ผมต้องฉีกยิ้มแบบนางเอกละครนี่ก็เช่นกัน ถ้าเบื่อมาก ๆ ซักวันคงจะพังร้านให้พังกันไปข้าง

ผมเดินออกมาหน้าร้านวาดแทปเล็ตลงกับเค้าเตอร์ ภาพที่เห็นคือเด็กผู้ชายเอเชียผมดำอายุไม่น่าเกินสี่ขวบยืนเกาะตู้เจลาโต้ท่าทางสนอกสนใจ ส่วนสูงไม่เกินร้อยเซ็นนั่นทำให้เด็กน้อยพยายามอย่างยิ่งที่จะชะเง้อหน้าขึ้นมองว่ามีของหวานเย็นจัดรสชาติใดบ้างอยู่ในตู้

“May i help you?” ผมโค้งตัวลงไปถามเสียงเรียบ ตีหน้ายิ้มให้ดูรักเด็กที่สุดในชีวิต แต่สายตาตวัดมองแรงเกินเด็กตรงหน้าก็ทำให้ผมนิ่งไป เด็กตัวแค่นี้แต่กลับใช้สายตาได้ลึกและพลัง อนาคตคงไม่ต้องเดาว่าจะร้ายกาจขนาดไหน

“โน ๆ! ไม่ต้องยุ่งเลยนะ”

“Allow me to help….” ผมกำลังจะพูดประโยคต่อไปตามหน้าที่ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าประโยคตอบกลับมาจากเด็กน้อยตรงหน้าเป็นภาษาไทยก็กระตุกยิ้มแรงทันที เด็กคนนี้หันไปมองตู้เจลาโต้ต่อโดยเหมือนไม่เห็นผมอยู่ในสายตา ระหว่างที่ผมกำลังพินิจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เข้าใจภาษาอังกฤษแต่กลับเลือกที่จะตอบภาษาไทย เด็กคนนี้ถูกตามใจมาแบบไหนกันนะ

“จะไม่ให้พี่ช่วยจริงดิ”

“พูดภาษาเดียวกันได้ทำไมไม่พูด” เจ้าตัวหันมาพูดจาฉะฉานใส่ผม เด็กคนนี้ผิวขาวสะอาด สีหน้าแววตามีแววหล่อมารำไร ทรงผมรับกับใบหน้าแต่ก็ยังคัดกับการขมวดคิ้วแสดงสีหน้าเอาแต่ใจอยู่ดี มองไปมองมาก็เหมือนว่าผมจะคุ้น ๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนซักที แต่ช่างเถอะ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมอยู่ดี

“ก็พี่ไม่รู้นี่นาว่าเราสองคนชาติเดียวกัน ไหนอยากได้อะไร”

“ไอติม” นิ้วเล็ก ๆ ชี้เข้าไปในตู้ก่อนที่ผมจะพยักหน้าเข้าใจแล้วมองไปรอบตัวเพื่อหาผู้ปกครองที่ควรจะตามติดบุตรหลานของตัวเองไม่ให้ห่างไปไหน

“มาคนเดียวหรอ”

“จะเอาไอติม!” ‘เด็กเปรต’ เริ่มแผรดเสียงอีกครั้ง ผมจึงต้องจำยอมเดินเข้าไปหยิบโคนไอศกรีมเพื่อสงบจิตสงบใจเจ้าเด็กนี่ก่อน

“แล้วแบบนี้ใครจะจ่ายตังค์พี่ล่ะเนี่ย” ผมทำท่าบ่นอุบอิบ ตักเจลาโต้รสชาติยอดฮิตลงโคนไปมองสีหน้าท่าทางของเด็กคนนี้ไป รอยยิ้มสดใสตามวัยแต่แฝงไปด้วยความเจ้าเลห์นี่มันไม่ใช่ย่อยเลย ประทานโทษเถอะครับผมรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในช่วงวัยเด็กที่โตกว่านี้อีกหน่อย

“เอาอันนั้นด้วย” ผมมองตามทิศทางนิ้วที่ชี้อย่างมั่นคง พยักหน้าอย่างเข้าใจทั้งที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย

“แม่เราไปไหนห่ะ”

“ไปขายตัว”

“ห่ะ!” มือผมที่กำลังตักของหวานอย่างตั้งใจชะงักลง ผมมองเด็กคนเดิมเพราะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน มีที่ไหนกันเด็กตัวแค่นี้จะพูดอะไรแบบนี้ออกมา

“เสร็จแล้วเอามา ไอติมมมม” เต้าตัวเริ่มเต้นเร่า ๆ จนผมต้องเดินมายื่นคืนไอศกรีมให้แต่โดยดี พอรับไปเจ้าตัวก็ฉายแววตามีความสุขและลิ้มรสมันอย่างมีความสุข

“พี่ขอถามอีกทีนะ แม่เราไปไหน”

“ไปขายตัวไง” เด็กน้อยพูดอู้อี้แต่ผมก็ยังจับใจความได้ทั้งหมด ประโยคเดิม คำเดิม เหมือนเดิมไม่มีผิด

“ใครสอนให้เราพูดแบบนี้กัน”

“ไม่มีใครสอนสิ แดดดี้บอกว่าแม่ไปขายตัวจริง ๆ แม่เป็นกะหรี่ไปอยู่กับผัวหลายคนที่...ที่ไหนนร้าาาา ที่มันมีสิงโตอ่ะ” เด็กร้ายเดียงสาคงไม่รู้ตัวนักว่าพูดอะไรออกมา แต่คนยืนฟังอย่างผมกลับต้องกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ พ่อแบบไหนกันที่เอาเรื่องแบบนี้มายัดใส่หัวลูก รู้มั้ยว่าลูกจะทรมานกับข้อความพวกนี้ไปอีกนานแค่ไหน

“ช่างมันเถอะ พี่ไม่ถามเรื่องแม่เราแล้วก็ได้ แล้วพ่อเราล่ะ” ผมเริ่มถามหาผู้ปกครองของเด็กคนนี้อีกครั้ง แต่เจ้าตัวกลับคว่ำปากลงแล้วงับไอศกรีมราวกับไม่สนใจ

“........”

“นี่ ถ้าไม่ตอบว่าพ่ออยู่ไหน พี่จะยึดไอติมคืนนะ”

“อย่านะ!” เด็กน้อยเบะปากดึงโคนไอศกรีมเข้าหาตัวอย่างหวงแหน ผมยิ้มอย่างเหนือกว่าจิ้มนิ้วชี้ลงกลางหน้าผากคู่กรณีเบา ๆ ไปครั้งหนึ่ง

“งั้นตอบมา แดดดี้ของเราอยู่ไหน หรือว่ามาที่นี่กับใคร”

“มากับแดดดี้ แดดดี้ไปเข้าห้องน้ำ…”

“หนีแดดดี้มาใช่มั้ย”

“โนซักหน่อย! แดดดี้ให้รอที่เก้าอี้ แค่...แค่แต่ไม่ชอบเก้าอี้ตัวนั้น!” พูดจบไอ้ตัวที่สูงไม่ถึงเอวผมก็พยายามมองหาเก้าอี้ในร้านแล้วก็พุ่งตัวเข้าไปอย่างไว แต่ก็ไวได้ไม่เท่ามือผมที่คว้าคอเสื้อเขาเอาไว้ได้หรอก

“มานี่เลย แดดดี้ให้รอตรงไหน พาพี่ไปเดี๋ยวนี้”

“โน ๆ ๆ นะ”

“งั้น...ไอติม” สิ้นคำประกาสิตเด็กตัวเล็กที่ปากและสมองไม่เล็กตามตัวก็เดินนำผมออกจากร้าน ทิศทางที่เจ้าตัวเดินแบบไม่หยุดคิดทำให้ผมนึกแปลกใจว่านี่คือการเดินไปเรื่อย ๆ หรือเจ้าตัวจำได้กันแน่

“แดดดี้ แดดดี้ แดดดี้” เขาพึมพำและงับไอติมจนเลอะไปทั้งหน้าตลอดทาง ผมมองตามก้าวเล็ก ๆ แล้วรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก อาจจะเพราะเรื่องแม่ของเขาที่หลุดมาจากปากเขาเอง ผมไม่ใช่พวกโลกสวย แต่สำหรับเด็กตัวเท่านี้ควรจะเหลือโลกโพนี่ให้เจ้าหญิงเจ้าชายในฝันของเขาได้วิ่งเล่นบ้าง

“มาที่นี่กับแดดดี้แค่สองคนหรอ”

“อือ แดดดี้มาทำงาน”

“ย้ายจากไทยมาทำที่นี่หรอ”

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3

“โน ๆ นะ We are from London. We'll be back soon” สำเนียงภาษาอังกฤษแบบเด็กอังกฤษแท้ ๆ ทำให้ผมต้องพยักหน้ายอมรับ สำเนียงภาษาอังกฤษก็ดี พูดไทยก็ขัดแจ๋ว เกินเด็กจริง ๆ

“แล้วปกติเวลาแดดดี้ไปทำงานเราอยู่กับใคร”

“ก็อยู่กับแดดดี้อ่ะ ...ล...แล้วก็ทีชเช่อร์” ของหวานที่ละลายเหนียวหนึบอยู่รอบปากเจ้าตัวที่หันมาตอบคำถามผม ถ้ามองไม่ผิดตอนนี้เด็กคนนี้กำลังเดินช้าลงและเริ่มมองซ้ายมองขวาอย่างลังเล หวังว่าวันนี้ผมคงไม่ต้องจบเรื่องด้วยการพาเด็กเข้าสถานีตำรวจหรอกนะ

“ครอบครัวมีแค่แดดดี้หรอ”

“อือ”

“แล้วคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย…”

“แดดดี้บอกว่าตายห่าไปหมดแล้ว”





ช็อต





บอกเลยว่าตอนนี้ผมกำลังช็อตเป็นครั้งที่สอง เด็กคนเดิมพูดจาประหลาดถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองถึงสองครั้ง ถ้าได้เจอหน้าพ่อบังเกิดเกล้าของเด็กคนนี้จริง ๆ ผมอยากจะถามเหลือเกินว่าแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้เขาพูดจาแบบนี้ใส่ลูก

“รู้มั้ยว่าที่เราพูดเมื่อกี้มันไม่น่ารัก”

“อือ ทีชเช่อร์ก็บอก แต่แดดดี้บอกว่า…”

“แดดดี้อีกแล้ว”

“ฟังสิ! แดดดี้บอกว่าไม่ให้หนีความจริง ไม่งั้นแดดดี้จะไม่รัก ตัวเล็กมีแดดดี้คนเดียว ถ้าไม่เชื่อแดดดี้ แดดดี้จะไม่นอนกอดนะ” เจ้าตัวอธิบายยาวยืด ในแววตานั่นเต็มไปด้วยความเลื่อมใสต่อแดดดี้ของเขาเอง ระหว่างที่ผมกลับรู้สึกแตกต่างออกไป เด็กคนนี้ถูกปลูกฝังอะไรมากมายที่มาจากผู้ใหญ่ มองดี ๆ ก็เหมือนผมเห็นตัวเองในกระจกเว่อร์ชั่นย่อสวน

“เราชื่อตัวเล็กหรอ”

“อือ”

“ชื่อน่ารักนะ แดดดี้ตั้งให้หรอ”

“ไม่ ๆ โน ๆ คนที่แดดดี้รักอ่ะ ตั้งให้”

“งั้นก็เป็นแม่ของตัวเล็กใช่มั้ย”

“โนไง คนที่ทำให้ตัวเล็กเกิดต่างหาก”

“คนที่ทำให้เราเกิดก็แม่เราไม่ใช่หรอ”

“ไม่ใช่สิ เขาชื่ออาพอช แดดดี้บอกว่าถ้าไม่มีอาพอชตัวเล็กไม่ได้เกิดเลยนะ เพราะแดดดี้คงไม่หน้ามืดไปเอาแม่หรอก” เด็กคนนี้ยังคงไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรผิดไป ส่วนผมกลับหยุดยืนนิ่งราวกับได้ยินอะไรที่ผิดแปลกไปจากความเป็นจริง ในสมองของผมขาวโพลนเมื่อถูกภาพในอดีตฉายซ้ำเข้ามาในหัว





“ถ้าไม่สำลักความเลวของพ่อกับแม่ตายในท้องไปซะก่อน ก็ขอให้เกิดมาพ่อไม่รักนะเด็กน้อย… แต่ถ้าพ่อเขาคิดจะพิศวาสรักหนูขึ้นมา… ก็ขอให้แลกกับการที่ทั้งครอบครัวต้องพินาศไม่มีชิ้นดี ...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ล่วงหน้านะ ...ตัวเล็ก”





คงไม่หรอกมั้ง





“ตัวเล็ก! หายไปไหนมา แดดดี้บอกให้รอตรงไหนห่ะ!” เสียงตะโกนจากเบื้องหน้าทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะจับจ้องชายคนนึงที่มีเด็กที่ชื่อ ‘ตัวเล็ก’ วิ่งเข้าไปหา ผมมองภาพนั้นตาไม่กระพริบทั้งที่เขาไม่ได้หันมามองผมแม้แต่น้อย ในแววตานั่นมีแต่เด็กคนนึงที่เขายกชายเสื้อตัวเองขึ้นเช็ดปากอย่างไม่รังเกียจ ผมถอยตัวเองเข้ามาหลบมุมจากตรงนั้นและลอบมองทุกสิ่งต่อไป

ใจผมไม่ได้เต้นแรง ผมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจหรือว่าเสียใจ ตอนนี้ก็แค่แปลกใจที่ได้เจอเท่านั้น หรือถ้าจะถามตรง ๆ ว่ายังรักมั้ย ผมคงตอบได้แค่ ...ยังรู้สึกดี ๆ บ้างเท่านั้น





‘ไม่เจอกันนานเลยนะเต็ม’





คำทักทายที่ผมไม่ได้พูดออกไปดังขึ้นมาในหัว เต็มดูเปลี่ยนไปเยอะ ดูสุขุม ดูเติบโต และที่สำคัญใบหน้าเรียบเฉยนั่นช่างดูไร้ความสุข บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางลงเอยที่ดีที่สุดสำหรับเรา และเป็นบทเรียนที่ดีที่สุดสำหรับเขา ผมก้าวออกมาจากความแค้นและเรื่องคาใจมานานมากแล้ว ระหว่างที่เต็มอาจกำลังจมอยู่กับอดีตจนเดินหน้าไปได้อย่างไม่สวยงามเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าในหัวเขายังมีเรื่องผมอยู่มากน้อยแค่ไหน แต่มันก็ช่างน่าเวทนานักที่เด็กขึ้นนึงต้องรับรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มากมายนัก

“ไปไหนมา ไอติมนี่มาจากไหน”

“จากพี่คนนั้นอ่ะ ง่าาาา ไปไหนแล้ว”

“ไม่ต้องมางอแง พาแดดดี้ไป” ผมหลบตัวเข้ามาอีกเมื่อเห็นสองพ่อลูกพยายามตามหาเจ้าของไอติมโคนนั้น

“เมื่อกี้ พี่เขาบอกว่าแม่เป็นคนทำให้ตัวเล็กเกิดด้วยอ่ะแดดดี้”

“แดดดี้เคยสอนว่าไง”

“แดดดี้โง่ห่ะ”

“แค่นั้นไม่ได้ดิวะ ไอ้ลูกคนนี้”

“แดดดี้โง่ไง อาพอชเลยหายไป แต่ว่าตัวเล็กต้องรักอาพอชให้ม๊ากมาก เพราะถ้าไม่มีอาพอชตัวเองก็ไม่ได้เกิดแน่เลย”

“เพราะอะไร…”

“เพราะแดดดี้จะไม่หน้ามืดครับ!”

“Good boy!”

“ว่าแต่แดดดี้ เมื่อไหร่ตัวเล็กจะรู้ว่าหน้ามืดแปลว่าอะไรอ่า”

ผมมองคนสองคนพูดไปยิ้มไปเดินห่างไปจนลับตา เสียงหัวเราะตลอดบทสนทนายิ่งทำให้ผมสะท้อนเข้ามาในใจจนจุกในอกอยู่ไม่น้อย ความรู้สึกนี้มันทำให้ลึก ๆ แล้วผมไม่ชอบใจที่ตัวเองเอาแต่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่เอาเถอะใครจะรู้ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าผมอาจจะต้องเผชิญหน้ากับเต็มอีกก็ได้ มันไม่มีอะไรที่แน่นอนทั้งนั้นแต่นั่นมันเป็นเรื่องของอนาคต

ณ วันนี้ ตอนนี้ ไม่ต้องห่วงผม ไม่ต้องสงสาร ไม่ต้องเกลียด ไม่ต้องรัก คนที่มันร้ายยังไงในใจมันก็ยังร้ายอยู่วันยังค่ำ คนอย่างผมมันฆ่าไม่ตายหรอกครับ วันดีคืนดีผมอาจจะลุกขึ้นมาฮุบร้านจากเอเว่นก็ได้ คนที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่ใช้ชีวิตกับอดีต และอยู่ในความทุกข์ตลอดชีวิตต่างหาก เชื่อผมเถอะ คนพวกนี้ทรมานมากเสียยิ่งกว่าตายจากโลกนี้ไปอีก

สุดท้ายแล้วตัวผมที่เคยเปรียบชีวิตตัวเองกับละครมาตลอด วันนี้ผมคงเปรียบชีวิตตัวเองกับตัวละครตัวใดหรือละครเรื่องไหนไม่ได้อีกแล้ว ผมไม่ได้จบอนาถแบบตัวร้าย ไม่ได้จบเพอร์เฟคแบบพระเอกนางเอก ไม่มีฉากกอดกัน ไม่มีฉากที่ผมสำนึกผิด ไม่มีฉากที่คนผิดใจจะโผเข้ากอดกันอย่างโหยหา





เพราะชีวิตจริงของผมมันไม่มีคำว่าจบบริบูรณ์เหมือนในละคร

และบางทีในตอนจบก็อาจจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น





“ผมจะทำทุกอย่างให้ได้ชีวิตของผมคืนมา ต่อให้สารเลวแค่ไหน… ผมก็ยอม”









END





Talk : จบแล้ววววว ณ เวอร์ชั่นที่อัพยังไม่ได้เช็คคำผิดนะคะ ภาษาอังกฤษปลวกมากผิดตรงไหนแจ้งได้เลย กลัวใช้คำไทยแล้วไม่ได้อรรถรส

ในเนื้อหาตอนจบคงจะให้ถูกใจใครทั้งหมดไม่ได้เนอะ และการจบแบบนี้ก็ไม่ได้ทิ้งไว้ให้คาใจแต่อย่างใด เพียงแต่คนเขียนอยากให้มันจบแบบปลายเปิดนิดนึงเท่านั้น ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาจนตลอดรอดฝั่งนะคะ ขอบคุณมาก ๆ ทุกคอมเม้นต์ ทุกวิว มีค่ามากจริง ๆ อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปด้วยนะคะ ><~

และขอแจ้งเพื่อทราบว่าในเล้าคงจะไม่มีการลงตอนพิเศษ เนื่องจากที่เว็บอื่นได้ลงตอนพิเศษแบบติดเหรียญไว้ สามารถตามไปได้ทั้ง Fictionlog(เหรียญฟรี) ReadAwrite และธัญวลัย(กุญแจฟรี)ค่ะ


ฝากติดตามนักเขียน
ทวิตเตอร์ @BESILENT1993
เพจ https://www.facebook.com/besilentnovel/

ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เขียนดีมากครับ ดีมากถึงขั้นต้องเข้ามาคอมเมนท์เลยนะ การเดินเรื่องเฉียบคมมาก คาแรกเตอร์ตัวละครแปลกๆไปหน่อยบางคน แต่ก็มีมิติได้ดีครับ

ผมแบ่งเป็นสองประเด็นที่จะคอมเมนท์นะครับ คือ หนึ่ง ผลกระทบของการอ่านเรื่องนี้ กับ สอง รายละเอียดฝีมือและคำแนะนำในการเขียน

มาดูประเด็นแรกกันก่อน ปกติแล้ว การอ่านวรรณกรรมควรต้องให้อะไรกับผู้อ่านบ้าง อย่างดาษดื่นที่สุดคือให้ความสนุกหรือความอินในพล็อตเรื่อง แต่นั่นเป็นผลลัพธ์ที่ทำให้วรรณกรรมไม่มีจุดเด่นครับ วรรณกรรมที่ให้ผลลัพธ์อย่างโดดเด่น (ในทางวิเคราะห์วรรณกรรม เราเรียกคำนี้ว่า ‘คุณค่า’ จะเป็นคุณค่าด้านสังคม ด้านวรรณศิลป์ ด้านค่านิยม หรืออะไรก็ว่าไป) จะเป็นวรรณกรรมที่ขึ้นหิ้งว่าน่าสนใจ ผลลัพธ์เป็นได้ทั้งการตีแผ่ความจริงแบบธรรมดาๆ หรือเป็นการทำให้บุคคลได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

แต่สำหรับผม วรรณกรรมที่มีคุณค่าสำหรับผม คือวรรณกรรมที่ทำให้คนอ่านแล้วรู้สึกได้ว่าตัวเองควรจะทำความดี อ่านแล้วมันปลุกความดีงามที่ซ่อนอยู่ในหลืบของหัวใจตนเองว่ามันสามารถที่จะเอาชนะความคิดแย่ๆได้ อ่านแล้วรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอาจจะไม่ดีพร้อม แต่ก็พร้อมที่จะพัฒนาขึ้นไป มันจะเป็นส่วนผสมของวรรณกรรมโลกสวย กับวรรณกรรมตีแผ่ความจริงครับ

ผมมองเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมตีแผ่ความจริงนะ เพราะอย่างเดียวที่ผมเรียนรู้ได้ในเรื่อง คือการที่พอชไม่ยึดติดกับอดีต มีแค่นั้นจริงๆครับ ทั้งๆที่โครงเรื่องพัฒนาไปได้มากกว่านี้เยอะมาก คือผมชื่นชมนะครับที่ประโยคปิดท้ายมันทำได้สมกับชื่อเรื่อง VILLAIN ดี ว่ายังไงพอชก็เป็นคนนิสัยร้ายๆอยู่วันยันค่ำ แต่สารพัดองค์ประกอบมันน่าเสียดายมาก ผมโอเคกับการเล่นกับความรู้สึกคนและผลกรรมของครอบครัวของเตวินนะครับ แต่บางอย่างมันก็ไม่เมคเซนส์ เช่น เต็มไปนอนกับเอมตอนไหน? เอมตกลงเนื้อแท้เป็นคนค่อนข้างเรียบง่ายใช่ไหม แต่โดนพอชหลอกใช้ด้วยนิสัยร้ายๆของตัวเอง? แล้วเอมไปขายตัวคืออะไร? ปลายเปิดบางอย่างมันเยอะจนผมงง นี่ยังไม่นับเรื่องราวของพีทที่ตัดมาสั้นมาก มาโผล่ตอนช่วงสุดท้ายแล้วเหมือนรวบรัดจบ ผมเข้าใจในมุมมองของพีทว่าพีทไม่อยากเข้าพอชมาลำบากด้วย แล้วพีทเองก็ยังจมอยู่กับความแค้นของครอบครัว ทำให้ไม่หลุดพ้น แต่การเดินเรื่องแบบที่ใช้พอชชนดะไปทั้งหมดมันให้อะไรกับคนอ่านหรือครับ? มีประเด็นแค่จะทำให้ครอบครัวเตวินรับผลกรรมจากการกระทำของตนเองหรือ

สำหรับประเด็นครอบครัวพอช หลายอย่างไม่ถูกเต็มเติมมาก ในตอนท้ายเมื่อพอชหลุดจากความแค้นเก่าแล้ว ตกลงพีทหลุดจากความแค้นเก่าหรือยัง? พีทกับกรไปเจอกันแล้ว develop ความสัมพันธ์กันมาเป็นยังไง?

นี่ยังไม่นับเรื่องการพัฒนาทางของอารมณ์ของพอชที่ผมไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่ตอนสุดท้ายที่บอกว่าหลุดจากความแค้นเก่าแล้ว (แต่ยังคงมีนิสัยร้ายๆ? แสดงว่าไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย?) ผมคิดว่าพัฒนาการของตัวละครมันควรจะมีมากกว่านี้น่ะครับ ตัวละครที่เปิดเรื่องมาคาแรกเตอร์เดิม ตอนจบก็คาแรกเตอร์เดิม มีแค่ประโยคที่บอกว่าหลุดจากความแค้นเก่าแล้ว (คำถามที่ชวนฉุกใจคิดคือ แล้วความแค้นเก่าของพอชมันไปมีตอนไหน? ประเด็นเรื่องครอบครัวก็ตกไป เพราะพอชไม่รู้ มารู้เอาตอนรองสุดท้าย แล้วก็มาชนดะ ประเด็นเรื่องเต็ม มันก็มีแค่แค้นที่แต่งงานกับเอม ซึ่งเอาจริงๆ มันดูค่อนข้างสับสนทางอารมณ์มากๆเลยนะครับในช่วงเกือบๆสิบตอนแรก)

ทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบจากการอ่านเรื่องที่ผมมองแล้วว่าองค์ประกอบทุกอย่างมันดีมาก แต่เนื่องจากการเขียนที่ดีเกินไป และจำนวนตอนที่น้อย เลยทำให้ถ่ายทอดได้ไม่สุด ผลลัพธ์ที่ผมรับรู้ได้จึงมีแค่อย่างเดียวครับ

จึงนำมาสู่ส่วนที่สองของคอมเมนท์ คำแนะนำการเขียนและรายละเอียดฝีมือ คุณไซเลนท์เป็นคนที่เขียนเรื่องอารมณ์ได้ดีมาก ในเรื่อง ผมชอบฉากของเต็มมากที่สุด พาร์ทของเต็มเป็นพาร์ทที่ทำให้เรารู้พล็อตเรื่องคืบหน้าไปเยอะมากถ้าเทียบกับตอนอื่นๆ แล้วการแสดงออกทางอารมณ์รวมถึงคำอธิบายความคิดของเต็มก็ชัดเจน ตรงไปตรงมา เป็นระบบ โมโหก็คือโมโห สติหลุดก็คือสติหลุด แต่พาร์ทของตัวเอกอย่างพอช บางทีผมกลับอ่านแล้วสันสนทางอารมณ์ สรุปคุณจะรู้สึกแย่หรือรู้สึกดี จะหงุดหงิดหรือจะสะใจ คือเอาให้มันแน่นอน ถ้ามีสองอารมณ์ก็ต้องอธิบายมันออกมาอย่างเป็นระบบให้ผู้อ่านย่อยได้ดีขึ้นนะครับ มันเป็นทักษะที่ต้องพยายามอีกนิดหนึ่ง

อีกอย่างที่ต้องชมคือพล็อตเรื่องดีมาก แต่ตกไปเรื่องรายละเอียดประกอบชนิดกราวกรูดเลยครับ (อย่างที่ผมบอก จำนวนตอนคุณน้อยอะ ต่อให้ตอนหนึ่งมันยาวสะใจ แต่เทียบกับปริมาณรายละเอียดที่จะใส่มาให้ดีนี่ถือว่าน้อยมาก) ปมของการรักอยู่แล้วอีกฝ่ายไปแต่งงาน ปมของครอบครัวที่เลี้ยงมาแต่ความจริงแล้วทรยศ ปมของพี่ชายที่หายไปแล้วกลับคืนมา แต่ละปมเล่นได้หลายอย่างมากๆ แต่ในเรื่องกลับให้บางปมจบง่ายจนน่าตกใจและขาดหายไปในรายละเอียดประกอบ เช่น ปมของพี่ชายอย่างที่ผมตั้งคำถามไปด้านบน ปมของครอบครัว ซึ่งน่าจะเอาไปลิ้งค์กับปมการรัก แล้วสะท้อนต่อไปยังการพัฒนาทางอารมณ์ของตัวละครเอก นี่ก็ไม่เกิดขึ้น (ทั้งๆที่น่าเล่นมาก) ปมของครอบครัวยังแตกแขนงต่อได้อีกเนื่องจากตัวละครเยอะ ทั้งเอมที่ดูจะไม่ใช่ตัวร้ายของเรื่อง เธอดูเป็นตัวละครผู้หญิงที่ดีนะครับ แต่บทเธอน้อย โผล่มาแบบผลุบๆโผล่ๆ พูดคำสองคำ บางคำก็สะท้อนคาแรกเตอร์เธอว่าเธอเป็นคนเรียบๆง่ายๆ แต่ก็เข้มแข็ง แต่ปัญหาคือบทเฉลยความจริงเธอก็ไม่มี สรุปแล้วเธอเป็นคนนิสัยยังไง? เรื่องของบ้านเธอเป็นมายังไง? แล้วไปขายตัวคืออะไร? แล้วได้เคลียร์เรื่องสารพัดที่พอชร้ายใส่เธอรึเปล่า? แล้วก็เรื่องของต้าที่เป็นคาแรกเตอร์เทาซึ่งขาวสุดในเรื่องแล้วมั้งครับ การที่มีต้าไม่ได้ทำให้ตัวละครเอกพัฒนาอารมณ์ขึ้นมาบ้างเลยหรือ? นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ดูไม่เมคเซนส์ครับ

ปมของการรักดูจะเป็นปมของเรื่องนี้ที่แก้ง่ายที่สุด (ทั้งๆที่มันควรจะลึกซึ้งกว่านี้) ผมโอเคกับการเต็มรักพอชมากจนยอมทุกอย่าง และโอเคกับการที่เขา struggle กับสารพัดปัญหา คาแรกเตอร์เตวินเป็นอะไรที่ผมคิดว่าเป็นพระเอกที่ดีนะครับ ไม่ได้เพอร์เฟกต์เกินไป มีความมุ่งมั่น มีนิสัยเลือดร้อนมุทะลุ แต่ก็แข็งแกร่งและพร้อมปกป้อง แต่บางทีก็ทำอะไรลงไปอย่างโง่ๆเนื่องจากความคิดตื้นเขินของตัวเอง บอกตามตรง ผมชอบช่วงแรกๆที่เขาตีกันนะ ถ้าให้นิสัยพอชน่ารักขึ้นนิดนึง รู้จักการอ่อนลงและรู้จักพัฒนาอารมณ์หรือนิสัย ให้ตัวเองพยายามหลุดพ้นจากความคิดชั่วร้ายของตัวเอง เรื่องนี้จะเป็นท็อปชาร์ตได้ไม่มากเย็นเลยครับ

คำแนะนำของผมในการเขียนในอนาคต (หรือถ้าหากอยากหยิบเรื่องนี้มารื้อใหม่ให้เป็นเวอร์ชันที่ดีมากขึ้น) คือต้องเข้าใจก่อนว่าเราจะวางการปรับปรุงนิสัยตัวละครเอกยังไงครับ วางไลน์ให้ดี มีนิสัยอะไรของตัวละครเอกที่เราอยากจะปรับ แล้วจะไปสะท้อนหรือปรับได้จากบทเรียนของอีเวนท์อะไรที่จะดึงจากพล็อตเรื่องได้, แล้วนิสัยที่ปรับนั้น จะสะท้อนผลต่อไปยังเส้นเรื่องยังไง จะมีอีเวนท์อะไรมากระชากความคิดของตัวละครนั้นอีก แล้วจะยึดโยงความเชื่อมั่นในความดีหรือการทำสิ่งดีๆได้ยังไง?

จากนั้น เราก็ค่อยมาเติมรายละเอียดนิสัยที่เป็นมิติเสริมของตัวละครตัวนั้น ว่าจะมีอีเวนท์อะไรที่จะสะท้อนนิสัยของตัวละครอย่างชัดเจนได้ว่ามันมาจากเหตุผลอะไร แล้วจะแก้ยังไงต่อ หรือจะสื่อนัยยะยังไง ปูพื้นฐานของมิติตัวละครให้แน่นครับ

ทีนี้พอเราทำอย่างนี้กับตัวละครเยอะเข้าๆ ในกระดาษแผนผัง เราจะเห็นเลยว่ามันโยงกันยังไง ควรมีอีเวนท์อะไรบ้างในปมนี้ แล้วมันส่งผลยังไง พล็อตโดยรวมของเราจะสะท้อนอะไร ความเชื่อมโยงทั้งหมดจะสร้างเป็นจักรวาลแห่งความสมเหตุสมผล และคนอ่านก็จะตื่นตะลึง พร้อมกับได้เรียนรู้การแก้ไขปัญหาไปพร้อมๆตัวละครเอก ได้แก้นิสัยที่ตัวเองอาจจะมีคล้ายตัวละครสักตัว หรือรู้สึกอินกับตัวละครที่พื้นปมคล้ายๆกับเขาครับ หลังจากนั้นก็เริ่มเขียนแล้วมาใส่รายละเอียดอย่างอื่นเติมเข้าไป ตรงนี้อารมณ์ของตัวละครเป็นอย่างนี้ ใส่ฉากเพศสัมพันธ์ได้ ตรงนี้เป็นฉากอัดอั้น ใส่รายละเอียดเติมแต่งพื้นเรื่องเพื่อให้ตัวละครตัวนี้มีมิติมากขึ้นได้ เราค่อยๆเติมรายละเอียดที่คิดว่าจะไม่ครบถ้วน (ใส่นัยยะในอนาคตลงไปในฉากบางฉากก็ถือเป็นการใส่รายละเอียดปลายเปิดแล้วนะครับ แต่นัยยะนั้นมันต้องมีเหตุผลสนับสนุนมาก่อน ไม่ใช่จู่ๆก็บอก เธอจบที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดบ้านนอก หรือหนีไปขายตัว ตกลงหนีไปได้ยังไง? ไปรักกันตอนไหน? แล้วปัญหาที่บ้านเป็นยังไง? ตายห่ากันหมดบ้านหรือที่บ้านเข้าใจ?) พอเติมจนครบ งานเขียนก็จะออกมายาว แต่มีประโยชน์ในทุกฉากและทุกบรรทัด เพราะเราคิดมาก่อนแล้วว่ามีฉากนี้เพราะอะไร บทเรียนที่คนอ่านจะได้จากเรื่องคืออะไร เมื่อทำตรงนี้ได้ดีพร้อม ผู้เขียนจะภาคภูมิใจมากทีเดียวครับ

ตั้งแต่อ่านจนจบ ผมยังไม่รู้เลยว่ารูปร่างพอชกับเต็มเป็นยังไง ใครสูงกว่าใคร งานอดิเรกอะไร เต็มทำงานเก่งรึเปล่า (หรือว่าบริหารงานก็ไม่เก่งตามที่เรียนมาเปรยๆตอนแรกว่าเกรดไม่สวย ซึ่งตรงนี้ก็สะท้อนความไม่เก่งแต่อยากพยายามของเตวิน เป็นการสะท้อนที่ผมโอเคนะครับ)

ถ้าให้ผมแนะนำ เรื่องนี้ควรจะมีเมนบทเรียนคือ การที่พอชเป็นคนนิสัยร้าย แต่สุดท้ายเรียนรู้ได้ว่า ควรรู้ว่าต้องร้ายกับใคร รู้ว่าความร้ายมันสะท้อนผลกรรมยังไงมากับตัวเอง รู้ว่าต้องเรียนรู้ที่จะหยุดนิสัยแล้วมองในมุมอื่นที่จะทำให้ตัวเองมีความสุข แล้วกลายเป็นคนที่ดีในสังคม อาจไม่ต้องจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งก็ได้ ปลายเปิด แต่ต้องสะท้อนการพัฒนาด้านที่ดีให้สาดแสงออกมาของตัวละครเอก บทเรียนพวกนี้ควรจะมีนะครับในเรื่องที่ตัวละครเอกมีคาแรกเตอร์ร้ายๆ ไม่ใช่จบแค่แบบ เออเนี่ย กูรู้ว่าตัวเองร้าย แต่กูหลุดพ้นจากความแค้นเก่าละ แค่นี้ละ บ้ายบาย กูก็จะอยู่ของกูอย่างงี้อะ ใครจะทำไม คือมันแปลกไปครับ ฮะๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2018 22:38:19 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
เขียนดีมากครับ ดีมากถึงขั้นต้องเข้ามาคอมเมนท์เลยนะ การเดินเรื่องเฉียบคมมาก คาแรกเตอร์ตัวละครแปลกๆไปหน่อยบางคน แต่ก็มีมิติได้ดีครับ

ผมแบ่งเป็นสองประเด็นที่จะคอมเมนท์นะครับ คือ หนึ่ง ผลกระทบของการอ่านเรื่องนี้ กับ สอง รายละเอียดฝีมือและคำแนะนำในการเขียน

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณคอมเมนต์ของคุณ Grey Twilight มาก ๆ เลยค่ะ ถึงกับถึงแคปไว้อ่านในงานเขียนต่อไปเลยจริง ๆ อ่านแล้วก็พบว่าในตัวนิยายเองมีข้อบกพร่องจริงตามคอมเมนต์ และบางจุดก็ทราบดีโดยเฉพาะบทของเอมและพีทที่เราประสบปัญหาไม่รู้จะไปขยายในช่วงใดของนิยาย พอใกล้ถึงจุดจบของเรื่องก็พบว่าเว้าแหว่งไปจนน่าโมโห
อยากจะขอบคุณจริง ๆ เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะดได้อ่านคอมเมนต์ในเชิงวิจารณ์ตัวนิยายเช่นนี้ค่ะ และยินดีอย่างมากที่จะรับเอาคอมเมนต์ไว้เพื่อปรับปรุงงานเขียนในอนาคต ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ 

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ด่าม่าหนักหน่วงมากๆๆๆๆ แต่อ่านแล้วอินนะ มีภาคต่อปะคับ เหมือนว่าจบยังไม่สุดๆนะค้างๆๆอยู่

ออฟไลน์ kittvara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :โคตรสนุก น้ำตาไหลเลย
ชอบตัวละครพอชมาก
ก็อยากให้สมหวังกันนะ
อยากจบแบบแฮปปี้
มีตอนพิเศษไหม? ขอสักตอนหน่อย
อยากให้ตัวละครมีความสุข
โดนโชคชะตา(คนแต่ง) เล่นซะบอบช้ำเลย

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jangle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมาก เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ express_men

  • Catching Light.
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
    • SpeedlightTH
คือโครงเรื่องกับส่วนของคาแรคเตอร์ตัวละครมันดีมากเลยนะ ดีขนาดที่อ่านแล้วปล่อยผ่านไม่เข้ามาเมนต์ไม่ได้

แต่คุณ grey twilight เขียนเมนต์ไปซะยาวเหยียดหมดแล้ว อยากเสริมคือส่วนของพรรณนาโวหาร กับการใช้ฉากร่วมอารมณ์ เพื่อปูพื้นกับเติมความดราม่าในแต่ละซีน มันจะเพอร์เฟคมาก เหมือนเรื่อง นิราศมหรรณพ ที่ฉากมันส่งพลังให้กับเรื่องดีมาก

เราอ่านมาเรื่องนี้ สนุก มีข้อคิดและปลายเปิด  ชอบสุดที่โครงเรื่อง การผูกปม การดำเนินไปจนถึงจุดแตกหัก แต่เราเชื่อว่าหากเสริมด้านสำนวน บรรยายฉาก ค่อยๆปล่อยพื้นหลังแบบละเมียดละไม ปรับกลยุทธเล่าทางอ้อมมันจะทำให้ทรงพลังมากกว่านี้

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
สนุกมากจริง ๆ  ไม่สามารถที่จะหยุดอ่านได้เลย


มีโครงการที่จะรวมเล่มมั้ยอะ?     :m5:

ออฟไลน์ SNOFFY_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย ชอบความเเด๊ดดี้ กับตัวเล็ก 555555  :z1: ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีนะคะ

ออฟไลน์ ♥Täsinä→l3€LL♥

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ชอบมากคร่า สนุก ได้ข้อคิดในหลายๆมุมด้วย ในเรื่องต่อๆไปก็สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้

ออฟไลน์ ● MaYa~Boy ●

  • ฉันมันคนขี้อิจฉา
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-2
หน่วงมาก อ่านวันเดียวจบเลย

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชอบความพีคของทุกอย่าง เคยคิดเหมือนกันว่าทำไมตัวร้ายถึงต้องเสียทุกอย่างไปทั้งที่มาก่อน ชอบทุกๆความพีค บทสรุปและใดๆ ไม่มีความรู้ไปวิจารณ์ตัวละครหรือบทหรืออะไรแต่ขอบคุณที่แต่งนะคะ เอาเป็นว่าอินมาก ;-;

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ไม่นึกมาก่อนมาจะจบแบบนี้ พอชร้ายเข้าใจอต่ชีวิตที่พอชเลือกมันก็เทาเกินไป ถ้าจะไมีมีความสุขก็ไม่มีกันให้หมดอะไรแบบนี้
สุดท้ายพอชได้อะไร ก็เหมือนทิ่งปัญหาแล้วจากมาเท่านั้นแหล่ะ
อีกอย่างเต็มไม่ควรสอนลูกแบบบนี้ถึงเค้าจะเกิดมาด้วยสาเหตุอะไร แต่ก็ควรสอนสิ่งดีๆให้ คคิดมั้ยถ้าโตมาแบบนี้จะอยู่ในส้งคมด้วยการเป็นคนแบบไหน ชีวิตมันไม่ง่ายแต่ก็ไม่ใช่ต้องยัดเยียดแง่ร้ายใส่ลูกตลอดเวลานี่ รับตรงนี้ไม่ได้จริงๆ

ออฟไลน์ nyxca

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบมาก ชอบที่สุดคือตอนจบ ไม่ต้องมีคำบรรยายอะไรมากมาย การตัดสินใจของพอชตอนจบมันต้องสร้างค่านิยมอะไรให้คนที่อ่านได้ไม่มากก็น้อย เราไม่จำเป็นต้องอยู่กับที่ ยึดติดกับอะไรเดิมๆ แค่เดินออกมาก็พอ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ TheGraosiao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :L2:

ชอบมากกกกกกกกกกก

ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
จบดีกว่าที่คิดไว้อีกค่ะ เราคิดไว้ร้ายกว่านี้มาก 5555555 ไม่ไว้ใจพระเอกแต่แรก แล้วก็ไม่โอเคที่โกหกว่าไม่เคยมีอะไรกันด้วย เราเลยไม่ให้อภัย ดีใจที่น้องไม่ไปเจอตอนจบ มีคำผิดเยอะอยู่นะคะ แล้วก็มีบางช่วงดูรวบๆไปหน่อยแต่โอเคค่ะ ชอบมาก ร้องไห้เกือบทุกตอนเพราะสงสารน้อง เหมือนถูกทุกคนในนี้รุมทำร้าย ฮือ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ nijikii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เป็นเรื่องที่แบบ..
อ่านจบแล้วก็ได้แต่อยากบอกว่า

นี่มันอะไรกันเนี่ยยยยยย
ฉันอ่านอะไรไปปปปปปป
555555555555

แต่ชอบมากค่ะ
นึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าชีวิตคนมันจะบัดซบได้ขนาดนี้
อินในอิน
สงสารก็แต่ตัวเล็ก แดดดี้ที่เลี้ยงลูกแบบแมนๆคุยกัน (แมนไปเกินแล้ว)
เด็กคนนี้โตมาคงไม่แคล้วมีแผลในใจหรอก

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เห็นด้วยกับรีข้างบนมากค่ะ  :hao5: จิตใจอ่อนแอเกินกว่าจะอ่านทั้งเรื่อง

----------------------------------

 :katai1: กรีดร้องมากเลยค่ะ ฮือออ สารภาพเลยว่าเริ่มอ่านตอนที่ 18

โอ้โหมาก แบบดีแล้วที่ไม่อ่านตั้งแต่เริ่ม แค่นี้ก็น้ำตาไหลแล้ว

หน่วงมาก บีบใจสุดๆ  :o12: ฮืออออออออ

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
คือมันถูกแล้วที่จะจบแบบนี้ คนเขียนเขียนดีมาก แล้วรู้สึกปวดขมับจริงจัง 5555555 ขอยคุณเรื่องดีๆจ้า

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ geeargon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบมากกก ตามมาตั้งแต่เรื่อง หมอกสีจาง(ไอเรื่องนั้นก็เศร้าจนบ่อน้ำตาแตดไปหลายรอบ)
อ่านแล้วร้อง ชีวิตคนเราโคตรน่าบัดซบสิ้นดี
นักเขียนยังใจดีนะเนี่ย ตอนแรกเราแอบคิดให้ พระเอกตาย นายเอกเป็นบ้า แต่จบแบบนี้ก็ดีที่ดูไม่ละคร(แบบที่เราคิด)เกินไป
 :give2: :give2:

ออฟไลน์ Slotjai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาราธอนเลย สนุกมากกกกทีแรกอยากให้เขาคู่กันแต่ตอนนั้นที่เต็มบอกเมียท้องโมโหมากคนโง่ตอนนั้นเกลียดพระเอก แต่ตอนสุดท้ายให้อภัยก็ได้

ออฟไลน์ มนุษย์สาววาย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
บอกเลยว่าชอบมากกกกกกกกค่ะ เพราะเราชอบแนวดราม่าอยู่ ตอนจบปลายเปิดจริงๆ เราอาจจะคิดว่าเต็มเอาน้ำเชื้อเพื่อไปให้เอมตั้งท้องให้หรือเปล่า อยากให้เขาเป็นครอบครัวจริงๆ

ขอให้มีภาค2นะคะ จะติดตามตลอด

ออฟไลน์ แมว

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อินมาก พึ่งมีโอกาศได้เข้ามาอ่านจริงๆก็เห็นผ่านตาอยู่บ้างในก่อนหน้านี้แต่ไม่ได้กดเข้ามา อ่านแล้วชอบความดาร์คของตัวละครสุดๆ อินมากเนีย อยาดอ่านต่ออีก  :katai5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด