7
เด็กน้อยวัยเจ็ดขวบยืนตากฝนดวงตากลมหม่นไร้แสง เป็นหนึ่งคือชื่อของเขาที่ถูกตั้งโดยแม่ใหญ่แต่ตอนนี้แม่ใหญ่ไม่อยู่แล้ว
บ้าน.......ก็ไม่มีแล้ว
เป็นหนึ่ง ชื่อที่แม่ใหญ่เป็นคนตั้ง แม่ใหญ่เล่าให้ฟังว่าเจอผมนอนอยู่หน้าบ้านแม่ใหญ่เลยเลี้ยงผมมาพร้อมกับเด็กๆ ที่แม่เลี้ยงมาอีกสามคน ผมเป็นน้องสุดท้องพอได้สองขวบพี่ๆ ก็ถูกรับไปเลี้ยงเหลือเพียงผมคนเดียวกับแม่ใหญ่ ชีวิตพวกเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเมื่อโตขึ้นมาพอช่วยเหลือตัวเองได้ก็ต้องทำงานบ้านและงานที่สามารถทำได้แต่เมื่อเจ็ดขวบแม่ใหญ่ก็จากไปบ้านที่เคยมีก็ถูกยึด เป็นหนึ่งก็ถูกทิ้งให้เผชิญกับโลกกว้างเพียงลำพัง
เป็นหนึ่งในวัยเจ็ดขวบต้องอาศัยการรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ จากแม่ค้าในตลาดที่คุ้นเคยกันดี ยามค่ำคืนอาศัยหลับนอนตามแผงแล้วตื่นขึ้นมาช่วยบรรดาป้าๆ ในตลาดของขนผักตามแต่ป้าๆ จ้าง โชคดีที่ป้าผ่องขายผักรับเป็นผู้ปกครองวิถีชีวิตดำเนินไปจนสิบห้าไป โชคดีที่เป็นเด็กดีและใฝ่เรียนเลยได้มีความรู้ประดับติดตัว อาศัยเรียนการศึกษานอกโรงเรียน จนจบม.หก เมื่ออายุถึงเขาก็ไปสมัครงานกลางคืนที่ให้เงินดี
เพราะชีวิตมัวยุ่งกับการทำงานและเรียนเพื่อนที่มีก็น้อยแสนน้อย ชีวิตตลอดยี่สิบห้าปีวนเวียนอยู่กับการทำงานและหาเงิน เพราะรู้ถึงความลำบากตั้งแต่เด็กแต่เพราะตัวเองนั้นขยันทำงานมากเกินไปสุขภาพก็ไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เด็กทำให้จากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร
แม้จะจากโลกนั้นมาแต่ผมก็ยังคิดถึงคนที่ดีกับผมทั้งป้าผ่องและบรรดาป้าๆ ในตลาดเป็นครั้งคราว วันนี้พี่ใหญ่ออกจากจวนพร้อมกับท่านอ๋องตั้งแต่เช้า ที่ผมรู้เพราะพี่ใหญ่แวะมากำชับให้ผมอยู่แต่ภายในจวน พี่ใหญ่นั้นไม่แปลกหากที่ทำให้ผมแปลกใจคือบุรุษที่ทำหน้านิ่งแต่แววตานั้นฉายแววไม่พอใจซึ่งผมจะไม่สนใจเลยหากไม่เกิดเวลาที่อีกฝ่ายนั้นสบตากับผม
ผมไปทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจกัน
ตอนนี้ผมนั่งทานของว่างกับท่านพ่อที่ดูจะชอบใจกับขนมทานเล่นฝีมือผมจริงๆ เพราะเหลือแป้งผมเลยทำปากหม้อซึ่งดูจะถูกปากเหลือเกิน
“ท่านพ่ออีกไกลหรือไม่ขอรับถึงจะถึงเมืองตงซวง” ใบหน้าหล่อเหลาของบิดาหันมายิ้มน้อยๆ ให้ก่อนที่จะอธิบายเกี่ยวกับการเดินทาง
“เมื่อออกจากเมืองเว่ยเราจะต้องเดินทางเรียบแม่น้ำไปยังเมืองต้าหลาง ผ่านเมืองต้าหลางเราก็จะเดินทางไปยังเมืองตงซวงหากแต่เราต้องลำบากกันนิดหน่อยเมื่อถึงเมืองตงซวงเพราะต้องเดินทางตามแนวเขาเพื่อเข้าไปยังเมือง”
“ที่นั่นงดงามมากไหมขอรับ”
“งดงามเหมือนมารดาเจ้า” ผมยิ้มกว้างจนตาปิดเมื่อบิดาพูดถึงมารดาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มแววตาฉายแววความรักอย่างเต็มเปี่ยม
“ลูกอยากไปเห็นเมืองที่ท่านแม่เกิดเร็วๆ ขอรับ”
“เมื่อเจ้าเห็นเจ้าจะชอบแน่นอน”
“ขอรับท่านพ่อ” ในใจเริ่มวาดภาพในหัวเกี่ยวกับเมืองตงซวงที่บิดาเล่าให้ฟัง จะต้องสนุกแน่ๆ อยากให้ไปถึงเร็วๆ จัง
ทางด้านชินอ๋องและไป๋อวี้จิ้งควบม้ามายังที่ว่าการเมืองเพียงสองคนเพราะงานที่ฮ่องเต้สั่งให้จืออ๋องมาสืบเกี่ยวกับการผูกขาดการค้า ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้ดีแต่หากคิดจะทำการเกินตัวเลยไม่ยอมส่งฎีกาคืนไปยังเมืองหลวง ที่แวะพักเมืองนี้ถึงสองวันก็เพราะการณ์นี้
“ถวายพระพรชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองเว่ยเมื่อพ่อบ้านมาแจ้งว่าชินอ๋องและรองแม่ทัพไป๋อวี้จิ้งมายังที่ว่าการ ก็รีบแต่งตัวออกจากเรือนนอน หลังชุ่มด้วยเหงื่อเมื่อเข้ามายังห้องโถงกลางก็รีบทำความเคารพผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง
“ท่านเจ้าเมืองการค้าที่เมืองนี้เป็นเช่นไร” บุรุษร่างสูงที่แผ่กลิ่นอายกดดันจนผู้สูงวัยถึงกับตัวสั่นสะท้านกลืนน้ำลายอย่างอยากลำบากก้มหน้าหลบสายตาประดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ ความผิดที่ปกปิดไว้เริ่มทำให้เขานั่งอยู่บนกองไฟกองใหญ่
“เรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วการค้าเกลือเล่า” เพียงเท่านั้นเจ้าเมืองก็รู้สึกทั้งร่างแช่แข็ง
พึงรู้ไว้ว่าเกลือนั้นถูกผูกขาดโดยราชสำนักเป็นผู้ขายเพียงแต่ผู้เดียวแต่ก็มีขุนนางใจคดที่เห็นแก่ได้แอบลักลอบขายเกลือ เกลือเป็นสินค้าที่หากลักลอบขายเพียงครั้งเดียวก็สามารถร่ำรวย
“อย่างที่กระหม่อมส่งบัญชีให้ท่านอ๋องตรวจพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ อวี้จิ้งจับตัวเจ้าเมืองส่งกลับเมืองหลวง เปิ่นหวางจะให้องค์ฮ่องเต้สำเร็จโทษ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ไป๋อวี้จิ้งรับคำสั่งแล้วจัดการจับเจ้าเมืองถอดหมวกพระราชทานปลดชุดประจำตำแหน่งออก
“กระหม่อมผิดอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ ลักลอบขายเกลือเจ้ายังว่าไม่ได้ทำอะไรผิดงั้นรึ แต่ไม่ต้องห่วงเปิ่นหวางจะส่งเพื่อนๆ ของเจ้าไปพร้อมกัน” ไม่ปล่อยให้คนโลภโวยวายหนวกหูไปมากว่านี้ ไป๋อวี้จิ้งส่งตัวเจ้าเมืองต่อให้กับทหารพร้อมกับตัวพ่อบ้านเสร็จก็กลับมานั่งจิบชาร้อนๆ
“แล้วพวกคหบดีนั่นเล่าคงจะคิดหนีกันไปหมดแล้ว” อวี้จิ้งว่าเพราะเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองเว่ยพวกคหบดีเหล่านั้นก็เหมือนจะเตรียมหนีกันแล้ว
“เจ้า จือ”
“ขอรับ” องค์รักษ์เงาที่ติดตามปรากฏตัวขึ้นมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้านายเหนือหัว
“เรื่องที่เปิ่นหวางสั่ง”
“เรียบร้อยขอรับ” ชินอ๋องพยักหน้าโบกมือให้เงากลับไปทำหน้าที่ ก่อนที่จะจัดการกับเจ้าเมืองเขาก็สั่งให้เงาทำการปิดจวนพวกคหบดีนั้น อ่า จะว่าปิดก็คงมิใช่ เพียงแค่บรรดาคหบดีเหล่านั้นไม่สามารถหลีกหนีออกจากจวนได้
“เจ้าพาทหารไปจับตัวส่งกลับเมืองหลวง”
“แล้วเจ้าจะไปไหน”
“ลงโทษกระต่าย” อวี้จิ้งรู้สึกสงสัยนี่เพื่อนสนิทของเขาไปเลี้ยงกระต่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ไม่ทันได้ไถ่ถามสหายก็ใช้วิชาตัวเบาหนีไปเสียแล้ว ไม่รู้เหตุใดคิ้วของเขากระตุกถี่สัญชาตญาณเตือนตลอดเวลา
ฝ่ายชินอ๋องใช่วิชาตัวเบามายังจวนเจ้าสี่ถูกสั่งให้คุมตัวคนผิดกลับเมืองหลวงพร้อมทหารเพราะเป็นอนุชาคนเล็กเลยติดที่จะมีนิสัยเอาแต่ใจตัวไม่น้อย แต่ก็คงเทียบกับน้องเล็กที่อภิเษกไปก็ยังดีกว่า ร่างสูงเดินเข้าไปยังเรือนรับรองที่แยกเป็นสัดส่วนจากเรือนใหญ่ เมื่อบ่าวรับใช้เห็นชินอ๋องเดินเข้ามาก็เตรียมที่จะแจ้งแก่นายน้อยตนแต่ก็โดนห้ามไว้เสียก่อน
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ”
“ออกไปเถอะเปิ่นหวางจะคุยกับนายเจ้า”
“แต่ว่า” กำลังที่จะกล่าวอ้างคุณชายใหญ่แต่เมื่อแรงกดดันทำให้ซื่อจูต้องล่าถอยออกมา ปล่อยให้ชินอ๋องอยู่ตามลำพังกับนายน้อยตน เมื่อเห็นว่าอยู่กันตามลำพังแล้วเขาก็ก้าวเดินเข้าไปยังเก๋งกลางสวนเงียบๆ โดยที่ร่างบางยังคงไม่รู้ตัวจมอยู่กับนั่งเขียนอย่างตั้งอกตั้งใจ ขนาดที่เขาเดินมาประชิดด้านหลังก็ยังไม่รู้ตัว คิ้วเฉียงขมวดลงเมื่อเห็นสิ่งที่เจ้ากระต่ายกำลังเขียน
นั่นยันต์รึ
“เจ้าทำอะไรอยู่”
“เฮ้ย.. ตกใจหมดพ่ะย่ะค่ะ ทรงมาทำอะไรเงียบๆ” ร่างบางสะดุ้งสุดตัวเพราะกำลังเคร่งเครียดกับการรื้อความทรงจำนำความรู้ในชาติก่อนมาใช้ประโยชน์ส่วนมากก็สูตรอาหารทั้งนั้น
“เจ้าทำอะไรอยู่”
“อ่า กำลังจดสูตรอาหารขอรับ” เพราะได้รับอนุญาตให้พูดสามัญได้ดั่งเช่นพี่ใหญ่เมื่ออยู่ตามลำพัง
“นั่นเจ้ากำลังเขียนยันต์อยู่หรือ” น้ำเสียงเจอด้วยความสงสัยทำให้ผมหลุดขำคงจะจะเป็นเพราะไม่เคยเห็นสิ่งที่ผมเขียนก็แน่ล่ะมันเป็นภาษาไทยถ้าเคยเห็นก็แปลกแล้ว
“มิใช่ขอรับแต่เป็นภาษาที่ข้าเคยเรียนแล้วนำมาเขียนเพื่อกันการลอกเลียนสูตรขอรับ”
“เจ้าช่างฉลาดยิ่ง” แม้จะดูลายเส้นดำจากถ่านนั้นไม่ออกแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ร่างบางมีความสามารถด้านภาษาอื่น
“มิใช่หรอกขอรับเพียงแค่รู้เล็กน้อย”
“พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางยามเช้า เจ้าเตรียมตัวพร้อมรึไม่” แม้จะเสียดายที่ไม่ได้เที่ยวทั่วทั้งเมืองแต่ก็ไม่ได้เสียดายไม่ได้ ไว้เมื่อเขาโตกว่านี้เมื่อไหร่จะขอท่านพ่อออกท่องเที่ยวทั่วหล้าคอยดู
“พร้อมแล้วขอรับ” ท่านพ่อให้เขาจัดการเรืองอาหารการกินระหว่างเดินทางเพราะติดรสมือผมเสียแล้ว ซึ่งผมไม่มีปัญหาอะไรซ้ำยังดีใจเสียด้วยซ้ำ
“ดียิ่ง เจ้าอยากขี่ม้าหรือไม่”
“ข้าขี่ม้าไม่เป็นขอรับ”
“แล้วหากข้าสอนเล่า” ผมรีบเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งข้างๆ ด้วยสายตาแวววับ
“ดียิ่งขอรับ ข้าอยากเรียนพี่เว่ยสอนข้านะขอรับ” ยิ่งสนิทยิ่งทำให้ผมรู้ว่าชินอ๋องนั้นใจดีกับผมอย่างยิ่ง แม้จะรู้เหตุผลลึกๆ ของเจ้าตัวก็เถอะ
“ไว้ยามพักดีหรือไม่”
“ตอนไหนก็ได้ขอรับ ท่านใจดีกับข้ายิ่ง”
“ข้ามิได้ใจดี เพียงแต่นี่คือเจ้า” เพราะสายดาดุนั้นมีประกายลึกล้ำทำให้ผมไม่กล้าสบตาหันกลับมาตั้งใจเขียนสูตรอาหารต่อ งืออ ทำไมผมถึงได้รู้สึกเขินกับสายตานั้นกัน ไม่นะนายจะมาหวั่นไหวกับผู้ชายไม่ได้นะเป็นหนึ่ง นี่ก็อีกคนสมแล้วที่ผมแอบเรียกว่าอ๋องโรคจิต จะไม่ให้แอบเรียกได้ยังไงเล่า คิดดูสิผมอายุเท่าไหร่เอง
อายุ 16 !!
ผมแค่อายุ 16 ก็มาเกี้ยวเช้าเกี้ยวเย็น ผมยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยนะ แต่ก็อย่างว่าล่ะนะวัฒนธรรมของที่นี่ทั้งเด็กสาวและเด็กหนุ่มที่ถูกวางตัวเป็นภรรยานั้นแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ผมไม่ยอมหรอกนะ พึ่งล้มงานแต่งได้
“แค่ก พี่เว่ยวันนี้ไม่ได้ออกไปกับพี่ใหญ่หรือขอรับ” เพราะพี่ใหญ่ยังไม่กลับแต่ชินอ๋องกลับมานั่งคุยกับผมประหนึ่งคนว่างงาน
“งานของข้าเสร็จแล้ว ส่วนพี่ใหญ่เจ้ายังต้องอยู่ดูแลความเรียบร้อย” ผมหยักหน้าหงึกหงักรับมือก็เขียนสูตรอาหารต่อ ก่อนที่จะกำลังจะเขียนอาหารต่อไปผมก็เงยหน้าถามคนที่ยังนั่งจ้องผมอยู่ตลอดเวลา
“พี่เว่ย ทานของว่างยามบ่ายหรือไม่ขอรับ” เพราะคิดจะลองทำขนมเลยอยากหาคนชิม วันนี้ซื่อจูได้ดอกบัวมาแต่ผมไม่อยากทำยำเพราะกลัวว่าจะเสาะท้องระหว่างเดินทางหากไม่ชิน
“เจ้าจะทำให้พี่ทานรึ”
“อ่า..ขอรับ”
“พี่จะรอ” เพราะสรรพนามที่ชวนใจสั่นไหนจะมือใหญ่ที่ยกขึ้นลูบผมเบาๆ นั่นอีก ผมรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนี ใช่ ผมวิ่งหนีจริงๆ อ่ะ ไม่อย่างนั้นผมต้องแสดงท่าทางน่าอายออกมาแน่ๆ
ใจจ๋า อย่าเต้นแรงสิ
เมื่อมาถึงหลุมหลบภัยซึ่งก็คือครัวผมก็ทรุดตัวลงนั่งปลายเท้า สูดหายใจเข้าๆ ลึกเพื่อดึงสติให้กลับคืนมา เป็นหนึ่งกลับมาสิเป็นหนึ่งอย่าหวั่นไหวสิ นานหลายเค่อกว่าที่เขาจะเรียกสติกลับมา นำดอกบัวที่ซื่อจูเก็บมาแกะออกทีละกลีบ ทีละกลีบ นำน้ำมาผสมแป้งพร้อมกับตั้งน้ำมันเมื่อได้ที่ผมก็ชุบกลีบบัวลงในแป้งแล้วทอดทีล่ะกลีบ ยังทอดไม่ทันเสร็จซื่อจูก็วิ่งเข้ามาในครัว
“ทำอะไรขอรับนายน้อย”
“มาเร็วเชียวนะ” เอ่ยเย้าบ่าวอย่างสนิทสนม
“แหะๆ บ่าวได้กลิ่นหอมนะขอรับ” อดไม่ได้ที่จะยิ้มขำดูท่าจะไม่ได้มรแต่คนในครอบครัวแล้วที่พ่ายต่อรสมือของผม ผมสอนให้ซื่อจูทอดกลิบบัวต่อ ส่วนผมมาทำน้ำจิ้มต่อ ใส่น้ำบ๊วยแล้วน้ำตาลเกลือน้ำส้มสายชู กระเทียม แล้วต้มจนเหนียวแล้วยกลงตักใส่ถ้วยเล็กๆ สองถ้วยสำหรับท่านพ่อและสำหรับชินอ๋อง
“เจ้าทอดได้ดีมาก ยกไปให้ท่านพ่อด้วยนะซื่อจู” บอกแก่ซื่อจูส่วนตัวผมยกตะกร้าสานเล็กๆ ที่ใส่กลีบบัวทอดจนเต็มพร้อมกับถ้วยน้ำจิ้มและจานพร้อมตะเกียบไปยังศาลา
“ขออภัยที่ทำให้พี่เว่ยต้องรอนานนะขอรับ” ผมวางถาดลง
“นี่คือกันใด”
“กลีบบัวทอดขอรับ” วางจานใบเล็กพร้อมกับตะเกียบลงเบื้องหน้าแล้วกลับมาจัดแจงให้กับตัวเอง คีบกลีบบัวทอดใส่จานคนข้างกายแล้วคีบกลีบบัวจิ้มน้ำจิ้มกำลังจะเข้าปากก็ต้องชะงักเมือนิ้วมือยาวแตะที่แก้มแล้วถูเบาๆ
“แก้มเจ้าเปื้อน” ผมก้มหน้าก้มตากินกลีบบัวทอดอย่างเดียว ไม่กล้าสบตาผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ หูได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มเบาๆ แม้จะอยากเงยหน้าขึ้นไปต่อว่าแต่ผมก็กลัวที่ชินอ๋องทำสิ่งที่ผมรู้สึกแปลกๆ กว่าเดิม
.
เว่ยชินมองร่างเล็กที่ก้มหน้าก้มตาทานมื้อว่างใบหูเล็กนั่นแดงก่ำยิ่งทำให้เขาชอบใจ ช่างเป็นผู้ที่ทำให้เขารู้สึกเอ็นดูจนอยากจะจับกลับไปไว้ที่วังแล้วเลี้ยงดูอย่างดีแต่ตอนนี้กลับมีความรู้สึกมากมายอย่างที่ไม่เคยได้พบเจอ และกระต่ายน้อยของเขายิ่งรู้จักยิ่งมีสิ่งให้ประหลาดใจทั้งฝีมือการทำอาหารทั้งการรู้ภาษาต่างแดน หาแต่กาลก่อนเคยได้ยินพี่รองกล่าวถึงคู่หมั้นว่าทั้งเอาแต่ใจและกิริยาไม่งาม แต่หากที่เขาเห็นเป็นเพียงกระต่ายน้อยที่แสนซนและอยากรู้อยากเห็น
“สูตรอาหารนี้คืออะไรรึ” เห็นว่ากระต่ายน้อยก้มหน้าก้มตาทานอย่างเดียว
“อ้อ อันนี้คือ..ทอดมันกุ้งขอรับ”
“กุ้งรึ”
“ใช่ขอรับ ที่เมืองหน้ามีกุ้งหรือไม่ขอรับ”
“ข้าจะหาให้”
“งั้นข้าจะทำให้นะขอรับ” ท้ายที่สุดก็ยอมที่จะเงยหน้าคุยพร้อมกับส่งรอยยิ้มงดงาม ที่ทำให้ดวงใจเขากระตุก
อ่า
ข้าชักอยากจะกินกระต่ายตัวน้อยนี้เสียแล้วสิ
*******************************************************
หลิงเอ๋อร์หนีปายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
แต่งไปแต่งมาทำไมพี่อ๋องเราจะกินน้องแล้วล่ะ
ขอบคุณที่รอกันนะคะ ไรท์แก้ไขบางส่วนแล้ว ส่วนด้านล่างจะเป็นการแนะนำตัวละครนะคะ
ราชครูไป๋
ไป๋อวี้จิ้ง พี่ใหญ่
ไป๋อวี้เฟิ่ง พี่รอง
ไป๋อวี้หลิง กระต่ายน้อย
องค์ฮ่องเต้ หยางฉินหลง (พี่ใหญ่)
หยางเฉียงอ๋อง (อดีตคู่หมั่น,พี่รอง)
หยางเว่ยชิน (ชินอ๋อง,พี่สาม)
หยางเว่ยหลง (หลงอ๋อง,น้องสี่)