2 : เพื่อนข้างห้อง
“อืม ได้สิ” วันชนะยิ้มให้
“เท้าเป็นยังไงบ้าง” จานข้าวและแก้วน้ำใบใหญ่ที่ใส่น้ำผลไม้ปั่นถูกวางลงข้างๆจานข้าวของวันชนะก่อนเจ้าตัวจะนั่งลงข้างๆ
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ไม่ต้องถึงกับไปหาหมอ เมื่อวานขอบใจมากนะ” วันชนะตอบ
“ดีแล้วล่ะ ว่าแต่นายอยู่ภาควิชาอะไรเหรอ เราอยู่คอมพิวเตอร์” นักขัตถามต่อพลางตักข้าวใส่ปาก
“เราอยู่พันธุศาสตร์” วันชนะตอบเพื่อนร่วมคณะที่อยู่คนละภาควิชา
นักขัตคิ้วขมวดเล็กๆด้วยว่าไม่ค่อยคุ้นกับชื่อ
“พันธุศาสตร์? เรียนเกี่ยวกับอะไรเหรอ?”
“ก็พวกยีนส์ ดีเอ็นเอ พันธุกรรมไง” วันชนะตอบ
“อ้อ” คนพูดรับคำว่ารู้เรื่องแต่สีหน้าก็ยังแฝงความสงสัย แต่ก็ไม่ถามต่อ
“ว่าแต่นายก็เก่งนะที่เรียนคอมพิวเตอร์ เราใช้เป็นนิดๆหน่อยๆเอง” วันชนะดูดน้ำอัดลมก่อนพูดต่อ “เย็นนี้นายก็ไปซ้อมเชียร์อีกล่ะสิ เราคงไม่ไปนะ ขี้เกียจ เจ็บเท้าด้วย เบื่อพวกรุ่นพี่บ้าอำนาจ”
“อ๋อ เราไม่ต้องเข้าซ้อมแล้วล่ะ เราได้เป็นนักบาสของคณะ” นักขัตตอบ
“จริงดิ” วันชนะมองหน้าอีกฝ่ายอย่างคนปลื้มที่นักขัตนอกจากจะหน้าตาดียังเป็นนักกีฬาอีก ครบสูตรชายในฝัน
เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันความคิด นักขัตยักคิ้วกวนๆให้
วันชนะคิดในใจว่านักขัตหลงตัวเองเลยเบ้ปากให้แล้วหันหน้าไปทางอื่นแล้วยิ้มกว้าง ค่าที่ถึงนักขัตยักคิ้วทำหน้ากวนให้ก็ยังน่ารัก
ผู้ชายอะไรเนี่ย น่ารักชะมัดเลย
แล้วก็เป็นอันต้องหุบยิ้มลงทันทีเมื่อนักขัตพูดว่า “วินยิ้มทำไม?”
วันชนะหันหน้ามาทางเขาแกล้งทำหน้าไม่เข้าใจแต่มีแววอายนิดๆ “ยิ้มอะไร เปล่า ไม่ได้ยิ้มสักหน่อย”
“อือ ไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้ม” นักขัตยิ้ม
“แล้วนายยิ้มทำไม?” วันชนะทำเสียงกวนๆ
“เราเปล่ายิ้มเสียหน่อย คนนู้นตะหากที่ยิ้ม” นักขัตชี้มือไปทางหน้าต่าง
วันชนะหน้าแดงถึงหูด้วยว่าเห็นคนยิ้มสะท้อนอยู่ในกระจกหน้าต่าง นี่แสดงว่าที่เขายิ้มเมื่อกี้นี้ก็ถูกเห็นจริงๆน่ะสิ
วันชนะจนแต้มได้แต่ยิ้มแหยๆแก้เขิน แต่หน้าก็ยังแดงอยู่ มองเห็นคนในกระจกยักคิ้วให้อีกยิ่งอยากจะตอบโต้แต่ก็มองไม่เห็นทางที่จะต่อกรได้เลย วันชนะจึงเฉไปเรื่องอื่น “เออ สัปดาห์หน้าเราจะซื้อคอมพิวเตอร์น่ะ ตั้มคงรู้เรื่องมากกว่าเรา ยังไงขอปรึกษาหน่อยล่ะกันนะ”
“ได้สิ ไปซื้อวันไหนล่ะให้เราไปดูด้วยก็ได้” นักขัตรับเป็นที่ปรึกษา พูดได้แค่นั้นเขาก็รีบยกมือขึ้นปิดปากแล้วจามติดกันสามทีจนหน้าแดง
“สงสัยมีคนคิดถึงล่ะมั้ง” วันชนะยิ้ม
นักขัตจามอีกสองทีก็พูดกับตัวเองด้วยหน้าอันแดงว่า “เป็นหวัดแล้วมั้งเนี่ยเรา”
“เมื่อวานโดนฝนมาล่ะสิ” วันชนะพูด
“อือ” นักขัตขยี้จมูก
การสนทนาในเช้านี้เพิ่มความสนิทสนมให้กับคนทั้งคู่ได้มากขึ้น ทำให้วันชนะรู้ข้อมูลบางอย่างของเพื่อนใหม่คนนี้เพิ่มขึ้นนอกจากรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาราวเทพบุตรของเขา นักขัตเรียนอยู่ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และเป็นนักบาสของคณะ เป็นนักเรียนทุนมาจากเชียงใหม่ เขาสอบทุนของมหาวิทยาลัยได้ ที่บ้านทำไร่มะเขือเทศกับฟาร์มวัว นักขัตชอบกินมะเขือเทศ วันชนะคิดว่านี่คงเป็นที่มาของผิวสวยสุขภาพดีของเขา ต่างจากวันชนะที่จะไม่กินมะเขือเทศเลย คุณพ่อของนักขัตเป็นคนไทยแต่คุณแม่เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ถึงกระนั้นนักขัตก็พูดญี่ปุ่นได้เพียงกระท่อนกระแท่นเพราะว่าเกิดและโตที่ประเทศไทย
ก่อนที่นักขัตจะลาไปเรียน บางอย่างถูกยัดเยียดลงบนจานของวันชนะ มันคือมะเขือเทศสองชิ้นเล็กๆ
“อร่อยนะ ทานให้หมดล่ะ” คนตักมะเขือเทศให้กำชับก่อนจะลุกจากไป
วันชนะมองมะเขือเทศสองชิ้นเล็กๆในจานตรงหน้าพลางกลืนน้ำลายลงคอแล้วใช้ซ้อมเขี่ยออกไปไว้ขอบจานอย่างไม่ใยดี แต่ได้ไม่นานปรากฏการณ์มหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นในโรงอาหารเมื่อวันชนะตักมะเขือเทศชิ้นหนึ่งเข้าปากแล้วรีบกลืนอย่างทุลักทุเลตามด้วยน้ำอีกอึกใหญ่ เขาแทบจะไม่ได้เคี้ยวด้วยซ้ำ แล้วชิ้นที่สองก็ตามเข้าไป แล้วคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้น
แล้วจะกินทำไมเนี่ย เกลียดก็แสนเกลียด
.......................................................