สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)  (อ่าน 79368 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


กลับถึงประเทศไทยได้เพียงไม่กี่วัน ชลชาติก็ได้รับข่าวร้ายข่าวหนึ่ง นั่นคือธรรม์ณธรประสบอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้าจนบาดเจ็บสาหัสเพราะการเมาสุราในขณะขับรถ ชายหนุ่มถูกส่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่เขาถูกให้ออกจากการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยโทษฐานที่ทำผิดวินัยร้ายแรง


หลังจากนอนไม่ได้สติอยู่หลายวันภายในห้องพักผู้ป่วยวิกฤต ร่างบอบช้ำก็ค่อย ๆ ปรือตาขึ้น หูได้ยินเสียงบางอย่าง แขนขาเหยียดเกร็งแต่ก็ขยับไม่ได้เพราะถูกมัดไว้กับเตียง แรงดูดจากสายยางที่ผ่านเข้ามาทางท่อในลำคอทำเอารู้สึกปวดร้าวไปทั้งร่าง ในหัวหนักอึ้งนึกอะไรไม่ออก ที่ปลายเตียงเห็นเพียงเงาลาง ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง และเมื่อเธอเอื้อมมือมาจับที่ปลายเท้าเขากลับรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที ซ้ายขวามีแต่สายระโยงระยาง อยากจะเปล่งเสียงเรียกขอน้ำดื่มแต่ในคอแห้งผากและเจ็บระบม ปากยังคาท่อสำหรับช่วยหายใจ ความทรมานแสนสาหัสทำให้อยากหลับใหลไม่ต้องรับรู้อะไรไปตลอดกาล แต่ในความครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นปรากฏร่างสูงของใครอีกคนหนึ่ง เมื่อเสียงเครื่องดูดเสมหะสงบลงจึงได้ยินคำพูดปลอบประโลมที่ดังแว่วอยู่ในโสตประสาท เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำจากวันเป็นเดือน กระทั่งเครื่องช่วยชีวิตต่าง ๆ ถูกถอดออกไปทีละชิ้น ๆ และในที่สุดธรรม์ณธรก็ถูกย้ายออกจากห้องพักผู้ป่วยวิกฤต


ชายหนุ่มทอดตามองขาข้างหนึ่งที่ขณะนี้ถูกหุ้มด้วยเฝือกและดามด้วยเหล็ก ยาวตั้งแต่ใต้หัวเข่าไปจนเกือบถึงปลายเท้า มองเลยไปที่ข้างทีวีมีแจกันทรงสูงเสียบดอกลิลลีสีขาวที่เริ่มเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลาเพราะคนที่เคยนำดอกไม้มาเปลี่ยนให้หายหน้าไปหลายวัน


“ธรรม์ ทานข้าวเสียหน่อยนะลูก จะได้ทานยา” ผู้เป็นแม่กล่าวพลางปรับหัวเตียงให้สูงขึ้น จากหน้าจึงหันไปหยิบชามข้าวต้มมาตักป้อนให้ลูกชาย


คนป่วยกินไปได้ 2-3 คำก็เบือนหน้าหนี


“ฝืนใจทานหน่อยนะลูก จะได้หายไว ๆ”


เห็นสีหน้าอมทุกข์ของแม่แล้วลูกชายจึงยอมอ้าปากรับอาหารอ่อนที่แม่ป้อน


ธรรม์ณธรรับประทานต่อไปได้อีกไม่กี่คำก็บอกกระท่อนกระแท่น “อิ่มแล้วแม่” เสียงนั้นแหบแห้งราวกับไม่ใช่เสียงของตนเอง ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นจับที่คอ พบว่าบริเวณที่เจาะเพื่อใส่ท่อสำหรับดูดเสมหะบัดนี้ถูกปิดไว้ด้วยผ้าก็อซ


“ทานยานะลูก” แม่กล่าวก่อนจะป้อนยา 3-4 เม็ดใส่ปาก ยกน้ำให้ลูกชายดื่มตาม ดึงกระดาษชำระเช็ดปากจนเรียบร้อย แล้วจึงยกถาดอาหารออกไปวางไว้หน้าห้อง


เธอเดินกลับมาหยุดข้างเตียง ยกมือขึ้นเสยผมยุ่งเหยิงให้ลูก จากนั้นจึงนั่งลงที่โซฟาเพื่อปล่อยให้เขาได้เปลี่ยนอิริยาบถสักพัก พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของสองหนุ่มที่มักแวะมาเสมอตั้งแต่ลูกชายของเธอเข้ารักษาตัวที่นี่


“แม่ทานข้าวหรือยังครับ” ชลชาติเอ่ยขึ้นในขณะที่แสนยารับดอกเบญจมาศสีเหลืองสดจากมือเขาไปเปลี่ยนแทนกำที่เสียบอยู่ในแจกัน


“แม่ว่าจะรอพ่อเขามาเปลี่ยนจ้ะ เมื่อสักพักโทรมาบอกว่าออกจากโรงงานแล้ว เดี๋ยวก็คงมาถึง”


ชลชาติพยักหน้า นึกถึงเจ้าของโรงงานผลิตผลิตน้ำปลาย่านสมุทรสาครที่มักจะตามไปเชียร์ลูกในทุกการแข่งขันแม้จะเป็นเพียงการแข่งขันเล็ก ๆ ก็ตาม เขาเองยังเคยรู้สึกอิจฉาธรรม์ณธร ที่มีทั้งพ่อและแม่จูงมือกันไปให้กำลังถึงขอบสระ ในขณะที่พ่อกับแม่ของเขา นาน ๆ ทีจึงจะปลีกตัวมาได้


“ให้มีนอยู่นี่แล้วคุณป้าทานข้าวเถอะครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน วันนี้ข้างหลังโรงพยาบาลมีตลาดนัดด้วยนะครับ ผมจะพาคุณป้าไปชิมให้ครบทุกร้านเลย” ได้ยินเสียงคนมาด้วยกันกระแอมปราม แสนยาจึงหัวเราะแหะ ๆ แล้วกล่าวต่อ “ร้านเดียวก็ได้ครับ”
ธรรม์ณธรมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า การมาของสองคนนี้มักทำให้แม่ของตนมีรอยยิ้มเสมอ


“แม่ไปทานข้าวเถอะครับ เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนธรรม์เอง” ชลชาติกล่าว


“จ้ะ ดีเหมือนกัน แม่จะได้ไปซื้ออะไรไว้ให้พ่อเขาทานด้วย เดี๋ยวมาถึงก็คงจะบ่นหิวแน่ ๆ แม่ฝากด้วยนะมีน” พูดจบเธอจึงเดินตามแสนยาไปที่ประตู


ชลชาติรับคำก่อนจะหันมาหาคนบนเตียง “วันนี้เป็นยังไงบ้าง กินข้าวได้เยอะหรือเปล่า” และคำตอบที่ได้ก็เหมือนทุกครั้ง นั่นคือไม่มีคำตอบ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังคงพูดไปเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องที่เพื่อน ๆ ฝากให้กำลังใจคนป่วย ทั้งเรื่องเงินที่ทุกคนรวบรวมกันมาช่วยเหลือ และเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ


“ทำไมหายไปหลายวัน”


คำถามของธรรม์ณธรทำคนฟังอมยิ้มนิด ๆ คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจในการมาการไปของเขาเสียแล้ว “มีเรื่องยุ่ง ๆ ที่คณะนิดหน่อยน่ะ” เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เพื่อนควรรู้จึงกล่าวต่อ “อาจารย์ธนิตกับคณบดีเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่ได้ขออนุญาตอธิการบดี ไปเล่นการพนันจนเงินหมดก็เลยเป็นเรื่องขึ้นมา พอถูกส่งตัวกลับก็อ้างกับมหาวิทยาลัยว่าไปรับรองแขกต่างชาติที่จะเข้ามาสนับสนุนเงินทุนที่จะพัฒนานักกีฬาของมหาวิทยาลัย แต่อธิการท่านเป็นคนตรง ว่ากันไปตามระเบียบ ทั้งสองคนก็เลยถูกตั้งกรรมการสอบสวน”


ธรรม์ณธรพยักหน้าก่อนจะหลับตาลง รู้สึกเอียนกับเรื่องผลประโยชน์พวกนี้เต็มทน


“สอบไปสอบมา ก็ไปเจอหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับการโยกย้ายเงินในบัญชีของคณะ ทางฝั่งพี่ติ๋วที่เป็นหัวหน้าการเงินก็จับได้ว่าลูกน้องของตัวเองมีส่วนรู้เห็นกับการเบิกจ่ายเงินโดยใช้เอกสารที่มีการปลอมแปลงลายเซ็นของนาย สุดท้ายก็สาวไปถึงคนบงการได้”


ธรรม์ณธรลืมตาขึ้น “หมะ...หมายความว่า...”


“อาจารย์ธนิตกับคณบดีร่วมกันยักยอกเงินบริจาคงานวิ่ง เอาเงินไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง น่าจะโดนหนักอยู่ ส่วนนาย...อาจารย์ทวีฝากให้เรามาถามว่ายังอยากกลับไปทำงานที่มหาวิทยาลัยอยู่ไหม อาจารย์จะช่วยพูดกับผู้ใหญ่ให้”


คนฟังนิ่งไปพักหนึ่ง ในที่สุดจึงสั่นหัว “ฝากขอบคุณอาจารย์ทวีด้วยนะ แล้วก็ขอโทษเรื่องที่ผ่านมา”


ชลชาติพยักหน้ายิ้ม “แล้วเราจะบอกให้ อ้อ...วันเสาร์นี้เพื่อน ๆ จะมาเยี่ยมนายด้วยนะ แต่งตัวหล่อ ๆ ไว้รอล่ะ”


ยิ่งอีกฝ่ายดีกับตนเองมากแค่ไหน ธรรม์ณธรกลับยิ่งรู้สึกผิดเป็นทวีคูณ “นายมาทำดีกับเราทำไม ทั้งที่เราทำไม่ดีกับนายไว้ตั้งเยอะ เราขัดขวางเรื่องก่อตั้งกองทุน แต่นายกับเพื่อน ๆ ก็เอาเงินจากกองทุนที่พวกนายตั้งขึ้นมาช่วยเรา” ชายหนุ่มพยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติทั้งที่ในใจร้องไห้ไปแล้ว


“ตั้งแต่สมัยม.ปลายจนถึงติดทีมชาติ อาจารย์ธนิตบอกเราเสมอว่าถ้าเราเก่ง เพื่อนก็จะวิ่งเข้าหาเราเอง แต่ไม่ใช่เลย...ใคร ๆ ก็ชอบพาย ใคร ๆ ก็รุมล้อมพายรวมถึงนายด้วย”


ชลชาติถอนหายใจเบา ๆ “นายเข้าใจผิดแล้ว เราไม่ได้คบพายเพราะพายเป็นคนเก่ง แต่เราคบพายเพราะพายเป็นคนดี รักเพื่อน แล้วก็ไม่เคยนึกถึงประโยชน์ส่วนตัวต่างหาก”


“เราสู้พายไม่ได้เลยสักเรื่อง” ธรรม์ณธรกล่าวเสียงเครือ ตั้งใจจะไม่เสียน้ำตาแต่แล้วแขนที่อ้าออกแล้วโอบกอดตนไว้ก็ทำให้กลั้นไม่อยู่


“ไม่ต้องสู้” ชลชาติกล่าวพร้อมกับลูบหลังเพื่อนอย่างให้กำลังใจ “แค่นายเป็นนายคนใหม่เท่านั้นก็พอ เพื่อน ๆ ทุกคนเอาใจช่วยนายอยู่นะ”


หนุ่มศิลปินที่หยุดอยู่หน้าประตูมาพักหนึ่งละสายตาจากมือของตนที่กำลูกบิด หันกลับไปเห็นหญิงวัยเกษียณที่ตอนนี้กำลังยืนพิงผนังพลางยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น จึงสืบเท้าเข้าไปใกล้แล้วโอบร่างเล็กเอาไว้พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจก่อนจะประคองเธอออกจากห้อง


ชลชาติและแสนยาอยู่เป็นเพื่อนแม่ของธรรม์ณธรจนกระทั่งสามีของเธอเดินทางมาถึงจึงได้ขอตัวกลับ เมื่อเปิดประตูเข้ามานั่งในรถโฟล์คเต่าสีนมชมพู ชลชาติก็ดึงตุ๊กตาหมีมาวางบนตัก ก้มหน้าสบตาแป๋วจนกระทั่งเจ้าของรถเอ่ยขึ้น


“เราก็สงสัยเหมือนที่เพื่อนนายสงสัย”


“สงสัยอะไร”


“สงสัยว่าเขาทำไม่ดีกับนายแล้วก็ไอ้พายไว้ตั้งเยอะ แต่ทำไมนายไม่โกรธ แถมยังทำดีกับเขาอีก”


“โกรธสิ เราโกรธธรรม์ทุกครั้งที่มันทำไม่ดีกับเรา กับอาจารย์และกับเพื่อนคนอื่น ๆ โมโหทุกครั้งเวลาได้ยินมันพูดแบบไม่สนใจความรู้สึกของใคร”


“นั่นน่ะสิ แล้วทำไมนายถึงยังไปขอร้องคุณติ๋วให้ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ให้เขา แล้วยังมาดูแลตอนเจ็บป่วยอีก”


“ก็เพราะมันเป็นเพื่อนไง เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล ถึงจะเกลียดกันแค่ไหน ถึงจะบอกว่าเลิกคบแล้ว สุดท้ายจิตใต้สำนึกก็ยังบอกว่าคนนี้คือเพื่อนของเราอยู่ดี ไม่มีใครอยากเกลียดคนที่ตัวเองพยายามเพื่อจะได้เป็นเพื่อนกับเขาหรอก นายว่าไหม”


คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย “อาจารย์ชลชาตินี่นอกจากหน้าตาจะดีแล้วหัวใจยังหล่อมากด้วยนะ”


“ของมันแน่อยู่แล้วโว้ย” เจ้าของชื่อบอกพร้อมกับจับแขนทั้งสองของเจ้าหมีขยับไปมาอย่างมันเขี้ยว


“ไม่มีปฏิเสธเลยนะ” ว่าแล้วแสนยาก็ดึงน้องแสนดีออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย


“อ้าว แล้วนั่นจะเอาไปไหน”


“ให้น้องแสนดีไปนั่งข้าง ๆ ขนมต้ม เดี๋ยวขนมต้มเหงา” พูดจบก็ส่งเจ้าตุ๊กตาหมีให้ไปนั่งคู่จิงโจ้ชกมวยที่เบาะหลัง


...


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


สายลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างพาม่านซึ่งทำจากผ้ามัดย้อมปลิวไสว สมุดการบ้านที่ตรวจเรียบร้อยแล้วถูกวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ แยกไว้เป็นกอง ๆ ร่างสูงในชุดสีกากีลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินผ่านกรอบประตูไปยังระเบียงหน้าอาคาร เห็นเด็กชาย 3-4 คนกำลังวิ่งไล่ตามลูกฟุตบอลอยู่ที่กลางสนาม ส่วนเด็กผู้หญิงจับกลุ่มเล่นกระโดดยางอยู่ใต้ต้นหูกวาง นคินทรถอนหายใจเบา ๆ หยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดอ่านข้อความ ปลายนิ้วแตะที่ชื่อของใครบางคนก่อนจะดึงหน้าจอลงเพื่อเลื่อนอ่านทีละบรรทัด


   “คิดถึงจัง”



   “คิดถึงจะแย่แล้ว”



   “คิดถึงเราบ้างหรือเปล่า”



และนั่นก็คือข้อความที่ถูกส่งมาซ้ำ ๆ ในแต่ละวันตลอดหลายเดือนที่ต้องอยู่ไกลกัน ส่วนข้อความที่เขาตอบกลับก็เป็นข้อความในแบบเดียวกัน


ชายหนุ่มอมยิ้ม เก็บโทรศัพท์คืนกระเป๋า คิดจะย้อนกลับเข้าไปปิดหน้าต่างและประตูห้องพักครู แต่ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงบันไดก็ทำให้ต้องล้มเลิกความตั้งใจ ในที่สุดร่างสูงก็เดินไปหยุดก่อนจะนั่งลงข้างกัน


“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอกำบี้”


คำเรียกที่ช่วยลดช่องว่างระหว่างกันทำเจ้าของชื่อหันมายิ้มแฉ่ง “ยังครับครู”


“แล้วซ้อมเป็นยังไงบ้าง” คนเป็นครูถือโอกาสถาม เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายได้รับคัดเลือกให้เข้าแข่งขันว่ายน้ำในกีฬาเยาวชนแห่งชาติที่กำลังจะจัดขึ้นที่จังหวัดน่านในอีกไม่นาน


“ครูเมธีสอนเทคนิคเยอะแยะเลยครับ”


“แล้วครูเมธีกับครูพายใครโหดกว่ากัน”


สุชาติตอบแบบไม่ต้องคิด “ใจดีทั้งคู่ครับ” เด็กชายยิ้มกว้างอยู่ได้ครู่เดียวก็มุ่นคิ้วราวกับกำลังใช้ความคิด “ครูม่อนครับ ครูม่อนว่าครูพายจะคิดถึงบ้านไหมครับ”


“ต้องคิดถึงสิ”


“แล้วครูพายจะคิดถึงครูม่อน ผม ครูพิง แล้วก็ครูเมธีไหมครับ”


“คิดถึงอยู่แล้ว ครูพายถามด้วยนะว่ากำบี้ตั้งใจซ้อมหรือเปล่า แล้วก็บอกว่าจะกลับมาให้ทันวันแข่งด้วย”


“จริงเหรอครับครู” เด็กชายกล่าวอย่างตื่นเต้น “ผมจะตั้งใจซ้อม จะเอาเหรียญมาฝากครูพายให้ได้เลยครับ”


นคินทรยิ้มพลางยกแขนขึ้นโอบไหล่เล็ก 


...


บนที่ดินซึ่งมีอาณาเขตติดกับพื้นที่ของปลายฝนต้นหนาวโฮมสเตย์ขณะนี้เริ่มปรากฏสิ่งปลูกสร้างขึ้นท่ามกลางแมกไม้ ชายหนุ่มยืนมองภาพนั้นจากเพิงพักปลายนาก่อนจะหันหลังกลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่ง


“มาอยู่ที่นี่เอง” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น


“แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ” นคินทรถาม


“แม่จะเห็นลูกหายไปก็เลยเดินมาดู” พูดจบวาสนาก็นั่งลงใต้ชายคามองร่างสูงที่เดินมานั่งข้างกัน


นคินทรล้มตัวลงนอนหนุนตักผู้เป็นแม่ ดึงมือเหี่ยวย่นมาแนบแก้ม


“ถึงตอนนี้ลูกเสียใจบ้างไหมที่ไม่เอ่ยปากห้ามพายไม่ให้ไปออสเตรเลีย”


ลูกชายยิ้มพลางส่ายหัว “ม่อนรู้สึกแบบเดียวกับที่แม่รู้สึก ตอนที่แม่ต้องย้ายตามพ่อมาที่นี่”


วาสนาเลื่อนมืออีกข้างลูบศีรษะลูกชายแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ “มันเป็นความรู้สึกยินดีที่เห็นคนที่เรารักทำได้หน้าที่ของเขาอย่างสุดความสามารถ ส่วนหน้าที่ของเราก็คือคอยสนับสนุนและให้กำลังใจ จำความรู้สึกนี้เอาไว้นะลูก”


นคินทรพยักหน้าก่อนจะหลับตาลง ชายหนุ่มมาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นอยู่ใกล้ ๆ หู ลืมตาขึ้นจึงพบว่าแม่ไม่อยู่แล้ว กระนั้นแม่ก็ยังอุตส่าห์เอาหมอนใบนุ่มสอดให้ใต้ศีรษะของเขา ชายหนุ่มยันกายลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุดมาเปิดดูข้อความ


aMoxi: มีข่าวดีมาบอก

Sunny: ข่าวอะไรวะ

aMoxi: เราจะเป็นพ่อคนแล้ว

Sweety: ยินดีด้วยจ้าหมอก

MON: ไม่ค่อยเห่อเลย

aMoxi: นี่ลูกคนแรกนะไอ้ม่อน

Sunny: ขนาดมีเมียคนที่สองยังไม่เห่อขนาดนี้

Sichon: ว่าไงนะ

aMoxi: @Sunnyไอ้ฉาย! เดี๋ยวโดนเตะ!

MON: สร้างความร้าวฉานอีกแล้ว

aMoxi: @Sichon สิอย่าไปฟังมัน

Sunny: @Sweety ถ้าไอ้หมอกได้ลูกสาว เราหมั้นหมายไว้ให้เจ้าฟีฟ่าดีไหมแม่

aMoxi: ไม่ให้โว้ยยย! พ่อหวง!!

PraPai: ยินดีด้วยนะ

Sunny: ไอ้พายมาช้าตลอด ว่าแต่ยินดีที่ไอ้หมอกมันได้ลูกคนแรกหรือเมียคนที่สองวะ

PraPai: ทั้งสองอย่าง

aMoxi: ไอ้พายยย

Sichon: เป็นยังไงบ้างพาย

PraPai: สบายดี คิดถึงบ้านจะแย่แล้ว

Sweety: คิดถึงม่อน พิมพ์แบบนี้จ้ะพาย

Sichon: เดี๋ยวส่งรูปที่ม่อนไปซ้อมรำพิธีเปิดกีฬาเยาวชนให้ดูดีกว่า



พายุพัดมองภาพที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วได้แต่ยิ้ม แม้สบู่กลิ่นดอกวาสนาในถุงผ้าจะทำให้รู้สึกเหมือนกับมีใครบางคนอยู่ใกล้ ๆ แต่การได้พบหน้า พูดคุยและได้สัมผัสก็เป็นสิ่งที่เขาเร่งวันเร่งคืนให้เป็นจริงโดยไว ในตอนนี้ก็ทำได้เพียงปิดโปรแกรมสนทนาแล้วโทรหาคนที่คิดถึง ทันทีที่ปลายสายกดรับหัวใจก็เต้นราวกับนี่เป็นการคุยครั้งแรก ทั้งที่จริงก็โทรหากันแทบทุกวัน


“สิส่งรูปมาให้ดู ไปซ้อมรำต้องหล่อขนาดนั้นเลยเหรอ”


“สาว ๆ เยอะนี่นา” นคินทรหัวเราะ


“แฟนไม่อยู่ไม่กี่เดือน เอาใหญ่แล้วนะ” พายุพัดยิ้มกับตัวเอง


“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”


“สนุกดี เขาเชิญนักว่ายน้ำออสเตรเลียที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกสามสมัยซ้อนมาสอนน่ะ”


“แล้วเหนื่อยหรือเปล่า”


คนฟังยิ่งยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังคำถามที่อีกฝ่ายมักถามทุกครั้งที่ได้คุยกัน


“ไม่เหนื่อย คิดถึงม่อนมากกว่า” เห็นปลายสายเงียบจึงกล่าวต่อ “แล้วม่อนล่ะ คิดถึงเราบ้างไหม”


“คิดถึง” นคินทรตอบก่อนจะตามด้วยประโยคที่ทำให้หัวใจคนฟังอ่อนยวบจนอยากจะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับมันเสียเดี๋ยวนั้นทุกที


“กลับมาเร็ว ๆ นะ”


....


เมื่อแดดร่มลมตก ภายในสนามกีฬาขนาดใหญ่ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างจับจองเก้าจนบนอัฒจันทร์แทบไม่มีที่ว่าง ในขณะที่พิธีกรเริ่มแนะนำการแสดงชุดแรก ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างเครื่องดนตรีสากลและเครื่องดนตรีพื้นบ้าน สะล้อ ซอ ซึง ซึ่งเกิดจากความร่วมแรงร่วมใจกันของเหล่านักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ หญิงสาวในชุดผ้าทอพื้นเมืองก็ก้าวออกมายืนข้างหน้าวงดนตรี ทันทีที่เพลง “ลมหนาวเวียงน่าน” ซึ่งประพันธ์คำร้อง ทำนองและเรียบเรียงโดยครูสอนดนตรีท่านหนึ่งในจังหวัดน่านดังขึ้น เสียงปรบมือก็ดังก้องทั่วทั้งสนาม ร่างสูงที่กำลังเดินอยู่บนบันไดคั่นระหว่างอัฒจันทร์หยุดนิ่งราวกับถูกตรึงไว้ภายใต้อ้อมกอดของบ้านเกิด ชายหนุ่มหันมองไปยังเวทีการแสดงซึ่งอยู่เบื้องล่าง คนที่กำลังสอดส่ายสายตาหาที่นั่งพากันหยุด ทั้งสนามเงียบกริบ ยิ่งส่งให้บทเพลงนั้นยิ่งมีมนต์ขลัง


เมื่อการแสดงชุดแรกจบลง เท้าจึงก้าวขึ้นไปตามบันไดทางเดินระหว่างอัฒจันทร์อีกครั้ง กระทั่งหาเก้าอี้ว่างได้จึงนั่งลง พิธีกรกล่าวถึงลำดับพิธีการต่าง ๆ จากนั้นการแสดงในชุดต่อ ๆ มาก็เริ่มขึ้นจนในที่สุดก็ถึงการแสดงชุดสำคัญ ซึ่งก็คือการแสดงโขน รามเกียรติ์ ชุดพระรามข้ามสมุทร ซึ่งเป็นตอนที่แสดงแสนยานุภาพของพระรามก่อนที่จะมีการถมมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เพื่อยกทัพไปทำศึกกับทศกัณฐ์ที่กรุงลงกา วงปี่พาทย์ไม้แข็งบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ พลันผู้แสดงเป็นตัวลิงก็ร่ายรำนำทัพออกมาก่อน ตามด้วยขบวนราชราชคันเล็กตกแต่งลวดลายวิจิตรตระการตา และที่เด่นเป็นสง่าอยู่บนราชรถนั้นก็คือพระลักษณ์และพระราม


ตาคมจับจ้องไปยังร่างสูงสง่าไม่วางตา ผู้แสดงเป็นพระรามสวมชุดยืนเครื่องสีเขียวซึ่งจำลองการแต่งกายแบบกษัตริย์ มีอินทรธนูที่ไหล่ ศีรษะสวมชฎาประดับด้วยดอกไม้เพชรที่ด้านซ้าย ด้านขวามีดอกไม้ทัดห้อยอุบะ ตามตัวสวมเครื่องประดับต่าง ๆ ตามรูปแบบการแต่งกายของตัวพระ ในมือถือคันธนู ส่วนมืออีกข้างร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงาม


ชุดการแสดงเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ผ่านหน้าปะรำพิธี กระทั่งถึงอีกฝั่งของสนามขบวนทัพนักกีฬาเยาวชนตัวแทนจากจังหวัดต่าง ๆ ก็พากันเดินแถวตามเข้ามา ผู้คนที่รอชมต่างปรบมือให้การต้อนรับอย่างต่อเนื่อง เมื่อเหล่านักกีฬาพร้อมกันที่กลางสนามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พิธีกรจึงกล่าวเริ่มพิธีอัญเชิญธงกีฬาเยาวชนแห่งชาติและธงประจำจังหวัดน่านขึ้นสู่ยอดเสา จากนั้นจึงเชิญประธานขึ้นกล่าวเปิดการแข่งขัน ตามด้วยพิธีการให้สัตย์ปฏิญาณของนักกีฬา และการอัญเชิญไฟพระฤกษ์เพื่อจุดในกระถางคบเพลิง
หลังเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว นคินทรจึงเดินหลบหลีกผู้คนเพื่อมาถ่ายรูปกับพ่อและแม่รวมถึงเพื่อน ๆ ที่รออยู่ริมสนาม ระหว่างทางเขาแวะถ่ายภาพกับทุกคนที่ปรารถนาจะมีภาพคู่กับผู้แสดงเป็นพระราม ไม่ว่าจะเป็นบรรดานักกีฬา ผู้ปกครอง ผู้ชม หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่จัดงาน กว่าจะเดินมาถึงจุดที่นัดกันไว้เล่นเอาเหงื่อตก


“มา ๆ ม่อน มาให้แม่เขาซับเหงื่อหน่อย เดี๋ยวถ่ายรูปแล้วไม่หล่อ” พลตรี นายแพทย์ธรณินเอ่ยขึ้น


นคินทรยิ้มกว้างก่อนจะเดินไปหยุด โน้มหน้าลงให้ผู้เป็นแม่ช่วยซับเหงื่อ


“สูงจนแม่จะเอื้อมไม่ถึงแล้วนะเนี่ย” คุณวาสนายิ้ม นึกถึงหนุ่มน้อยที่เธอเคยต้องย่อตัวลงนั่งซับเหงื่อให้ ตั้งแต่ครั้งที่ลูกชายแสดงโขนเป็นครั้งแรก


“เดี๋ยวถ่ายม่อนกับคุณลุงคุณป้าก่อนนะ เพื่อน ๆ ไว้ทีหลัง” ย้งที่วันนี้แวะมาเก็บภาพบรรยากาศภายในงานเอ่ยขึ้น “ถ้าพร้อมแล้วยืนชิด ๆ กันเลยนะครับ”


เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งธรณินและวาสนาก็พากันจัดเสื้อผ้าหน้าผม แล้วยืนประกบลูกชาย ให้ตากล้องได้เก็บภาพ หลังจากถ่ายภาพครอบครัวเรียบร้อย เพื่อน ๆ จึงกรูกันเข้าไปขอมีส่วนร่วมด้วย


“ผมขอยืนข้าง ๆ เทียบรัศมีความหล่อของคุณลุงผู้พันหน่อยครับ” ภาณุเอ่ยขึ้น


“พ่อ...ไปลดยศคุณลุงเขาเสียเยอะเลยนะ” น้ำหวานว่าพลางอุ้มลูกชายเข้าเอว


“ก็มันเรียกจนติดปากแล้วนี่นาแม่”


“เอ้อ...ไม่เป็นไร ๆ” อดีตหมอทหารหัวเราะร่วน ก่อนจะยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อนลูกชาย


อวัศย์ประคองสิชลที่ขณะนี้ท้องเริ่มใหญ่ขึ้นมายืนข้างคุณวาสนา รอจนช่างภาพเริ่มนับทุกคนจึงหันไปยิ้มให้กล้อง


หลังจากถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเรียบร้อย นายสัตวแพทย์หนุ่มก็ขอตัวพาภรรยาไปตามหาพ่อตาที่ไม่รู้ว่าตอนนี้มัวไปคุยติดลมอยู่ตรงไหน ส่วนภาณุและน้ำหวานพาฟีฟ่าแยกไปอีกทางเพื่อถ่ายรูปกับมาสค็อตของงาน


“ม่อนพาพ่อกับแม่ไปหาที่นั่งก่อนดีกว่า เดี๋ยวม่อนกลับไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัวแล้วจะมาหานะครับ” นคินทรกล่าวในขณะที่ตายังมองไปรอบ ๆ ไม่ทันสังเกตว่าพ่อกับแม่ของตนกำลังรับไหว้ใคร พลันร่างสูงที่ก้าวมาหยุดตรงหน้าก็ทำให้ต้องชะงัก


“คิดว่าจะไม่รอกันเสียแล้ว” คนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานเอ่ยขึ้น


“บอกแล้วไงว่าจะรอ” นคินทรกล่าว


พายุพัดยิ้มเขินก่อนจะพูดประโยคหนึ่งที่รอคอยมาสิบกว่าปี “ถ้าอย่างนั้น...เราขอถ่ายรูปกับม่อนได้ไหม”


คนฟังโคลงหัวยิ้ม ๆ เดินไปยืนข้าง ๆ รออีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง


“มา เดี๋ยวพ่อถ่ายให้” ธรณินบอกพร้อมกับดึงโทรศัพท์จากมือชายหนุ่ม จัดการเปิดกล้องแล้วหยีตาเล็ง


คุณวาสนาเห็นท่าไม่ดีจึงเดินมากำชับ “ถ่ายให้ลูกชัด ๆ นะพ่อ”


“รับรองชัดแน่นอนจ้ะแม่ แต่ถ้าเบลอ ก็เบลอว่ารักแถบนะ” ผู้เป็นสามีกระเซ้าพลางใช้ศอกสะกิดภรรยา


“พ่อนี่...พูดอะไรไม่อายลูกเลย”


ธรณินหัวเราะชอบใจก่อนจะกล่าว “พาย! มองกล้อง ๆ อย่ามัวมองแต่ม่อน” จากนั้นจึงนับ “หนึ่ง...สอง...สาม”


....      


“ทำไมต้องเขินด้วย” นคินทรถามขณะใช้ปลายนิ้วแตะหน้าจอสัมผัสเพื่อเลื่อนดูรูปก่อนจะเงยหน้าขึ้นรอคำตอบจากคนที่นั่งประจำที่คนขับ


“ก็...มันรู้สึกเหมือน...ตอนที่เจอกันครั้งแรกน่ะ”


“ไม่เหมือนสักหน่อย ตอนนั้นน่ะนายทำหน้าอย่างกับแบกโลกเอาไว้ทั้งใบเพราะว่าโดนเพื่อนว่าว่าเป็นเด็กหลังเขา” พูดจบชายหนุ่มก็วางโทรสัพท์ลง “แล้วตอนนี้เพื่อนคนนั้นเป็นยังไงบ้าง”


“ธรรม์น่ะเหรอ เมื่อวานมีนพาเราไปเจอมันมา ตอนนี้ก็เดินคล่องขึ้นแล้วละ”


“แล้วเขาทำอะไรอยู่ กลับไปสอนที่มหาวิทยาลัยเหมือนเดิมหรือเปล่า”


พายุพัดส่ายหน้า “ก็ไม่เชิงนะ ก่อนหน้านี้ธรรม์ไปกายภาพบำบัดที่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูในโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย ตอนนี้ก็เลยอาสาไปช่วยงานด้านธาราบำบัดน่ะ”


“ดีจัง ในที่สุดก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองเลือกสักทีนะ”


“ใช่ เหมือนเราไง”


นคินทรเลิกคิ้ว


“ก็ตอนนี้เราได้ทำในสิ่งที่เราเลือก เราได้กลับมาอยู่กับม่อนแล้วไง”


คนฟังหลบสายตาโดยการมองไปทางอื่น เห็นว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางกลับบ้านจึงเอ่ยขึ้น “จะพาเราไปไหน”


“เราเคยบอกม่อนว่าจะพาไปดูดาวบนดินไง จำได้หรือเปล่า”


นคินทรพยักหน้า มองออกไปนอนหน้าต่างอีกครั้งด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ไม่นานรถก็ค่อย ๆ ไต่ระดับความชันกระทั่งมาหยุดยังยอดดอยซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดแห่งหนึ่ง


เมื่อสองคนลงจากรถดวงอาทิตย์ก็กำลังจะลับขอบฟ้าพอดี นคินทรหยุดมอง ที่อยู่ใกล้ที่สุดคือเจดีย์สีขาวศิลปะพม่าผสมล้านนา ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ แต่ที่ตรึงสายตาที่สุดเห็นจะเป็นพระพุทธรูปปางประทานพรซึ่งประดิษฐานอยู่บนฐานบัวสูงกลางลานกว้าง บรรยากาศเงียบสงบ ท้องฟ้าโดยรอบเปลี่ยนเป็นสีม่วงไล่ระดับจากเข้มไปอ่อนแต้มด้วยริ้วสีส้ม เบื้องล่างคือทิวทัศน์ของน่านนครที่เตรียมตัวเข้าสู่อ้อมกอดของรัตติกาล


“วัดพระธาตุเขาน้อยใช่ไหม” นคินทรถามด้วยรู้สึกคุ้นตากับภาพที่เห็นตรงหน้า


คนพามาไม่ได้ตอบเพียงแต่ถามกลับ “ฉายเคยพามาหรือเปล่า” เห็นอีกฝ่ายสั่นศีรษะน้อย ๆ จึงจูงมือกันเดินไปยังลานชมทิวทัศน์เพื่อไหว้สักการะพระพุทธรูปองค์สูงใหญ่


“จะมีสักกี่คนที่ถ่ายรูปจากมุมนี้ ที่เห็นในโปสการ์ดหรือทีวีก็เห็นแต่ด้านหลังของท่าน” นคินทรกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นวงพักตร์อิ่มเอมซึ่งดูคล้ายกำลังทอดตามองเมืองน่านทั้งเมือง พูดจบชายหนุ่มก็เดินไปหยุดที่ริมระเบียงแล้วหันไปกล่าวกับคนข้าง ๆ “ยิ้มอะไรนัก”


“ดีใจที่คนที่พาม่อนมาที่นี่เป็นครั้งแรกคือเรา” พายุพัดบอก ประกายในดวงตาและรอยยิ้มของเขายิ่งตอกย้ำคำตอบที่เพิ่งพูดจบลงไป


“เวอร์แล้ว” นคินทรกล่าวก่อนจะหันไปมองแสงไฟระยิบระยับที่ประดับประดาแต่งแต้มให้พื้นที่ข้างล่างกลับน่ามอง “เหมือนดาวบนดินจริง ๆ ด้วย”


“ม่อนชอบหรือเปล่า”


“ชอบ”


“ที่นี่กับเสมอดาว ชอบที่ไหนมากกว่ากัน”


ชายหนุ่มหันมาสบตาคนถามแล้วกล่าว “เราชอบทุกที่ ถ้าที่นั่นมีนายไปด้วยกัน”


เพียงประโยคสั้น ๆ ก็ทำพายุพัดยิ้มทั้งน้ำตา


“ร้องไห้ทำไม” ว่าแล้วนคินทรก็ยกขึ้นซับน้ำที่ใต้ตาให้


หนุ่มนักกีฬาจับมือนั้นบีบเบา ๆ แล้วเลื่อนมาวางตรงกลางอก “เราคิดถึงม่อนจะแย่อยู่แล้ว เข็ดแล้ว ต่อจากนี้จะไม่ไปไหนไกล ๆ อีกแล้ว”


นคินทรยิ้ม ค่อย ๆ ดึงมือออกหันไปเกาะระเบียง ทอดตามองแสงดาวพร่างพรายบนผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล ได้ยินเสียงกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู...


“เรารักม่อนนะ”


เมื่อมือใหญ่ทาบทับบนหลังมือ พลันความอุ่นซ่านก็แผ่ซึมไปถึงหัวใจ
... 


ส่งท้าย


หลังการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติสิ้นสุดลง นอกจากอาจารย์เมธีจะปิดสปอร์ตคลับเพื่อฉลองให้กับเจ้าของเหรียญทองว่ายฟรีสไตล์ 50 เมตร (ชาย) แล้วยังถือโอกาสต้อนรับการมาเยือนของฉลามหนุ่ม อดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติเจ้าของเหรียญทองกีฬาเอเชียนเกมส์ในท่าผีเสื้อไปในคราวเดียวกัน ถือเป็นการแทงฉมวกครั้งเดียวได้ปลาสองตัวตามที่อาจารย์เมธีว่าไว้


“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เด็ก ๆ อยากดูอดีตนักกีฬาทีมชาติไทยว่ายน้ำแข่งกันไหม”


สิ้นเสียงเจ้าของสปอร์ตคลับ บรรดาเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นน้ำก็ส่งเสียงเฮ รีบปีนขึ้นจากสระทันที


“ผมเชียร์ครูพาย” สุชาติเอ่ยขึ้น จากนั้นเด็ก ๆ ก็พากันเลือกข้าง จนกระทั่งเหลือคนสุดท้าย


“แล้วครูม่อนเชียร์ใครคะ” เด็กหญิงมะนาวถาม


เจ้าของชื่อสบตาชายหนุ่มที่ยืนห่างไปไม่ไกล กำลังจะตอบ อีกคนก็ขัดเสียก่อน


“ม่อนต้องเชียร์เราสิ” ชลชาติบอก หันไปยักคิ้วให้เพื่อน “ม่อนเคยสัญญาไว้นี่นาว่าถ้าเราลงแข่งม่อนจะเชียร์เรา”
นคินทรอ้าปากค้าง ในที่สุดจึงกล่าว “ค...ครูเชียร์พี่มีน”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเด็กชายหญิงที่เป็นกองเชียร์ฝั่งชลชาติจึงพากันปรบมือชอบใจ โห่ร้องข่มคู่ต่อสู้


อาจารย์หนุ่มเดินยิ้มกริ่มเข้ามาใกล้ ๆ แล้วกล่าว “เชียร์เราด้วยนะ”


“อื้อ” นคินทรรับคำก่อนจะหันไปยิ้มให้อีกคนที่เดินตามมา


พายุพัดรอจนเพื่อนรักเดินผ่านไปแล้วจึงเอ่ยขึ้น “คิดเอาไว้เลยนะว่าถ้าเราชนะมีน ม่อนจะให้อะไรเรา”


“เกี่ยวอะไรกัน” คนเสียเปรียบมุ่นคิ้ว กำลังจะอ้าปากเถียง เจ้าของร่างสูงก็เดินไปหยุดหลังแท่นปล่อยตัวเสียแล้ว


เมื่อสองหนุ่มสลัดเสื้อผ้าทิ้งจนเหลือแต่กางเกงว่ายน้ำ บรรดาเด็ก ๆ ก็ส่งเสียงอู้หูจนอาจารย์เมธีต้องหันไปบ่น “ทีครูถอดเสื้อไม่เห็นมีใครร้องอู้หูบ้างเลย”


“ก็ครูมีแต่พุงนี่คะ”


“ไม่ไว้หน้ากันเลยนะเด็กพวกนี้” คนพูดส่ายหน้ารีบแขม่วพุงทันที บรรดาเด็ก ๆ จึงพากันหัวเราะ


ชลชาติรับแว่นตากันน้ำที่เพื่อนส่งให้มาสวม ก้าวอย่างมั่นคงขึ้นไปยืนบนแท่นแล้วส่งยิ้มให้คนที่ก้าวขึ้นบนแท่นปล่อยตัวข้างกัน “ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้วนะ”


พายุพัดพยักหน้าพร้อมกับดึงแว่นตากันน้ำลง “ห้าสิบเมตรแรกท่ากบ ส่วนห้าสิบเมตรหลังตามถนัด”


“ได้”


อาจารย์เมธีเห็นนักกีฬาขึ้นประจำที่แล้วจึงขาน “Take your mark” สองคนก้มลงอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เมื่อสัญญาณนกหวีดดัง ฉลามหนุ่มก็พุ่งลงสู่ผิวน้ำพร้อมกัน ทำสตรีมไลน์ผสมดอลฟินคิกจากนั้นจึงเริ่มว่ายท่ากบซึ่งต่างคนต่างไม่ถนัด เด็ก ๆ พากันไปยืนข้างขอบสระส่งเสียงให้กำลังใจ ในขณะที่บางคนไปยืนลุ้นว่าใครจะกลับตัวก่อนกันที่ขอบสระอีกฝั่ง


“กลับตัวแล้ว ๆ” สุชาติร้องขึ้น


“กลับตัวพร้อมกันเลย พอพี่มีนเปลี่ยนมาว่าท่าผีเสื้อแล้วว่ายเร็วขึ้นตั้งเยอะ” เด็กหญิงแยมเอ่ยขึ้นพลางชี้ให้มะนาวดู


“นั่นน่ะสิ แต่ครูพายก็จ้วงเอา ๆ แรงไม่ตกเลย”


อาจารย์เมธีเห็นว่าสองคนว่ายสูสีกันมากจึงเดินไปหยุดข้างเด็กชายที่รับหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินที่จุดปล่อยตัว และเมื่อนักกีฬาว่าใกล้เข้ามา ต่างคนก็ต่างก้มลงมองเพื่อไม่ให้พลาดนาทีสำคัญ


“ดูทันไหม” เมธีเอ่ยขึ้นเมื่อสองคนแตะขอบสระ


“ไม่ทันเลยครับครู” เด็กเกาหัวแกรก ๆ


พายุพัดทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำ ลูบหน้าลูบตาแล้วว่ายไปเกาะทุ่นลู่ คว้ามข้อมือของอีกคนแล้วชูขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้ใคร ๆ ได้รู้ว่าชลชาติคือผู้ชนะ พลันเสียงปรบมือยินดีก็ดังไปทั่วทั้งสระ


....


“พาย นายยอมอ่อนให้เราใช่ไหม”


คนเดินนำถอนหายใจเมื่อได้ยินคำถามนี้เป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ เพราะเขาเลิกนับไปนานแล้ว ตั้งแต่กลับจากสปอร์ตคลับจนจะเข้านอนชลชาติก็เอาแต่ถามคำถามนี้อย่างไม่รู้จักเหนื่อย “ยอมอ่อนบ้าอะไร”


“เฮ้ย...แต่ห้าเมตรสุดท้ายน่ะ นายนำเราอยู่นะ”


“นำที่ไหน ใคร ๆ ก็เห็นว่าตีคู่กันมาแล้วนายก็แตะขอบสระก่อน ไปนอนได้แล้วไป” พายุพัดบอกก่อนจะหันไปมองนคินทรที่เอาแต่นั่งหัวเราะอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง


“ม่อนดูสิ ไอ้พายมันแกล้งยอมเรา”


“เราไม่เห็นว่าจะเป็นแบบนั้นเลย ตอนที่เรายืนเชียร์อยู่ที่ขอบสระก็เห็นมีนว่ายเอา ๆ ยิ่งท่าผีเสื้อยิ่งดูเร็วจนน่ากลัว”


ชลชาติมุ่นคิ้ว มองสองคนสลับกันอย่างแคลงใจ


“มั่นใจในตัวเองหน่อย” พายุพัดกล่าวพลางโอบไหล่เพื่อนแล้วพาเดินไปที่ประตู “หรือถ้าอยากให้แน่ใจก็มาเจอกันตอนว่ายการกุศลก็แล้วกัน แต่ตอนนี้น่ะไปนอนได้แล้ว” พูดจบก็ส่งอีกฝ่ายออกนอกประตู


“เดี๋ยววว ยังไม่ง่วงเลย” มือเกาะขอบประตูแน่นราวกับเป็นตุ๊กแก


“เราง่วงแล้ว” เจ้าของเรือนพักบอก พยายามแกะมือเพื่อนออกจนในที่สุดก็สามารถปิดประตูลงได้
คนถูกไล่โวยวายเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อคนข้างในไม่ยอมเปิด เขาก็ด่าปิดท้ายจนสาแก่ใจ ก่อนจะเดินกลับเรือนพักของตัวเอง
เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ พายุพัดก็เดินกลับมานั่งลงบนเตียงพร้อมกับบ่นพึมพำ “ถามอยู่ได้” เห็นนคินทรยังคงนั่งหัวเราะจึงกล่าวต่อ “ขำอะไรเนี่ย”


“ก็นายแกล้งยอมแพ้เองไม่ใช่หรือไง”


“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย” คนโกหกไม่เก่งทำมองไปทางอื่น แต่แล้วจู่ ๆ สองมืออุ่นก็ประกบลงมาบนแก้ม ส่งผลให้ดวงตาสองคู่ได้สบกัน


“ทำไมเวลาพูดไม่สบตาครู”


 พายุพัดอมยิ้ม เลื่อนสองมือขึ้นยึดเอวก่อนจะแกล้งทิ้งตัวลงนอนจนร่างของอีกฝ่ายทาบตามลงมา


“เลยอดได้รางวัลเลย”


“ช่วยไม่ได้” นคินทรบอก ใช้นิ้วเขี่ยปลายจมูกของคนใต้ร่างอย่างรวดเร็ว


“ไม่มีรางวัลปลอบใจให้คนแพ้บ้างเหรอ”


นคินทรยิ้มก่อนจะโน้มลงหอมแก้มอีกฝ่ายจนครบทั้งสองข้าง จากนั้นจึงซุกหน้าลงกับซอกคอแกร่ง


“แล้วถ้าเราชนะล่ะ ม่อนจะให้อะไรเรา” พายุพัดถามพลางดึงมือที่ยังคงเกาะอยู่บนบ่าขึ้นมาแตะจูบซ้ำ ๆ


“ไม่ได้ชนะสักหน่อย จะมาถามทำไม”


“ก็อยากรู้ บอกเราหน่อยนะ”


“...”


“นะ”


คนถูกรบเร้าเงยหน้าขึ้นก่อนจะขยับตัวกระซิบชิดใบหู “เราก็จะบอกว่า...เรารักพาย”


ชายหนุ่มยิ่งยิ้มกว้างพลิกตัวขึ้นเหนืออีกฝ่ายแล้วถามให้แน่ใจ “เมื่อกี้ม่อนพูดว่าอะไรนะ เราได้ยินไม่ถนัดเลย”


กลีบปากได้รูปเม้มแน่น ในที่สุดก็กล่าวคำนั้นซ้ำ “เรารักพาย...”


พูดไม่ทันจบพายุพัดก็กลืนกินถ้อยคำเหล่านั้นโดยการประกบริมฝีปากลงมอบจุมพิตซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนอันแสนหวานและตราตรึงอยู่ในหัวใจของนคินทรไปอีกนานแสนนาน


จบบริบูรณ์


สวัสดีค่ะ

ในที่สุดก็ได้พิมพ์คำนี้สักที ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด 5 เดือนเต็มนะคะ หลังจากหยุดเขียนเรื่องยาวไปนานก็ได้เป็นเรื่องนี้ออกมา หวังว่าใครที่ได้อ่านจะมีความสุขไปกับทุก ๆ ตัวละครในเรื่องค่ะ เราเขียนไว้ในเรื่องหน้ากากดอกไม้ว่า หาก “ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า” เขียนขึ้นจากแนวความคิดและรูปแบบการใช้ชีวิต “คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก” ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวภายในครอบครัว เพื่อน และผู้คนมากมายที่มีโอกาสได้รู้จัก “หน้ากากดอกไม้” มาจากความชอบในเรื่องราวสืบสวนสอบสวนของเรา ดังนั้น “สายลมกระซิบรัก” จึงเป็นนิยายที่สะท้อนถึงอารมณ์และความรู้สึกของเรา ในช่วงหนึ่งที่ชีวิตต้องการกำลังใจมาก ๆ ค่ะ เชื่อว่าทุกคนเคยรู้สึกท้อ ผิดหวัง เสียใจ แต่ถ้าหากไม่จมอยู่กับสิ่งนั้นมากจนเกินไป เราจะมองเห็นคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเรา ถ้าหากตอนนี้ผู้อ่านกำลังเผชิญกับความรู้สึกนั้นอยู่ละก็ เราขอมอบนิยายเรื่องนี้เอาไว้เป็นกำลังใจให้กลับมาเข้มแข็งไว ๆ ค่ะ

จนกว่าจะพบกันใหม่

ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
23 ตุลาคม 2561



ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
กลับมาบอกรักกันแล้ว :-[ :-[
ถึงไม่บอกมันก็อุ่นๆอยู่ในใจตลอดใช่ไหมพายม่อน
ขอบคุณสำหรับนิยายอบอุ่นหัวใจ :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
จบได้ อบอุ่น และ เย็นใจจัง

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
จบด้วยความอิ่มเอมใจ หลงรักบรรยากาศของเรื่องนี้มากครับ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ขอบคุณกับเรื่องราวแสนนุ่มนวล
ตอนนี้ได้แต่รอกรี๊ด มีนกับแสนยา :impress2:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
อบอุ่นน่ารักจริงๆคู่นี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อบอุ่นและสวยงามมาก
ดีใจที่เห็นทุกคนมีความสุข
คนไม่ดีก็ต้องได้รับผลของการกระทำนั้น ๆ
ขอบคุณเรื่องราวดี ๆ อีกเรื่องนะคะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อบอุ่นจังเลยค่ะ ความรักของเขาหนักแน่นและมั่นคงมาก ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆอีกเรื่องนะคะ รักบรรยากาศเมืองหนาวในนิยายของคุณถธปทฟทุกเรื่องเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่สร้างผลงานดีๆมาให้ได้อ่านกัน :L2:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
สุดยอดนิยายเลยค่ะ อ่านแล้วมีกำลังใจ อบอุ่นหัวใจ ความรักมันดีจริงๆเนาะ  :กอด1: :mew1: :pig4:

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ เป็น กลจ ให้คนแต่งค่ะ
 :3123:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อบอวลในหัวใจจริงๆค่ะละมุนละไมในความรู้สึกมากๆขอบคุณนะคะอ่านเรื่องของคุณแล้วมีความสุขแล้วก็ทุกครั้งที่ต้องอ่านซ้ำๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ผลกรรมที่ คณบดีกับรองฯ ธนิต ได้รับเนี่ย  ถึงขั้นไหนอ่ะ?

ยินดีกับธรรม์ที่คิดได้และกลับตัวกลับใจ

 

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนพิเศษ


คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากสภามหาวิทยาลัยได้มีมติให้ตั้งกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงกรณียักยอกเงิน เมื่อหลักฐานชี้้ชัดว่าคณบดีและรองคณบดีร่วมกันปลอมแปลงเอกสารเพื่อยักย้ายถ่ายเทเงินของคณะโดยมีเจ้าหน้าที่การเงินคนหนึ่งรู้เห็นเป็นใจ ทั้งหมดก็ถูกให้พ้นสภาพการเป็นข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัยทันที รวมถึงต้องชดใช้เงินคืนเต็มจำนวนซึ่งเป็นมูลค่าหลายล้านบาท มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกันวุ่นวาย แต่ความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้สร้างผลกระทบให้แก่ชลชาติมากนัก เขายังคงตั้งใจทำงานตามปกติ สำหรับอาจารย์หนุ่มที่วุ่นวายว่าเรื่องราวในคณะเห็นจะเป็นคนที่มานั่งทำตาละห้อยอยู่ในขณะนี้


“เราบอกแล้วไงว่าเราไม่ว่าง ยังตรวจงานยังไม่เสร็จเลย พรุ่งนี้ต้องคืนให้นักศึกษาแล้ว” ชลชาติกล่าวทั้งที่ตายังกวาดมองกระดาษตรงหน้าก่อนจะใช้ปากกาหมึกแดงวงข้อความที่นักศึกษาตอบผิดแล้วแก้ให้ถูก


“ยังมีเวลาตรวจอีกตั้งนาน แต่เราไม่มีเวลาแล้วนะ” แสนยาบอก คำพูดของเขาทำอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น “เดี๋ยวรถบัสมหาวิทยาลัยก็จะออกแล้ว ยังไม่ได้กินสตรอเบอรีชีสเค้กปั่นเลย อีกตั้งหลายวันกว่าจะกลับ นะ ๆ ไปเป็นเพื่อนหน่อย เดี๋ยวเราเลี้ยงกาแฟนายก็ได้ นายยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ”


“ไม่ต้อง” ชลชาติตอบห้วน ๆ “ถ้าเปลี่ยนจากเอาเวลามาเซ้าซี้เราเป็นเดินไปซื้อ ป่านนี้ก็ได้กินไปแล้วไหม” ว่าแล้วก็ก้มหน้าลงตรวจงานต่อ   


ตาคมกวาดมองข้อความที่เขียนด้วยลายมือบนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า บางแผ่นใช้เวลาอ่านเพียงไม่นานเพราะเจ้าของเขียนอย่างบรรจง ในขณะที่บางแผ่นก็ต้องแกะอยู่พักใหญ่เพราะเขียนมาด้วยลายมือหวัดราวกับไม่อยากได้คะแนน ในที่สุดชายหนุ่มก็วางปากกาลงเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู พบว่าเป็นเพื่อนอาจารย์เดินเข้ามาหยิบเอกสารจากนั้นจึงเดินออกไป ห้องทั้งห้องเงียบเฉียบ ได้ยินเพียงเสียงตัดไฟของกระติกน้ำร้อน ไม่รู้ว่าคนที่มาวอแวเมื่อพักใหญ่จากไปตั้งแต่ตอนไหน กำลังจะตรวจงานต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น


คนที่เดินเข้ามาคือหญิงสาวรูปร่างบอบบาง ชุดกระโปรงของเธอเน้นช่วงเอวคอด เผยผิวเนียนช่วงไหล่กว้าง ชลชาติจ้องเขม็ง ยอมรับว่าเธอสวยขึ้นผิดหูผิดตา ใบหน้าสวยเคลือบทับบาง ๆ ด้วยเครื่องสำอาง แต่ก็ไม่อาจทำให้เขาลืม “ตรีฉัตร สิริฉัตร” อดีตราชินีเจ้าสระได้


“ไม่เจอนานเลย” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อเดินมาหยุด


เจ้าของชื่อลุกพรวดขึ้น มือรวบกระดาษบนโต๊ะขึ้นกระทุ้ง แล้ววางไว้ที่เดิม “ต...ตองมาที่นี่ได้ยังไง”


“ตองตั้งใจจะกลับมาเยี่ยมบ้านที่เชียงใหม่น่ะ แตะวัน-สองวันนี้มีธุระที่สถานทูต ผ่านมาแถวนี้เลยแวะหาอาจารย์ทวี อาจารย์บอกว่ามีนเป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ เราก็เลยลองขึ้นมาดู พอดีเมื่อกี้สวนกับอาจารย์อีกท่าน เขาบอกให้เข้ามาได้เลย มีนอยู่”


ชลชาติพยักหน้า ยกกระดาษแบบฝึกหัดปึกนั้นขึ้นกระทุ้งอีกครั้งเพื่อลดอาการประหม่า


“มีน...ว่างหรือเปล่า ไปดื่มอะไรกันหน่อยไหม”


ร่างสูงก้มลงมองกระดาษแบบฝึกหัดตรงหน้า


“ไม่ว่างเหรอ”


“ว...ว่าง เราว่าง” ชลชาติตอบ


“ถ้าอย่างนั้นก็ร้านเดิมเนอะ ที่เคยไปนั่งกันบ่อย ๆ สมัยเรียน” หญิงสาวว่า จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินออกจากคณะ มุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟในซอยข้างมหาวิทยาลัย


ชลชาติที่เป็นฝ่ายเดินนำผลักประตูให้เปิดออก รอจนคนตัวเล็กผ่านเข้าไปจึงก้าวตาม ทันทีที่สองคนนั่งลง เสียงพนักงานก็ดังขึ้น


“สตรอเบอรีชีสเค้กปั่นกับมอคคาเย็นได้แล้วนะคะ”


และเมื่อเจ้าของรายการเครื่องดื่มลุกขึ้น ดวงตาสองคู่ก็บังเอิญได้สบกัน ชลชาติมัวแต่มองตามร่างสูงที่เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จนไม่ทันฟังว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดว่าอะไร กระทั่งเธอยืนมือมาแตะที่หลังมือ


“มีน...ฟังเราอยู่หรือเปล่า”


“ว...ว่าไงนะ” ชลชาติดึงสายตากลับมายังหน้าสวย


“เราถามว่าเอานมร้อนเหมือนเดิม หรือว่าจะดื่มอย่างอื่น”


“เราขอเป็นมอคคาเย็นก็แล้วกัน”


หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะหันไปบอกรายการเครื่องดื่มกับสาวน้อยในชุดนักศึกษาสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนที่กำลังตั้งท่ารอจด


“นมร้อนกับมอคคาเย็น รอสักสักครู่นะคะ” เธอกล่าวก่อนจะเดินไปส่งรายการเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์


“ปอปลาตากลม ที่แท้ก็มีนัดนี่เอง ถึงว่าเราชวนเท่าไรก็ไม่ยอมมา” แสนยาที่เดินเข้ามาหยุดเอ่ยขึ้น มือหนึ่งถือแก้วใส่เกล็ดน้ำแข็งสีชมพูโรยด้วยชีสเค้กก้อนจิ๋ว ส่วนอีกมือหิ้วถุงใส่แก้วกาแฟเย็นโปะวิปครีม เขายิ้มกับสาวสวยที่หันมาส่งยิ้มให้


“ไม่ได้นัดกันไว้หรอกค่ะ ต้องไปลากตัวกันมา” ตรีฉัตรพูดกลั้วหัวเราะ


“ตอนแรกว่าจะซื้อกาแฟไปฝาก แต่นายคงสั่งไปแล้วใช่ไหม เราก็ไม่กินกาแฟ ถ้าอย่างนั้นเราเอาให้น้องพนักงานไปนะ” พูดจบแสนยาก็เตรียมจะย้อนกลับไปที่เคาน์เตอร์ แต่ถูกอีกฝ่ายยึดข้อมือเอาไว้


“เดี๋ยวแสน เราสั่งมอคคาเย็นเหมือนกัน เรากินอันนี้ก็ได้” ชลชาติบอก คลายมือออกแล้วเรียกพนักงานเพื่อจะขอยกเลิกรายการเมื่อครู่ โชคดีที่พนักงานยังชงเครื่องดื่มให้โต๊ะอื่นไม่เสร็จ เขาจึงไม่ต้องดื่มมอคคาเย็นสองแก้วจนตาแข็ง
หนุ่มศิลปินจึงยื่นถุงใส่แก้วกาแฟให้แล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นราไปก่อนนะ”


“จะไปไหนก็ไป ยุ่งวุ่นวายน่ารำคาญ”


แสนยาพยักหน้า ดูมิได้สะทกสะท้านกลับถ้อยคำที่เพิ่งจบลง “ไปละ เดี๋ยวตกรถ...เจ็บแย่” พูดจบก็เดินดูดน้ำหวานอย่างสบายใจออกจากร้าน ไม่ได้ใส่ใจคนมองตามเลยสักนิด


“เพื่อนมีนตลกจัง”


“มันบ้า” ชายหนุ่มพึมพำ ใช้หลอดคนกาแฟในแก้ว


หญิงสาวยิ้ม “มีนสบายดีหรือเปล่า”


ชายหนุ่มพยักหน้า ขณะยกกาแฟขึ้นดูด เมื่อวางแก้วลงจึงถาม “ตองล่ะ สบายดีไหม”


“สบายดีจ้ะ”


“มีตัวเล็กแล้วหรือยัง”


“ไม่มีหรอกกจ้ะ แล้วก็คิดว่าไม่น่าจะมีโอกาสมีด้วย”


“ทำไมล่ะ”


หญิงสาวรอจนพนักงานวางถ้วยนมร้อนลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วตอบคำถาม “เราหย่ากับสามีแล้วน่ะ” พูดพลางแตะฝ่ามือลงข้างถ้วย รู้สึกว่านมยังร้อนอยู่จึงเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา เห็นสีหน้าตกใจของเขาจึงยิ้มน้อย ๆ “ไม่คิดใช่ไหมว่าผู้หญิงที่ดูสมบูรณ์แบบอย่างตองจะหย่ากับสามีได้ ตองก็ไม่คิด ไม่เคยคิดเลย คิดแต่ว่าชีวิตแต่งงานจะต้องมีความสุข มีลูกด้วยกัน อยู่กันจนแก่จนเฒ่า ตอนที่ตองชวนมีนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสด้วยกันแต่มีนปฏิเสธ หรือแม้แต่ตอนที่มีนซ้อมหนักจนไม่มีเวลาให้ตอง ตองยังคิดว่านั่นคือการถูกทิ้ง แต่จริง ๆ แล้วมันคือตอนนี้ต่างหาก”


“ตอง...” ชลชาติรู้สึกราวกับน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะพูดอะไรให้อดีตคนเคยรักรู้สึกดีขึ้น


“พอรู้ข่าวว่ามีนประกาศเลิกว่ายน้ำ ตองตกใจมาก เป็นเพราะตองใช่ไหม”


คนถูกถามเลือกที่จะไม่ตอบ เพียงแต่ยกกาแฟขึ้นดื่ม


“ตอง...ขอโทษนะมีน” มือเรียวประดับด้วยเล็บสีแดงเลื่อนมาทาบบนมือใหญ่ “ขอโทษที่ตองเห็นแก่ตัว มีนยกโทษให้ตองด้วยนะ ตอนนี้ตองถูกลงโทษแล้ว”


“เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว อย่าพูดถึงอีกเลย” ชลชาติกล่าว วางมือที่เหลือบนหลังมือของหญิงสาวบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ จากนั้นจึงค่อย ๆ ดึงออกแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “กลับมาคราวนี้ตองจะอยู่ถึงเมื่อไร”


“ตองตั้งใจจะกลับเชียงใหม่ แล้วก็มากรุงเทพฯ ตอนที่มีแข่งว่ายน้ำการกุศลน่ะ อยากเจอเพื่อน ๆ หลังจากนั้นก็คงบินกลับไปเคลียร์อะไรนิดหน่อยแล้วก็ว่าจะมาอยู่กับครอบครัวที่เชียงใหม่เป็นการถาวร” เธอกล่าวก่อนจะประคองถ้วยนมร้อนขึ้นจิบ “มีนลงแข่งด้วยหรือเปล่า”


“ยังรู้เลย ถ้ามีคนเชียร์ก็อาจจะลง” ชลชาติตอบ เผลอยกมุมปากขึ้นยิ้มกับตัวเอง


“อะไรกัน จะไม่มีคนเชียร์ฉลามมีนได้ยังไง อย่างน้อยก็...แฟนไง”


คนฟังหัวเราะหึในลำคอ พลันเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น หญิงสาวหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าถือขึ้นมากดรับสาย ชายหนุ่มจึงเลื่อนสายตามองออกไปนอกผนังกระจก แม้จะไม่คุ้นหูกับภาษาที่เธอใช้สนทนากับคนปลายสาย แต่การได้มีโอกาสไปแข่งขันในระดับนานาชาติก็ทำให้ชลชาติสามารถฟังออกเป็นบางคำและรู้ว่านั่นคือภาษาฝรั่งเศส


“อีกเดี๋ยวตองต้องไปแล้วนะมีน ตองนัดเพื่อนไว้ที่สถานีรถไฟฟ้า” ตรีฉัตรกล่าวเมื่อเก็บดทรศัพทคืนกระเป๋า


ชายหนุ่มพยักหน้า ยกมือขึ้นเรียกพนักงานให้คิดเงิน จากนั้นทั้งคู่จึงพากันเดินออกจากร้าน ชลชาติส่งหญิงสาวขึ้นแท็กซีเรียบร้อยจึงเดินย้อนกลับไปที่มหาวิทยาลัย เมื่อถึงทางลัดที่สามารถเดินไปยังคณะของตนได้ อาจารย์หนุ่มกลับอ้อมไปอีกทาง ในที่สุดร่างสุดก็มาหยุดที่ลานจอดรถหน้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ เป็นเวลาเดียวกับที่รถบัสสำหรับพานักศึกษาปริญญาตรีของคณะไปทัศนศึกษาที่จังหวัดสุโขทัยเคลื่อนออกไปพอดี


...


ทั้งที่ตามกำหนดการนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของคณะศิลปกรรมศาสตร์จะต้องเดินทางกลับจากการทัศนศึกษาและถึงมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปลายสัปดาห์ก่อน แต่ระยะนี้ชลชาติกลับไม่เห็นรถโฟล์คเต่าสีหวานจอดอยู่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยเลยสักวัน ชายหนุ่มผละจากหน้าต่างกระจากบานเกล็ด ลงจากคณะแล้วตรงไปยังรถที่จอดอยู่ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับโปสเตอร์ใบเล็กซึ่งเสียบอยู่กับที่ปัดน้ำฝน เมื่อหยิบมาดูพบว่าเป็นโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์นิทรรศการของนักศึกษาปริญญาโทของคณะศิลปกรรมสาสตร์ ซึ่งจะจัดขึ้นที่แกลเลอรีแห่งหนึ่งแถวถนนเจริญกรุงในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นจากที่ตั้งใจว่าจะกลับคอนโดเพื่อพักผ่อน ชลชาติจึงเปลี่ยนเป้าหมายทันที


รถแล่นฝ่าการจราจรติดขัดกระทั่งเลี้ยวเข้าซอยแล้วจอดที่ริมบาทวิถีต่อท้ายรถโฟล์คสีนมชมพูในเวลาใกล้ค่ำ อาจารย์หนุ่มหันไปคว้าถุงที่เบาะหลัง เปิดประตูลงจากรถ จากนั้นจึงเดินข้ามถนน เขาหยุดอ่านชื่อสถานที่ซึ่งเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ หล่อด้วยโลหะยึดกับกำแพงปูนเปลือยเป็นข้อความ “Light and Shade” ถัดลงมาด้านล่างคือป้ายอะคริลิกใสที่ภายในติดโปสเตอร์แบบเดียวกับที่ถือติดมือมา เมื่อร่างสูงเดินผ่านช่องประตูเข้าสู่ภายในจึงพบกับอาคารไม้สองชั้น หลังคาจั่ว ทาทับด้วยสีขาวทั้งหลัง ชั้นบนของปีกซ้ายเป็นสตูดิโอส่วนโถง ส่วนด้านล่างซึ่งล้อมรอบด้วยกระจกกรอบลูกฟักถูกถูกซอยย่อยเพื่อใช้สำหรับสอนศิลปะแขนงต่าง ๆ


เท้าก้าวไปตามทางเดินซึ่งหล่อด้วยปูนซีเมนต์เป็นรูปใบไม้เรียงไปตามผืนหญ้าผ่านแนวต้นโมกที่ส่งกลิ่นหอมเย็นกระทั่งหยุดที่หน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกันของชายหนุ่ม 3-4 คน        


“หิวข้าวแล้ว ไปกินชาบูกัน” แสนยาเอ่ยขึ้น แต่เพื่อน ๆ ทุกคนกลับพากันสั่นหัว นั่นเพราะแต่ละคนต่างมีนัดกันหมดแล้ว “นะ ๆ สั่งพิซซามากินก็ได้ กินแล้วค่อยไป” ชายหนุ่มรบเร้า


“เอานี่ไปกินไป” คนที่เพิ่งติดตั้งภาพเขียนสีน้ำมันเสร็จกล่าวก่อนจะโน้มตัวลงหยิบถ้วยกระดาษบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งวางอยู่กับพื้นแล้วโยนให้ “หิวทีไรทำง้องแง้งเป็นเด็กทุกที”


แสนยาคว้าหมับ ปากบ่นขมุบขมิบ “คนมันหิวนี่หว่า ตั้งแต่กลางวันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย อุตส่าห์มาช่วยนะเนี่ย”


“ก็บอกแล้วไงว่ารอให้จบงานนี้ก่อนจะพาไปเลี้ยง แต่วันนี้ไม่ว่างจริง ๆ ว่ะ นัดแฟนไว้”


“เราก็นัดที่บ้านไว้เหมือนกัน วันนี้วันเกิดน้อง ไอ้สองคนข้างในก็ไม่ว่างเหมือนกัน เห็นว่าต้องไปทำงานที่อื่นต่อ” คนที่เพิ่งเดินออกมาจากโถงด้านในกล่าว จากนั้นจึงยกกรอบรูปที่พิงอยู่กับผนังขึ้นติดยังตำแหน่งที่ได้กำหนดเอาไว้


“ถ้าอยากกินก็คนเดียวก่อนก็แล้วกันนะ”


“มันก็ไม่ไปอีก ไม่มีเพื่อกิน” เจ้าของร่างสูงที่ถอยห่างออกมาดูตำแหน่งการจัดวางกล่าวก่อนจะเอื้อมมือขยับภาพให้ตรง


“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้วว่ะ”


“เออ ๆ ก็ได้ ๆ ไว้เสร็จงานก็ได้วะ” แสนยาตัดบท ก้มลงหยิบสูจิบัตรออกจากกล่องแล้วเรียงไว้บนโต๊ะ


ทั้งหมดช่วยกันตรวจสอบความเรียบร้อยภายในห้องจัดแสดงผลงานภาพเขียนอีกครั้ง เมื่อไม่พบจุดบกพร่องใด ๆ จึงก็พากันแยกย้าย เหลือก็แต่แสนยาที่เดินคอตกกลับเข้าไปยังโถงด้านใน ชายหนุ่มนั่งลงที่พื้นตรงกลางห้อง ดึงโต๊ะญี่ปุ่นเข้าหาตัว จ้องมองภาพหม้อชาบูในหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอย่าเสียดาย ในที่สุดจึงจับเมาส์คลิกปิดเว็บต์ที่เปิดค้างเอาไว้ตั้งแต่เริ่มจัดสถานที่ จากนั้นจึงเก็บคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใส่เป้ พลันเสียงฝีเท้าของคนที่ก้าวมาหยุดก็ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้น


“ปอปลาตากลม มาได้ยังไงเนี่ย” หนุ่มศิลปินกล่าวอย่างแปลกใจ


“ก็มาตามโปสเตอร์นี่ไง” ชลชาติบอกพลางชูทั้งโปสเตอร์ใบเล็ก ถุงพลาสติกที่ข้างในมีกล่องพิซซาและน้ำอัดลมขึ้น ร่างสูงนั่งลงโดยมีโต๊ะญี่ปุ่นคั่นตรงกลาง วางของกินลง


“ซื้อมาฝากเราเหรอ” แสนยาจ้องกล่องใส่พิซซาตาเป็นมัน


“คิดว่านายต้องอยู่เตรียมงานถึงดึก ก็เลยซื้อมาฝาก” ว่าแล้วอาจารย์หนุ่มก็ดึงกล่องกระดาษจากถุงแล้วจัดการเปิดออก มองอีกฝ่ายที่ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นหอม ซ้ำยังแทบจะลอยตามไม่ว่าเขาจะเลื่อนกล่องไปทางซ้ายหรือขวา “หิวมากหรือไง”


“มาก” พูดจบแสนยาก็คว้าพิซซามากัด


“ไม่เห็นบอกเลยว่าจะแสดงงาน” ชลชาติถามเสียงเนือบ ๆ พลางเลื่อนแก้วน้ำอัดลมให้


“นี่ไม่ใช่งานเรา มีงานเราติดอยู่ชิ้นเดียว นอกนั้นงานของเพื่อน ๆ แค่เอาชื่อไปใส่ให้ดูเท่ ๆ น่ะ คนสำคัญก็แบบนี้แหละ” หนุ่มศิลปินกล่าวทั้งที่ของกินยังเต็มปาก


ชลชาติโคลงหัวเบา ๆ หยิบกระดาษใบเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “เอาตั๋วงานแข่งว่ายน้ำการกุศลมาให้นาย”


แสนยากวาดตาอ่านรายละเอียดแล้วกล่าว “อืม...เสาร์กลางเดือนเหรอ” ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิด ยกน้ำอัดลมขึ้นดูด


“ไม่ว่างเหรอ”


“เราต้องไปเก็บข้อมูลที่ต่างจังหวัดอีกรอบน่ะ”


คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เลื่อนไม่ได้เหรอ”


“ได้” แสนยาตอบทันควัน นัยน์ตาเป็นประกาย “เราจะไปก่อนแล้วรีบกลับมาเชียร์ไอ้พาย”


เมื่อได้ยิน ชลชาติก็มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย “ไหนเคยบอกว่าไม่เชียร์พายไง”


“ก็คราวก่อน คนที่ลงแข่งที่เรารู้จักก็มีแค่พายนี่ คราวนี้ก็คงมีแค่พายอีก”


“แล้วถ้าคราวนี้เราลงแข่งล่ะ นายจะเชียร์เราไหม”


“ของมันแน่อยู่แล้ว”


อาจารย์หนุ่มพยักหน้า


“ว่าแต่...ไม่กินเหรอ” แสนยากล่าวทั้งที่ปากยังเคี้ยวตุ้ย ๆ มือหนึ่งหยิบพิซซาส่งให้


ชลชาติมองพิซซาชิ้นนั้นก่อนจะเลื่อนตาขึ้นสบ “ไม่อยากมือเลอะ” ว่าแล้วก็จับข้อมืออีกฝ่ายแล้วงับชิ้นพิซซาทั้งที่ดวงตายังไม่ย้ายไปไหน


“จะกินยังกลัวมือเลอะ” หนุ่มศิลปินกล่าวพร้อมกับชักมือกลับ วางชิ้นที่เป็นของคนนั่งฝั่งตรงข้ามลงแล้วจัดการกับส่วนของตนเองที่ยังเหลืออยู่


“หายไปไหนมา ไม่เห็นรถจอดที่คณะเลย” อาจารย์หหนุ่มกล่าว จริง ๆ อยากถามว่า “ทำไมไม่เห็นแวะไปหาที่คณะเลย” มากกว่า


“อยู่ที่คณะนั่นแหละ แต่รถเสียน่ะ เพิ่งซ่อมเสร็จวันนี้เอง” พูดจบก็หยิบพิซซาชิ้นของคู่สนทนาขึ้น “เอาอีกไหม”


ชลชาติพยักหน้า ก่อนจะกัดพิซซาที่อีกฝ่ายยื่นให้


“ขอบใจนะ ขนาดว่าเราว่ายุ่งวุ่นวายแต่ยังซื้อของมาให้กินอีก”


คนฟังสบตานิ่ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเก็บคำพูดในคราวนั้นมาคิด รู้สึกราวกับมีบางสิ่งจุกอยู่กลางอก จะอ้าปากบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แสนยาก็กล่าวต่อเสียก่อน


“คราวก่อนเราเลี้ยงกาแฟนาย ครั้งนี้นายเลี้ยงพิซซาเรา ถือว่าไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะ” ว่าแล้วก็หยิบพิซซาขึ้นมากินอีกชิ้น


“มี” ชลชาติเอ่ยขึ้น “นายยังมีเรื่องที่ติดค้างเรา”


“เรื่องอะไร” แสนยาเลิกคิ้ว แต่ก็ยังกินเอา ๆ


อาจารย์หนุ่มจ้องหน้าคนนั่งอีกฝั่งตาไม่กะพริบ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น  “นายคิดยังไงกับเรากันแน่”


เล่นเอาสำลัก แสนยาเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นตบลงบนอก จะคว้าน้ำมาดื่ม อีกฝ่ายก็เลื่อนแก้วหนี


“ตอบมาก่อน”


“อะ...ไอ้มีน เอาน้ำมาก่อน ร...เร็วข...เข้า จะติดคอตายอยู่แล้ว”


ชลชาติเห็นคนพูดหน้าดำหน้าแดงจึงยอมส่งแก้วน้ำให้ ส่วนแสนยาเมื่อรับมาก็ดูดพรวด ๆ ในที่สุดจึงวางลง มุ่นคิ้วพลางใช้หลังมือเช็ดปากไปพลาง   


“อยู่ ๆ ก็พูดบ้าอะไรเนี่ย”


“เออ ช่างเถอะ เรากลับก่อนนะ” อาจารย์หนุ่มกล่าวเรียบ ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินจากมา 


กว่าจะเดินถึงรถ ชลชาติก็ถอนหายใจไปหลายเฮือก เขาไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าเพราะเหตุใดจึงได้กล่าวถ้อยคำนั้นออกไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้นึกต่อว่าอีกฝ่ายที่ชอบมายุ่งวุ่นวายกับชีวิต แต่พอไม่พบหน้ากันกันไม่กี่วัน กลับเป็นตัวเขาเองที่ทนอยู่เฉยไม่ได้


....


“พาย คนนั้นใครน่ะ” นคินทรกระซิบถามเมื่อเห็นเพื่อน ๆ ของพายุพัดส่งเสียงฮือฮาทันทีที่หญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเข้ามาภายในห้องพักนักกีฬา


“เพื่อนสนิทของข้าวโอ๊ต ชื่อใบตอง”


“ใบตอง ตรีฉัตร สิริฉัตรน่ะเหรอ”


“ใช่ คนนี้แหละที่ได้เหรียญทองเอเชียนเกมส์ปีเดียวกับมีน”


นคินทรพยักหน้า มองตามเจ้าของเรียวขางามที่กำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อนสาวที่พายุพัดแนะนำให้รู้จักตั้งแต่การแข่งขันว่ายน้ำการกุศลเมื่อปีก่อน


“ห้ามมอง มองอะไรนักหนา” พายุพัดกล่าวเสียงเข้มพร้อมกับยกมือขึ้นบังสายตาของอีกฝ่าย


“ก็เขาสวยนี่”


ฉลามหนุ่มยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเป่าปากหวีดหวิวก็ดังขึ้นเมื่อชลชาติซึ่งอยู่ในชุดวอร์มเปิดประตูออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เท่านั้นความสงสัยของคนที่ยืนข้าง ๆ กันก็ผุดขึ้นมาอีก แม้นคินทรจะไม่ได้เอ่ย แต่คำถามมากมายกลับฉายชัดอยู่บนใบหน้าชวนมอง


“เป็นแฟนเก่ามีน” พายุพัดบอกโดยไม่ต้องรอให้ถาม จากนั้นจึงคว้าข้อมือคนรักแล้วพากันหันหลังให้ความวุ่นวาย


ฉลามหนุ่มอาศัยความคุ้นเคยกับสถานที่ เดินไปตามทางแคบ ๆ เพื่อหลบเลี่ยงกองทัพนักข่าว มุ่งหน้าสู่สระว่ายน้ำ กระนั้นนคินทรก็ยังไม่หยุดพูดถึงบุคคลที่สาม 


“ตรีฉัตร สิริฉัตร... สมัยนั้นน่ะดังพอ ๆ กับพายุพัด นาวาภักดิ์เลยนะ” ครุหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ ไม่ทันระวังตัวจึงถูกเจ้าของชื่อดันร่างชิดกับกำแพง 


พายุพัดใช้มือหนึ่งยึดเอวคนพูด ส่วนอีกมือยกขึ้นบีบจมูกของเขาเบา ๆ “แซวอะไร”


“ไม่ได้แซว พูดความจริง” นคินทรกล่าวพลางจับมือมือใหญ่ ถอดกำไลรูปปลาที่ข้อมือของอีกฝ่ายแล้วสวมเข้าที่ข้อมือของตน

“ทำไมมือเย็นจัง”


“ตื่นเต้นน่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พี่ฝนกับแม่มานั่งดูด้วย”


คนฟังยิ้มน้อย ๆ เลื่อนมือขึ้นประคองใบหน้า แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยลงบนสองแก้มอย่างแผ่วเบา “หายตื่นเต้นนะ”


“ใจเต้นยิ่งกว่าเดิมอีก” หนุ่มนักกีฬาตอบตามจริง มือหนายึดต้นคอระหงก่อนจะประกบจูบหนักหน่วงลงบนกลีบปากที่มักส่งยิ้มมาให้เสมอ


“พ...พาย พอแล้ว” นคินทรบอกเมื่อมีจังหวะหายใจ “ทำอย่างนี้แล้วหายตื่นเต้นหรือไง” บ่นอุบเมื่อริมฝีปากอุ่นเริ่มรุกรานลงมาถึงซอกคอของตน


คนฟังหัวเราะในลำคอก่อนจะเลื่อนปากขึ้นกระซิบ “หายตื่นเต้นเรื่องอื่นมาตื่นเต้นเรื่องม่อนแทนไง”


“มันใช่เวลาไหมเนี่ย” พูดจบก็ดันร่างอีกฝ่ายให้ห่างตัว


“แล้วมันต้องเวลาไหนล่ะ”


“พาย!”


“ก็เราไม่รู้จริง ๆ ม่อนบอกมาสิ เราจะได้ตั้งเวลาไว้ ถึงว่าทำไมตอนเด็ก ๆ โค้ชสอนเสมอเลยว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องเป็นคนตรงต่อเวลา”


นคินทรมุ่นคิ้ว กระนั้นใบหูและสองแก้มที่กลายเป็นสีแดงระเรื่อก็ฟ้องต่อสายตาคนมองว่าเขากำลังรู้สึกแบบไหน ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าพวกนักข่าวหรือแฟนกีฬาว่ายน้ำที่อยู่ด้านนอกจะรู้ไหมว่าขณะนี้ฉลามหินของพวกเขาได้กลายร่างเป็นโลมาตัวลื่น ๆ ไปเสียแล้ว


...


เห็นว่าอีกนานกว่าจะเริ่มการแข่งขัน แสนยาจึงเดินลงจากอัฒจันทร์ ตั้งใจจะกลับไปหยิบของสำคัญที่ลืมไว้ในรถ ชายหนุ่มเดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าสู่ลานจอดรถสำหรับผู้ถือบัตร V.I.P. ซึ่งอยู่ด้านหลังสระว่ายน้ำ ภายใต้แสงไฟสลัวในช่องทางเดิ นที่เชื่อมต่อไปยังห้องพักนักกีฬาปรากฏร่างสูงของใครคนหนึ่ง เขากำลังใช้มือประคองปรางแก้มของหญิงสาว ใบหน้านั้นโน้มลงใกล้จนอยู่ในมุมที่หมิ่นเหม่เหลือเกิน หากมีนักข่าวอยู่แถวนี้ ภาพนี้คงได้อยู่ในคอลัมน์ซุบซิบวงการกีฬาเป็นแน่


“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ตอง” ชลชาติกล่าวพลางมองหาเศษผงในตาของอีกฝ่าย “ยังแสบอยู่หรือเปล่า”


“นิดหน่อยจ้ะ สงสัยออกไปแล้วมั้ง”


คนตัวสูงพยักหน้า คลายมือออก บังเอิญสบตากับคนที่กำลังเดินใกล้เข้ามาในจังหวะที่เงยหน้าขึ้น


“ค...คือ...จะไปเอาของที่รถน่ะ” แสนยากล่าวตะกุกตะกักยกมือปฏิเสธ “ม...ไม่ได้จะรบกวนนะ” พูดจบก็รีบสาวเท้าผ่านไปทันที


หนุ่มศิลปินเดินกลับมาที่รถ เปิดประตูแล้วหยิบซองกระดาษเล็ก ๆ ที่ทำหล่นไว้บนเบาะนั่ง เมื่อปิดประตูและกำลังหมุนตัวกลับก็ต้องสะดุงโหยง เมื่อจู่ ๆ คนที่พบกันเมื่อสักครู่ก็มายืนอยู่ตรงหน้า


“เรากับตองไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิด” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“ล...แล้วมาบอกเราทำไมวะ” แสนยากล่าว จะเดินเลี่ยงอีกฝ่ายก็ขวางไว้ด้วยท่อนแขนข้างหนึ่ง จะหนีไปอีกทางก็ถูกแขนอีกข้างกันไว้ จะถอยให้ห่างกว่านี้แผ่นหลังก็ถูกดักไว้ด้วยรถของตนเอง


“เราอยากบอก นายจะได้ไม่เข้าใจผิด” อาจารย์หนุ่มกล่าวขณะที่สองมือยันกับหลังคารถ “เรื่องที่เคยว่านายยุ่งวุ่นวายก็เหมือนกัน เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”


“ตบหัวแล้วลูบหลังนี่หว่า” แสนยาฝืนหัวเราะ แอบกลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยไม่เคยเห็นใบหน้าจริงของอีกฝ่ายมาก่อน


“แสน...เลิกทำเป็นเล่นสักทีได้ไหม โดยเฉพาะกับหัวใจเรา”


“อะไรวะ เมื่อกี้ยังจูบกับอีกคน แล้วตอนนี้มาพูดอย่างนี้กับเรา” หนุ่มศิลปินก้มหน้าลงมองของที่ถืออยู่ในมือพลางบ่นงึมงำ


“เมื่อกี้ไม่ได้จูบ แต่ที่จะจูบน่ะคือจากนี้ต่างหาก เราจะจูบจนกว่านายจะยอมบอกว่านายคิดยังไงกับเรากันแน่” พูดจบชลชาติก็เชยคางคนที่เอาแต่ก้มหน้าขึ้น กำลังจะโน้มลงจุมพิต ก็ถูกมือของอีกฝ่ายผลักจนหน้าหงาย


“พอเลยไอ้มีน” แสนยารั้งมือชลชาติขึ้น “มัวชักช้า เดี๋ยวก็ไม่ได้ให้ของกันพอดี” ว่าแล้วก็เปิดซองดึงกลุ่มด้ายสีขาวพันรวมกันเป็นเส้นใหญ่ออกมาแล้วผูกให้ที่ข้อมือ


“ด้ายอะไร”


“สายสิญจน์โว้ย”


“มีแต่เขาให้แหวนกำไลสร้อยกัน แต่นายกลับให้สายสิญจน์เราเนี่ยนะ”


“ปลุกเสกโดยหลวงพ่อแสนเชียวนะ” แสนยาหัวเราะ เห็นอีกฝ่ายไม่มีอารมณ์ร่วมจึงจำต้องหยุด “ขอโทษ ๆ พูดเรื่องจริงก็ได้ เราได้มาจากวัดพระธาตุแช่แห้งน่ะ นายเอาติดตัวไว้จะได้แข่งชนะไง”   


“ก็เป็นเสียอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้เราคิดได้ยังไง” ชลชาติบอกยิ้ม ๆ พลางมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาผูกสายสิญจน์ให้


“ไม่แปลกหรอกถ้านายจะคิด เพราะเราก็ไม่ได้เป็นแบบนี้กับทุกคน” คนพูดยิ้มกับตัวเองเมื่อผูกเสร็จ “เสร็จแล้ว ไป ๆ ไปได้แล้ว จะแข่งแล้ว”


“เดี๋ยววว” ชลชาติกล่าวพร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างกักตัวอีกฝ่ายเอาไว้ “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ”


แสนยาแยกเขี้ยวยิ้ม ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลงแล้วมุดลอดกรงแขนของอีกฝ่าย “ไม่พูดแล้ว” พูดจบหนุ่มศิลปินก็เดินจ้ำไปทันที


ชลชาติโคลงหัวเบา ๆ สาวเท้าตามจนทัน ปากถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ แต่แสนยาก็ไม่ยอมบอก



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
   
    
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2018 09:06:45 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ว้ายยยย พี่ป.ปลาก็มีโมเม้นนี้กับเขาด้วย เขินอ่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
อร้ายยยยย...... มีนนายก็มีมุมนี้กะเขาด้วยเหรอ
5555 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
เอ๊า ตัดไปเฉยเลย

คนเขียน กลับมาก๊อนนนนน

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
งือ

ออฟไลน์ sackyjung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai5: :katai2-1:ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ ค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด