:: ๘ ::
ความลับไม่มีในโลก
สี่ปีต่อมาไอร์ขับรถไปรับลูกสาวที่จากโรงเรียนก่อนจะมุ่งหน้ากลับมาที่บ้าน ‘อันดา’ เด็กหญิงหน้าตาน่ารักวัยสี่ขวบ เจ้าตัวเล็กเป็นเด็กดีและฉลาดสมกับที่ไอร์เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างดี
หลังจากเรียนจบและได้เป็นนายแพทย์สมใจ ไอร์ก็เก็บเงินสร้างบ้านหลังใหม่ให้กับแม่อย่างที่เคยตั้งใจไว้ โดยไม่ลืมที่จะทำร้านขายข้าวแกงไว้หน้าบ้านให้แม่เหมือนเดิม
ไม่นานหลังจากนั้นสองแม่ลูกก็มาถึงบ้าน
“อันดาคิดถึงคุณยายจังเลยค่ะ” เมื่อลงจากรถแล้วอันดารีบวิ่งเข้าไปกอดก็ผู้เป็นยายที่กำลังยืนยิ้มรออยู่หน้าบ้าน
“ปากหวานจริงๆ หลานสาวคนนี้ห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง” เธอหยิกแก้มหลานสาวเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยว
“น้องอันดาไม่ได้ปากหวานซะหน่อย” เด็กหญิงพูดขณะถูกผู้เป็นยายอุ้มไว้
“เข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนลูกแล้วค่อยออกมาหาคุณยาย” ไอร์พูดกับลูกสาว
“ค่ะคุณแม่” ปิ่นแล้ววางหลานสาวลงที่พื้นแล้วเจ้าตัวเล็กก็วิ่งขึ้นไปเปลี่ยนชุดด้านบน
“วันนี้ลูกค้าเยอะไหมครับแม่”
“วันนี้มาหนาตาเลยล่ะ” ปิ่นแก้วบอกกับลูกชาย
“ผมว่าจะหาคนมาช่วยแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย” ใจจริงไอร์อยากให้แม่เลิกขายเสียมากกว่า แต่ก็พอจะเข้าใจว่าท่านคงไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ เพราะเคยทำมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ไม่ต้องหรอกลูกแม่ยังไหว เปลืองเงินเปลืองทองเปล่าๆ ถ้าวันไหนแม่เหนื่อยมากก็แค่ไม่ขายเท่านั้นล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง” เธอยิ้มให้กับลูกชาย
“ถ้าแม่เหนื่อยอย่าฝืนนะครับ ผมไม่อยากให้แม่ลำบากแล้ว”
“ได้จ๊ะลูก”
“เดี๋ยวผมขึ้นไปดูอันดาก่อนนะครับ” พูดแล้วก็เดินเข้าไปในบ้าน
“ไอร์!” เธอทำท่าอึกอักเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“มีอะไรครับแม่”
“คือวันนี้...ต๋องมาหาแม่ที่บ้านน่ะลูก” ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาสี่ปีแล้ว หากเป็นไปได้หล่อนก็อยากให้ทั้งสองได้กลับมาพูดคุยกันเหมือนเดิม
“อ้าวเหรอครับ...แล้วมันมาทำอะไรครับแม่” เมื่อได้ยินชื่อนี้อีกครั้งก็ทำให้ไอร์ถึงกับชะงักทันที นานแล้วสินะที่เขาไม่ได้ยินชื่อนี้
“ต๋องฝากเบอร์โทรเอาไว้ให้ลูก บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยแต่อยู่ไม่นานก็กลับ” ปิ่นแก้วยื่นนามบัตรที่ต๋องฝากเอาไว้ให้ลูกชาย ไอร์รับมาแล้วก็ยัดใส่กระเป๋ากางเกงทันที
“เดี๋ยวยังไงผมจะโทรหามันก็แล้วกันครับแม่”
“ลูกโอเคใช่ไหม?”
“ครับแม่ผมทำใจได้นานแล้วแม่ไม่ต้องห่วง” เจ้าตัวยิ้มให้
“ได้ยินอย่างนี้แม่ก็อุ่นใจ...แล้วเรื่องอันดาล่ะ”
“เรื่องอันดาผมคงไม่มีทางให้มันรู้หรอกครับ มันจะเป็นความลับตลอดไป”
“แต่ความลับมันไม่มีในโลกหรอกนะลูก”
“รอให้ถึงวันนั้นก่อนละกันครับ แต่ผมคิดว่ามันคงไม่มีวันนั้นแน่นอน” เจ้าตัวพูดด้วยความมั่นใจ
“แม่ว่าอันดาควรจะได้รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใครนะ หรือไม่ก็ได้เห็นหน้าสักครั้งก็ยังดี”
“ผมว่าไม่จำเป็นหรอกขอตัวนะครับแม่” ไอร์เดินออกมาด้วยความรู้สึกสับสน ยิ่งคนใกล้ตัวแนะนำเรื่องนี้ยิ่งทำให้ความมั่นอกมั่นใจลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เขาจะรั้งตัวอันดาไว้ในอ้อมอกคนเดียวได้นานแค่ไหนนะ คิดแล้วก็รู้สึกหวั่นใจไม่น้อย
เย็นวันนั้นหลังจากลูกสาวตัวน้อยนอนหลับไปแล้ว เจ้าตัวก็เดินออกมาที่ระเบียงก่อนจะมองไปที่ท้องฟ้าในยามค่ำคืนด้วยความผ่อนคลาย ในมือทั้งสองข้างก็กำโทรศัพท์มือถือและนามบัตรใบนั้นเอาไว้ ไม่นานก็ยกมันขึ้นมาอ่านและก็รู้ทันทีว่าตอนนี้ต๋องมาช่วยงานที่บริษัทในตำแหน่งรองประธาน มือเรียวตัดสินใจกดเบอร์ที่อยู่ในนามบัตรก่อนจะโทรออก
“ฮัลโล...” ทำไมหัวใจมันต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยนะ เจ้าตัวได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อไล่ความตื่นเต้นออกไป
[“สวัสดีครับนั่นใครพูด”] เสียงที่คุ้นเคยตอบกลับมา อยู่ๆ น้ำตามันก็ไหลลงมาโดยอัตโนมัติ เสียงทุ้มนั่นยังคงเหมือนเดิมเขาจำได้เป็นอย่างดี
“นี่กูเอง” พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น
[“ไอร์! นี่มึงจริงๆ ใช่ไหม”] น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจนั่นทำให้ไอร์ถึงกับยิ้ม
“อื้ม กูเองมึงมีอะไรรึเปล่า”
[“มึงไม่คิดจะถามสารทุกข์สุขดิบกูบ้างเลยเหรอวะ”] เจ้าตัวพูดเหมือนน้อยใจ
“โทษทีว่ะมึงสบายดีไหม”
[“กูสบายดีแล้วมึงล่ะ”]
“กูสบายดี...รีบพูดธุระของมึงมาเถอะกูง่วงแล้ว”
[“พรุ่งนี้มึงว่างไหมกูมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”]
“กี่โมงล่ะพรุ่งนี้กูต้องไปตรวจคนไข้ที่โรงพยาบาล”
[“อ้าวหมอไม่ได้หยุดเหรอวะพรุ่งนี้วันเสาร์นะเว้ย”]
“เป็นหมอต้องทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเห็นคนไข้ที่ไหนก็ต้องรักษาโว้ย” ตอนนี้ความสนิทและคุ้นเคยเริ่มหวนคืนกลับมาทีละน้อย
[“กูดีใจแทนคนไข้ที่มีหมอดีๆ อย่างมึง เอาเป็นว่ามึงว่างตอนไหนล่ะ”]
“ช่วงบ่ายพอได้ มึงว่างรึเปล่าล่ะ”
[“กูว่างทั้งวันอยู่แล้ว”]
“ถ้างั้นเจอกันที่ร้าน XXX ละกัน”
[“กูไม่ยักรู้ว่ามึงชอบกินไอติมด้วย”]
“บางทีกูอาจจะชอบกินตั้งแต่แรกแล้วก็ได้เพียงแต่มึงอาจจะไม่รู้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูจะวางละนะ”
[“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะเว้ย มึงอย่าเบี้ยวนัดกูล่ะ”]
“เออกูไม่ลืมหรอก...บาย”
[“บาย”]
ต๋องวางสายแล้วก็ยิ้มกริ่มด้วยความดีใจ ในที่สุดก็จะได้เจอกับเพื่อนที่เขารักมากที่สุดในชีวิตอีกครั้ง
ไอร์ยืนมองพระจันทร์บนท้องฟ้าสักพักก่อนจะเดินเข้ามานอนกอดลูกสาวตัวเล็กบนเตียง พรุ่งนี้เขาจะพาอันดาไปด้วย อย่างน้อยถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นพ่อลูกกัน แต่ได้เห็นหน้าแค่นี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว
วันรุ่งขึ้นไอร์ปลุกลูกสาวมาอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้าเพราะจะพาไปที่โรงพยาบาลด้วย ตกช่วงบ่ายก็จะให้เจ้าตัวเล็กได้เจอหน้าพ่อเป็นครั้งแรกอีกด้วย
“ลูกมั่นใจนะว่าจะให้เจอกันตอนนี้”
“ครับแม่...ผมนึกถึงคำพูดของแม่แล้วก็เห็นด้วย อย่างน้อยให้พ่อกับลูกเจอหน้ากันก็ยังดี แต่ผมคงไม่บอกหรอกว่านี่คือลูกของมัน”
“ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีนะลูก”
“ขอบคุณครับแม่”
“มาแล้วค้า” เสียงเจื้อยแจ้วดังมาแต่ไกล ขณะที่เจ้าตัวเล็กกำลังเดินลงมาจากบันได
“อย่าวิ่งอย่างนั้นสิเดี๋ยวก็ได้ล้มเอาหรอก” เมื่อได้ยินผู้เป็นแม่บอกอย่างนั้นอันดาก็หยุดวิ่งแล้วเดินมาปกติ
“อันดาไปก่อนนะคะคุณยาย” อันดายกมือไหว้
“อย่าดื้ออย่าซนล่ะเจ้าตัวเล็ก”
“ค่ะน้องอันดาจะเชื่อฟังคุณแม่” ปิ่นแก้วนั่งลงแล้วหอมแก้มหลานสาวทั้งสองข้างสลับกัน ก่อนจะลุกขึ้นแล้วพาไปที่รถ
“ผมไปทำงานก่อนนะครับแม่” ไอร์เองก็ยกมือไหว้ผู้เป็นแม่เช่นกัน เจ้าตัวทำแต่เรื่องดีๆ เป็นตัวอย่างให้ลูกสาวดู เพราะเด็กมักจะเลียนแบบจากผู้ใหญ่และสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว
*-*-*-*-*-*-*
ช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็วในที่สุดช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับทั้งสองคนก็มาถึง ไอร์กำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองดูลูกสาวตักไอศกรีมเข้าปากคำแล้วคำเล่าอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งสองอยู่ในร้านไอศกรีมแห่งหนึ่งย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานคร ไม่นานหลังจากนั้นคนคุ้นเคยที่ไม่ได้เจอกันเสียนานก็เดินยิ้มมาแต่ไกล
“โทษทีว่ะพอดีติดรถมันติด” เมื่อเดินมาถึงเสียงเข้มก็เอ่ยขอโทษเพื่อนที่มาช้ากว่ายี่สิบนาที ช่วงเวลาสี่ปีที่ห่างกันทำให้ความสนิทสนมและคุ้นเคยในอดีตมันไม่แน่นแฟ้นเหมือนแต่ก่อน ทั้งสองยังอายๆ ไม่กล้าสบตากันดีนักได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กัน
“ไม่เป็นไรทำอย่างกับกูไม่เคยรอมึงอย่างงั้นล่ะ” ไอร์ยิ้มเหมือนที่เคยยิ้มให้ก่อนจะหันไปหาลูกสาว “น้องอันดาไหว้ลุงต๋องสิคะ” เขาบอกกับลูกสาวตัวเล็กที่กำลังสนใจไอศกรีมในถ้วยอยู่
“สวัสดีค่ะลุงต๋อง” เจ้าตัวเล็กยกมือไหว้อย่างนอบน้อม สมกับที่ถูกเลี้ยงดูสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
“สวัสดีครับคนสวย หนูกี่ขวบแล้วครับ”
“น้องอันดาสี่ขวบแล้วค่ะ”
“น่ารักน่าชังเชียว” ต๋องมองลูกสาวของเพื่อนรักด้วยความเอ็นดู ทว่ากลับนึกสงสัยในใจว่าเพื่อนแต่งงานตั้งแต่ตอนไหนทำไมเขาไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน และที่สำคัญมันไม่น่าเป็นไปได้ที่เพื่อนจะ...แต่งงานกับผู้หญิง “นี่มึงแต่งงานตอนไหนวะกูไม่เห็นรู้เรื่อง” เมื่อได้ยินคำถามเจ้าตัวถึงกับหน้าชาขึ้นมาทันที เขากลัวเหลือเกินว่าจะมีพิรุธจนอีกคนสงสัย
“อย่าถามถึงเรื่องนี้เลยกูไม่อยากพูดถึงมันอีก รู้แค่ว่ากูมีลูกสาวที่น่ารักคนนี้ก็พอแล้ว” เขายิ้มให้เพื่อนก่อนจะถามต่อ “แล้วมึงล่ะแต่งงานมีลูกรึยัง” ไอร์มองหน้าเพื่อนเหมือนไม่ได้รู้สึกว่าเจ็บปวดแต่อย่างใด
“นี่ล่ะที่กูนัดมึงมาวันนี้ กูจะเอาการ์ดงานแต่งมาให้มึง” แม้จะเป็นการแจ้งข่าวที่น่ายินดีให้กับเพื่อน แต่สายตาคมกลับไม่กล้ามองใบหน้าที่คุ้นเคยนั่น เพราะกลัวจะเห็นความเจ็บปวดของอีกคน เขาไม่แน่ใจว่าไอร์ยังคิดกับเขาแบบนั้นอยู่อีกหรือเปล่า แต่แต่งงานทั้งทีเขาก็อยากให้เพื่อนคนนี้ไปร่วมแสดงความยินดีด้วย เขาหยิบการ์ดออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เพื่อน
ไอร์พยายามบังคับมือไม่ให้สั่นแต่มันก็ทำไม่ได้อยู่ดี เขาเอื้อมมือที่สั่นเทาไปรับการ์ดสีชมพูใบนั้นมา ส่วนใบหน้าคมก็ยิ้มแห้งๆ ให้อย่างฝืนทน
“ยินดีด้วยนะเพื่อน ในที่สุดมึงก็เจอคนที่ใช่ซะที แล้วผู้หญิงที่โชคดีคนนั้นเป็นใครกันวะ” เขาพยายามฝืนถามออกไปแม้ข้างในจะร้องไห้โฮอยู่ก็ตาม
“เป็นรุ่นน้องที่ทำงานว่ะ” ต๋องตอบกลับอย่างไม่เต็มเสียง
ระหว่างที่สถานการณ์กำลังตึงเครียดอยู่นั้น ลูกสาวตัวเล็กของไอร์ก็เอ่ยขึ้นมา...
“คุณแม่คะน้องอันดาหิวน้ำ”
ต๋องหันขวับไปมองหน้าเพื่อนรักด้วยความสงสัย เขาได้ยินไม่ผิดใช่ไหมที่เด็กคนนั้นเรียกไอร์ว่าแม่
“ทำไมลูกถึงเรียกมึงว่าแม่...บอกกูมา!” เขาจ้องหน้ารอคำตอบอย่างไม่วางสายตา หวังว่าเด็กคนนี้คงจะไม่ใช่ลูกของเขาเหรอกนะ แค่ครั้งเดียวในคืนนั้นมันจะเป็นไปได้เหรอ...ต๋องคิดในใจ แต่อายุของอันดากับช่วงเวลาการมีอะไรกันในครั้งนั้นมันก็ช่างน่าคิดเสียจริงๆ
“เอ่อ....คือกูบอกให้ลูกเรียกเองล่ะ เพราะอันดาชอบบ่นถึงแม่ตลอดลูกจะได้ไม่รู้สึกคิดถึงแม่” ไอร์หลบตาและพยายามหาข้ออ้าง
“แล้วแม่ของเด็กเป็นใคร”
“มึงไม่รู้จักหรอกเลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะกูต้องขอตัวกลับก่อน” ไอร์เก็บการ์ดเชิญเข้ากระเป๋าก่อนจะหันไปหาลูกสาว “น้องอันดาเรารีบกลับไปหาคุณยายกันเถอะค่ะ”
“ค่ะคุณแม่” ไอร์พยายามไม่มองหน้าเพื่อนเพราะกลัวอีกฝ่ายจับผิดได้
“มึงรู้ไหมว่ากำลังมีพิรุธ” ต๋องสังเกตท่าทางของเพื่อนก็พอจะเดาออกว่ามีเรื่องที่ปิดบังอยู่ในใจ
“กูเปล่า!” เจ้าตัวทำหน้ายุ่งใส่เพื่อนก่อนจะหันไปหาลูกสาวอีกครั้ง “อันดาลุกขึ้นเร็วลูก” ไอร์จูงมือลูกสาวจะเดินออกจากร้าน
“กูรู้แล้วนะว่างานวิจัยที่มึงทำตอนปีสี่คืออะไร” ได้ยินอย่างนั้นไอร์ก็ชะงักทันที ต๋องรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกันเพราะมันเป็นความลับที่มีคนรู้แค่เพียงไม่กี่คน
“มะ...มึงรู้ได้ไงใครบอก”
“มึงไม่ต้องรู้หรอกว่าใครเป็นคนบอก รู้แค่ว่ากูรู้เรื่องที่มึงทำทั้งหมดแล้ว”
“กูไม่มีทางเชื่อมึงหรอกถ้ามึงไม่บอกว่ารู้จากใครกูก็ถือว่ามึงคิดเองเออเอง”
“อาจารย์หมอสมิธเป็นคนบอกกูเอง” ในที่สุดต๋องก็จำใจเอ่ยชื่ออาจารย์หมอออกมา หลายวันก่อนเขาได้เจอกับอาจารย์หมอสมิธโดยบังเอิญขณะพาพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาล และเพิ่งได้รู้ว่าอาจารย์หมอเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับพ่อของตัวเองซะงั้น จริงๆ แล้วอาจารย์หมอไม่เคยเห็นหน้าต๋องเลยสักครั้ง แต่ต๋องเคยเห็นหน้าอาจารย์หมอบ่อยๆ ตอนไปรับไปส่งไอร์ที่คณะแพทย์ จึงทักทายพร้อมกับถามข่าวคราวของไอร์ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อาจารย์หมอต้องยอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังเพราะรู้สึกสงสาร
“มึงรู้จักอาจารย์หมอได้ไงกูไม่เคยแนะนำให้มึงรู้จักสักครั้ง” เมื่อได้ยินชื่ออาจารย์หมอก็ทำให้ไอร์ถึงกับใบหน้าซีดเซียว ไม่นึกเลยว่าความลับที่ปิดมาตลอดสี่ปีจะต้องถูกเปิดเผยในวันนี้
“อาจารย์หมอเป็นเพื่อนพ่อกูเอง ท่านเล่าเรื่องมึงให้กูฟังแต่....ท่านไม่ได้บอกว่ามึงมีลูก”
อันดามองหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองคนสลับไปมาด้วยความสงสัย ต๋องเองก็มองไปที่เด็กหญิงอย่างไม่วางตาก่อนที่ไอร์จะจับตัวลูกสาวไปซ่อนไว้ข้างหลัง
“กูไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีตอีกแล้ว ต่อไปนี้มึงกับกูไม่ต้องมาเจอกันอีก เดี๋ยวซองกูจะให้คนไปส่งที่บ้านให้ละกัน” พูดจบก็หันหลังเดินออกไปหน้าร้าน แต่ต๋องไม่ยอมแน่นอนวันนี้เขาต้องรู้ความจริงให้ได้ว่าอันดาเป็นลูกของตัวเองรึเปล่า เจ้าตัวเดินตามหลังไปแล้วจับที่ข้อมือเพื่อนเอาไว้
“มึงบอกกูมาก่อนว่าอันดาเป็นลูกกูรึเปล่า”
“มึงหยุดพูดเดี๋ยวนี้” ไอร์ชี้หน้าทันทีเพราะกลัวลูกสาวจะสับสน อันดาเป็นเด็กฉลาดต้องมีคำถามแน่นอนเมื่อกลับถึงบ้าน
“ไม่! กูต้องรู้ให้ได้ว่าอันดาเป็นลูกกูรึเปล่า” ต๋องรีบคว้าตัวลูกสาวมาอุ้มไว้ทันที ด้วยความตกใจทำให้อันดาร้องไห้เสียงดัง ส่วนไอร์เองก็ตกใจไม่น้อยแล้วพยายามแย่งตัวลูกสาวกลับคืนมา
“ไอ้ต๋องเอาลูกกูคืนมาดี๋ยวนี้นะ” เขาไม่น่าเอาลูกสาวมาด้วยเลย มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต
“คุณแม่ช่วยอันดาด้วย แงๆ” เด็กหญิงตัวน้อยพยายามดิ้นเพื่อมาหาแม่
“ถ้ามึงยังไม่ปริปากกูจะพาอันดากลับบ้านด้วย”
“เออ! อันดาเป็นลูกมึง แล้วไงวะมึงจะแต่งงานอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมจะต้องมาวุ่นวายกับกูและลูกด้วยวะ ต่างคนต่างอยู่มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ฮือๆ” เมื่อโดนกดดันอย่างหนักไอร์ก็ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างไม่มีกั๊ก
“กูยอมทิ้งทุกอย่างได้เพื่อมึงกับลูก!”
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*