V
I am really sorry
วันนี้ผมออกมาซื้อของที่ coop ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แถวบ้านเพราะจะต้องลงมือทำดินเนอร์มื้อใหญ่ เนื่องจากจะมีแขกมาที่บ้านอย่างที่ลูคัสได้บอกไว้ ผมลิสต์รายการของที่ต้องซื้อไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งมันก็เยอะมาก จนโซอี้คิดว่าต้องให้ใครสักคนมาช่วยผมถือของ
ใช่ครับ คน ๆ นั้นคือ
‘ผมมีคลับนะวันศุกร์บ่าย’
‘แกมีคลับบ่ายสาม แต่มิคจะออกไปซื้อของตอนบ่ายโมง ยังไงก็ไปเรียนทัน’ โซอี้ตอบกลับเสียงเรียบ
‘แม่...ผม’
‘คือผมไปคนเดียวได้ครับ ของไม่น่าจะหนักมากเท่าไหร่’
‘เอาอย่างนั้นหรอ ? มั่นใจนะมิค’
‘ครับผม’
‘โอเค เอางั้นก็ได้...แต่แก ธีโอ วันนี้แกต้องอยู่ร่วมมื้อเย็น เข้าใจนะ ?’ โซอี้หันไปกำชับธีโออีกครั้งก่อนเจ้าตัวจะเดินออกจากบ้านไป
นี่คือบทสนทนาในตอนเช้าวันที่สองหลังจากที่ธีโอพูดจาต่ำ ๆ ใส่ผม เขาไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาขอโทษ ส่วนผมก็ทำงานเลี้ยงเจ้าตัวเล็กหรือเล่นกับแซมมวลไปเรื่อย ธีโอไม่ค่อยได้โผล่หัวออกมาต่อหน้าผมสักเท่าไหร่ อย่างเมื่อวานมื้อเย็นเขาก็ไม่ได้มาร่วมดินเนอร์อย่างเคย อ้างว่าต้องอ่านหนังสือ
ผมไม่ได้สนใจธีโอสักเท่าไหร่ เรื่องที่เขาพูดจาแบบนั้นใส่ผม ผมไม่แคร์ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ชอบกันก็อยู่ห่าง ๆ กันไว้จะดีกว่า ดีแล้วที่เขาแสดงท่าทีออกมาแต่แรกว่ารังเกียจเกย์ ผมจะได้วางตัวถูก
เรื่องที่ผมแคร์มากตอนนี้ก็คือข้อความประโยคหนึ่งที่ถูกส่งมาโดยไมเคิลตอนตีหนึ่ง ทำเอาผมแทบบ้าไปทั้งวัน
Long time no see, but we will see each other again SOON. Sleep well Micky : ) (ไม่ได้เจอกันนานนะ แต่เราจะเจอกันเร็วๆ นี้แหละ หลับฝันดีนะ มิคกี้) มันเป็นประโยคที่ผมรอคอยมานานหลายวัน รอจนแทบหมดหวัง แต่นี้...ไมเคิลบอกว่าเราจะได้เจอกันอีกเร็ว ๆ นี้ครับท่านผู้โชมมมม ฮู้เร่
ผมส่งถามกลับไปว่าเราจะเจอกันเมื่อไหร่ ที่ไหน กี่โมงดี ไมเคิลกลับอ่านแต่ไม่ตอบ
ช่างเถอะ แค่เขาบอกว่าเราจะได้เจอกันอีกมันก็ทำให้หัวใจผมพองโตแล้ว
ขณะที่ผมกำลังเตรียมทำอาหารโซอี้ทักขึ้นมาว่า
“ไม่ต้องเผ็ดมากนะจ๊ะ ฉันกลัวเพื่อนร่วมงานของลูคัสจะทานไม่ได้”
“ครับผม เรื่องนั้นผมระวังไว้อยู่แล้ว” ผมยิ้มตอบกลับไป
“ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไรบอกได้เลยนะ ฉันจะไปตามธีโอมาช่วย...ว่าแต่ลูกชายคนโตของฉันไปไหนเนี่ย ควรจะกลับถึงบ้านได้แล้วนะ นี่มันใกล้เวลาดินเนอร์แล้ว” โซอี้บ่นพลางมองนาฬิกาข้อมือ
20 นาทีต่อมา คนที่ถูกตามหาก็ปรากฎตัวในสภาพเหงื่อโชก ทิ้งกระเป๋ากีฬาที่มีไม้เทนนิสโผล่ออกมาจากตัวกระเป๋าที่ปิดไม่สนิท
ธีโอมีคลับเทนนิสทุกวันศุกร์
ผมไม่ได้อยากจะจำ แต่มันต้องใส่ใจ ตอนนี้ผมเริ่มจำทุกอย่างในบ้านได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลาย เครื่องครัวต่าง ๆ ลิ้นชักไหนผมรู้หมด เสื้อผ้าทุกคนผมก็แยกออกว่าตัวไหนเป็นของใคร เพราะเป็นผมซะส่วนใหญ่ที่เก็บบ้านแล้วโยนเสื้อผ้าทุกคนลงในเครื่องซักผ้า รวมไปถึงตารางทำงาน กิจกรรมของแต่ละคน
หลังจากที่หั่นผัก หุงข้าว จัดโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว วุ่นวายอยู่ตรงครัวประมาณหนึ่งชั่วโมง จนตอนนี้ทุกอย่างเกือบเรียบร้อย เหลือแค่เปิดไวน์รินรอแขกที่จะมาถึงในอีก 10 นาทีเท่านั้น เนื่องจากวันนี้มีดินเนอร์ใหญ่ พวกเราเลยทานข้าวเย็นช้ากว่าปกติ แต่เจย์เด็นไม่ใช่ เขาต้องกินตรงเวลา ผมเลยหันไปป้อนข้าวเย็นเจย์เด็น พอเจ้าก้อนนี้กินเสร็จก็ปล่อยให้เขาลงไปคลานเล่นทั่วบ้านต่อเพื่อที่จะได้เบิร์นไขมันบ้าง ในขณะที่ผมเล่นแข่งรถปลอมๆ กับแซมมวลฆ่าเวลา (แหงล่ะ เขาขอชนะตลอด)
“Guten Abend!* (สวัสดีตอนเย็นจ้า)” เสียงลิฟต์เปิดออกพร้อมด้วยเสียงตะโกนสวัสดีตอนเย็นจากลูคัสเหมือนทุก ๆ วัน แต่ที่ไม่เหมือนก็คือผมได้ยินเสียงพูดคุยเป็นภาษาสวิสเยอรมันจากแขกที่จะมาร่วมรับประทานอาหารค่ำในวันนี้
ทำไมเสียงคุ้น ๆ จังเลยนะ
โซอี้อุ้มเจย์เด็นไว้ในอ้อมอกดั่งเคยเพราะเจ้าตัวเล็กเริ่มร้องแหกปากเนื่องจากคุณแม่เดินออกห่างเพื่อไปต้อนรับ เจย์เด็นคลานตามอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าคุณแม่ของเขาจะหายไป มันคล้าย ๆ กับสภาวะความกลัวของเด็กถ้าหากไม่มีผู้ปกครองอยู่ใกล้ ๆ ยิ่งมีคนแปลกหน้าเข้ามามันยิ่งทำให้เจย์เด็นรู้สึกกลัว
เห็นดังนั้นผมจึงรีบปรี่เข้าไปช่วยอุ้ม แต่พอได้เห็นแขกที่จะมาร่วมมื้อเย็นในวันนี้ทำเอาผมช็อค
ไมเคิล...
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
ณ วินาทีนั้นผมทั้งตกใจและดีใจ ผมแกล้งกลบเกลื่อนรอยยิ้มและท่าทางไม่ให้ออกนอกหน้า ทำเป็นรับอุ้มเจย์เด็นจากอ้อมอกโซอี้ แต่เจ้าตัวเล็กไม่ให้ความร่วมมือ กำมือจับชายเสื้อโซอี้แน่น
ทุกคนทักทายกล่าวสวัสดี ผลัดหอมแก้มคนละสามที เพราะเป็นธรรมเนียมของที่นี่ บางประเทศก็แค่หอมแก้มสองที หรือหนึ่งที บางที่ก็แค่กอด แต่ถ้าหากไม่สนิทสามารถเช็คแฮนด์ตามมารยาทสากลได้ ดังเช่นผมตอนนี้ที่กำลังทำความรู้จักกับสาวสวยผมบลอนด์ชื่อเอริก้าที่นำดอกไฮเดรนเยียมาเป็นของขวัญและชายสูงวัยชื่ออีริคที่มาพร้อมกับขวดไวน์ราคาแพง
“Good evening, Mic. Finally, we meet again (สวัสดีตอนเย็นมิค ในที่สุดเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง)” ไมเคิลยิ้มแย้มพลางเข้ามากอดอย่างสนิทสนม หลังจากมอบของขวัญที่เขาเอามาฝากเด็ก ๆ แต่เขาไม่ได้หอมแก้มผมแบบที่ทำกับโซอี้
แอบเสียดาย แต่เรายังไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนี่นา
มือหนาทาบทับบนหลังผมพลางลูบขึ้นลง แต่เราสองคนไม่ได้กอดกันแนบแน่น เหมือนเพื่อนที่ได้เจอกันอีกครั้งเสียมากกว่า
“เป็นยังไงบ้าง? สบายดีไหม?”
นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้าที่พร้อมจะสยบทุกคนที่มอง รอยยิ้มนุ่มนวล ร่างกายแข็งแกร่งกำยำ...ทุกส่วนของเขา...ผมจินตนาการมาตลอดสองสัปดาห์ แต่บัดนี้ไมเคิลมาอยู่ต่อหน้าผมแล้ว
ผมอยากจะตอบว่าผมคิดถึงคุณมากและเฝ้ารอวันที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง แต่ความจริงแล้วผมตอบไปว่า
“สบายดีครับ ไมเคิลล่ะ? ทำงานหนักไหม?”
“หนักมากเลยล่ะ พอดีฉันได้รับการเลื่อนขั้น เลยมีเรื่องต้องสะสางหลายอย่าง”
“ว้าว ยินดีด้วยนะครับ” มิน่าเขาถึงไม่ค่อยตอบข้อความผม ได้ฟังแบบนี้แล้วค่อยน่าให้อภัยหน่อย
“ว่าแต่หน้าที่คุณแม่มือใหม่ไปถึงไหนแล้ว หืม?” ไมเคิลถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“คุณพ่อมือใหม่ต่างหาก” ผมแก้ “ก็ดีครับ แซมมวลมีดื้อกับผมบ้าง แต่ส่วนใหญ่เขาจะฟังผม ส่วนเจย์เด็น...รายนั้นติดคุณแม่แจเลยล่ะ...ผมทำงานลำบากมากหากโซอี้อยู่ใกล้ ๆ เพราะเจย์เด็นเอาแต่แม่ ไม่เอาผมเลย”
“ฉันพอจะดูออก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องดูแลเด็กวัยกำลังคลาน”
“อ้าว เธอสองคนรู้จักกันแล้วเหรอ” ลูคัสเข้ามาแทรกเมื่อเห็นว่าผมกำลังคุยกับไมเคิล
ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดในใจว่าตอบลูคัสยังไงดี ไมเคิลก็ชิงบอกเสียก่อน
“ครับ พอดีผมบังเอิญไปเจอมิคที่เขา Uetilberg ตอนนั้นมิคกำลังบาดเจ็บ ผมเลยช่วยเขาไว้ เราสองคนเลยรู้จักกันครับ”
“โอ้ เป็นอย่างนั้นนี่เอง ไมเคิลนี่มิค ออแพร์ที่คอยดูแลเด็กๆ และนี่มิคนี่ไมเคิลผู้บริหารบริษัทผลิตสิ่งทอและบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ เป็นคู่ค้าของบริษัทฉันเอง เขาผลิตบรรจุภัณฑ์ให้ชอคโกแลตแบรนด์ของเรา”
โอ้มายก๊อชชชช นอกจากหน้าตาจะหล่อเหลาแล้ว โปรไฟล์ยังดีเสียด้วย
อดเทียบกับตัวเองไม่ได้ที่รับเงินเดือนกระจอกๆ แค่ 700 ฟรังก์ ในขณะที่ผู้บริหารอย่างเขาต้องมีรายรับไม่ต่ำกว่า 50,000 ฟรังก์แน่นอน
นี่มันบุญวาสนาของผมแท้ ๆ ที่ได้มารู้จักกับเขา
“ขอบใจเธอด้วยนะไมค์ที่ช่วยเหลือมิค...ว่าแต่ตอนนั้นเธอไปกับธีโอไม่ใช่หรอ?” ประโยคหลังลูคัสหหันมาถามผม
“เอ่อ...ธีโอขอตัวไปทำธุระต่อน่ะครับ” ผมยิ้มแห้ง ๆ แก้ต่างให้ธีโอ
“ไม่ไหวเลยลูกชายคนนี้” ลูคัสถอนหายใจ ส่ายหัวเบา ๆ “รู้จักกันแล้วก็ดี เราไปนั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่นดีกว่า”
ลูคัสเชิญชวนทุกคนมาที่ห้องนั่งเล่น และถามทุกคนว่าอยากดื่มอะไร แชมเปญ ไวน์โรเซ่** ไวน์ขาว หรือไวน์แดง ทุกคนเลือกแชมเปญหมด ยกเว้นโซอี้ที่เธอนั้นคลั่งไคล้ไวน์โรเซ่เอาเสียมาก ๆ
“Cheers!”
เสียงแก้วกระทบดังไปทั่ว แต่ธรรมเนียมของที่นี่นั้นไม่ใช่แค่กระทบแก้วหมู่ร่วมกันแล้วจบ ทุกคนจะชนแก้วจนครบรอบวง นอกจากนั้นในขณะที่ชนแก้วสองคนยังต้องจ้องตากันเพื่อเป็นการให้เกียรติและแสดงความจริงใจของคนที่เราชนแก้วด้วย
ไม่ยกเว้นแม้แต่การชนแก้วกับธีโอที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ตอนนี้ แต่ดูท่าจะมีมารยาทพอที่จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับการแสดงออกในที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่่อมีลูคัสและโซอี้อยู่แบบนี้ด้วย
ทุกคนคุยกันเป็นภาษาสวิสเยอรมันอย่างออกรส รวมไปถึงแซมมวลที่เข้ามาแจมแต่ในมือเขามีแก้วน้ำเปล่าธรรมดาๆ แซมมวลกลายเป็นจุดสนใจ ทุกคนถามไถ่เขา ส่วนเจ้าตัวเล็กเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเรียงแก้วน้ำพลาสติกบนพื้น
ผมรู้หน้าที่ตนเองจึงวางแก้วแชมเปญลงบนโต๊ะ แล้วลุกไปเตรียมอาหาร ส่วนโซอี้ก็แอบมากระซิบว่าเธอจะพาเจย์เด็นเข้านอนเอง
โซอี้ใช้เวลาไม่นานในการกล่อมเจ้าตัวเล็กให้หลับ เมื่อทุกคนพร้อมเพรียงแล้วก็นั่งประจำที่ โดยมีลูคัสนั่งหัวโต๊ะ ปกติตามธรรมเนียมแล้วนั้นจะจัดให้ชายหญิงนั่งสลับกัน และให้ผู้ที่สนิทสนมนั่งตรงข้ามกันเพราะจะได้พูดคุยกันโดยไม่ต้องหันข้าง แต่ผมไม่ถือเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ให้ทุกคนได้จัดแจงที่นั่งกันระหว่างผมตักข้าวเสิร์ฟ จากนั้นยกแกงเขียวหวานใส่ถ้วยเล็กตกแต่งด้วยผักชีและพริกแดงให้แต่ละคน ตามด้วยเป๊าะเปี๊ยะทอด ผัดผักน้ำมันหอย และยำไก่สมุนไพร ที่ผมเพิ่มเข้ามาเป็นอย่างสุดท้าย
อิริคเปิดไวน์ราคาแพงขวดนั้นแล้วลุกขึ้นวนรินให้ทุกคน รวมไปถึงผมด้วย ส่วนแซมวันนี้เขาได้ดื่มโค้กแทน
ที่นั่งสุดท้ายที่เหลือคือนั่งข้างๆ แซม ตรงข้ามเป็นธีโอ ส่วนไมเคิลที่ผมอยากนั่งใกล้ ๆ อยู่หัวโต๊ะข้างลูคัสโน่น ผมเข้าใจว่าพวกเขาต้องคุยเรื่องธุรกิจกัน
“แด่ลูคัส CEO คนเก่งของเรา, แด่โซอี้ทนายสุดสวย, แด่เอริก้า PR ที่ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง, แด่ไมเคิลผู้ที่ทำให้แบรนด์ช๊อกโกแลตของเรามีผลิตภัณฑ์โดดเด่นไม่ซ้ำใคร” อิริคชูแก้วไวน์สูงขึ้นหันไปมองแต่ละคน “และสุดท้ายนี้มิค พ่อครัวคนเก่งของเรา”
ทุกคนหันมาทางผม ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีชื่ออยู่ในการกล่าวเปิดครั้งนี้ด้วย
“ด้วยความยิ่งดีอย่างยิ่งครับ ผมหวังว่าทุกคนจะชอบรสชาติอาหารที่ผมทำนะครับ” ผมยิ้มพร้อมชูแก้วไวน์ สิ้นสุดคำพูดทุกคนก็ลงมือจับมีดและส้อม
ในที่สุดก็ได้กินสักที ผมหิวไส้กริ่วแล้วเนี่ย
ถึงแม้จะเป็นดินเนอร์มื้อใหญ่ แต่ผมก็ไม่ลืมทำหน้าที่ดูแลแซม ผมคอยตักซุปแกงเขียวหวาน หั่นชิ้นเนื้อไก่ และคอยบอกให้เขาระมัดระวังเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร
ห้องรับประทานอาหารเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงมีดกระทบกับจาน แต่ทว่ามีอยู่คนนึงที่ดูจะลืมเอาปากมาด้วย
ธีโอนั่งตรงข้ามแซม ซึ่งเยื้องๆ กับผม ผมสังเกตว่าเขาเอาแต่ทาน ไม่พูดไม่จาอะไรเลยนอกจากเสียว่าจะมีคนเข้ามาถาม
“อาหารอร่อยมากเลยครับ” จู่ๆ ไมเคิลก็พูดขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษและยิ้มให้กับผม
โอ๊ยยย เคลิ้มครับเคลิ้ม คำชมแค่นี้แต่มันเหมือนราวกับไมเคิลกำลังขอผมแต่งงานก็ไม่ปาน
“ใช่ อร่อยมากๆ เลย ผมชอบทุกอย่างที่มิคทำให้ผมกิน วันก่อนเขาทำกุ้งชุบแป้งทอดให้กิน อร่อยมาก” แซมเสริม ผมหันไปยีหัวไอ้ตัวแสบแล้วพูดว่า
“ใช่ เธอกินหมดคนเดียวตั้ง 10 ตัว ไม่เหลือให้พ่อของเธอกินเลย”
“ก็มันอร่อยนี่นา...แถมพ่อกลับบ้านช้าเอง ช่วยไม่ได้”
ทุกคนหัวเราะ
“นี่แซมดูโตเป็นหนุ่มขึ้นตั้งเยอะเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ฉันมาพาพวกเธอ” อีริคพูด
“ใช่ค่ะ แซมเขาสูงขึ้น 10 เซ็นต์” ผู้เป็นแม่ตอบแทนและลูบหัวแซมมวลด้วยความรักใคร่
“เธอก็ด้วยนะธีโอ ดูหล่อเหลากว่าเมื่อปีก่อน ไปเป็นนายแบบได้เลยนะเนี่ย” เอริก้าเสริมขึ้นบ้าง เจ้าตัวขยับนั่งหลังตรงเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูด
“ครับ ก็คงประมาณนั้น” ธีโอยกแก้วไวน์จิบเล็กน้อย ดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ ตรงหน้าเขาวางมีดและส้อมไขว้กันเป็นรูปกากบาทบ่งบอกถึงว่าอิ่มแล้วและไม่ต้องการเพิ่ม
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเสริมอีกครั้ง สำหรับคนที่นี่ หากทานอิ่มและไม่ต้องการเพิ่มแล้วก็จะวางมีดและส้อมไขว้กัน สำหรับคนไทยก็จะวางคู่กันแทน และข้อสำคัญต่อให้ตนเองทานเสร็จก็จะไม่ลุกออกจากโต๊ะเป็นอันขาดจนกว่าทุกคนจะทานอิ่ม นี่เป็นมารยาทข้อแรกๆ หลังจากที่ผมได้ร่วมทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวเมื่ออาทิตย์แรกที่ผมมาถึง
“ปีก่อนเขาถูกทาบทามจากเอเจนซี่ที่บริษัทเราจ้างให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ช๊อคโกแลตสูตรใหม่ที่จะออกช่วงฤดูใบไม้ร่วงน่ะ” โซอี้เล่า “พวกเขาบอกว่าหน้าตาธีโอเป็นเอกลักษณ์มาก หากได้เข้าวงการอาจดังไกลไปถึงฮอลลีวูด”
“ธีโอเลยได้ร่วมงานเล็กๆ น้อยๆ กับแบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่นที่เพิ่งเปิดตลาด” ลูคัสเล่าต่อ
“ว้าวววว ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยพ่อหนุ่มน้อย” อีริคปรบมือแสดงความชอบใจ
“ผมได้ถ่ายแบบแค่นิดเดียวครับ หลายๆ คนก็ได้รับโอกาสแบบนั้น”
“หืม ไม่แน่นะต่อไปอาจได้เป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ Calvin Klein ก็ได้ใครจะไปรู้ จริงไหม ฮ่าๆๆ” ลูคัสอวยลูกตัวเอง
เจ้าตัวจิบไวน์แก้อาการเขินเล็กน้อย
“นี่จ๊ะ ฉันเติมไวน์ให้” เอริก้ารินไวน์แต่ทว่ามันหมดเสียแล้ว
“หมดแล้วเหรอ...ไม่เป็นไร ธีโอช่วยไปหยิบไวน์ในห้องเก็บไวน์ที เอามาสัก 3-4 ขวดก็ได้” ลูคัสวาน
ทุกคนลุกจากเก้าอี้เพราะต่างคนต่างก็อิ่มแล้ว เอริก้าและอีริคชมไม่ขาดปากว่าอาหารที่ผมทำอร่อยมาก ได้ยินแค่นี้ผมก็ชื่นใจแล้วครับ
ขณะที่ผมกำลังเก็บโต๊ะนั้นโซอี้ก็มาบอกให้ผมลงไปช่วยธีโอ เพราะเธอต้องการไวน์โรเซ่เพิ่มเช่นกัน
“หืม ขวดที่เพิ่งเปิดหมดแล้วเหรอครับ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ดูด้วยว่าใครดื่ม เมื่อก่อนสมัยสาวๆ เธอเล่นจองคนเดียว 5 ขวดเลยล่ะ ฉันนี่แทบประเคนหามาให้แทบไม่ทัน” ลูคัสแซวพลางหอมแก้มโชว์หนึ่งฟอด
ผมขำเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์
ทั้งลูคัสและโซอี้คือนักดื่มไวน์ตัวยง ไม่ต้องบอกว่าทั้งคู่คลั่งไคล้ไวน์มากแค่ไหน ขนาดมีห้องเก็บไวน์ไว้ที่บ้านก็คงจะเดาออกใช่ไหมล่ะครับ ทั้งคู่ดื่มเกือบทุกวัน ดื่มแทนน้ำเปล่าในมื้อเย็น ดังนั้นจึงมีโกดังสะสมไวน์ไว้ก็ไม่แปลก
“อะ อ่าว” ผมเปิดประตูห้องเก็บไวน์จนเกือบชนคนที่โดนใช้ลงมาก่อนหน้า
ในอ้อมแขนธีโอมีไวน์แดงสามขวด และไวน์ขาวหนึ่งขวด
“นายลงมาทำอะไร”
“ลงมาเอาโรเซ่ให้แม่เธอไง” ผมไม่ได้อยากจะตอบกวนตีนนะ แต่ประโยคภาษาอังกฤษมันแปลแล้วออกมาเป็นแบบนี้จริงๆ
“เข้าไปสิ” ธีโอเบี่ยงตัวให้ผมเข้าไปด้านในห้องเก็บอุณหภูมิที่ตั้งไว้สำหรับไวน์โดยเฉพาะ
ผมเพิ่งลงมาห้องนี้ครั้งแรก เลยไม่รู้ว่าไวน์โรเซ่อยู่ไหน เห็นแต่ไวน์แดงกับขาว
“เดินเข้าไปอีก แล้วเลี้ยวขวา”
คนที่ผมคิดว่าจากไปตั้งนานแล้วตะโกนบอก ผมเดินตามนั้นแล้วก็พบกับไวน์สีชมพูอ่อนไปจนเข้ม เหลือบสีส้มบ้างก็มี บรรจุอยู่ในรูปทรงขวดที่ต่างกันไป
เอ่อ...ขวดไหนล่ะเนี่ย?
“Miraval ขวดอ้วนๆ หน่อย อยู่ล่างๆ”
“นายรู้ได้ไงว่าขวดนี้” ผมถามกลับ ได้ยินเสียงผีเท้าใกล้เข้ามา
“ก็นายได้ถามแม่ฉันไหมล่ะว่าให้หยิบขวดไหน” ท่าทางเขาดูแคลนผมสุดๆ โง่ในเรื่องง่ายๆ ประมาณนั้น
เอ่อว่ะ...ลืม
“แม่ฉันชอบขวดนั้นมากที่สุด”
“โอเค ขอบใจ”
ครั้งล่าสุดที่คุยกัน ถึงแม้เขาจะพูดไม่ดีกับผม แต่ตอนนี้ธีโอช่วยเหลือผม ผมก็ควรจะขอบคุณเค้า
ผมได้ขวดไวน์โรเซ่อ้วนๆ มาไว้ในอ้อมแขน แต่พอหันหลังกลับไปดันเจอกับร่างสูงที่ยืนขวางผมอยู่
“หลบไปสิ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองธีโอ สีหน้าเขาดูไม่มั่นใจ เหมือนไม่ใช่ตัวตนเขาที่มักจะมั่นใจอยู่เสมอ
“มีอะไรรึเปล่า?” ผมถาม
“คือว่า...”
“...”
“ขอโทษ”
เงียบไปอึดใจ
“ฉันพูดไม่ดีกับนาย ดูถูกและเหยียดหยามนาย” นัยน์ตาธีโอดูสำนึกผิด “ไม่ว่านายจะมีสีผิว หรือรสนิยมทางเพศเป็นแบบไหนฉันก็ไม่ควรพูดออกไปแบบนั้น...ฉันขอโทษจริงๆ”
เฮ้อ...ผมควรจะให้ออภัยเขาไหม? ท่าทางตอนที่เขาดูถูกผมยังจำฝังใจผมอยู่เลย
แต่ผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรขนาดนั้น อีกอย่างธีโอก็พูดขอโทษแบบแมนๆ ไม่ได้อ้างว่าเมาด้วย ที่เขาดูเงียบๆ ไปหลายวันเพราะแบบนี้เองสินะ สำหรับคนที่มั่นใจในตัวเอง อีโก้สูงขนาดนั้นคงเป็นเรื่องที่ทำใจยากหากต้องเอ่ยคำขอโทษก่อน
“ก็ได้...ฉันรับคำขอโทษไว้ แต่คราวหน้าคราวหลังนายควรจะหัดคิดก่อนพูด”
“ขอบคุณ”
“
คนพูดไม่เคยจำ คนฟังไม่เคยลืม นายเคยได้ยินวลีนี้ไหม?” ธีโอหลุบตาลง “คำพูดน่ะ...ใครๆ ก็พูดออกมาได้ แต่คนที่ได้ยินได้ฟังเขาเก็บเอาไปคิด บางครั้งคำพูดเพื่อความสะใจแค่ชั่วครู่ แต่มันอาจพังทลายความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนได้เลยนะ”
“ครับ”
“ดังนั้นก่อนจะพูดอะไร คิดให้ดี ว่ามันคุ้มไหมก่อนที่จะพูดออกมา แต่ถ้าพูดออกมาแล้วมันมีประโยชน์ก็พูดออกมาเถอะ”
“เข้าใจแล้ว บ่นเหมือนคนแก่เลย”
“ยังไม่ทันขาดคำ”
“ล้อเล่นน่า”
“ไม่มีการล้อเล่นใดๆ ทั้งนั้นแหละ”
เก๊กขรึมไว้มิค อย่าหลุดขำนะ
“ขอโทษครับ” ธีโอพูดเสียงหงอย
“เพื่อเป็นการลงโทษต่อไปนี้นายต้องเรียกฉันว่า ‘พี่มิคสุดหล่อ’”
“ผีมิคซูดล่อ”
ไม่ใช่โว๊ยยยยยย
“พี่มิคสุดหล่อ”
“พีมิคสูทลอ”
“พี่-มิค-สุด-หล่อ” ผมเน้นย้ำทีละคำ
“พี้-มิค-ซุท-ล้อ”
“เฮ้อ..ก็ได้ว่ะ” ผมบ่นออกมาเป็นภาษาไทย
“เมื่อกี้พูดว่าไรนะ” เขาถาม
“ไม่มีอะไร ต่อไปนายคงออกเสียงถูกเอง เรียกบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”
“โอเคผีมิคซุทล่อ”
เหมือนไอ้คนร่างสูงกว่าแต่เด็กกว่าผมจะรู้ว่าหากเรียกผิดโทนแล้วมันทำให้ผมหงุดหงิดได้ก็เหมือนจะชอบใจใหญ่ อย่าคิดนะว่าไม่เห็นลักยิ้มมุมปากนั่น
“ว่าแต่ฉันไปได้หรือยัง?”
“ทำไม?”
ธีโอชูขวดไวน์ในมือ
“ป่านนี้พ่อกับแม่ฉันคงเป็นห่วงแย่แล้ว”
“เออจริงด้วย”
“เป็นห่วงไวน์นะ ไม่ได้เป็นห่วงฉัน” ธีโอพูดขำๆ
ผมหัวเราะให้กับมุกตลกที่นานๆ ทีจะออกมาจากปากธีโอ
*Guten Abend เป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า สวัสดีตอนเย็น
**Rosé Wine ไวน์โรเซ่ คือ ไวน์สีชมพูดอกกุหลาบ มีสีชมพูอ่อน ไปจนถึงสีชมพูเข้ม ผลิตขึ้นจากองุ่นแดง หรือองุ่นดำ แต่ในกระบวนการหมัก เปลือกองุ่น หรือส่วนอื่น ๆ จะถูกทิ้งให้สัมผัสกับน้ำองุ่นเพียงช่วงสั้น ๆ ราว 12-36 ชั่วโมงเท่านั้น นอกจากนั้น การผลิตไวน์โรเซ่ ที่เป็นการนำไวน์แดง (Red Wine) และไวน์ขาว (White Wine) มาเบลนด์ (Blended) เข้าด้วยกัน ก็เป็นอีกวิธีที่นิยมใช้เช่นกัน
TBC