บทที่ 4 : หยาดน้ำตา
ในสวนของวังตะวันออกนั้น ดอกไม้ที่หลิวช่างหลินชอบที่สุดคือดอกถาน*(1) โดยเฉพาะยามนี้ที่ไม่อาจชื่นชมความงามของดอกไม้ด้วยดวงตาของตนเอง กลิ่นหอมรื่นที่โชยมาของดอกถานช่วยปลอบประโลมจิตใจได้ไม่น้อย ก่อนหน้านี้ที่ทุกอย่างยังเป็นปกติเขายุ่งอยู่กับงานจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน พอตกกลางคืนที่ดอกถานบานเขาก็หลับสนิทไม่เคยชมความสวยงามของดอกถานที่ฮ่องเต้พระราชทานมาให้เลย มายามนี้ถึงมีเวลาล้นเหลือก็ไม่อาจมองเห็นมันได้เสียแล้ว
แต่อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสที่จะได้กลิ่นของมันอีกครั้ง...เป็นเรื่องดีเพียงไม่กี่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากทุกสิ่งเปลี่ยนผัน...
หลังจากเหตุการณ์ในห้องครานั้น เวลาก็ผ่านมาได้สิบวันแล้ว ทานยาตามที่ท่านหมอสั่งโดยไม่ดื้อดึงอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ท่านหมอก็ยอมให้ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง ประจวบเหมาะกับคืนนี้ดอกถานที่ไม่ค่อยออกดอกบานพอดี นี่เรียกได้ว่าเป็นโชคดีอีกอย่างหนึ่ง
ดอกถานนั้นบานเพียงราตรีเดียวก่อนจะโรยรา...คิดดูแล้วชะตาของเขากับดอกถานก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่
"อาเหลียน พาข้าไปใกล้ๆต้นถาน" เอ่ยสั่งคนสนิทที่คอยจูงมือข้างหนึ่งเพื่อนำทางในสวนเรียบๆ อีกฝ่ายขานรับและก้าวเดินนำไปอย่างว่าง่าย ไม่นานจางเหลียนก็พามาหยุดอยู่เบื้องหน้าของกลิ่นหอมที่โชยเรียกอดีตรัชทายาทผู้ซึ่งกลายเป็นตัวประกันสูงศักดิ์ให้ออกมาเดินเล่นในยามราตรีเช่นนี้
มือเรียวยื่นไปแตะส่วนของเรียบมนของใบไม้ค่อยๆไล่ไปตามส่วนก้านที่เรียบลื่นจนมาถึงส่วนล่างของกลีบดอกอ่อนนุ่ม ค่อยๆไล้สำรวจดอกไม้ในความมืดมิด ระหว่างที่มือขยับ ก็นึกถึงภาพที่เคยเห็นในความทรงจำ สำรวจจนพอใจแล้วถึงได้ละมือออกมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ
"คราวนี้ออกดอกมาใหญ่ไม่เบาเลย มิน่ากลิ่นถึงได้โชยไปถึงห้องของข้า"
จางเหลียนเองก็มองดอกไม้สีขาวดอกใหญ่เบื้องหน้าแล้วตอบกลับเบาๆ
"พ่ะย่ะค่ะ งดงามมากทีเดียว"
"คราวนี้ดอกออกมาสมบูรณ์สินะ..."
"ใช่พ่ะย่ะค่ะ ทั้งรูปทรงและสีสัน เหมือนกับช่วงแรกที่ๆองค์ฮ่องเต้ประทานมามาก......" พูดถึงตรงนี้จางเหลียนก็งับริมฝีปากตัวเอง ด่าตนเองในใจซ้ำๆเมื่อเห็นว่ารอยยิ้มแรกในรอบหลายวันของเจ้าชีวิตถูกความโง่เง่าของตัวเองทำให้หายไปเสียแล้ว ในขณะที่จะเอ่ยขออภัย หลิวช่างหลินกลับยิ้มออกมาบางๆอีกครั้ง
เป็นรอยยิ้มที่มีทั้งความหวนรำลึก และขมขื่นในคราเดียว
"เช่นนั้นต้องงามมากเป็นแน่...ตอนนั้นท่านพ่อยังเคยพาท่านแม่มาเรียกข้าให้ออกมาชมดอกไม้ตอนกลางดึก แล้วประทับอยู่กับข้าจนดอกมันร่วงโรย
ต้องบอกว่าสำหรับครอบครัวที่เป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ช่วงเวลาผ่อนคลายที่สามารถอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าเรียกได้ว่ามีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ดีที่ฮ่องเต้แห่งต้าซางรักและมั่นคงในองค์ฮองเฮาหยางยู่หรงเสมอมา แม้จะมีสนมน้อยใหญ่ที่รับมาด้วยพันธะทางการเมืองแต่ความเอาใจใส่ที่มีให้มารดาของเขาก็ไม่เคยลดน้อยลง
หลิวช่างหลินเป็นโอรสองค์โตจากโอรสและธิดาทั้งห้าขององค์หลิวเฉิงจักรพรรดิแห่งต้าซาง ทั้งยังเป็นโอรสที่เกิดกับผู้นำสามวังหกตำหนักอย่างฮองเฮาหยาง ศักดิ์ฐานะที่มิมีผู้ใดเทียบนี้ ตำแหน่งรัชทายาทในใจของเหล่าขุนนางก็ถูกทำนายไว้อย่างแม่นยำ เจ็ดปีก่อนเมื่อองค์ชายช่างหลินอายุได้สิบแปดปีเต็มตำแหน่งรัชทายาทก็ถูกมอบให้องค์ชายใหญ่ผู้มากความสามารถอย่างสมบูรณ์
ยามที่ชายแดนมีปัญหาองค์จักรพรรดิยกทัพไปปราบปราม รัชทายาทรับหน้าที่ปกครองบริหารได้อย่างไร้ที่ติ ทั้งกลยุทธ์ที่เสนอเพื่อรับมือในสงครามครั้งนี้ก็เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ต้าเสียงต้องเสียเวลาถึงห้าปีถึงจะยึดครองได้ทั้งๆจำนวนทหารของต้าเสียงก็มากกว่าถึงสามเท่า
ในความเป็นจริงแล้ว หากต้าเสียงไม่เปลี่ยนตัวแม่ทัพใหญ่เป็นลู่ซือเหยียนเมื่อสองปีก่อน น่ากลัวว่าตอนนี้แม้กระทั่งหัวเมืองชั้นนอกก็ยังยึดไม่ได้
ต้าซางและต้าเสียง สองอาณาจักรใหญ่ที่ครอบครองแผ่นดินอันไพศาล แคว้นเล็กแคว้นน้อยต่างสวามิภักดิ์ต่อสองแผ่นดินนี้ทั้งสิ้น ในอดีตเมื่อราวๆสิบปีก่อนหน้านั้น ขั้วอำนาจยังเป็นสามอาณาจักรใหญ่ก่อนที่ซานฉีจะล่มสลายไปเพราะปัญหาใหญ่ภายในที่รุนแรงจนสองแดนข้างเคียงนั้นสบช่องเข้าแทรกแซง ซานฉีถูกตัดแบ่งเป็นสองส่วน ทางตะวันออกนั้นถูกเข้ายึดครองโดยต้าเสียง ส่วนทางด้านตะวันตกนั้นถูกกลืนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของต้าซาง
สมดุลอำนาจที่เสียไปคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างสองอาณาจักร จนกระทั่งวันนี้ที่ต้าซางพ่ายแพ้ให้กับลู่ซือเหยียน
ชายคนนั้นอันตรายเกินไป จากสถานการณ์ที่แทบจะไม่สามารถรุกคืบเข้ามาได้ กลับกลืนกินทั้งอาณาจักรได้ภายในเวลาแค่สองปี...
คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ ถึงจะเจ็บแค้นไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ตอนนี้ต้องทำตัวให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ชายคนนั้นมีข้ออ้างไปทำร้ายประชาชนของเขาได้!
สองวันก่อนเขาได้รับข้อความลับประโยคหนึ่งซึ่งฝากมากับจางเหลียนยามออกไปรับอาหารด้านนอก หลงซานนั้นเพียงมาเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องเท่านั้น จากคำบอกเล่าของจางเหลียน ทุกคนที่ผ่านเข้าออกห้องของเขาล้วนถูกตรวจตราอย่างเคร่งครัด มีเพียงจางเหลียนเท่านั้นที่หลงซานแทบไม่แตะต้อง แล้วให้ยามเฝ้าคนอื่นมาค้นตัวแทน แน่นอนว่าไม่พบอะไรในตัวของบัณฑิตหนุ่มทั้งนั้น
แต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของคนสนิทคนนี้คือความจำซึ่งไม่เคยผิดพลาด ไม่จำเป็นต้องจดเพียงอ่านผ่านตาแค่ครั้งเดียวก็จะตรึงแน่นอยู่ในสมอง คนที่รู้มีเพียงตัวเขาและหลงซาน
ซึ่งนั่นทำให้เขาแปลกใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาแล้วค้นพบว่าจางเหลียนยังมีชีวิตอยู่ ตามความเป็นจริงบุคคลอย่างจางเหลียนควรจะเป็นคนแรกที่ถูกกำจัดเพื่อจำกัดความเคลื่อนไหวของเขาถึงจะถูก...ตอนแรกยังระแวงว่ามันเป็นกับดักช่วงสามสี่วันแรกถึงได้สั่งอีกฝ่ายไว้ว่าไม่ให้เคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น เพิ่งจะทดลองส่งข่าวเล็กๆออกไปบ้างเมื่อวันก่อนนี้เอง.. หนึ่งเพื่อดูว่าข่าวที่ถูกส่งไปนั้นถูกตัดหรือไม่ สองเพื่อปรามให้พระญาติทั้งหลายที่ยังเหลืออยู่ไม่ให้เคลื่อนไหวโดยพลการ
หลังการทดสอบสามสี่ครั้ง แม้จะไม่มั่นใจนักว่าเป็นกับดักหรือเปล่า เขาก็เริ่มให้จางเหลียนติดต่อกับบุคคลสำคัญในที่สุด...
ซึ่งได้รับการตอบกลับเป็นข้อความที่ได้รับเมื่อสองวันก่อนนั่นเอง
'หลังต้นถาน คืนจันทร์เต็มดวง' คือข้อความที่ได้รับจาก หลิวอิ่นหลิง หรืออินอ๋อง น้องชายคนที่สาม ซึ่งถูกส่งไปปกครองหัวเมืองทางเหนือ ซึ่งหนีรอดการล้อมจับของทหารต้าเสียงไปได้พร้อมแม่ทัพกองทหาร และชาวเมืองบางส่วนของตนเอง
นี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เขาออกมาเดินเล่นในสวนในคืนนี้
หลังจากมาหยุดยืนที่ตำแหน่งนัดหมายได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนไหวจากพุ่มไม้ได้หลัง พร้อมๆกับเสียงสูดลมหายใจเฮือกของจางเหลียน เสียงนั้นทำให้ร่างโปร่งเม้มปากเครียดทันที...
หรือความจะแตกแล้ว... พลันหูก็ได้ยินเสียงของคนสนิทเอ่ยคำว่าท่านอ๋องด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความตระหนกอย่างเห็นได้ชัด คนตาบอดก็ทำความเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที...
สีหน้าของรัชทายาทแห่งต้าซางในตอนนี้เรียกได้ว่าขึงตึงทั้งยังราบเรียบไร้อารมณ์จนผู้มาใหม่ต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ แล้วเอ่ยเรียกเสียงอ่อนลุแก่โทษ...
"ท่านพี่..."
เป็นน้องชายที่เขาย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าได้เข้ามาใกล้วังหลวงเด็ดขาด... ทั้งๆที่หนีไปได้แล้ว ทำไมถึงดื้อแบบนี้!
"อิ่นเอ๋อร์...พี่บอกไว้ว่าอย่างไร"
"แต่ข้าเป็นห่วงท่าน! ท่านพี่ พวกมันรังแกท่านหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่" น้องชายร่วมสายเลือดที่อายุห่างกันหลายปีรัวคำถามไม่หยุด แม้จะควบคุมเสียงไม่ให้ดังเพราะกลัวพวกทหารต้าเสียงจะได้ยิน แต่ความกังวลในน้ำเสียงกลับชัดเจนอย่างยิ่ง...
ชัดเจนจนรู้สึกอุ่นขึ้นมาในหัวใจ...
เมื่อเจอกับความร้อนรนของครอบครัวที่เหลืออยู่ ความโกรธในตอนแรกก็ถูกบั่นทอนจนลดฮวบ หลิวช่างหลินถอนหายใจหนักๆ แล้วยกมือขึ้นควานหาจนจับได้ข้างแก้มของน้องชาย
"อิ่นเอ๋อร์ พี่ไม่เป็นไร เจ้ารีบออกไปจากที่นี่เถอะ มันอันตรายมาก...จะให้เชื้อพระวงศ์ทั้งหมดถูกจับไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องหาทางช่วยพี่ เจ้าหนีออกไปให้ไกลที่สุด เผื่อสวรรค์จะเมตตาให้เจ้ากอบกู้ต้าซางขึ้นมาได้"
อินอ๋องซึ่งตอนนี้อายุสิบเจ็ดทั้งยังเลือดร้อนขมวดคิ้วทันที คว้ามือเรียวๆของพี่ชายมากุมไว้
"นั่นควรเป็นงานของท่าน ท่านพี่ ท่านหนีไปกับข้าเถอะ ข้าให้คนของข้าแฝงตัวเข้ามาสามวันแล้ว พวกเขาจะต้องพาท่านกับข้าหนีไปได้แน่นอน! แล้วเราค่อยวางแผนขับไล่พวกต้าเสียงออกไปจากบ้านเมืองของเรา!"
ได้ยินแบบนี้ หลิวช่างหลินก็เม้มปากแน่น ก่อนจะกัดฟันส่ายหน้าอย่างหนักแน่น
"ไม่ได้! หากข้าหนีไปพวกมันจะทำร้ายชาวเมือง พี่ยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้"
อินอ๋องบีบมือพี่ชายแน่นขึ้นอีก แล้วออกแรงรั้งให้พี่ชายเดินตามตนไปโดยไม่ฟังเสียงห้ามของจางเหลียนที่อยู่ใกล้ๆเลย
"แต่ข้าปล่อยให้ท่านอยู่ที่นี่ไม่ได้ ท่านพี่ ท่านคือรัชทายาทแห่งต้าชาง มีท่านอยู่อย่างไรเราต้องกู้สถานการณ์ได้แน่นอน ท่านหนีไปกับข้าก่อน พวกมันไม่กล้าลงมือกับชาวเมืองหรอก!"
ฟังคำของเด็กหนุ่มเลือดร้อนแล้วคนเป็นพี่ก็ต้องยิ้มขืน หยุดนิ่งขืนแรงดึงของน้องชายเอาไว้ไม่เดินตาม จนคนลากต้องหันกลับมาอย่างร้อนรน
"ท่านพี่! เราจะไม่มีเวลาแล้วนะขอรับ!"
"เจ้าไปเถอะ ถึงอย่างไรพี่ก็ไปไม่ได้"
"ท่านพี่!"
"อิ่นเอ๋อร์ ฟังพี่!" คราวนี้คนเป็นรัชทายาทเสียงแข็งขึ้นมาแล้ว พี่ชายเป็นแบบนี้ต่อให้อินอ๋องที่ได้ชื่อว่าเลือดร้อนขนาดไหนก็ต้องเงียบฟัง
"พาพี่ไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งยังจะเป็นตัวถ่วงของเจ้าด้วย เจ้ารีบออกไปแล้วหนีไปให้ไกลที่สุด อย่าได้เข้าใกล้เมืองที่มีทหารของต้าเสียงอยู่เด็ดขาด"
"ท่านพี่พูดอะไรของท่าน อย่างท่านพี่จะเป็นตัวถ่วงได้เช่นไร ท่านบาดเจ็บรึ!" คราวนี้เด็กหนุ่มก็เข้ามาจับสำรวจเนื้อตัวของพี่ชายทันที แต่มองดูจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบบาดแผลที่ตรงไหน สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นสบตากับท่านพี่แบบไม่เข้าใจ
และเป็นครั้งแรกที่หมู่เมฆแยกตัวออกจากกันจนแสงจันทร์สามารถสาดส่องลงมาได้อย่างเต็มที เผยให้เห็นดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทอันคุ้นเคย
ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับหม่นแสงลงราวกับมีม่านหมอกปกคลุม ทั้งยังไม่ได้เลื่อนมามองสบตากลับตนเองเหมือนทุกครั้ง...ดูล่องลอยราวกับไม่ได้มองสิ่งใดอยู่เลย!
อินอ๋องตัวแข็งทื่อ มือที่จับแขนของพี่ชายไว้ถึงกลับสิั่นสะท้านน้อยๆ นานทีเดียวกว่าเขาจะหาเสียงตัวเองเจออีกครั้ง...
"...ตาของท่าน....."
"ตาของพี่มองไม่เห็นแล้ว...นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ไปกับเจ้าไม่ได้ อิ่นเอ๋อร์ เจ้ารีบหนีไปซะ ก่อนที่ใครจะมาเจอเข้า" น้ำเสียงของพี่ชายยังคงนุ่มนวลราวกับสายน้ำดังเช่นทุกครั้ง หากแต่สิ่งที่กล่าวออกมานั้นกลายเป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างหนักหน่วง...
ไอ้พวกต้าเสียง!
อินอ๋องขบกรามแน่น โทสะอันรุนแรงก่อเนิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนจิตสังหารแผ่กระจายออกมาอย่างชัดแจ้ง จนคนเป็นพี่ต้องจับแขนแล้วบีบแรงๆเพื่อเรียกสติ
"อิ่นเอ๋อร์!"
เจ้าของนามเรียกสติกลับมาได้พยายามข่มจิตสังหารเอาไว้สุดชีวิต อินอ๋องไม่ได้ดึงดันจะพาพี่ชายไปอีก ต่อให้ใจร้อนแค่ไหน หากท่านพี่ตามองไม่เห็นเช่นนี้ พาออกไปสุ่มสี่สุ่มห้าอาจจะก่อให้เกิดอันตรายใหญ่หลวงได้
ตามองไม่เห็น ย่อมไม่อาจจับดาบป้องกันตัว แม้แต่ม้าก็ขี่เองไม่ได้...
เป็นเช่นนี้ต่อให้ใจร้อนกว่านี้สักสิบเท่า เขาก็ไม่อาจพาพี่ชายออกไปเสี่ยงอันตรายเป็นอันขาด
ฝ่ายคนเป็นพี่ชายนั้นรู้สึกได้ถึงแรงบีบแขนที่คลายลงก็ถอนหายใจเบาๆอย่างโล่งอก อิ่นเอ๋อร์นั้นถ้าไม่นับเรื่องใจร้อนก็ถือว่าสติปัญญาไม่ด้อยไปกว่าใครในบรรดาพี่น้อง ทั้งตอนที่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็เป็นคนรอบคอบคนหนึ่ง น้องชายไม่ดึงดันแล้วเช่นนี้ก็ต้องเข้าใจเหตุผลที่เขาไม่อาจตามไปแล้วแน่นอน
อินอ๋องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กัดฟันปล่อยมือจากพี่ชายอย่างไม่เต็มใจ
"ข้าจะกลับมาช่วยท่านแน่นอน... ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยให้ได้! ข้าจะออกไปรวบรวมทหารที่เหลืออยู่เพื่อหาจังหวะทวงคืนแผ่นดินต้าซาง ท่านพี่ ท่านต้องดูแลตัวเอง จนกว่าข้าจะมาช่วยท่าน ท่านห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาด!"
ได้ยินแบบนี้ก็แสดงว่าน้องชายเข้าใจจริงๆแล้ว หลิวช่างหลินพยักหน้ารับคำของน้องชายด้วยสีหน้ามั่นคง
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะมีชีวิตอยู่...เพื่อรอวันที่บ้านเกิดจะกลับมาเป็นดังเดิมอีกครั้ง
ถึงพี่ชายจะไม่เอ่ยคำสัญญา แต่แค่การพยีกหน้ารับคำของอีกฝ่ายก็เพียงพอแล้ว อินอ๋องรู้ดี พี่ชายของเขาเป็นคนที่หากรับคำแล้วจะไม่ผิดคำพูดของตัวเองเด็ดขาด
"ตอนนี้ก็เสียเวลามามากแล้ว เจ้ารีบไปเถอะ จิตสังหารเมื่อครู่ของเจ้ารุนแรงไม่น้อย อีกไม่นานพวกทหารจะมาที่นี่ ระวังตัวเองด้วย"
เสียงฝีเท้าของพวกทหารยามใกล้เข้ามาแล้วจริงๆ อินอ๋องส่งเสียงในคอรับคำอย่างจำยอม ได้แต่พูดว่าท่านพี่ดูแลตัวเองด้วยเป็นคำร่ำลาแล้วสาวเท้าวิ่งจากไป
อิ่นเอ๋อร์ จงหนีไปให้พ้น..อย่าได้ถูกจับเด็ดขาด..พี่ไม่ปรารถนาจะรับรู้ข่าวการตายของพี่น้องร่วมสายเลือดอีกแล้ว
เลือดหยดหนึ่งไหลออกจากมีอที่กำแน่น หยาดโลหิตสีแดงไหลรินตกต้องยอดใบหญ้าสีเขียวอ่อนอย่างเงียบงัน ดั่งเจ้าของที่ข่มกลั้นความเจ็บปวดลึกซึ้งได้แนบเนียนยิ่งกว่าผู้ใด...
*******
ทันทีที่ได้รับข่าวว่ามีผู้บุกรุกบุกเข้ามาในตำหนักที่กักขังรัชทายาทผู้สูงศักดิ์เอาไว้ ทั้งยังหนีรอดการจับกุมไปได้อย่างไร้ร่องรอย ลู่ซือเหยียนก็เดินออกจากห้องพักของตนไปยังห้องที่กักขังเชลยกิตติมศักดิ์ไว้ด้วยตนเอง
สายตาดุดันคมกริบที่จ้องตรงมา แม้จะมองไม่เห็น แต่หลิวช่างหลินนั้นกลับรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน สีหน้าของเขาก็ยังเรียบเฉยไร้อารมณ์ ไม่แสดงทีท่าหวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว ลักษณะท่าทางยังคงความทะนงของสายเลือดกษัตริย์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ดี...ดียิ่ง! ลู่ซือเหยียนคำรามเสียงต่ำในคออย่างพยายามข่มอารมณ์มิให้ตัวเองเผลอลงไม้ลงมือกับเชลยสูงศักดิ์ตรงหน้า รู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้ยินรายงานว่าผู้ที่ยืนดักหน้าเหล่าทหารเอาไว้จนไล่ตามผู้บุกรุกไม่ทันคือร่างโปร่งตรงหน้า โทสะก็ยิ่งมากล้นทวีคูณ โดยที่แม้แต่ตัวเองยังบอกไม่ได้ว่ากำลังโกรธเรื่องอะไร...
โกรธที่มีผู้บุกรุกเล็ดลอดเข้ามาในเขตของตนเองทั้งยังเล็ดลอดออกไปได้ราวกับติดปีกบิน? ไม่..มิใช่เรื่องนี้ คุมทหารนับแสนนับหมื่นมาหลายปี เรื่องเท่านี้ไม่สามารถสะกิดอารมณ์ของเขาได้หรอก...
เป็นเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าเกือบจะหนีไปได้งั้นรึ?..ใช่ ข้อนี้แหละ หากปล่อยให้เชลยที่มีค่าเช่นนี้หนีไปได้ ก็ถือว่าเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงที่จักแปดเปื้อนชื่อเสียงของเขาเอง...
น่าตายนัก กล้าดียังไงถึงคิดจะหนีไป!
แม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ควบคุมอารมณ์ให้กลับมาสงบนิ่งอีกครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
"ดูเหมือนว่าท่านจะคิดว่าข้ามิได้กล้าลงมือจริงๆ"
สีหน้าของช่างหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางต้นเสียงตอบด้วยสีหน้าเย็นชา "ข้าไม่คิดว่าท่านมีสิทธิ์ลงมือ"
"อะไรที่ทำให้ท่านคิดว่าข้าไม่มีสิทธิ์กันล่ะ"
"การที่ข้ายังอยู่ตรงนี้อย่างไรล่ะ" หลิวช่างหลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่ส่ออารมณ์ และพูดต่อว่า "ข้ามั่นใจว่าเงื่อนไขที่ท่านยื่นให้ข้าคือการอยู่ที่นี่โดยไม่พยายามหนีไปไหน ซึ่งข้าก็รักษาเงื่อนไขของท่านอย่างเคร่งครัดแล้ว"
ลู่ซือเหยียนหัวเราะหึเบาๆในลำคอ สาวเท้าเดินเข้าไปประชิดร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีดำสนิท ก้มตัวลงไปจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย และอีกฝ่ายก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่อยู่ใกล้จนต้องเบือนหน้าถอยไปเล็กน้อยอย่างตกใจ
"มิใช่ว่าคนที่พยายามมาช่วยท่านถอดใจไปเพราะดวงตาคู่นี้ของท่านหรอกรึ?"
ประโยคนี้ทำให้ช่างหลินต้องขบฟันแน่นเพื่อสะกดอารมณ์ของตนเอง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ดุจเดิม
"ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด"
"น่าขัน คนที่กล้าบุกรุกเข้ามาท่านเป็นคนขวางมิให้ทหารของข้าตามไปทัน ยังบอกว่าไม่เข้าใจอีกงั้นรึ?"
หลิวช่างหลินยังคงสงบ ไม่แสดงท่าทีผิดแปลกออกมาแม้แต่นิดเดียว
"ข้าแค่ออกไปชมดอกไม้เท่านั้น ใครจะรู้ว่าจะไปเกะกะขวางทางคนของท่านได้?"
"ท่านช่างมีอารมณ์สุนทรีย์นัก ดึกดื่นค่อนคืนไม่หลับไม่นอน กลับออกไปเดินเล่นชมสวนได้" น้ำเสียงของท่านแม่ทัพใหญ่แฝงความกดดันหนักหน่วงนัก แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้หลิวช่างหลินเกรงกลัวขึ้นมาได้อยู่ดี ทั้งยังตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่าเดิม
"ท่านแม่ทัพใหญ่คงลืมไปแล้วกระมัง ว่าตาข้ามองไม่เห็นแล้ว จะมืดหรือสว่างแตกต่างกันตรงไหน?"
กับประโยคนี้ จากที่กำลังหงุดหงิดอยู่จนแทบจะตะคอกก็ทำให้ลู่ซือเหยียนสงบลงทันที ดวงตาสีนิลคู่คมกริบหรี่ลงน้อยๆ...ก่อนจะยันตัวถอยออกมากล่าวเนิบ
"เป็นเช่นนี้เอง ข้าทำท่านลำบากสินะ งั้นเอาเช่นนี้เป็นไร ต่อไปท่านอยากชมดอกไม้หรือต้นไม้ชนิดไหนก็บอกกับคนของข้า ไม่ว่าอะไรพวกเขาก็จะตัดมาให้ท่านชม เช่นนี้ท่านก็มิต้องเปลืองแรงเดินออกไปอีก ทั้งคนของข้าจะได้ทำงานได้สะดวกขึ้นด้วย"
คราวนี้สีหน้านิ่งเฉยของคนฟังย่ำแย่ลงทันที ทำแบบนั้นมิสู้บอกว่าต่อไปบริเวณของเขาเหลืออยู่เพียงแค่ภายในห้องนี้จะตรงกว่ารึ
"นั่นก็แล้วแต่ท่านเถอะ" องค์รัชทายาทแห่งต้าซางเพียงเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเรียบเย็นประหนึ่งน้ำแข็ง เบือนหน้าหนีจากจุดที่เสียงของคู่สนทนาอยู่ไม่หันไปสนใจอีก
ลู่ซือเหยียนหรี่ตาลงมองการกระทำนั้น แค่นเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วยื่นมือไปจับปลายคางของผู้สูงศักดิ์ให้หันมา
"ท่านรู้สถานะของตัวเองดี องค์ชาย อย่าบังคับให้ข้าต้องเสียมารยาทกับท่านเลย"
"ข้ารู้ตัวเองดี"ดวงตาไร้แววนั้นจรดลงที่ใบหน้าของแม่ทัพใหญ่ สีหน้ายังคงมีความถือดีอยู่สวนทางกับคำพูดนัก...
ราวกับตะกอนในอกถูกกวนให้ขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง ลู่ซือเหยียนหรี่ตาลงฉายแววอันตราย ก่อนใบหน้าของแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงจะโน้มลงไปจนชิดพร้อมๆกับแนบริมฝีปากลงกับเรียวปากนุ่มของรัชทายาทแห่งต้าซางอย่างดุดัน ใช้จังหวะที่อีกฝ่ายตกตะลึงสอดปลายลิ้นเข้าไปขโมยลมหายใจอย่างจาบจ้วง ไล่ต้อนปลายลิ้นร้อนด้วยความชำนาญส่วนบุคคล มือที่จับปลายคางของร่างโปร่งเอาไว้เลื่อนไปจับท้ายทอยไม่ให้สะบัดหนีไปไหนได้ทั้งยังกดให้อีกฝ่ายแนบชิดยิ่งกว่าเดิม จวบจนรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายใกล้จะหมดลมหายใจ มือที่กดท้ายทอยเอาไว้ถึงได้คลายแรง
เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายผ่อนแรงลง ผู้ถูกกระทำก็ออกแรงผลักร่างสูงให้ถอยห่างออกไปทันที ใบหน้าขาวขึ้นสีก่ำด้วยความโกรธผสมความอับอาย ผลักอีกฝ่ายออกไปได้ก็ยกหลังมือมาถูริมฝีปากอิ่มช้ำจนเห่อแดง
"ท่าน!!" ในที่สุดลู่ซือเหยียนก็มีโอกาสได้สดับฟังน้ำเสียงกราดเกรี้ยวของรัชทายาทผู้เยือกเย็นผู้นี่ ท่านแม่ทัพขยับยิ้มที่มุมปาก แล้วยกนิ้วมาแตะที่ปากของตนเองอย่างเผลอตัว...
หวานนัก..ทั้งยัง..หอมกลิ่นดอกไม้
ความหงุดหงิดที่สั่งสมมาตั้งแต่รู้ข่าวมลายหายไปทันทีที่ได้ลิ้มรสของริมฝีปากบางๆคู่นั้น มิคิดว่าจูบขององค์ชายใหญ่ต้าซางจะหวานล้ำเช่นนี้ จากตอนแรกเพียงแค่จะแกล้งเล็กๆน้อยๆเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สถานะตนเองกลับกลายเป็นจุมพิตลึกล้ำที่แสนเร่าร้อนเช่นนี้
รอจนอีกฝ่ายถูจนบริเวณริมฝีปากเห่อแดงไปหมด มือแกร่งก็ยื่นเข้าไปคว้าแขนข้างนั้นแล้วดึงออกไม่ให้ถูอีก มาถึงขั้นนี้องค์รัชทายาทผู้สุขุมเยือกเย็นก็เริ่มตระหนกขึ้นมาแล้ว ทันทีทีถูกจับก็สะบัดแขนทันทีแต่ก็มิอาจสลัดมือที่แข็งราวกับเหล็กข้างนั้นออกจากท่อนแขนของตนเองได้ หลิวช่างหลินทั้งโกรธทั้งอายจนขอบตาแดงเรื่อสุดจะกลั้น ระหว่างที่พยายามสะบัดก็คำรามเสียงสั่นในคอ
"ปล่อย ข้า!"
ลู่ซือเหยียนไม่ได้ปล่อยมือ ทั้งยังกระชับกำแน่นยิ่งกว่าเดิม กดเสียงต่ำลงน้อยๆแล้วพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
"อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรท่าน องค์ชายช่างหลิน ต่อให้ก่อนหน้านี้ท่านสูงเทียมฟ้าแต่ในเวลานี้ท่านเป็นเพียงเชลยที่มีชีวิตอยู่เพื่อรับรองชีวิตของชาวเมืองเท่านั้น อย่าบังคับให้ข้าต้องทำร้ายท่าน...เชื่อข้าเถอะ ว่าท่านต้องไม่ชอบวิธีลงทัณฑ์ของข้าแน่"
พูดจบมือที่จับไว้จนร่างโปร่งเจ็บแปล๊บก็ปล่อยออก พร้อมๆกับลมหายใจและเสียงฝีเท้าที่เดินออกจากห้องไป จนแน่ใจว่ารอบๆไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว ร่างทั้งร่างขององค์รัชทายาทก็สั่นสะท้านน้อยๆด้วยความรู้สึกที่กรีดร้าวไปทั้งใจ
ริมฝีปากที่เห่อแดงถูกขบอย่างแรงจนได้รสเลือดไหลเข้ามาแตะปลายลิ้น หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาอาบที่ข้างแก้มโดยที่ไม่มีผู้ใดคิดจะปาดมันออกไป...
ทน...เขาต้องทนให้ได้...
เทียบกับความเจ็บที่สูญเสียบ้านเมืองและครอบครัวไปนี่จะนับเป็นอะไรได้กัน...
ไม่ ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดเดียว...
บัดซบนัก!...ข้าเกลียดเจ้า..ข้าเกลียดเจ้านักลู่ซือเหยียน!
****************************
*(1) ดอกถาน : ถานฮวา ดอกไม้ชนิดหนึ่งมีกิ่นหอมและดอกสีขาวสะอาด จะบานเพียงแค่ช่วงกลางคืนเท่านั้น และจะโรยไปเมื่อแสงอาทิตย์มาเยือน ได้ฉายาว่าดอกไม้แห่งรัตติกาล
เข็นตอนใหม่มาส่งรับวันปีใหม่ ของให้ทุกคนเฮงๆร่ำรวย มีเงินซื้ออะไรวายๆ(?)อ่านตลอดปีนะคะ //โดนโบก
เวิ่นเว้อมาหลายตอน ในที่สุดก็มีฉากเข้าพระเข้านาง(?)บ้างแล้ว ...แอบเขินเบาๆ.
ชอบไม่ชอบตรงไหนเม้นติชมออกความเห็นได้นะคะ ทุกคอมเม้นจะเป็นแรงใจให้คนแต่งบ้าพลังฮึดปั่นตอนต่อไปออกมาได้ไวขึ้นแน่นอน!
ลงนิยายไว้สองทีผ่านมาไม่กี่ตอนก็ทีทั้งคนชอบและไม่ชอบท่านแม่ทัพลู่ของเรา อ่านแล้วเพลินเหมือนกันค่ะ ฮา ขอบคุณทุกคอมเม้นในตอนก่อนหน้านี้มากนะคะ ก่อนจากกันวันนี้ สวัสดีปีใหม่อีกครั้งค่ะ!!!