Chapter Twenty.
เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ดังขึ้นจากอีกด้านเรียกให้ฝุ่นหมุนตัวกลับมาจากการมองตามมะตูม ก่อนจะเตรียมเอ่ยปากบอกลูกค้าว่าร้านปิดแล้ว
“ร้านปิดละ...”
ประโยคนั้นไม่อาจเอ่ยจนจบเมื่อหันไปเห็นคนตรงหน้าเต็มตา
แม้จะมีหมวกและแมสก์ปิดหน้าแต่รูปร่างและดวงตาเรียวรีคู่นั้นก็ทำให้ฝุ่นรู้ได้ทันที
ปิน!!--
มือหนายกขึ้นถอดผ้าปิดปากออกช้าๆ ก่อนจะถามขึ้น
“ร้านปิดแล้วเหรอครับ”
เสียงทุ้มนุ่มที่แสนคิดถึงดังก้องอยู่ในหัว ภาพตรงหน้าพร่าเลือนขึ้นกระทั่งสุดท้ายฝุ่นก็มองเห็นไม่ชัด เมื่อไหร่ไม่รู้ที่แรงสะอื้นไห้ทำให้กายสั่นไหว
ปิน...คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือปิน
ขาสั่นๆ ก้าวเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว ทว่าอีกคนก็พูดขึ้นให้ต้องหยุดชะงัก
“ผมคงมาช้าไป...ไว้วันหลังจะมาใหม่นะครับ”
รอยยิ้มตามมารยาทและคำพูดแสนห่างเหินทำให้คนได้รับใจหล่นวูบ ทั้งที่เป็นคนเดินจากมาแต่วินาทีนี้ฝุ่นกลับก้าวเข้าไปคว้าแขนคนที่กำลังจะเดินออกจากร้านเอาไว้
“ปะ ปิน ปิน” เสียงเรียกชื่อดังซ้ำๆ ขณะที่มือก็กำแน่นไม่ยอมปล่อย
สัมผัสนั้นตอกย้ำว่านี่คือความเป็นจริงไม่ใช่เพียงฝัน
“ฮึก” น้ำตาไหลรินเป็นสายไม่ต่างจากวันที่ก้าวออกจากห้อง
ปินอยากแข็งใจก้าวออกจากตรงนี้ ทว่าความรู้สึกที่มีต่ออีกคนมันมากมายเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น ร่างสูงยังคงยืนนิ่ง ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่นจนขึ้นข้อขาว ขณะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“วันหลังผมจะมาใหม่”
ใบหน้าเล็กส่ายไปมา พออีกคนตั้งท่าจะก้าวออกไปอีกฝุ่นก็โถมตัวเข้ากอดจากทางด้านหลัง
มีเพียงความคิดเดียวที่ว่าไม่ให้ปินไป
“อึก ไม่...มะ ไม่”
ร่างกายคนถูกกอดเกร็งสั่นไม่ต่างจากคนกอด อีกทั้งปินยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายในการไม่หันไปกอดอีกคน
ทั้งที่อยู่ตรงนี้ สัมผัสกันแบบนี้ แต่กลับกอดไม่ได้
ฝุ่นควรได้เรียนรู้...
“ตอนฝุ่นจะไป ผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะพูดคำว่าไม่ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเอ่ยคำบอกลา”
“...” มีเพียงเสียงร้องไห้เป็นคำตอบ
“ที่ผมมาไม่ใช่ในฐานะปิน แต่มาในฐานะลูกค้า ร้านปิดแล้วเพราะงั้นวันนี้ผมขอตัว”
แขนเล็กที่โอบอยู่รอบเอวสอบถูกดึงออก แม้จะมีแรงขืนเอาไว้แต่ก็น้อยนิด ไม่อาจสู้อะไรกับแรงของปินได้
“ปิน ฮือ”
ร่างเล็กทรุดนั่งลงบนพื้นยามมองตามแผ่นหลังกว้างไป ก่อนดวงตาที่เต็มไปด้วยหยดน้ำจะเบิกขึ้นเมื่อเห็นปินเดินเข้าไปยังตึกตรงข้าม
ตรงที่จำได้ว่าคุณน้าคนนั้นเดินหายเข้าไปทุกครั้งหลังจากที่ซื้อกับข้าวเสร็จ
ปะ ปินรู้มานานแล้วงั้นเหรอ
ความสับสนมึนงงและเสียใจผสมปนเปจนแยกแทบไม่ออก หากแต่เหนือสิ่งอื่นใดน้ำตาและความคิดถึงคือสิ่งที่ชัดเจนที่สุด
--
วันจันทร์เป็นวันที่ร้านข้าวแกงปิด และต่อให้ไม่ใช่วันจันทร์ฝุ่นก็ไม่คิดที่จะเปิด ร่างเล็กนั่งอยู่ตรงหน้าต่างในห้องนอน เอาแต่จับจ้องอาคารพาณิชย์ฝั่งตรงข้ามตลอดทั้งคืน
ปินอยู่ในนั้นจริงๆ งั้นเหรอ
แล้วการรอคอยก็เป็นผลเมื่อผ้าม่านตรงชั้นสามถูกเปิดออก เผยให้เห็นความเคลื่อนจากคนที่อยู่ในนั้น
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มทั้งน้ำตาทั้งที่อีกคนนั่งหันหลังให้ คล้ายกับว่าปินกำลังนั่งเล่นกีตาร์อยู่ในห้องนอน
ทำไมไม่เคยสังเกตเลยกันนะ หากสังเกตเพียงสักนิดอาจจะเห็นปินตั้งนานแล้ว
มือบางยกขึ้นแตะกระจกตรงหน้าก่อนจะพิงตัวอิงแอบราวกับว่าตัวเองกำลังซบแผ่นหลังกว้างอยู่
ไม่ใช่ฝัน...นี่ไม่ใช่ความฝัน
วันอังคารมาถึงพร้อมด้วยสภาพที่แสนร่วงโรยของฝุ่น เนื่องจากคอยเอาแต่เฝ้ามองฝั่งตรงข้าม กินข้าวก็นั่งตรงนั้น ทำอะไรก็เหลือบไปมองแค่ตรงนั้น ทั้งที่แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดจากอีกฝั่ง
“คุณฝุ่นเป็นอะไรหรือเปล่าครับ หน้าตาเหมือนไม่สบาย” ลูกค้าประจำอย่างอาณัตทักขึ้นเมื่อเห็นความผิดปกติจากเจ้าของร้าน
เขาลอบสังเกตอีกคนมาตั้งสองปี จะไม่รู้ได้อย่างไร
“เปล่าครับ” คนถูกถามวางจานข้าวลงให้แล้วทำเพียงยิ้มรับจากนั้นจึงหมุนตัวกลับไปที่หน้าร้าน
พอไม่มีอะไรทำก็นั่งมองฝั่งตรงข้ามอยู่อย่างนั้น กระทั่งมีรถคันคุ้นตามาจอดตรงหน้าห้องปิน ก่อนคนขับจะเดินลงมา
ฝุ่นรีบขยับตัวลุกขึ้นเมื่อเห็นลูกค้าประจำข้ามมาหา
“เอาเหมือนเดิมครับ”
“ผม...ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ” ฝุ่นรีบเอ่ยด้วยเสียงสั่นๆ ขณะที่อีกฝ่ายก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“ได้ครับ”
“คุณน้าซื้อข้าวทั้งหมดไปให้ใครเหรอครับ”
“คนที่อยู่ในนั้นน่ะครับ” ธนาชี้มือไปที่ฝั่งตรงข้ามให้ฝุ่นรีบถามต่อ
“กี่คนครับ”
“คนเดียวครับ แต่ส่วนมากเจ้านายจะแบ่งให้ผมทาน เขาจะหยิบแค่กล่องต้มยำขาหมูไป”
ริมฝีปากบางถูกขบกัดจนชาหนึบ อีกทั้งฝุ่นยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่ร้องไห้ออกมา
“งะ งั้นวันนี้เอาเหมือนเดิมนะครับ”
“ครับ อย่างละกล่องเหมือนเดิม” แล้วลูกค้าประจำก็เดินไปนั่งรอในร้านอย่างเคย
ฝุ่นเหลือบสายตาไปมองที่ฝั่งนั้นอีกครั้งราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไป แต่แล้วก็รีบดึงสติกลับมาเมื่อคิดได้ว่าคนในนั้นอาจจะกำลังรอทานข้าวอยู่
มือเล็กจัดแจงทุกอย่างด้วยความตั้งใจที่มากขึ้น ข้าวในวันนี้จึงพิเศษทั้งในเรื่องของความรู้สึกและปริมาณ
“เขามาที่นี่บ่อยไหมครับ” ฝุ่นถามขึ้นขณะที่คนตรงหน้ากำลังจะยื่นเงินมาให้
“ก็ทุกครั้งที่ผมมาซื้อข้าวที่นี่น่ะครับ”
“แล้วแต่ละครั้งอยู่นานไหม” ความอยากรู้มีมากมายจนไม่อาจรักษาคำว่ามารยาทเอาไว้ได้
สุดท้ายธนาเลยจำต้องดึงมือที่ถูกเมินกลับแล้วเอ่ยตอบคำถามเสียก่อน
“สักวันหรือสองวันแล้วแต่งานเขาครับ แต่ช่วงนี้เหมือนจะอยู่นานหน่อย”
คนฟังระบายยิ้ม จากนั้นจึงค่อยยื่นถุงข้าวส่งไปให้
“ผมแถมต้มยำขาหมูให้อีกกล่องนึงนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับไม่เป็นไร ของซื้อของขาย” ธนารีบปฏิเสธแล้วจ่ายเงิน ทว่าฝุ่นกลับทอนมาในราคาที่คิดเท่าเดิม
“ไม่เป็นไรครับ...ผมอยากให้จริงๆ”
สุดท้ายธนาก็ต้องยอมรับความใจดีนั้นมาอย่างไม่อาจปฏิเสธ
คนร่างท้วมข้ามฝั่งกลับไปแล้วก็ไขกุญแจประตูกระจกของตึกแถวห้องนั้นเข้าไป
ฝุ่นมองตามลูกค้าประจำด้วยรอยยิ้มบางเมื่อคิดว่าอาหารของตัวเองจะถูกนำไปให้ใครอีกคน
--
“เรานี่นะ คิดจะแกล้งอะไรฝุ่น” ประภาถามคนเป็นลูกด้วยความอ่อนใจขณะที่นั่งอยู่บนรถซึ่งมุ่งหน้าไปยังระยอง
“ผมแค่จะทำให้ฝุ่นรู้ว่าชีวิตปกติมันเป็นยังไง ตอนนี้เขาเปิดร้านอาหาร เราก็เป็นลูกค้า แค่นั้น”
“ทำไมต้องทำอะไรแบบนี้ในเมื่อตอนนี้ปินเองก็พร้อมแล้วไม่ใช่เหรอลูก”
คำว่าพร้อมของปินคือในเวลานี้ไม่ได้ติดสัญญากับค่ายใด เพราะฉะนั้นเมื่อทำอะไรผลกระทบต่อคนอื่นก็มีน้อยลง
“ทุกอย่างมันต้องค่อยๆ ปรับตัวและเรียนรู้ครับแม่...ถึงมันจะเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับผมแล้วแต่ผมก็ต้องแน่ใจว่าฝุ่นพร้อมแล้วเหมือนกัน”
“อยากเช็กความพร้อมหรืออยากแกล้งฝุ่นกันแน่”
“...” คนขับรถไม่ได้ตอบอะไรให้ประภารู้เอาเองว่าปินตั้งใจจะทำทั้งสองอย่าง
ลูกชายเธอแอบงอนที่ฝุ่นหนีมาโดยไม่บอกกล่าวอยู่ตลอดเลยนี่นะ
“เอาเถอะ ถ้าปินบอกว่าปรับตัวก็คือปรับตัว ก็อย่างที่ปินเคยว่า ตอนนี้ปินจะทำอะไรก็ได้เพราะการกระทำมันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนอื่นแล้ว ก็มีเพียงแค่ความรู้สึกของแฟนคลับที่ต้องระวัง”
“ระหว่างสัญญาการเป็นนักร้องผมทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อวันนี้ที่ผมจะขอเป็นตัวเองครึ่งหนึ่งก็ได้แต่หวังว่าคนที่รักผมเขาจะยอมรับได้” ปารินทร์เอ่ยออกมาเสียงเบาเมื่อลองคิดถึงสิ่งที่อาจจะตามมาต่อจากนั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรแล้วความเป็นจริงก็คือความเป็นจริง เขาไม่สามารถเป็น ปิน ปารินทร์ ได้ตลอดทั้งชีวิต และเมื่อเป็นอิสระแม่กุญแจซึ่งขังความเป็นตัวเองเอาไว้ก็ถูกปลดล็อก
ปินจะค่อยๆ เป็นตัวเองมากขึ้น ทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
“แต่ปินก็ต้องยอมรับถ้าหากจะมีบางส่วนที่รับไม่ได้ หรือมีบางส่วนที่เสียใจ” คนเป็นแม่เอ่ยย้ำในประเด็นที่สำคัญที่สุด
“ผมยอมรับได้ แล้วไม่ว่ายังไงแฟนคลับส่วนนั้นก็จะยังเป็นคนที่มีค่ากับผม”
“แม่เคารพในการตัดสินใจของปิน แล้วก็เชื่อว่าคนที่รักปินจริงๆ จะเคารพปินเหมือนกัน”
สองแม่ลูกสบสายตามองกันเล็กน้อยก่อนปินจะรีบหันไปมองถนนต่อ
“ขอบคุณครับแม่ ขอบคุณที่ทำให้ผมผ่านทุกอย่างมาได้”
“ก็แม่เป็นแม่ปินนี่ลูก” ประภาระบายยิ้มพร้อมทั้งเอื้อมมือไปลูบไหล่ของลูกเบาๆ
--
“พะ พี่ฝุ่น!” มะตูมเรียกชื่อเจ้าของร้านซึ่งยืนอยู่ข้างกันเสียงสั่นเมื่อเห็นคนที่เดินเข้าร้านมาโดยไม่มีการปิดบังหน้าตาใดๆ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะฝุ่น”
ด้านคนถูกทักก็นิ่งค้าง ดวงตาที่จับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เลื่อนไปยังแม่ของปิน เกือบนาทีกว่าฝุ่นจะตั้งสติได้ว่าควรยกมือไหว้คนตรงหน้า
“สะ สวัสดีครับคุณน้า”
“จ้ะ พอดีแม่แวะมาเที่ยวระยอง เห็นว่าฝุ่นเปิดร้านเลยอยากจะมาลองชิมฝีมือหน่อย” คนที่ไม่ได้แก่ลงไปเท่าไหร่นักจำต้องโกหกเล็กๆ เพื่อเจ้าตัวแสบที่ยืนนิ่งอยู่ข้างกัน
“ยินดีมากครับ...ชะ เชิญที่โต๊ะเลยครับ”
ดวงตาคู่สวยไหวสั่นไม่ต่างจากใจเมื่อเหลือบมองปินแล้วพบว่าอีกคนไม่ได้สนใจกันอย่างที่คิด
ร่างเล็กพยายามสูดลมหายใจเพื่อตั้งสติยามเดินนำลูกค้าเข้าไปข้างใน และเพราะความเป็นปินโต๊ะอื่นๆ จึงเริ่มหันมาสนใจ บางคนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่าย
ความหวั่นกลัวเกิดขึ้นกับฝุ่นเล็กน้อย ทว่าปินกลับมีท่าทีนิ่งเฉย
“คนเยอะเหมือนกันนะ” ประภาเอ่ยขึ้นหลังจากที่นั่งลงแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้าน “ปินเอาอะไรลูก”
“ต้มยำขาหมูครับ” ปารินทร์แทบไม่ต้องคิด
“งั้นแม่ควรทานอะไรดี” คนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะทานอะไรหันไปถามเจ้าของร้านซึ่งยืนรอรับออเดอร์อยู่ไม่ห่าง
“คุณน้าเอาเป็นแกงจืด กับปลาราดพริกดีไหมครับ จะได้ไขมันน้อยหน่อย” ฝุ่นเสนอ ทั้งยังกดเก็บความสั่นไหวของตัวเองเอาไว้ให้ลึก
“ได้จ้ะ”
“รับน้ำอะไรดีครับ”
“น้ำเปล่าแล้วกันลูก”
ใบหน้าเล็กกดลงรับจากนั้นจึงเดินกลับมาที่หน้าร้าน ก่อนมือบางจะวางค้ำกับเคาน์เตอร์ เรียกพลังงานของกายและใจด้วยการหลับตาลง
“พี่ฝุ่น พี่ปิน พี่ปินตัวเป็นๆ เลย” มะตูมขยับเข้ามากระซิบขณะที่มือกำแน่นด้วยความตื่นเต้น
นั่น ปิน ปารินทร์ เชียวนะ!
“อื้อ...” เปลือกตาสีอ่อนเปิดลืมขึ้นช้าๆ
“พี่ฝุ่นรู้จักกับแม่พี่ปินเหรอ ทำไมไม่เคยเห็นบอกเลย”
“เอาน้ำแข็งไปเสิร์ฟก่อนมะตูม”
“ค่ะ!” ความอยากรู้ยังคงมีอยู่แต่ความอยากเห็นนักร้องในดวงใจก็มีมากกว่า
มะตูมรีบรับคำแล้วทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เมื่อเอาน้ำแข็งไปเสิร์ฟก็เห็นว่าเริ่มมีคนมาขอถ่ายรูปปารินทร์บ้างแล้ว
“อร่อยมาก ไว้แม่จะแวะมาอีกนะ” ประภาเอ่ยชมยามที่เดินออกมายืนรอลูกชายซึ่งกำลังแจกลายเซ็นและถ่ายรูปอยู่
“แล้วมาอีกนะครับ” ฝุ่นเอ่ยเสียงเบาทว่ากลับเต็มไปด้วยความเว้าวอนขอ
“ระหว่างที่มีสัญญากับค่ายปินถือว่าทำหน้าที่ในการเป็นนักร้องอย่างเต็มที่แล้ว หลังจากนี้เลยจะใช้เวลาเพื่อตัวเองมากขึ้น...ก็อยู่ที่ฝุ่นแล้วนะว่าจะยังไง” คนแก่พูดพร้อมรอยยิ้มบาง
“...” ฝุ่นได้แต่นิ่งเงียบ เกิดความรู้สึกทั้งยังหวั่นกลัวและดีใจเล็กๆ กับประโยคก็อยู่ที่ฝุ่นแล้วนะว่าจะยังไง
คล้ายกับทุกอย่างต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว
“อ้อ...แล้วก็เจ้าหมาน่ะ ขี้งอนอยู่เหมือนกันนะ” ประภารีบเอ่ยเมื่อเห็นว่าปินผละออกจากกลุ่มคนมาแล้ว “แม่กลับแล้วนะ แต่ว่ายังไงก็ยังอยู่ที่นี่ต่ออีกสองวัน”
“ครับ”
ร่างสูงเดินกลับมาแล้วเหลือบสายตามองฝุ่นเพียงเล็กน้อยก่อนจะพาแม่เดินข้ามฝั่งกลับไปยังที่อยู่ของตัวเอง
“พี่ฝุ่น พี่ปินย้ายมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!” มะตูมรีบถลาเข้ามาถามหลังจากที่ได้ทั้งลายเซ็นและเซลฟี่คู่กับนักร้องในดวงใจ
“...ไม่รู้เหมือนกัน” คนถูกถามทำได้เพียงเอ่ยตอบเสียงเบา
--
ก็อยู่ที่ฝุ่นแล้วนะว่าจะยังไงฝุ่นนังมองกระจกห้องนอนฝั่งตรงข้ามพลางคิดถึงแต่สิ่งที่แม่ของปินพูดด้วยไปมาในหัว สุดท้ายเมื่อหาทางออกไม่ได้จึงคว้าโทรศัพท์มาคอลไลน์หาเพื่อนที่อยู่อีกประเทศ
(ว่าไงฝุ่น)
“บลูว่างหรือเปล่า”
(ว่างสิ กำลังเหงาพอดีเลย คุณกัญจน์ออกไปทำงานน่ะ) คนที่ย้ายไปอยู่อเมริกาตอบกลับมาเสียงเล็กเสียงน้อย ทั้งสดใสแล้วก็เง้างอนในท้ายประโยค
“คือเรามีเรื่องจะปรึกษาหน่อย”
(ว่ามาได้เลย)
ริมฝีปากบางถูกขบกัดเล็กน้อยก่อนฝุ่นจะค่อยๆ เรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟัง
(ฝุ่นมีโอกาสได้เจอปินอีกครั้ง...แล้วก็กำลังลังเลว่าควรจะยังไงต่อใช่ไหม) บลูถามย้ำหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด
“อื้อ”
(ให้เดา ใจฝุ่นก็คงอยากไปต่ออยู่แล้ว แต่ก็กลัวผลกระทบที่จะตามมาเหมือนตอนนั้นใช่ไหม)
ผลกระทบที่ทำให้บลูรู้ว่าคนที่ฝุ่นดูแลอยู่คือใครเพราะจำคนเป็นเพื่อนได้แม้จะถูกเซนเซอร์ตาเอาไว้
“อืม”
(แต่เราว่าการที่เขามาที่นี่ ซ้ำยังไม่ได้ปิดบังหน้าตาอะไร มันก็ชัดเจนแล้วนะว่าปินอยากจะทำยังไง)
“...”
(เราไม่รู้ว่าเวลาที่เหมาะสมสำหรับฝุ่นกับปินมันมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง แต่การที่ปินไม่ได้มาหาฝุ่นเลยตลอดสองปีกว่าแล้วเลือกจะมาในเวลานี้มันก็คงเป็นเวลาที่ปินคิดว่าเหมาะสมแล้วล่ะ...อย่างที่แม่ปินพูด ก็อยู่ที่ฝุ่นแล้วว่าจะยังไง คำว่าเวลาที่เหมาะสมของฝุ่นคือตรงไหน ถ้าเป็นตอนที่รอจนไม่มีใครสนใจเรื่องปินก็คงจะไม่มีวันนั้น)
“....” คนฟังค่อยๆ คิดตามสิ่งที่บลูพูด
(ปินเองก็โตขึ้นในอีกระดับแล้ว ถ้าอีกคนพร้อมก็ต้องถามฝุ่นว่าพร้อมที่จะก้าวผ่านกระแสโจมตีไปด้วยกันหรือเปล่า ซึ่งคราวนี้ฝุ่นจะหนีแบบครั้งก่อนไม่ได้แล้ว...ความคิดเรา เราเชื่อว่าความราบเรียบของฝุ่นจะทำให้เรื่องนี้มันผ่านไปอย่างราบเรียบที่สุด มันอาจจะยากในช่วงแรก แต่ถ้าคนสองคนจับมือสู้ไปด้วยกันยังไงก็ผ่านไปได้)
“...”
(เป็นธรรมชาติที่ทั้งฝุ่นและปินเป็น ท้ายที่สุดแล้วคนอื่นจะเห็นและเข้าใจ)
“มันจะไม่เป็นไรใช่ไหม” คนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองถามปลายสายเสียงเบา
ถ้าจะไม่หนีแบบตอนนั้น มันจะโอเคจริงๆ ใช่ไหม
(หรือว่าฝุ่นพร้อมที่ปล่อยปินไปอีกล่ะ)
“...” ฝุ่นไม่ได้ตอบแต่ในใจกลับร้องตะโกนว่าไม่ขึ้นมาทันใด
(บางครั้งน่ะ โอกาสตรงหน้าก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะฝุ่น...ลองคิดดูว่าถ้าครั้งนี้ปินไม่รอแล้ว ถ้าเขาเลือกที่จะเดินไปพร้อมคนอื่นแทน ฝุ่นจะโอเคหรือเปล่า)
“ไม่สิ ไม่โอเคสิ” ริมฝีปากเล็กขยับตอบจนลิ้นแทบพันกัน
(ถ้าไม่โอเคก็ลุย ฮึบแล้วผ่านมันไปให้ได้ ใครจะด่าก็ด่าไป เราไม่สนใจซะอย่าง)
บลูส่งพลังให้เพื่อนทางน้ำเสียงที่ฮึกเหิม ขณะที่คนฟังก็นิ่งคิด จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อตัดสินใจได้
“เราจะลองดู...ขอบคุณบลูมากเลยนะ”
(ไม่เป็นไรเลย มีอะไรก็โทรหาเราได้ แล้วเดี๋ยวเดือนหน้าเราจะกลับไปหา)
“จริงเหรอ” ฝุ่นถามกลับด้วยความดีใจ
(อื้อ ไปเที่ยวน่ะ)
“งั้นไว้เจอกันนะ”
(โอเค เจอกัน)
แล้วสายโทรศัพท์ก็ถูกวางไปหากแต่ทุกคำพูดของเพื่อนยังคงไหลวนอยู่ในหัว ตามมาด้วยประโยคที่แม่ปินเอ่ยด้วยเมื่อตอนกลางวัน
“ระหว่างที่มีสัญญากับค่ายปินถือว่าทำหน้าที่ในการเป็นนักร้องอย่างเต็มที่แล้ว หลังจากนี้เลยจะใช้เวลาเพื่อตัวเองมากขึ้น...ก็อยู่ที่ฝุ่นแล้วนะว่าจะยังไง”มันถึงเวลาเหมาะสมที่ปินจะได้ใช้เพื่อตัวเองแล้วจริงๆ ใช่ไหม
--
“พี่ฝุ่น! มะตูมรู้แล้วว่าพี่ไปรู้จักกับแม่พี่ปินได้ยังไง”
มะตูมที่มาทำงานวันต่อมาด้วยความมุ่งมั่นพูดขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาในร้าน ทั้งยังหรี่ตาลงให้คนถูกมองรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
“มะตูมก็ว่าว่ารู้สึกคุ้นหน้าพี่จากที่ไหน นี่คือพี่ฝุ่นใช่ไหม...คนที่เคยมีข่าวกับพี่ปินเมื่อเกือบสามปีก่อน”
โทรศัพท์ในมือที่ปรากฏรูปถูกแอบถ่ายเมื่อสามปีก่อนถูกยกขึ้นให้ดูโดยที่ฝุ่นได้แต่ยืนนิ่ง ใช้เวลาตั้งสติอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเฉไฉไปเพราะภาพนั้นไม่ได้เห็นหน้าชัด ทั้งยังมีแถบสีดำคาดทับตาเอาไว้
“ละ เหลวไหลน่ามะตูม”
“งั้นพี่ก็บอกมาสิว่ารู้จักกับแม่พี่ปินได้ยังไง” มะตูมยังไม่ลดละความอยากรู้เมื่อเพียรถามเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบนี้
“ถ้าเขาไม่อยากตอบมาถามพี่ก็ได้”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้หญิงสาวหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นใครเสียงเรียกชื่อด้วยความตกใจก็ดังขึ้น ทว่าความตกใจของมะตูมนั้นยังไม่เท่าที่ฝุ่นรู้สึก
“พะ พี่ปิน!” คนที่ทั้งช็อกและตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วครู่ เมื่อตั้งสติได้ร่างมีน้ำมีนวลจึงวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าปารินทร์
“งั้นถามค่ะ...คนในรูปใช่พี่ฝุ่นหรือเปล่าคะ แล้วมีซัมติงจริงอย่างที่เขาเคยเม้ากันไหม”
ดวงตาเรียวรีมองรูปในโทรศัพท์แล้วก็เลื่อนสายตาไปมองคนด้านหลัง จากนั้นจึงตอบออกมา
“ใช่ทั้งหมด แต่ตอนนี้ไม่ได้มีซัมติงอะไรกันแล้ว”
คำตอบนั้นทำให้ฝุ่นแทบไร้เรี่ยวแรงที่จะยืน พร้อมๆ กับสิ่งที่บลูพูดดังเข้ามาในหัว
บางครั้งน่ะ โอกาสตรงหน้าก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะฝุ่นหรือมันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ
“เคยคบกันจริงๆ ด้วย โอ๊ยยยย ทำไมพี่ฝุ่นไม่เคยบอกมะตูมเลย โอ้มายก็อด พระเจ้าช่วยกล้วยลำไย...พี่ปินกับพี่ฝุ่น...โอเคๆ...แต่ไม่ต้องห่วงค่ะมะตูมไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ขอแค่...ขอแค่ได้กอดพี่ปินพอ”
มะตูมทั้งตื่นเต้นและดีใจผสมปนเปกันไปหมด
“มาสิ” แล้วก็ยิ่งดีใจมากเมื่อคนตรงหน้าอ้าแขนออก
หญิงสาวไม่รอช้าที่จะพาตัวเองเข้าไปแนบชิด สองแขนกอดรอบเอวสอบขณะที่ใบหน้าก็ซุกเข้ากับอกแน่นๆ แล้วหลับตาลงพริ้ม
เป็นภาพที่ก่อให้คนมองรู้สึกอิจฉาอย่างไม่อาจห้าม
ฝุ่นอยากกอดปิน...แบบนั้น
“กรี๊ดดด ตัวพี่ปินหอมมากเลย เหมือนมะตูมฝันไปเลยอะ” มะตูมส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดพลางขยับตัวไปมาอย่างอยู่ไม่สุข
“มะตูม”
“ขา” คนถูกเรียกหันไปขานรับ แต่พอฝุ่นไม่ได้พูดอะไรต่อคนช่างจ้อก็หันกลับไปหาปินอีกครั้ง
“ว่าแต่พี่ปินมานี่จะมาซื้อข้าวหรือจะมาหาพี่ฝุ่นคะ”
“มาซื้อข้าวน่ะ”
ฝุ่นรู้สึกผิดหวังกับคำตอบจนต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากัน
“ว้า เสียดายจัง...”
“มะตูมไปจัดเก้าอี้ไป พี่จะไปเอากับข้าวออกมา...ระ รอก่อนนะ ยังจัดร้านไม่เสร็จน่ะ” ประโยคหลังฝุ่นเอ่ยบอกอีกคนเสียงสั่น อีกทั้งใจยังวูบโหวงเพราะสายตาราบเรียบที่มองกลับมา
“ถ้าอย่างนั้นเสร็จแล้วค่อยเอาไปส่งแล้วกันครับ ให้น้องมะตูมไปส่งก็ได้”
มะตูมที่ดีใจกับการถูกจำชื่อได้ยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงกรี๊ด
ปิน ปารินทร์จำชื่อได้เชียวนะ
“เอาอะไรดี” ฝุ่นถามต่อเสียงเบา
“อะไรก็ได้ครับสองกล่อง เผื่อแม่ด้วย”
“อื้ม” พอร่างเล็กรับคำปินก็หันไปยิ้มให้คนตรงหน้าก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินข้ามฝั่งกลับไป
“พี่ฝุ่น ทำไมตอนนี้ไม่มีซัมติงกันแล้วล่ะ แล้วพี่ฝุ่นไม่คิดจะง้อพี่ปินเหรอ เหมือนพี่ปินจะยังงอนๆ อยู่เลยอะ”
“...” คนถูกถามไม่ตอบอะไรทั้งยังส่งสายตาให้รู้ว่าคนถามกำลังก้าวล้ำเรื่องส่วนตัว
“แหะๆ มะตูมอยากรู้นี่นา พวกพี่เหมาะสมกันมากเลยรู้ไหม” มะตูมหัวเราะแห้งๆ พลางพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก
“เหมาะสมงั้นเหรอ?” คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากันเมื่อติดใจกับบางส่วนในประโยคเมื่อครู่
“อื้อ คนนึงหล่อ คนนึงน่ารัก มะตูมว่าเข้ากันมาก”
“แต่พี่...เป็นผู้ชายกับผู้ชายนะ”
“โอ๊ย สมัยนี้โลกมันไปถึงไหนแล้ว คนที่รับไม่ได้ก็แสดงว่าเป็นคนไม่ใจกว้างเลย”
“แล้วมะตูมโอเคเหรอที่คนที่ตัวเองชอบจะมีแฟน”
กลายเป็นว่าฝุ่นยอมเปิดเผยเรื่องส่วนตัวเพื่อที่จะฟังความคิดเห็นจากคนเป็นแฟนคลับปินอย่างมะตูม
“มะตูมน่ะโอเค แต่มะตูมก็เข้าใจคนที่จะไม่โอเคนะ...แต่ว่าน่ะ สุดท้ายพี่ปินเขาก็ต้องมีชีวิตเป็นของเขา ตอนนี้เขาก็อายุยี่สิบเจ็ดแล้ว มันก็ไม่แปลกอะไรที่จะมีแฟน”
“...”
“ที่ไม่มีซัมติงกันแล้วเพราะพี่ฝุ่นกลัวแฟนคลับไม่โอเคเหรอ”
“...” ใบหน้าเล็กกดลงรับอย่างเชื่องช้า
“ตอนแรกบางคนก็คงไม่เข้าใจหรอก แต่สุดท้ายถ้าพวกเขารักพี่ปินจริงพวกเขาก็จะเข้าใจไปเอง ศิลปินที่เรารักรักใครเราก็รักด้วยทั้งนั้น ยิ่งถ้าเป็นพี่ฝุ่นมะตูมจะยิ่งรักมากกกก จะเปิดเพจแฟนคลับให้ด้วยเลย”
ได้ยินว่ามีคนโอเคและเข้าใจฝุ่นก็ระบายยิ้ม ทว่าวินาทีต่อมากลับต้องค่อยๆ หุบลงเพราะนึกถึงสิ่งที่ปินพูดออกมาเมื่อครู่
“ขอบใจนะมะตูม แต่ปินบอกว่าไม่มีซัมติงกันแล้วนี่นา”
“ตอนนี้ไม่มีก็ทำให้กลับไปมีสิ...ง้อน่ะพี่ฝุ่น ง่ายนิดเดียว”
คนฟังกะพริบตาปริบๆ กับคำว่าง้อที่ได้ยิน
“ง้อเหรอ”
“อื้อ ถ้าพี่ปินยังไม่มีใครก็ง้อเลย มะตูมเอาใจช่วย เริ่มจากการเป็นคนเอาข้าวไปส่งไง!”
TBC.
เจ้าหมาทำเป็นเข้มมมม
ตอนหน้าก็จบแย้วน้า
มาลุ้นกันค่ะว่าพี่ฝุ่นจะง้อหมาขี้งอนยังไง
แอบบอกว่าเราชอบตอนหน้ามากกก
นอกจากตอนจบแล้วก็มีตอนส่งท้ายอีกตอนนะคะะะ
เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะ^^
#secrecyลับรัก