UNBELIEVABLE LOVE
Chapter Three
“โอเด้เพื่อนเอ๋ยคือดั่งเคยกันนั้น สังสรรค์กันจั๊กหว่าง… ในเวลาว่างๆมาแกล้มฮ่วมกัน บรรยากาศอยู่นา… หลายคนมาเทิงเล่นลมเย็นๆได้พัดพาเหล้าเด็ดๆอยู่บ้าน…”
เสียงมือถือของผมเองครับ…ใครวะมากวนเวลากิน กำลังอร่อยเลย“ครับ”
[อยู่ไหน] เสียงเฮียแพทนี่หว่า แต่เบอร์นี้ไม่ใช่เบอร์เฮียแก ผมก็แกล้งทำเป็นจำไม่ได้ เพื่อชะลอเวลา หาข้ออ้าง “เอ่อ... ใครครับ”
[นี่มึงจำเสียงพี่มึงไม่ได้รึไง หา]
“โทษครับ ผมเป็นลูกคนโตครับ ไม่มีพี่”
[อย่ามากวนตีน บอกมา อยู่ไหน]
ได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดๆ ของเฮียแกแล้วชักเสียวสันหลัง เลยต้องเลิกเล่นลิ้น “อยู่เซ็นทรัล”
[ไปทำไรเซ็นทรัล]
“ก็... มาเดินเล่น”
[แล้วมึงไม่มีเรียนเหรอวันนี้]
“เอ่อ...”
[มึงโดดอีกแล้วใช่มั้ย]
“ก็วิชามันน่าเบื่อ”
[กูเห็นมึงเบื่อทุกวิชาแหละ มีวิชาไหนมั่งที่มึงไม่เบื่อ]
“ก็วิชานี้มันมีตั้งสามพีเรียดติดๆ กัน ใครจะไปเรียนไหว” คือ ผมเข้าไปแล้วครับ แต่พอเช็คชื่อเสร็จก็ออกมา วิชานี้ไม่มีอะไร อาจารย์ก็บรรยายไป นักศึกษาก็นั่งหาวไป ผมเคยทนเรียนอยู่ในช่วงแรกๆ ไม่เห็นได้ไรเข้าหัวมาสักนิดเดียว เพราะมันเบื่อไง ใจจรดใจจ่อแต่ว่าเมื่อไหร่จะเลิกว้าาา เลยไม่สนใจเรียน
ดังนั้น ถึงจะโดดหรือไม่โดดก็มีค่าเท่ากัน ผมจึงคิดว่าโดดออกมาเดินเล่นยังจะมีประโยชน์ซะมากกว่า…
[ไมจะไม่ไหว คนอื่นเขาก็เรียนกันได้ มีแต่มึงนี่แหละที่เรียนไม่ไหว แม่ง โดดประจำ เดี๋ยวกูจะฟ้องพ่อมึง]
“ฟ้องไม พ่อเขาไม่สนหรอก แค่ไม่ตกก็พอ” เรื่องจริงครับ จะโดดจะเกยังไง พ่อผมไม่เคยว่า ขอแค่อย่าให้ตกหรือโดนเรียกผู้ปกครองเท่านั้น
[เออ ดีเว้ย บ้านนี้] เฮียแกบ่น เห็นอย่างนี้เฮียแพทอะ โคตรจะขยันเลยนะครับ ตั้งใจเรียนมาก ให้กินเหล้าเมามายขนาดไหน ก็ต้องถ่อสังขารไปเรียนจนได้ พอๆ กับพี่พิทเลย พี่ปลายก็ด้วย รายนั้นเกียรตินิยมเห็นอยู่รำไร มีก็แต่ผมที่แหละนอกคอกอยู่คนเดียว...
[แล้วจะกลับกี่โมง]
“อีกสักพักแหละ ว่าจะดูหนังก่อน”
[ดูกับใคร]
“ดูคนเดียว”
[ซื้อตั๋วยัง]
“ยัง”
[งั้นก็อย่าเพิ่งซื้อ เดี๋ยวกูเรียนเสร็จแล้วจะไปดูเป็นเพื่อน]
“แล้วเฮียจะเรียนเสร็จกี่โมง”
[สี่โมง]
“อึ้มม...” ตอนนี้บ่ายสองครับ เฮียแพทเรียนเสร็จบ่ายสี่โมงเย็น กว่าจะออกมาจากห้อง กว่าจะไปเอารถ แล้วกว่าจะขับรถมาอีก คาดว่าน่าจะมาถึงนี่สักห้าโมงเย็น แล้วสามชั่วโมงที่เหลือจะให้ผมไปทำไรล่ะครับ “ผมดูคนเดียวดีกว่ามั้ง เฮียไม่ต้องลำบากหรอก”
[ไม่ลำบาก กูเต็มใจ]
แต่ผมลำบากครับเฮีย สามชั่วโมงจะให้ผมไปรอเฮียตรงไหนล่ะครับ แต่.... “ก็ได้ แล้วรีบมานะ”
[เออๆ แค่นี้ก่อนนะ ก็ต้องรีบไปเรียนแล้ว] แล้วก็ตัดสายไป โดยไม่รอให้ผมตอบ นิสัยเหมือนไอ้คนที่บ้านผมเลย...
ผ่านไปเกือบชั่วโมง เดินเล่นจนปวดขา... ไม่ไหวแล้ว ต้องหาที่นั่งพอดีหันไปเห็นร้านไอศกรีมร้านหนึ่ง ที่เฮียแพทเคยซื้อให้กิน อร่อยดี อร่อยกว่าไอศกรีมทั่วๆ ไป….
ผมไม่รู้หรอกว่ายี่ห้อมันอ่านว่าอะไร ส่วนคนซื้อให้กินบอก อ่านว่า 'แหกก้นแดก'
…ใครจะไปเชื่อวะ ถึงผมจะซื่อ แต่ก็ไม่ได้โง่นะเว้ย
ตอนเฮียแกซื้อให้กินก็อร่อยดี แต่พอมาซื้อเอง.... เชี่ย ไอติมบ้าไรวะ แพงชิบเป๋งมึงจะขายไปสร้างบ้านรึไง
โอเค อร่อย แต่มันต้องแพงขนาดนี้เลยเหรอ จานนี้จานเดียว ผมซื้อไอติมใส่ข้าวเหนียวหนมปังได้หลายสิบเลยอะ เสียดาย...
และขณะที่ผมกำลังนึกบ่นราคาแพงเว่อร์ของไอศกรีม ‘แหกก้นแดก’ อยู่ในใจ เก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ถูกเลื่อนออก… แล้วใครคนหนึ่งก็ถือวิสาสะนั่งลงโดยไม่รอคำเชิญ
ผมเงยหน้าขึ้นมองแขกไม่ได้รับเชิญตาค้าง… อะไรของมัน มีมั้ย ที่จะขอหรือถามหรือพูดอะไรสักอย่างก็ได้ให้เจ้าของโต๊ะเขารู้ว่าอยากนั่งด้วย
แต่ดูมันดิ พอนั่งลงปุ๊บ ก็กดเกมส์ในไอโฟนเล่นปั๊บ ไม่สนใจใคร กระทั่งคนที่นั่งอยู่กับมัน ผมเลยบอก “ครับ อนุญาต”
มันเหลือบตามามองแว๊บเดียว แล้วก็หันไปสนใจเกมส์ต่อไม่พูดอะไร แต่ผมก็ตาไว แอบเห็นมุมปากมันกระตุกขึ้นนิดหนึ่ง... ขำไรวะ
ผ่านไปสักครู่มันก็ชะงักนิ้วที่กำลังกดเกมส์เล่นยิกๆ แล้วเหลือบมองจานไอศกรีมที่อยู่ตรงหน้าผม“ไม่กิน?”
“เฮ้ย!ไอติม” ผมรีบก้มลงมองจาน แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ของเขาดีจริงๆ ครับ ไม่ละลายเลย…
แล้วผมก็ตั้งหน้าตั้งตาตักไอศกรีมเข้าปาก ไม่สนใจเสียงหัวเราะหึๆ ของไอ้คนที่นั่งตรงข้าม เพราะถึงจะดียังไง ก็มีสิทธิ์ละลายได้ มันแพงอะ เสียดาย…
นั่งกินไอศกรีมสลับกับเหลือบมองไอ้คนที่นั่งตรงข้ามไปด้วย… อะไรของมันสรุปมึงจะมานั่งเล่นเกมส์แค่นี้ใช่มั้ย กูงง
พอกินเสร็จผมก็นั่งมองหน้ามัน แต่มันก็เล่นเกมส์เฉย “นาย… มีไรเปล่า”
“อิ่มแล้ว?”
จะอิ่มได้ไง ไม่ใช้ข้าว… แง่ว แค่ความคิดครับ กลัวมันเตะเอา เลยแค่พยักหน้าเฉยๆ
พอผมพยักหน้า มันก็ลุกขึ้นหยิบบิลเดินไปที่เคาน์เตอร์“เฮ้ย เดี๋ยว” วิ่งมาทันตอนที่มันจะยื่นบิลให้พนักงานพอดี เลยรีบคว้าคืนมา แต่มันก็ไวมาก ดึงกลับคืนไป แล้วก็ถามผมงงๆ “อะไร?”
มึงจะงงอะไร กูสิต้องงง อยู่ดีๆ ก็มานั่งด้วย กินไรก็ไม่ได้กิน แล้วยังจะมาจ่ายเงินให้อีก “เดี๋ยวจ่ายเอง”
อีกครั้ง ที่มันทำหน้ารำคาญ ก่อนจะยื่นบิลให้พนักงานพร้อมแบงค์ห้าร้อย แล้วไม่รอตังค์ทอน ลากผมออกมาจากร้านทันที…
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”
เสียงหัวเราะของคนอื่นๆ ที่อยู่ในโรงครับ จริงๆ มันเป็นหนังแอคชั่น แต่ก็มีช่วงที่ตัวละครยิงมุกใส่กัน ก็เลยมีเสียงหัวเราะอย่างที่ได้ยินนี่แหละ…
ครับ ผมอยู่ในโรงหนัง โดนไอ้คนที่นั่งกอดอกหลับตาอยู่ข้างๆ ลากมา… มันให้เหตุผลว่า ได้ตั๋วฟรีมา หมดอายุวันนี้ ถ้าไม่ใช้ก็เสียดาย และมันก็ไปนั่งเป็นเพื่อนผมกินไอติมแล้ว ดังนั้นผมก็ต้องมานั่งเป็นเพื่อนมันดูหนังเช่นกัน
แล้วมันก็… มานอนหลับอยู่ในโรง
อะไรของม๊าน!
และเมื่อหนังจบ… จนคนลุกออกไปเกือบหมดโรงแล้ว ไอ้คนข้างๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ผมเลยต้องเขย่าเรียก “นาย… ตื่นๆ”
มันกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะลืมตางัวเงียๆ “จบแล้ว?”
“จบแล้ว” ผมบอก แล้วรีบยื่นมือไปคว้าแขนมันไว้ เมื่อมันยืนขึ้นแล้วเซหน่อยๆ นี่มึงหลับ หรือเมากันแน่วะเนี่ย
พอออกไปนอกโรง เจอแสงสว่าง… ตามันแดงแจ๋เลย เหมือนคนที่นอนยังไม่เต็มอิ่มอะ ไปทำไรมาวะ
“เข้าห้องน้ำมั้ย” มันถาม แล้วพอผมส่ายหน้า มันก็ยื่นกระเป๋าตังค์กับไอโฟนให้แล้วบอก “รออยู่นี่” ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ฝากทำไมวะ กระเป๋ากางเกงก็มี งงกับมันจริงๆ
รออยู่ไม่นานมันก็เดินออกมา… หน้าตาสดใส ตามไรผมเปียกชื้นนิดๆ แสดงว่าคงเข้าไปล้างหน้ามา
“สนุกมั้ย” มันถามขณะที่กำลังเดินลงบันใดเลื่อน
“สนุกมาก” ผมบอก เสียดายแทนมัน อุตส่าห์ได้ตั๋วมา “แล้วหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”
“ตั้งแต่โลโก้พาราเมาท์ พิคเจอร์สขึ้น” มันบอกพร้อมกับดึงแขนผมให้หลบคนที่อยู่ข้างหลังซึ่งเอ่ยขอทางเบียดลงมา“โทษครับๆ”
แล้วพอลงไปถึงข้างล่าง พี่แกก็หยุดเดินธรรมดาเหมือนเดิม แล้วกี้นี้จะรีบไปไหนวะ นี่ถ้ามากับไอ้พัน มันจะต้องบอก ‘แม่ยายถูกหวยจะรีบไปขอส่วนแบ่ง’
พอเดินลงมาถึงชั้นจี ผมก็บอก “เอ่อ… งั้นเรา…กลับก่อนนะ”
“ไปกินข้าวก่อน” อารายอีกวะเนี่ย
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่หิว”
“ไม่หิวก็ไปนั่งเป็นเพื่อนหน่อย”
…แม่ง บังคับกูอีกละ
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าๆ ในการเดินทางไปร้านอาหาร… มาซะไกลเลย ในห้างก็มีทำไมไม่กินว้า
ระหว่างเดินตามพนักงานต้อนรับไปที่โต๊ะ ผมก็กวาดตามองสำรวจรอบๆ ร้านไปด้วย… เป็นบ้านเก่าทรงสเปนที่ถูกนำมาดัดแปลงและทาสีใหม่ สวนรอบๆ ถูกตัดแต่งจนสวย “ข้างนอกก็น่านั่ง”
“ร้อน” คนที่ลากผมมาบอกสั้นๆ ก่อนจะเสริมตอนหลัง“สักเดือนธันวาถึงจะนั่งสบาย”
พนักงานต้อนรับหยุดยืนตรงโต๊ะใกล้หน้าต่างตัวหนึ่งแล้วผายมือเชิญนั่ง ก่อนจะวางเมนูลงตรงหน้าพวกเราคนละเล่ม“ประเดี๋ยวจะมีพนักงานมารับออเดอร์นะคะ”
ผมเปิดเมนูอาหารอ่านเล่นๆ ไม่ได้ตั้งใจจะสั่ง… แต่ละรายการน่ากินๆ ทั้งนั้น
“พุ จะสั่งอะไร?” คนที่นั่งตรงข้ามเอ่ยถามเมื่อมีพนักงานมารับออเดอร์แล้วผมยังเปิดเมนูดูไม่เลิก
ปิดเมนูเข้าหากัน ผมมองคนถามแล้วสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่กิน”
“ไม่กินก็สั่งให้หน่อยสองอย่าง” บังคับอีกละ
แต่ผมก็ยอม “สั่งอะไรไปบ้างแล้วอะ”
“ไก่ผัดซอสมะขามปลากะพงทอดสมุนไพรกับเต้าหู้ทรงเครื่องครับ” พนักงานเป็นคนตอบแทน
“มีแต่แห้งๆ” ผมเปรยขึ้นมาขณะที่เปิดเมนูดูรายการอาหารใหม่ “งั้นเอานี่ป๊ะ ต้มยำกุ้ง”
เสียงหัวเราะหึๆ ดังมาจากฝั่งตรงข้าม ก่อนเจ้าของเสียงหัวเราะจะว่ายิ้มๆ “เมนูประจำชาติ”
“แล้วจะเอาป่ะล่ะ”
“ถ้าไม่เอาจะโดนต่อยมั้ย” อีกฝ่ายถามยิ้มๆ
เพิ่งจะรู้สึกว่าคำถามตัวเองนักเลงมาก ผมรีบแก้ตัว “เอ้ย หมายถึง ถ้าไม่เอาก็จะได้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น”
“หึๆ เอาต้มยำกุ้งก็ได้”
ไม่สนใจน้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่ได้ยิน ผมมองหารายการน่ากินอีกอย่าง “เอาผักมั่งนะ ผัดยอดฟักแม้ว?”
เมื่อคนให้สั่งพยักหน้าอนุมัติ พนักงานก็จดลงไปแล้วขอทวนเมนู ก่อนจะขอตัวเมื่อได้รับออเดอร์เรียบร้อยแล้ว
ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ไม่อยากนั่งมองหน้ากันเฉยๆ ผมก็ชวนคนที่นั่งตรงข้ามคุยคลายความอึดอัด “นายเรียนคณะอะไร เกษตร?” เดาจากกระถางต้นไม้นานาพันธุ์ที่อยู่ตรงกระบะหลังครับ วันนี้มันไม่ได้เอามอเตอร์ไซค์มา แต่เป็นกระบะมีแคปแทน
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่พยักหน้าแทน“แล้วมึง?”
“บริหาร”
“บริหารอะไร” อันนี้คือมันกวนหรือว่าอยากรู้จริงๆ วะเนี่ย... และมันคงเห็นผมทำหน้าอึนๆ มึนๆ เลยขยาย “เอกอะไร”
“อ๋อ” เก็ทแล้วครับ “บัญชี”
แล้วหลังจากนั้นผมก็ได้รู้ว่ามันเรียนเกษตร สาขาพืชไร่ เพราะมันมีไร่อยู่ต่างจังหวัด ส่วนเพื่อนมัน ไอ้เกียร์อะครับ เรียนการบิน เพราะอยากออกไปสำรวจอวกาศกับองค์การนาซ่า... พูดแล้วก็ขำเอง แสดงถึงความเชื่อมั่นในตัวเพื่อนมาก
เอิ่ม… นิดหนึ่งครับ ผมบอกหรือยังครับว่าไอ้คนลากผมมาด้วยเป็นใคร
แต่ถึงไม่บอกก็น่าจะเดากันได้เนอะ ว่ามันคือ… ไอ้เล่ย์
รอไม่นาน อาหารที่สั่งไปก็ถูกทยอยลำเลียงมาเสิร์ฟ ไอ้เล่ย์พยักหน้าให้ลงมือ แต่ผมสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่เป็นไร กินเลย”
“กินด้วยกัน” คนชอบบังคับบอกแล้วตักไก่ผัดซอสมะขามใส่จานให้
ตอนแรกว่าจะชิมพอไม่ให้เสียมารยาทเฉยๆ แต่พอได้ลิ้มรสชาติของอาหาร น้ำย่อยในกระเพาะก็ช่วยกันทำงานอย่างครื้นเครง“อร่อยดี” ผมบอกคนตักหลังจากกลืนไก่ลงคอเรียบร้อยแล้ว
มันยิ้มพอใจ แล้วตักกับข้าวอีกอย่างมาใส่จานให้ “อันนี้ก็อร่อยของขึ้นชื่อร้านเขา”
“อะไร?” เหมือนจะเป็นเนื้อปลา
“ปลากะพงทอดสมุนไพร”
“อ๋อ” ผมพยักหน้า จำได้ว่าพนักงานทวนให้ฟังอยู่เหมือนกัน“ทำไมรู้อะ มาบ่อยเหรอ”
“สองสามครั้ง” อีกฝ่ายบอก แล้วทำท่าจะตักกับข้าวอีกอย่างมาให้ ผมจึงรีบร้องห้าม “เอ้ย พอแล้ว นายกินเถอะ เดี๋ยวเราตักเอง”
แต่ฟังซะที่ไหน ตักมาใส่จานให้จนได้ “นี่ก็อร่อยเต้าหู้ทรงเครื่อง”
“อร่อยก็กินเองบ้างดิ” ผมว่าพร้อมกับตักกับข้าวใส่จานให้มันบ้าง ก็ปลากะพงทอดสมุนไพรที่เจ้ามือเขาบอกว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านนั่นแหละ“อ๊ะ ตักให้”
ไอ้เล่ย์ยกยิ้ม ไม่พูดอะไร แต่ยอมตักอาหารคำแรกเข้าปาก
นั่งกินกันไปคุยกันไปจนอิ่ม จากที่ตอนแรกแค่จะชิมกลายเป็นว่าผมกินเยอะกว่าไอ้เล่ย์ซะอีก เพราะอีกฝ่ายคอยแต่จะตักกับข้าวมาใส่จานให้เรื่อยๆ
และเมื่ออาหารมื้อนั้นผ่านพ้นไป ไอ้เล่ย์ก็ได้รู้อัตถะชีวประวัติของผมไปเรียบร้อย ตั้งแต่มีพ่อแม่ญาติพี่น้องกี่คน ชื่ออะไรกันบ้าง เป็นคนจังหวัดอะไร เรียนจบมาจากที่ไหน แล้วอนาคตอยากเป็นอะไร บลาๆๆ เยอะแยะมากมาย
แต่ของมัน… ผมก็รู้แค่เท่าที่บอกไปกี้นี้แหละ เพราะส่วนมาก คนที่พูดจะเป็นผม
…เวลาเกร็งหรือประหม่าผมจะพูดเยอะครับ ถามมาคำ ผมตอบไปสิบคำ
เมื่ออิ่มหนำสำราญกันแล้ว คนที่ลากผมมากินข้าวด้วยก็ขับรถไปส่งที่หอพักเป็นครั้งที่สามตั้งแต่เจอกัน
“รอแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวขึ้นไปเอาชุดมาให้” ชุดที่ยืมใส่มาวันนั้นอะครับ เกือบลืม
แต่เจ้าของชุดกลับบอก “เก็บไว้ก่อน เดี๋ยวมาเอา”
“อ้าว ไมอะ จะรีบกลับเหรอ?”
“อืม” อีกฝ่ายงึมงำในลำคอเหมือนไม่อยากจะตอบ… ไม่รู้ว่าเหนื่อยหรือรำคาญ
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ผมก็ไม่คิดจะรั้งไว้ จึงกล่าวลา “ขอบคุณนะ” วันนี้ได้มีโอกาสขอบคุณมันแบบเต็มๆ คำซะที ไม่ใช่ว่ามันเปลี่ยนนิสัยหรอกครับ แต่เป็นเพราะผมยังไม่ได้ปิดประตู มันเลยซิ่งหนีไม่ได้ กร๊ากก
นึกว่าปิดประตูแล้วมันจะซิ่งรถออกไปเหมือนทุกที แต่ครั้งนี้มันกลับจอดรอ จนกระทั่งผมเดินเข้าไปในตัวอาคารแล้วหันกลับไปมองก็ยังเห็นว่ายังจอดอยู่… งง แต่ก็ชั่งมันเถอะ ง่วงแล้ว
ขึ้นห้องไปอาบน้ำนอน… แต่ก็หลับไม่ลง ในใจเหมือนมีอะไรที่ยังค้างคาอยู่แต่พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก
ลืมอะไรว้า….
ลืมอะไร….
รู้สึกกระสับกระส่าย ผมนอนพลิกไปพลิกมา… ก่อนลุกพรวดพราดขึ้นมานั่ง เมื่อนึกออกว่าลืมอะไร
ชิบเป๋งแล้ว
ลืมเฮียแพท!!!
+++++unbelievablelove+++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน แล้วเจอกันตอนต่อไป ^^