BED CARE JOB
ตอนที่ 12 ขอบคุณให้ทำแบบนี้
ผมหายไข้ ฟื้นตัวเร็วอย่างกับว่าเรื่องเมื่อสองวันก่อนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง วันนี้คือวันพุธ อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่ามหาวิทยาลัยผมจัดงานเปิดบ้านหรือที่เราชอบเรียกว่าโอเพน เฮาส์นั่นละครับ คณะของผมเองก็จัดงานนี้ด้วยเช่นกัน และไม่ยอมน้อยหน้าคณะอื่นเสียด้วย
เสียงอึกทึกพูดคุยดังไปทั่วใต้ถุนคณะ เรามีกิจกรรมมากมายหลายรูปแบบ มีสื่อการสอนห้องเรียนที่พวกผมใช้เรียนมาตลอดสี่ปี รวมไปถึงแนะแนวอาชีพเมื่อเราเรียนจบออกไป ขาดไม่ได้เลยคือความน่ารักของคนในคณะผม ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส คอยให้คำปรึกษาน้อง ๆ กันอย่างตั้งอกตั้งใจและเต็มที่มาก และที่สำคัญคนคณะนี้หน้าตาดี ไม่รู้ละ ผมเรียนคณะนี้ก็จะรวมตัวเองเข้าไปในข้อนี้ด้วย
เมื่อเช้าผมได้รับการอนุเคราะห์จากคุณคีนและคุณเคนมาส่งถึงที่หน้าประตูของมหาวิทยาลัย คือมันก็ไม่เชิงว่าเขาตั้งใจมาส่งผม แต่คุณเคนไปรับคุณคีนที่คอนโด ผมเลยได้อานิสงส์พ่วงมาด้วย ด้วยความที่ผมไม่อยากเป็นจุดเด่น ผมเลยขอลงที่หน้ารั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งพวกเขาสองคนก็เข้าใจ ไม่ว่าอะไร
ก่อนลงจากรถผมยังได้ของติดไม้ติดมือมาจากคุณคีนด้วย มันเป็นถุงกระดาษใบหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่ กลาง ๆ ในนั้นบรรจุของไว้หลายอย่าง มีแซนด์วิชที่คาดว่าคุณเคนเป็นคนซื้อมาให้ มีน้ำเปล่า มียา และมีกล่องขนาดประมาณฝ่ามือ ผมตกใจเพราะมันเป็นกล่องโทรศัพท์มือถือ ตอนรับมาผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ถ้ารู้คงไม่รับมาแน่นอน
ผมเรียกถุงกระดาษใบนั้นว่าถุงยังชีพ พวกเขาทำเหมือนส่งลูกหลานคนหนึ่งมาเข้าค่ายที่คณะ อาหารการกินพร้อมสรรพ กลัวผมอดตาย อีกนิดอาจจะมีการใส่เงินในกระเป๋ากางเกงผมแล้วเอายางรัดไว้เพราะกลัวหายแล้ว
ตอนนี้ถุงใบนั้นถูกวางอยู่ในห้องกิจกรรมของนักศึกษา ผมเทียวเดินเข้าเดินออกห้องนั้นตลอดเพราะกลัวมันหาย ถ้าหายไปผมต้องหาเงินมาซื้อโทรศัพท์คืนเขาอีก ไม่รู้รุ่นและยี่ห้ออะไรด้วย ว่าแล้วผมก็กลับเข้าไปในห้อง และแอบมองถุงนั้นอีกครั้ง มันยังอยู่ดีไม่หายไปไหน ผมจึงโล่งใจเดินกลับออกมา
นึกถึงเหตุการณ์ก่อนมามหาวิทยาลัย ตอนที่คุณเคนมากดออดที่หน้าห้องแล้วเข้ามาทักทายผมด้วยรอยยิ้มสดใส สายตาเขาเจิดจ้าเหมือนแสงแดดยามเช้าที่ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นจริง ๆ อยากรู้เหลือเกินว่าคุณคีนคัดเลือกคนเข้ามาทำงานด้วยดวงตาและหน้าตาหรือเปล่า แต่คิดแล้วคงไม่ใช่แน่เพราะผมมีคุณสมบัติไม่ตรงเลย ผมตาชั้นเดียวไม่ได้มีดวงตากลมโต จมูกก็ไม่ได้โด่งเหมือนคุณคีนหรือคุณเคน แค่มีดั้งนิดหน่อยเท่านั้น โชคดีที่ยังพอมีคิ้วบ้าง ทว่าไม่ได้หนาเข้มอะไรเลย
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขัดใจผมก็คือปาก ผมไม่ชอบปากตัวเองมากที่สุด ผมคิดว่ามันห้อยเกินไป ผมอยากจะไปตัดมันออกติดที่ว่าผมไม่มีเงินและเสียดายเงินเกินกว่าจะมาวุ่นวายเรื่องปากห้อย ๆ นี่ และคงมีอย่างเดียวที่ผมคิดว่ามันดีที่สุดบนร่างกายผมก็คือผิว ผมมีผิวขาว แม้ผมจะติว่ามันขาวเกินไปหน่อย หากหลายคนทักว่ามันดีและเข้ากับผม เพราะฉะนั้นถือเป็นส่วนดีแล้วกัน น่าแปลกเหมือนกันที่ทั้งพ่อแม่หรือปิงกลับไม่ขาวมาก ผมเคยคิดว่าถูกเก็บมาเลี้ยง ถ้าหากว่าปิงกับผมจะหน้าตาไม่คล้ายกันล่ะนะ
“ไง หายดีหรือยัง” โจเดินมาหาผมที่กำลังยืนมองจุดที่น้อง ๆ ในคณะให้คำแนะนำกับเด็กในชุดนักเรียนอยู่
“หายดีแล้ว ขอบใจนะ”
“ตกใจแทบตายตอนไปหามึงที่ห้องแล้วไม่เจอ ดีนะที่มึงฝากป้าเจ้าของห้องไว้”
“โทษทีนะ กูกลัวเป็นหนักแล้วไปหาหมอไม่ได้ เลยรีบไปก่อน” ผมตอบแต่ไม่ได้สบตากับโจ คิดว่าผมโกหกมันสำเร็จไหม โจหรี่ตาจับผิด ผมรีบเปลี่ยนเรื่องคุยโดยเร็ว “ปีนี้คึกคักดี มึงว่าไหม”
“อืม ถ้าจบออกไปคงคิดถึงบรรยากาศแบบนี้”
“ใช่ อีกไม่กี่เดือนก็ต้องกลายเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มตัวแล้ว” ผมพยักหน้าเห็นด้วยและโล่งใจไปพร้อมกันที่โจไม่ทักถึงอาการป่วยผมต่อ
“ไปทำงานกับที่บ้านกูไหม”
“ไม่เอา” ผมส่ายหน้า เข้าไปในฐานะเด็กเส้น ผมไม่อยากได้ ผมไม่อยากเห็นสายตาดูแคลนและได้ยินคำพูดซุบซิบนินทาลับหลัง
“กลัวอะไร”
“เด็กเส้นไม่ดีหรอก”
“ใช่ที่ไหนกัน พ่อกูอยากให้มึงไปทำงานด้วย ก็เหมือนมึงผ่านสัมภาษณ์แหละวะ”
“ฝากขอบคุณคุณพ่อมึงด้วยนะโจ แต่เอาไว้กูอับจนหนทาง หางานทำไม่ได้ก่อนค่อยไปของานมึงทำก็แล้วกันนะ”
“ตามใจ แล้วนี่กินข้าวหรือยัง ไปหาหมอมา เขาให้ยามาด้วยไหม”
“ให้ ๆ อีกสักพักกูว่าจะไปกินพอดีจะได้กินยาด้วย” ผมบอกเพราะใกล้เที่ยงแล้ว ส่วนมื้อเช้าผมจัดการไปแล้วเรียบร้อย ไม่อยากให้คุณเคนเสียน้ำใจ
“งั้นไปตอนนี้เลย เดี๋ยวเที่ยงแล้วคนเยอะ”
“อืม”
“มาอยู่นี่เอง หิวข้าวว่ะ ไปกินข้าวกัน” ภพกับเอกเดินเข้ามาชวน และมีสามสาวเดินตามหลังมา
“กำลังจะไปอยู่พอดี” ผมตอบ พวกเราจึงเดินมุ่งหน้าไปโรงอาหารคณะด้วยกัน
โรงอาหารคณะมีคนอยู่ไม่มากอย่างที่โจบอก ทุกคนแยกย้ายกันไปซื้ออาหารที่ตนเองอยากกิน ส่วนผมไม่ได้ไป โจบอกให้นั่งเฝ้าโต๊ะ และมันจะไปซื้อของกินมาให้ผมเอง
“หายป่วยแล้วเหรอ” เปิ้ลที่กลับมาคนแรกทักขึ้นเมื่อเธอหย่อนตัวนั่งตรงข้ามกับผม
“ใช่ หายแล้ว”
“วันนั้นหน้าแกดูแย่มากอะเปล นึกว่าจะไม่สบายหนักแล้ว”
“ก็หนักกว่าปกติ” ผมบอกแต่ไม่อธิบายว่าปกติของผมเป็นแบบไหน
“แล้วได้ไปหาหมอหรือเปล่า” เธอถามต่อ
“ไปวันนั้นเลย”
“ก็ดี ถ้าแกไม่สบาย แล้วอาการไม่ดี เราคงรู้สึกไม่สบายใจ”
“หืม? ทำไมต้องรู้สึกไม่สบายใจด้วย”
“แกไปทำงานเหมือนที่เราทำไม่ใช่เหรอ” เปิ้ลโพล่งขึ้นมาเบา ๆ แต่พุ่งเข้าเป้ามาก
ผมตกใจเกือบจะลุกขึ้นยืนแล้วเชียวที่รุ่นพี่ผมแดงรู้ว่าผมเคยทำงานอะไร แต่ก็ยั้งอาการตัวเองไว้ได้ทัน
“รู้ได้ไง”
“วันนั้นเราได้ยินแกคุยกับโจว่าแกทำงานตามเรา” ผมอึ้งไป ผมที่เคยแอบฟังสามสาวคุยกัน เอาเข้าจริง พวกเธอก็ได้ยินที่ผมคุยกับกลุ่มผมเหมือนกัน แล้วจำเพาะว่าต้องได้ยินเรื่องเด็ด ๆ ไปเสียด้วย
“เอ่อ...” แล้วจะให้ผมพูดอะไร นิ่งฟังใบ้กินสิ
“มันไม่ดี รู้ใช่ไหม แต่มันเป็นงานที่ได้เงินเร็ว คืออย่างนี้...เรานึกว่าแกไม่สบาย ติดโรคมาจากลูกค้า”
“ไม่ใช่อย่างที่เปิ้ลคิด เราแค่ป่วยไม่ได้เป็นอะไร” ผมรีบละล่ำละลักตอบ สำลักน้ำลายขั้นสุด
“อืม อย่างนั้นก็ดี ถ้าจะทำงานแบบนี้ แกต้องไปตรวจร่างกายบ่อย ๆ นะ” เธอเตือนผมด้วยความเป็นห่วง
“เราเลิกทำแล้ว ตอนนั้นเราจำเป็นต้องใช้เงินมากเลยไปทำงานนั้น แต่ทำได้ไม่กี่ครั้งก็เลิก”
“เลิกได้ก็ดี อย่ากลับไปทำอีก เงินมันดี แต่มันก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง แกอาจจะเจอลูกค้าที่มีโรคร้าย ไม่ปลอดภัยหรือลูกค้าที่ชอบทำร้ายคู่นอนก็ได้ เราเตือนด้วยความหวังดีนะจากคนที่ทำงานนี้มาก่อน” ผมรู้สึกขนลุกเล็กน้อยเมื่อเปิ้ลพูดถึงผลการกระทำ โจเองก็เคยบอกกับผมอย่างนี้เหมือนกัน ทุกคนรู้และคิดได้ มีแต่ผมที่ขาดสติ ขาดความยั้งคิดและเลือกเงินโดยไม่สนใจอะไรเลย
“ขอบคุณนะ แต่ตอนนี้เราไม่ได้ทำแล้ว อันที่จริงคิดจะกลับไปทำเหมือนกัน ก็..นะ เรื่องเงินเหมือนเดิม แต่เขา เอ่อ..ลูกค้า ยินดีจะช่วยเรา”
“โชคดีมากที่แกเจอลูกค้าดี ๆ”
“อือ ใช่ โชคดี เราก็คิดอย่างนั้น เราทำงานนี้มีเขาเป็นลูกค้าคนเดียวแล้วก็เลิกไป ตอนที่ไปขอร้องก็กลัวเหมือนกันว่าเขาจะปฏิเสธ”
“เราไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงหรือวุ่นวายเรื่องของแกหรอกนะ แต่ถ้ามีลูกค้าติดต่อมา แกลองมาถามเราให้ช่วยดูก่อนรับงานก็ได้ จะได้ช่วยกันสแกน ไม่อยากให้เจอลูกค้าไม่ดี อ้อ เราไม่คิดตังหรอกนะ” เธอยิ้มให้ เพิ่งเห็นว่าเปิ้ลเป็นคนยิ้มสวยคนหนึ่งเลย ก็อย่างที่ผมบอกไง คณะผมหน้าตาดี รวมถึงผมด้วย ขอย้ำอีกครั้ง
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร เพื่อนกัน” เธอยักไหล่ด้วยท่าประจำตัวแล้วตั้งท่าเตรียมลงมือกินข้าวที่เธอซื้อมา
“นี่เปิ้ล”
“หืม?” เธอเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวตรงหน้า
“เรื่องนี้ อย่าบอกใครได้ไหม” ผมขอร้อง
“แน่นอน ไม่บอกใครหรอก เราเข้าใจ”
ผมอยากบอกเธอนะว่าลูกค้าคนนั้นคือคุณคีน คนที่เธอชื่นชมและเขาเป็นคนดีมาก แต่ตระหนักได้ว่าบอกเปิ้ลไปก็ไม่มีประโยชน์และจะทำให้ดูว่าผมต้องการอวดเธอเท่านั้น ไม่เหมาะ ๆ และที่สำคัญคุณคีนคงไม่ต้องการให้ผมบอกใคร
“เอ้านี่ ข้าวต้มปลา” โจวางชามข้าวต้มตรงหน้าผม
“ไม่อยากกินอะ” ผมเบะปากเล็กน้อย ข้าวต้มอีกแล้ว
“ทำไม อย่างอแง อุตส่าห์ไปยืนต่อคิวตามสั่ง กิน ๆ ไปเถอะ เพิ่งหายไข้อย่าเรื่องมาก”
“กินมันทุกวันแล้ว ใครเป็นคนบอกวะ คนหายไข้หรือคนป่วยต้องกินแค่ข้าวต้ม อยากกินข้าวขาหมู” ผมบ่นกระปอดกระแปดไม่พอใจ
“กินที่มีอยู่ไปก่อน ถ้าไม่อิ่มจะไปซื้อให้ เลิกโวยวายด้วย” โจไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไร อีกอย่างมันคงรำคาญเลยพูดดักทางไม่ให้ผมพูดต่อ
“ข้าวขาหมู...” ผมพึมพำในคอไม่กล้าส่งเสียงดังมาก กลัวโจมันด่าตามมารอบสอง แล้วจำใจกินข้าวต้มไปอย่างเงียบเชียบ
“พวกมึงนี่เหมือนแฟนกันเลย แต่เปลเคยบอกเราว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน” เปิ้ลแทรกขึ้น
“อืม เพื่อนกัน ไม่อยากได้มันมาเป็นแฟนหรอก มีเพื่อนเหมือนมีลูก แกดูดิโวยวายเก่งอย่างกับเด็กห้าขวบ” โจบ่นต่อจนได้
“ไม่ต่างกันหรือเปล่าวะ แกเองก็บ่นเก่งอย่างกับพ่อ ว่าไปก็เหมาะกันดีนะ คนหนึ่งพ่อ คนหนึ่งลูก” เปิ้ลพูดติดตลกกลับไป
“ไม่เอา เป็นแบบนี้แหละ แค่นี้ก็ปวดหัวมากแล้ว” โจส่ายหน้า แสดงสีหน้าว่าเพลียกับคนอย่างผม “รีบกินให้หมดเสร็จแล้วจะได้กินยา” แต่โจก็คือโจ มันยังไม่ลืมหันมาดุใส่ผมอีก
“รู้แล้วน่า”
ทุกคนกลับมาที่โต๊ะในโรงอาหารครบแล้ว การนั่งของพวกเราแบ่งฝั่งชัดเจน ผู้หญิงนั่งฝั่งหนึ่ง ผู้ชายนั่งอีกฝั่งหนึ่ง อยู่ตรงข้ามกัน แต่ละฝั่งต่างคุยในกลุ่มของตัวเอง ผมไม่ได้พูดอะไร นอกจากฟังพวกมันคุยกัน เอกและภพคุยเรื่องเลือกตั้งที่เรายังไม่รู้ผลว่าใครเป็นนายก ส่วนโจก็แทรกเรื่องบอลขึ้นมา มันบ่นตามนิสัยเพราะทีมที่มันเชียร์อยู่แพ้เตะเมื่อคืน ทำให้ตกอันดับไป ผมนั่งฟังบ้าง รับคำบ้าง รู้เรื่องบ้าง งง ๆ บ้าง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม
ทางด้านสามสาวก็คุยกันถึงเรื่องเสื้อผ้า การแต่งตัว ความอ้วนที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้หญิง แต่ไปไงมาไงไม่รู้ถึงมาจบที่แฟนหนุ่มของเปิ้ล
“ตกลงมันไม่เลิกเหรอวะ” ข้าวหันไปถามสาวผมแดง ลำดับที่นั่งของพวกเธอต่างไปจากเวลาเข้าเรียน จากที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้พวกเธอนั่งเรียงกันโดยมี เปิ้ล ข้าวและเกด นับจากซ้ายไปขวา
“เออ”
“ทำไมหน้าทนนักวะ ถ้ามันไม่ได้รักใคร่หลงมึงแล้ว ทำไมไม่เลิกให้จบ ๆ ไป”
“อยากได้เงินน่ะ” เปิ้ลถอนหายใจ
“บอกกูมาสิว่ามึงไม่ได้ให้มันใช่ไหม” ข้าวเกือบจะกรรโชกถามเลยด้วยซ้ำ เธอคงเป็นห่วงเพื่อนมาก
“ให้”
“อ้าว อีนี่ อะไรของมึง” ข้าวทำเสียงไม่พอใจถึงขั้นสุด
“มึงดูนี่ก่อน” เธอปลดกระดุมลงมาเพื่อแหวกคอเสื้อให้กว้างขึ้น
“เฮ้ย ๆ จะมาปลดมาถอดอะไรตรงนี้ พวกกูเป็นผู้ชายนะ” ภพพูดเสียงดังเมื่อเห็นว่าสาวตรงข้ามกำลังทำอะไร
“ก็ไม่ได้อยากจะโชว์พวกแกหรอก” เปิ้ลจิ๊ปากขัดใจ ไม่ได้สนใจคำพูดของภพ เธอเปิดคอเสื้อให้มันกว้างขึ้นจนเห็นไหล่
“ไอ้เลว!ไอ้ โอ๊ย ไอ้ ไอ้ กูไม่รู้จะเอาคำไหนมาด่า” ข้าวพูดไม่ออกเมื่อเห็นรอยช้ำเขียว ๆ ม่วง ๆ เป็นปื้นที่ตัวเปิ้ล
มันคือรอยบีบที่ค่อนข้างแรงมากจนทำให้ช้ำถึงขนาดนี้
“เฮ้ย นั่นแฟนแกเป็นคนทำเหรอ” คราวนี้กลุ่มผมหันมาสนใจที่เปิ้ลกันหมด เลิกคุยเรื่องตัวเอง เปิ้ลติดกระดุมเสื้อคืนอย่างเรียบร้อยแล้วพยักหน้าตอบว่าใช่
“เอาไงดี” เกดมีสีหน้าเครียด “เอางี้ไหม มึงย้ายมาอยู่ห้องกูก่อน” เกดเสนอความคิด
“หืม? จะดีเหรอ”
“เออสิ ดีที่สุด”
“แล้วจะขนของไปยังไงอะ มันอยู่ที่ห้องเกือบตลอดเวลา” เปิ้ลว่าอย่างนั้น
“ไอ้นี่มันไม่ไปเรียนเหรอวะ”
“ไม่ค่อยไปหรอก”
“ช่างมัน พวกเราก็เข้าไปช่วยขนกันทั้งหมดนี่แหละ” ข้าวบอกด้วยความโมโห
“ไม่ดีหรอก กูกลัวว่ามันจะอาละวาดแล้วเกิดเรื่องใหญ่”
“แล้วจะย้ายได้ตอนไหนเล่า” ข้าวโอดครวญ
“ก็ย้ายตอนที่แฟนเปิ้ลไปหาผู้หญิงสิ เขามีคนใหม่ไม่ใช่เหรอ” ผมโพล่งเสนอความคิดเห็นขึ้นมา
“ไอ้เปล!” เสียงอุทานเป็นชื่อผมโดยพร้อมเพรียงกันจากเพื่อนในกลุ่ม
“ทำไม กูพูดอะไรผิด” ผมมองหน้าพวกมันทั้งสาม
“ไม่ใช่ผิด แต่มึงรู้เรื่องเปิ้ลด้วยเหรอวะ” เอกเป็นคนถามผม
“ไม่รู้อะ รู้มั้ง ไม่รู้ดิ” ผมตอบมั่ว ๆ จะให้บอกมันว่าผมแอบฟังสามสาวคุณกันได้ยังไงกัน ขายหน้าแย่
“ช่างเรื่องเปลก่อน กูว่าความคิดเปลเข้าทีนะ” เกดบอก
“เออ เห็นด้วย” ข้าวสนับสนุน
“เอาอย่างนี้ละกันอีเปิ้ล มึงไปสืบมาให้ได้ว่าแฟนมึงจะไปหาเมียใหม่มันตอนไหน แล้วพวกเราก็รีบไปขนของมึงเดี๋ยวนั้นเลย”
“เอาอย่างนี้เหรอ” เปิ้ลทวน
“อย่างนี้แหละ ดังนั้นพวกเราต้องสแตนด์บายรอเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ ระหว่างนี้มึงก็แอบ ๆ จัดของไว้บ้างล่ะ ถ้ามันถามก็บอกว่าจัดห้องใหม่อะไรก็ว่าไป” เกดสรุป
“อืม”
“โทรบอกเราแล้วกัน จะเอารถไปช่วยขนจะได้หมดทีเดียว” โจบอกต่อ
“เราด้วย/เราด้วย เดี๋ยวไปช่วย” ภพและเอกก็รีบสมทบตาม รวมทั้งผมด้วยอีกคน
“เปล มึงไม่ต้องไป” โจหันมาห้ามผม
“อ้าว ทำไม”
“เพิ่งหายป่วย อยู่เฉยไปก่อน”
“ไม่เห็นเกี่ยวเลย ยังไม่รู้ว่าจะขนวันไหนด้วยซ้ำ พอถึงวันนั้นแล้วกูอาจจะหายดีแล้วก็ได้” ผมเถียง
“ถ้าย้ายมาแล้วมันไม่จบอะ” เอกไม่สนใจ ถามเรื่องเดิมต่อ
“มันไม่จบง่าย ๆ หรอก หลังจากย้ายออก เปิ้ลก็อย่าอยู่คนเดียว ทำตัวติดกับกลุ่มเราไว้” โจบอก
“อืม แล้วถ้ามันไม่จบจริง ๆ คงต้องไปแจ้งความ” เกดเสริมขึ้นมา
“กูไม่อยากให้เรื่องบานปลายถึงขนาดนั้นเลย” เปิ้ลบอกด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“เรายังไม่รู้แน่สักหน่อย แค่คาดเดาสถานการณ์ก่อนเท่านั้น อย่าคิดมากนะเปิ้ล” เกดปลอบใจ
“อืม ขอบใจพวกมึงมากนะ” เปิ้ลบอกทุกคน แววตาของเธอค่อยสดใสขึ้นมาบ้าง
“ไม่เป็นไร เพื่อนกัน” ผมยืมคำพูดเปิ้ลมาตอบ เปิ้ลคงเข้าใจว่าพวกเราหวังดีและอยากช่วยเหลือเธออย่างแท้จริง เหมือนที่เธอหวังดีกับผม
ช่วงเย็นคนซาจากในคณะไปมากแล้วผมเองก็เริ่มเพลีย หลอกตัวเองว่าหายดีทั้งที่ร่างกายมันยังไม่คืนสภาพกลับมาร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมกลับเข้าห้องกิจกรรมแล้วหยิบถุงยังชีพออกมา เตรียมจะกลับไปพักที่ห้อง โดยมีโจทำหน้าที่ไปส่งผม แม้ผมจะปฏิเสธว่าผมสามารถกลับเองได้ มันเถียงกลับมาว่าถ้าผมเป็นลมระหว่างทางไปใครจะช่วย กลายเป็นภาระคนอื่นไปอีก ผมเลยปล่อยเลยตามเลย แล้วแต่โจละกัน
“ถุงอะไร” โจเห็นตั้งแต่ผมหิ้วถุงกระดาษออกมาจากห้องกิจกรรม หิ้วขึ้นรถ หิ้วเข้าห้องก่อนจะวางถุงลงบนโต๊ะญี่ปุ่น
“ถุงขนมน่ะ” ผมตอบสั้น ๆ พลางมองไปรอบห้อง ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ไม่อยู่สองวันคิดถึงห้องเหมือนกันนะ
ผมนั่งลงบนเตียงก่อนจะปลดกระดุมเสื้อออกสองเม็ดเพื่อคลายร้อน ชุดที่ผมใส่อยู่เป็นชุดนักศึกษาชุดใหม่ ไม่รู้ว่าเป็นคุณคีนหรือคุณเคนที่หาซื้อมาให้ผม แต่เดาว่าคงเป็นคุณเคนแล้วกัน ชุดที่เขาซื้อมาให้ใส่ได้พอดีตัว ผมอาจจะมีขนาดตัวมาตรฐานละมั้ง ทว่าผมไม่ค่อยแปลกใจหรอก อันที่จริงมันก็พอดีตัวตั้งแต่คุณคีนเอาชุดนอนมาให้แล้ว ตกลงว่าใครเป็นคนซื้อที่แท้จริงกัน
“เหนื่อยหรือเปล่า” โจถามขึ้น มันมานั่งบนเตียงข้างผม
“ไม่อะ แค่เพลียนิดหน่อย แล้วโจอะ”
“กูไม่เป็นไร ไม่ได้เพิ่งหายป่วยแบบมึง” โจพูดจบก็เงียบ มันกำลังจ้องหน้าผมอยู่
“อะไร” ผมพูดเสียงเข้ม ตั้งใจใช้เสียงข่ม
“ชุดใหม่?” มันถามแล้วมองมาที่ชุดนักศึกษาบนตัวผม
“อืม ทำไม กูซื้อใหม่ไม่ได้เหรอ” ผมรีบโวยวายก่อน เผื่อว่าเริ่มก่อนจะได้มีชัยเอาชนะมันได้
“ได้สิ แต่คนอย่างมึงไม่มีทางซื้อชุดใหม่โดยที่ชุดเก่ายังไม่ขาดและที่สำคัญเรียนใกล้จะจบแล้วด้วย มึงยิ่งไม่มีทางซื้อเด็ดขาด”
“ก็..ก็เพราะชุดขาดไงเลยซื้อใหม่” ผมรีบเอาคำพูดมันมาใช้
“มึงไปซื้อตอนไหน”
“เมื่อวาน”
“เหรอ..”
“ใช่ ๆ” ผมรีบพยักหน้าอย่างแรงจนคอแทบหัก แต่โจมียังมองผมอย่างไม่ไว้ใจ
“บอกกูมาตามตรงเปล ใครซื้อเสื้อผ้าให้มึง ใครพามึงไปหาหมอ แล้วเมื่อวานและคืนก่อนมึงอยู่ที่ไหนกับใคร”
โจ ถามรัวมาเป็นชุด ผมกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ ทำไมมันช่างเหนียวหนืดขนาดนี้
“กูไปหาหมอเอง” ผมอ้อมแอ้มตอบ
“ป้าเจ้าของห้องบอกมีผู้ชายหน้าตาดีพามึงออกไป”
โอ๊ย ผมลืมไปได้ยังไงว่าป้าต้องเห็นเหตุการณ์อยู่แล้ว
“เหรอ เพื่อนกูเอง”
“นอกจากกูที่เป็นเพื่อนหน้าตาดีของมึงแล้ว กูไม่เห็นจำได้ว่ามึงมีเพื่อนคนอื่นอีก” โจพูดออกมาไม่อายปาก แต่ก็ยอมรับว่ามันหน้าตาดีอย่างที่มันพูด
ย้ำอีกครั้งว่าคณะผมหน้าตาดี ผมเองคือหนึ่งในนั้น
“เพื่อนที่ทำงานไง” ผมยังตะแบงเถียงมันต่อไป แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าผมคือคนโกหกไม่เก่งและโจไม่มีทางเชื่อแน่นอน มันถอนหายใจเสียงดัง
“พูดความจริงกับกู” มันจ้องมองผมไม่ลดละ บอกแล้วไงครับ ผมโกหกไม่เก่งเลย ไม่ทันไรผมก็ถูกมันคาดคั้นอีกแล้ว
“เขาพาไปหาหมอ” ผมหดคอลงเล็กน้อยในจังหวะที่ตอบ
“เขาไหน” โจขมวดคิ้ว “มึงรู้จักคนอยู่ไม่กี่คนแล้วทุกคนกูเคยเห็นหน้าหมดแล้ว นอกจาก...ลูกค้าที่มึงไปรับงาน”
“อือ คนนั้นแหละ” ผมอยากทำตัวลีบแล้วแห้งตายไปกับเตียงเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ต้องมาตอบคำถามโจอีก ไม่ใช่ว่าผมรำคาญโจ รู้ว่าดีว่ามันห่วงผมแค่ไหน แต่ผมไม่อยากฟังมันบ่นอะ
“ไหนมึงบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับเขาอีกแล้ว” โจถามเสียงเครียด
“มันมีเรื่องบังเอิญนิดหน่อย กูเลยได้เจอกับเขา”
“แล้วเขารู้ที่อยู่มึงได้ไง มึงบอก?”
“เปล่า กูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมรีบบอกปัด ส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ทำไมเขาต้องเป็นคนพามึงไปที่โรง’บาลด้วย เป็นแค่อดีตลูกค้ามึงเนี่ย ไม่จำเป็นต้องมาทำอะไรแบบนี้มั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาติดใจมึง” โจสันนิษฐานเสร็จก็จับแขนผมทันที “ใช่ไหม ตอบกู” มันคาดคั้นอยากได้คำตอบ
“ไม่รู้ กูไม่รู้ ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดหรอก” ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณคีนทำแบบนี้ทำไม แล้วผมก็ไม่ได้ถามเขาด้วย
“กูไม่ไว้ใจ ลูกค้าเก่ามึงคิดอะไรกับมึงก็ไม่รู้ อย่าติดต่อกับเขาอีก แล้วถ้าเขายังมาหามึงที่นี่ กูว่ามึงควรทำแบบเปิ้ล ย้ายออกจากห้องนี้ซะ”
“ย้ายออกแล้วกูจะไปอยู่ที่ไหนอะ” ผมถามมันกลับ
“ไปอยู่ที่คอนโดกูก่อน”
“ไม่ไป”
“มึงอย่าดื้อ ถ้าเขามาทำร้ายมึงจะทำไง”
“ไม่ทำหรอก เขาเป็นคนพากูไปหาหมอ ดูแลกูดีจะตายไป” ผมค้านเสียงแข็ง และหวังให้มันเข้าใจผม คุณคีนเขาไม่ได้คิดร้ายกับผมสักหน่อย
“มึงเชื่อใจคนง่ายเกินไปแล้วไอ้เปล” โจบ่นและถอนหายใจอีกรอบ
“เขาเป็นคนดี เชื่อกูนะ เชื่อกูเถอะ”
“ที่พูดออกมาเนี่ย รู้จักเขาดีแค่ไหนกัน” โจหยั่งเชิงถามผม
“ถึงกูจะยังรู้จักเขาไม่เท่าไหร่ แต่กูมั่นใจว่าเขาเป็นคนดี”
“มึงไม่ทันเกมเขาหรอก มึงมันซื่อเกินไป ย้ายไปอยู่กับกูก่อนจะดีกว่า”
“กูไม่อยากไป แล้วกูคิดว่าครั้งนี้กูดูคนไม่ผิดหรอก และที่สำคัญกูชอบ...”
ก๊อก ก๊อก.. ผมยังพูดไม่ทันจบประโยค ประตูหน้าห้องก็ถูกเคาะดังขึ้นมาเสียก่อน
“น้องเปลครับ” เสียงนี้?เสียงคุณเคน
“ใครน่ะ” โจถามถึงคนที่มาเคาะห้อง
“คุณเค..” ผมพูดชื่อไม่ทันจบ มันก็ผลุนผลันลุกขึ้นไปเปิดประตูออกให้คุณเคนเสียแล้ว
“คุณเป็นใคร?” โจเสียงดังกว่าปกติตอนที่ถามคุณเคน ผมรู้ว่ามันพยายามข่มเสียงให้นิ่งที่สุดแต่ก็ปิดไม่มิด
“ถ้าเดาไม่ผิด คุณคงเป็นโจ เพื่อนน้องเปลใช่ไหม” คุณเคนทักอย่างสุภาพ
“ใช่ แล้วคุณคงเป็นลูกค้าเก่าใช่ไหม” โจทำเสียงเหมือนไม่ยอมเป็นรองว่าในเมื่อคุณเคนรู้จักเขา โจก็รู้จักอีกฝ่ายเช่นกัน แต่ไม่ทันแล้วโจ ที่โจเข้าใจไปน่ะ มันผิดแล้ว คนนั้นไม่ใช่ลูกค้ากู
“ก็..ไม่เชิง”
“มีธุระอะไร”
“ผมมาดูเขา น้องเพิ่งหายไข้กลัวไข้จะกลับ” คุณเคนสูงกว่าโจ เลยมองผ่านไหล่โจมาหาผมได้อย่างง่ายดาย
“เพื่อนผมไม่เป็นไร ถ้าหากเขาไม่สบายอีก ผมดูแลต่อเองได้ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
ผมรีบลุกจากเตียงไปยืนแทรกกลางระหว่างสองคน กลัวว่าเหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ถ้ายังปล่อยให้โจคุกคามคุณเคนต่อไป ถึงแม้ว่าคุณเคนจะไม่มีอาการทุกข์ร้อนใด ๆ เลยก็ตาม
“คุณเคนสวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับน้องเปล เป็นไงบ้าง” อีกฝ่ายบอกแล้วส่งรอยยิ้มมาให้ เขาเติมคำนำหน้าชื่อให้ผม ตั้งแต่ที่เราเจอกันเมื่อเช้านี้ แต่ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง โจก็ดึงผมให้ไปยืนอยู่ข้าง ๆ มัน หรือพูดให้ง่ายคือดึงตัวผมให้ออกห่างจากคุณเคน
“ผมเพลียนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วง แล้วเอ่อ..คุณคี...” ผมกำลังจะถามถึงอีกคนแต่คุณเคนขยิบตาข้างหนึ่งส่งให้ บอกใบ้เป็นนัยว่าไม่ต้องการให้ผมเอ่ยชื่อคุณคีนต่อหน้าคนอื่นหรือต่อหน้าโจ ผมจึงกลืนชื่อคุณคีน ลงคอไปอย่างรวดเร็ว
“มาได้ยังไงครับ”
“ก็เห็นแล้วใช่ไหมว่าเพื่อนผมไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นคุณกลับไปได้แล้ว” ผมถามคุณเคนในขณะที่โจก็ไล่คุณเคน
“ผมมีธุระอยากคุยกับเพื่อนคุณสักครู่...แบบตามลำพัง” คุณเคนบอกโจและเน้นประโยคหลัง หมายความว่าเขาไม่มีทางกลับไปจนกว่าจะคุยกับผมเสร็จเรียบร้อย และคนที่กลับไปควรจะเป็นโจแทน
“ถ้าจะคุยก็คุยมันตรงนี้” โจไม่ยอม ผมจึงจับแขนโจเพื่อเตือนสติแล้วบอกเขาเสียงเบา
“โจกลับไปก่อนได้ไหม” มันมองผมอย่างไม่เข้าใจ
“ไอ้เปล ถ้าเกิดเขาทำอะไรมึงขึ้นมา มึงจะทำยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่ทำอะไรกูจริง ๆ เชื่อกูนะ” ผมย้ำกับมันพลางส่ายหน้าเบา ๆ ให้โจเข้าใจว่าคุณคีนและคุณเคนไม่มีทางจะทำร้ายผม
“แต่...” โจไม่วางใจ
“กลับไปเถอะครับ ผมรับปากและรับรองว่าเพื่อนคุณจะไม่ถูกทำร้ายและถูกข่มเหงข่มขู่แต่อย่างใด” คุณเคนให้คำมั่น
“ถ้าเพื่อนผมมีแม้แต่รอยขีดข่วน ผมตามเอาเรื่องคุณแน่” โจกำลังขู่อีกฝ่าย มันไม่รู้เลยว่ากำลังต่อกรอยู่กับใคร
“สัญญาด้วยเกียรติเลยครับ” คุณเคนพูดยิ้ม ๆ ไม่ได้ร้อนใจหรือโมโหตามโจเลยสักนิด ผมเพิ่งเคยเห็นคุณเคนในแบบนี้ แบบที่ไม่โวยวายกับคุณคีนและรับมือกับคำพูดคนอื่นอย่างใจเย็น
“ไม่ต้องเป็นห่วงกูนะโจ เขาไม่ทำอะไรกูหรอก” ผมยืนยันอีกเสียงเพื่อให้โจเบาใจมากขึ้น
“โอเค ๆ งั้นกูกลับก็ได้ ถ้ามีอะไรรีบโทรหากู” โจพูดจบแล้วนึกขึ้นได้ “โทรศัพท์มึงเสียนี่หว่า”
“ไม่ต้องห่วงน่า ถึงบ้านแล้วบอกกูด้วยนะ” ผมบอกมันอีกครั้งก่อนจะรีบรุนหลังมันให้ออกจากห้อง
“กลับบ้านดี ๆ นะครับ” คุณเคนบอกโจได้ทันก่อนที่โจจะเดินผ่านไป
“อืม ว่าแต่เสียงคุ้น ๆ นะเหมือนเคยได้ยินที่ไหน” โจชะงักพร้อมกับมองหน้าคุณเคนด้วยความสงสัย
“ต้องคุ้นสิครับ ผมคือคนที่โทรไปหาคุณเพื่อลาป่วยให้น้องเปลเอง”
“คุณคือหมอ?”
“วันนั้นโทรไปบอกว่าเป็นหมอ แต่จริง ๆ แล้ว..ไม่ใช่..ก็อย่างที่เห็นละครับ” คุณเคนยิ้มอีก แต่ผมจับได้แล้วมันไม่ใช่รอยยิ้มการค้าอีกแล้ว มันคือยิ้มที่กำลังเผยตัวตน
“กล้าโกหกงั้นเหรอ” โจตั้งท่าเตรียมพุ่งชน ผมรีบดันหลังมันออกไปให้เร็วที่สุดแล้วดึงแขนคุณเคนเข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตูทันที
ผมถอนหายใจ ศึกครั้งนี้ได้สงบลงแล้วใช่ไหม
“แกล้งเพื่อนผมทำไมครับ” ผมได้ยินเสียงคุณเคนหัวเราะ เลยต้องทำเสียงเข้มถามคุณเคน
“เพื่อนดูเป็นห่วงน้องเปลมากเลยนะ”
“ครับ ผมใจดีและกลัวผมโดนหลอก”
“อืม”
“คุณเคนมีอะไรถึงมาหาผมได้ล่ะครับ”
“คนที่มีน่ะไม่ใช่ผมหรอก แต่คือคนที่รออยู่ข้างล่างน่ะ” คุณเคนเฉลย
“คุณคีนรออยู่ข้างล่างเหรอครับ”
“ใช่ แต่ถ้าน้องเปลไม่อยากไปหรือเพลียอยากพัก ก็ไม่ต้องไปก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค ผมจะได้เอาของไปคืนคุณคีนด้วย”
“ของอะไรครับ”
“นี่ครับ” ผมล้วงกล่องโทรศัพท์ออกมาจากถุงยังชีพยื่นให้คุณเคน เขามองแล้วก็เปรยขึ้นมา
“ถ้าเกรงใจอยากคืนก็เอาไปคืนเจ้าตัวเองเลย แต่อาจจะต้องพยายามหน่อยนะ”
“ทำไมครับ”
“คืนของให้เมื่อไหร่ก็รู้เอง แล้วโทรศัพท์เครื่องเก่าล่ะครับ อยู่ไหน”
“ทำไมเหรอ”
“ผมขอดูหน่อยเผื่อว่าจะซ่อมได้”
“นี่ครับ” ผมดีใจที่มันอาจซ่อมได้เลยรีบไปหยิบโทรศัพท์มาให้คุณเคน
“งั้นเราลงไปข้างล่างกันเลยดีไหม ป่านนี้คงมีคนกระวนกระวายใจรอแย่แล้ว” คุณเคนรับโทรศัพท์ของผม และเอาถุงกระดาษใบนั้นไปถือเองด้วย ผมเลยล็อกห้องแล้วเดินตามเขาต้อย ๆ ไป