จากนั้น ช่วงบ่าย กองร้อยที่ 3 จะฝึกการจำลองการเข้าตีตะลุมบอน ณ ที่หมาย แล้วฝึกการเดินทางไกลโดยการใช้ เข็มทิศเลนเซติค โดยใช้การเล็งอ้างอิงวัตถุตามสภาพภูมิประเทศ ตามพิกัดที่ครูฝึกกำหนดไว้ เพื่อค้นหาสิ่งของที่ครูฝึกทำการซ่อนไว้ในป่า และมีการจัดขบวนแถวการเดินออกเป็นลักษณะของการเดินลาดตระเวน หลังฟังคำแนะนำวิธีใช้เข็มทิศแล้ว ครูฝึกแบ่งกลุ่ม นศท. ออกตามหมวด โดยแต่ละหมวด จะมีพลเล็งเข็มทิศและพลพิกัด นับก้าวเดินไปตามทิศทางที่วัดได้ ซึ่งการเดินจะเดินไปหยุดวัดหาพิกัดไปเรื่อย ๆ ครั้งละ 50 ก้าว ซึ่งบาง หมวด หาพิกัดผิด คนนำเดินพาหลงป่า ไปก็มี
เดินลัดเลาะ ไปตามป่าเขาลูกแล้วลูกเล่า บุกป่าฝ่าดง ไปตามสภาพป่าโปร่งในฤดูหนาว ต้นไม้ส่วนใหญ่เริ่มสลัดใบ ป่าจึงโล่งโปร่งไม่หนาทึบ ทำให้เดินง่ายพอสมควร หมวดของต้นข้าว สายฟ้า และทิวไผ่ ก็สามารถหาของที่ครูฝึกซ่อนไว้เจอ คือ เป้สนามใส่แผนที่แขวนไว้บนต้นไม้ เมื่อเวลาจวนเจียนใกล้จะพลบค่ำพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าอยู่พอดี ซึ่งกองร้อยที่ 3 ทั้ง 3 หมวด หาของเจอ 2 หมวด และหลงทาง 1 หมวด
หลังจากภารกิจการฝึกเสร็จสิ้นแล้ว ครูฝึกจึงพาเดินลัดเลาะกลับมายังกองร้อยที่พัก ก็เกือบมืดพอดี พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว กว่าจะรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ความมืดและความหนาวเย็นก็เริ่มคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว นศท. บางคนกลัวหนาว จนยอมที่จะไม่อาบน้ำ ทั้งที่อาบเหงื่อต่างน้ำมาทั้งวัน ตัวเหนียวเหนอะหนะ ไปหมด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีต้นข้าวรวมอยู่ด้วย แต่ครูฝึกบอกว่า ถ้าใครไม่อาบก็จะไม่ได้อาบไปอีก 2 วัน เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนจะได้อาบน้ำ
ต้นข้าวจึงยอมไปอาบน้ำกับสายฟ้า สายน้ำเย็นเฉียบกระทบผิวกายอัน ความเย็นแพร่ซ่านผ่านผิวหนังเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย จนสั่นสะท้านขนลุกซู่เป็นเกรียว ต้นข้าวปากสั่นตัวซีดไปหมดเพราะความเย็นประดุจน้ำแข็งของน้ำในอ่าง ทิวไผ่ยืนมองอาการของต้นข้าว อย่างอดขำไม่ได้ จนหนุ่มร่างบางได้แต่มองตาเขียว
วันนี้ ต้นข้าวกับสายฟ้าจะต้องเข้าเวรยามกองร้อย ผลัดที่ 2 ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน ระหว่างนั้น สองหนุ่มเพื่อนรัก ก็ชวนกันคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อเป็นการแก้ง่วงและคลายความหนาวเย็น แล้วอยู่ ๆ ความเงียบก็เข้าปกคลุม เมื่อเวลาใกล้เที่ยงคืน จนบรรยากาศวังเวง ๆ ชอบกล
“ฟ้า เราปวดท้อง พาเราไปเข้าห้องน้ำหน่อยสิ” ต้นข้าวพูดขึ้นทำลายความตึงเครียดจากความเงียบลง
“อืม แล้วใครจะเฝ้ายามล่ะ” สายฟ้าแย้งขึ้นอย่างลังเล เพราะว่าเขาเองยังอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่อยู่
“น่านะ ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ” ต้นข้าวคะยั้นคะยอ เพื่อที่จะให้สายฟ้าไปเป็นเพื่อน
“ก็ได้” สองหนุ่มเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ติดกับชายป่าบริเวณเชิงเขา ถัดจากห้องอาบน้ำรวมเข้าไปด้านใน ซึ่งห่างจากกองร้อยและลานเต็นท์ที่พักไปประมาณ 100 เมตร มีเพียงแสงไฟสลัว ๆจากหลอดนีออนเล็ก ๆ หน้าห้องน้ำให้แสงสว่างพอลาง ๆ เท่านั้น
สายฟ้ายืนรออยู่ที่หน้าห้องน้ำ เพื่อรอเพื่อนรักของเขาที่เข้าไปทำธุระส่วนตัวอยู่ โดยต้นข้าวส่งเสียงพูดคุยตอบโต้กับสายฟ้าไปมาเพื่อเช็คว่าเพื่อนยังอยู่ ซึ่งมันทำให้คนขี้กลัวอย่างเขาอุ่นใจขึ้น
“ฟ้า ทำไมเงียบไปล่ะ ฟ้า อยู่รึเปล่า เฮ่ย…สายฟ้า นายอย่ามาอำเรานะ เราไม่ชอบนะ ตอบมาสิ ฟ้า”
ต้นข้าวส่งเสียงโวยวาย เมื่ออยู่ ๆ เสียงของเพื่อนรักคู่สนทนาของเขาขาดหายไปเฉย ๆ จนต้นข้าวเกิดอาการกระสับกระส่าย และเร่งรีบทำธุระให้เสร็จสิ้น ก่อนจะผลุนผันออกมาจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว และร่างผอมบางก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำอย่างจัง จนหนุ่มร่างบางเซถลา เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นเงาสลัวของคนตัวใหญ่ไม่ชัดนัก ต้นข้าวเบิกตากว้าง อ้าปากร้องตะโกนอย่างตกใจสุดขีด แต่โดนอุ้งมือของคนร่างใหญ่ปิดปากไว้อย่างรวดเร็ว
“อย่าร้องสิ เดี๋ยวชาวบ้านเค้าก็ตื่นกันหมดหรอก” ทิวไผ่ร้องปรามขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
เมื่อต้นข้าวตั้งสติได้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่เขาหวาดกลัว ก็พยายามแกะอุ้งมือหนาแกร่งนั้นออกอย่างรวดเร็ว
“นายมาได้ไง แล้วนี่สายฟ้าหายไปไหน” ต้นข้าวถามกลับทิวไผ่อย่างเสียงแข็ง
“ก็มาเข้าห้องน้ำน่ะสิ สายฟ้า กลับไปยืนยามแล้ว ฟ้าฝากเราอยู่เป็นเพื่อนนี่ไง แล้วเมื่อกี้ร้องทำไม กลัวอะไรเหรอ” ทิวไผ่ตอบหนุ่มน้อยร่างบาง แกมยั่วเย้าตามเคย
“กลัวอะไรล่ะ มีอะไรต้องกลัว ไม่เห็นต้องกลัวเลย”
“แล้วลากเพื่อนโดดเวรมาเฝ้าประตูส้วมให้เนี่ยนะ”
“แล้วมันเรื่องอะไรของนาย”
“ปากดีไม่เลิกนะ แบบนี้ต้อง...” ไม่ทันสิ้นเสียง ร่างบอบบางถูกผลักเข้าแนบชิดผนังห้องน้ำอย่างรวดเร็วจนยากที่จะขัดขวาง สองมือแกร่งจับกดหัวไหล่ของหนุ่มน้อยยึดไว้ ทันใด ริมฝีปากอุ่น ๆ ของทิวไผ่ก็ฉกลงประกบริมฝีปากอวบอิ่มเรียวสวยได้รูปของต้นข้าวอย่างรวดเร็ว เขาบดขยี้เบา ๆ อย่างทะนุถนอม หนุ่มร่างบางยืนตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาเบิกโตอย่างตกใจ เสียงหัวใจเต้นดังโครมครามอย่างไม่เป็นจังหวะ ร่างกายอ่อนระทวยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ดูเหมือนว่ามันเนิ่นนานทีเดียว
“หอมหวานดีนะ ไม่ผิดหวังจริง ๆ” ทิวไผ่ถอนปากออก และแลบลิ้นเลียริมฝีปาก สายตาจ้องมองดวงหน้าใสที่กำลังมึนงง ของต้นข้าวอย่างพออกพอใจ
‘อุ๊บ’ ทิวไผ่ร้องแทบไม่ออก หน้าเขียวตัวงอ ยกมือกุมที่หว่างขาแน่น เมื่อโดนเข่าน้อย ๆ ลอยขึ้นกระทบที่กล่องดวงใจของเขาเข้าอย่างจัง ความจุกวิ่งกระจายไปทั่วทั้งช่องท้อง
“นี่สำหรับไอ้โรคจิต คนฉวยโอกาส อย่างนาย” ต้นข้าวกล่าวเสียงเรียบระคนด้วยความโกรธจัด พลางใช้มือเช็ดริมฝีปากไปมาอย่างแขยะแขยง แล้วเดินจากไปอย่างอารมณ์เสีย ทิ้งให้ทิวไผ่นั่งคุกเข่าด้วยความจุกอยู่หน้าห้องน้ำเพียงคนเดียว
“อ้าวต้นเสร็จแล้วเหรอ แล้วไผ่ล่ะ” สายฟ้าทักทายเมื่อเห็นต้นข้าวเดินมาจากห้องน้ำ พร้อมใบหน้าบ่งบอกว่ากำลังหงุดหงิดอย่างสุด ๆ แต่ไม่เห็นทิวไผ่เดินตามออกมาด้วย
“เออดิ นายทิ้งเราไว้คนเดียวทำไม” ต้นข้าวตอบกลับสายฟ้าอย่างอารมณ์เสีย
“อ้าวไผ่ก็อยู่นี่นา” สายฟ้าตอบเพื่อนรักอย่างซื่อ ๆ พลางจ้องมองสังเกตสีหน้าเพื่อนรักว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“แล้วปล่อยเราไว้กับนายนั่นเนี่ยนะ นายเป็นเพื่อนเรารึเปล่า รู้อยู่ว่าเราไม่ชอบหน้านายนั่น นี่ก็จะถึงเที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวพวกผลัดต่อไปคงมาเปลี่ยนเวร เราไปนอนแล้วนะ” ต้นข้าวพูดอย่างหงุดหงิดก่อนตัดบท แล้วเดินเข้าเต็นท์ไปอย่างหัวเสีย
ต้นข้าวเปลี่ยนชุดฝึกออกเป็นชุดนอนและเสื้อกันหนาวตัวหนา เขาพยายามข่มเปลือกตาลงให้หลับ แต่กลับต้องนอนกระสับกระส่ายไปมา เมื่อภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อซักครู่มันลอยวนเวียนหลอกหลอนเขาไปมาไม่ยอมหยุด จนจิตใจว้าวุ่นไปหมด ‘ไอ้บ้านั่นจูบเรา แล้วทำไมเราต้องอ่อนไหวไปกับมันด้วยวะ โอ๊ย’
ทิวไผ่หน้าซีด เดินตัวงอออกมาจากบริเวณห้องน้ำ
“อ้าว ไผ่ เป็นอะไรไปเหรอครับ ปวดท้องรึเปล่า ทำไม...” สายฟ้าส่งเสียงทักทายหนุ่มร่างใหญ่ด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นใบหน้าของทิวไผ่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“เปล่าครับฟ้า แค่หกล้มในห้องน้ำเลยจุกนิดหน่อยน่ะครับ เอ่อ แล้วต้นข้าวไปนอนแล้วเหรอครับ” ทิวไผ่ตอบหนุ่มร่างเล็กกลับมาเสียงเนือย ๆ และถามถึงคู่กรณีของเขาเมื่อซักครู่ที่ผ่านมา
“ต้นไปนอนแล้วครับ ทำไมหรอ” สายฟ้าเอ่ยถามด้วยความสงสัยที่ทิวไผ่เอ่ยถึงต้นข้าว
“เปล่าครับ งั้นไผ่ขอตัวไปนอนนะครับ” ทิวไผ่ปฏิเสธคำถามของสายฟ้า เขามองไปทางเต็นท์ของต้นข้าวด้วยแววตาสำนึกผิดอยู่ลึก ๆ ที่ทำอะไรผลีผลามกับหนุ่มหน้าใสเกินไป แล้วตัดบทขอตัวเดินเข้าเต็นท์ตัวเองไป
อาการแปลก ๆ ของทั้งเพื่อนรัก และหนุ่มหน้าเข้ม ที่ได้แสดงออกมา เมื่อครู่ มันทำให้ความคิดต่าง ๆ นานา ในหัวสมองของสายฟ้าโลดแล่นพันกันไปมาอย่างวุ่นวาย มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่เขาปล่อยให้ต้นข้าวกับทิวไผ่อยู่ด้วยกันตามลำพังเมื่อกี้แน่ ๆ การแสดงออกของทิวไผ่และต้นข้าวนับวันมันยิ่งทำให้เขาระแคะระคายใจมากขึ้น ในเมื่อคนหนึ่งคือรักแรกพบที่ตนเทใจให้จนหมด แต่เขาเองกับไม่กล้าและไม่มั่นใจที่จะแสดงออกมาให้ทิวไผ่ได้รับรู้ความรู้สึกของตนเอง ส่วนอีกคนคือเพื่อนที่แสนดี คบหากันมานานหลายปี มันยิ่งตอกย้ำทิ่มแทงหัวใจ สายฟ้ามากขึ้นทุกวัน
หลังจากเปลี่ยนเวรยามเสร็จแล้ว สายฟ้าเดินกลับมาที่เต็นท์ของตน พร้อมกับความคิดที่สับสนวุ่นวายที่ประทังกันเข้ามาในหัวสมอง สายฟ้ามุดเข้าไปในเต็นท์เห็นต้นข้าวนอนตะแคงหันหลังมาทางเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ต้น หลับรึยัง” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา มีแต่เสียงผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
“เราขอโทษนะ ที่ทำให้นายอารมณ์เสีย” สายฟ้าขอโทษเศร้าสร้อย ก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดฝึกออก แล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ หันหลังให้ต้นข้าว และพยายามทำสมาธิสู้กับความคิดฟุ้งซ่าน ซึ่งความอ่อนเพลียจากการฝึกมาทั้งวันก็ช่วยให้เขาเข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างไม่ยากมากนัก
ที่จริงแล้วต้นข้าวเองก็ยังไม่ได้หลับเช่นกัน และเขาเองก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองสายฟ้าแต่อย่างใด เพราะสายฟ้าคือ เพื่อนที่รัก และห่วงใยเขาเสมอ
...